กระแสเรียนไม่เก่งก็ประสบความสำเร็จได้...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 10 กันยายน 2013.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งหรือเปล่า การศึกษาของเราเลยติดอันดับรั้งท้ายของอาเซียน?


    ถาม...
    เดี๋ยวนี้กระแสที่ว่า เรียนไม่เก่งก็ประสบความสำเร็จได้มาแรงมาก หนูเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียน และมีผลการเรียนดี ไม่ชอบเลยเวลาได้ยินอะไรแบบนี้ ได้ยินแล้วอยากจะร้องไห้ เสียกำลังใจไงไม่รู้ ทำไงดีค่ะ



    ตอบ...
    การมองอะไรสักอย่าง เราคงต้องมองให้ครบทุกมิติ ไม่ใช่มองเพียงด้านเดียว

    และไม่ใช่ตามกระแส เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียน

    กับความสำเร็จ ลองคิดดูเล่นๆ นะครับว่าเราจะแบ่งความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้กี่แบบ

    1. เด็กเรียนเก่งและประสบความสำเร็จในชีวิต
    2. เด็กเรียนเก่งแต่ล้มเหลวในชีวิต
    3. เด็กเรียนไม่เก่งแต่ประสบความสำเร็จในชีวิต
    4. เด็กเรียนไม่เก่งและล้มเหลวในชีวิต

    พี่อยากให้น้องลองดู ว่าข้อไหนมีมากที่สุด ส่วนตัวพี่เห็นว่าที่มีมากที่สุดก็คือ ข้อ

    1 กับ ข้อ 4 ส่วนของ 2 กับ ข้อ 3 ถึงจะมีอยู่บ้างแต่ก็หายากเต็มที ในโลกแห่งการโฆษณาทุกวันนี้ อะไรก็ตามที่แตกต่าง มีความขัดแย้งในตัวเองสูง ย่อมมีจุดขายและความน่าสนใจ เมื่อมีประเด็นเกิดขึ้นจึงมักได้สิทธิ์ในการประโคมข่าวอยู่เสมอ ส่วนอะไรที่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมักไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคมเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เด็กที่เรียนเก่งแล้วประสบความสำเร็จก็เลยไม่ค่อยมีคนพูดถึง ส่วนเด็กที่เรียนไม่เก่งแล้วประสบความสำเร็จกลับมีการพูดถึงมากกว่า

    เพราะสร้างจุดขายได้ง่ายกว่า เป็นสิ่งที่เข้าตานักการตลาดมากกว่า คำพูดที่ว่า

    เรียนไม่เก่งก็ประสบความสำเร็จได้ จึงเป็นการพูดเพียงมุมเดียว และเป็นส่วนน้อย

    จึงไม่ควรหยิบมาเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิต เพราะถ้าเอากันจริงๆ

    แม้แต่คนที่พูดเอง ถ้ามีลูกก็ยังอยากให้ลูกของตัวเองเป็นเด็กเรียนเก่งกันทั้งนั้น

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่จึงอยากให้น้องมีกำลังใจและตั้งใจเรียนต่อไป ขอให้น้องเชื่อ

    ในสิ่งดีๆ ที่ตนเองกำลังทำอยู่ แถวบ้านพี่มีเด็กที่ไม่สนใจเรียนติดยาเต็มไปหมด

    ส่วนเพื่อนพี่ที่เรียนเก่งทุกวันนี้ก็ทำงานดีๆ กันทั้งนั้น สำหรับคนที่เรียนไม่เก่งแต่

    ชีวิตสำเร็จ เท่าที่เห็นก็มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ วันนี้เป็นนักเรียนก็ตั้งใจเรียนหนังสือไป

    รับผิดชอบอะไรอยู่ก็ทำให้ดีที่สุด

    ทำให้ดีที่สุดในวันนี้ ทำดีที่สุดในทุกๆวัน

    ความสำเร็จที่มุ่งหวังก็จะเป็นของเราอย่างแน่นอน

    นักเรียน.jpg

    ข้อคิดดีๆ จากคุณพศิน อินทรวงค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2013
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จากทั้ง4ข้อ เราก็ต้องเข้าใจว่า แท้จริงแล้วควรฝึกหาวิธีคิดที่ดีที่ถูกต้องก่อนว่า การประสบความสำเร็จต้องอาศัยเหตุปัจจัยอะไร คุณลองไปsearchหาดูครับ

    1 ต้องมี IQ สูง
    2 ต้องมี EQ สูง
    3 ต้องมีคุณธรรม
    4 ต้องมีคุณวุฒิ
    5 ต้องมีภาวนะผู้นำสูง
    6 ต้องมีอื่นๆ อีกหลายๆข้อ

    การเรียนเก่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญ แต่ก็ต้องทำเหตุปัจจัยอื่นๆให้สำเร็จด้วย
    ดังนั้นจึงต้องพิจารณาหลายๆอย่าง

    อีกอย่างที่สำคัญมาก คนเราให้คำนิยามเรื่องการประสพความสำเร็จ ไว้อย่างไร อาจแตกต่างกัน ตามวัตถุประสงค์หรือการตั้งเป้าหมาย ดังนั้นจึงต้องทราบกรอบขอบเขตที่แน่ชัดให้ได้ก่อน

    ชีวิตคนเราไม่มีใครที่จะประสพความสำเร็จทุกอย่าง ในชีวิต เพราะคนเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ดีแบบจับปลาหลายมือได้ ดังนั้น บางเรื่องอาจสำเร็จ บางเรื่องก็ไม่สำเร็จ แต่เราก็ควรรู้ว่า ควรจัดการอย่างไร ควรก้าวเดินไปอย่างไร

    สำหรับผม ความสำเร็จในชีวิต จึงไม่ได้คาดหวังเรื่อง ครอบครัว ที่ดีเยี่ยม เรื่องการงานที่ดีเยี่ยม แต่ปราถนาแค่เรื่องการ อบรมจิตพัตนาจิตตนที่ดีเยี่ยม เป็นผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม และบรรลุธรรมขั้นสูง

    มรดกที่จะมอบให้ลูกหลานครอบครัวและชนรุ่นหลังจึงไม่มีอะไร นอกจาก แนวคิดปรัชญาคำสอนคำแนะนำ เพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีงาม วิธีคิดเพื่อความเป็นอริยะชน วิธีคิดเพื่อการเป็นมหาบุรุษ วิธีคิดเพื่อการเป็นอัจฉริภาพบุคคล ผมสามารถบอกได้ว่า ตั้งแต่วัยเด็กขึ้นไปจนแก่ชรา คุณต้องการอะไรแล้วต้องทำอะไรบ้างต้องวางกรอบ วางแผนชีวิตของคุณอย่างไร สำหรับตัวผมไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น เพราะไม่ได้ยึดมั่นอะไร เพราะมุ่งปราถนาแค่การเป็นคนดี มีศีลธรรม มีกิเลสอันเบาบาง มีจิตใจดี จิตใจสูงห่างไกลกิเลส ก็เท่านั้น ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2013
  3. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เราต้องจำแนก ว่าลักษณะของเรียนเก่ง หรือไม่เก่งนั้นมาจากสาเหตุอะไร
    1.ฉลาดอยู่แล้ว เรียนรู้เร็ว ไม่ต้องขยันก็เก่ง
    2.ขยัน ทุ่ม เท แล้วก็เรียนเก่ง

    จริงๆแล้วผมเป็นคนที่เกลียดคนเรียนเก่งแบบข้อ 2 มาก เพราะอะไรนะเหรอ
    พวกคนกลุ่มนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตนั้น ไปกับการเรียน ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในชีวิตจริงเลย เพราะชีวิตจริงการลงมือ และประสบการณ์เท่านั้นจะทำให้ประสบความสำเร็จ ผมเคยเป็นคนเรียนเก่ง และทุกวันนี้ยังคงติดทักษะเดิมอยู่ คือ สอบอะไรก็ได้คะแนนดี เพราะมีทักษะในการทำข้อสอบ แต่ผมกลับมารู้สึกสูญเสียความรู้สึกบางอย่างไป นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ใช้ชีวิต และทำอะไรในช่วงเวลา และวัยนั้นไป เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมในช่วงเวลานั้นๆ อีกอย่างคนเรียนเก่งจริงๆมักจะเห็นแก่ตัวเองเป็นหลัก(เชื่อผมสิ) ตั้งตัวเองให้เป็นหลัก
    ช่วงวัยม.ปลาย แทนที่จะได้แตะบอล มีเพื่อนแท้ สนุกสนาน กลับต้องมาเตรียมเอนฯ สนใจแต่ตำราที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น

    ผมขอแย้งกับคำตอบข้างบนครับ
    ผมเจอคนข้อ 3 กับข้อ 2 เยอะมากกว่าข้อ 1 เสียอีก ทุกวันนี้ผมก็ทำงานร่วมคนที่เรียนไม่เก่งเลย แต่ขี้โม้เก่ง อะไรยากๆไม่เข้าใจเลย แต่ทำเป็นแกล้งเข้าใจ ไม่รู้เข้ามาทำงานได้งัย เหมือนบุญเค้าหนุนด้วยมั้ง

    แล้วผมอยากจะให้ยกเลิกได้แล้ว ประเทศไทย อะไรก็เกรดเฉลี่ย ผมเห็นคนประสบความสำเร็จสูงสุดส่วนใหญ่ ก็พวกเรียนห่วยๆทั้งนั้น พอประสบความสำเร็จมา เดี๋ยวก็มีมหาลัยต่างๆมาประเคนปริญญาให้เองแหละ ไม่ต้องกลัว

    ส่วนเรื่องการศึกษาไทยรั้งท้าย ผมยอมรับเต็มประตูครับ ว่าจริง เพราะสมัยผมเรียนผมเกลียดครูมาก เหมือนมันโง่ แล้วมาสอนเรา ไม่ต้องมาสอนวิชาการกับผมก็ได้ อ่านเองได้ แต่เค้ากลับไม่สอนประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาที่เค้าผ่านมา เอาตัวรอดอย่างไร แก้ไขปัญหายังงัย แบบนี้มากกว่าที่ผมอยากได้
     
  4. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946


    เห็นด้วยกับท่าน tjs ทุกประการค่ะ

    แต่จริงๆ กระทู้นี้ไม่ได้บอกว่าคนเรียนเก่งคือคนที่ประสบความสำเร็จ

    ที่มาของกระทู้นี้เกิดเนื่องจาก ได้ยินหลายๆ คนมักเอาคำกล่าวนี้ไปอ้าง

    ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการเรียนหรือการศึกษา แต่รวมถึงการทำงานด้วย

    โดยที่คนที่หลายคนที่เอาไปอ้างก็ไม่ได้เข้าใจและนำเอาไปใช้แบบผิดๆ

    เช่นว่า นักเรียนไม่ยอมอ่านหนังสือ ไม่ยอมทำการบ้าน หรือคนทำงานก็มักจะ

    ปฏิเสธความรับผิดชอบตามหน้าที่ แต่อาศัยการใช้เส้นสายหรือวิธีลัดอื่นๆ ใน

    ทางมิชอบ เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จในการทำงาน มันเลยทำให้เกิด

    กรณีว่า คนขยันคือคนโง่ คนทำงาน คนมีความรับผิดชอบคือคนโง่ เมื่อพูดกัน

    ปากต่อปากหลายๆ คนกระทำและส่งเสริมในวิธีคิดแบบนี้ มันก็เลยทำให้

    กระแสวิธีคิดแบบนี้แพร่หลายขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าวิธีคิดแบบนี้เป็นตัวบ่อน

    ทำลายสังคม ส่งเสริมให้คนขี้เกียจและมีนิสัยเอารัดเอาเปรียบทุจริตมิชอบ

    การคอรัปชั่นที่บ่อนทำลายประเทศไทยอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ตอนนี้ไม่ใช่

    เพราะส่วนหนึ่งคนไทยเรายกย่องเชิดชูวิธีคิดแบบนี้เหรอ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2013
  5. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    จริงๆแล้วผมเป็นคนที่เกลียดคนเรียนเก่งแบบข้อ 2 มาก เพราะอะไรนะเหรอ
    พวกคนกลุ่มนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตนั้น ไปกับการเรียน ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในชีวิตจริงเลย เพราะชีวิตจริงการลงมือ และประสบการณ์เท่านั้นจะทำให้ประสบความสำเร็จ ผมเคยเป็นคนเรียนเก่ง และทุกวันนี้ยังคงติดทักษะเดิมอยู่ คือ สอบอะไรก็ได้คะแนนดี เพราะมีทักษะในการทำข้อสอบ แต่ผมกลับมารู้สึกสูญเสียความรู้สึกบางอย่างไป นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ใช้ชีวิต และทำอะไรในช่วงเวลา และวัยนั้นไป เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมในช่วงเวลานั้นๆ อีกอย่างคนเรียนเก่งจริงๆมักจะเห็นแก่ตัวเองเป็นหลัก(เชื่อผมสิ) ตั้งตัวเองให้เป็นหลัก
    ช่วงวัยม.ปลาย แทนที่จะได้แตะบอล มีเพื่อนแท้ สนุกสนาน กลับต้องมาเตรียมเอนฯ สนใจแต่ตำราที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น

    - อืมก็น่าเห็นใจเค้านะ อันนั้นคงเพราะเค้าไม่ได้เก่งโดยกำเนิด เลยต้องใช้ความพยายามและเวลามากกว่าคนที่เกิดมาเก่งหรือฉลาดอยู่แล้ว ถึงอย่างไรในความสูญเสียข้าพเจ้าก็ว่าเราก็ได้เรียนรู้นะว่าการเรียนเก่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จกับชีวิตทุกเรื่อง



    ส่วนเรื่องการศึกษาไทยรั้งท้าย ผมยอมรับเต็มประตูครับ ว่าจริง เพราะสมัยผมเรียนผมเกลียดครูมาก เหมือนมันโง่ แล้วมาสอนเรา ไม่ต้องมาสอนวิชาการกับผมก็ได้ อ่านเองได้ แต่เค้ากลับไม่สอนประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาที่เค้าผ่านมา เอาตัวรอดอย่างไร แก้ไขปัญหายังงัย แบบนี้มากกว่าที่ผมอยากได้

    - ข้าพเจ้าว่าเรื่องของประสบการณ์ชีวิตน่าจะเรียนรู้กันนอกห้องเรียนมากกว่า การศึกษาตามระบบมันถูกจำกัดด้วยเวลาและอายุและสถานที่ แต่การเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตมันไม่จบไม่ว่าจะอายุขนาดไหน ที่ไหนและเมื่อไหร่
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สาธุครับ ดังนั้นจึงขอกล่าวเสริมอีกว่า
    เมื่อเราอยู่ในสังคมไม่ดี ก็ต้องรู้ว่าควรอยู่ในสังคมที่ไม่ดีอย่างไร และจงพยายามหาโอกาส หนีออกมา อย่าไปอยู่ร่วมกับคนไม่ดี

    ผมเข้าใจเรื่องคนที่ประสพความสำเร็จ ด้วยขั้นบันได ที่ชั่วช้า บางคนก็ใช้เงินโปรย บางคนก็ใช้ความสวยหล่อของตนเองเป็นสะพานไปสู่ความสำเร็จขาดศีลธรรม พึงเมตตาสงสารคนเหล่านี้ เพราะเต็มไปด้วยอวิชา คือกิเลสความโง่ทำให้เขาต้องทำบาปทำผิดครับ

    ขอให้เรามีสติรู้ทันไม่เป็นเครื่องมือ ใครหรือ กิเลสในใจตน ก็เป็นพอครับ สาธุ
     
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946

    สาธุค่ะ
    แต่บางที่สติมาไม่ทันน่ะซิ โอ๊ย...
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เรื่องนี้ถ้าลองพิจารณาดูจริงๆ การศึกษาอาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จมากนัก เพราะถ้าการศึกษาเกี่ยวข้องกับความสำเร็จทั้งหมด คนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ชั้นปีเดียวกัน ได้เกรดเท่ากันและทำงานในสายเดียวกันจะต้องประสบความสำเร็จเท่ากัน แต่ในความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น มันคงจะมีปัจจัยอื่นซักปัจจัยหนึ่งหรือหลายๆ ปัจจัยที่รวมกันแล้วมีผลมากกว่าการศึกษาเอง อย่างเช่นมนุษย์สัมพันธ์ ความอดทน ความรักในสายงานที่ทำหรืออะไรต่างๆ
     
  9. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    "กระแสเรียนไม่เก่งก็ประสบความสำเร็จได้..." น่าจะเป็นประโยคให้กำลังใจคนเรียนไม่เก่งให้พยายามทำให้ดีที่สุด ยังมีหนทางอื่นๆที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ

    แต่ถ้าให้เลือกได้ใครๆก็น่าจะอยากเรียนเก่งไว้ก่อน อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนคุณพ่อแม่ในวัยเรียน ทำให้พ่อแม่ชื่นใจ อุ่นใจ ลดความกังวลลง
    เคยเห็นพ่อแม่ที่เขายืนดูผลการเรียนของลูกไม่ค่อยดีแล้วทำหน้าสลด น่าสงสาร

    ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะพัฒนาไปทุกๆด้านให้สมดุลกัน แต่ถ้าเรื่องอื่นๆเท่ากัน
    ยังไงคนเรียนเก่งก็มีทางเลือกมากกว่า
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ข้อความบางข้อความ มีหลายมุมมอง ผู้ที่อ่านข้อความจึงพิจารณาให้ดี ว่าเจตนาของข้อความนั้น สื่อไปในทางใด หากมองในทางบวกคือให้กำลังใจคนที่เรียนไม่เก่ง นั่นเอง
    ส่วนคนที่เรียเก่งอยู่แล้ว คุณได้เปรียบ กว่าอยู่แล้วจึงไม่ควรคิดมากและควรศึกษาว่า นอกจากเราเรียนเก่งแล้ว เราต้องทำอะไร อีกให้พร้อม เพื่อความสำเร็จ ตรงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องคิดและทำต่อไปให้ดีครับ สาธุ
     
  11. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ส่วนเรื่องการศึกษาไทยรั้งท้าย ผมยอมรับเต็มประตูครับ ว่าจริง เพราะสมัยผมเรียนผมเกลียดครูมาก เหมือนมันโง่ แล้วมาสอนเรา ไม่ต้องมาสอนวิชาการกับผมก็ได้ อ่านเองได้ แต่เค้ากลับไม่สอนประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาที่เค้าผ่านมา เอาตัวรอดอย่างไร แก้ไขปัญหายังงัย แบบนี้มากกว่าที่ผมอยากได้

    - ข้าพเจ้าว่าเรื่องของประสบการณ์ชีวิตน่าจะเรียนรู้กันนอกห้องเรียนมากกว่า การศึกษาตามระบบมันถูกจำกัดด้วยเวลาและอายุและสถานที่ แต่การเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตมันไม่จบไม่ว่าจะอายุขนาดไหน ที่ไหนและเมื่อไหร่[/QUOTE]


    แสดงว่าคุณไม่มีประสบการณ์ ชีวิตไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยละสิ เลยไม่เข้าใจ นี่ขนาด Common sent นะเนี่ย คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้นอกห้องเรียนละครับ เมื่อ เวลาเรามี 24 ชั่วโมงต่อวัน นอน 8 ชั่วโมง กินข้าว ทำกิจกรรมส่วนตัว 4 ชั่วโมง เราเรียนในระบบ วันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน และยังเรียนพิเศษกันอีก 2 ชั่วโมงต่อวันใช้ไป เพราะเรื่องการเดินทาง คุณคิดว่าการเป็นนักดนตรีระดับโลก หรือนักกีฬาระดับโลก แม้แต่นักคิดระดับโลก ใช้เวลาแค่ 10 นาทีต่อวันเพื่อฝึกฝนเหรอ คิดให้ลึกๆครับ นี่มันแค่ สามัญสำนึกเบื้องต้น คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปทำแล็ป หรือทดลองส่วนตัวครับ เชื่อมั้ยบางคน หรือคุณเองอาจจะไม่เคยซักผ้ารีดผ้าด้วยตนเอง หรือล้างจาน ทำอาหารด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เพราะเวลาส่วนนี้มันถูกรวมไปใน กิจวัตรส่วนตัวอีก 4 ชั่วโมงนั่นแหละ คุณจะเจียดเวลานี้ แล้วใช้เวลาทานข้าว 3 มื้อ ไม่เกิน 1 ชั่วโมงงั้นหรือ แล้วเอา 3 ชั่วโมงที่เหลือ ไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียนว่างั้น หรือใช้เวลานอนที่มี 8 ชั่วโมงแล้วเอาไปแบ่งเป็นหาประสบการณ์ส่วนตัว 3 ชั่วโมงนอน 5 ชั่วโมง ผมขอบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่ามาก ถ้าผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนผมคงตอบคุณไม่ได้ เพราะผมเคยทำแบบนั้น สุขภาพคุณจะย่ำแย่ และถ้าเวลาคุณต้องออกไปอยู่คนเดียวที่ต่างจังหวัด ที่ไม่มีใครช่วยอะไรคุณ ผมเชื่อเลยว่าคุณอยู่ไม่รอดแน่นอน

    แต่ต้องขอบคุณปัญญาที่ผมได้ทีหลังว่า จงใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์ การเรียนเอาแค่ผ่าน แต่อย่างอื่นต้องขวัญขวายให้มาก ผมเรียนป.ตรี ผมทำงาน Part time ไปด้วยตอนเย็น ที่คลีนิคจิตแพทย์ ผมเรียนรู้และรับรู้อะไรมากมายจากการทำงาน ผมถึงเข้าใจว่า สังคมเราหลอกคนให้เรียนๆ แล้วไม่ดูตัวเอง จนถูกสังคมหลอก และมีปัญหามากมายที่ถูกปกปิด ผมจะยกตัวอย่างให้ ว่าชีวิตผมทำอะไรมาบ้าง

    1.สมัยตอนเรียนป.ตรี ปี 1 ผมคือเด็กที่เรียน และสอบได้คะแนนอันดับ 1 ทุกครั้ง ผมไม่ได้โง่น่ะ ขนาดสมัยนั้น แม่ผมประสบอุบัติเหตุ ทุกเย็นผมเข้าห้องเชียร์ไม่เคยหนี พอเลิก ก็สองทุ่มกว่า ผมก็ไปเฝ้าแม่ที่รพ.ตั้งแต่ 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน กลับมาก็ทวนหนังสือ ทำการบ้านต่อ หลับตี 3 ตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อไปซ้อมรักบี้ และคุณรู้มั้ยว่าสิ่งที่ผมได้คืออะไร เรียนดีแต่เพื่อนที่เรียนไม่มีคนจริงใจ เล่นรักบี้เราสามารถเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ เพราะความลำบาก เรามีแต่เพื่อนที่จริงใจ แล้วผมก็เริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะเพื่อนที่เล่นรักบี้ในทีมผม ไม่ได้มีใครเรียนเก่ง มีผมนี่แหละเก่งอยู่คนเดียว

    2. มาปีสองผมเปลี่ยนใหม่หมด ผมเห็นแล้วว่าชีวิตปี 1 แย่ยังงัย สุขภาพผมแย่ เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอ กลายเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเวลาหลับถูกเคลื่อนย้ายไปเป็นตี 3 ทำให้ระบบภายในร่างกายย่ำแย่ ทั้งระบบลำไส้ ระบบไหลเวียนโลหิด ผมเปลี่ยนใหม่หมด ผมได้ยินเรื่องวิญญาณผู้หญิงที่ถูกรถชนตาย เธอเป็นเด็กเรียน เรียนเก่งด้วย เพื่อนน้อย ทุกวันเธอจะมาอ่านหนังสือ ที่ห้อง อ่านหนังสือ ใต้หอทุกวัน และแล้วเธอก็ถูกรถชนตาย แต่ตัวเธอตาย เธอก็ยังไม่รู้ตัว เธอยังทำเหมือนเดิม ลงไปอ่านหนังสือ ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืนไปอาบน้ำ ทุกคนต่างกลัวเธอ คนห้องข้างๆเธอ หนีออกไปหมด นี่เธอยังไม่รู้ตัวเลยว่าเธอทำให้คนอื่นเดือดร้อน จนเค้าต้องมาทำพิธีทำบุญไปให้ แต่ด้วยความผิดพลาด เค้าได้ล้อมสายสิญจ์รอบหอพัก คงคิดว่าเป็นศิริมงคล แต่กลายเป็นว่าเธอรู้ตัวแล้วว่าตาย แต่ออกไม่ได้ เธอร้องไห้ สามวัน สามคืน จนคนในหอกลัวกันไปหมด แทบจะเป็นหอร้าง สุดท้ายเธอถึงบอกว่าเธอออกไม่ได้ คนถึงเอาสายสิญจ์ออก -- ผมฟังเรื่องนี้ผมก็กลับมาคิด เออเนอะ คงคิดว่าเรียนให้มากชีวิตจะประสบความสำเร็จ แต่เธอได้อะไร 4.00 ที่ได้มา 2 เทอม ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย ความดีไม่มี ความชั่วไม่มาก แต่ตายไปยังทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก ผมว่าตอนเป็นคนยังไม่มีประโยชน์ เป็นผียังมีโทษกับคนอื่นอีก

    ตอนปี 2 ผมใช้เวลาไปกับ... เช้าตื่นตี 5 มาฝึกโยคะ แล้วก็ไปสอนรักบี้น้องปี 1 กลับมาก็เรียน ตกเย็น สี่โมงครึ่งก็ไปว่ายน้ำ จันทร์ พุธ ศุกร์ เย็นหกโมงก็ไปเรียนไอคิโด อังคาร พฤหัส ก็ไปฝึกมวย ไม่งั้นก็ไปเล่นฟิตเนส ผมทำแบบนี้ และทุกวันยามเที่ยง - บ่ายโมงครึ่ง ผมก็ต้องไปซ้อมยิงปืน เพื่อเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ปิดเทอม ผมก็ไปค่ายสร้าง(ค่ายอาสา)บนดอย ค่ายสร้างนี่แหละที่สอนผมเยอะมาก ทั้งความยากลำบากในการเดินทาง ความอดทน การต้องเสียสละความสุขเพื่อทำให้คนอื่น ใช้ใจแลกอย่างเดียว ผมมีเพื่อเยอะแยะ แต่ผมก็ชอบอยู่คนเดียว ถ้าไม่ช่วยไปทำประโยชน์อะไร ผมมักปฎิเสธ แต่เกรดเฉลี่ยผมก็อยู่ 3.93 - 3.88

    ปี 3 ผมก็กลับมาคิดละ เอ เกรดเฉลี่ยไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย เรียนเก่งแต่ไม่มีประโยชน์นี่มันก็คือคนไร้ประโยชน์ ปี 3 ผมทำงานพิเศษด้วย ทำอยู่คลีินิคจิตแพทย์แห่งหนึ่ง ที่นั่นสอนให้ผมเห็นความจริงของโลก ที่ลวงตาเราไว้เยอะแยะ ซึ่งผมเริ่มเปลี่ยนความคิดทันที เทอมแรกยังโอเค ปิดเทอมผมก็ไปค่ายอาสา ที่อื่นอีก พอ เทอม 2 การฝึกหนัก ต้องซ้อมเกือบ 4 ชั่วโมงต่อวันในการเป็นนักกีฬายิงปืน มันทำให้ผมต้องห่างหายจากการเรียนไปบ้าง และนั่นทำให้ผมได้ F ตัวแรก และ W อีกเหมือนกัน ตอนนั้นผม Fail นะ แต่ผมก็มานั่งคิด เออ จะมีกี่คนที่ได้แบบผม A ยัน F เพื่อนๆทุกคนต่างตกตะลึง แต่ผมก็สบายใจ ยิ้มได้สบายใจ เพราะชีวิตผมในเวลานั้นใช้ได้ประโยชน์มาก

    ปี 4 ก็ทำคล้ายๆปี 3 เวลาเลือกลงวิชา ผมเลือกวิชาที่เป็นประโยชน์ กับตัวผมในอนาคต ถึงแม้คนอื่นจะว่ายาก และได้เกรดยาก ผมลงหมด ในขณะที่คนอื่นจะไปลงวิชาง่ายๆ เกรดดีๆ และผมก็เรียนเกินหน่วยกิตไปหลายตัว เกรดยังคงห่วยคล้ายๆปี 3 แต่ผมก็สบายใจ และผมก็ต้องเป้อไปอีก 1 เทอม เนื่องจากการทำตัวจบของผม ถูกข้อหาจ้างทำมา มันดีเกินไป (มันเป็นกรรมของผมเอง ที่สมัยก่อนรับจ้างทำตัวจบให้คนอื่น พอมาทำของตนเอง มันก็เหมือนคนจ้างทำมา ก็แน่สิครับ ก็ผมเป็นคนรับจ้างทำมาก่อนนิ)

    ผมตกงานอยู่ 2 ปี กว่าในช่วง เศรษฐกิจตกต่ำ แต่ผมไม่เคยยอมแพ้ นี่แหละที่ผมได้ประสบการณ์จากนอกการเรียน เรานั่งรถเมล์ฟรีไปสมัครงาน เรานั่งรถไฟฟรีไปสอบ และก็สอบติดทุำกที่ แต่ด้วยเกรดรวมไม่เป็นที่น่าพอใจ เค้าก็ไม่รับ แต่คุณเชื่อมั้ย เมื่อเวลาผ่านมา ผมได้ทำงานที่ต่างจังหวัด ที่ซึ่งไกลแสนไกล ทำอะไรก็ต้องทำเองหมด ไม่มีร้านค้า ร้านอาหาร เปิดเกิน 1 ทุ่ม เช้าเกินไปก็ไม่มี ยกเว้นตลาด ไม่มีร้านรับจ้างรีดเสื้อผ้า สักเสื้อผ้า คุณต้องอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตอย่างกับ ตชด.สมัยก่อนเลย ผมก็ทำเอง อยู่รอดมาได้ แต่ก็ไม่ยอมออก ซะด้วย ซึ่งถ้าสมัยเรียนผมไม่เคยทำอะไรเลย ผมทนอยู่ไม่ได้หรอก ผมทน ทน และทน แม้จะถูกแรงกดดันจาก ภายนอก ผมคิดเสมอว่าผมอยู่ที่ไหน ผมต้องทำประโยชน์ให้มากที่สุด แรกๆมันก็เหมือนทั่วๆไปทำดีไม่ได้ดี อาจท้อ แต่หลังๆมา บุญที่เราทำเริ่มส่งผล เราเริ่มสบายเกินไป ทำอะไรก็ง่ายไปหมด จนผมเริ่มยากจะลาออกแล้วนิ ตอนนี้กำลังหาทางสมัครไปอยู่ 3 จว.ใต้อยู่ แต่ต่ำแหน่งไม่ยอมว่าง เพราะคนในพื้นที่อยู่เยอะ แปลกมั้ยคุณ คนอยากไปไม่ได้ไป เพราะกระแสกรรมมันไม่ตรงกัน

    ทุกวันนี้ผมประสบความสำเร็จมากมาย ถือว่าสบายกว่าคนอื่นอีก
    ทั้ง 1. การงาน
    2. การเงิน
    3. ครอบครัว
    4. สังคม เพื่อนฝูง
    5. ชื่อเสียง
    แต่ผมกลับรู้สึกว่าต้องระวังตัวให้มาก เพราะมันอาจจะล้มไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ผมเคยเจ็บมาก่อน ผมจะไม่ยอมกลับไปเจ็บอีก ตอนนี้ก็กำลังวางแผนให้เงินงอกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเงินมาก ก็ทำประโยชน์อะไรได้มาก .... แค่นี้แหละ
    ถ้าผมยังคงเป็นเด็กเรียนดี ทั่วไป ป่านนี้ผมทำอะไรล่ะ นอกจาก เป็นนักวิชาการที่ไร้ประโยชน์ และชอบเอาหน้า...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2013
  12. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    กระทู้นี้ คุณดอกบัวตอบโดนใจที่สุด 555

    ไม่ใช่แค่ คนเรียนเก่ง เท่านั้นที่เห็นแก่ตัว แม้แต่ รร. ก็ชอบเด็กเรียนเก่ง ใครเป็นตัวถ่วงก็จะบีบออกจาก รร. ด้วย เพราะทำให้ เกรด รร. ตกต่ำ แต่ตอนที่ สร้างเกรดให้ รร. กลับเห็นเรามีประโยชน์

    ประเทศไทย สร้างค่า นิยมใหม่น่าจะดี เพราะเรื่องแบบนี้ เป็นกันทั้งระบบ
    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ไม่ขอเอาแต่เรียนค่ะ

    จากเด็กห้องคิง
     

แชร์หน้านี้

Loading...