ติดตามสถานการณ์ "ซีเรีย" สงครามจะขยายขอบเขตหรือไม่???

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 28 สิงหาคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    อันนี้เห็นด้วยคะ เคยมีเพื่อนอายุแค่ 18 เป็นลูกครึ่งยิวผสม อิรักกับเยอรมัน เด็กเล็กเด็กน้อยก็โดนเกณฑ์ไปรบแล้ว เขาบอกดิฉันว่าที่ยิว โดนใครๆรักเกลียดเพราะพวกเขาเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโปรดปรานมากที่สุด แต่ทำพฤติกรรมไม่ดีจึงโดนลงโทษให้เจอสงครามอยู่ตลอดเวลา ส่วนการแตกแยกระหว่างอิสลามนั้น เคยมีเพื่อนของดิฉันเป็นเด็กผู้หญิงอิหร่าน ซึ่งเป็น ชิอะห์ เล่าว่า

    หลัง ศาสดานบี สิ้นชีพลง พวกเขาคิดว่าใครควรจะได้เป็นผู้นำต่อ ระหว่าง ท่านอาบูบัค ผู้นี้เป็น น้องชาย หรือ ลูกเขยไม่ทราบจำไม่ได้ กะ ท่าน อาลี เป็น ลูกเขยหรือน้องชาย จำไม่ได้ เกิดขัดแย้งกันขึ้นมา

    คือ ฝ่าย ท่าน อาบูบัค บอกว่า ทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน หรือ เป็นใคร ณ. เวลานั้นจะมีเงินหรือไม่ ถึงเวลาที่ต้องจ่ายซะกาซ (เงินบำรุงศาสนา) จำเป็นต้องจ่ายทันที ห้าม เบี้ยว, ในโกหร่านก็มีบันทึกไว้ ดิฉันจำไม่ได้แต่อ่านแล้วขำมาก พูดทำนองนี้คะว่า

    "เราจะบุก ไปที่เมืองของเขา, เราจะบุกไปที่หมู่บ้านของเขา, เราจะบุกไปที่อำเภอของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอลูกชายเขา, เราจะเอามีดจ่อคอลูกสาวเขา, เราจะเอามีด จ่อคอ คนของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอ ผู้ชายของเขา,เราจะเอามีดจ่อคอ ผู้หญิงของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอ บริวารของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอลุงของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอป้าของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอพ่อของเขา, เราจะเอามีดจ่อคอแม่ของเขา

    จนกว่าพวกเขาจะเอ่ยประโยคว่า ในนามของอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ายอมเป็นข้ารับใช้ของอัลลอฮ์ และจ่ายซะกาซเพื่อบำรุงศาสนาของอัลลอห์ เมื่อนั้น พวกเขาจึงจะเป็นมิตรกับเรา เราจะเอามีดออกจากคอ ลูกชายเขา, เราจะเอามีดออกจากคอ ลูกสาวเขา, เราจะเอามีดออกจากคอ คนของเขา, เราจะเอามีดออกจากคอ ผู้ชายของเขา, เราจะเอามีดออกจากคอ ผู้หญิงของเขา ,เราจะเอามีดออกจากคอ บริวารของเขา...... บลาห์ บลาห์ ฯลฯ "

    ( อ่านแล้วตลกมาก)


    ส่วนฝ่าย ท่าน อาลี หรือ ชิอะห์ นั้นแยกออกไปเพราะฝ่ายนี้บอกว่า ถ้า จนไม่มีเงิน อยู่ ถิ่นธุระกันดาร ก็ไม่ต้องจ่าย ซะกาซ ก็ได้ และนี้จึงเป็นที่มาว่า ทำไม ซุนหนี่กะชิอะห์ จึงไม่ถูกกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  2. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ด้วยความยินดีครับ ท่านใดมีข่าวสารจากแหล่งไหนที่ใดนำมาลงได้เลยครับ รวมทั้งบทวิเคราะห์จากบุคคลหรือสำนักต่างๆ
    สำหรับบทวิเคราะห์นั้น ถูกหรือผิดไม่ว่ากันเพราะเป็นแค่การวิเคราะห์และแสดงทัศนะของแต่ล่ะคน แต่ละสำนัก แต่ล่ะหน่วยงานครับ
     
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    มะกันส่งเรือพิฆาตลำที่ 5 ไปเมดิเตอร์เรเนียน ส่อบุกซีเรีย


    [​IMG]

    สหรัฐอเมริกาส่งเรือพิฆาตลำที่ 5 ไปประจำการยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว ขณะที่โอบามายังไม่ตัดสินใจเรื่องการโจมตีซีเรีย เนื่องจากหลักฐานยังไม่แน่น...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 30 ส.ค. ว่า สหรัฐอเมริกาส่งเรือพิฆาตลำที่ 5 ไปประจำการยังน่านน้ำทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว ขณะที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังหารือเรื่องการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรีย เพื่อลงโทษกรณีใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน

    แหล่งข่าวในกระทรวงกลาโหม เปิดเผยต่อสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อวันพฤหัสบดีว่า สหรัฐฯได้ส่งเรือพิฆาตขีปนาวุธ 'ยูเอสเอส สเตาท์' ไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก เพื่อเสริมกำลังให้กับเรือรบ 'ยูเอสเอส มาฮาน' โดยเรือรบทั้ง 2 ลำจะประจำการบริเวณนี้ไปอีกระยะหนึ่ง

    นอกจากเรือรบทั้ง 2 ลำแล้ว สหรัฐฯยังมีเรือพิฆาตประจำการในทะเลแห่งนี้อีก 3 ลำคือ 'ยูเอสเอส เรเมจ', 'ยูเอสเอส แบร์รี' และ 'ยูเอสเอส เกรฟลี' โดยทั้งหมดสามารถยิงจรวดร่วน 'โทมาฮอว์ก' ซึ่งคาดว่ามีลำละ 45 ลูก ไปยังเป้าหมายในซีเรียได้ทันที ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาออกคำสั่ง

    ก่อนหน้านี้ เรือพิฆาตที่ประจำการในน่านน้ำดังกล่าวมีเพียง 3 ลำ ภายใต้การควบคุมของกองเรือรบที่ 6 ก่อนที่จะมีการเสริมกำลังหลังจากซีเรียใช้อาวุธเคมีกับประชาชนเมื่อ 21 ส.ค. ข้ามเส้นแดงที่โอบามาขีดเอาไว้เมื่อต้นปี พร้อมคำขู่ว่า หากมีการใช้อาวุธเคมีจะต้องเตรียมรับผลร้ายที่ตามมา

    นอกจากนี้ สหรัฐยังมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 'ยูเอสเอส นิมิตซ์' และ 'ยูเอสเอส แฮร์รี เอส ทรูแมน' อยู่ในเขตของกองเรือรบที่ 5 ตั้งแต่ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย และทะเลอาราเบียน แต่เจ้าหน้าที่กรทรวงกลาโหมอีกคนเชื่อว่า ในตอนนี้ เรือทั้ง 2 ลำ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีซีเรีย

    เมื่อวันอังคาร ชัค ฮาเกล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า กองทัพพร้อมเปิดฉากโจมตีซีเรียทันทีที่ประธานาธิบดี โอบามาสั่ง อย่างไรก็ตาม โอบามายอมรับเมื่อวันพุธว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการบุกโจมตีซีเรีย เนื่องจากหลักฐานว่าใครเป็นผู้ใช้อาวุธเคมียังไม่แน่นหนาพอ.





    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  4. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    ข่าวเลื่อนโจมตีซีเรียผลักน้ำมันดิ่ง หุ้นมะกัน-ทองคำขึ้นหลังศก.สหรัฐฯแกร่งเกินคาด

    [​IMG]

    ราคาน้ำมันวานนี้(29) ขยับลงแรง นักลงทุนมองถึงความเป็นไปได้ที่ชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯจะเลื่อนใช้กำลังทหารกับซีเรียที่ถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน ส่วนวอลล์สตรีท ปิดบวก หลังเศรษฐกิจอเมริกาไตรมาส 2 แข็งแกร่งเกินคาด ปัจจัยนี้เองที่ฉัดให้ทองคำ ลงเล็กน้อย ด้วยความกังวลว่าวอชิงตันจะลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น

    สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 1.39 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.39 ดอลลาร์ ปิดที่ 115.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    บันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติระบุเมื่อวันพฤหัสบดี(29) ว่าคณะตรวจสอบเคมีของเขาจะรายงานผลตรวจสอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเรือนในซีเรียกลับมาในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่สหรัฐฯกับชาติพันธมิตรก็แสดงท่าทีว่าจะยังไม่ลงมือใช้กำลังทหารลงโทษดามัสกัสในทันที ปัจจัยนี้ช่วยคลายกังวลต่ออุปทานทางพลังงานของนักลงทุนได้อย่างมาก

    ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นสัปดาห์ ชาติตะวันตกมีท่าทีจะเข้าโจมตีทางอากาศต่อซีเรียในทันที ทว่าไม่กี่วั้นถัดมา พันธมิตรสหรัฐฯดูเหมือนไม่สู้เต็มใจดำเนินการใดๆ จนกว่าจะได้รับทราบผลตรวจสอบของสหประชาชาติเสียก่อน

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(29) ฟื้นตัวกลับขึ้นมาปิดในแดนบวก หลังรัฐบาลปรับเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 ขณะเดียวกันแนวโน้มการเลื่อนโจมตีซีเรีย ก็ช่วยผ่อนคลายความกังวลของนักลงทุน

    ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 16.44 จุด (0.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,840.95 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 3.21 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,638.17 จุด แนสแดคเพิ่มขึ้น 26.95 จุด (0.75 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,620.30 จุด

    กระทรวงพาณิชย์ของสหัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี(29) ปรับเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 เป็นร้อยละ 2.5 จากเดิมที่ประมาณการณ์ว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 1.7 จากแรงหนุนของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค หลังจากช่วงไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 1.1

    อย่างไรก็ตามข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดของสหรัฐฯ กลับฉุดให้ทองคำวานนี้(29) ขยับลงเล็กน้อย ด้วยกังวลกันว่าตัวเลขดังกล่าวจะผลักให้ธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) ลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างเร็วที่สุดในเดือนหน้านี้เลย ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 5.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,412.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  5. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ตะวันตกเจอ‘ตอ’ชะลอโจมตีซีเรีย ด้านรัสเซียก็ส่งเรือรบไปคอยคุมเชิง

    การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายตะวันตกเพื่อ “สั่งสอน” ซีเรียที่ถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีกับพลเรือนของตนเอง ปรากฏสัญญาณเครื่องบ่งชี้หลายประการในวันพฤหัสบดี (29ส.ค.)ว่า คงจะต้องชะลอออกไปอย่างน้อยอีกหลายๆ วัน ถึงแม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯออกโรงประกาศขึงขังว่าการโจมตีเล่นงานรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จะเป็น “การส่งสัญญาณอันแรงกล้า” ไม่ให้มีการกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้อีก แต่วงการข่าวกรองของแดนอินทรีเองกลับมีความเห็นกันว่าหลักฐานพิสูจน์ความผิดของอัสซาดยังไม่หนักแน่น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ก็เผชิญกับแรงต้านของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนต้องรับปากว่าจะไม่สั่งโจมตีซีเรียจนกว่าจะได้เห็นรายงานของคณะตรวจสอบของยูเอ็น โดยที่เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คีมุน ระบุว่ารายงานดังกล่าวคงจะออกมาในวันเสาร์(31) อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียก็กำลังส่งกองเรือรบไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนอังกฤษประกาศส่งเครื่องบินขับไล่ไปยังไซปรัส

    ประธานาธิบดีโอบามา ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์พีบีเอสของสหรัฐฯในวันพุธ (28 ส.ค.) โดยประกาศว่า สหรัฐฯได้ข้อสรุปแล้วว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้กระทำการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในบริเวณชานกรุงดามัสกัสเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และดังนั้นนานาชาติจึงต้องตอบโต้

    [​IMG]
    เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ “มอสควา” ซึ่งถือเป็น “เรือธง” ของกองทัพเรือทะเลดำของรัสเซีย และเป็น 1 ในกองเรือรบซึ่งหมีขาวกำลังถูกส่งไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภาพนี้ถ่ายในวันอังคาร (27) ที่ผ่านมา ขณะเรือรบลำนี้จอดอยู่ในเมืองท่าของเวเนซุเอลา

    เขาย้ำว่าไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้เกิดสงครามความขัดแย้งอันยาวนานและไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดเมื่อใดในซีเรีย แต่การใช้อาวุธเคมีของซีเรียนั้นไม่เพียงทำลายบรรทัดฐานระหว่างประเทศ หากยังคุกคาม “ผลประโยชน์แกนกลางของสหรัฐฯเอง” อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการส่งสัญญาณอันแรงกล้าว่าผู้ที่กระทำเช่นนี้จะต้องถูกเล่นงาน

    โอบามากล่าวเสริมด้วยว่ายังไม่ได้ตัดสินใจจะโจมตีซีเรียเมื่อใด นอกจากนั้นเขาก็มิได้แสดงหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่ารัฐบาลอัสซาดเป็นผู้ทำเรื่องนี้จริง ขณะที่สำนักข่าวเอพีรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายคนซึ่งระบุว่า ข้อมูลข่าวกรองที่อเมริกามีอยู่ยังไม่ได้ยืนยันหนักแน่นขนาดนั้น

    กระนั้น เจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวผู้หนึ่งเผยว่า คณะรัฐบาลจะบรรยายสรุปข้อมูลลับเกี่ยวกับการโจมตีด้วยอาวุธเคมีต่อสมาชิกรัฐสภาอาวุโสในวันพฤหัสบดี รวมทั้งจะเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้ส่วนที่ไม่เป็นความลับต่อสาธารณชนในสัปดาห์นี้

    [​IMG]
    ประชาชนชุมนุมคัดค้านการใช้กำลังทหารกับซีเรีย

    ส่วนที่ลอนดอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษมีกำหนดลงมติเกี่ยวกับการตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียในวันพฤหัสบดี ทว่า ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นายกรัฐมนตรี คาเมรอน ได้ถูกบีบจากสภาจนต้องล่าถอย โดยรับปากว่า จะไม่สั่งโจมตีซีเรียจนกว่าคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นจะเผยแพร่รายงาน

    ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ร่างญัตติที่อังกฤษเสนอในวันพุธ (28) ซึ่งมีเนื้อหาขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เห็นชอบ ในการใช้กำลังทหารตอบโต้ซีเรีย ปรากฏว่าได้ถูกรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกถาวรที่มีอำนาจวีโต้ของคณะมนตรี คัดค้านหนักตามที่คาดหมายกันไว้

    สำหรับเรื่องการทำงานของคณะตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นนั้น เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บัน คีมุน แถลงในวันพฤหัสบดีว่า คณะดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นภารกิจในวันศุกร์ และส่งรายงานให้ตนในวันเสาร์ และตนจะนำรายงานดังกล่าวไปแจกจ่ายแก่สมาชิกยูเอ็นทั้งหมด

    บันยังขอให้เหล่ามหาอำนาจร่วมมือหาทางคลี่คลายวิกฤตซีเรียอย่างสันติแทนการใช้มาตรการทางทหาร พร้อมยืนยันว่า ผู้ที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย จะต้องรับผิดชอบการกระทำนั้น

    ในวันเดียวกัน พันธมิตรของดามัสกัสทั้งรัสเซียและอิหร่านเรียงแถวเตือนไม่ให้ตะวันตกเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองในซีเรีย เนื่องจากจะทำให้ความขัดแย้งลุกลามภายในตะวันออกกลาง และบทบรรณาธิการของไชน่า เดลี่ของทางการจีนวิพากษ์ว่า อเมริกาและพันธมิตรตะวันตก “ทำตัวเป็นผู้พิพากษา คณะลูกขุน และเพชฌฆาต

    ในอีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ของรัสเซียรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวในกองทัพว่า รัสเซียส่งเรือลาดตระเวนติดอาวุธนำวิถี 1 ลำและเรือต่อต้านเรือดำนำอีก 1 ลำไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยคาดว่า จะถึงจุดหมายภายในไม่กี่วันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ “สถานการณ์ที่รู้กันดี” ซึ่งน่าจะหมายถึงความขัดแย้งในซีเรีย

    ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพรัสเซียได้ออกมาแถลงว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการสับเปลี่ยนกำลังตามปกติที่วางแผนไว้นานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับวิกฤตซีเรีย แต่ไม่ได้ระบุจำนวนหรือประเภทของเรือแต่อย่างใด

    ขณะที่มีรายงานว่ากองทัพอากาศอังกฤษได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ “ไต้ฝุ่น” จำนวน 6 ลำเข้าไปยังฐานอากาศอากาศของตนในประเทศไซปรัสแล้ว โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุเพียงว่า เพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์” ของประเทศ แต่ไม่ยอมตอบคำถามที่ว่า เตรียมใช้ไซปรัสซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งซีเรียราว 200 กิโลเมตรเป็นฐานสำหรับการโจมตีซีเรียใช่หรือไม่

    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  6. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ตึงเครียดหนัก! ปูตินสั่งส่งเรือรบรัสเซีย 2 ลำมุ่งหน้า “ชายฝั่งซีเรีย” คาดช่วยปกป้อง “รบ.อัสซาด” จากการโจมตีของตะวันตก

    [​IMG]
    วลาดิมีร์ ปูตินสั่งเคลื่อนเรือรบรัสเซียมุ่งหน้าชายฝั่งซีเรีย

    รัฐบาลรัสเซีย มหามิตรของซีเรีย ตัดสินใจส่งเรือรบ 2 ลำเข้าสู่น่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกแล้ว ส่งสัญญาณชัดพร้อมปกป้องซีเรียจากการรุกรานของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรตะวันตกที่เตรียมฉวยโอกาสโจมตีซีเรียโดยใช้เหตุผลว่า รัฐบาลซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนของตัวเอง

    รายงานของสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ในวันพฤหัสบดี (29) ระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สั่งการให้กองทัพแดนหมีขาวส่งเรือรบ 2 ลำมุ่งหน้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกแล้ว ในขณะที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตกกำลังเตรียมเปิดปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย หนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลาง

    รายงานของอินเตอร์แฟกซ์ซึ่งอ้างแหล่งข่าวในกองทัพรัสเซียระบุด้วยว่า ทางกองทัพได้รับคำสั่งให้ส่งเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ และเรือรบต่อต้านเรือดำน้ำเข้าไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก ไม่ไกลจากชายฝั่งของซีเรียแล้ว และคาดว่า เรือรบทั้งสองลำของรัสเซียจะเดินทางถึงพื้นที่เป้าหมายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

    อย่างไรก็ดี กองทัพเรือรัสเซียออกมาแถลงในเวลาต่อมาว่า การส่งเรือรบทั้งสองลำเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังทางเรือตามปกติเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในซีเรีย

    ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซีย มีขึ้นในจังหวะเวลาเดียวกับที่ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ โอลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส อดีตประเทศเมืองแม่ของซีเรียออกโรงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกต่อปัญหาซีเรีย โดยใช้ “สันติวิธี” และแนวทางทางการเมือง

    [​IMG]
    บาชาร์ อัล อัสซาด ผู้นำซีเรียกับสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย

    [​IMG]
    ฟรองซัวส์ โอลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศสเรียกร้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้สันติวิธีแก้ปัญหาซีเรีย

    ท่าทีของโอลลองด์ดูจะสวนทางกับสหรัฐฯ อังกฤษ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ ที่ต่างเตรียมเปิดการโจมตีต่อซีเรียในเร็ววัน โดยไม่รอฟังแม้กระทั่งผลการตรวจสอบของทีมผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่าพบข้อมูลที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลซีเรียนำอาวุธเคมีมาใช้เข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่

    ล่าสุดมีรายงานว่า สหรัฐฯและอังกฤษได้บีบให้องค์การสหประชาชาติสั่งถอนกำลังทีมตรวจสอบอาวุธเคมีที่นำโดย อาเก เซลล์สตรอม ผู้เชี่ยวชาญชาวสวีดิชออกจากซีเรียแล้ว ส่งผลให้ทีมตรวจสอบดังกล่าวซึ่งยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจในการค้นหาคำตอบในซีเรียต้องเร่งเดินทางกลับออกมาภายในช่วงเช้าวันเสาร์ (31) นี้

    โดย บัน คี มุน เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นชาวเกาหลีใต้ เผยที่กรุงเวียนนาของออสเตรีย โดยระบุว่า เขาได้หารือกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯแล้วในวันพุธ (28) เกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย ซึ่ง บัน ย้ำว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาปรารถนาจะให้ทีมตรวจสอบชุดดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ในซีเรียต่อไป แต่ปฏิเสธว่า การที่ทีมตรวจสอบฯต้องเร่งเดินทางออกจากซีเรียนั้นเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

    [​IMG]
    ชาติตะวันตกเตรียมใช้ฐานทัพของอังกฤษในไซปรัสเป็นฐานโจมตีซีเรีย

    ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่ากองทัพอากาศสหราชอาณาจักรได้ส่งเครื่องบินขับไล่ “Typhoon” จำนวน 6 ลำเข้ามายังฐานทัพอากาศ “อะโครติรี” บนเกาะไซปรัสแล้ว

    แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมเมืองผู้ดี ปฏิเสธว่า การส่งเครื่องบินขับไล่ดังกล่าวเข้ามายังไซปรัส เป็นเพียงการกระทำเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ” ในฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น โดยไม่ยอมตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า เตรียมใช้ไซปรัสที่อยู่ห่างจากชายฝั่งของซีเรียราว 200 กิโลเมตรเป็นฐานสำหรับการโจมตีซีเรียหรือไม่

    [​IMG]


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    สงครามซีเรียเป็นเหตุ!! “ชาวอิสราเอล” เรียงหน้าเข้าแถวรอรับ “หน้ากากกันแก๊สพิษ”แจกฟรี

    [​IMG]
    ชาวอิสราเอลนับพันยืนเรียงเข้าคิวสำหรับรอรับหน้ากากกันแก๊สพิษแจกฟรี หลังจากที่พวกเขาได้ลงทะเบียนสั่งทางโทรศัพท์ เป็นเพราะความกลัวชาติตะวันตกจะถล่มซีเรียด้วยอาวุธหนักเพื่อเป็นการตอบโต้ที่กองทัพของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดได้ใช้อาวุธเคมีโจมตีในสัปดาห์ที่ผ่านมา และผลของการที่ชาติตะวันตกสั่งสอนซีเรียนั้นอาจจะทำให้อิสราเอลต้องตกอยู่ในภาวะสงครามไปด้วย ในขณะที่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลต้องจ่ายเงินหาซื้อด้วยตนเอง

    ในขณะที่บรรดามหาอำนาจตะวันตกต่างพากันพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้กำลังทางทหารเข้าสั่งสอนซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีใกล้กับเมืองดามัสกัส ได้คร่าชีวิตประชาชนซีเรียที่บริสุทธิไปหลายร้อยรายในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    และเป็นที่คาดการว่า ทางกองกำลังนาโต้นั้นอาจใช้จรวดร่อน (Cruise missile)โจมตีซีเรีย จนทำให้ชาวอิสราเอลจำนวนมากต่างกลัวว่าประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียอาจจะใช้กำลังทางทหารกับอิสราเอลเป็นการข่มขู่ จนเป็นสาเหตุให้ประชาชนชาวยิวต่างหวาดผวา โดยเฉพาะทางสื่อของอิสราเอลที่ได้รายงานถึง คนในรัฐบาลซีเรียออกมาขู่ที่จะโจมตีอิสราเอลหากซีเรียถูกประเทศทางตะวันตกรวมหัวโจมตี ยิ่งทำให้เพิ่มความวิตกกังวลให้กับชาวยิวที่อยู่ในประเทศ และกองทัพอิสราเอลต้องอยู่ในสถานการณ์เตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา โดยทางกระทรวงกลาโหมอิสราเอลสั่งให้ไปรษณีย์อิสราเอลเป็นศูนย์กระจายหน้ากากกันแก๊สพิษให้กับประชาชนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในประเทศ ในขณะที่ชาวต่างชาตินั้นต้องเสียเงินจัดหาซื้อเอง ด้านอดีตปลัดกระทรงกลาโหมอิสราเอล กาบี โอเฟอร์ เผยผ่านรายการวิทยุว่า “ในขณะนี้หน้ากากกันแก๊สพิษไม่พอเพียงในอิสราเอล ชุดอุปกรณ์กันแก๊สพิษนี้เป็นหนึ่งในการเตรียมรับมือในภาวะสงครามของอิสราเอล และเป็นเพราะอยู่ในภาวะอาจเกิดสงคราม ชาวต่างชาติที่ต้องการหน้ากากกันแก๊สพิษนั้นนั้นต้องจัดหาด้วยตนเอง”

    “พวกเราอาศัยอยู่ในดินแดนที่บ้าคลั่ง มันเหมือนมีคนบ้าสักคนหนึ่งที่ได้กดปุ่มขึ้นมา และคุณไม่มีวันรู้เลย ทุกอย่างเข้าสู่กองเพลงในพริบตา” วิคเตอร์ บราคา วัย 72 ปี หนึ่งในชาวอิสราเอลที่รอเข้าคิวรอรับหน้ากากกันแก๊สพิษที่ศูนย์กระจายสินค้าในห้างแห่งหนึ่งที่กรุงเยรูซาเล็ม

    มายา อาวิสไฮ โฆษกของไปรษณีย์อิสราเอลที่ได้รับคำสั่งในการจัดส่งหน้ากากกันแก๊สพิษให้กับประชาชนชาวยิว กล่าวว่า ยอดการลงทะเบียนสั่งทางโทรศัพท์ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 4 เท่า กว่าในช่วงปกติ ใน 2 วันมานี้ “มีชาวอิสราเอลเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ไปยืนเข้าคิวรอรับสินค้าที่ศูนย์กระจายสินค้า เป็นภาวะที่ตรึงเครียดมาก” อาวิสไฮกล่าวเสริมต่อว่า "ได้เพิ่มเวลาให้บริการของจุดกระจายสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยเวลาทำการจะเริ่มตั้งแต่ 8โมงเช้าจนถึง 1 ทุ่มของทุกวัน โดยที่จะไม่เพิ่มจุดกระจายสินค้าให้มากขึ้นแต่อย่างใด"

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  8. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ทั่วตะวันออกกลางหวั่นผวา “ตะวันตก” จะโจมตีซีเรีย

    [​IMG]
    คณะผู้ตรวจสอบขององค์การสหประชาชาติ

    กระแสหวั่นวิตกกำลัแพร่กระจายไปในตะวันออกกลางเมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) ว่าสหรัฐฯ จะเข้าโจมตีซีเรียซึ่งถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมีทำร้ายพลเรือน ขณะที่ขาวซีเรียราว 6,000 คนพากันอพยพลี้ภัยเข้าเลบานอนภายในช่วง 24 ชั่วโมงและชาวอิสราเอลต่างกว้านซื้อหน้ากากกันแก๊สพิษเพื่อเตรียมตั้งรับสถานการณ์ที่ซีเรียอาจหันมาตอบโต้แก้เผ็ดเอากับดินแดนแห่งนี้

    บัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติออกมาวิงวอนขอเวลาเพิ่มเติมสำหรับการเจรจาด้านการทูต และสำหรับให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้น ทั้งนี้คณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งสวมเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกนิรภัย ยังคงเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะจากเหยื่อขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังหนึ่งในสถานที่ซึ่งถูกถล่มด้วยอาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    7 วันหลังจากอ้างกันว่ามีการใช้อาวุธเคมีแถบชานเมืองของกรุงดามัสกัส หลายบริเวณซึ่งกลุ่มกบฏยึดครองอยู่ กำลังมีแรงผลักดันทวีขึ้นที่จะให้กองทัพของชาติตะวันตกออกมาปฏิบัติการโจมตีระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาร์ อัล-อัสซาด แต่ในเวลาเดียวกัน รัสเซียและอิหร่านชาติพันธมิตรหลักของซีเรียก็ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภูมิภาคแถบนี้ หากมีการเข้าแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธขึ้นมาจริงๆ

    [​IMG]
    สภาพศพผู้เสียชาวซีเรียชีวิตจากเหตุโจมตีที่เมืองกูตา

    บรรดาผู้นำของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวโทษรัฐบาลอัสซาดว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ซึ่งองค์การแพทย์ไร้พรมแดนระบุว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 355 ราย ทำเนียบขาวแถลงว่ากำลังวางแผนที่จะตอบโต้ด้วยกำลังทหาร ขณะที่แสวงหาการสนับสนุนจากนานาชาติ

    อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังไม่ได้แสดงหลักฐานที่เป็นรูปธรรมซึ่งพิสูจน์ว่าระบอบการปกครองซีเรียมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุจู่โจมครั้งนี้ และคณะผู้ตรวจสอบของยูเอ็น ก็ยังไม่ได้กล่าวยืนยันข้อกล่าวหาเหล่านี้ แม้ว่าลักห์ดาร์ บราฮิมี ทูตยูเอ็น ประจำซีเรียจะกล่าวว่าพบหลักฐานที่ชี้ว่ามีการใช้ “วัสดุ” บางอย่างที่ฆ่าคนหลายร้อยก็ตาม

    ประธานาธิบดีบารัค โอบามากำลังประเมินวิธีการโต้ตอบแบบมีขอบเขต โดยมุ่งไปที่การลงโทษรัฐบาลซีเรียซึ่งละเมิดข้อตกลงนานาชาติด้วยการใช้อาวุธเคมี ทั้งนี้ทางการมะกันระบุว่า อะไรก็ตามที่สหรัฐฯ กระทำลงไปนั้น ไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะโค่นล้มระบอบการปกครองของอัสซาด หรือต้องการเปลี่ยนแปลงทิศทางของสงครามซีเรีย ซึ่งบัดนี้คร่าชีวิตคนไปแล้ว 100,000 ราย

    ขณะที่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษเร่งผลักดันให้มีการปฏิบัติทางทหาร เลขาธิการใหญ่ของสหประชาชาติก็ออกมาเรียกร้องให้ยับยั้งชั่งใจไว้ก่อนเพื่อให้เวลาคณะตรวจสอบของยูเอ็น ได้ดำเนินขั้นตอนตรวจสอบหาหลักฐานที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26) ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

    [​IMG]

    ทางด้านบาชาร์ จาฟารี เอกอัครราชทูตซีเรียประจำยูเอ็นแถลงว่า เขาได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งถึงบันเพื่อขอขยายเวลาให้คณะผู้ตรวจสอบได้ตรวจหาความจริงในเรื่องที่เขาระบุว่ามีการใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารรัฐบาลซีเรีย 3 ครั้งที่บริเวณชานเมืองกรุงดามัสกัส โดยเขาระบุว่าเหตุถล่มดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 22 24 และ 25 สิงหาคม และในเวลานี้มีทหารซีเรียหลายสิบคนกำลังเข้ารับการรักษาตัวเพราะสูดดมแก๊สพิษเข้าไป

    จาฟารียังได้กล่าวหาว่าการจู่โจมด้วยอาวุธเคมีที่เกิดขึ้นไม่ว่าครั้งไหนๆ ก็เป็นฝีมือของกลุ่มกบฏ พร้อมกับยืนยันว่า “รัฐบาลซีเรียเป็นผู้บริสุทธิ์”

    **ชาวซีเรียอพยพหลั่งไหลไปเลบานอน**

    มีชาวซีเรียอย่างน้อย 6,000 คนเดินทางข้ามด่านมัสนาเข้าไปในเลบานอนในช่วง 24 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึง 4,000 คนที่เข้าไปเมื่อวานนี้ (27) ทั้งนี้ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของเลบานอนที่หุบเขาเบกา ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดน โดยปกติแล้วจำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางเข้ามาในแต่ละวันคือ 500 ถึง 1,000 คน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสงคราม เจ้าหน้าที่ผู้ขอให้สงวนชื่อตามกฎชี้แจง

    อุม อะห์มัด ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางเข้าเลบานอนพร้อมกับลูกๆ ของเธอ 5 คนกล่าวว่าเธอกลัวว่าสหรัฐฯ จะโจมตีซีเรีย


    [​IMG]
    ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียพากันตะโกนสโลแกนต่อต้านประธานาธิบดีอัสซาด ในค่ายผู้ลี้ภัยที่จอร์แดน

    “เหตุรุนแรงและการต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศของเราตอนนี้ มันยังไม่เลวร้ายพออีกหรือ ตอนนี้สหรัฐฯ ถึงอยากระเบิดพวกเราไปด้วย” แม่วัย 45 ผู้นี้กล่าว โดยปฏิเสธที่จะแจ้งชื่อเต็มของเธอด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย.

    ชาวซีเรียเกือบ 2 ล้านคนได้อพยพออกจากประเทศแล้ว นับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011 และอีกหลายล้านคนที่ต้องพลัดถิ่นอยู่ภายในซีเรียเอง

    ทางด้านรัฐบาลอิสราเอลได้มีคำสั่งให้เรียกกำลังสำรอง “บางส่วน” เข้ารวมพลเพื่อเตรียมการป้องกันพลเรือน และให้หน่วยป้องกันภัยทางอากาศซึ่งอยู่ตามชายแดนเตรียมพร้อม ทั้งนี้ทางการอิสราเอลระบุว่า คาดหมายว่าจะมีกองทหารหลายร้อยคนเข้ามารวมพลครั้งนี้

    ขณะที่ทางการอิสราเอลเชื่อว่าโอกาสที่ซีเรียจะโจมตีประเทศของพวกเขามีน้อย แต่ก็มีความกังวลกันว่าซีเรียอาจตอบโต้การปฏิบัติทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ ด้วยการหันมาโจมตีรัฐยิว ชาติพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ

    ส่วนที่องค์การสหประชาชาติในนิวยอร์ก สมาชิกถาวร 5 ชาติของคณะมนตรีความไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องที่อังกฤษเสนอมติให้มีการอนุญาตให้ใช้กำลังทหารเล่นงานซีเรีย



    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  9. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    Focus : นักวิเคราะห์เชื่อตะวันตกจะโจมตี “ซีเรีย” แค่ในเชิงสัญลักษณ์-ไม่ถึงขั้นโค่น “อัสซาด”

    [​IMG]
    นักเคลื่อนไหวในสวีเดนถือหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ และภาพศพพลเรือนซีเรียที่เสียชีวิตจากการใช้อาวุธเคมี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    เอเอฟพี - นักวิเคราะห์ชี้แผนโจมตีซีเรียของชาติตะวันตกน่าจะเป็นเพียงมาตรการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กองทัพ, หน่วยข่าวกรอง และสถานที่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล แต่จะไม่รุนแรงถึงขั้นโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ลงได้

    มาตรการตอบโต้ทางทหารจะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลงโทษและป้องปรามประธานาธิบดี อัสซาด ไม่ให้แตะต้องอาวุธเคมี มากกว่าจะบั่นทอนแสนยานุภาพของกองทัพซีเรีย หรือช่วยให้กบฏกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจน

    เจฟฟรีย์ ไวท์ จากสถาบันวอชิงตันเพื่อการวิเคราะห์นโยบายตะวันออกใกล้ (Washington Institute for Near East Policy) ระบุว่า “เป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจจะเป็นศูนย์บัญชาการในกรุงดามัสกัส, ฐานทัพ หรือหน่วยสนับสนุนของกองกำลังติดอาวุธที่ 4 และกองกำลังรีพับลิกันการ์ด ซึ่งเป็นสองหน่วยงานหลักที่ปฏิบัติการทิ้งระเบิดโจมตีที่พักอาศัยของพลเรือน

    “กองกำลังนานาชาติอาจโจมตีหน่วยงานระดับสูงของกองทัพและหน่วยข่าวกรอง ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการปฏิบัติการทางทหารรอบๆ เมืองหลวงด้วย”

    กองกำลังรีพับลิกันการ์ด ซึ่งเป็นหน่วยรบที่เพียบพร้อมด้วยอาวุธอันทันสมัย และผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดีที่สุดของซีเรีย อยู่ภายใต้การบัญชาการของมาเฮอร์ อัล-อัสซาด น้องชายประธานาธิบดี โดยมีหน้าที่คุ้มกันเมืองหลวงดามัสกัสโดยเฉพาะ

    สหรัฐฯ และพันธมิตรเรียกร้องให้มีการส่งทหารเข้าตอบโต้อัสซาด หลังมีข่าวว่าทหารฝ่ายรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนไปนับพันศพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่หลายฝ่ายเตือนไม่ให้รัสเซียและอิหร่านซึ่งเป็นมิตรที่เหนียวแน่นของอัสซาดเข้าแทรกแซงเรื่องนี้

    ผู้สันทัดกรณีคาดหมายว่า สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอาจสั่งยิงขีปนาวุธแบบร่อนจากเรือดำน้ำ, เรือรบ หรือแม้กระทั่งเครื่องบินรบที่ประจำการอยู่นอกน่านฟ้าและน่านน้ำของซีเรีย

    พล.อ.แวงซองต์ เดสปอร์ตส์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมทหาร Ecole de Guerre ของฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า การโจมตีซึ่งจะมีขึ้น “คงเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการสู้รบทางทหารอย่างจริงจัง”

    “มันคือการตอบโต้เพื่อฟื้นความน่าเชื่อถือของโลกตะวันตก ซีเรียจะข้าม “เส้นแดง” ที่ โอบามา เคยประกาศไว้โดยที่ไม่ถูกตอบโต้เลยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสหรัฐฯเองก็จะเสียชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอิหร่านเข้ามาเกี่ยวด้วย”

    “แต่การตอบโต้จะเกินขอบเขตไปก็ไม่ได้ เพราะหากประธานาธิบดีอัสซาดเสียชีวิต หรือระบอบซีเรียล่มสลาย เหตุจลาจลและนองเลือดจะยิ่งลุกลามสู่ระดับชาติ ซึ่งจะถือเป็นความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ไม่ต่างจากกรณีของลิเบีย”

    เดสปอร์ตส์เห็นด้วยว่า การโจมตีน่าจะเกิดขึ้นในวงจำกัด และพุ่งเป้าไปยังสถานที่ซึ่งมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น สำนักงานรัฐบาล, ศูนย์บัญชาการกองทัพ, ฐานทัพอากาศ หรือแม้แต่ทำเนียบประธานาธิบดี แต่ต้องมั่นใจว่าอัสซาดไม่ได้อยู่ที่นั่น

    มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลจากแหล่งข่าวในรัฐบาลตะวันตกหลายชาติ ซึ่งบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า มาตรการตอบโต้ซีเรียจะเป็นไปอย่างจำกัดทั้งในด้านสถานที่และเวลา

    การโจมตีที่อาจมีขึ้นเร็วๆนี้คงไม่รุนแรงมากพอที่จะบั่นทอนแสนยานุภาพของกองทัพซีเรีย หรือช่วยให้กบฏเป็นฝ่ายได้เปรียบ แม้ตะวันตกจะเชื่อว่า ปฏิบัติการครั้งนี้น่าจะก่อความแตกแยกภายในรัฐบาล, กดดันให้ผู้นำระดับสูงแปรพักตร์จากอัสซาด หรือสร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายกบฏได้บ้างก็ตาม

    คริสโตเฟอร์ ฮาร์เมอร์ นักวิเคราะห์ด้านยุทธนาวีจากสถาบันเพื่อการศึกษาด้านสงคราม (Institute for the Study of War) ชี้ว่า จรวดโทมาฮอว์กไม่สามารถทำลายกองทัพหรือศักยภาพด้านอาวุธเคมีของซีเรียได้ “ทำได้เพียงขัดขวางปฏิบัติการของทหารซีเรียไว้ชั่วคราวเท่านั้น”

    “การเลือกโจมตีเป้าหมายในเชิงสัญลักษณ์เพื่อลงโทษอัสซาดจะแทบไม่มีผลอะไรเลยในด้านยุทธศาสตร์” ฮาร์เมอร์กล่าว

    สหรัฐฯ มีจรวดโทมาฮอว์กราว 200 ลูกติดตั้งอยู่บนเรือรบ 4 ลำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งฮารเมอร์ชี้ว่าเกินพอสำหรับปฏิบัติการโจมตีที่รุนแรงในระดับกลาง

    อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่เริ่มนับถอยหลังและเจตนารมณ์ชาติตะวันตกประกาศออกมาอย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าขีปนาวุธคงจะทำลายได้แค่เพียงอาคารเปล่าๆ ที่อัสซาดสั่งอพยพคนออกไปล่วงหน้าหลายวันแล้ว รวมถึงศูนย์บัญชาการและรันเวย์ที่ก็สามารถซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  10. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    ‘ยังไม่ชัวร์’ข่าวกรองที่มะกันมีอยู่ไม่อาจชี้ชัด‘อัสซาด’สั่งการโจมตีด้วย‘อาวุธเคมี’


    ข่าวกรองที่สหรัฐฯมีอยู่ยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย หรือกลุ่มคนสนิทวงในของเขานั้น มีความเกี่ยวข้องพัวพันอย่างชัดเจนกับการโจมตีด้วยอาวุธเคมีที่ทำให้มีผู้ถูกสังหารไปนับร้อยคนเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว พวกเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองของสหรัฐฯระบุ พร้อมกับเปิดเผยด้วยว่าจนถึงเวลานี้ยังคงมีคำถามว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุมอาวุธเคมีบางส่วนซึ่งซีเรียเก็บสะสมไว้ ตลอดจนอัสซาดเป็นผู้สั่งการโจมตีคราวนี้หรือเปล่า

    ประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้นประกาศในวันพุธ(28ส.ค.) ว่า รัฐบาลซีเรียคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมคราวนี้ ในขณะที่เขากำลังแผ้วถางทางสะดวกสำหรับการที่ฝ่ายอเมริกันจะ “สั่งสอน” ด้วยการเข้าโจมตีทางทหาร

    “เราได้ข้อสรุปแล้วว่าแท้ที่จริงรัฐบาลซีเรียนนั่นแหละที่เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้” โอบามากล่าวในการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์พีบีเอสของอเมริกา “และถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีความจำเป็นที่นานาชาติจะต้องดำเนินการตอบโต้”

    อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายใช้วลีว่า “มันยังไม่ใช่สแลมดั๊งก์หรอก” ในการกล่าวถึงข่าวกรองของอเมริกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ วลีดังกล่าวคือการย้อนรอยคำพูดของ จอร์จ เทเน็ต ผู้อำนวยการซีไอเอในเวลานั้น ซึ่งได้ออกมายืนกรานในปี 2002 ว่า ข่าวกรองของสหรัฐฯซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิรักครอบครองอานุภาพทำล้ายร้ายแรงนั้น เป็นเรื่องแน่นอนชัดเจนระดับ “สแลมดั๊งก์” แล้วต่อมาข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวกรองของสหรัฐฯในเรื่องนี้ผิดพลาด

    ทั้งนี้ สแลมดั๊งก์ เป็นศัพท์ในวงการบาสเกตบอล ซึ่งหมายถึงการกระโดดเอาลูกบอลยัดลงห่วงอย่างชนิดมั่นใจได้ว่าต้องได้คะแนนอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    บารัค โอบามา ประนาธิบดีสหรัฐฯต้องขบคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจใดๆต่อวิกฤตซีเรีย

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายรวมทั้งเหล่าผู้ช่วยสมาชิกรัฐสภาอเมริกันเปิดเผยว่า สำนักงานผู้อำนวยการฝ่ายข่าวกรองแห่งชาติ กำลังจัดทำรายงานประเมินข่าวกรองฉบับหนึ่ง ซึ่งวาดภาพให้เห็นว่า แทบจะเป็นเรื่องแน่นอนทีเดียวที่กองกำลังของอัสซาดคือผู้รับผิดชอบการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในวันที่ 21 สิงหาคม ขณะเดียวกับที่สรุปถึงสิ่งที่ยังเป็นช่องโหว่ต่างๆ ในภาพที่รวบรวมสร้างขึ้นได้จากข่าวกรองของสหรัฐฯ ทั้งนี้คณะรัฐบาลโอบามากำลังจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปสรุปให้พวกคณะกรรมาธิการของรัฐสภาชุดที่เกี่ยวข้องได้รับทราบในเย็นวันพฤหัสบดี (29)

    เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯรายหนึ่งผู้ซึ่งได้อ่านรายงานประเมินข่าวกรองฉบับดังกล่าว บอกกับเอพีในวันพฤหัสบดีว่า ถึงแม้มีคำเตือนให้พิจารณาด้วยความระมัดระวังอยู่ในหลายๆ จุด แต่รายงานก็ประเมิน “ด้วยความมั่นใจอย่างสูง” ว่า ระบอบปกครองอัสซาดเป็นผู้รับผิดชอบต่อการยิงจรวดหลายลูกในวันที่ 21 สิงหาคมซึ่งตกใส่พื้นที่ชานเมืองด้านตะวันออกและด้านใต้ของกรุงดามัสกัสที่ทางฝ่ายกบฎซีเรียยึดครองอยู่ โดยที่จรวดเหล่านี้บรรจุไว้ด้วยอาวุธเคมี

    อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง ภาพอันซับซ้อนจากการประเมินข่าวกรองที่สหรัฐฯได้รับมาเช่นนี้ กำลังก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับวิธีที่ทำเนียบขาวเตรียมจะใช้เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีคราวนี้ ทั้งนี้พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันหลายรายได้กล่าวในวันพุธว่า ไม่ว่าจะมีมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกมาหรือไม่ ตลอดจนไม่ว่าจะมีประเทศพันธมิตรเอาด้วยมากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่สหรัฐฯจะเดินหน้าโจมตีตามแผนการของตนต่อไปอย่างแน่นอน

    พวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯบอกว่า พวกเขาไม่สามารถชี้ลงไปให้ชัดเจนแน่นอนว่าซัปพลายอาวุธเคมีของอัสซาดนั้นเก็บเอาไว้ที่ไหนบ้าง แถมยังมีความเป็นไปได้ที่อัสซาดจะเคลื่อนย้ายซัปพลายเหล่านี้ไปที่อื่นแล้วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อไม่มีความแน่นอนเช่นนี้จึงหมายความว่าการโจมตีของสหรัฐฯซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นระดมการยิงจรวดร่อนเป็นชุดใหญ่ ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะทำให้โครงสร้างทางทหารของอัสซาดมีอันพิกลพิการไปนั้น เอาเข้าจริงแล้วจรวดร่อนเหล่านี้อาจจะไปตกใส่ซัปพลายอาวุธเคมีที่เพิ่งถูกเปลี่ยนที่ซ่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการโจมตีของสหรัฐฯก็จะไม่ต่างอะไรกับการโจมตีด้วยอาวุธเคมีซึ่งจะมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก

    [​IMG]
    เรือ ยูเอสเอส สเตาท์ (USS Stout) ซึ่งเป็นเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ถูกส่งไปประจำยังด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เตรียมพร้อมในความเป็นไปได้ที่จะโจมตี

    เจ้าหน้าที่อาวุโสทางด้านข่าวกรองของสหรัฐฯรายหนึ่ง ตลอดจนเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอื่นๆ อีก 3 ราย ซึ่งได้รับฟังการบรรยายสรุปด้านข่าวกรองที่มีการรายงานต่อทำเนียบขาว เปิดเผยว่า จากการที่แนวรบในซีเรียมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดในสงครามกลางเมืองซึ่งดำเนินมา 2 ปีครึ่งแล้ว บวกกับข่าวกรองที่ออกมาจากซีเรียก็ไม่ค่อยมีความชัดเจน ทำให้ในช่วงเวลา 6 เดือนหลังมานี้ พวกสายลับทั้งของสหรัฐฯและของพันธมิตรอื่นๆ อยู่ในภาวะหลงทางไม่สามารถระบุได้ว่า บางส่วนของซัปพลายอาวุธเคมีของซีเรียนั้น ใครกันแน่เป็นผู้ควบคุมอยู่

    ภาพถ่ายดาวเทียมของสหรัฐฯ สามารถจับภาพทหารซีเรียขับรถบรรทุกเข้าไปในบริเวณซึ่งเคยทราบกันว่าเป็นพื้นที่เก็บอาวุธเคมี จากนั้นก็ได้เคลื่อนย้ายวัสดุบางอย่างออกไป ทว่าพวกนักวิเคราะห์อเมริกันไม่สามารถติดตามระบุได้อย่างแน่นอนว่าสิ่งที่ถูกขนย้ายออกไปนั้นคืออะไร และในบางกรณี กระทั่งไม่สามารถบอกได้ด้วยว่ามันถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้ที่ใหม่ที่ไหน

    นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายยอมรับว่า หลักฐานชิ้นสำคัญที่เป็นการดักฟังเสียงการติดต่อสื่อสารของพวกนายทหารซีเรียซึ่งกำลังพูดกันเรื่องการโจมตีด้วยอาวุธเคมีนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็เป็นการติดต่อสื่อสารกันของพวกนายทหารระดับล่าง โดยที่ไม่มีหลักฐานโดยตรงใดๆ ที่สามารถสาวย้อนผูกโยงการโจมตีเข้านี้เข้ากับพวกบุคคลวงในของอัสซาด หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูงของซีเรียแม้สักรายเดียว

    [​IMG]
    รถถังของกองทัพรัฐบาลซีเรียที่ถูกสงสัยว่าใช้อาวุธเคมี

    ดังนั้น ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี แถลงเมื่อวันจันทร์ (26ส.ค.)ว่า ความเชื่อมโยงระหว่างการโจมตีที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลอัสซาดนั้นมีความหนักแน่นอย่างชนิด “ปฏิเสธไม่ได้” แต่พวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐฯเวลานี้กลับไม่ได้มีความมั่นอกมั่นใจว่าการโจมตีที่สงสัยกันว่าเป็นการใช้อาวุธเคมีคราวนี้ กระทำไปตามคำสั่งของอัสซาด ตลอดจนไม่มีความมั่นอกมั่นใจอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่า เป็นการกระทำของกองกำลังฝ่ายรัฐบาล พวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้กล่าวต่อ

    ข้อกังขาที่ทำให้เกิดการเรียกร้องให้หาข่าวกรองเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเหตุผลความชอบธรรมของทำเนียบขาวในการโจมตีโครงสร้างทางทหารของซีเรียนี่เอง คือสาเหตุที่ทำให้มีการชะลอการเผยแพร่รายงานประเมินข่าวกรองของวงการข่าวกรองสหรัฐฯ หลังจากที่เคยคาดหมายกันว่าจะมีการนำเสนอกันได้เมื่อวันอังคาร (27ส.ค.)ที่ผ่านมา

    ทั้งซีไอเอ, กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ, และสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ต่างไม่ยอมพูดอะไร เมื่อสำนักข่าวเอพีขอให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวของตนชิ้นนี้ ทางด้านทำเนียบขาวก็มีท่าทีอย่างเดียวกัน



    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  11. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ซีเรียขู่ยุโรปเตรียมรับมือ "อาวุธเคมี"

    [​IMG]
    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลซีเรียออกมากล่าวเป็นนัยว่า หากสหรัฐและยุโรปยกทัพบุกเข้ากรุงดามัสกัส ผลกรรมแห่งการใช้อาวุธเคมีจะย้อนกลับไปสู่ชาวตะวันตก

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่านายไฟซัล มัคดาด รมช.กระทรวงการต่างประเทศซีเรีย แถลงยืนกรานปฏิเสธเรื่องการใช้อาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 ศพ พร้อมกับประณามสหรัฐ ฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรของวอชิงตันในยุโรป ว่าให้ความช่วยเหลือ “กลุ่มก่อการร้าย” ซึ่งในไม่ช้า อาวุธเคมีที่ตะวันตกใช้ทำร้ายชาวซีเรียจะย้อนกลับไปทำลายชาวยุโรปบ้าง หากกองทัพพันธมิตรนำโดยสหรัฐตัดสินใจส่งกำลังทหารเข้าแทรกแซงกิจการภายในของซีเรีย

    ขณะที่นายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) กล่าวว่าได้มีโอกาสสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย ซึ่งตนได้ขอเวลาให้ทีมงานของยูเอ็นปฏิบัติหน้าที่จนเสร็จสิ้นเสียก่อน ทั้งนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีของยูเอ็นทั้งหมด มีกำหนดเดินทางออกจากซีเรียในช่วงเช้าวันเสาร์นี้ ตามเวลาท้องถิ่น

    ที่มา ซีเรียขู่ยุโรปเตรียมรับมือ "อาวุธเคมี" | เดลินิวส์
     
  12. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    รัฐสภาอังกฤษมีมติเสียงข้างมากค้านรัฐบาลโจมตีซีเรีย


    [​IMG]
    สถานการณ์การเตรียมความพร้อมในการโจมตีซีเรีย กลับพลิกผัน เมื่อรัฐสภาอังกฤษลงมติด้วยเสียงข้างมาก คัดค้านการใช้กำลังทหารต่อซีเรีย ทำให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีคาเมรอน ต้องยุติความเกี่ยวข้องกับการโจมตีที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ สหรัฐเอง ก็ยอมรับเมื่อวานนี้ ยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า อัสซาดสั่งใช้อาวุธเคมี

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ลงมติคัดค้านความเป็นไปได้ในการใช้กำลังโจมตีรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรีย เพื่อป้องกันการใช้อาวุธเคมี โดยรัฐบาลแพ้ญัตติด้วยคะแนน 285-272 เสียง ห่างกัน 13 เสียง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ระบุว่า ชัดเจนแล้วว่า รัฐสภาไม่ต้องการให้ดำเนินการดังกล่าว และรัฐบาลก็จะปฏิบัติตามนั้น ผลการลงมติดังกล่าว เป็นการปฏิเสธไม่ให้อังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโจมตีใด ๆ ที่นำโดยสหรัฐ ต่อรัฐบาลของนายอัสซาด

    ด้านนายฟิลิป ฮัมมอนด์ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ ก็ยืนยันว่า อังกฤษจะไม่เกี่ยวข้องในการใช้ปฏิบัติการทหารต่อรัฐบาลอัสซาด แต่บางทีอาจจะเดินหน้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เขาก็คาดว่า สหรัฐและประเทศอื่น ๆ จะยังคงตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธเคมีต่อไป แน่นอนว่า พวกเขาจะผิดหวังที่อังกฤษจะไม่ได้เข้าร่วม เขาก็ไม่ได้หวังว่า การไม่มีอังกฤษเข้าร่วมจะหยุดการดำเนินการใด

    นายฮัมมอนด์ กล่าวอีกว่า เขาและนายกรัฐมนตรีคาเมรอน รู้สึกผิดหวังกับผลการลงมติของรัฐสภา ซึ่งเขาบอกว่าจะทำลายความสัมพันธ์ที่พิเศษของอังกฤษกับสหรัฐ

    ด้านสหรัฐก็ยอมรับเมื่อวานนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานมัดแน่นพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ประธานาธิบดีอัสซาดเป็นคนสั่งโจมตีด้วยแก๊สพิษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และพันธมิตรบางประเทศก็เตือนว่า การปฏิบัติการทางทหารโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้าย ส่วนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติระดับสูงของประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีกำหนดประชุมกันเกี่ยวกับซีเรียในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น แต่การแทรกแซงทางทหารใด ๆ ต้องเลื่อนออกไปก่อน จนกว่าคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธยูเอ็น จะส่งรายงาน หลังเดินทางออกจากซีเรียในวันพรุ่งนี้



    ที่มา รัฐสภาอังกฤษมีมติเสียงข้างมากค้านรัฐบาลโจมตีซีเรีย | เดลินิวส์
     
  13. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    สหรัฐส่ง "สัญญาณ" พร้อมลุยเดี่ยวในซีเรีย


    [​IMG]
    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการสหรัฐเผย "แนวโน้ม" ที่วอชิงตันจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีซีเรียเพียงลำพัง หลังรัฐบาลอังกฤษสร้าง "เซอร์ไพรส์" ด้วยการพ่ายโหวตในสภาเรื่องการร่วมรบกับวอชิงตัน

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่ารัฐบาลสหรัฐส่ง "สัญญาณ" พร้อมเปิดฉากการโจมตีทางทหารต่อซีเรียเพียงลำพัง แม้อังกฤษจะพ่ายการลงมติขอความเห็นชอบจากสภาก็ตาม

    นางเคธลีน เฮย์เดน โฆษกหญิงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ แถลงว่า ทำเนียบขาวได้รับแจ้งเรื่องที่รัฐบาลอังกฤษเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การหยั่งเสียงในสภาล่าง ในญัตติเรื่องการส่งกำลังทหารสนับสนุนสหรัฐในการเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีซีเรียแล้ว อย่างไรก็ตาม วอชิงตันจะยังคงหารือกับนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในซีเรียต่อไป

    แต่กระนั้น หากมีความจำเป็นสหรัฐอาจเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อซีเรียภายใน "วงจำกัด" เนื่องจากวอชิงตันยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลดามัสกัสภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อสหรัฐด้วย ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะพิจารณาแนวทางที่ "ดีที่สุด" สำหรับสหรัฐโดยเร็วที่สุด

    ถ้อยแถลงของเฮย์เดนมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังสภาสามัญชนหรือสภาล่างอังกฤษมีมติเสียงข้างมาก 285 ต่อ 272 เสียง คัดค้านญัตติของคาเมรอน ที่เสนอเรื่องการร่วมใช้กำลังทหารกับสหรัฐในซีเรีย โดยที่ประชุมให้เหตุผลว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะ "เอาผิด" อัสซาด



    ที่มา สหรัฐส่ง "สัญญาณ" พร้อมลุยเดี่ยวในซีเรีย | เดลินิวส์
     
  14. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    "อัสซาด" ลั่นขอสู้ตายหากถูกสหรัฐโจมตี


    [​IMG]
    ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ประกาศกร้าวขอต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อปกป้องประเทศจากการ "รุกราน" ทางทหารของสหรัฐ

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ประกาศกร้าวขอต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อปกป้องประเทศจากการ "รุกราน" ทางทหารของสหรัฐ หลังวอชิงตันเผย "แนวโน้ม" เตรียมเปิดฉากเพียงลำพังมากขึ้นทุกขณะ และสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ยังคงไม่ได้ข้อสรุปใดในเรื่องซีเรีย

    แม้จะใช้เวลาแถลงเพียงไม่นาน แต่ผู้นำซีเรียย้ำจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีคร่าชีวิตประชาชนกว่า 1,300 ศพ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. และจะขอปกป้องแผ่นดินซีเรียจากการโจมตีทางทหารของสหรัฐอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม ดามัสกัสพร้อมรับมือ

    ด้านนายจอร์ช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงว่า แผนการโจมตีจะยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ในระหว่างที่คณะผู้ตรวจสอบของยูเอ็นยังคงอยู่ในซีเรีย และประเทศพันธมิตรก็นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในสภาของตัวเอง วอชิงตันก็จะยื่นญัตติเดียวกันนี้เข้าสู่สภาคองเกรสเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม หนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ คือการต้องปกป้องประชาชนจาก "ภัยคุกคาม" ทุกรูปแบบ ซึ่งการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรียถือเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

    ในเวลาเดียวกัน ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ประชุมพิจารณาคำร้องของอังกฤษในเรื่องการใช้ "มาตรการที่จำเป็น" เพื่อช่วยเหลือชาวซีเรีย และยุติวิกฤตสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานาน 29 เดือน ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 100,000 ศพ ทว่าการประชุม 45 นาทียังคงจบลงอย่างไร้ข้อสรุป




    ที่มา "อัสซาด" ลั่นขอสู้ตายหากถูกสหรัฐโจมตี | เดลินิวส์
     
  15. dol_by

    dol_by เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +430
    แล้วประเทศไทยมีการเตรียมแผนส่งคนไทยที่อาศัยในประเทศเสี่ยงกลับไทย รึยัง??????
    แผนๆๆๆๆ มีบ้างมั้ย
     
  16. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    UNESCOเตือนรบ.-กบฏซีเรียรักษามรดกทางวัฒนธรรม

    องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก กล่าวกระตุ้นให้รัฐบาลและกลุ่มกบฏซีเรีย รักษามรดกโลกอายุหลายพันปี ที่กำลังถูกทำให้ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กัน การขโมยและการขุดอย่างผิดกฎหมาย
    นางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก กล่าวว่า ขอกระตุ้นให้ทุกฝ่ายใช้มาตรการที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้มรดกโลกต้องเสียหายไปมากกว่านี้


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    มติสภาผู้ดี 285:272 ค้านแผนส่งทหารโจมตีซีเรีย


    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สภาอังกฤษ มีมติคัดค้านญัตติของนายรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ที่ขอให้มีการพิจารณาส่งทหารเข้าแทรกแซงซีเรีย จากเหตุการณ์ใช้อาวุธเคมีปราบปรามกลุ่มต่อต้าน 285 ต่อ 272 เสียง
    นายกรัฐมนตรีคาเมรอน กล่าวว่า สภาไม่ต้องการให้อังกฤษดำเนินการทางทหารต่อซีเรีย รัฐบาลจะปฏิบัติตามมติดังกล่าว
    ขณะที่นายฟิลิป ฮัมมอนด์ รัฐมนตรีกลาโหม กล่าวว่า แม้อังกฤษจะไม่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการทหาร แต่อาจจะเดินหน้าในรูปแบบอื่นแทน และเชื่อว่าชาติอื่นๆ ที่นำโดยสหรัฐฯ จะผิดหวังกับมติดังกล่าวของสภาอังกฤษ ซึ่งจะทำลายความสัมพันธ์ที่พิเศษของอังกฤษกับสหรัฐฯ ลงด้วย


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  18. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    30-08-2013
    "ฮาเกล" เผยสหรัฐยังต้องการเสียงสนับสนุนเรื่องภารกิจในซีเรีย


    [​IMG]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ว่านายชัค ฮาเกล รมว.กระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวระหว่างเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมร่วมกับสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ที่กรุงมะนิลา ยอมรับผลการหยั่งเสียงของสภาสามัญชน หรือสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดี 285 ต่อ 272 เสียง คัดค้านการเข้าร่วมของกองทัพในอังกฤษในปฏิบัติการโจมตีซีเรีย ฮาเกลกล่าวว่า วอชิงตันเคารพการตัดสินใจของรัฐบาลแต่ละประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องภายในที่บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว

    อย่างไรก็ตาม เขายังคงเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ จะยังคงหารือกับอังกฤษในเรื่องสถานการณ์ในซีเรียต่อไป เช่นเดียวกับพันธมิตรประเทศอื่น เพื่อหาทาง "ตอบโต้" การใช้อาวุธเคมี ที่โอบามาสรุปแล้วว่า เป็นฝีมือของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด

    ต่อข้อซักถามเกี่ยวกับแนวทางการรบของซีเรีย ฮาเกลกล่าวว่า ไม่มีใครสามารถประเมินได้ เนื่องจากสถานการณ์ภายในกรุงดามัสกัสตอนนี้ "เงียบ" มาก วอชิงตันอาศัยเพียงข้อมูลปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวกำลังหารือในเรื่องซีเรียกับสภาคองเกรสเช่นกัน

    แม้สถานการณ์โดยรวมยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่มีรายงานว่าเรือพิฆาต ยูเอสเอส สเตาท์ เดินทางไปร่วมเสริมกำลังกับเรือพิฆาตอีก 4 ลำ ที่ประจำการอยู่ก่อนหน้านี้ ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว


    ที่มา "ฮาเกล" เผยสหรัฐยังต้องการเสียงสนับสนุนเรื่องภารกิจในซีเรีย | เดลินิวส์
     
  19. ☻

    Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +68
    ฮิซบุลลอฮ์

    ฮิซบุลลอฮ์ (อังกฤษ: Hezbollah; อาหรับ: حزب الله‎ "พรรคแห่งอัลลอฮ์") สื่อเมืองไทยสะกด ฮิซบอลเลาะห์ หรือ ฮิซบอลลาห์ เป็นองค์กรและพรรคการเมืองของชาวมุสลิมชีอะฮ์ในเลบานอน ซึ่งมีกองทัพของตนเอง ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1982 อันเป็นปีที่อิสราเอลบุกรุกเลบานอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อขับไล่กองทัพอิสราเอลที่ยึดครองเลบานอน จนสามารถต่อสู้และขับไล่ทัพอิสราเอลออกจากเลบานอนได้ในปี ค.ศ. 2000 เลขาธิการใหญ่ของพรรคฮิซบุลลอฮ์คือ ซัยยิด ฮะซัน นัศรุลลอหฺ

    ประวัติ

    การก่อตั้งฮิซบุลลอฮ์ได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จในการปฏิวัติอิสลามของ อะยะตุลลอหฺ โคไมนี ผู้นำอิหร่านในสมัยนั้น โดยวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งก็เพื่อปกป้องอนาธิปไตยของมุสลิม และปกป้องมาตุภูมิเลบานอนให้พ้นจากการรุกรานของชาวอิสราเอล ฮิซบุลลอฮ์ก่อตั้งโดยกลุ่มอุละมาอ์ในพรรคอัลอะมัล ที่ได้แยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองต่างหาก พรรคอะมัลเป็นการเมืองของมุสลิมชีอะฮ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซีเรีย เมื่อพรรคฮิซบุลลอฮ์มีสมาชิกและฐานเสียงมากขึ้น ซีเรียก็ให้การสนับสนุนเทียบเท่ากับพรรคอัลอะมัล

    ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ฮิซบุลลอฮ์เป็นเพียงขบวนการใต้ดิน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1985 จึงมีการประกาศสถานภาพของกลุ่มอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน เนื่องจากพรรคฮิซบุลลอฮ์เน้นนโยบายอิสลามที่สนับสนุนความปรองดองระหว่างชาวเลบานอน เคารพสิทธิเสรีภาพของทุกศาสนาและลัทธิ และต่อสู้การรุกรานของอิสราเอล ฮิซบุลลอฮ์จึงเป็นที่ยอมรับของชาวเลบานอน

    ผู้ทีที่มีอิทธิพลต่ออุดมการณ์ของฮิซบุลลอฮ์คือ อายะตุลลอหฺ มุฮัมมัด ฮุเซน ฟัฎลุลลอหฺ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้นำ จนกระทั่งได้เริ่มมีการเลือกตั้งผู้นำในเวลาต่อมา เลขาธิการใหญ่ของพรรคคนแรก คือ เชค ศุบฮีย์ อัฏตุฟัยลีย์ (1989-1991) และ ซัยยิด อับบาส อัลมูสะวีย์ (1991-1992) ที่ถูกอิสราเอลลอบสังหาร

    การสนับสนุน

    สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลระบุว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงินและการเมือง รวมทั้งด้านอาวุธและการฝึกฝนจากอิหร่านและซีเรีย ซึ่งทางซีเรียเองก็ยอมรับว่าให้การสนับสนุนฮิซบุลลอฮ์จริงแต่ปฏิเสธเรื่องการส่งอาวุธให้

    พรรคฮิซบุลลอฮ์ได้รับการสนับสนุนจากชาวมุสลิมในเลบานอนเป็นอย่างดี ในเวลาปัจจุบันมีเก้าอี้ในรัฐสภาเลบานอน 23 ที่นั่ง จากทั้งหมด 128 ที่นั่ง ฮิซบุลลอฮ์มีนโยบายสาธารณะหลัก ๆ คือการสร้างโรงพยาบาล สร้างสถานศึกษา และให้บริการด้านสังคมอื่น ๆ

    ปฏิบัติการ

    ฮิซบุลลอฮ์ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลอิสราเอล ขึ้นบัญชีดำว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายไม่ต่างจากกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ แม้ว่าฮิซบุลลอฮ์จะมีสถานะอันชอบธรรมถึงขั้นสามารถส่งตัวแทนลงเลือกตั้ง และเข้าร่วมรัฐบาลเลบานอนได้ก็ตาม โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจับตัวประกันชาวอเมริกันหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ก็ตาม เช่นเดียวกับรัฐบาลอิสราเอลที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มกองกำลังดังกล่าวตลอดเวลา

    ผลงานชิ้นสำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์คือ การขับไล่อิสราเอลออกจากพื้นที่ทางตอนใต้ของเลบานอน เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2000 ซึ่งอิสราเอลยึดครองมาตั้งแต่การรุกรานครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1982 และทางสหประชาชาติก็ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นของเลบานอน

    ความบาดหมางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ยังไม่สิ้นสุด เพราะพรรคฮิซบุลลอฮ์ยังต่อสู้เพื่อให้อิสราเอลถอนทัพออกจาก 'ชีบาฟาร์ม' ซึ่งชาวเลบานอนได้เคยยื่นหลักฐานต่อสหประชาชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของเลบานอน ด้วยเหตุนี้ การประทะกันระหว่างกลุ่มฮิซบุลลอฮ์กับกองทัพอิสราเอลจึงเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ

    ในปี ค.ศ. 2004 กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้แลกเปลี่ยนนักโทษกับอิสราเอลหลังผ่านพ้นการเจรจาอันยาวนานถึง 3 ปี โดยอิสราเอลได้ปล่อยตัวนักโทษมากกว่า 400 คน และคืนศพของนักรบเลบานอน 59 ศพ เพื่อแลกกับนักธุรกิจชาวอิสราเอลที่ถูกลักพาตัวไป 1 คน และศพของทหารอิสราเอลอีก 3 ศพ ล่าสุด ชนวนเหตุที่ทำให้สถานการณ์ของทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มร้อนระอุขึ้นอีกครั้งก็คือ การที่กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้จับตัวทหารอิสราเอล 2 คน และสังหารทหารยิวอีก 8 คน เมื่อวันพุธที่ 12 ก.ค. 2006 หลังจากที่อิสราเอลได้จับกุมคณะรัฐมนตรีของปาเลสไตน์ ทำให้อิสราเอลถือเป็นข้ออ้างในการโจมตีเลบานอนเพื่อเป็นการตอบโต้ทันที แม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วอิสราเอลได้เตรียมตัวโจมตีก่อนหน้านั้นก็ตาม[ต้องการอ้างอิง]อิสราเอลได้ยกสามเหล่าทัพโจมตีเลบานอน เริ่มต้นด้วยการโจมตีท่าอากาศยานเบรุต และสถานีโทรทัศน์อัลมะนารของฮิซบุลลอฮ์

    ปัจจุบันนี้กองทัพของฮิซบุลลอฮ์มีศักยภาพเหนือกว่ากองทัพของประเทศเลบานอน

    ฮิซบุลลอฮ์ - วิกิพีเดีย
     
  20. ☻

    Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +68
    [​IMG]

    อายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี (เปอร์เซีย : روح الله موسوی خمینی (วิธีใช้·ข้อมูล) ; อังกฤษ : Ruhollah Khomeini) (24 กันยายน ค.ศ. 1902 - 3 มิถุนายน ค.ศ. 1989) อดีตผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ผู้ทำการล้มล้างอำนาจของพระเจ้าชาร์มูฮัมหมัด เรซา ปาฮ์เลวี ของอิหร่านซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2523 ประกาศการปฏิวัติอิสลาม และประกาศสงครามอิหร่าน-อิรัก

    อายะตุลลอฮ์ โคมัยนี - วิกิพีเดีย


    [​IMG]

    พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (เปอร์เซีย : محمدرضا شاه پهلوی, พระราชสมภพ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1919 ณ เตหะราน ประเทศอิหร่าน – สวรรคต 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980 ณ ไคโร ประเทศอียิปต์) พระองค์ทรงเป็นชาห์แห่งอิหร่านซึ่งเป็นชาห์องค์สุดท้ายที่ปกครองอิหร่าน โดยพระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ปาห์ลาวีซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองประเทศอิหร่านก่อนการปฏิวัติอิสลาม

    พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ได้รับการขนานพระนามเป็น ชาฮันชาห์ (Shahanshah ราชันย์แห่งราชา[1] เทียบเท่าตำแหน่งจักรพรรดิ), อัรยาเมหร์ (Aryamehr แสงแห่งอารยัน) และ บอซอร์ก อาร์เตสตาราน (Bozorg Arteshtārān จอมทัพ[2], เปอร์เซีย:بزرگ ارتشتاران)

    จุดจบของระบอบชาห์
    การประท้วงต่อต้านชาห์


    แต่การถูกเนรเทศไปอยู่อิรักครั้งนี้ แต่ก็ไม่ทำให้ประชาชนลืมบุรุษที่มีนามว่า อยาตุลเลาะห์ โคมัยนีได้เลย เขายังติดต่อกับนักศึกษาประชาชนอยู่ตลอด และมีการให้ความคิดเห็นต่อต้านการทำงานของรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง การเมืองในอิหร่านเองก็ยังไม่นิ่ง นักศึกษาประชาชนยังชุมนุมระลึกถึงเหตุการณ์ 15 กอร์ดัด 1342 ทุกปี[8] จนในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1978 หนังสือพิมพ์อิตติลาอัต (Ittila’at) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กระบอกเสียงของรัฐบาล ประณามโคมัยนีว่า เป็นผู้ทรยศต่อชาติ เรื่องนี้ทำให้วันต่อมานักศึกษาและประชาชนในเมืองกุม (Qom) ซึ่งเป็นเมืองที่โคมัยนีเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง[8] การปราบปรามการประท้วงนี้ทำให้สูญเสียชีวิตมากมายอีกครั้ง กลายเป็นแรงกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยมีเป้าหมายเพื่อขับไล่ชาห์และราชวงศ์ปาห์ลาวีออกจากราชบัลลังก์ และให้สถาปนารัฐบาลอิสลามขึ้นแทน[8]

    แม้ว่าโครงการของชาห์จะได้รับการยอมรับในระยะแรก ซึ่งทำให้อิหร่านเจริญขึ้น แต่ก็ทำให้ประชาชนไม่พอใจ และลุกฮือต่อต้านชาห์[9] เนื่องจากผลจากการปฏิวัติขาว คือ คนในราชวงศ์และข้าราชบริพารใกล้ชิดได้รับที่ดินมหาศาล การมาของ บาร์ ไนต์คลับ หนังสือโป๊หลังไหลเข้ามา ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายศาสนาไม่พอใจอย่างยิ่ง[10] นอกจากนี้ผลประโยชน์จากการพัฒนาประเทศกลับตกอยู่ในตระกูลคนรวยเพียงไม่กี่ตระกูล รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ของชาห์กลับมีธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่[10] บรรดาบริษัทต่างชาติต่างก็เชื้อเชิญพระราชวงศ์และข้าราชบริพารชั้นสูงที่มีอำนาจการเมืองและการทหารเข้าเป็นคณะกรรมการในบริษัทของตนด้วย[10] ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้น แต่ชาวอิหร่านส่วนใหญ่กลับมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากไร้การศึกษา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ขาดแคลนยารักษาโรค รวมไปถึงนโยบายของชาห์ที่ทรงสนับสนุนชาติอิสราเอลด้วย[10]

    ด้วยเหตุที่ประชาชนต่อต้านนโนบายของพระองค์ ชาห์จึงตั้งตำรวจลับ "ซาวัค" โดยทำหน้าที่คล้ายตำรวจเกสตาโปของเยอรมนี[10] คอยแทรกซึมในวงการต่างๆ เพื่อจับกุมฝ่ายตรงข้ามของพระองค์ โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา อาจารย์ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์[10] ซาวัคขึ้นชื่อในการจับกุม และทรมานอย่างทารุณ เป็นที่หวาดกลัวของประชาชน แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นการเดินขบวนประท้วงที่เกิดในเวลาต่อมาได้[10]

    การปฏิวัติอิสลาม

    การประท้วงปฏิวัติอิสลาม หน้าจัตุรัสอิสรภาพในวันอาชูรอ ในปี ค.ศ. 1979

    ความไม่พอใจของประชาชนเริ่มถึงจุดระเบิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งตรงกับเดือนรอมฎอน ได้เกิดเหตุไฟไหม้รุนแรงในโรงภาพยนตร์ที่เมืองอะบาดาน มีผู้เสียชีวิต 387 คน[10] รัฐบาลได้ออกข่าวว่าพวกศาสนานิยมหัวรุนแรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทว่าเมื่อตำรวจไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ก็ทำให้ประชาชนเคียดแค้นรัฐบาล และเกิดการประท้วงตามเมืองต่างๆ[11] ส่วนคู่ปรับของชาห์คืออยาตุลเลาะห์ โคมัยนี แม้จะถูกเนรเทศไปยังประเทศอิรัก 12 ปี และภายหลังถูกรัฐบาลอิรักขอร้องให้ออกไปนอกประเทศ โคมัยนีจึงได้อพยพไปอยู่ฝรั่งเศส[11] แต่โคมัยนีก็ใช้การอัดเสียงใส่เทปคาสเซตได้ทำการอัดซ้ำและทำการเผยแพร่แก่นักศึกษาประชาชน และลุกลามถึงนักศึกษาอิหร่านในต่างประเทศด้วย[11]

    หลังโศกอนาฏกรรมที่เมืองอะบาดาน ประชาชนในเตหะรานได้รวมกันประท้วงชาห์ เผาธงชาติ ถือป้ายข้อความ "แยงกี้ โกโฮม" "ชาห์ต้องลาออก" และ "โคมัยนีต้องปกครองอิหร่าน" มีสตรีแต่งกายด้วยชุดดำสวมคลุมศีรษะจำนวนมาเข้าร่วมขบวนด้วย[11] ขบวนได้ประทะกับทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน[11] หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็เกิดเหตุการณ์ประท้วงระลอกแล้วระลอกเล่าตามหัวเมืองอื่น กรรมกรนับแสนคนนัดหยุดงาน พนักงานรัฐวิสาหกิจ บรรดาครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ต่างเข้าร่วมกันประท้วง[11] โคมัยนีเองแม้จะอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ได้เรียกร้องให้มุสลิมทั่วโลกหันมาสนใจการต่อสู้ของประชาชนชาวอิหร่าน โดยได้กล่าวในระหว่างฤดูกาลประกอบพิธีฮัจญ์ มีใจความตอนหนึ่งว่า
    "ชาห์ได้ยกทรัพยากรธรรมชาติ และผลประโยชน์ที่ประชากรพึงมีพึงได้ให้แก่ชาวต่างชาติจนหมดสิ้น ชาห์ยกน้ำมันให้อเมริกา ยกก๊าซธรรมชาติให้โซเวียต ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ป่า และน้ำมันส่วนหนึ่งให้อังกฤษ โดยปล่อยให้ประชาชนอยู่ในความล้าหลัง"
    — อยาตุลเลาะห์ โคมัยนี[11]


    การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงการเสียชีวิตของอิหม่ามฮุเซน วันนั้นประชาชนนับล้านได้ออกมาชุมนุมกันบนท้องถนนและที่สาธารณะ มีการชูรูปโคมัยนี มีการตะโกนด่าทออเมริกา และเรียกร้องรัฐอิสลาม[11]

    การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นอีกที่เมืองมาชาดมีการลุกฮือเผาบ้านของชาวอเมริกัน ตลอดจนกิจการต่างๆของชาวตะวันตก[12] ทหารได้สกัดกั้นและทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อย เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตจนรัฐบาลอเมริกา และยุโรปสั่งให้คนของตนออกจากอิหร่าน[12] ความตึงเครียดที่กดดันทำให้ชาห์ทำตามคำแนะนำของอเมริกา โดยการเสด็จออกนอกประเทศพร้อมครอบครัว เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1979[12][13] โดยที่รัฐบาลของนายชาห์ปูร์ บัคเตียร์ ได้ออกประกาศว่า พระองค์มิได้สละบัลลังก์แต่อย่างใด[12] และแล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โคมัยนีพร้อมผู้ช่วยราว 500 คน และนักหนังสือพิมพ์อีก 150 คน ได้โดยสารเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินฝรั่งเศสกลับสู่อิหร่าน โดยมีประชาชนต้อนรับอย่างเนืองแน่น แม้ระยะแรกกองทัพบกประกาศว่าพร้อมหลั่งเลือดเพื่อค้ำบัลลังก์ชาห์[12] หรือหนุนรัฐบาลนายบัคเตียร์ ภายหลังกองทัพบกได้วางตัวเป็นกลาง[12] ประชาชนฝ่ายโคมัยนีจึงได้เข้าควบคุมเตหะรานไว้ได้โดยบุกยึดที่ทำการรัฐบาล กระทรวงทบวงกรม ตึกรัฐสภา และสถานีตำรวจไว้ได้หมด[12]

    ต่อมารัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากโคมัยนีก็เข้ารับหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศ และนำอิหร่านเข้าสู่การปกครองของรัฐอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[14] โดยมีผู้นำสูงสุดคือ อิหม่ามโคมัยนี เรียกว่า ฟากิฮ์ หรือ รอฮ์บัรร์ ถือเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณมีอำนาจครอบคลุมทั้งการเมืองและการปกครองทั้งหมด[14]

    สิ้นพระชนม์

    หลังจากที่พระเจ้าชาห์ ได้อพยพลี้ภัยพำนักในต่างประเทศหลายประเทศ สุดท้ายพระองค์จึงเสด็จสวรรคตที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 โดยได้จัดงานพระศพของชาห์ให้อย่างสมพระเกียรติในฐานะอดีตพระเทวัน (น้องเขย) ของพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ โดยฝังไว้ในกรุงไคโร และในพระราชพิธีนี้มีชาวอิหร่านไปร่วมพิธีหลายแสนคน[35]

    ปัจจุบัน เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวี มกุฎราชกุมารแห่งอิหร่าน พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าชาห์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์อิหร่านในปัจจุบัน[36] ปัจจุบันพระองค์ทรงประทับลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับพระภรรยาและพระราชธิดา

    http://th.wikipedia.org/wiki/มูฮัมหมัด_เรซา_ปาฮ์เลวี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...