ติดตามสถานการณ์ "ซีเรีย" สงครามจะขยายขอบเขตหรือไม่???

27-08-2013
อังกฤษส่งเครื่องบินรบ-ยุทโธปกรณ์จำนวนมากเข้าฐานทัพใน “ไซปรัส” แล้ว จ่อใช้เป็นฐานถล่มซีเรีย


ฝูงเครื่องบินรบของอังกฤษทยอยเดินทางถึงไซปรัสแล้ว ส่งสัญญาณปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่อซีเรียใกล้เปิดฉาก

รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า เครื่องบินรบหลากหลายรุ่น รวมถึง บรรดาเครื่องบินลำเลียงทางทหารของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ทยอยเดินทางมาถึงยังฐานทัพอากาศ “อะโครติรี” บนเกาะไซปรัสแล้วตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (27) ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า ปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังสหรัฐฯและชาติพันธมิตรต่อซีเรียใกล้เปิดฉากเต็มที

“เดอะ การ์เดียน” สื่อดังของอังกฤษรายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นนักบิน 2 รายของสายการบินพาณิชย์ ที่บินมายังไซปรัสระบุว่า พวกเขาพบเห็นเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินลำเลียงซี-130 รวมถึง อุปกรณ์เรดาร์ และยุทโธปกรณ์ทางทหารจำนวนมากของกองทัพอังกฤษทยอยเข้ามายังไซปรัส สอดคล้องกับข้อมูลจากประชาชนที่อาศัยอยู่รอบฐานทัพอากาศอะโครติรีที่ให้ข้อมูลว่า พวกเขาพบการเคลื่อนไหวภายในฐานทัพดังกล่าวที่มากกว่าปกติตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ฐานทัพอากาศอะโครติรีนั้น แม้จะตั้งอยู่ในไซปรัส แต่ตัวฐานทัพถือเป็นเขตอธิปไตยของอังกฤษและกองทัพอากาศเมืองผู้ดีก็ได้ใช้ฐานทัพแห่งนี้ในการปฏิบัติการทางทหารนับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรรวมถึงอังกฤษตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อสั่งสอนรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดแห่งซีเรียจริง ฐานทัพอากาศอะโครติรีกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้น่าจะถูกใช้เป็นหนึ่งในที่มั่นหลักในการโจมตีซีเรีย เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของซีเรียไม่ถึง 100 ไมล์

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกองทัพอังกฤษมีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลซีเรียประกาศปกป้องตนเองอย่างเต็มกำลังจากการโจมตีใดๆของต่างชาติต่อรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมีสังหารผู้คน

วาลิด มูอัลเลม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่าดามัสกัสจะปกป้องตนเองจากการโจมตีใดๆ โดยระบุซีเรีย มีสองทางเลือก คือยอมจำนนหรือปกป้องตนเอง ซึ่งในมุมมองของรัฐบาลซีเรียแล้วทางเลือกที่ดีที่สุดคือการปกป้องตนเองอย่างสุดกำลัง พร้อมคุยโตด้วยว่าซีเรียมีแสนยานุภาพที่สามารถสร้างความประหลาดใจแก่ทั้งโลก

 

27-08-2013
สหรัฐฯเตรียมแพร่ข่าวกรองอาวุธเคมีซีเรียสัปดาห์นี้ ย้ำรบ.อัสซาดต้องรับผิดชอบ

สหรัฐฯเมื่อวันอังคาร(27) เตรียมเผยแพร่ข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับการพบการใช้อาวุธเคมีที่ซีเรียในสัปดาห์นี้ พร้อมแย้มคงผิดวิสัยหากกล่าวโทษคนอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ความเคลื่อนไหวล่าสุดตามหลังสหรัฐฯและชาติกำลังพันธมิตรขยับเข้าใกล้ใช้มาตรการโจมตีต่อรัฐบาลนายอัสซาด แม้ว่ามีข้อสงสัยต่อคำกล่าวหาของอเมริกาจากทางฝั่งรัสเซียก็ตาม

ในสัญญาณที่ย้ำถึงความเป็นไปได้อย่างสูงที่สหรัฐฯเตรียมใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีเป้าหมายอย่างจำกัดต่อซีเรียเร็วๆนี้ ทางทำเนียบขาวออกมาชี้แจงว่าพวกเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในซีเรีย แต่ก็ไม่ได้พาดพิงว่าพวกเขาจะขออาณัติจากสหประชาชาติสำหรับการลงมือโจมตีหรือไม่


เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว

เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาวระบุว่าทางสหรัฐฯไม่มีข้อสงสัยเลยว่ารัฐบาลซีเรียคืออยู่เบื้องหลังเหตุใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนรอบนอดกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา "จากข้อบ่งชี้ต่างๆ คงเป็นเรื่องผิดวิสัยหากยังมีข้อสงสัยว่าใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเรื่องนี้"

ความเห็นของคาร์นีย์ เสมือนกันเป็นการลงแซ่รอบใหม่ของสหรัฐฯต่อซีเรีย พันธมิตรของรัสเซีย ซึ่งเคยสงสัยต่อคำกล่าวหาของอเมริกาที่ว่ารัฐบาลของนายอัสซาด คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยศพ


ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังไม่ตัดสินใจต่อแนวทางตอบโต้เหตุโจมตีดังกล่าว แต่ก็ใกล้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผู้นำรายนี้จะลงมือโจมตีทางทหารแบบจำกัดต่อเป้าหมายต่างๆในซีเรีย

หลังจากหลายเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯพยายามหลีกเลี่ยงถูกลากเข้าสู่สงครามในชาติตะวันออกกลางแห่งนี้ แต่ในความเคลื่อนไหวล่าสุด วอชิงตันอ้างเหตุผลว่าปฏิบัติการของพวกเขามีเป้าหมายลงโทษนายอัสซาดต่อการใช้อาวุธเคมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พร้อมชี้แจงว่าปฏิบัติการของพวกเขาไม่ควรถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงในสงครามกลางเมืองหรือเป็นความพยายามโค่นล้มระบอบอัสซาดโดยตรง



ในเรื่องนี้วันอังคาร(27) สตีเฟน ฮาร์เปอร์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ก็เห้นพ้องกับทำเนียบขาว อังกฤษและฝรั่งเศส ว่าเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีต่อพลเรือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย ขณะที่ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส บอกว่าจะเพิ่มการสนับสนุนทางทหารต่อพันธมิตรแห่งชาติซีเรีย ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและพบกับนายอาห์หมัด อัล-จาร์บา แกนนำของพวกเขาในวันพฤหัสบดี(29)

 

27-08-2013
ซีเรียกร้าวพร้อมเปิดสงครามหากตะวันตกโจมตี โวโลกได้เซอร์ไพรส์แน่!!

ซีเรียเมื่อวันอังคาร(27) ประกาศปกป้องตนเองอย่างเต็มกำลังและโชว์แสนยานุภาพที่แท้จริงให้โลกได้เห็น หลังสหรัฐฯและชาติกำลังพันธมิตรขยับเข้าใกล้ใช้มาตรการโจมตีต่อรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมทีสังหารผู้คน สอดคล้องกับฝ่ายกบฏที่แย้มว่ามีการปรึกษาเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆและเชื่อว่ารัฐบาลนายอัสซาดจะถูกถล่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นขณะที่ความเคลื่อนไหวตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีของสหประชาชาติก็มีอันต้องเลื่อนจนถึงวันพุธ(28) เนื่องจากมีความกังวลด้านความปลอดภัย

นายวาลิด มูอัลเลม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่าดามัสกัสจะปกป้องตนเองจากการโจมตีใดๆ "เรามีสองทางเลือก หนึ่งคือยอมจำนนหรือปกป้องตนเองด้วยวิธีทางต่างๆตามอำนาจของเรา" เขากล่าว "และทางเลือกที่สองคือทางเลือกที่ดีที่สุด เราจะปกป้องตนเอง" พร้อมคุยโตด้วยว่าซีเรียมีแสนยานุภาพที่สามารถสร้างความประหลาดใจแก่โลกทั้งใบ และเตือนถึงการใช้กำลังทหารใดๆต่อพวกเขาเพื่อรับใช้ประโยชน์ของอิสราเอลและอัลกออิดะห์

คำประกาศกร้าวของเขามีขึ้นขณะที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรขยับใช้ดำเนินการใช้กำลังกับดามัสกัส ด้วยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำลังพิจารณาเข้าโจมตีซีเรียแบบจำกัดพื้นที่และกรอบเวลา เพื่อไม่ให้อเมริกาต้องเข้าไปติดในวังวนสงครามกลางเมืองในซีเรีย


นายวาลิด มูอัลเลม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย


หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่อาวุโสในคณะรัฐบาลสหรัฐฯว่า โอบามา กำลังพิจารณาโจมตีเป้าหมายในซีเรียแบบจำกัดเพื่อป้องกันไม่ให้อเมริกาถลำลึกเข้าสู่สงครามกลางเมือง โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 2 วัน และเป็นการโจมตีด้วยจรวดร่อน “โทมาฮอว์ก” จากเรือรบ ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว หรือไม่ก็เป็นการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกล ต่อเป้าหมายทางทหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวรบอาวุธเคมี เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซพิษแพร่กระจาย


สอดคล้องกับคำพูดของรัฐมนตรีกลาโหม ชัค เฮเกล ที่กล่าวระหว่างเยือนบรูไนว่าทางกองทัพเตรียมพร้อมสำหรับลงมือหากได้รับคำบัญชาใดๆมาจากโอบามา

วอชิงตันกล่าวหารัฐบาลของนายอัสซาดปกปิดความจริงและบอกว่ากำลังร่วมกับพันธมิตรพิจารณาข้อมูลที่ได้มาเพิ่มซึ่งจะเปิดเผยต่อสาธารณชนในเร็ววันนี้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมี "ขอผมพูดให้ชัดนะ" จอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯกล่าว "การใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนที่มีทั้งเด็ก ผู้หญิง และผู้บริสุทธิ์อื่นๆ ถือเป็นการกระทำที่ความต่ำช้าทางศีลธรรม"

ทางประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการทูตต่อซีเรียหลายครั้งด้วยการใช้สิทธิ์ยับยั้งมติของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ได้กล่าวกับนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอนของอังกฤษ ระหว่างหารือกันทางโทรศัพท์ว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมี


รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ขณะในกรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ (26) โดยเขากล่าวหาว่าซีเรียใช้อาวุธเคมี และกำลังพยายามทำลายหลักฐานในเรื่องนี้ ทั้งนี้สหรัฐฯและพันธมิตรกำลังแสดงท่าทีว่าจะเข้าโจมตี “สั่งสอน” ซีเรียในเร็ววันนี้

มอสโก พันธมิตรที่มีอิทธิพลที่สุดของดามัสกัส ยังเตือนว่าการใช้กำลังกับซีเรียจะทำให้เกิดผลลัพธ์เลวร้าย พร้อมเรียกร้องให้วอชิงตัน “รอบคอบ” และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งแสดงความเสียใจที่อเมริกาเลื่อนการประชุมกับรัสเซียเพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤตซีเรียที่กำหนดไว้ในสัปดาห์นี้

กระนั้นก็ตามมีรายงานว่านายทหารระดับสูงจากชาติตะวันตก และชาติมุสลิมเริ่มประชุมกันที่จอร์แดนเมื่อวันจันทร์ เพื่อหารือถึงผลกระทบจากสงครามในซีเรียที่มีต่อภูมิภาค ขณะที่ผู้แทนอาวุโสของอิสราเอลเยือนทำเนียบขาวเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับวิกฤตซีเรีย และโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ส่วนอังกฤษ ก็เปิดเผยว่าทางกองทัพของพวกเขากำลังร่างแผนในกรณีที่ต้องเข้าปฏิบัติการในซีเรียและนายวิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศเผยว่าบางทีชาติตะวันตกอาจตัดสินใจดำเนินการใดๆแม้ว่าจะไม่ได้รับอนุมัติอย่างสมบูรณ์จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ตาม

ด้านฝ่ายกบฏซีเรียก็คาดหมายว่ากองกำลังตะวันตกจะเข้าแทรกแซงรัฐบาลประธานาธิบดีอัสซาด ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และเผยว่าได้มีการปรึกษาขอความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆมาแล้ว "ยังไม่กำหนดเวลาที่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถพูดได้ก็คือการแทรกแซงของนานาชาติต่อรัฐบาลใกล้มาถึงแล้ว คำถามคือจะเป็นวันไหนเท่านั้นและคงไม่นานเป็นสัปดาห์แน่" นายอาห์เมด รามาดอน สมาชิกคณะกรรมาธิการการเมืองของกลุ่มพันธมิตรแห่งชาติซีเรียกล่าว "มีการพบปะกันระหว่างพันธมิตรและกองกำลังซีเรียเสรี(กบฏ)และประเทศพันธมิตร ซึ่งระหว่างนั้นมีการหารือถึงเป้าหมายต่างๆ ในนั้นรวมถึงสนามบินกองทัพ ฐานทัพทหารและคลังยุทโธปกรณ์"


สถานการณ์สู้รบในซีเรียยังร้อนระอุ

ความเป็นไปได้ที่ชาติตะวันตกจะใช้กำลังโจมตีซีเรีย มีขึ้นท่ามกลางปัญหาหยุดชะงักของปฏิบัติการเข้าตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีสังหารผู้คน ด้วยคณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร(27) ต้องระงับการลงพื้นที่ชานกรุงดามัสกัส จุดที่มีการกล่าวหามีการใช้อาวุธเคมีปลิดชีวิตผู้คนไปนับพันศพเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม สืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังจากถูกซุ่มยิงหนึ่งวันก่อนหน้านี้

โดย รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย อ้างว่าการเดินทางลงพื้นที่อีกรอบของคณะผู้ตรวจสอบยูเอ็น จำเป็นต้องเลื่อนออกไปจนถึงวันพุธ(28) หลังจากฝ่ายกบฏไม่ยอมให้คำรับประกันด้านความปลอดภัยแก่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น "วันนี้ เราประหลาดใจจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่สามารถไปที่นั่นได้เพราะฝ่ายกบฏไม่รับประกันความปลอดภัย ดังนั้นทางคณะจึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้"

ปัญหาการเลื่อนลงพื้นที่นี้ก็ได้รับการยืนยันจากฟาร์ฮาน ฮัก โฆษกของสหประชาชาติ ที่อ้างถึงความกังวลด้านความปลอดภัยหลังจากเมื่อวันจันทร์(26) มีสไนเปอร์ซุ่มยิงขบวนรถของคณะผู้เชี่ยวชาญ "ตามหลังเหตุโจมตีขบวนรถของคณะผู้ตรวจสอบของยูเอ็นเมื่อวานนี้ ผลสรุปของการประเมินคือต้องเลื่อนการลงพื้นที่รอบใหม่ออกไปอีก 1 วัน เพื่อเตรียมการให้ดียิ่งขึ้นและปรับปรุงด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยให้หนาแน่นขึ้น"

 

27-08-2013
ผวาสหรัฐฯ เปิดฉากถล่มซีเรียดันน้ำมัน-ทองคำพุ่ง หุ้นมะกันดิ่งแรง



น้ำมันวันนี้ (27) พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ส่วนวอลล์สตรีทดิ่งหนัก หลังชาติตะวันตกขู่ลงโทษซีเรียจากข้อกล่าวหาใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน อย่างไรก็ตามปัจจัยข้างต้นผลักทองคำทะยานกว่า 27 ดอลลาร์ เหตุความหวาดผวาต่อสงครามทำนักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 3.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 3.63 ดอลลาร์ ปิดที่ 114.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน

สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ชี้ชัดว่ารัฐบาลซีเรียคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม อันคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหลายร้อยชีวิต โดยเฉพาะวอชิงตันที่บอกว่าดามัสกัสต้องรับผิดชอบและกองทัพพร้อมปฏิบัติการแล้ว ขณะที่ชาติตะวันตกอื่นๆก็สนับสนุนมาตรการลงโทษต่อรัฐบาลของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เองก็จุดชนวนความกังวลต่ออุปทานทางพลังงานในซีเรีย หนึ่งในชาติผู้ส่งออกน้ำมัน

ขณะเดียวกัน แนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ว่าอเมริกาและชาติตะวันตก จะใช้ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ซีเรีย ต่อกรณีใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเรือน ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ (27) ดิ่งลงหนัก ด้วยนักลงทุนกังวลถึงความเป็นไปได้ที่สถานการณ์ความขัดแข้งจะลุกลามบานปลายไปทั่วภูมิภาค

ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 170.56 จุด (1.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,775.90 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 26.30 จุด (1.59 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,630.48 จุด แนสแดคลดลง 79.05 จุด (2.16 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,578.52 จุด

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ชาติตะวันตกขยับเข้าใกล้ใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรียนี้ กลับผลักให้ทองคำวานนี้ (27) พุ่งขึ้นแรง ด้วยนักลงทุนเข้าช้อนซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ขณะเดียวกันก็ยังได้แรงหนุนจากความคาดหมายที่ว่าสหรัฐฯ อาจยืดระยะเวลามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกไป โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 27.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,420.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

28-08-2013
รบ.ออสซีหนุนใช้มาตรการทางทหารตอบโต้ “อัสซาด” แม้ UN ไม่เห็นชอบ


บ็อบ คาร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศสนับสนุนให้นานาชาติใช้กำลังทหารตอบโต้เหตุสังหารหมู่ประชาชนซีเรียด้วยอาวุธเคมี แม้จะไม่มีมติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ตาม

ออสเตรเลียจะรับหน้าที่ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (1) โดยจะทำหน้าที่ตัวกลางประสานให้ชาติสมาชิกลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ดี บ็อบ คาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ชี้ว่า หากพิสูจน์ได้ว่ากองทัพของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนเมื่อวันพุธที่แล้ว (21) ทั่วโลกควรพร้อมใจตอบโต้การกระทำอันโหดร้ายดังกล่าว แม้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นจะไม่สามารถประกาศมติสนับสนุนที่เป็นเอกฉันท์ได้ก็ตาม

“ขณะนี้สหรัฐฯ และประเทศที่มีความคิดเห็นตรงกันกำลังพิจารณาถึงแนวทางตอบโต้ซีเรีย” คาร์ ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นวันนี้ (28)

“ทางเลือกที่เราและทุกๆฝ่ายสนับสนุนก็คือ ใช้มาตรการตอบโต้ภายใต้คำสั่งของยูเอ็น แต่หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้ การกระทำที่โหดร้ายของรัฐบาลซึ่งนำอาวุธเคมีออกมาเข่นฆ่าประชาชน หรือการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆก็ตาม ถือเป็นเหตุอันสมควรให้นานาชาติตอบโต้ได้”

สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต่างเตรียมพร้อมส่งทหารเข้าจัดการกับรัฐบาลอัสซาด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และจะเป็นการตอบโต้จากโลกตะวันตกที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรียปะทุเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011

คาร์ชี้ว่า ภารกิจสำคัญที่สุดของผู้แทนออสเตรเลียคือการโน้มน้าวให้จีนและรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ยอมโหวตสนับสนุนมติลงโทษซีเรีย

“เราไม่ควรประณามจีนและรัสเซียในเรื่องนี้ แต่ต้องทำให้พวกเขายอมร่วมมือ พิจารณาหลักฐาน และทบทวนทัศนคติที่พวกเขามีต่ออัสซาด ตลอดจนสิ่งที่ประชาคมโลกควรกระทำเมื่อเกิดการทำลายล้างชีวิตมนุษย์ด้วยอาวุธซึ่งอาจจะนำไปสู่การสังหารหมู่อย่างน่าสะพรึงกลัว”

คาร์ชี้ด้วยว่า วิกฤตการณ์ซีเรียทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นถึงปัญหายุ่งยากจากการใช้สิทธิ์ “วีโต” โดยสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ซึ่งถือว่าเป็น “ช่องโหว่” ในกระบวนการปกครองระหว่างประเทศ

 

สำหรับเรื่องนี้น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
28-08-2013
รัสเซียกว้านซื้อทองคำเพิ่มอีก 6,300 กิโลฯ ผู้ว่าแบงก์ชาติหมีขาวปัดข่าว “รู้ล่วงหน้า” จะเกิดสงครามใหญ่ซีเรีย


ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียตกเป็นข่าว "รู้ล่วงหน้า" ว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ในซีเรีย

รัสเซียและคาซัคสถานกว้านซื้อทองคำรอบใหม่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันแล้วที่ธนาคารกลางของทั้ง 2 ประเทศทำการเพิ่มปริมาณทองคำสำรองในความครอบครอง ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางแดนหมีขาวปฏิเสธข่าวรัฐบาลรัสเซีย “รู้ล่วงหน้า” ว่าจะเกิดสงครามใหญ่ในซีเรีย จึงต้องเร่งเสริมความมั่นคงทางการคลังขนานใหญ่

รายงานข่าวในคืนวันอังคาร (27) ซึ่งอ้างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยืนยันว่า รัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีทองคำในครอบครองมากเป็นลำดับที่ 7 ของโลก ได้กว้านซื้อทองคำมาถือครองเพิ่มเติมอีกถึง 6,300 กิโลกรัมในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ในเวลานี้รัสเซียมีทองคำสำรองอยู่มากกว่า 1,002.8 ตัน

ขณะที่คาซัคสถาน อดีตดินแดนส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตซึ่งมั่งคั่งไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ก็กว้านซื้อทองคำเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน หลังธนาคารกลางคาซัคเพิมปริมาณทองคำสำรองกว่า 1.1 ตันในเดือนที่แล้ว ส่งผลให้ยอดรวมทองคำในครอบครองของคาซัคสถานล่าสุดเพิ่มเป็นกว่า 132 ตันแล้ว

ในส่วนของรัสเซียนั้น การกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่ถึง 6,300 กิโลกรัม หรือ 6.3 ตัน ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่คุกรุ่นในซีเรียเวลานี้ โดยบรรดานักวิเคราะห์จากบางสำนักลงความเห็นว่ารัฐบาลมอสโกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อาจ “รู้ล่วงหน้า” ว่าจะเกิด “สงครามครั้งใหญ่”

ข่าวการกว้านซื้อทองคำของธนาคารกลางรัสเซียถูกนำไปเชื่อมโยงกับการที่รัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญที่สุดของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจต้องทำสงครามครั้งใหญ่เพื่อปกป้องตนเองจากปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร และความเป็นไปใดๆของรัฐบาลอัสซาดย่อมส่งกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลมอสโกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะนั่นหมายถึง หากรัฐบาลอัสซาดล่มสลาย “ระบอบการปกครองใหม่” ของซีเรีย ย่อมต้องเป็นพวกที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับสหรัฐฯ และโลกตะวันตก มิใช่รัสเซีย

อย่างไรก็ดี นางเอลวิรา ซาคิปซาดอฟนา นาบิอุลลินา อดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีปูติน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางหญิงของรัสเซียยืนยันว่า การกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่ของรัสเซียถึง 6,300 กิโลกรัมในเดือนกรกฎาคมนั้น เป็นเพียงการเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลังตามปกติเท่านั้น ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณใดๆ ว่ารัฐบาลรัสเซียทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดสงครามใหญ่ในชาติพันธมิตรอย่างซีเรีย

นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตว่า ตุรกีเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนร่วมกับซีเรียยาวถึง 877 กิโลเมตรและมีรัฐบาลซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาดของซีเรีย ยังเป็นอีกชาติหนึ่งที่ทำการกว้านซื้อทองคำเมื่อเดือนที่แล้วด้วยเช่นกัน โดยข้อมูลของไอเอ็มเอฟพบว่า ตุรกีซื้อทองคำมาถือครองเพิ่มเติมอีกถึง 22.5 ตันในเดือนเดียว ส่งผลให้ทองคำสำรองในครอบครองทั้งหมดของตุรกีเพิ่มเป็น 464 ตัน


รัสเซียกว้านซื้อทองคำล็อตใหญ่ถึง 6,300 กิโลกรัมหรือ 6.3 ตันภายในเดือนเดียวก่อนสถานการณ์ในซีเรียจะสุกงอม






นางเอลวิรา ซาคิปซาดอฟนา นาบิอุลลินา ผู้ว่าการธนาคารกลางหญิงของรัสเซียปฏิเสธข่าวเร่งซื้อทองคำ เพราะทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดสงครามในซีเรีย



ตุรกี ชาติเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับซีเรียถึง 877 กิโลเมตร ก็กว้านซื้อทองคำเพิ่มกว่า 22.5 ตันเช่นกัน

 

ขออนุญาติก๊อปข้อมูลของท่าน kiatp123 มาลงไว้หน่อยครับ

 

"จรัมพร"เผยติดตามใกล้ชิดสถานการณ์ปัญหา'ซีเรีย'



นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยในขณะนี้

คือ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดภูมิภาค ส่วนสถานการณ์ในซีเรียยังไม่ได้กระทบมากนัก แต่ก็จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากตัดเรื่องซีเรียออก นับจากพ.ค.ที่เริ่มกังวลว่าเฟดจะลด QE เม็ดเงินก็ยังไหลไม่หยุด และยังไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน

นายจรัมพร กล่าวว่า จากต้นปีจนถึงขณะนี้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 1.1 แสนล้านบาท ถือว่าสูงมากแล้ว จากนี้ก็คงจะไม่ได้ไหลออกไปมากแล้ว เพราะเมื่อนักลงทุนขายถึงระดับหนึ่งก็คงจะต้องหยุดขาย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับที่ดี อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับเฉลี่ยกว่า 3% ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตร อีกทั้งการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังได้รับประโยชน์ด้านภาษี

"ปัญหาซีเรียอาจจะกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอดูสถานการณ์"นายจรัมพรกล่าว

นายจรัมพร กล่าวถึง การจัดงาน Thailand Focus 2013ว่า เป็นการแสดงโอกาสทางเศรษฐกิจ และศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทยในภาวะที่ภูมิภาคเอเชีย กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น และเป็นโอกาสที่ ผู้ลงทุนสถาบันจะได้รับฟังเป้าหมายและยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

สิ่งที่จะนำมาดึงดูดนักลงทนต่างชาติคือ การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประทศ และทำให้บริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งขึ้น สามารถขยายธุรกิจไปครอบคลุมภูมิภาคได้ การเติบโตเร็วขึ้น ดังนั้น เชื่อว่าเมื่อนักลงทุนเลิกตกใจกับ QE แล้ว ก็จะหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะบริษัทจดทะเบียนของไทยผ่านวิกฤติมามาก และสามารถปรับตัวรองรับความผันผวนได้ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์มาแล้ว อย่างไรก็ตาม มองว่าช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเลือกซื้อหุ้นเพื่อการลทุนในระยะยาว

สำหรับสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวันนี้ (28ส.ค.) เปิดตลาดช่วงเช้าดัชนียังร่วงกว่า 30 จุด โดยเมื่อ 11.02 น. หุ้นไทยร่วง 33.36 จุด หรือ -2.58% ดัชนีอยู่ที่ 1,260.61 จุด มูลค่าซื้อขาย 15,548.86ล้านบาท


ด้านนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในวันศุกร์นี้ (30 ส.ค.) ก.ล.ต.จะนัดประชุมร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมา หลังจากปรับตัวลดลงไปมากอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นมองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยมากนัก และทาง ก.ล.ต.ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

"ศุกร์นี้เราจะนัดผู้บริหารตลาดมาคุยกัน ซึ่งเป็นการคุยปกติประจำเดือน แต่หัวข้อที่คุยกัน จะเป็นเรื่องสถานการณ์ตลาดหุ้นว่ามีการมองอย่างไร ทุกอย่างปกติหรือไม่"นายวรพลกล่าว

นายวรพล กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ก.ล.ต.ได้หารือกับสมาคมบล. และสมาคมบลจ. เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้น ทุกฝ่ายประเมินว่าเป็นผลมาจากความผันผวนจากต่างประเทศ แต่เศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง โดยเงินทุนสำรองยังมีมากเพียงพอ รวมทั้งจากการตรวจสอบฐานะการเงินของบล. และบลจ.พบว่ายังมีความแข็งแกร่ง ซึ่งก.ล.ต.ได้ติดตามฐานะการเงินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถของลูกค้าของ บล.ในการชำระราคาหุ้น ซึ่งพบว่าไม่มีปัญหา ส่วนมาตรการในการดูแลตลาดหุ้นปัจจุบัน ถือว่ามีเพียงพอ และไม่ได้มีแนวทางที่จะออกมาตรการใดๆ ออกมาเพิ่ม

 

หวั่นเหลือเกินครับ รอบนี้

จะเป็นของจริง

" สงครามครั้งที่ 3 ไม่รู้ว่าจะใช้อะไรรบกัน รู้เพียงแต่ว่า ถ้ามีสงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์ จะใช้หนังสติ๊กกับไม้รบกัน "
อัลเบิตร์ ไอสไตน์

 

28-08-2013
"รัสเซีย" อพยพปชช.ออกจาก "ซีเรีย" หลังมีข่าวชาวตะวันตกเตรียมโจมตีหยุดสงคราม



บรรดาชาติตะวันตกต่างเตรียมความพร้อมโจมตีซีเรียในเร็วๆ นี้ เชื่อ รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชน โดยมีแกนนำอยู่ 3 ชาติได้แก่สหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งแต่ละประเทศ เตรียมขอมติจากสภาเพื่ออนุมัติการโจมตี ส่งผลให้นานาชาติกังวล ขณะรัสเซียอพยพประชาชนออกจากซีเรียแล้ว

กระทรวงฉุกเฉินของรัสเซีย ส่งเครื่องบินไปรับชาวรัสเซียออกจากซีเรียแล้วเมื่อวานนี้ (27ส.ค.56) โดยมีผู้ใหญ่ 59 คนเด็ก 30 คน ชาวรัสเซียเหล่านี้ต่างรู้สึกหวาดวิตก และต้องการเดินทางออกจากซีเรีย หลังมีความเป็นไปได้ว่า ชาติตะวันตกจะโจมตีซีเรียเร็วๆนี้ เพราะลำพังแค่การสู้รบในประเทศระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านก็น่าวิตกอยู่แล้ว เพราะได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิดตลอดเวลา และมีคนตายรายวัน

ส่วนการเตรียมความพร้อมของสหรัฐฯ ตอนนี้เรือรบลำที่ 4 ที่อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าใกล้ชายฝั่งซีเรียแล้ว ซึ่งเรือรบลำนี้มีเครื่องยิงขีปนาวุธ และมีเครื่องบินรบที่สามารถยิงโจมตีซีเรียได้ทันที โดยไม่ต้องบินเข้าในน่านฟ้าของซีเรียร นายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯบอกว่าตอนนี้กองทัพพร้อมแล้วที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรีย ทันทีที่มีคำสั่งจากประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ขณะที่นายเจย์ คาร์นี่ย์ โฆษกทำเนียบขาวระบุว่าเป้าหมายของสหรัฐฯ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลซีเรีย แต่เป็นการขัดขวางไม่ให้มีการใช้อาวุธเคมีอีก ไม่ว่าจะเป็นที่ซีเรียหรือที่อื่นๆของโลกก็ตาม ด้านประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองค์ของฝรั่งเศสบอกว่าพร้อมแล้วที่จะลงโทษผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนในซีเรีย





ด้านนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษกล่าวว่าการใช้ปฏิบัติการทางทหารใดๆกับซีเรีย จะต้องไม่บานจนปลายกลายเป็นความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีไปในทางที่ผิดและโลกไม่สามารถทนกับเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ดีการใช้ปฏิบัติการทางทหารของอังกฤษจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายสากล ทั้งนี้ผู้นำอังกฤษได้เรียกประชุมสภานัดพิเศษในวันนี้เพื่อหารือเรื่องการใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรีย ซึ่งการเรียกประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงพักการประชุม ทำให้ สส.หลายคนที่อยู่ระหว่างการพักผ่อนซึ่งรวมถึงนายคาเมรอน ต้องรีบเดินทางกลับมาที่กรุงลอนดอน ข่าวเรื่องความเป็นไปได้ที่ชาติตะวันตกจะใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีซีเรียก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวลดลง อย่างดัชนีดาวน์โจนส์ ปิดตลาด มูลค่าการซื้อขายลดลง 170.33 จุดปิดที่ 14,776.13 จุด ส่วนดัชนีแนสแดคปิดที่ 3,578.52 จุด ลดลง 79.05 จุด ส่วนปริมาณการซื้อขายเบาบาง

ข่าว Thai PBS

 

28-08-2013
รัฐบาลซีเรียปฏิเสธข้อกล่าวหาใช้อาวุธเคมี โจมตีประชาชน



รัฐบาลซีเรียยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชนของตัวเอง ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวเท็จเกี่ยวกับพยานหลักฐาน

นายวิลิด มูอาลีม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียแถลงข่าวโดยระบุว่า รัฐบาลซีเรียขอย้ำและปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่า ไม่เคยใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนของตัวเอง โดยเขายังกล่าวหานายจอห์น เคอร์รี่ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯว่า โกหกเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และข้ออ้างเรื่องอาวุธเคมีก็เพื่อรุกรานซีเรียด้วยกำลังทหารนั้น ถือว่าผิดพลาดและปราศจากมูลโดยสิ้นเชิง โดยนายมูอาลีมยังท้าให้นำเสนอหลักฐานออกมา

เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) นายจอห์น เคอร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่า มีหลักฐานจำนวนมากเกี่ยวกับการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย พร้อมระบุด้วยว่า รัฐบาลซีเรียกำลังทำลายหลักฐานดังกล่าวอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายเคอร์รี่ยังประกาศด้วยว่า การใช้แก๊สพิษฆ่าประชาชนนับเป็นการผิดศีลธรรม ซึ่งมักเป็นข้ออ้างสำหรับการใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ข่าว Thai PBS

 

28-08-2013
ชาติมหาอำนาจตะวันตกเตรียมเปิดฉากโจมตีซีเรีย



ฝ่ายต่อต้านในซีเรียเผยได้รับข้อมูลว่าชาติมหาอำนาจตะวันตกจะเปิดฉากโจมตีซีเรียในอีกไม่กี่วันนี้ (28 ส.ค.) เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์

ฝ่ายต่อต้านในซีเรียเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนักการทูตของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตกถึงปฎิบัติการโจมตีซีเรียที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ใช้อาวุธเคมีสังหารหมู่พลเรือนในย่านชานกรุงดามัสกัส ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,300 คน ทั้งนี้สหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวันตกกำลังหารือร่วมกันว่าใช้จะปฎิบัติการทางทหารกับซีเรียหรือไม่

ด้านนายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐเผยว่า กองทัพสหรัฐฯในอ่าวเปอร์เซีย พร้อมที่จะปฎิบัติการโจมตีซีเรีย โดยขณะนี้เรือรบของกองทัพสหรัฐฯเคลื่อนเข้าใกล้ซีเรียแล้ว

ขณะที่มีรายงานว่าปฎิบัติการโจมตีอาจเริ่มด้วยการยิงขีปนาวุธจากเรือรบหรือเครื่องบินขับไล่ โดยไม่มีการรุกล้ำน่านฟ้าของซีเรีย ล่าสุดกองทัพสหรัฐฯเสริมกำลังเรือรบติดตั้งขีปนาวุธในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพิ่มขึ้นเป็น 4 ลำ

ข่าว Thai PBS

 

ถึงจะได้ประโยนช์จากทองคำราคาขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้ผู้บริสุทธิ์ ต้องสังเวยความกระหายสงครามของผู้นำ ผู้อยากอยู่ในอำนาจ
เอเมน T_T

 

Putin Orders Massive Strike Against Saudi Arabia If West Attacks Syria

เอามาฝาก เผื่อมีมูล

London’s The Telegraph News Service further reported today that Saudi Arabia has secretly offered Russia a sweeping deal to control the global oil market and safeguard Russia’s gas contracts, if the Kremlin backs away from the Assad regime in Syria, an offer Putin replied to by saying “Our stance on Assad will never change. We believe that the Syrian regime is the best speaker on behalf of the Syrian people, and not those liver eaters” [Putin said referring to footage showing a Jihadist rebel eating the heart and liver of a Syrian soldier HERE], and which Prince Bandar in turn warned that there can be “no escape from the military option” if Russia declines the olive branch.

 

ถ้า ฝ่าย อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส โจมตีชีเรีย สงครามคราวนี้ไม่ยือเยื้อ เพราะอเมริกาคงใช้ลูกยาวจัดการให้ชีเรียอ่อนกำลัง ละมอบหมายให้ฝ่ายต่อต้านทำสงครามต่อ โดยสนับสนุนอาวุธ และภาระหนักจะไปตกกะอิสราเอล เพราะชีเรียต้องกัดอิสราเอลแน่ ๆ แต่ อย่างชีเรียไม่มีทางทำอะไรอิสราเอลได้ ขนาดที่ราบสูงโกลันของชีเรียอิสราเอลยังยึดมาเป็นของตนประสาอะไร อยากให้รบกัน เร็วๆ เพราะเราน่าจะได้ประโยชน์ แต่เราจะเสียเรื่องน้ำมันจะแพงขึ้น แลส่วนตัวคิดว่า จีน และรัสเชีย คงไม่เอาความรุ่งเรืองของตนแลกกะสงครามครั้งนี้ แต่คงสนับสนุนอาวุธแก่รัฐบาลชีเรียทั้ง 2ประเทศ ส่วน 3 ประเทศยุโรปก็คงสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน รวมทั้งตัวเอกคืออิสราเอลที่ต้องการจัดการชีเรียให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นประเทศหอกข้างแคร่ ทีนีประเทศอิสลามที่จะกัดอิสราเอล ก็เหลือประเทศเดียว คือ อิหร่าน ซึ่งอิสราเอลไม่น่าหนักใจ เพราะพรมแดนไม่ติดกะอิสราเอล ............แต่ที่น่าสงสารคือประชาชนคนชีเรีย ประเทศสงบอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นดินแดนแห่งสงคราม เพราะคนในประเทศ ไม่ประสารประโยชน์ของประชาชนและชาติประเทศตน
.........

 

29-08-2013
ชาวซีเรียแห่กักตุนอาหาร หวั่นชาติตะวันตกโจมตียืดเยื้อ



ชาวซีเรียเริ่มกักตุนเสบียงอาหารบางส่วนเริ่มอพยพ เนื่องจากเกรงว่าจะการโจมตีของนานาชาติอาจดำเนินติดต่อกันหลายวัน จนทำให้เกิดภาวะอาหารขาดแคลน...
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่า สหรัฐฯและประเทศพันธมิตรขยับเข้าใกล้การใช้กำลังทหารกับซีเรีย เพื่อลงโทษกรณีใช้อาวุธเคมีเข้าไปทุกที หลังจากโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมากล่าวฟันธงว่า ไม่มีข้อสงสัยว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีกับประชาชน ขณะที่ชาวซีเรียเริ่มกักตุนเสบียงอาหารและบางส่วนอพยพย้ายถิ่นไปแล้วเมื่อวันพุธ เนื่องจากเกรงว่าจะการโจมตีของนานาชาติอาจดำเนินติดต่อกันหลายวัน จนทำให้เกิดภาวะอาหารขาดเคลน
สถานการณ์ในตอนนี้อาจขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าการโจมตีซีเรียจะเกิดขึ้นเมื่อใด ขณะที่ความวิตกกังวลเรื่องนี้ส่งผลอย่างมากต่อราคาน้ำมัน ซึ่งพุ่งสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงกราวเมื่อวันอังคาร เพราะไม่รู้ว่าการแทรกแซงของนานาชาติ จะนำสงครามกลางเมืองในไปยังทิศทางใด แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และพันธมิตรจะอยากจำกัดภารกิจนี้ให้อยู่ในกรอบเวลาสั้นที่สุด


คณะผู้ตรวจสอบฯยูเอ็นเพิ่งเสร็จสิ้นการตรวจสอบในเขตกูตา

โอบามากำลังรอผลการตรวจสอบของ คณะผู้ตรวจสอบอาวุธเคมีแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจตรวจสอบเขตชานกรุงดามัสกัส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกิดการโจมตีด้วยอาวุธเคมีแห่งที่สองเมื่อวันพุธ ขณะที่บัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่าการตรวจสอบต้องใช้เวลาอีก 4 วัน และเรียกร้องให้สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) มีความสามัคคีกันไว้
บรรยากาศในกรุงดามัสกัสของซีเรีย ยิ่งวุ่นวาย เมื่อประชาชนที่เหนื่อยหน่ายกับสงครามกลางเมืองอยู่แล้ว ต่างเริ่มอพยพออกจากพื้นที่รอบนอก ซึ่งอยู่ในการควบคุมของฝ่ายกบฏเพื่อไปหาสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า ขณะที่บรรดาพ่อค้าและร้านขายของต่างๆ เริ่มสั่งขนมปัง, อาหารแห้งและอาหารกระป๋องมาเก็บไว้มากขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการเพิ่มสูง หลังประชาชนเริ่มกักตุนเสบียงอาหารและแห่ถอนเงินสด เพราะเกรงว่าการแทรกแซงจะยือเยื้อ


คณะผู้ตรวจสอบฯยูเอ็นเก็บตัวอย่างในเขตกูตา

ขณะเดียวกัน ในประเทศเพื่อบ้านอย่างตุรกี กองกำลังสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังในกองทัพ ส่วนอิสราเอลมีการเคลื่อนย้ายกำลังหนุนบางส่วน และยกระดับการป้องกันการโจมตีด้วยมิสไซล์ไม่ว่าจากซีเรียหรือเลบานอน ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ 'ไอออน โดม' และ 'แพตทริออต' ที่เมืองไฮฟาทางเหนือของประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจัยหลายอย่างอาจส่งผลต่อระยะเวลาในการโจมตีซีเรีย ทั้งสภาพอากาศรวมถึงขีดความสามารถของระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศของซีเรีย นักวิเคราะห์มองว่า สหรัฐฯจะใช้จรวดร่อน 'โทมาฮอว์ก' จากเรือพิฆาตซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว 4 ลำในการโจมตี หรืออาจใช้การโจมตีทางอากาศจากเรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งจอดรออยู่แล้ว 2 ลำ รวมถึงอาศัยกองกำลังจากนาโต, อังกฤษ หรือฝรั่งเศส
ด้านนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เรียกประชุมรัฐสภาเร็วกว่ากำหนดในวันพฤหัสบดี เพื่อหารือวิกฤติซีเรีย ขณะทีในวันพฤหัสบดีหน้า กลุ่มชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้ง 20 (จี20) จะประชุมกันที่นครเซต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งอาจมีการให้น้ำหนักในเรื่องการคำนวนระยะเวลาในการโจมตีซีเรียด้วย แต่หลายฝ่ายอยากให้การโจมตีจบลงก่อนเริ่มการประชุม


อิสราเอลเคลื่อนกองหนุน



อิสราเอลติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธ 'แพทริออต' ที่เมืองไฮฟา ทางตอนเหนือ



ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

29-08-2013
วิตกสงครามซีเรียผลักน้ำมันพุ่งต่อ แต่หุ้นมะกัน-ทองคำปิดสวนทาง



ราคาน้ำมันวานนี้(28)ยังคงพุ่งแรง จากความคาดหมายว่าชาติตะวันตกจะใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย อย่างไรก็ตามในส่วนของวอลล์สตรีท ปิดบวก ตามแรงช้อนซื้อของนักลงทุนหลังเมื่อวันอังคาร(27) ดิ่้่งลงหนักจากปัจจัยดังกล่าว สวนทางกับที่ทองคำที่มีแรงขายในช่วงท้าย ทำให้ขยับลงเล็กน้อย

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 110.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 2.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 116.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ยังคงตกอยู่ใต้แรงกดดันของคำขู่จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรตะวนตก ต่อการใช้กำลังทหารตอบโต้ซีเรีย จากกรณีที่ใช้อาวุธเคมีเล่นงานพลเรือน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน่าสยดสยองหลายร้อยคน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่าสหรัฐฯกำลังทำงานร่วมกับชาติพันธมิตรในการพิจารณาถึงแผนโจมตีแม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากรัสเซียภายในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ตาม "สถานการณ์เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ" บาร์ท มาเลก ห้วหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์ของทีดี ซิเคียวริตี กล่าว "ราคาที่พุ่งขึ้นของตลาดน้ำมัน มาจากความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่เหตุขัดแข้งในซีเรีย จะลุกลามบานปลายไปสู่ชาติเพื่อนบ้าน"

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(28) ปิดบวกในกรอบแคบๆ จากการช้อนซื้อของนักลงทุน หลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ดิ่งลงอย่างหนัก ตามข่าวชาติตะวันตกเตรียมโจมตีเป้าหมายทางทหารในซีเรีย

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 50.84 จุด (0.34 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,826.97 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 4.70 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,635.18 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 14.83 จุด (0.41 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,593.35 จุด

ด้านราคาทองคำวานนี้(28) ช่วงหนึ่งทะยานขึ้นไปเหนือ 1,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง ตามอุปสงค์อันสูงลิ่วต่อทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำ จากความวิตกถึงสถานการณ์ในซีเรีย

อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วราคาก็ค่อยๆทรุดลงและปิดลบในกรอบแคบๆ จากการขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากเมื่อวันอังคาร(27) ราคาทองคำทะยานขึ้นไปกว่า 27 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 1.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,418.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ที่มา-ผู้จัดการออนไลน์

 

รู้จักประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย


ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย และนางอัสมา อัสซาด ภริยา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 25 ส.ค. พาไปทำความรู้จักกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ผู้นำประเทศเล็กๆบนคาบสมุทรอาหรับ ที่ทั่วโลกกล่าวถึงมากที่สุดตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนที่ต้องการโค่นอำนาจเขา ซึ่งบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง ที่อัสซาดประกาศกร้าวมาตลอดว่า เป็น “เรื่องภายใน” ของซีเรีย “คนนอก” อย่าเข้ามายุ่ง ถ้าไม่อยาก “เจ็บตัว”

อัสซาดเกิดเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2508 ที่กรุงดามัสกัส เป็นบุตรคนที่ 3 จากทั้งหมด 5 คน ของนายพลฮาเฟซ อัล-อัสซาด ซึ่งปกครองซีเรียมานานเกือบ 30 ปี จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งเมื่อปี 2543 เดิมทีอัสซาดไม่ได้รับการวางตัวจากบิดาให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ ทว่าเมื่อพี่ชายคือ บาสเซล เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ กอรปกับการที่บุตรคนแรกของครอบครัวเป็นบุตรสาว อัสซาดจึงลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่เป็นไปในแนวของ “การลงประชามติ” มากกว่า เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนอื่น และแน่นอนว่า อัสซาดได้รับคะแนน “ความเห็นชอบ” จากประชาชนอย่างท่วมท้นกว่า 97%

สำหรับชีวิตส่วนตัว อัสซาดสมรสกับนางสาวอัสมา อัล-อัคห์ราส ชาวอังกฤษเชื้อสายซีเรีย เมื่อปี 2543 และมีบุตรร่วมกัน 3 คน ทั้งนี้ นอกจากภาษาอาหรับที่เป็นภาษาแม่แล้ว อัสซาดยังสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถสนทนาภาษาฝรั่งเศสระดับพื้นฐานได้ด้วย

แม้จะมีอำนาจล้นมือในทุกด้าน จนสามารถชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ แต่อัสซาดไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมืองมากนัก เขามุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาสมาคมคอมพิวเตอร์ซีเรีย และการขยายการวางโครงข่ายอินเตอร์เน็ทในประเทศมากกว่า แต่ก็ยังไม่วายที่เขาจะสั่งปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ชื่อดังทั้ง “กูเกิ้ล” “ยูทูบ” “เฟซบุ๊ค” และ “วิกิพีเดีย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง และสื่อต่างชาติอีกหลายสำนัก เริ่มเสนอรายงานตีแผ่การที่อัสซาดตั้งหน่วยตำรวจลับเพื่อจับกุมผู้ที่แสดงตนว่าต่อต้านรัฐบาลมาจำคุก ทรมานร่างกาย หรือสังหารอย่างเหี้ยมโหด หลายฝ่ายเริ่มจับจ้องมายังซีเรีย ซึ่งแน่นอนว่า อัสซาดออกมาปฏิเสธเรื่องราวทั้งหมด

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มี.ค. 2554 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการเดินขบวนประท้วงของประชาชนจำนวนมาก เพื่อขับไล่อัสซาดออกจากตำแหน่ง และหยุดการยึดอำนาจในรัฐสภาของฝ่ายรัฐบาล นำโดยพรรคบาธ ( Ba’ath ) ของอัสซาด ที่ครองเสียงข้างมากมานานกว่า 4 ทศวรรษ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเริ่มยืดเยื้อ มีทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนและทหารที่แปรพักตร์ไปร่วมกับฝ่ายต่อต้านมากขึ้น กองทัพรัฐบาลกระจายกำลังลงพื้นที่หลายเมืองทั่วประเทศ เพื่อปราบปรามกลุ่มนักรบฝ่ายต่อต้าน เกิดเป็น “การขัดกันด้วยอาวุธ” ภายในประเทศ หรือสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ทั่วโลกรุมประณาม ด้านสันนิบาตอาหรับประกาศระงับสมาชิกภาพของซีเรีย

ขณะที่อัสซาดเริ่มออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอบีซีของสหรัฐ เมื่อ 2 ปีก่อน ผู้นำซีเรียวัย 47 ปียืนยันว่า รัฐบาลไม่เข่นฆ่าประชาชนของตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าจะมี “คนบ้า” เป็นผู้นำ เขายังประณามสหรัฐผ่านสื่อหลายแห่งโดยเฉพาะสื่อของยุโรป ว่ารวมหัวกับฝ่ายต่อต้านและประเทศพันธมิตรตั้ง “แก๊ง” เพื่อมารุกรานประเทศของเขา พร้อมกับประกาศว่า วอชิงตันจะต้อง “ชดใช้” หากใช้วิธีแทรกแซงทางทหาร หรือมอบความช่วยเหลือด้านอาวุธแก่ฝ่ายกบฏ เขาจะสร้าง “ผลกระทบแบบโดมิโน” ให้เดือดร้อนกันไปทั้งหมด

ผ่านมาแล้วกว่า 28 เดือน รายงานของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ระบุจำนวนผู้เสียชีวิตว่าอยู่ที่อย่างน้อย 100,000 ศพ และมีชาวซีเรียมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้อพยพของยูเอ็นแล้วเกือบ 2 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตสงครามกลางเมืองในซีเรียยังคงยืดเยื้อ และกลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอย่างหนักอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีด้วย “อาวุธเคมี” ที่ชานกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 ศพ โดยส่วนใหญ่เป็นเด็ก

ฝ่ายรัฐบาลและกบฏซีเรียต่างออกมากล่าวโทษซึ่งกันและกัน แต่ดูเหมือนประชาคมโลกจะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลของอัสซาดมากกว่า ซึ่งหากเป็นจริงก็สอดคล้องกับคำกล่าวของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ที่ว่าฝ่ายดามัสกัส “ล้ำเส้น” และเขาคงต้อง “จัดการ” แต่ยังระวังเลี่ยงการกล่าวเรื่องการแทรกแซงทางทหาร แม้จะมีข่าวว่า เรือพิฆาตของกองทัพเรือสหรัฐเตรียมเคลื่อนเข้าไปประชิดน่านน้ำซีเรีย รอเพียง “ไฟเขียว” จากโอบามาเท่านั้นก็ตาม

ทว่าการแสดงบทบาทของสหรัฐครั้งนี้อาจไม่สะดวกอย่างที่ผ่านมา “คำเตือน” ของอัสซาดที่ว่า หากสหรัฐหรือยุโรปเข้ามายุ่ง เพื่อนบ้านของซีเรียจะต้องได้รับแรงกระเพื่อม บวกกับการที่เขายืนกรานจะไม่ลาออก เพราะนั่นคือการ “หนี” โดยจะรอให้ชาวซีเรียเป็นผู้ตัดสินเอง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ตามกำหนดจะมีขึ้นในปีหน้า และการจะขอตายบนแผ่นดินซีเรียเท่านั้น บางทีอัสซาด ผู้ที่ภายนอกดูนิ่งเฉยมาตลอด แต่ภายในอาจเต็มไปด้วยความคิดที่ “เหนือความคาดหมาย” ก็เป็นได้

ที่มา www.dailynews.co.th

 

โพลชี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ค้าน "โอบามา" บุกซีเรีย

โพลชี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ "ไม่เห็นด้วย" ต่อการที่รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อซีเรียก่อน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ระบุผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันในเรื่องบทบาทของรัฐบาลสหรัฐต่อสถานการณ์ในซีเรีย จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ส ร่วมกับบริษัทวิจัยอิปซอส รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 1,448 คนในทุกช่วงอายุ ระหว่างวันที่ 19-23 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมีชานกรุงดามัสกัส ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 ศพ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.

ผลที่ออกมาปรากฏว่า มีเพียง 9% เท่านั้น ที่เห็นว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ควรแทรกแซงกิจการภายในของซีเรียด้วยการใช้กำลังทหาร ไม่ว่าผลการตรวจสอบหลักฐานเรื่องอาวุธเคมีจะชี้ไปที่ฝ่ายรัฐบาลดามัสกัส หรือฝ่ายกบฏก็ตาม ขณะที่ 25% กล่าวว่า จะให้ความสนับสนุน หากผลการพิสูจน์จากสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ชี้ไปที่ฝ่ายรัฐบาลซีเรีย แต่ 46% ขอคัดค้านไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ลงมือ

แม้จะยังไม่มีรายงานออกมาแน่ชัดในเรื่องการมอบความช่วยเหลือด้านอาวุธแก่ฝ่ายกบฏ แต่ 47% ไม่เห็นด้วย หากวอชิงตันจะทำเช่นนั้น ส่วนคะแนนความเห็นชอบในเรื่องนี้อยู่ที่ 27% และเมื่อถามถึงความคิดเห็นในภาพรวม 37% ของกลุ่มตัวอย่างตอบว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของซีเรียในทุกกรณี ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยูเอ็นจะดีกว่า

ไม่มีใครรู้ว่า โอบามาจะคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากกระทรวงกลาโหม ( เพนตากอน ) ออกมาประกาศเตรียมพร้อมแล้วในทุกด้าน รอเพียง "ไฟเขียว" จากเขาเท่านั้น เช่นเดียวกับประเทศพันธมิตรสำคัญอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษที่แสดงจุดยืนสนับสนุนเต็มที่ แต่การที่แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาวเผยว่า ผู้นำสหรัฐยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ น่าจะทำให้พออนุมานได้ในเบื้องต้นว่า ศึกครั้งนี้อาจ "ใหญ่หลวง" กว่าที่คิด

ที่มา โพลชี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ค้าน "โอบามา" บุกซีเรีย | เดลินิวส์