นิพพานไม่ใช่ผู้รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 30 กรกฎาคม 2013.

  1. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ที่กล่าวมานี้เป็นการสรุปมาจากประสบการณ์ แล้วนำมาเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก
    แล้วนำมาเสาวนาเปิดธรรมที่ถูกปิด เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่เห็นประโยชน์
    อาจจะนำไปอ้างอิงไม่ได้ ก็พิจารณาเอาเองแล้วกันนะคะ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัย


    ตอนที่เกิดวิปัสสนาญาณในครั้งแรกๆ ก็มีบางอย่างที่ งง งง อยู่เหมือนกัน ก็คือ
    ตอนนั้น งง ว่า ตอนที่เกิดวิปัสสนาญาณนั้น นาม-รูปก็ดับ (สติ-สมาธิ-อายตนะ-ตัวรู้...คือขันธ์๕ ดับสนิท)
    แล้วอะไรหละ? ที่รู้สภาวะนั้น และสภาวะนั้นก็นิ่งสนิทแต่รู้ได้โดยรอบ
    ก็ งง อยู่หลายปีนะคะว่าอะไรที่รู้ จนมาเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นอีกหลายครั้งจึงพอจะเข้าใจได้
    และมาเข้าใจได้มากขึ้นๆเมื่อมาอ่านพุทธวจนะ เพราะเรารู้แต่สภาวะแต่เราเรียกสภาวะนั้นไม่ถูก
    แจกแจงไม่ได้มากนัก และไม่สามารถเก็บรายละเอียดของสภาวะได้ครบถ้วนเหมือนพระศาสดา

    สิ่งที่เห็นจากวิปัสสนาญาณก็ต้องนำมาทำให้เกิดความเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามพระศาสดา
    ก็เมื่อถึงสภาวะนิพพานแล้ว ถ้ายังมีอุปาทานในนิพพาน สำคัญมั่นหมายในนิพพาน
    ถลำลึกลงไปๆในอวิชชา ลึกลงไปๆจนถอนตัวไม่ขึ้น ก็จะสามารถทำให้กำเริบและหวนกลับได้)
    (อาจจะเหมือนกับเรื่องง้วนดิน อัคคัญญสูตรที่๔ ก็ได้ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ อิอิอิ)

    ไม่แปลกหรอกที่ใครๆจะบอกว่า งง งงมาก วนไปวนมา
    ขนาดหลวงตามหาบัวท่านสัมผัสกับสภาวะนั้นเองท่านยังบอกว่า งงๆ เลย อิอิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความไม่หวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัย
    ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
    เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ
    เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี
    เมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมาการไป
    เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติและอุปบัติ
    เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ
    โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
    นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต ข้อที่ ๑๖๒
     
  3. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    อ้อ เข้าใจแล้วค่ะขอบคุณมากค่ะ วิมุตติญาณทัสสนะ(ผู้รู้ในวิมุตติ) มีที่ตั้งอาศัยในวิมุตติ
    ก็คือสิ่งที่หลวงตามหาบัวท่านเรียกว่า อายตนะนิพพาน(สิ่งที่รู้นิพพาน)
    ส่วนตรงนี้"จิต(สัตว์ฯ)จะกลายเป็นผู้ดู อาการที่เกิดจากผัสสะของขันธ์๕จะเป็นผู้แสดง(ผู้ถูกดู)
    จิต(สัตว์ฯ)จะเห็นการทำงานของขันธ์๕ ที่ปรากฎนั้นๆ ด้วยจิตเอง โดยไม่ได้ใช้การคิด
    จิต(สัตว์ฯ)จะประจักษ์ชัดเพราะเห็นความจริงของขันธ์๕ เห็นอริยสัจ ด้วยตัวของจิตเอง
    แล้วจะถอดถอนอวิชชาได้ ประหานกิเลส อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ"

    จิต(สัตว์ฯ)หมายถึง สติระลึกรู้ ใช่ไหมค่ะ ไม่ได้หมายถึงมโนวิญญาณ จักษุวิญญาณ เป็นต้น(วิญญาณหก ที่เกิดดับพอเกิดผัสสะแล้วไปรับรู้)


    อ้อ ท่านเป็นพระปฏิบัติ ท่านเลยมีศัพท์ของท่านเอง
    เราเลยมึนตึบ.....เข้าใจแล้วว่า ท่านว่างี้ ก็เหมือนกับพระที่สอนฉันอยู่ แต่ท่านที่สอนท่านใช้ศัพท์ปริยัติด้วยไม่มีศัพท์แบบท่านคิดเองสื่อของท่านเอง
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่รู้หมายถึงใคร ถ้าหมายถึงหลวงตา คือ ท่านรู้ปริยัตินะครับ เป็นถึงมหาด้วย ส่วนปฎิบัิติ ปฎิเวธ ท่านก็ได้เสียด้วย ที่นี้ที่ท่านกล่าวจะเข้าใจหรือไม่ก็อยู่ที่ภูมิธรรมครับ

    อายตนะ หมายถึง สื่อ ประสาน มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก แต่หากยังมีเชื้อ สุดท้ายแล้วก็ล้วนแล้วแต่นำไปสู่กองทุกข์ทั้งสิ้น มันเป็นของร้อน ที่สื่อประสานมา เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยิน ชอบไม่ชอบ อยากไม่อยาก หลงไม่หลง

    แต่หากนิพพานแล้ว แม้ขณะยังดำรงขันธ์อยู่ อายตนะทั้งหก มันก็ทำงานของมันไป แต่จะไม่ร้อน ไม่ทุกข์ เพราะราคะ โทสะ โมหะ สิ้นไปแล้ว ดับ เย็น สนิทแล้ว

    อายตนะนิพพานก็ดุจ หยดน้ำกลิ้งบนใบบัว ครับ

    ศึกษาเพิ่มเติม ธาตุ - ขันธ์ - อายตนะ สัมพันธ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จิตไม่ใช่สติระลึกรู้ จิตคือจติ สติคือสติ สติเป็นตัวปิดกั้นกิเลสที่มากระทบขันธ์ จิตเป็นผู้รู้ จิตรู้ที่ไหน สติเกิดที่นั้น จิตดับที่ไหน สติดับที่นั้น
     
  6. ^ _ ^

    ^ _ ^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +50
    อนุโมทนาครับ


    อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    ยินดีในปัจจุบัน คือ ปฏิบัติถูกทาง

    บางท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าเบื่อชอบแล้ว หน่ายชอบแล้ว พ้นชอบแล้ว ในเรื่องอดีต อนาคตนี้ แต่ทุกวันนี้อาศัยอยู่แต่ในปัจจุบันเท่านั้นดังนี้ก็มี

    แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนเข้าใจว่า ผู้ยินดีในปัจจุบัน แปลว่าเป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง เดินมรรคภาวนาถูกทาง แต่ยังมิได้หลุดพ้นถึงขั้นอรหันต์ เป็นเพียงเดินมรรคใดมรรคหนึ่งอยู่เท่านั้น และได้รับผลใดผลหนึ่งอยู่ในตัวเท่านั้น ยังมิใช่อรหัตผล เป็นเพียงได้ดื่มปีติความอิ่มใจที่พอใจในสมถะและวิปัสสนาในปัจจุบัน แล้วหลงยึดถือเอาปัจจุบันเป็นพระนิพพาน

    ปัจจุบันมิได้เป็นพระนิพพาน เป็นเพียงทางเดินเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้นเอง ด้วยอำนาจมรรคสามัคคี มรรคสามัคคีกับศีล สมาธิ ปัญญารวมพลกันในขณะเดียวกันไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง ในชั้นติดอยู่ในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมนี้ มิใช่เดินทางถึงปลายทางแล้ว เป็นเพียงใช้คำว่าเดินถูกทางเฉย ๆ

    ท่านผู้ถึงอรหัตผลแล้วมิได้ติดข้องอยู่ในอดีต อนาคตหรือปัจจุบันหรือสูญ ๆ สาญ ๆ หรือไม่สูญไม่สาญหรืออะไร ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากว่าติดอยู่เงื่อนใดเงื่อนหนึ่งแห่งปัจจุบันแล้ว วิญญาณปฏิสนธิก็มีเกิดมีตายอยู่ในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั้นเอง

    ความทะเยอทะยานในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม เป็นสมุทัยและตัณหาอันละเอียดมาก เมื่อเป็นตัณหามันละเอียดก็เป็น อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ อันละเอียดอยู่ในตัวด้วยไม่ต้องจำกล่าวไปใยก็ได้

    เหตุไฉนจึงติดอยู่ในปัจจุบัน จนลืมตัว จนสำคัญตนว่าตนพ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่า สำคัญตนเป็นปัจจุบัน และ สำคัญปัจจุบันว่าเป็นตน ใน ๒ แง่นี้ แล้วก็แตกแยกออกไปอีกเป็นอีก ๒ แง่รวมเป็น ๔ คือ สำคัญว่า ผู้อื่นเป็นปัจจุบัน สำคัญว่า ปัจจุบันเป็นผู้อื่น

    เมื่อสำคัญว่าตนมีอยู่ในปัจจุบัน สำคัญว่าปัจจุบันมีอยู่ในตน แล้วจะไม่หลงไปยึดถืออดีต อนาคตว่าเป็นตัวตนเราเขาสัตว์บุคคลนั้นเป็นไม่มีเลย เป็นเพียงสติปัญญาไม่กล้า แล้วก็เข้าใจผิดฟิตตัวขึ้นว่าละได้แล้วเรื่องอดีตอนาคต ความสำคัญตัวย่อมเป็นรากเหง้าของกิเลสอยู่โดยตรง ๆ แล้ว จะปฏิเสธไปไหนก็ไม่รอดได้เลย

    อดีต อนาคต ปัจจุบันก็คล้าย ๆ กับปลาตัวเดียวกัน แต่หัวและหางไม่กิน เพราะไม่อร่อย แต่เป็นยาเสพติด มากินพุงของมันที่ตรงกลางตัวแล้วจะยืนยันว่าเราไม่กินปลาตัวนั้นดอก ดังนี้ก็ไม่พ้นตกอยู่แบบฉลาดแต่แกมโกงซึ่ง ๆ หน้า ท่านผู้ทรงคุณปัญญาคมคายชำแรกกิเลส ย่อมรู้ได้ไม่ต้องดำดินบินบน เหมือนนกและปลาไหล ก็รู้ได้ไม่ค่อยผิด

    ปัญญาย่อมเป็นนายหน้าของธรรมทุกประเภท ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ทางโลกีย์หยาบ ๆ ที่เป็นนายหมวด นายพรรคนายพวก นายพัน นายพลเป็นต้น ต้องเอาผู้ฉลาดเป็นหัวหน้า ทางพุทธศาสนาว่าบัณฑิต ปัณฑิตา ปรินายกา บัณฑิตเท่านั้นจึงควรเป็นหัวหน้าของกาย วาจา คือใจที่ประกอบด้วยปัญญา นัตถิพาลา ปรินายกา คนพาลมิควรเป็นหัวหน้า ใจที่เป็นพาลไม่ควรเป็นหัวหน้าของกาย วาจา นี้น้อมเข้ามาในฝ่ายปฏิบัติทางธรรมปรมัตถ์ เพื่อให้รู้ชัดปฏิบัติสะดวกเป็นโอปนยิโกไม่ส่งส่ายหนีหลักเดิม

    การนึกคิดทั้งปวงออกไปจากคอกใจ ต้องกลับเข้าคอกใจ ใครเป็นเจ้าของใจ ใจที่มีกิเลสย่อมยึดถือเอาใจเป็นตน ตนเป็นใจ ใจที่ไม่มีกิเลสสิงจะบัญญัติและไม่บัญญัติก็มิได้ติดอยู่ในเงื่อนใด ๆ ทั้งสิ้น นี่ธรรมในพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเพียงใดเล่าโลกาเอ๋ย เหตุนั้นพระบรมศาสดาตรัสรู้ใหม่ ๆ จึงใช้กิริยาระอา(ที่)จะสั่งสอนโลก และเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายต้องใช้กิริยาอย่างนั้นก่อน จึงเป็นเหตุให้พรหมได้อาราธนาตามธรรมเนียม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2013
  7. ^ _ ^

    ^ _ ^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +50
    ผู้หลงผู้รู้

    มีคำถามว่า การข้ามหลงจะข้ามด้วยวิธีไหนได้หนอ

    ตอบย่อ ๆ พอฟังได้ง่าย ๆว่า

    ข้ามผู้รู้รู้ได้โดยมิได้ยึดถือว่า ผู้รู้เป็นเรา เขา สัตว์ บุคคล ตัวตนในขณะจิตใด ๆ เลย แล้วได้เรียกว่าเราข้ามความหลงได้โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง

    ถามต่อไปว่า ผู้รู้รู้ กับสังขารต่างกันอย่างไร

    ผู้รู้รู้ ก็คือสังขาร อันละเอียด อันประณีตนั้นเอง เพราะเกิดอย่างละเอียด ดับอย่างละเอียดมาก เกิดขึ้นแปรดับพร้อมกันในขณะเดียวกัน ไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลังเลย ติดต่อกันเป็นพืด (ถ้า)สติปัญญาไม่แนบสนิทอยู่กับผู้รู้รู้แล้ว ก็ยากจะรู้ได้โดยถ่องแท้ว่าเกิดดับเป็น เมื่อผู้รู้รู้เกิดดับเป็นอย่างว่องไวละเอียดลออแล้ว จะไปเป็นทิฏฐิบัญญัติว่าผู้รู้เป็นพระนิพพานนั้น ก็ย่อมเป็นงูกินหางตนอยู่นั้นเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ พระนิพพานมิได้มาเป็นลูกน้องของผู้รู้ มิได้มาสังสรรค์กับผู้รู้อีกด้วย และมิได้มาบัญญัติว่าสูญหรือไม่สูญ เอาโขนสวมหัวใส่ตนอันใดเลย เป็นเรื่องของผู้รู้ไม่รู้เท่าเงาของตัวต่างหาก จึงกล่าวเป็นภพเป็นชาติอย่างละเอียดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

    ธรรมที่ถูกถามตอบกัน เป็นธรรมหมู่ ธรรมคู่ ที่สังสรรค์ต่างหาก มีรสชาติอันอิงผู้รู้อยู่เป็นเครื่องหมาย มิฉะนั้นก็ไม่มีเงื่อนไขจะอธิบายโต้ตอบและถามได้ ต้องอาศัยขันธวิบากและผู้รู้ตอบถามกันเป็นธรรมาสน์ พระนิพพานแท้มิได้มาตอบถามกับท่านผู้ใด ยกอุทาหรณ์หยาบ ๆ ดินฟ้าอากาศมิได้มาตอบถามกับผู้รู้และไม่รู้ฉันใด พระนิพพานก็ฉันนั้น พระนิพพาน มิได้มากล่าวชีวประวัติตนเองและผู้อื่นให้เป็นคัมภีร์อะไรเลย ผู้รู้เมื่อรู้ถูก ปฏิบัติถูก ก็เป็นเพียงทางเดินเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น มิได้เป็นเนื้อธรรมนิพพานแท้

    ถ้าหากว่าตายคาผู้รู้รู้ มีอุปาทานอยู่ในผู้รู้และจิตใจอันเด่นดวง ก็ไปเกิดในพรหมโลกที่ไม่มีรูป ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะได้แท้ นักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยด่วนแน่แท้ มักจะคาอยู่ที่นี้เป็นส่วนมากนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าไม่มีท่านผู้พ้นไปจากนี้ได้ เป็นเพียงมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้น เขาโคกับขนโคแม้อรหันตาขีณาสวา เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว มากกว่าเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร ๔ หรือ ๕ มหาสมุทร หรือมากกว่านั้นก็จริง บรรดาที่ยังเหลืออยู่นั้น จะกี่อสงไขยมหาสมุทรเล่า เพราะเขาโคกับขนโคดังปรารภมาแล้วนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ


    หนังสือ อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    �ѵ�����ѵ� ��ǧ������� ��ѵ� 1

    �ѵ�����ѵ� ��ǧ������� ��ѵ� 12
     
  8. ^ _ ^

    ^ _ ^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +50
    ย่อเส้นทางนิพพาน

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=a-UPTAxsno4&list=PLItWrbCkI1FbQpA-ZdS0yme37v6MGTxAo]ย่อเส้นทางนิพพาน - YouTube[/ame]


    แสนเย็นประภัสสร

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CMKdwkWGPB0&list=PLItWrbCkI1FbQpA-ZdS0yme37v6MGTxAo&index=12]แสนเย็นประภัสสร - YouTube[/ame]
     
  9. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    เขาไปถึงไหนกันแล้วคุณค่ะ เขารู้แล้วค่ะว่าจิตไม่ใช่สติระลึกรู้ แต่ก็ไม่ได้แยกจากกันเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของจิต คือรู้ ที่รู้นะคือสติ ที่นี้จิตยังคิดได้ จำได้ อะไรทำนองนี้อีก เขารู้แล้วค่ะ
     
  10. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    หมายถึง หลวงตานั้นแหละ ค่ะ เข้าใจค่ะว่าท่านรู้ปริยัติในระดับหนึ่ง แต่จะให้รู้ระดับ พระบางท่าน อย่างท่านพุทธทาส ท่านพระพรหมคุณากรณ์ ท่านพระธรรมธีรราชมหามุนี

    คงไม่ใช่ เลยพูดไปแบบนั้นเพราะเห็นว่าท่านมีศัพท์ของท่านเองด้วย อย่าง อายตนะนิพพานนี่ ไม่มีในพระไตรปิฏก
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มันมีหลายครั้งต่อหลายครั้ง กิเลสหลายกองทัพ กองทัพธรรมก็หลายกองทัพ สู้กัน ดูวัดดอยธรรมเจดีย์จะมีสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ว่าเดินจงกรมอยู่ตอนเช้าๆ เช้ามืดตี ๕ ที่จิตมันสว่างไสว คือมันว่างหมดเลย นั่นละเราก็มาคิดอัศจรรย์ใจเจ้าของ โถ ใจดวงนี้ทำไมมันถึงได้อัศจรรย์นัก (ครั้งแรกที่สว่างมีธรรมะขึ้นมาเตือนว่า มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ แต่หลวงตาคิดไม่ออกในตอนนั้น) นั่นละพระธรรมขึ้น ธรรมชาติเป็นผลมาดั้งเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งถึงขั้นว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ ตี ๕ เดินจงกรมอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ทางจงกรมไปตามทิศใต้ทิศเหนือ คือมันเป็นทางตรงแน่วกลางคืนเดินดี เวลาไหนก็เดินดี เช้าวันนั้นประมาณตี ๕ ดูจิต แหม มันสว่างไสว สว่างแล้วยังไม่แล้วยังว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ โอ้โห จิตนี้เป็นขนาดนี้เชียวน้า มันสว่างไสว

    สักเดี๋ยวหนึ่งธรรมที่เหลือนั้นมาอีกนะ นี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่งที่หลอกให้หลง ที่หลอกให้หลงนั่นคือกิเลส เรารู้ไม่ทันมัน จึงได้หลงได้อัศรรย์ความสว่างของจิต ว่างไปหมดเลย นี่เราอัศจรรย์ นี่มันก็ยังไม่ถึง แต่จิตก็ยังไม่สำคัญว่าถึงแล้ว ทีนี้พระธรรมท่านก็เตือน พออันนี้สงบลงพระธรรมเตือนขึ้นมาเลย ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราเลยงงแก้ไม่ตก เดือนสามอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แก้ไม่ตก งงเลย เอ๊ มันจุดต่อมอย่างไรน้า ถ้าหากไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังแล้วดีไม่ดีสำเร็จในเดี๋ยวนั้นเลย เพราะมันก้าวเดียวเท่านั้นละ ก้าวที่สองก็ตูมเลย มันเปิดไว้แล้วแต่ยังไม่เข้าเฉยๆ

    อัศจรรย์ แล้วธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดสว่างไสว จุดว่างเปล่า ตัวจิตยังไม่ว่าง สิ่งเหล่านั้นว่างหมดแล้ว มันวางหมด ว่างหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง ยังไม่วาง มันอยู่จุดนี้นะ ถ้าหากว่าไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังดีไม่ดีปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลย บรรลุ ที่ว่าพระสาวกทั้งหลายไปกราบทูลธรรมะถวายพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมไม่น้อยนะ คือปัญหาอย่างนี้ละ พอไปถึงมันจะลงแล้วตีเลย ลงเลย ตูมเลย นั่น อันนี้ไม่มีใครมาตีให้ซี เลยงง อัศจรรย์ ทำไมมันสว่างไสวเอานักหนา

    จากนี้เราก็ลงจากดอยธรรมเจดีย์ไปองค์เดียว ธรรมดาเราไปองค์เดียว ไปอยู่ทางเลยศรีเชียงใหม่เข้าไปลึกๆ อยู่ในภูเขาเหมือนกัน ไปพักที่ถ้ำผาดัก จนกระทั่งเดือนหก สามเดือนกลับมา กลับมาก็ขึ้นเขาอีก เขาลูกนี้แหละลูกดอยธรรมเจดีย์ มันแบกปัญหาอันนี้ละไป ที่ว่ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราก็เลยงง เลยแบกปัญหานี้ไป ไปไหนแบกไปไหนปลงก็ไม่ลง จนกระทั่งเดือนหก กลับมาก็ขึ้นเขานี้ละวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ กลับมาก็พิจารณาจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ อันนั้นก็มีแต่เรื่องใจ เศร้าหมองก็ใจ ผ่องใสก็ใจ สุขก็ใจ ทุกข์ก็ใจ ทำไมใจนี่เป็นได้หลายอย่างนักนา มันรำพึง

    พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตอยู่ในมัธยัสถ์วางเป็นกลาง ไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงอะไร ว่าจะจ่อกับอะไรก็ไม่จ่อ หากอยู่กลางๆ พอธรรมเตือนขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็หยุดพักไป นิ่ง วางเฉย แล้วบอกขึ้นมาอีกว่าความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เป็นอนัตตา พออันนี้ว่าแล้วก็สงบเงียบ ตอนนั้นไม่ตั้งใจจะจดจ่อกับงานอะไร อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น บทเวลาจะเป็น ไม่ได้มาเป็นตอนตั้งใจนะ

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
    บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด

    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ�

    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผมเห็นว่าไม่ใช่บัญญัติศัพท์ใหม่ครับ

    ผมอ่านแล้วเข้าใจหมายว่า ท่านอธิบายถึงสภาวะของพระอรหันต์ โดยใช้คำสองคำมคำมาจำกัดความ คือ อายตนะ กับนิพพาน แล้วขยายความเพิ่มครับ
     
  13. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    ไม่สิค่ะ ถ้าท่านจับ อายตนะ กับนิพพาน แล้วขยายความพอเข้าใจค่ะ อย่างอายตนะภายในมีอะไรบ้าง ภายนอกมีอะไรบ้าง นิพพานว่าไง? อย่างนี้เข้าใจค่ะ

    แต่ท่านเอาคำว่า อายตนะนิพพาน ไปพูดของท่านเรียกสภาวหนึ่ง ของจิตที่บรรลุนิพพานแล้ว อย่างงี้คือท่านเอามาใช้ของท่านเองสิ

    จริงๆๆก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก หมูก็คือหมู จะเรียกว่าไก่ ว่านก มันก็คือหมู
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............จริง จริง ถ้า ค้นดู มันก็มี พระสูตร ที่เนื่องอยู่กับ คำว่า อายตนะนิพพาน อยู่บ้าง...ซึ่ง ผมว่า ท่านคงไม่ได้ ตั้งใจบัญญัติ ศัพท์ใหม่ แต่เป็น การเทศน์ให้เข้าใจเท่านั้น...
     
  15. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    สติ-สมาธิ-ฌาน-ตัวรู้-อายตนะของขันธ์๕-วิญญาณหกฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์๕ ไม่ใช่ จิต(สัตว์)
    จิต(สัตว์) คือ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด จะเห็นจิต(สัตว์)ได้ต้องได้ฌาน๔ แยกจิตออกจากนามรูปได้ค่ะ

    ตอนปฏิสนธิ = จิต(สัตว์ฯ) + ขันธ์๕(กรรมเก่าสร้างขึ้น)
    = จิต(สัตว์ฯ) + ขันธ์๕ (รูปขันธ์+เวทนาขันธ์+สัญญาขันธ์+สังขารขันธ์+วิญญาณขันธ์)
    จิต(สัตว์)จะสแตนบายอยู่ในขันธ์๕ อยู่ตลอดถ้ามันไม่มีตัณหาอุปทานในขันธ์๕ กรรมใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น

    จะสรุปคร่าวๆดังนี้ค่ะ

    การเกิดวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    [อายตนะภายนอก+สฬายตนะ(อายตนะภายใน) > เกิดวิญญาณหก (รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส-ธรรมารมณ์)]

    ในชีวิตประจำวันจิตของเราคือจิตที่ถูกปรุงแต่งแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง (จิตสังขาร)
    = วิญญาณหก + จิต(สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก) = จิต, มโน, วิญญาณ (ใช้เรียกแทนกันได้)
    ก็คือจิตที่อยู่ในวงจรปฏิจสมุปบาท
    …………………….

    วงจรของขันธ์๕และปฏิจสมุปบาท คือ
    นาม-รูป>สฬายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน>ภพ>ชาติ>ชรา-มรณะ>อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นาม-รูป

    ……………………………………………………………..….……. (2)
    อายตนะภายนอก+สฬายตนะ(อายตนะภายใน) > เกิดวิญญาณหก = ผัสสะ
    …….…….. (2) ……. (1) …………………………………………….……………….…… (2)
    เมื่อเกิดวิญญาณหก ถ้าจิตยังมีตัณหามีอุปทานในขันธ์๕ จิตก็จะเข้าไปเกาะเอาวิญญาณหก ว่าเป็นมันเป็นของมัน
    ………… (2) ……..… (1) ……………………..………………….. (2) + (1)
    จะ = วิญญาณหก + จิต(สัตว์ฯ) ก็จะ = สิ่งที่ถูกเรียกว่า จิต, มโน, วิญญาณ (ใช้เรียกแทนกันได้)
    กระบวนการปฏิจสมุปบาทก็เกิด
    .........................

    ……………..……………..…………..……………………………………………………………………………….……… (2)+(1)
    นาม-รูป(กรรมเก่า)>สฬายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน>ภพ>ชาติ>ชรา-มรณะ>อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นาม-รูป
    <--กรรมเก่า-->+<--ยังไม่เกิดกรรมใหม่-->+<-----------เกิดกรรมใหม่ [สะสมไว้ในจิต(สัตว์)]---------->=นามรูปใหม่

    ......................... (2)+(1) …………...…. (2) ……..…….. (1)
    ปฏิจสมุปบาทเกิดมาถึง วิญญาณ คนนั้นตาย=วิญญาณหกตาย แต่ จิต(สัตว์ฯ)ไม่ตาย>มันไปสร้างนามรูปใหม่ตามกรรมที่ทำไว้

    เ้ส้นทางของ จิต(สัตว์) จะสิ้นสุดลงได้อย่างไร
    ก็ต้องปฏิบัติตามมรรค 8 เพื่อออกจากกระบวนการปฏิจสมุปบาทจนเกิดวิปัสสนาญาณ
    ตามที่อธิบายไว้ในความเห็นที่ #18
    http://palungjit.org/posts/8164730
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อายตนะภายใน+อายตนะภายนอก = สฬายตนะ ครับ
     
  17. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ก็ดูเอาเองแล้วกันนะคะ ว่าบัญญัติตัวไหนเรียกอะไร
    คลาดเคลื่อนอย่างไรก็ขออภัย

    จะกล่าวให้เห็นเส้นทางของ จิต(สัตว์)
    ถ้าเข้าใจในสิ่งนี้แล้ว จะทำให้เข้าใจอะไรๆ ได้อีกมากมายค่ะ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จริงๆ แล้วอายตนะนี่ตัวสำคัญ จิตสัตว์ จิตมนุษย์เหมือนกันหมด ลองมีกิเลสแล้วทำชั่วได้ทันที มนุษย์ดีกว่าสัตว์ตรงที่มีโอกาสได้เรียนรู้ธรรมะได้ คนเราทั่วไปอย่าไปพูดเรื่องนิพพานให้มากเลยครับ ความจริงผมไม่ค่อยโพสต์เรื่องนิพพานเท่าไร แต่เห็นกระทู้หนึ่งเขาตั้งว่า "ความเข้าใจผิดเรื่อง ต้องได้ทำฌานให้ได้ก่อนจึงจะสามารถทำวิปัสสนาจนบรรลุธรรมได้" ผมอ่านแล้วก็ปวดใจขึ้นมาทันที คนบ้าอะไรไม่ต้องทำฌานก็บรรลุธรรมได้ ขออภัยที่หยาบไปหน่อย แต่อยากพูดแบบนี้จริงๆ
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมขอเพิ่มเติมนิดนึงครับ....ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ...อันที่จริง สัตว์ตานัง นั้นคือผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก(ก็คือ สัตตานังผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ยังมีการเกิดด้วย อวิชชา ตัณหา)....ส่วน โลกสมุทัย อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน+วิญญาน จึงเกิด "ผัสสะ" ความประจวบพร้อมของทั้งสามสิ่ง ครับ ไม่ใช่อายตนะภายนอก+ภายใน แล้วเกิดวิญญาน แต่เป็นการประจวบพร้อมทั้งสามสิ่ง จึงเกิด "ผัสสะ"..............อันที่จริง อธิบายปฎิจจสมุปบาทนั้นยากมากครับ เราอาจจะอธิบายตามภูมิ ความรู้วันนี้้่ แต่ วันหน้าก็คง ต้อง มีความรู้เพิ่มขึ้นเป้นแน่นอน.....ยกตัวอย่างครับ สัตว์ที่มีอวิชชาเป้นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก...ก็มาทำความเข้าใจเรื่องอวิชชา(ผู้ไม่รู้ อริยะสัจจสี่ คือผู้มี อวิชชา)และตัณหา ก็จะเข้าใจความเป็นสัตตานัง...ซึ่ง ก็เป็น สมมุติบัญญัติหรือ สังขตะธรรม สิ่งปรุงแต่งจากเหตุปัจจัย ที่ไม่ สามมารถยึดมั่นถือมั่นได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............ขออีกนิดนะครับ อย่าง ที่บอกว่า คนนั้นตาย วิญญานหกตาย ก็อาจจะพออนุโลมเป็นสมมุติได้นะครับ...แต่ความจริงที่ควรประจักษ์คือ มันเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เป็นปฎิจจสมุปันธรรม(ปฎิจสมุปบาท)ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา...แต่การเห้นอย่างจริงแท้แบบอริยสัมมาทิฎฐินั้น ต้อง ศึกษา หรือ ก็ต้องศึกษาต่อไปแหละครับ หรือ การเริ่มที่การฟังธรรมที่ถูกต้องจาก สัปบุรุษ(หรือ ตำรา)นั่นแหละครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...