ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 24 กรกฎาคม 2556
    test9876.gif
    ดาวเคราะห์น้อย 2013 NE19 ขนาดราว 93 เมตร กำลังเข้าใกล้โลกที่ระยะ 11 เท่าของระยะระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ด้วยความเร็ว 28.57 กิโลเมตร/วินาที แรงปะทะ 123 เมกกะตัน
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความจริงหลังกึ่งพุทธกาล
    3 ชั่วโมงที่แล้ว.ปาฏิหาร์ยที่เป็นธรรมชาติ แต่ตรงข้ามกับธรรมชาติ!
    76341_547986475264347_1177189463_n.jpg
    ชมภาพแปลกๆที่ลิ้งค์
    Otherworldly Photos Capture Mysterious Phenomena in Upper Atmosphere - Wired Science

    หลายคนงงได้อีก กับรูปถ่าย Otherworldly จับปรากฏการณ์ลึกลับในบรรยากาศชั้นบน
    ...
    ซึ่งสิงต่างๆเหล่านี้ ในพระคำภีร์บอกเอาไว้ค่อนข้างจะชัดเจน ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไกล้เข้ามาแล้วสำหรับการมาครั้งที่สองของพระองค์ ซึ่งเป็นการมาหลังจากที่มนุษย์โลกต้องพบกับสถานการณ์วันโลกาวินาสเสียก่อน ซึ่งบังเอิญหรือไม่ที่ไปสอดคล้องกับคำทำนายจาก "พุทธทำนาย" ที่ว่า "สิ่งที่สาธุชนไม่เคยพบจะได้เห็น"

    อย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ ลองค้นคว้าอ่านแล้วค่อยสรุป ว่าใครทำอะไรให้ผู้คนส่วนใหญ่งง !!
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพถ่ายจากคุณ มี มี่ จากในกลุ่ม สงครามสภาพอากาศฯ และ วิดีโอชื่อเรื่อง "นาซ่ายอมรับ chemtrails - 10 กรกฎาคม 2013"
    1081463_274361669369253_668152859_n.jpg
    NASA admits chemtrails - 10 July 2013
    เผยแพร่เมื่อ13 ก.ค. 2013
    NASA admits chemtrails - 10 July 2013 - YouTube

    อีกภาพค่ะ
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความจริงหลังกึ่งพุทธกาล ได้แชร์ รูปภาพ ของ ผู้พเนจร จากฟากฟ้า
    3 ชั่วโมงที่แล้ว.สุดทึ่ง ปรากฏการณ์พิสดาร"เมฆลูกโป่ง"ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน วอนผู้เชี่ยวชาญ"ไขปริศนา"
    487399_583981358311452_1103912508_n.jpg

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ว่า ได้เกิดปรากฏการณ์น่าทึ่งขึ้นเหนือท้องฟ้าบริเวณภูเขา "ไอออน เมาน์เทน" ในเมืองมิชิแกน ของสหรัฐ เมื่อคืนวันจันทร...์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยเกิดเมฆมีลักษณะคล้ายลูกโป่งเป็นกลุ่มก้อนจำนวนมาก สร้างความประหลาดให้แก่ชาวบ้านซึ่งต่างออกมาบันทึกภาพปรากฏการณ์นี้ และพากันเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยไขปริศนาถึงการเกิดเมฆประหลาดลักษณะนี้

    ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาบางรายได้ช่วยอธิบายปรากฏการณ์เมฆประหลาดดังกล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "Mammatus"

    ส่วนอีกรายระบุว่า ภาพเหล่านี้ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ใกล้เมฆมีลักษณะสีเข้มข้นขึ้น เช่น สิ่งที่เป็นสีเขียวก็ดูเป็นสีเขียวมากขึ้น หรือเป็นสีน้ำเงินมากขึ้นด้วย

    อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านบางรายบอกว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต และน่ากลัวว่ามันจะเป็นสัญญาณบอกเหตุของภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้


    มติชน
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นาซ่า ยอมรับ Chemtrails
    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/3Z2iRormxkw?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Birkeland Current
    Posted by drjoop on 23/02/2012
    จุดประสงค์หลักของบล้อคนี้ เพื่อต้องการไขปริศนาของภัยพิบัติในโลกของเรา โดยจะแยกสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือที่เรียกว่า conspiracy theory ออกไป ให้คงเหลือแต่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งในบางครั้งการมองปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดเดิมๆ ทฤษฎีเดิมๆ ไม่อาจทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์หรือหาคำอธิบายในหลายๆเรื่องได้ จะเป็นจะต้องใช้ทฤษฎีอื่นๆที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

    ก่อนที่เราจะเข้าไปสู่เนื้อหาที่ลึกขึ้น จำเป็นจะต้องเข้าใจแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานก่อน ซึ่งในที่นี้จะเป็นแนวคิดในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทาง Plasma universe หรือทฤษฎีที่อธิบายกลไกของจักรวาลและโลกด้วยปรากฎการณ์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถไขปริศนาหลายๆอย่างที่ทฤษฎีฟิสิกส์แบบนิวตันหรือไอน์สไตน์ใช้อธิบายมาหลายร้อยปีไม่สำเร็จ

    วันนี้ขอเริ่มต้นจาก Birkeland Current ก่อนครับ กระแสเบิร์กแลนด์ถูกค้นพบโดยนักฟิสิกส์ชาวนอร์เวย์ Kristian Birkeland ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Birkeland ได้ทำการศึกษาปรากฏการณ์แสงเหนือ (Aurora) ร่วมกับการค้นคว้าทางรังสีเอกซเรย์และสนามแม่เหล็ก โดยกระแสนี้เกิดจากแนวกระแสอิเลคตรอนที่เชื่อมระหว่างบรรยากาศชั้น magnetosphere และ ชั้น ionosphere ระดับสูงของโลก และเกิดสนามแม่เหล็กรอบๆกระแสที่เคลื่อนตัวอยู่นี้ กระแสเบิร์กแลนด์จะถูกขับเคลื่อนโดยลมสุริยะจากดวงอาทิตย์และสนามแม่เหล็กระหว่างดาว และจากการเคลื้อนตัวของกลุ่มพลาสมาจำนวนมากเข้าสู่ชั้น magnetosphere ขณะที่กระแสเบิร์กแลนด์ทำให้เกิดการเร่งอิเลคตรอนในชั้น magnetosphere แล้วมีการวกขึ้นสู่ชั้น ionosphere ด้านบนนี้ จะทำให้เกิดแสงเหนือหรือแสงใต้ขึ้น
    1.png

    กระแสเบิร์กแลนด์ จะมีการวิ่งเป็นสองชุดในชั้นบรรยากาศโลกโดยชุดที่อยู่ในละติจูดสูงกว่า จะมีการวิ่งของกระแสจากฝั่งเที่ยงของโลกผ่านช่วงค่ำไปยังโซนเที่ยงคืน ขณะที่อีกชุดหนึ่งที่อยู่ในละติจูดต่ำกว่าจะมีการวิ่งของกระแสจากช่วงเที่ยงผ่านช่วงเช้าไปยังช่วงเที่ยงคืน ชุดกระแสที่ผ่านในละติจูดสูงจะเรียกว่า Region 1 ส่วนชุดที่เกิดในละติจูดล่างๆจะถูกเรียกว่า Region 2 แนวความคิดของเบิร์กแลนด์ ไม่ได้รับการยอมรับจนกระทั้งปี 1960 ซึ่งเริ่มมีการส่งจรวดออกไปนอกโลก และได้ถ่ายภาพแนวการเกิดแสงเหนือและแสงใต้ตามทฤษฎีที่เบิร์กแลนด์ได้ทำนาย ดังนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติกับเบิร์คแลนด์ จึงมีการตั้งชื่อกระแสนี้ตามชื่อของเขาว่า กระแสเบิร์คแลนด์

    ศาสตราจารย์ Emeritus แห่งห้องทดลอง Alfvén ในสวีเดนและศาสตราจารย์ Carl-Gunne Fälthammar ได้ให้ความเห็นว่า “สาเหตุที่เราต้องสนใจกระแสเบิร์คแลนด์เพราะ เป็นกระแสที่เกิดจากการเหนี่ยวนำด้วยพลาสมา ซึ่งเมื่อเราใช้ฟิสิกส์ของพลาสมามาอธิบายมันทั้งการเคลื่อนตัวแบบคลื่น ความไม่เสถียร และโครงสร้างของมันแล้ว เราพบว่าผลลัพท์ของมันทำให้เกิดการเร่งของอานุภาคที่มีประจุทั้งบวกและลบ รวมไปถึงการแยกประจุของสสาร ซึ่งทำให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศของโลกมากขึ้น

    ลักษณะของ กระแสเบิร์กแลนด์
    2.jpg
    การทดลองที่ถูกอ้างอิงบ่อยที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดเรื่องกระแสเบิร์คแลนด์คือ Terrella หรือโลกใบเล็ก เป็นทรงกลมแม่ เหล็กที่จำลองคล้ายสภาพแม่เหล็กของโลก ประดิษฐ์ขึ้นโดย William Gilbert นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ โดย Birkeland ได้ใส่ terrella ลงในถังสูญญากาศ แล้วยิงด้วยรังสี Cathode จากเครื่องผลิต x-ray ซึ่งทราบต่อมาว่าคือกระแสอิเลคตรอน ผลที่ได้คือภาพของการเรืองแสงบนพื้นผิวทั้งขั้วเหนือและใต้ของทรงกลม คล้ายลักษณะของออโรร่า จากการศึกษาต่อมาพบว่า กระแสเบิร์กแลนด์ จะนำไฟฟ้าประมาณ 100,000 แอมแปร์ในช่วงที่ไม่มีปฏิกิริยารุนแรงของลมสุริยะ และอาจสูงกว่า 1 ล้านแอมแปร์ในช่วงที่เกิดพายุสุริยะ กระแสในชั้น ionosphere จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในชั้นบรรยากาศชั้นสูง เนื่องจากการรับกระแสได้จำกัดของชั้นนี้ และมีการถ่ายทอดความร้อนไปยังก๊าซในชั้นบรรยากาศชั้นสูงให้ลอยตัวขึ้นและมีผลต่อวงโคจรดาวเทียมระดับล่าง
    นอกจากนี้ การทดลองของเบิร์กแลนด์เมื่อทำที่ระดับกระแสอิเลคตรอนขนาดต่างๆกัน จะทำให้เกิดรูปร่างของลำอิเลคตรอน ที่เรียกกันว่า diocotron instability ซึ่งสามารถพบได้ในหลายรูปแบบ ส่วนหนึ่งเราสามารถพบได้ในชั้นออโรร่าที่เกิดบริเวณขั้วโลก (ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วในเรื่อง squatter man) ซึ่งต่อมาได้มีการศึกษารูปแบบของความไม่เสถียรของพลาสม่าในรูปแบบนี้ ทำให้เราเข้าใจกลใกการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆได้เช่น การเกิดกาแลคซี่รูปจักร ซึ่งเป็นงานศึกษาของดร. Peratt ในเวลาต่อมา
    กระแสเบิร์กแลนด์ถูกจัดกลุ่มในปรากฏการณ์พลาสม่า แบบหนึ่งที่เรียกว่า z-pinch ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกจากการบิดตัวของสนามแม่เหล็กในแนวที่ผ่านกระแสไฟฟ้าเส้นเดี่ยวเข้ามา ซึ่งเกิดการบิดตัวเองเป็นรูปเกลียวได้ เมื่อกระแสเบิร์คแลนด์สองเส้นที่วิ่งมาคู่กัน อาจเกิดแรงกระทำของสนามแม่เหล็กจากกระแสทั้งสอง ตามระยะห่างระหว่างกระแสทั้งสองได้
    อ้างอิง
    1. Birkeland current - Wikipedia, the free encyclopedia
    2. Plasma (physics) - Wikipedia, the free encyclopedia
    3. Pinch (plasma physics) - Wikipedia, the free encyclopedia
    4. KTH | School of Electrical Engineering
    5. Galaxy formation - (The Plasma Universe Wikipedia-like Encyclopedia)

    Birkeland Current | ติดตามภัยพิบัติและหาคำตอบ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทฤษฎีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ มีอะไรมากกว่าอุกาบาต super volcano หรือยุคน้ำแข็งไหม? Posted by drjoop on 01/03/2012
    เป็นที่ทราบดีกันว่าโลกของเรานั้นผ่านการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มากว่า 5 ครั้งแล้ว ในช่วงประวัติศาสตร์ 500 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้มีความพยายามในการหาสาเหตุของการสูญพันธุ์ว่าเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นอุกาบาตขนาดใหญ่ หรือ Supervolcano หรือยุคน้ำแข็งถูกนำมาใช้อธิบายการสูญพันธุ์แต่ดูเหมือนยังไม่เป็นที่พอใจ (รายละเอียดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่สามารถอ่านได้ใน en.wikipedia.org/wiki/Extinction_event)

    1.png

    ภาพแสดงการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่โดยตัวเลขเหนือสามเหลี่ยมสีเหลืองแสดงการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ซึ่งวัดจากจำนวนของ biodiversity ในช่วงนั้นๆ รวมไปถึงระยะว่างของอายุ fossil ส่วนสามเหลี่ยมสีน้ำเงินแสดงการสูญพันธุ์ย่อยๆในช่วงประมาณ 500 ล้านปีที่ผ่านมา ( จาก http://muller.lbl.gov/papers/Rohde-Muller-Nature.pdf )
    ข้อมูลที่นำมาเล่าวันนี้มาจาก (สนใจตัวไหนสามารถกดที่ลิงค์ซึ่งจะดาวน์โหลดไฟล์ pdf ของวารสารฉบับนั้นๆเลยครับ)

    1.งานวิจัยของดร. Manvedev และ ดร.Melott จากมหาวิทยาลัยเทกซัสซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.2007 เรื่อง Do extragalactic cosmic rays induce cycles in fossil diversity? ซึ่งได้หาความสัมพันธุ์ของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในรอบ 500 ล้านปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับการโคจรของระบบสุริยะของเราไปตามแขนของกาแลคซี่ทางช้างเผือก
    2.การศึกษาของดร. Gies และ ดร.Helsel เรื่อง Ice age epochs and the sun’s path through the galaxy. ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายนปีค.ศ. 2005 ใน AstroPhysical Journal แ
    3. Testing the link between terrestrial climate change and galactic spiral arm transit โดย ดร.Overholt ดร.Melott และ ดร.Pohl
    4. Structure and Dynamics of the Milky Way: The Evolving Picture โดยดร. Tyler Foster และดร. Brendan Cooper
    จะเห็นว่าแนวคิดนี้มาจากดร. Melott เป็นหลักและมีผลงานด้านนี้ถึงสองเรื่องด้วยกัน โดยในงานวิจัยของดร. Melott ได้เสนอกลไกที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์โดยมีสาเหตุจากรังสีคอสมิคซึ่งมีความเข้มข้นแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่งขณะที่เราเคลื่อนที่ไปตามระนาบของกาแลคซี่ โดยพบความหลากหลายทางชีวภาพแปรผกผันกับปริมาณของ Cosmic rays Flux ดังภาพ

    2.png

    โดยเส้นสีน้ำเงินแสดงดัชนีความหลากหลายทางชีวพันธุ์ในขณะที่เส้นสีแดงแสดงปริมาณ cosmic ray flux ที่เราตรวจสอบจาก berillium-10 ในแกนน้ำแข็ง จะพบว่าเมื่อใดที่มีปริมาณรังสีคอสมิคเข้ามามากจะเกิดการหยุดความหลากหลายทางชีวพันธุ์ หรือบางครั้งเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว ดังจะเห็นกราฟสีน้ำเงินที่ต่ำกว่า -200 ส่วนแกนในแนวนอนจะแสดงระยะเวลาเป็นล้านปี ซึ่งกลไกการเกิดการสูญพันธุ์สามารถอธิบายได้ดังนี้
    1.จากการได้รับรังสีคอสมิคในปริมาณมากๆโดยตรง ส่งผลทำให้เกิดการกลายพันธุ์ และเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้นได้ ปริมาณรังสีที่จัดว่ามากคือปริมาณตั้งแต่ 10^14 eV ซึ่งจะมีอนุภาค muon เป็นตัวหลัก โดย muon เมื่อลงมายังพื้นโลกสามารถทะลุผ่านน้ำทะเลได้ลึกถึง 2.5 กม.หรือทะลุชั้นหินได้ถึง 900 ม. และสามารถสร้างกัมมันตรังสีที่มีอายุได้ยืนยาวถึง 1 ล้านปี
    2.จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จากที่กล่าวในบล้อคก่อนหน้านี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างรังสีคอสมิคและเมฆรวมไปถึงการเกิดยุคน้ำแข็งขึ้นบนโลกแล้วว่า รังสีคอสมิคอาจเป็นตัวอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้
    3.รังสีคอสมิคไปทำให้เกิดปฏิกิริยาและเกิดออกไซด์ของไนโตรเจนและเกิดการกลายพันธุ์ผ่านทางออกไซด์ของไนโตรเจนได้
    4.เกิดการกลายพันธุ์จากรังสี UV จากดวงอาทิตย์ที่ผ่านเข้าสู่บรรยากาศด้านล่างมากขึ้นซึ่งเป็นผลจากออกไซด์ของไนโตรเจนไปทำลายชั้นโอโซนที่ทำหน้าที่กรองรังสีในชั้นบรรยากาศ ทำให้มีปริมาณของ UVB ที่พื้นผิวมากและทำลาย phytoplankton ซึ่งเป็นฐานล่างสุดของห่วงโซ่อาหารในสัตว์น้ำ
    จากงานวิจัยของดร. Gies และดร. Helsel พบความสัมพันธุ์ของการสูญพันธุ์ใหญ่เมื่อเทียบกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์กับระนาบกาแลคซี่และแขนของกาแลคซี่เราดังนี้

    3.png

    โดยกราฟบนสุดจะเป็นระยะห่างจากจุดศูนย์กลางกาแลคซี่ (หน่วยเป็นกิโลพาร์เซค) กราฟกลางจะเป็นมุมอาซิมุธเมื่อเทียบกับตำแหน่งปัจจุบันที่ 0 องศา กราฟล่างจะเป็นระยะห่างจากระนาบของกาแลคซี่เป็นพาร์เซคเช่นกัน (1พาร์เซค=ระยะทางประมาณ3.26ปีแสง หรือประมาณ 30 ล้านล้านกิโลเมตร วัดจากการเกิดพัลลาแลกซ์ของดาว 1 ฟิลิปดา)
    กากบาทในรูปแสดงให้เห็นช่วงที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เส้นหนาในรูปแสดงระยะเวลาที่เกิดยุคน้ำแข็งขึ้นบนโลก
    และเมื่อเทียบกับตำแหน่งที่มองจากด้านบนของกาแลคซี่แล้วเราจะพบว่า

    4.png

    จากภาพ LOCAL =ตำแหน่งปัจจุบันของดวงอาทิตย์, เครื่องหมายบวกตรงกลาง=จุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก, รูปสี่เหลี่ยมเล็กๆแสดงพิกัดระยะ 100ล้านปี, เส้นทึบแสดงระยะของยุคน้ำแข็ง, เส้นกากบาทแสดงระยะเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
    สิ่งที่สรุปได้จากการศึกษานี้คือ ช่วงเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จะมีคาบการเกิดชัดเจน และสัมพันธ์กับการโคจรของดวงอาทิตย์เข้าไปยังด้านเหนือของกาแลคซี่ (ขณะที่เขียนอยู่ ดวงอาทิตย์กำลังข้ามระนาบของกาแลคซี่อยู่) จึงมีการตั้งสมมติฐานต่างๆตามมาว่า ถ้าวัดจากระดับรังสีคอสมิคปกติที่เราได้รับจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกเอง จะอยู่ที่ 10^10 eV – 10^15 eV ส่วนรังสีที่สูงกว่านี้น่าจะมาจากนอกระบบกาแลคซี่ของเรา เมื่อเราลองดูความสัมพันธ์ข้างต้นแล้วประกอบกับข้อมูลล่าสุดจาก TESTING THE LINK BETWEEN TERRESTRIAL CLIMATE CHANGE AND GALACTIC SPIRAL
    ARM TRANSIT โดยดร. Overholt ดร. Melott ดร. Pohl ซึ่งได้นำข้อมูลเดิมมาประกอบกับการคำนวณความเร็วของการหมุนของแขนกาแลคซี่เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ของเราแล้วได้ความสัมพันธ์ดังภาพ

    5.png

    จากภาพจะพบว่าการโคจรของระบบสุริยะของเราเมื่อเทียบกันกับข้อมูลใหม่แล้ว แทบไม่สัมพันธ์กันกับตำแหน่งของแขนกาแลคซีและระยะเวลาเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เลย จึงเหลือเพียงโมเดลที่ต้องหาคำตอบว่า ทำไมการสูญพันธุ์จึงเกิดเมื่อเราเดินทางเข้าสู่ตอนบนของกาแลคซี่ของเราเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง ดร.Melott ได้เสนอแนวคิด Galactic shock model ขึ้นมา โดยอธิบายว่ารังสีคอสมิคพลังงานสูงกว่าที่พบในทางช้างเผือกนั้น มาจากนอกระบบกาแลคซี่ของเราและปริมาณรังสีเหล่านี้จะสูงขึ้นในด้านบนของกาแลคซี่ ก่อนที่จะอธิบายว่าทำไมเราลองมาดูตำแหน่งของกาแลคซี่ของเราก่อน
    แกแลคซี่ทางช้างเผือกของเราอยู่ในกลุ่มดาราจักร Virgo supercluster โดยประกอบด้วยกาแลคซี่ใกล้เคียงสามกลุ่มคือกลุ่ม milkyway กลุ่ม Andromeda และกลุ่ม Triangulum โดยด้านบนของแกแลคซี่ชี้ขึ้นไปทางใจกลางของ Virgo Supercluster ดังภาพ

    6.png

    ลักษณะของแกแลคซี่ของเรา มีรูปร่างคล้ายฝักแบบเดียวกับ heliosphere หรือฝักสุริยะของเรา แต่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นล้านเท่า โดย มีทิศทางวิ่งเข้าไปหาใจกลางของ Virgo Supercluster ดังภาพ
    7.png

    จากภาพจะเห็น galactosphere ของทางช้างเผือกและตำแหน่งของการปะทะระหว่าง super galctic wind กับ intergalactic medium ซึ่งจะเกิด bow shock ที่บริเวณด้านบนของกาแลคซี่และเป็นที่มาของรังสีคอสมิคที่มีพลังงานสูงกว่า 10^15 eV ได้ โดยเฉพาะทิศทางใจกลางของ Virgo supercluster นั้นเป็นแหล่งกำเนิดของรังสีคอสมิคปริมาณสูงอยู่ จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่อธิบายที่มาของรังสีคอสมิคพลังงานสูงที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ใหญ่ของโลกเราได้
    จากข้อมูบที่นำเสนอมาข้างต้น เป็นที่น่าสนใจในทฤษฎีการสูญพันธุ์ใหญ่ของโลกที่ถูกนำเสนอด้วยมุมมองใหม่ และจากข้อมูลใหม่ๆทำให้เราพบความสัมพันธ์ระหว่างโลกของเรา ดวงอาทิตย์ กาแลคซี่ของเรา รวมไปถึงระบบเอกภพของเราว่าเกี่ยวข้องกันจนไม่อาจละเลยประเด็นเล็กๆไปได้ อย่างไรก็ตามกลไกการเกิดภัยพิบัตินี้ไม่ได้อธิบายในสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด หรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เพียงแต่บอกแนวโน้มและความสัมพันธ์ให้เราได้เตรียมรับมือไว้เท่านั้นครับ

    ทฤษฎีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ มีอะไรมากกว่าอุกาบาต super volcano หรือยุคน้ำแข็งไหม? | ติดตามภัยพิบั
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อดวงอาทิตย์กลับขั้ว (Solar magnetic pole reversal)
    Posted by drjoop on 23/04/2012
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    "The Great Switch" --Sun's Magnetic Field Does a Complete Reverse Every 11 Years
    The Sun Does a Flip - NASA Science
    http://thewatchers.adorraeli.com/20...-flipping-about-a-year-earlier-than-expected/
    Magnetic Reversals and Moving Continents
    หลายๆคนได้ยินคำนี้คงรู้สึกตกใจหรือประหลาดใจ จริงๆแล้วปรากฏการณ์นี้เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ทุกๆ 11 ปี เมื่อดวงอาทิตย์เข้าสู่ระยะ solar maximum หรือมีปฏิกิริยาที่ชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์สูงสุด และมีจำนวนจุดดับสูงสุดในรอบวงจรของดวงอาทิตย์ ผลที่ตามมาคือขั้วเหนือและขั้วใต้แม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะค่อยๆลดความเข้มของสนามแม่เหล็กและค่อยๆย้ายข้างกัน จากขั้วเหนือไปอยู่ทางใต้ และขั้วใต้ไปอยู่ทางเหนือ โดยที่ทางกายภาพของดวงอาทิตย์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร
    Magnetic butterfly
    ในอดีตมีการศึกษาทึงแบบแผนของจุดดับบนดวงอาทิตย์ในรูปคล้ายปีกผีเสื้อว่า เมื่อจุดดำเริ่มมีการกระจายตัวลงมาในแนวศูนย์สูตรก็จะเกิดการกลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์

    1.gif

    แต่จากภาพข้างบนจะเห็นว่าใน cycle 23 ที่ผ่านมา การกระจายของจุดดับบนดวงอาทิตย์ยังไม่ถึงแนวศูนย์สูตรก็เกิดการกลับขั้วแม่เหล้กของดวงอาทิตย์แล้ว นักดาราศาสตร์จึงต้องใช้การสังเกตุอย่างอื่นต่อไป
    Microwave radiation techniques
    จากการศึกษา solar cycle 23 ได้ให้ความเข้าใจแก่เราอย่างหนึ่งว่า โดยปกติดวงอาทิตย์จะมีการเกิดการระเบิดใหญ่ (prominence eruption) ในแถบใกล้ๆแนวศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์ จนกระทั่งเมื่อใกล้ถึงระยะ solar maximum การระเบิดนี้จะเริ่มขึ้นไปที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดวงอาทิตย์ ที่ละติจูด 60 องศาเหนือและใต้ขึ้นไป ในขณะที่การระเบิดในแนวศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์จะลดลง เราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าดวงอาทิตย์ใกล้ถึง solar maximum แล้ว
    นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้อุปกรณ์บนยานสำรวจ SOHO ในการจับภาพยาน microwave ของดวงอาทิตย์ และสร้างภาพจำลองซ้อนกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์ โดยในรอบของดวงอาทิตย์ที่ผ่านมา เราพบว่าความสว่างในย่าน microwave นี้บริเวณขั้วเหนือและใต้ของดวงอาทิตย์จะมีการเปลี่ยนแปลงตาม solar maximum โดยจะมีความสว่างสูงสุดเมื่อข้าสู่ระยะกลับขั้ว ซึ่งใน cycle 24 ในปัจจุบันนี้ เราเริ่มพบ prominence eruption บริเวณขั้วใต้ของดวงอาทิตย์เมื่อเดือนมีนาคม 2012 ที่ผ่านมา
    Hinode
    hinode เป็นผลงานขององค์การบริหารด้านอวกาศของญี่ปุ่น (JAXA) โดยมีการทำแผนที่แม่เหล็กบริเวณขั้วของดวงอาทิตย์ทุกๆเดือนตั้งแต่เดือนกันยายน 2008 ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่เริ่มมีการศึกษา Hinode นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพบความหนาแน่นของประจุลบของแม่เหล็กมีความหนาแน่นสูงบริเวณขั้วเหนือของดวงอาทิตย์ ซึ่งภาพล่าสุด เราพบการลดลงของขั้วลบแม่เหล็ก และเริ่มมีความหนาแน่นของขั้วบวกแม่เหล็กกลับกันบริเวณขั้วเหนือของดวงอาทิตย์ ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ทีมนักวิจัยจากญี่ปุ่นเชื่อว่า ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่ภาวะไร้ขั้วแม่เหล็กภายในเดือนพ.ค.ที่จะถึงนี้ ก่อนที่จะถึงเวลาที่เราคาดการณ์ไว้ 1 ปี

    2.jpg

    จากภาพจะเห็นขั้วลบของดวงอาทิตย์ซึ่งมีสีส้ม และขั้วบวกที่มีสีฟ้า ระหว่างปร 2008 และปี 2011
    ซึ่งผลจากการที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ภาวะ solar maximum เร็วนี้ ทำให้เราต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้รอบของดวงอาทิตย์สั้นลง และจำนวนจุดดับน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

    3.jpg

    ภาพการเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ และการคาดการณ์การกลับขั้วที่มาถึงก่อนกำหนด
    แล้วเกี่ยวอะไรกับโลกไหม?
    ปกติแล้วการกลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นทุก 11 ปีมาโดยตลอด ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานผลกระทบโดยตรงจากการกลับขั้วแม่เหล็กนี้ เว้นแต่ผลจากการที่ดวงอาทิตยืเข้าสู่ระยะ solar maximum ซึ่งทำให้เกิดการระเบิดในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์และเกิด CME (coronal mass ejection) ตามมา ซึ่งผลของ CME นี้เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกอยู่ และจะได้นำมาเสนอต่อไป
    แล้วขั้วแม่เหล็กโลกเคยเกิดการกลับขั้วไหม?

    บนโลกของเรา เป็นเรื่องยากที่จะศึกษาการกลับขั้วแม่เหล็กโลก เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และระยะห่างกันนับเป็นล้านปี
    ในปีช่วงปี 1950 เราได้มีการประดิษฐ์ electronic magnetometer ซึ่งสามารถจับทิศทางแม่เหล็กจากชั้นหินอย่างอ่อนๆได้ และเราเริ่มมีการทำแผนที่ทิศทางแม่เหล็กโลกในช่วงปี 1960

    จุดที่นักวิทยาศาสตร์สนใจมากคือบริเวณ mid atlantic ridge ซึ่งเป็นแนวแยกตัวระหว่างทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกาใต้ แนวนี้จะวิ่งยาวในแนวกลางมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่ทิศเหนือลงมาทิศใต้

    4.gif

    แนว mid atlantic ridge จะเป็นแนวที่มีการไหลของแมกม่าจากใต้โลกออกมาขณะที่เปลือกโลกแอฟริกาและอเมริกาใต้แยกออกจากกัน เมื่อลาวาเหล่านี้เย็นลงก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นหินบะซอลท์ ซึ่งมีสภาพขั้วแม่เหล็กอ่อนๆตามทิศทางขั้วแม่เหล็กโลกในขณะนั้นๆ

    5.gif

    เมื่อเราศึกษาแนวแถบของหินบะซอลท์ใต้มหาสมุทรแอตแลนติค เราพบรูปร่างของทิศทางแม่เหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางดังภาพ

    6.gif

    เมื่อเราศึกษาแนวแม่เหล็กของหินบะซอลท์ ของแนว mid atlantic ridge นี้ เราจะพบแนวที่แยกออกมาเป็นคู่ขนานระหว่างแนวแม่เหล็กปกติและแนวแม่เหล็กที่กลับขั้วสลับกันไปเรื่อยๆ

    จากที่ได้กล่าวมา จะเห็นว่าปรากฏการณ์กลับขั้วแม่เหล็กเป็นปรากฏการณ์ปกติที่พบได้ในดาวต่างๆ ซึ่งระยะเวลาการเกิดการกลับขั้วนั้นไม่เหมือนกัน โดยวัตถุที่มีแรงแม่เหล็กสูงอยางดวงอาทิตย์มักเกิดการกลับขั้วแม่เหล็กบ่อยกว่าโลก ซึ่งใช้เวลานับล้านปี แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงต้องติดตามผลจากการกลับขั้วแม่เหล็กของโลกต่อไป

    เมื่อดวงอาทิตย์กลับขั้ว (Solar magnetic pole reversal) | ติดตามภัยพิบัติและหาคำตอบ
     
  9. รักษล้านนา

    รักษล้านนา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +44
  10. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    HOAX / FAKE Youtube Video ครับ ไม่มีหิมะตกที่ฟิลิปปินส์แต่อย่างใด
    ถ้าจะมีก็ประมาณ เกาะทางใต้ของนิวซีแลนด์ ภูเขาสูงในออสเตรเลีย ฯลฯ


    [​IMG]


    ABS/CBN เป็น online news ของ Philippine

    PAGANA ชื่อย่อ กรมอุตุฯ ของ Philippine

    Snow in the Philippines? Fake, says expert | ABS-CBN News

    .
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่25กรกฎาคม2556
    image.jpg
    18:00 อัพเดทยอดตายจากแผ่นดินไหวกานซูล่าสุด 95 ราย บาดเจ็บ 1,461+ ราย ไร้ที่อยู่อาศัย 200,351 ราย บ้านพัง 10,065 หลัง เสียหาย 5.68 พันล้านหยวน
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คลิปการเกิดพายุสุริยะ (เก่า เพื่อศึกษาพายุสุริยะ)

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/E_J5SRvR_TM?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อะไรๆ ก็ HAARP?
    28 กรกฎาคม 2555, 16:56:43 | drjoop

    ในกระแสของข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทในปัจจุบัน การหยิบข้อมูลตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อยมาปั่นกระแสหรือสร้างข้อมูลใหม่สามารถทำได้โดยง่าย โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ที่นำข้อมูลเหล่านั้นมาผสมปนเปกันมักไม่มีพื้นฐานข้อมูลเดิมอยู่เลย เพียงแต่อาศัยคำนำหน้าชื่อหรือเกียรติบัตรที่เคยได้รับมาในแขนงอื่น มาสนับสนุนความน่าเชื่อถือของตนเอง
    (ขออภัยที่ไม่ได้ลงที่มาเอกสารอ้างอิงทั้งหมด เพราะเยอะมากๆผมเลยใช้วิธีลิงค์กลับไปที่บทความต้นฉบับซึ่งผู้ที่สนใจสามารถกดตามลิงค์ที่ขีดเส้นใต้สีน้ำเงินไปได้เลยครับ)
    วันนี้ขอมาคุยเรื่อง HAARP (High Frequency Active Aurora Research Program) ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าเป็นต้นเหตุของสารพัดภัยพิบัติทางธรรมชาติตั้งแต่ฝนตกหนัก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การจลาจล การควบคุมจิตใจมวลชน บลาๆๆๆๆ..

    ผมขออนุญาตยกข้อความที่อ้างอิงเกี่ยวกับ HAARP จากเวปในภาษาไทยเวปหนึ่งมานะครับ (http://www.oknation.net/blog/nidnhoi/2011/10/10/entry-5) ซึ่งเวปนี้ได้อ้างข้อมูลของ Jesse Ventura อดีตผู้ว่าการรัฐมินเนสโซตา และอดีตนักมวยปล้ำ http://en.wikipedia.org/wiki/Jesse_Ventura ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านประวัติได้ในลิงค์ wikipedia ซึ่งจากประวัติการศึกษาพบว่าเขาจบม.6 ก่อนที่จะเข้าเป็นนาวิกโยธินในสงครามเวียตนาม และออกมาประกอบอาชีพนักมวยปล้ำ
    ขออนุญาตยกตัวอย่างบทความมาบางส่วนนะครับ

    ในตอนนี้ของ “ทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด” เจสซี่ เวนทูร่า จะพาเราไปพิสูจน์เรื่อง โครงการ HAARP หรือโครงการที่สร้างขึ้นเพื่อควบคุมและบิดเบือนธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในการทำลายล้าง ขีดความสามารถหรือประโยชน์ใช้สอยเล็กๆ น้อยๆ ของโครงการนี้คือ

    1.เรียก “ลม” เรียก “ฝน” สร้างพายุเฮอริเคน หรือทำให้พื้นที่นั้นๆ แห้งแล้งหนัก (CA ณ เวลานี้) หรือน้ำท่วมใหญ่ (โดนกันหมด) ที่จะส่งผลให้เกิดแผ่นดินยุบตัว โคลนถล่ม(น้ำมากเกิน) ไฟป่า(น้ำน้อยเกิน) โดยการการควบคุมกระแสน้ำอุ่นใต้มหาสมุทร หรือ Jet Stream ให้เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งเจ้า Jet Stream หรือกระแสน้ำอุ่นใต้มหาสมุทรที่เดินทางไปตามที่ต่างๆ ทั่วโลกนี่แหละครับเป็นกุญแจของเรื่องนี้ เพราะเป็นกลไกของธรรมชาติหรือเป็นตัวกำหนดฤดูกาลตั้งแต่โลกมนุษย์ใบนี้ถูกสร้างขึ้น หรือจะพูดอย่างง่ายๆก็คือถ้าคุณสามารถควบคุม Jet Stream ได้ คุณก็ควบคุมฤดูกาลได้นั่นเองครับ
    2.สร้างแผ่นดินไหว โดยการยิงคลื่นความถี่ต่ำในปริมาณมหาศาลถึง 1,000 ล้านวัตต์ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแล้วให้ตกกระทบลงบริเวณที่ต้องการเพื่อสร้างแผ่นดินไหวในบริเวณต่างๆ ที่ต้องการ โดยอาศัยหลักการของชั้นบรรยากาศที่ปกป้องโลกโดยการสะท้อนรังสีต่างๆจากดวงอาทิตย์นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นถ้ายิงขึ้นไปก็สะท้อนกลับลงมาด้วยเช่นกัน แล้วบาดแผลที่เกิดจากการยิงโดยเครื่อง HAARP ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ จะทำให้เกิดรอยใหม้ที่ชั้นบรรยากาศที่มีลักษณะสีสรรสวยงามที่เราเรียกว่า “ออโรร่า” นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นจึงมีการทิ้งรอยนิ้วมือไว้หลายๆครั้งจากภาพถ่ายและคลิปวีดีโอก่อนการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หลายๆครั้งที่ผ่านมา
    เพราะฉะนั้นถ้าลงมาที่พื้นดินก็จะเป็นแผ่นดินไหว แต่ถ้าลงในมหาสมุทรก็จะได้ทั้งแผ่นดินไหวและซึนะมิครับ แต่อีกประเด็นที่ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมคือ “การระเบิดอย่างรุนแรง” ที่ก้นมหาสมุทร ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของซึนะมิด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นตะวันตกเค้าจึงบอกเราเสมอว่ามันคือภูเขาไฟระเบิดที่ใต้ก้นมหาสมุทรนะยู (หรือไอไปทดลองโครง Atomic Monster โดยการจุดระเบิดนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลที่ใต้ก้นมหาสมุทรนะ)
    3.Mind Control หรือการสะกดจิต ซึ่งมีการใช้ในสงครามอิรัคในครั้งที่ผ่านมาอย่างได้ผล โดยอาศัยหลักการทำงานเดียวกับคลื่นสมองของมนุษย์ คือเมื่อจูนความถี่ได้ตรงกันก็สามารถส่งข้อมูลหรือข่าวสารเข้าไปในสมองได้ ในลักษณะเดียวกับเครื่องรับวิทยุเป็นต้น
    คราวนี้เราลองมาดูกันว่า HAARP ตัวจริงคืออะไร (ปล.ผมไม่ขออ้างอิงข้อมูลจากเวป conspiracy นะครับ เพราะเวปเหล่านี้ไม่มีผู้ที่มีคุณวุฒิเพียงพอดูแลหรือแก้ไขบทความโดยอ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์)
    ข้อมูลของ HAARP สามารถอ่านได้จาก http://www.haarp.alaska.edu/haarp/tech.html ซึ่งเป็ยเวปไซด์อย่างเป็นทางการของโครงการนี้ โดยสรุปคือ HAARP ที่อลาสก้า ใช้กระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น 10 เมกาวัตต์ และสามารถสร้างพลัังงานวิทยุได้ทั้งสิ้น 3.6 เมกาวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการกระตุ้นอิเลคตรอนในชั้นไอโอโนสเฟียร์ได้ เท่ากับ 3 ไมโครวัตต์ ต่อลบ.ซม. HAARP ส่งสัญญาณในย่าน High frequency (http://en.wikipedia.org/wiki/High_frequency ระหว่าง 3-30 MHz) ตามข้อมูลจริงคือ 2.7-10 MHz ในขณะที่โลกเราได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ประมาณ 0.136 วัตต์ต่อลบ.ซม.( อ้างอิง ) ซึ่งระดับพลังงานจะต่างกันประมาณ 3 หมื่นเท่าตัว

    ในเมื่อข้อมูลออกมาอย่างนี้แล้ว ทำไมจึงมีคนพยายามสร้างกระแสเรื่องนี้อยู่?
    ขอยกวิดีโอจาก Youtube อีกชุดหนึ่งนะครับ คนนี้ชื่อดร.Nick Begich จบรัฐศาสตร์เป็นลูกของอดีตนักการมืองของอลาสกาได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Open International ของประเทศศรีลังกาสาขาเวชศาสตร์ทางเลือก (งงไหมครับ ไม่ได้จบมาทางสายฟิสิกส์เลย)
    ผมจะขอเอามาตีละประเด็นนะครับ เริ่มจากข้ออ้างตามเวปไซด์แรกก่อน ที่ถูกกระจายแพร่หลายในเวปหลายๆเวป
    1. HAARP สามารถเรียก “ลม” เรียก “ฝน” สร้างพายุเฮอริเคน หรือทำให้พื้นที่นั้นๆ แห้งแล้งหนัก (CA ณ เวลานี้) หรือน้ำท่วมใหญ่ (โดนกันหมด) ที่จะส่งผลให้เกิดแผ่นดินยุบตัว โคลนถล่ม(น้ำมากเกิน) ไฟป่า(น้ำน้อยเกิน) โดยการการควบคุมกระแสน้ำอุ่นใต้มหาสมุทร หรือ Jet Stream ให้เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต้องการ
    ประเด็นนี้คงต้องแยกเป็นสองส่วนคือปัจจัยเรื่องของลมกับภูมิอากาศ และประเด็นของ Jet Stream ในส่วนของประเด็นการเกิดเฮอร์ริเคนหรือฝนตกหนัก ขอนำข้อมูลจำนวนเฮอร์ริเคนที่เกิดขึ้นแยกตามระดับในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปีค.ศ.1859-2004 มาจากเวป NOAA นะครับ

    1.png

    จากตารางข้างต้น ถ้าเรานับเฉพาะช่วงที่มีการสร้าง HAARP ในช่วงปี 1991-2004 เป็นต้นมา เกิดเฮอร์ริเคนรุนแรงระดับ 3-5 ทั้งหมด 8 ครั้ง ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษอื่นๆที่ยังไม่มี HAARP มีจำนวนครั้งของเฮอร์ริเคนรุนแรงมากกว่านี่เป็นเท่าตัว
    ในกรณีของภัยแล้งเช่นเดียวกัน ได้มีการศึกษาโดย NOAA เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภัยแล้งในอดีตที่ผ่านมาด้วยการแปรผันวงปีของต้นไม้ ปรากฏผลดังภาพ

    2.jpg

    จะเห็นว่าในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา ในสหรัฐฯเกิดการเปลี่ยนแปลงดัชนีวงปีของต้นไม้ที่ต่ำกว่า 1.0 ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะแห้งแล้งรุนแรงหลายๆครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปีค.ศ.1550-1600 เกิดความแห้งแล้งทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือทีเดียว และแน่นอนว่า ความแห้งแล้งเหล่านี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากมี HAARP แต่เกิดมาก่อนและรุนแรงมากกว่าปัจจุบันมากแล้ว
    อนึ่งกลไกของการเปลี่ยนแปลงทางอากาศของทวีปอเมริกาเหนือนั้นขึ้นกับกระแสลมหลัก Jet Stream ซึ่งนำความชื้นและความอบอุ่นจากมหาสมุทรแปซิฟิกพัดเข้าสู่ตัวทวีป โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับกระแสลม AO (Arctic Oscillation) ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละปี (สังเกตุการใช้คำที่มีความสับสนในบทความระหว่าง Gulf Stream และ Jet Stream นะครับ)
    ในส่วนของ Jet Stream นั้นมีการอ้างว่า HAARP ถูกนำมาใช้ควบคุมกระแสน้ำอุ่นนี้ด้วย เรื่องนี้ผมเคยพูดตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วใน กระแสน้ำอุ่น และ ผลกระทบหากกระแสน้ำอุ่น gulf stream หยุดทำงาน ซึ่งสามารถติดตามในลิงค์ข้างต้นได้ แต่ขอสรุปคร่าวๆว่า กระแสน้ำอุ่น Gulf stream ถูกควบคุมด้วยปัจจัยหลักสองส่วนคือ อุณหภูมิของน้ำและความเค็มของน้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสององค์ประกอบนี้ในแถบขั้วโลกเหนือบริเวณนอกชายฝั่งเกาะกรีนแลนด์และบริเวณทะเลเหนือทำให้เกิดกลไกไหลเวียนของกระแสน้ำไปทั่วโลกได้ ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์มนุษย์ยังไม่เคยมีการหยุดทำงานของกระแสน้ำอุ่นนี้ และหากมีการหยุดทำงานจริงได้เล่าให้ฟังแล้วว่าจะเกิดผลอะไรตามมา โดยหน่วยงานที่ทำการศึกษาล้วนเป็นหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาระดับประเทศทั้งสิ้น และผู้ที่อ้างว่า HAARP สามารถควบคุมกระแสน้ำนี้ได้ ยังไม่สามารถชี้แจงเหตุผลที่เป็นที่ยอมรับได้ในทางวิทยาศาสตร์

    2. สร้าง แผ่นดินไหว โดยการยิงคลื่นความถี่ต่ำในปริมาณมหาศาลถึง 1,000 ล้านวัตต์ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแล้วให้ตกกระทบลงบริเวณที่ต้องการเพื่อสร้างแผ่นดินไหว ในบริเวณต่างๆ ที่ต้องการ โดยอาศัยหลักการของชั้นบรรยากาศที่ปกป้องโลกโดยการสะท้อนรังสีต่างๆจากดวง อาทิตย์นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นถ้ายิงขึ้นไปก็สะท้อนกลับลงมาด้วยเช่นกัน แล้วบาดแผลที่เกิดจากการยิงโดยเครื่อง HAARP ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ จะทำให้เกิดรอยใหม้ที่ชั้นบรรยากาศที่มีลักษณะสีสรรสวยงามที่เราเรียกว่า “ออโรร่า” นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นจึงมีการทิ้งรอยนิ้วมือไว้หลายๆครั้งจากภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ ก่อนการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หลายๆครั้งที่ผ่านมา
    เพราะฉะนั้นถ้าลงมาที่พื้นดินก็จะเป็นแผ่นดินไหว แต่ถ้าลงในมหาสมุทรก็จะได้ทั้งแผ่นดินไหวและซึนะมิครับ แต่อีกประเด็นที่ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมคือ “การระเบิดอย่างรุนแรง” ที่ก้นมหาสมุทร ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของซึนะมิด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นตะวันตกเค้าจึงบอกเราเสมอว่ามันคือภูเขาไฟระเบิดที่ใต้ก้น มหาสมุทรนะยู (หรือไอไปทดลองโครง Atomic Monster โดยการจุดระเบิดนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลที่ใต้ก้นมหาสมุทรนะ)
    โอ้ .. ประเด็นนี้มีจุดอ่อนทุกประโยคครับ ขอทีละประโยคเลยนะครับ
    2.1 ยิงพลังงานคลื่นความถี่ต่ำถึง 1,000 ล้านวัตต์ (เทียบเท่า 1,000 เมกาวัตต์/ชม.)
    เราลองมาดูความต้องการไฟฟ้าของสถานี HAARP ที่อลาสกากันว่าเขาใช้เพียง 10 เมกาวัตต์ ซึ่งสามารถสร้างสัญญาณวิทยุได้เพียง 3.6 เมกาวัตต์ ซึ่งตัวเลขที่อ้างอิงมากกว่าตัวเลขจริงมากถึง 100 เท่าเลยครับ
    ลองมาดูอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าของรัฐอลาสกากัน

    3.png

    จากตัวเลขข้างต้น พบว่าในอัตราปกติรัฐอลาสกามีการใช้ไฟฟ้าเต็มที่อยู่ที่ 2 พันเมกาวัตต์ต่อปี ซึ่งหาก HAARP ทำงานอย่างที่ว่าจริงอัตราการใช้พลังงานควรสูงกว่านี้มากหรืออาจเกิดไฟดับถึงครึ่งรัฐเวลา HAARP ทำงานแต่ละครั้งเลยทีเดียว

    2.2บาดแผลที่เกิดจากการยิงโดยเครื่อง HAARP ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ จะทำให้เกิดรอยใหม้ที่ชั้นบรรยากาศที่มีลักษณะสีสรรสวยงามที่เราเรียกว่า “ออโรร่า”
    ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะถูกยกมาหลายๆครั้งแล้ว โดยที่ผู้พูดไม่ได้มีความรู้เรื่องออโรร่ามาก่อนเลย จากเรื่องของ Birkeland currents และงานวิจัยของดร. Peratts ที่ผมเคยนำมาเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ กระแสออโรร่าปกติในขั้วโลกเหนือ (Aurora Borealis) มีปริมาณกระแสอยู่ที่ประมาณ 1 ล้าน แอมแปร์ ซึ่งถ้าเทียบเป็นวัตต์ โดยใช้สูตรดังนี้
    P(Watts) = I(Ampere)E(Volts)
    P = 1,000,000 x 110
    P = 110 เมกาวัตต์
    เมื่อเทียบกับอัตราสูญเสียพลังงานของ HARRP ซึ่งเกิดการสูญเสียพลังงานประมาณ 64 % ดังนั้นต้องจ่ายพลังงานให้ HAARP = 305 เมกาวัตต์ ซึ่งตัวเลขนี้ก็ยังสูงกว่าอัตราใช้กำลังของ HAARP ถึง 30 เท่า โดยสรุปคือพลังงานที่ป้อนให้ HAARP ไม่สามารถก่อให้เกิดออโรร่าได้

    2.3 เพราะฉะนั้นจึงมีการทิ้งรอยนิ้วมือไว้หลายๆครั้งจากภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ ก่อนการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หลายๆครั้งที่ผ่านมา
    ปรากฏการณ์นี้ เราเรียกกันว่า Earthquake Cloud หรือในบางกรณีอาจเกิดแสงสว่างที่เรียกกันว่า Earthquake Light นำมาก่อนหรือตามหลังครับ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายๆแห่งทั่วโลกได้ทำการศึกษา โดยเฉพาะในการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์เมื่อ 11 มีนาคม 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมา เราพบการแปรปรวนของอิเลคตรอนในชั้นไอโอโนสเฟียร์ก่อนเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 45-30 นาที และเชื่อว่าเกิดในหลายๆที่รวมทั้งที่มลฑลเสฉวน ประเทศจีนก่อนเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี 2008 ด้วยเช่นกัน

    4.jpg

    ภาพแสงแผ่นดินไหวก่อนเกิดแผ่นดินไหวที่เสฉวน
    ภาพแสงแผ่นดินไหวก่อนเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 และ 8.6 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา เมื่อ 11 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา
    สาเหตุของเมฆแผ่นดินไหวในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่จากรายงานของ NASA เชื่อว่ามีผลจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเหนือจุดที่เกิดการแตกหักของชั้นหินที่เกิดแผ่นดินไหวและมีการส่งความร้อนขึ้นมาในชั้นบรรยากาศจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของเมฆอย่างฉับพลัน (อ้างอิง)

    5.png

    ภาพจากดาวเทียม GPS แสดงการรบกวนชั้น Ionosphere ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ญี่ปุ่นเมื่อ 11 มีนาคม 2554 ตามลำดับเวลา
    ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงในชั้น Ionosphere ก่อนเกิดแผ่นดินไหวนั้น สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในเวลาสั้นๆ ประมาณ 30-45 นาที ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของอิเลคตรอนในบรรยากาศ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นที่ศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในหลายๆประเทศอยู่
    1. การศึกษาของประเทศญี่ปุ่น http://www.seg.nict.go.jp/2011TohokuEarthquake/
    2. การศึกษาของประเทศไต้หวัน http://www.ss.ncu.edu.tw/~ssoffice/5.faculty/jyliu/jyliu_2006-2010.pdf
    3. การศึกษาของประเทศฝรั่งเศส http://www.ipgp.fr/~ninto/2011GL047860.pdf
    ซึ่งผู้สนใจสามารถค้นใน Google Scholar ได้โดยพิมพ์คีย์เวิร์ดว่า “ionospheric disturbance before earthquake” ก็จะได้เอกสารประกอบจำนวนมากทีเดียว
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีสักรายงานที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับ HAARP ได้ โดยเฉพาะเมื่อเราพิจารณาแรงที่เกิดจากแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง โอกาสกระตุ้นด้วยพลังงานระดับเท่ากันเป็นไปไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นในกรณีการเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 11 มีนาคม 2554 ระดับ 9 ริกเตอร์ มีการปล่อยพลังงานออกมา 2 ExaJoules เทียบเท่ากับ 5x 10^29 watts/hour ซึ่งมากกว่าพลังงานไฟฟ้าทั้งโลกที่ผลิตได้ในปัจจุบัน (ข้อมูลกำลังการผลิตไฟฟ้าของโลกปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20 เทอราวัตต์-ชั่วโมง) 2012

    แล้วเหล่านักทฤษฎีสมคบคิดเอาข้อมูลที่ไหนมาเต้าข่าวกัน ?
    ถ้าได้ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ HAARP มาตลอด จะมีงานสิทธิบัตรชิ้นหนึ่ง ที่ถูกอ้างมาเสมอว่าเป็น HAARP และสามารถสร้างปรากฏการณ์ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ นั่นก็คือสิทธิบัตรเลขที่ 4,686,605
    ซึ่งขอยกมาคร่าวๆนะครับ

    Claims
    1. A method for altering at least one region normally existing above the earth’s surface with electromagnetic radiation using naturally-occurring and diverging magnetic field lines of the earth comprising transmitting first electromagnetic radiation at a frequency between 20 and 7200 kHz from the earth’s surface, said transmitting being conducted essentially at the outset of transmission substantially parallel to and along at least one of said field lines, adjusting the frequency of said first radiation to a value which will excite electron cyclotron resonance at an initial elevation at least 50 km above the earth’s surface, whereby in the region in which said electron cyclotron resonance takes place heating, further ionization, and movement of both charged and neutral particles is effected, said cyclotron resonance excitation of said region is continued until the electron concentration of said region reaches a value of at least 10.sup.6 per cubic centimeter and has an ion energy of at least 2 ev.
    2. The method of claim 1 including the step of providing artificial particles in said at least one region which are excited by said electron cyclotron resonance.
    3. The method of claim 2 wherein said artificial particles are provided by injecting same into said at least one region from an orbiting satellite.
    4. The method of claim 1 wherein said threshold excitation of electron cyclotron resonance is about 1 watt per cubic centimeter and is sufficient to cause movement of a plasma region along said diverging magnetic field lines to an altitude higher than the altitude at which said excitation was initiated.
    5. The method of claim 4 wherein said rising plasma region pulls with it a substantial portion of neutral particles of the atmosphere which exist in or near said plasma region.
    6. The method of claim 1 wherein there is provided at least one separate source of second electromagnetic radiation, said second radiation having at least one frequency different from said first radiation, impinging said at least one second radiation on said region while said region is undergoing electron cyclotron resonance excitation caused by said first radiation.
    7. The method of claim 6 wherein said second radiation has a frequency which is absorbed by said region.
    8. The method of claim 6 wherein said region is plasma in the ionosphere and said second radiation excites plasma waves within said ionosphere.
    9. The method of claim 8 wherein said electron concentration reaches a value of at least 10.sup.12 per cubic centimeter.
    10. The method of claim 8 wherein said excitation of electron cyclotron resonance is initially carried out within the ionosphere and is continued for a time sufficient to allow said region to rise above said ionosphere.
    11. The method of claim 1 wherein said excitation of electron cyclotron resonance is carried out above about 500 kilometers and for a time of from 0.1 to 1200 seconds such that multiple heating of said plasma region is achieved by means of stochastic heating in the magnetosphere.
    12. The method of claim 1 wherein said first electromagnetic radiation is right hand circularly polarized in the northern hemisphere and left hand circularly polarized in the southern hemisphere.
    13. The method of claim 1 wherein said electromagnetic radiation is generated at the site of a naturally-occurring hydrocarbon fuel source, said fuel source being located in at least one of northerly or southerly magnetic latitudes.
    14. The method of claim 13 wherein said fuel source is natural gas and electricity for generating said electromagnetic radiation is obtained by burning said natural gas in at least one of magnetohydrodynamic, gas turbine, fuel cell, and EGD electric generators located at the site where said natural gas naturally occurs in the earth.
    15. The method of claim 14 wherein said site of natural gas is within the magnetic latitudes that encompass Alaska.

    ซึ่งถ้าเราอ่านผ่านๆอาจจะคิดว่า โอ้โห HAARP ทำได้ขนาดนี้ น่าจะมีอันตรายมากๆ เพราะเป็นการพูดถึงการควบคุมสภาพอากาศผ่านทางชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ ซึ่งถ้าทำได้นี่เข้าแนว conspiracy เลยทีเดียว แต่อยากให้ดูในข้อ 4 ที่ผมขีดเส้นใต้ตัวแดงๆไว้นะครับ ในสิทธิบัตรนี้อ้างอิงถึงการให้พลังงานแก่อิเลคตรอนเท่ากับ 1 วัตต์/ลูกบาศก์.ซม. ยังจำได้ไหมครับว่า HAARP ที่อลาสกาสามารถให้พลังงานอิเลคตรอนในชั้นบรรยากาศได้ 3 ไมโครวัตต์ต่อลบ.ซม. ในขณะที่เราได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เท่ากับ 0.136 วัตต์/ลบ.ซม.แสดงว่าในสิทธิบัตรนี้ต้องจ่ายพลังงานเท่ากับเท่าไหร่กัน ?
    ลองมาคำนวณดู 1 วัตต์ / 3 ไมโครวัตต์ = 333,333 เท่า
    HAARP ใช้พลังงาน 10 เมกาวัตต์-ชม. ถ้าต้องจ่ายพลังงานเพิ่มขึ้น 333,333 เท่า ต้องใช้พลังงาน = 3,333,333 เมกาวัตต์-ชม. หรือประมาณ 3.33 เทอราวัตต์-ชม.

    ปัจจุบันประเทศสหรัฐสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 4 เทอราวัตต์-ชม./ปี (อ้างอิง)

    6.png

    ดังนั้น หากต้องการให้ HAARP ทำงานตามสมมติฐานนี้ บ้านในสหรัฐฯจะไฟฟ้าดับไปถึง 3/4 ของทั้งประเทศไปตลอด 1 ปี
    แล้วยังคิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ ?
    ยิ่งถ้ามาคำนวณตามทฤษฎีสมคบคิดว่าแต่ละประเทศมีการใช้ HAARP กันเพื่อโจมตีกัน คงต้องหาแหล่งพลังงานจากนอกโลกอีกหลายเท่าตัว
    3.Mind Control หรือการสะกดจิต ซึ่งมีการใช้ในสงครามอิรัคในครั้งที่ผ่านมาอย่างได้ผล โดยอาศัยหลักการทำงานเดียวกับคลื่นสมองของมนุษย์ คือเมื่อจูนความถี่ได้ตรงกันก็สามารถส่งข้อมูลหรือข่าวสารเข้าไปในสมองได้ ในลักษณะเดียวกับเครื่องรับวิทยุเป็นต้น
    ประเด็นนี้คนที่ยกขึ้นมาขาดความเข้าใจในหลักชีววิทยาและฟิสิกส์อย่างมากครับ คลื่นสมองเราทำงานที่ 6-11 Hz. ในขณะที่ HAARP ทำงานที่ความถี่ 2-10 ล้าน Hz ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการส่งคลื่นวิทยุเป็นวงกว้างเพื่อควบคุมจิตใจ อนึ่ง ในปัจจุบันแม้มีเครื่องมือที่สามารถส่งสัญญาณเพื่อใช้ในการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองในรูปแบบของ Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ก็ตามแต่ลักษณะของเครื่องมือยังคงต้องใช้กับผู้ทำการรักษาคนต่อคนและต้องมีอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ศรีษะของผู้รับการรักษาด้วย
    http://drjoop.wordpress.com/feed/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จำข่าวที่อาจารย์ปิยะชีพบอกว่าอเมริการนำทหารรัสเซีย 15000 นายไปฝึกที่อเมริการได้ไหมครับ และอาจารย์บอกว่าลึกๆ แกคงไปทราบวงในมา ว่า เป็นการฝึกเพื่อช่วยกันสู้กับซอมบี้ และรับมือกับภัยพิบัติใหญ่ ตอนนี้เจ้าของเรื่องออกมาแก้ข่าวแล้วทั้งเรื่อง FEMA Camp และกองทหารรัฐเซีย แต่ฟังหูไว้หูน่ะครับ เพราะอาจจะจริงก็ได้ หรือไม่จริงก็ได้ ถ้าใครมีีสายใน Fema และทราบว่ามีการฝึกจริง ผมว่าไทยก็ควรฝึกเพื่อสู้กับซอมบี้แบบ อเมริกา กับรัสเซียบ้างก็ดี

    Russian-Troops-In-America-665x385.jpg

    Russian Troops In America Rumor Is False, No FEMA Disaster Planned


    Posted: July 6, 2013 Russian Troops In America Rumor Is False, No FEMA Disaster Planned
    ⤢
    Russian troops are not training on American soil, despite what one popular claim on Twitter and Facebook states.

    A rumor has spread that the United States and Russia entered an agreement that would sent thousands of Russian troops for a planned “disaster.”

    The original report claimed that the Kremlin’s Emergencies Ministry confirmed talks between Russia and the United States, and that 15,000 Russian troops would be sent to America for an unspecified “upcoming” disaster in FEMA Region III, which includes Washington, DC.

    The Russian troops were said to be trained in disaster relief
    and “crowd functions.”

    The report said that US Department of Homeland Security Director Janet Napolitano sent a request to Minister Vladimir Puchkov for Russian troops to work “directly and jointly” with FEMA.

    A Facebook post and emails circulating the information about Russian troops in America painted the situation in dire terms.

    “Make sure you have plan to keep your family safe,” it read. “This sounds like a bad movie. This should scare the crap out of you. Obama and the left are bringing America to it’s knees. According to the terms of a deal signed in Washington last week, Russian soldiers will soon be allowed to patrol American soil, “to provide security at mass events.’ ”

    Of course, as urban legend debunker Snopes has pointed out, the reason it sounds like a bad movie is because it is indeed a work of fiction. There was an actual agreement between FEMA and the Russian Emergency Ministry signed in June, but it called for the countries to share the expertise of first responders only.

    A FEMA spokesperson confirmed that there would be no exchange of military or security personnel, and no Russian troops training on American soil.

    The false rumor was spread by some of the typical sources of conspiracy theories, including Alex Jones’ Infowars website, but no reports were able to offer actual proof of Russian troops training in the United States.

    The Russian troops in America report followed a popular theme of urban legends linking President Barack Obama to some kind of nefarious use of FEMA. In past email circulations it was said Obama was setting up FEMA prison camps in preparation for a declaration of martial law.


    Russian Troops In America Rumor Is False, No FEMA Disaster Planned
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    TMS
    จริงๆแล้วคนที่นำเรื่อง mind control ในอิรัคมาพูดเป็นเพียงการฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด เพราะกองทัพบกของสหรัฐฯมีอุปกรณ์ชนิดหนึ่งชื่อว่า LRAD (Long Range Acoustic Device) ซึ่งเป็นลำโพงกระจายเสียงในระยะ 1-2 กม. โดยเป้าหมายจะได้ยินเสียงลอยมาในหู โดยทีหาแหล่งกำเนิดเสียงไม่เจอ ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้มีการใช้ในสงครามอิรัคจริง โดยจะส่งเสียงเป็นภาษาอาหรับเข้าหาทหารอิรัคแนวหน้า อ้างว่าเป็นเสียงของพระเจ้า ให้ยอมแพ้และวางอาวุธเสีย ซึ่งก็ใช้ได้ผลในหลายๆครั้ง ปัจจุบันอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในการควบคุมฝูงชนหรือใช้สื่อสารกับคนจำนวนมาก เช่นในกรณีของพายุแคทรีนาที่กระหน่ำรัฐหลุยเซียน่าเมื่อหลายปีก่อน ทหารใช้อุปกรณ์นี้เพื่อแจ้งการอพยพและสื่อสารกับคนที่อพยพในส่วนต่างๆ ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองทัพบกของไทยได้มีอุปกรณ์ชนิดนี้ประจำการอยู่เช่นกัน
    1.JPG

    3.JPG
    สรุปสั้นๆหลังจากที่ลงมือกับบทความนี้มาตลอด 2 สัปดาห์ว่า เรื่อง HAARP เป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับทฤษฎีที่ถูกอ้างมาเลย และถ้าเรามองให้ลึกอีกสักนิด จะเข้าใจว่าการอ้างว่า HAARP ทำอย่างที่ว่าได้ คงต้องอาศัยเทคโนโลยีของมนุษย์ที่ก้าวหน้ากว่านี้หลายเท่าตัวทีเดียว
    ขอทิ้งท้ายด้วยบทความจาก interesting info on HAARP… (http://www.letxa.com/issue_haarp.php) ซึ่งเวปจริงล่มไปแล้วครับ เป็นภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่สนใจ
    Analysis: HAARP HAARP refers to the High-Frequency Active Auroal Research Programand consists of a phased array transmitted which is pictured to the right. It is located at approximately 62.39N, 145.15W near the town of Gakona, Alaska.The purpose of HAARP is to analyze the behavior of the ionosphere which is the part of the atmosphere that extends from approximately 70km up to as much as 1500km. In this area of the atmosphere approximately 0.1% is made up of ionized plasma created by the sun’s natural ultraviolet radiation. The ionosphere itself is made up of three layers known, in increasing altitudes, as the D (70-110km), E (110km-250km), and F (250+ km) layers and whose position may be determined by how they interact with radio waves. The exact altitude of the layers changes naturally and constantly. While the “E” layer and part of the “F” layer reflect radio waves, the lowest level–the “D” layer–actually tends to absorbthem. Since different parts of the ionosphere absorb or reflect radio waves it can and does have a direct effect on radio waves that passes through it, be it earth-to-earth radio or signals being transmitted to or from satellites.The purpose of HAARP is to research, both passively as well as actively, the behavior of the ionosphere. This is done by transmitting a focused beam of radio frequency energy, at between 2.8 and 10MHz, directly at a point in the ionosphere between 100 and 350 km in altitude, basically within the “E” layer. The energy focused in this area of the ionosphere lets the HAARP facility monitor the behavior of that area of the ionosphere during the test.It should be stated that although the facility’s total transmitting power is 3.6 megawatts, only about 80% (2.8 megawatts) actually reaches the ionosphere due to antenna inefficiencies (Source).THE CONSPIRACY THEORIESThe conspiracy theories related to HAARP pretty much run the entire spectrum of the imagination of conspiracy theorists. Many of the theories are summarized on sites such as this one


    • Earthquakes: Sites such as this one suggest that HAARP has the capability to cause earthquakes at practically any point on earth. As best I can tell, they suggest that HAARP modifies the ionosphere and, consequently, modifies the magnetosphere. The site above says “The magnetosphere is vital to the stability of the tectonic plates that float on the surface of the earth“. However, I haven’t found any site, other than similar conspiracy sites, that substantiates any connection between the magnetosphere and stability of tectonic plates. Fluctuations in the magnetosphere are associated with auroral activity, commonly known as the “Northern Lights.” Given that the sun causes fluctuations in the magnetosphere constantly and causes significant fluctuations during solar storms, the lack of a link between solar activity and earthquakes further calls into question a link beteen the magnetosphere and plate tectonics. Lacking documentation of a connection between the magnetosphere and tectonic stability, a connection between HAARP and earthquakes is speculation not based on science.
    • Missile Tracking: It seems that Jerry E. Smith has created a niche market writing conspiracy books about HAARP and suggesting that, while it was once a research facility, it is now a full-fledged missile tracking system. He believes that HAARP can aim its radio frequency beam at will (actually it can only aim straight up) and that it is in violation of several treaties. As far as I can tell–and I admit I haven’t bought his book–there doesn’t seem to be any evidence to support his claims and some of them seem to be in direct contradiction to reality. HAARP cannot be aimed anywhere but straight up. He also subscribes to the theory that HAARP effects the magnetosphere which effects plate tectonics. In fact, the site above (PropagandaMatrix) actually seems to have quoted Smith regarding the connection between the stability of plate tectonics and the magnetosphere. Where Smith got it, however, I haven’t been able to determine. This man believes thatpatriots are fools and his main interest in HAARP seems to be in generating interest and paranoia to stoke sales of his book. His history includes writing poems, science fiction and fantasy, and in the 90′s he started writing about AIDS, UFOs, and then HAARP. In fact, his first non-fiction work was “HAARP: Ultimate Weapon of the Conspiracy” and it would seem that the “non-fictional” status blurs the line between fiction and non-fiction.
    • Missile Defense: The RadarMatrix site goes one step further than the missile tracking proposed by Jerry E. Smith. The webmaster of RadarMatrix suggests that HAARP is actually the Strategic Defense Initiative and is capable of destroying incoming missiles. There is simply nothing to support this claim and the suggestion that civilian scientists would be present and operating the HAARP facility were that it’s real use seems rather improbable.
    • Weather Control: Also promoted by RadarMatrix and other sites is the belief that HAARP can control the weather. This theory is also endorsed by Mr. Smith. In the case of RadarMatrix, this is tied into the radar anomalies observed at NEXRAD weather radar sites. Again, there is no evidence to support this. HAARP does its work in the 100km-350km altitude range within the E and F levels of the ionosphere while all weather occurs in the troposphere which only extends up to about 14-18km. I’ve seen no explanation by those that subscribe to the HAARP/Weather Control theory how it is that HAARP can control the weather when it is operating at an altitude at least 7 times higher than where weather occurs. Again, it seems there is no scientific or logical reason to believe a HAARP/Weather Control conspiracy.
    • Mind Control: You probably knew it was coming, but there are those that believe that HAARP can actually offer some kind of mind control or “mood” control. Again, Jerry E. Smith is no stranger to this theory and his HAARP book discusses this, too. According to this site (and I have not verified the information), certain extremely low frequency (6-11 Hertz) waves can cause a person to feel good or depressed. Apparently those that believe in HAARP mind control have somehow come to believe that HAARP not only operates at these frequencies (rather than the 2,700,000 – 10,000,000 Hertz it is known to operate at), but that it can somehow do it remotely–i.e., somehow target the “mind control” to other areas of the earth from Alaska. Once again, it’s not so much the evidence against this theory as it is the complete lack of any evidence to support it.
    As you can see, you can pretty much pick whatever you want to believe HAARP is capable of and you’ll probably findsome conspiracy theory promotes that belief. People like Jerry Smith have pretty much decided to pick allof them. But what all these theories have in common is a lack of scientific basis or supporting evidence. They are all based on speculation and usually cite each other as sources for the information providing a very convenient “circular logic” that allows them to build the theories higher and higher while never providing any real evidence for any of it.
    DETECTING HAARP ACTIVITY
    Sites such as this one suggest that they can detect when HAARP is active by listening to 3.39MHz. In this case, the site indicates that HAARP came on in a “standby mode at the highest daytime transmitter power.” Ignoring for a moment the fact that “standby” and “highest transmitter power” seem to be direct contradictions, HAARP doesn’t have a “standby” mode nor does it nor has it transmitted at 3.39MHz except for a HAARP-to-HAM radio test years ago. (Source). Sites that suggest that they can detect when HAARP is operating based on monitoring the 3.39MHz frequency seem to be barking up the wrong tree.
    THE PATENTS
    Something else that conspiracy theorists will point to are registered patents that have something to do with HAARP.
    1. Patent 4,686,605
    “Method and apparatus for altering a region in the earth’s atmosphere, ionosphere, and/or magnetosphere”This patent is referred to as the key document.However, this patent covers a technology whereby “excitation of electron cyclotron resonance is about 1 watt per cubic centimeter” while HAARP only achieves 3 microwatts per cm2–thus the patent specifies an energy 333,333 times greater than what HAARP is capable of. Further, the patent requires “excitation of electron cyclotron resonance is initially carried out within the ionosphere and is continued for a time sufficient to allow said region to rise above said ionosphere“. In other words, it is the intent of this patent to actually move plasma from the ionosphere abovethe ionosphere. HAARP does not do this.In short, the “evils” attributed to this patent (interference with satellites, aircraft, missiles, etc.) depends to a great extent in applying over 300,000 times as much power as HAARP is capable of applying. Considering that 3.6 Megawatts is needed by HAARP to achieve 3 microwatts per cm2, it would appear that the device described in the patent would require 300,000 times that: 1,080,000 megawatts which is 1.08 terawatts.Let’s put that in perspective.If we compare that to the fact that the world currently consumes about 12 trillion watts (12 terawatts) we can conclude that the energy consumed by HAARP to achieve the power indicated by the patent would require approximately 8% of all the energy currently produced in the world. That’s basically the same amount of power consumed by the countries of the United Kingdom, Mexico, Italy, Spain and Pakistan put together. (Source).Alternatively, it’s over 1/4th of all the power production capability of the United States. Another way of looking at it is that the most powerful nuclear reactorsin the U.S. are capable of producing about 1.1 megawatts of electricity each. So HAARP would need about 1000 nuclear plants to generate all the power it would need.And they get all this power out of six 3600-HP diesel generators? (Source). Or where, in the picture to the right, do we see sufficient energy production capability?
    2. Patent 5,068,669
    “Power Beaming System”Another patent that conspiracists point to is this one that is owned by the same company (APTI) that owns the previous patent. The suggestion, I guess, is that if they own a patent similar to HAARP and they also own this patent that relates to beaming energy from one place to another, that HAARP must be beaming energy.However, the technology described in this patent is verydifferent from that at HAARP.
    1. This patent speaks of electromagnetic radiation produced at frequencies of 18-35 GHz while HAARP is only capable of operating between 2.8 and 10.0 MHz. The frequencies required by this patent are about 6000 times higher than that produced by HAARP.
    2. This patent requires transmitting antennas on a “movable pedestal.” HAARP simply does not have such a movable pedestal.
    3. This patent speaks of a single antenna whereas HAARP has 180 individual antennas.
    4. This patent speaks of transmitting relatively low amounts of power to an airborne object, such as a plane or satellite. Much of the patent talks about the fact that the device receiving the energy must transmit a “tracking signal” so that the system may beam the energy to the right place. HAARP does not have such a capability. Even if it did, this patent covers energy transmission to an airborne object, not ground-to-ground energy transmission nor does it provide a way for HAARP to “target” its energy to some specific point on earth.
    There seems to be no relation between HAARP and this patent whatsoever.
    3. Patent 5,041,834
    “Artificial ionospheric mirror composed of a plasma layer which can be tilted”This patent is very similar to the first one mentioned above in that it discussed an atmospheric ionospheric mirror (AIM). The only real difference is this one talks about how to create such an AIM that has an angle to it. That is, the first patent talks about an AIM created at a specific altitude while this one talks about how to create it with an angle. This would allow a radio wave to be bounced off it with more accuracy.This patent does, in fact, talk about aiming a radio wave, but it should be noted that the work of the antennas themselves are always right above the installation. It can’t create such an AIM somewhere else–only right above it. It is assumed that another antenna near the installation would then transmit a communication signal and bounce it off the ionospheric mirror and, thus, achieve communication over the curvature of the earth. But, still, the radio signal bounced off the AIM could only be bounced to points that are visible from wherever the ionospheric mirror is created. Even at 100-350km you couldn’t reach the other side of the world to target earthquakes in Iran like some sites suggest.In summary, they point to interesting patents but the patents themselves don’t accurately describe HAARP. About the only thing they have in common is that they both modify, in some way, the ionosphere.
    THE HYPE
    Many websites talk about HAARP and state erroneous information and, based on that, take them to their illogical conclusion. Some common inaccurate information is:
    1. Power of HAARP in Billions of Watts. Sites such as this claim that HAARP is capable of transmitting a billion watts and eventually will be able to transmit 4.7 billion wants. In fact, the transmission power of HAARP is limited to 3.6 million watts, of which only 80% (2.8 million watts) is actually transmitted into the ionosphere due to antenna inefficiencies. Sites like the one just cited misstate the power of HAARP by over 3 orders of magnitude–that is, they’re off by more than a factor of 1000. So far I haven’t seen any of these sites provide any factual basis for their claims.
    2. HAARP has Ground-Penetrating Capabilities. This site claims that in 1994 the Congress froze “funding on HAARP until planners increased emphasis on earth-penetrating uses for nuclear proliferation efforts.” The only thing I’ve found that comes close to this claim is this documentwhich reads (on page 728):

    Of the funds authorized in fiscal year of 1996, the conferees recommend that $1.5 million be available for the exploration of the “deep digger” concept for hard target characterization, and that $5.0 million be available for the high frequency active auroral research program (HAARP).

    While HAARP is mentioned in the same sentence as something that would appear to be “ground-penetrating” (i.e. the deep digger), reading the above excerpt causes me to think that the deep digger concept and HAARP are two separate issues. Certainly the only thing that remotely links them is that they’re mentioned so close together, but the sentence structure doesn’t appear to me to necessarily link the two.
    CONCLUSION
    HAARP almost definitely exists for its stated purpose. While it is not impossible that research conducted there may eventually yield information that is of military value, this is true of virtually any research in any field.
    There doesn’t seem to be any convincing evidence, however, that HAARP can cause earthquakes, control the weather, detect missiles, destroy missiles, or engage in mind control. These theories appear to be vague speculation from conspiracy theorists that cite each other as sources and, thus, build theories that have no factual basis.
    Of course, it is always possible that information in the future could show that something clandestine is occurring at HAARP. But until such information or evidence is made available there is simply no basis in fact to believe any of the wild conspiracy theories as they relate to HAARP. It would seem much more probable that the theories are simply the result of active imaginations on the part of conspiracy theorists and/or the efforts of certain quacks to sell their books and DVDs on the topic.

    ติดตามภัยพิบัติและหาคำตอบ
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานภัยพิบัติประจำวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
    เวลา 14.07 แผ่นดินไหวขนาด 6.2 บริเวณ ประเทศวานูอาตู ที่ความลึก 135.50 กม.ลึกเกินกว่าจะส่งผลใดๆ

    intensity.jpg

    Tectonic Summary
    4.JPG

    Seismotectonics of the Eastern Margin of the Australia Plate
    ... The eastern margin of the Australia plate is one of the most sesimically active areas of the world due to high rates of convergence between the Australia and Pacific plates. In the region of New Zealand, the 3000 km long Australia-Pacific plate boundary extends from south of Macquarie Island to the southern Kermadec Island chain. It includes an oceanic transform (the Macquarie Ridge), two oppositely verging subduction zones (Puysegur and Hikurangi), and a transpressive continental transform, the Alpine Fault through South Island, New Zealand.

    Since 1900 there have been 15 M7.5+ earthquakes recorded near New Zealand. Nine of these, and the four largest, occurred along or near the Macquarie Ridge, including the 1989 M8.2 event on the ridge itself, and the 2004 M8.1 event 200 km to the west of the plate boundary, reflecting intraplate deformation. The largest recorded earthquake in New Zealand itself was the 1931 M7.8 Hawke's Bay earthquake, which killed 256 people. The last M7.5+ earthquake along the Alpine Fault was 170 years ago; studies of the faults' strain accumulation suggest that similar events are likely to occur again.

    North of New Zealand, the Australia-Pacific boundary stretches east of Tonga and Fiji to 250 km south of Samoa. For 2,200 km the trench is approximately linear, and includes two segments where old (>120 Myr) Pacific oceanic lithosphere rapidly subducts westward (Kermadec and Tonga). At the northern end of the Tonga trench, the boundary curves sharply westward and changes along a 700 km-long segment from trench-normal subduction, to oblique subduction, to a left lateral transform-like structure.

    Australia-Pacific convergence rates increase northward from 60 mm/yr at the southern Kermadec trench to 90 mm/yr at the northern Tonga trench; however, significant back arc extension (or equivalently, slab rollback) causes the consumption rate of subducting Pacific lithosphere to be much faster. The spreading rate in the Havre trough, west of the Kermadec trench, increases northward from 8 to 20 mm/yr. The southern tip of this spreading center is propagating into the North Island of New Zealand, rifting it apart. In the southern Lau Basin, west of the Tonga trench, the spreading rate increases northward from 60 to 90 mm/yr, and in the northern Lau Basin, multiple spreading centers result in an extension rate as high as 160 mm/yr. The overall subduction velocity of the Pacific plate is the vector sum of Australia-Pacific velocity and back arc spreading velocity: thus it increases northward along the Kermadec trench from 70 to 100 mm/yr, and along the Tonga trench from 150 to 240 mm/yr.

    The Kermadec-Tonga subduction zone generates many large earthquakes on the interface between the descending Pacific and overriding Australia plates, within the two plates themselves and, less frequently, near the outer rise of the Pacific plate east of the trench. Since 1900, 40 M7.5+ earthquakes have been recorded, mostly north of 30°S. However, it is unclear whether any of the few historic M8+ events that have occurred close to the plate boundary were underthrusting events on the plate interface, or were intraplate earthquakes. On September 29, 2009, one of the largest normal fault (outer rise) earthquakes ever recorded (M8.1) occurred south of Samoa, 40 km east of the Tonga trench, generating a tsunami that killed at least 180 people.

    Across the North Fiji Basin and to the west of the Vanuatu Islands, the Australia plate again subducts eastwards beneath the Pacific, at the North New Hebrides trench. At the southern end of this trench, east of the Loyalty Islands, the plate boundary curves east into an oceanic transform-like structure analogous to the one north of Tonga.

    Australia-Pacific convergence rates increase northward from 80 to 90 mm/yr along the North New Hebrides trench, but the Australia plate consumption rate is increased by extension in the back arc and in the North Fiji Basin. Back arc spreading occurs at a rate of 50 mm/yr along most of the subduction zone, except near ~15°S, where the D'Entrecasteaux ridge intersects the trench and causes localized compression of 50 mm/yr in the back arc. Therefore, the Australia plate subduction velocity ranges from 120 mm/yr at the southern end of the North New Hebrides trench, to 40 mm/yr at the D'Entrecasteaux ridge-trench intersection, to 170 mm/yr at the northern end of the trench.

    Large earthquakes are common along the North New Hebrides trench and have mechanisms associated with subduction tectonics, though occasional strike slip earthquakes occur near the subduction of the D'Entrecasteaux ridge. Within the subduction zone 34 M7.5+ earthquakes have been recorded since 1900. On October 7, 2009, a large interplate thrust fault earthquake (M7.6) in the northern North New Hebrides subduction zone was followed 15 minutes later by an even larger interplate event (M7. 60 km to the north. It is likely that the first event triggered the second of the so-called earthquake "doublet".

    More information on regional seismicity and tectonics
    M6.1 - 48km ENE of Luganville, Vanuatu 2013-07-26 07:07:17 UTC
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วัฏจักรสุริยะยาวผิดปกติ อาจเกี่ยวกับสายลำเลียงพลาสมา
    3 ก.ย. 2553รายงานโดย: วิมุติ วสะหลาย ()
    ดวงอาทิตย์มีกัมมันตภาพต่าง ๆ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา เช่นจุดมืด การลุกจ้า การพ่นมวลคอโรนา ความถี่ที่เกิดขึ้นมากน้อยผันแปรเป็นวัฏจักร มีคาบค่อนข้างสม่ำเสมอคือ 11 ปี แต่ในวัฏจักรที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งนับเป็นวัฏจักรที่ 23 มีคาบยาวนานผิดปกติ ถึง 12.5 ปี ความผิดปกตินี้ยังเป็นปริศนาที่นักดาราศาสตร์อธิบายไม่ได้
    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีรายงานตีพิมพ์ในจีโอฟิสิคัลรีเสิร์ชเลตเตอรส์เมื่อไม่นานมานี้ อาจมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ งานวิจัยนี้เป็นของ ดร.มอซุมิ ดิกพาที จากศูนย์หอดูดาวพื้นที่สูงเพื่อแห่งชาติเพื่องานวิจัยบรรยากาศในโบลเดอร์ โคโลราโด ซึ่งอธิบายว่า สายลำเลียงบนดวงอาทิตย์อาจเป็นสาเหตุของคาบเวลาของวัฏจักรที่ยาวนานผิดปกติ
    สายลำเลียงบนดวงอาทิตย์คือกระแสของพลาสมาที่ไหลบนพื้นผิวดวงอาทิตย์จากบริเวณศูนย์สูตรไปยังเขตขั้วดวงอาทิตย์ แล้ววกลงเบื้องล่างและไหลกลับไปที่เขตศูนย์สูตรอีกครั้งหมุนเวียนไปอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับสายพานลำเลียงสิ่งของในโรงงาน และคล้ายกับสายลำเลียงในมหาสมุทรบนโลก ซึ่งไหลเวียนในมหาสมุทรต่าง ๆ ถ่ายเทน้ำและความร้อนไปทั่วโลก
    งานของ ดร.ดิกพาทีได้ใช้ข้อมูลการเลื่อนดอปเพลอร์ของกระแสพลาสมาตลอดคาบที่ผ่านมาจากหอดูดาวเมาต์วิลสัน พบว่า สายลำเลียงได้ยืดยาวขึ้น โดยจุดวกกลับใกล้ขั้วได้ขยับไปอยู่ที่ตำแหน่งเกือบถึงขั้วดวงอาทิตย์เลยทีเดียว ในขณะที่วัฏจักรปรกติสายลำเลียงจะวกกลับที่ละติจูดประมาณ 60 องศา ระยะทางที่ต้องไหลไกลขึ้นนี้เองที่เป็นเหตุที่ทำให้คาบของกัมมันตภาพสุริยะต้องยาวนานขึ้น
    ข้อมูลจากแหล่งเดียวกันยังชี้ว่า ในวัฏจักรที่ 19, 20 และ 21 ซึ่งมีคาบเพียง 10.5 ปี ซึ่งสั้นกว่าปกติก็มีสายลำเลียงสั้นกว่าปกติเช่นกัน
    ทฤษฎีนี้ชี้ว่า สายลำเลียงที่สั้นกว่าปกติเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าสายลำเลียงยาวกว่าปกติ ดังนั้นกรณีที่สายลำเลียงยาวกว่าปกติดังเช่นในวัฏจักรที่ผ่านมาจึงถือเป็นกรณีพิเศษที่เกิดได้ไม่บ่อยนัก
    ขณะนี้อยู่ในช่วงต้นวัฏจักรที่ 24 ซึ่งจากการสำรวจโดยหอดูดาวเมาต์วิลสันพบว่ามีสายลำเลียงสั้นอีกครั้ง จึงเชื่อได้ว่าวัฏจักรนี้ก็น่าจะสั้นใกล้เคียงกับวัฏจักรที่ 19-22 ด้วยเหตุผลเดียวกัน
    ที่มา:
    Extended Solar Minimum Linked to Changes in Sun's Conveyor Belt - Science Daily
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คำพยากรณ์โลก โดย อ.ปริญญา ตันสกุล

    การชำระล้างโลกของพระบิดา
    กระบวนการทางเทคนิคของพระบิดาต่อไปนี้ จะเปิดเผยเฉพาะบางส่วนที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์ ว่าความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นพระเมตตาที่พระบิดาประทานมาให้เผยแพร่ มิใช่เป็นการกระทำขึ้นมาเองของมนุษย์ที่อวดอุตริจริงแท้หรือไม่

    หากทุกอย่างเป็นความจริงตามที่เผยให้รู้ไว้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าองค์จิตจักรวาล ผู้เป็นพระบิดาหรือพระผู้สร้างหรือว่าพระเจ้าล้วนมีจริงเป็นแน่แท้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่จะมีโอกาสข้ามผ่านกลียุคครั้งที่ 4 นี้ไปได้เพื่อถึงวันเวลาแห่งการพิสูจน์นั้น

    ขึ้นตอนโดยสังเขปทางเทคนิคของพระบิดา

    ก่อนวันชำระครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น 15 วัน แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ที่ทำมุมกันแนวดิ่งอยู่ 23.5 องศานั้น จะถูกกำหนดให้มันค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเรื่อย ๆ จะทำให้ขั้วโลกเหนือก้มหัวลงหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากขึ้น

    น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นในข้อแรก ทำให้น้ำแข็งละลายกลืนกับน้ำในมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว

    เมื่อโลกเอียงในลักษณะก้มหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำจากขั้วโลกก็จะพากันไหลหลั่งลงสู่เบื้องล่างเป็นคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ในอันที่จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมแผ่นดิน และบริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่จะกลืนแผ่นดินต่อไป

    ขณะเดียวกันก็จะกำหนดให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้มหาสมุทรบริเวณขั้วโลกใต้ เพื่อกระเทาะเอาก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ให้หลุดออก เพื่อใช้เป็นมวลในการถ่วงดุลด้านน้ำหนักมวลระหว่างขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในกระบวนการทางเทคนิคที่จะ กล่าวถึงในข้อ 5 และ 6 เป็นลำดับต่อไปนั่นเอง

    เมื่อครบ 15 วันตามกำหนดที่จะชำระความครั้งใหญ่แล้ว แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลกจะเบี่ยงเบนไปจากเดิม 8.5 องศา หรืออยู่ที่ 32 องศากับแนวดิ่งแล้ว ตรงพิกัดตำแหน่งนี้จะเป็นกำหนดเวลาที่ส่วนโค้งของโลก จะเริ่มบดบังแสงสว่าง จากดวงอาทิตย์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีอีกต่างหากด้วย ดังนั้นวันแรกแห่งการชำระความในกรณีชำระโลกครั้งใหญ่ ที่มนุษย์จะสังเกตมายาได้ก็คือ ฟ้าจะเริ่มมืดสลัวลง ผิดปรกติ

    ดาวเคราะห์โลกจะค่อย ๆ ม้วนตัวก้มหัวเอาขั้วโลกเหนือ คว่ำลงแทนที่ตำแหน่งขั้วโลกใต้อย่างช้า ๆ โดยมีน้ำหนักจากขั้วโลกเหนือที่ไหลลงสู่ด้านล่าง และก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทางด้านขั้วโลกใต้ช่วยส่งเสริม กระบวนการทางเทคนิคนี้ให้แนบเนียน กลมกลืนยิ่งขึ้น เมื่อขั้วโลกเหนือย้ายตนเองไปสู่ขั้วโลกใต้แล้วก็จะค่อย ๆ พลิกม้วนตัวขึ้นเพื่อย้อนคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตนต่อไป โดยไม่ย้อนรอยเดิม แนวแกนหมุนรอบตัวเองตำแหน่งใหม่ในยุคพลังงานใหม่ก็คือ 22 องศากับแนวดิ่ง เพื่อสร้างฤดูกาลใหม่ที่สมดุลให้กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่แห่งโลกเสรี ระยะเวลาที่โลกม้วนตัวตีลังกาครบ 1 รอบ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 วัน

    คำกล่าวที่ว่า “น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว” จะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วันอันมีแต่กลางคืนนั่นเอง หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจมอยู่ใต้บาดาล ผู้ที่อยู่ใต้น้ำย่อมมองเห็นเหมือนน้ำท่วมท้องฟ้าและปลาจะแหวกว่ายอยู่ไปมา ทำให้คนที่จมอยู่ใต้น้ำแลประหนึ่งว่า ปลาจะกินดาวนั่นเอง

    ตึกสูงใหญ่ วัตถุเทคโนโลยีขยะ มนุษย์ขยะ สัตว์ประจำโลก ต้นไม้ใหญ่น้อย ภูเขาสูงชันและอื่น ๆ จะถูกชำระออกไปจากระบบ เพื่อลดจำนวนและน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกให้น้อยลง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้

    สัตว์ประจำโลกบางชนิดจะสูญพันธุ์ เพราะพวกเขาหมดหน้าที่แล้ว โดยพระบิดาจะเรียกนำจิตวิญญาณพวกเขาทั้งหมด กลับคืน คือ กระต่าย และ หนู

    เมื่อครบ 49 วันหรือ 7 ราตรีแล้ว พระบิดาจะใช้น้ำฝนดั่งน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ของพระองค์หลั่งลงมาเพื่อเก็บกวาดชำระล้างเศษ ซากทุกสิ่ง และชุบชีวิตให้กับจิตวิญญาณบุตรที่รักดีที่เหลือรอด
    ขั้นตอนการชำระความโดยสังเขป:

    ให้มีการ ชำระความ ก่อนวันชำระใหญ่ได้เรื่อย ๆ นับแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา

    การชำระความ กระทำโดยกลุ่มของช่างเทคนิค ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นในสนาม พลังงานดาวเคราะห์โลก จำนวน 20 เท่าของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในประเทศใดก็ จะทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคเพื่อชำระความกับมนุษย์ในประเทศนั้น

    การชำระความของเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นช่างเทคนิค หมายถึง การแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสมกับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้าน ลบต่อพวกเขามาก่อน

    เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง พี่ ๆ น้อง ๆ ของมนุษย์ในภพชาติปัจจุบันนี้เอง ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการจองจำด้วย ความอาฆาต โกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบันที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขา โดยพวกเขาไม่ยอมไปผุดเกิดยังภพภูมิใด ๆ ได้แต่ รอคอยโอกาสเพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว บางรูปธรรมได้จองจำมนุษย์ไว้นานร่วมสองหมื่นปีมาแล้วก็มี

    เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ประจำโลก ที่เคยถูกมนุษย์ ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิต และกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น

    วิธีการชำระความก็คือ การอยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง เพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมายที่จะเอาความของ พวกตนเช่น การโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อก่อให้เกิดอุทกภัยที่รุนแรงต่อมนุษย์ในเป้าหมายชำระของพวกตน การร่วมกันทำให้เกิดฟ้าฝ่าบุคคลเป้าหมาย การทำให้เกิดลมพายุพัดถล่มซ้ำ การทำให้เกิดคลื่นยักษ์ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว ด้วยการใช้เสียงดังของฟ้าฝ่าในระดับ 30 เดซิเบลขึ้นไปเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนนั้น การผลักเคลื่อนตัวของรอยแยกของเปลือกโลกอันเกิดจากการระเบิดในใจกลางโลก การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่รุนแรง และการระเบิดของภูเขาไฟ ในสถานที่ ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    ชำระความด้วยเสียงอันดัง เพื่อทำลายประสาทหูและใช้พลังงานด้านลบที่เข้มข้น เพื่อทำลายสติและเอาชีวิตมนุษย์เป้าหมายนั้นในฉับพลัน

    ชำระความมนุษย์ด้วยโรคระบาดร้าย ๆ ที่มากับน้ำเน่าเสีย เช่น อหิวาตกโรคชนิดใหม่ที่มนุษย์ต้องตายภายใน 6 วันหลังการได้รับเชื้อนั้น หรือภัยร้ายจากเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ชื่อ Virusteria ที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จักซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกว่า เชื้อโรคชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้

    ชำระความด้วยความอดอยากหิวโหย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีอาหารบริโภค เพราะน้ำท่วมเสียหายหมด และไม่มีใคร ช่วยเหลือใครได้เพราะต่างต้องประสบเคราะห์กรรมโดยทั่วหน้ากัน

    ช่วงเวลาแห่งการชำระความครั้งใหญ่ จะใช้เวลานานถึง 7 ราตรี โดยที่ 1 ราตรี หมายถึง การที่โลกจะปกคลุมไปด้วยความ มืดมิดคือ มีแต่กลางคืนติดต่อกัน 7 วันเต็ม ๆ ขณะที่ภัยธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวนอันเกิดจากน้ำมือของช่างเทคนิค เป็นผู้กระทำอยู่เบื้องหลังจะรุกกระหน่ำเอาความกับมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะปิดตาก็แลเห็นจะปิดหูก็ได้ยิน ทั่วทั้งแผ่นดินจะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ บอบช้ำไปด้วยพายุถล่ม แผ่นดินถล่ม และตึกสูงใหญ่ที่ถล่มทลายลงมากองเป็นภูเขาเลากา ท่ามกลางเสียงหวีดกรีดร้องของมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร ประสานเสียงกันอย่างบาดหัวใจ

    แผ่นดินบางแห่งจะลุกเป็นไฟ เพราะแสงเพลิงและสายธารของลาวาจากใต้โลก บางแห่งจะยุบตัวลงกลืนเมืองลงไปทั้งเมือง แล้วราดทับด้วยเปลวถ่านร้อน ๆ ของลาวาอย่างน่าพรั่นพรึง

    แผ่นดินจำนวนมากจะถูกกลืนหายไปใต้แผ่นน้ำ และมหาสมุทรอย่างถาวร เพราะคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และแรงดูดดึงจากใต้สมุทรจนทำให้เกาะน้อยใหญ่ไม่แตกกระจาย ก็จะจมหายลงไปใต้ผืนทะเลตลอดกาล
    *** เป็นความเชื่อของแต่ละผู้ละคน โปรดใช้วิจารณญาณให้จงหนัก
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "นาซา" ปล่อยดาวเทียมสำรวจดวงอาทิตย์ "ไอริส"
    วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2556 เวลา 12:17 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ( นาซา ) ของสหรัฐ ปล่อยดาวเทียมสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ เพื่อไขปริศนาเกี่ยวกับดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ

    นายทิม ดันน์ ผู้จัดการโครงการดาวเทียมสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ของนาซา แถลงว่า จรวด "เพกาซุส เอ็กซ์แอล" ทะยานขึ้นจากฐานปล่อยจรวดริมชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเวลา 02.27 น. ตามเวลามาตรฐานสากล ( 09.27 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) เพื่อปล่อยดาวเทียมสำรวจดวงอาทิตย์ชื่อ "ไอริส"

    รัฐบาลสหรัฐและนาซาทุ่มงบประมาณกว่า 182 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 5.6 พันล้านบาท ) จัดตั้งโครงการสำรวจดวงอาทิตย์ ที่เป็นการส่งดาวเทียมไอริสไปสังเกตสภาพแวดล้อม และความเปลี่ยนแปลงบริเวณดวงอาทิตย์เป็นเวลา 2 ปีเต็ม โดยใช้กล้องโทรทรรศน์พิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อจับภาพดวงอาทิตย์โดยเฉพาะ และสามารถส่งข้อมูลกลับมายังโลกได้ในเวลาไม่กี่วินาที

    เครดิตข่าว เดลินิวส์

    "นาซา" เผยยาน "วอยเอเจอร์ 1" ใกล้ทะลุจักรวาล
    วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2556 เวลา 12:17 น
    image.jpg
    องค์การ "นาซา" เผยการได้รับสัญญาณจากยาน "วอยเอเจอร์ 1" ที่อาจสื่อถึงการเดินทางใกล้ออกนอกระบบสุริยะแล้ว

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ( นาซา ) ของสหรัฐ เผยยานสำรวจอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1" ใกล้เดินทางออกนอกระบบสุริยะแล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี กว่าจะเดินทางพ้นเขตสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์

    นายเอ็ด สโตน นักวิจัยของนาซาซึ่งรับผิดชอบโครงการวอยเอเจอร์ กล่าวว่า ยานวอยเอเจอร์ 1 ที่เดินทางออกนอกโลกไปตั้งแต่ปี 2520 ส่งสัญญาณต่อเนื่องกลับมายังห้องปฏิบัติการของนาซาที่เมืองพาซาเดนา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีอัตราความหนาแน่นลดลงกว่าปกติถึง 1,000 เท่า คล้ายกับกำลังเดินทางเข้าสู่ "ทางหลวงแม่เหล็ก" จึงสามารถอนุมานได้ว่า ยานสำรวจเดินทางใกล้พ้นกำแพง “เฮลิโอสเฟียร์” หรือขอบเขตพรมแดนลมสุริยะ ทำหน้าที่ปกป้องจักรวาลจากรังสีคอสมิกแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอีกนานมาก ซึ่งอาจกินเวลาหลายปี กว่าจะสามารถเดินทางพ้นระบบสุริยะได้

    นอกจากนี้ สัญญาณที่ส่งกลับมายังมีความหนาแน่นน้อยกว่า เมื่อครั้งที่ยานสำรวจเดินทางเข้าสู่บริเวณสนามแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดี และสามารถถ่ายภาพส่งกลับมาได้เมื่อ 34 ปีก่อนด้วย ปัจจุบันยานวอยเอเจอร์ 1 อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ราว 18 พันล้านกิโลเมตร หรือเท่ากับระยะทางไปกลับระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ 122 เที่ยว

    นาซาตั้งเป้าให้ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 เป็นสิ่งประดิษฐ์จากฝีมือมนุษย์ชิ้นแรกของโลก ที่สามารถเดินทางทะลุระบบสุริยะสำเร็จ โดยยานวอยเอเจอร์ 2 ออกเดินทางก่อน เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2520 ตามด้วยยานวอยเอเจอร์ 1 ออกเดินทางเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ปีเดียวกัน

    ทั้งนี้ ด้วยความที่ยานทั้ง 2 ลำสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเมื่อกว่า 30 ปีก่อน นาซาจึงตัดสินใจให้ยานวอยเอเจอร์ 1 ปิดระบบกล้องถ่ายภาพ ขณะเดินทางผ่านดาวเนปจูนเมื่อปี 2532 เพื่อประหยัดพลังงานให้พอที่จะใช้เดินทางจนถึงปี 2568 อย่างไรก็ตาม ยานยังคงส่งคลื่นวิทยุกลับมายังโลกได้ตามปกติ ซึ่งใช้เวลาเดินทางราว 17 ชั่วโมง ส่วนยานวอยเอเจอร์ 2 ปัจจุบันเคลื่อนที่ห่างจากดวงอาทิตย์ราว 14.7 พันล้านกิโลเมตร และยังคงอยู่ภายในกำแพงเฮลิโอสเฟียร์

    เครดิตข่าว เดลินิวส์
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150

แชร์หน้านี้

Loading...