ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    บัดนี้เป็นการร่อนตะแกรงฟ้าครั้งสุดท้าย !!!

    [​IMG]

    พระพุทธะจี้กงประทับทิพย์ญาณเมตตาว่า..

    กับสุดท้ายกาลจวนเจียน เจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ ต่างก็รอบุญกุศลและให้โอกาสแล้วมาร้อยกว่าปี แต่มาบัดนี้ไม่มีใครสร้างบุญกุศลชดใช้ ไม่ตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญ เจ้ากรรมนายเวรได้กราบทูลร้องขอความเป็นธรรมต่อพระแม่องค์ธรรม พระแม่องค์ธรรมได้ตรวจสอบดูก็เป็นเช่นนี้จริง จึงบัญชาอนุญาติให้เจ้ากรรมนายเวร ติดตามทวงหนี้ประชิดตัวได้อย่างเต็มที่ได้ทุกเวลาทุกวินาที ไม่ต้องมีการต่อรองเวรกรรมกับพระวิสุทธิอาจารย์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

    ใครมีหนี้กับใครก้จัดการทวงหนี้เลยได้ทันที (เก็บคนชั่วไม่บำเพ็ญ) เนื่องจากคนก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ถึงแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างก็ลงมาโปรดกล่อมเกลาส่งเสริม หลายต่อหลายครั้ง แต่เวไนยก็ยังหลงไม่รู้ตื่น สร้างบาปมากมาย อีกที้งยังไม่สร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน ศิษย์อย่าได้ชะล่าใจจะไม่ทันกาล ตอนนี้ต้องเร่งรับส่งเสริมนำพาเวไนยปฏิบัติงานธรรม เน้นที่สุดส่งเสริมคนทั้งหลายเร่งปฏิบัติบำเพ็ญจริง ทุกๆขณะเวลาให้เห็นงานอริยสำคัญกว่างานอื่นใด

    บัดนี้เป็นการร่อนตะแกรงฟ้าครั้งสุดท้าย ภัยพิบัติครั้งนี้มีเพียงแต่ผู้บำเพ็ญมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจริงจะมีชีวิตรอด (20%) และจะเป็นผู้เก็บศพเวไนย ภัยจะเกิดทุกวัน ให้ระวังทุกขณะ สิ่งใดที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งใดมาจากทะเลกลับคืนสู่ทะเล อาจจะมีบางประเทศหายไป ภัยรอบตัวหน้าหลังซ้ายขวา

    ศิษย์มั่นคงพร้อมไม่กลัว ต้องสำนึกด้วยใจจริงแม้ และจากนี้ไป การบำเพ็ญธรรมจะยากลำบากขึ้น ของตั้งใจให้ดี ศิษย์เอ๋ยบัดนี้พระอาจารย์ไม่สามารถแบกรับหนี้กรรมให้ลูกศิษย์ได้อีกแล้ว โอกาสสุดท้ายแล้วในครั้งนี้มุ่งมั่นทำงานธรรม เร่งรีบสร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน มุ่งมั่นทำงานฟ้า ฟ้าไม่ทอดทิ้ง ละทิ้งอัตตากิเลสวางส่งเสริมงานธรรม

    พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ พุทธสถานเฉิงเต๋อ ประเทศมาเลเซีย วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2548

    ที่มา mindcyber.com!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว

    1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน
    2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
    ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
    3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
    4. ที่อยู่อาศัย
    5. ยารักษาโรค
    6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)
    ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี
    ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
    7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
    8. เครื่องช่วยชีวิต
    9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้น ท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
    10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

    การดูแลตัวเองในช่วงเวลาวิกฤติ

    1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นญาติสนิท หรือคนที่เรารู้จักก็ตาม
    2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรค สารเคมีที่มนุษย์สร้าง
    3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
    4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้น ประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพจะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณก็จะได้เห็น คนที่มาเยือน อาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้ และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด
    5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
    6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
    7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
    8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
    9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ จระเข้
    10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง

    ขออนุญาติลอกส่วนหนึ่งจากโพสต์ที่อยู่หน้าแรกนะคะ
    ถ้าคนเราต้องเตรียมตัวเพื่อการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมตามที่คัดลอกมาข้างบนนั้นจริงๆ
    มันน่าจะบ่งบอกถึงความนัยอะไรหรือไม่
    - เราต้องเตรียม อาหาร และ น้ำดื่ม ไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน (ยังไม่ได้กล่าวถึงน้ำใช้)
    - เตรียมเครื่องนุ่งห่ม กระเป๋าน้ำร้อน ไว้รับมืออากาศหนาวระดับยะเยือกจับขั้วหัวใจ
    - ท้องฟ้าจะมืดมิด เป็นเวลา 49 วัน
    - อยู่ตึกสูงกว่า 3 ชั้นไม่ได้ ตึกสูงจะพังถล่ม
    - น้ำ นอกบ้านใช้ไม่ได้ ฝนก็โดนไม่ได้ เพราะเป็นพิษจากเชื้อโรคและสารเคมี
    - ออกนอกบ้านไม่ได้ เพราะน้ำและฝนเป็นพิษ ภูติผีปิศาจรอทำร้ายอยู่
    ถ้าต้องเป็นอย่างข้างต้นนี้จริงๆ
    ลำพังแต่ละบ้านเตรียมกันเอง ตัวใครตัวมัน เตรียมกันไหวไหมจะไปกันรอดไหม
    นึกถึง 1 ครอบครัวในปัจจุบัน มีสามี 1, ภรรยา 1, ลูก 1 - 2 ตีว่า 4 คน
    บางบ้านคุณแม่ คุณพ่อ ยังอยู่ไม่รู้หละจะของฝ่าย ภรรยาหรือสามีก็เหอะ สมมุติเพิ่มอีก 2 คน สรุปแล้ว ครอบครัวหนึ่งๆ จะมีสมาชิก 4 - 6 คน
    ปัญหาที่ 1 จะเตรียมอาหารอะไร จำนวนเท่าไหร่ ให้พอเพียงสำหรับคน 4 - 6 คน เพื่อดำรงชีวิตให้ได้ 3 - 6 เดือน ?
    ปัญหาที่ 2 อาหารอะไรที่จะไม่บูด ไม่เน่า ไม่เสีย ในระยะเวลา 3 - 6 เดือนนี้ที่ออกไปไหนไม่ได้ หามาเพิ่มอีกห็ไม่มี
    ปัญหาที่ 3 จะหาภาชนะ อุปกรณ์ อะไรมาใส่มาตุน น้ำดื่ม และ อาหารจำนวนนี้
    ปัญหาที่ 4 จะเก็บ น้ำดื่ม และ อาหาร ไว้ส่วนไหนของบ้านให้พ้นจาก การปนเปื้อนจากภายนอกและไม่โดน มด หนู แมลงสาป มากัดกิน
    ปัญหาที่ 5 พื้นที่ในบ้านจะพอไหมสำหรับการจัดเก็บ น้ำดื่มและอาหาร ที่สะสมตุนไว้นี้
    ห้าปัญหาข้างต้นนี้เป็นปัญหาแค่ของ อาหารและน้ำดื่ม เท่านั้น ยังไม่ได้รวมไปถึงน้ำจะใช้นะ
    อากาศก็เย็นยะเยือก มืดก็มืด บ้านก็เปิดไม่ได้ก็คงต้องปิดทั้งประตูหน้าต่างกันภูติผีปิศาจ
    ต้องต้มน้ำร้อนใส่กระเป๋าน้ำร้อน จุดเทียนหรือตะเกียงเจ้าพายุ
    ปัญหาที่ 6 จะเก็บเชื้อเพลิงไว้มากน้อยแค่ไหน สำหรับหุงต้มอาหาร น้ำร้อน และตะเกียงเจ้าพายุ
    ปัญหาที่ 7 อากาศจะพอหายใจไหม บ้านก็ต้องปิดมิดชิด ไฟฟ้าดับหมดก็ต้องใช้เตาแก๊สหรือเตาถ่าน ไฟเทียนไฟตะเกียงอีก การเผาไหม้คือการใช้อ็อกซิเจนให้หมดไปสิ้นไป ข้างนอกมืดมิด 49 วัน พืชไม่ได้สังเคราะห์แสงก็ไม่มีอ็อกซิเจนถูกผลิตมาเพิ่มอีก
    ปัญหาที่ 8 ถ้าลูกเป็นเด็กทารก ถึงไม่เกินชั้นประถมต้นละ ผู้ที่ต้องจัดการดูแลภาระต่างๆก็มีแค่สามี ภรรยาเท่านั้น สมมุติ แม่ พ่อ แก่มากและป่วยอีก
    นี่พิจารณาแค่ไม่กี่ปัจจัย ก็เจอปัญหาไป 8 ข้อและไม่ใช่ปัญหาเล็กๆสิวๆ

    จะแก้ปัญหากันยังไงดี เพื่อให้อยู่รอดให้ได้
    มันมีนัยว่า มนุษย์นั้นถ้าแยกกันอยู่โดยลำพังครอบครัวใครครอบครัวมัน ตัวใครตัวมัน ไปไม่รอดใช่ไหม
    ฉะนั้น จะรอดได้มนุษย์ต้องร่วมมือกัน รวมเป็นกลุ่มก้อน แต่รวมแบบร่อมมือร่วมใจเอื้ออารี ต่อกันใช่หรือไม่ ???
    จะมีสักกี่ครอบครัวละที่แก้ปัญหาต่างๆข้างต้นได้ตามลำพังโดยไม่ต้องพึ่งใครอื่นเลย
    ฉะนั้น มนุษย์ต้องรักใคร่ เอื้ออารี มีคุณธรรมต่อกัน ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะเตรียมการเพื่อการอยู่รอดดังกล่าวได้ ครอบครัวที่มีแต่ คอนโดมิเนี่ยมไม่มีบ้านเดี่ยว ละ คนที่ต้องเช่าหอพักเช่าห้องเช่าอยู่ ละ แล้วเกิดไม่มีญาติที่มีบ้านและที่ดินกว้างใหญ่พอละ
    เท่าที่มองส่วนตัว ถ้าต่างคนต่างเตรียมเพื่อครอบครัวตัวใครตัวมัน ไปไม่รอด
    แล้วพอมันเกิดภาวะอดอยากขาดแคลนขึ้นมาจริงๆ คิดว่าจะมีการออกปล้นสะดมภ์กันไหม ต่างคนต่างอยู่จะรอดไหม

    ถ้าใครพอจำวิชาประวัติศาสตร์ได้ กรุงศรีอยุธยาโดยพม่าข้าศึกล้อมก่อนเสียกรุงครั้งที่สองเป็นเวลาแรมเดือน ออกนอกกรุงไม่ได้พม่าดักฆ่าหมดยกเว้นเล็ดลอดไปได้ ออกไปทำนาก็ไม่ได้ กรณีนี้น้ำไม่เป็นพิษมีสารปนเปื้อนนะ ท้องฟ้าก็ไม่มืดมิด 49 วัน มีการเตรียมการกักตุนเสบียงไว้รับมือการล้องกรุงของพม่าด้วย ยังอดอยากลำบากกันขนาดต้องมีการปล้นกันเองบ้างหนีไปหาพม่าบ้าง แล้วกรุงก็แตกเพราะความเห็นแก่ตัวไม่รักไม่สามัคคีอารีต่อกัน

    ฉะนั้นในกรณีอย่างนี้ ถ้าที่ลอกมาข้างต้นคือทางรอดเดียว
    มันก็บอกเป็นนัยว่า มนุษย์จะรอดได้ก็ต้องมีมนุษยธรรม โอบอ้อมอารีกัน ช่วยเหลือกัน ฉะนั้นถ้าคนไทยเราครองใน ทาน ศีล ภาวนา เป็นส่วนมาก คนที่ครองทาน ศีล ภาวนา ก็ควรจะเป็นผู้ที่มี มนุษยธรรม มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงเวลาภัยพิบัติมา รอดดดดดดดดดดด
    เราๆท่านๆลองช่วยกันไตร่ตรองดู ถ้าเรามองและอ่านอย่างมีสติใช้วิจารณญาณก็จะเห็นทางรอด อย่าไปตระหนกตกใจกับเรื่องราว เทวดาจะโปรยเชื้อโรค นาคจะพ่นพิษอยู่เลย ท่านที่เขียนออกมาทำนองนี้ ท่านอาจไม่ได้มีเจตนาร้ายเพียงแต่ต้องการให้มนุษย์กลัวในความชั่วกลัวตายแล้วรีบกลับตัวกลับใจมาประกอบกรรมดี ก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าเราขาดสติเราก็จะมัวแต่ตระหนก วิตกกังวล คิดอะไรไม่ออก
    ลองคิดดูว่า ด่างทับทิมและคาราไมล์ ทำได้จริงอย่างที่บรรยายคุณสมบัติไว้ไหม ถ้าทำได้จริง ทั้งด่างทับทิมและคาราไมล์ก็ควรจะมีคุณสมบัตินั้น ณ วันนี้ เวลานี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นแล้วจึงมีคุณสมบัติดังกล่าว ลองถามท่านผู้รู้เชิงวิชาการอาหารและการแพทย์ดูละกันคะ
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนา !!!

    [​IMG]

    เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนา

    เทคโนโลยีเมื่อนำมาใช้ในทางที่ดีก็เป็นสิ่งดี เมื่อนำมาใช้ในทางที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งเลวร้ายได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองเทคโนโลยีด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาจนเกินไป มีหลายคนหลงคิดว่าเทคโนโลยีล้วนเป็นเพียงเครื่องมือ หรือ Tools ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งาน แต่ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งลงไปก็จะเห็นถึงความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น

    เทคโนโลยีไม่เป็นกลาง

    เมื่อ 22 ปีก่อน อาตมาเคยแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "วิพากษ์คอมพิวเตอร์ เทวรูปแห่งยุคสมัย" เขียนโดยไมเคิล แชลลิส หนังสือเล่มนี้วิพากษ์วิจารณ์เทคโนโลยีใหม่ในยุคสมัยนั้น คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ว่ามีผลกระทบต่อสังคมและผู้คนทั้งโลกอย่างไร ประเด็นที่เขาหยิบยกขึ้นมานั้นน่าสนใจยิ่ง เขาอธิบายว่าเทคโนโลยีกับสังคมนั้นแยกกันไม่ออก เทคโนโลยีสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้มากมาย อย่างเช่น คอมพิวเตอร์จะมีผลกระทบต่อแบบแผนการทำงานและความสัมพันธ์ในสังคม ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ความคิดอ่านของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย เป็นต้น

    เทคโนโลยีกำหนดโลกทัศน์ของผู้ใช้เทคโนโลยี เปรียบเหมือนคนที่มีค้อนอยู่ในมือ ก็จะมองเห็นแต่ตะปู หรือมองอะไรเป็นตะปู คนที่มีมีดพร้า ก็จะสนใจว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเองสามารถจะฟันหรือถากด้วยมีดได้

    อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คนใช้รถยนต์กับคนใช้จักรยาน จะมีทัศนะต่อโลกและชีวิตไม่เหมือนกัน คนใช้รถจะรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจ มองว่าคนข้ามถนนและคนเดินบนบาทวิถีคือตัวปัญหา มองว่าต้นไม้ที่เกาะกลางถนนเป็นตัวกีดขวางการเดินทางที่เร่งด่วน แต่ทัศนะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนขี่จักรยาน เพราะเขาจะมองว่าคนเดินถนนคือเพื่อนร่วมทาง และต้นไม้ที่เกาะกลางถนนคือร่มเงา ทัศนะที่แตกต่างกันเป็นเพราะใช้เทคโนโลยีที่ต่างกัน

    ความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ที่มาของมัน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีที่มาจากอุตสาหกรรมการทหารและอาวุธ การทหารทำให้เกิดความจำเป็นที่มนุษย์ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อคำนวณหาเป้าหมายในการทำลายล้าง และเสาะแสวงหาข่าวกรองด้านความมั่นคง เทคโนโลยีดิจิตอลที่เราใช้แปลงข้อมูลข่าวสารทั้งหลายในโลกเพื่อการส่งถึงกันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่การมองโลกแบบทวิลักษณ์ คือ 0 และ 1 ไม่ขาวก็ต้องเป็นดำ ซึ่งก็คือการปิดและเปิดกระแสไฟฟ้าบนแผงวงจรนั่นเอง ทั้งที่สรรพสิ่งในโลกของเราล้วนแตกต่างหลากหลายมากมายกว่านั้น คือนอกจากขาวและดำแล้ว ยังมีเทาด้วย

    อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี คืออาวุธนิวเคลียร์ แม้จะมีการพูดว่าอาวุธชนิดนี้จะใช้เพื่อรักษาสันติภาพหรือคุกคามสันติภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เพื่ออะไร อย่างไรก็ตามเมื่ออาวุธชนิดนี้อยู่ในมือของประเทศใด ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าเดิม แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สันติภาพโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเปลี่ยนแปลงไปส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศมีการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ มากน้อยเพียงใด

    ถึงแม้ทุกวันนี้ มีการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในทางสันติ คือใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงาน มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ในท้ายที่สุด กากของเสียนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นก็ยังสร้างปัญหาเพราะสามารถเอาไปใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ ดังนั้นการมีอยู่ของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ จึงทำให้คนทั้งโลกรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวต่อสงครามมาโดยตลอดเช่นกัน แม้ว่าสงครามเย็นจะยุติแล้ว แต่ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ก็ยังไม่หมด เพราะมีความเป็นห่วงว่าอาวุธชนิดนี้อาจตกอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย โลกเราจึงไม่เคยสงบสุขได้อย่างแท้จริงเลยหลังจากที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีชนิดนี้ขึ้นมา

    อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรมากกว่า ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันมันด้วยว่า มันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนอย่างไร ทุกวันนี้เราไม่ค่อยมีหนังสือแนวของไมเคิล แชลลิส ให้อ่านกัน ตอนนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะหันมาใช้คอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง แต่ข้อเสนอของเขายังน่ารับฟัง และนำมาอภิปรายเพื่อคิดอ่านร่วมกัน อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีมาครอบงำเราไม่ว่าในด้านการดำเนินชีวิตหรือในระดับจิตสำนึก

    คำสอนในพระพุทธศาสนา

    ผู้ที่เคร่งศาสนาส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้มต่อต้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือเป็นพวก Luddite ทั้งนี้เพราะผู้ที่สนใจศาสนามักเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ส่วนเทคโนโลยีมักก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่สวนทางกับประเพณีหรือค่านิยมของศาสนิกชน ดังนั้นเราจึงพบว่าในกลุ่มประเทศอิสลาม พวกเคร่งศาสนาแบบสุดโต่งมักต่อต้านอินเทอร์เน็ตหรือจานดาวเทียม เพราะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสื่อกลางที่นำเอาค่านิยมตะวันตกไปเผยแพร่ในประเทศของคน รวมทั้งทำให้เกิดความหลงใหลในเรือง เซ็กส์ วัตถุนิยม ความรุนแรง ฯลฯ

    ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็มีลักษณะอนุรักษ์นิยมเช่นกัน แต่ไม่เข้มข้นหรือสุดโต่งขนาดนั้น แน่นอนว่าในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการคิดค้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำคำสอนของพระองค์ มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโลกยุคดิจิตอลได้

    หลักการแรกคือการพิจารณาถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม ยกตัวอย่างเรื่องการกินอาหาร ก็มีคุณค่าอยู่ทั้ง 2 ด้าน คุณค่าแท้คือประโยชน์ด้านสุขภาพอนามัยที่ช่วยบำรุงร่างกายให้อยู่ได้ด้วยดี คุณค่าเทียมคือความเอร็ดอร่อย ความโก้เก๋ ดังนั้นการกินอาหารในร้านริมถนนกับการกินอาหารในภัตตาคารหรูหรา ในแง่คุณค่าแท้ก็ไม่ต่างกัน คือได้ประโยชน์ในทางสุขภาพใกล้เคียงกันมาก แต่เราทุกคนต่างก็อยากไปกินอาหารในภัตตาคาร เพราะมันอร่อยกว่า โก้เก๋กว่า นี่คือการให้ความสำคัญกับคุณค่าเทียมในเรื่องการกินอาหาร

    พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราเอาคุณค่าแท้เป็นหลัก คือกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ให้มีเรี่ยวแรงในการทำงานและมีชีวิต ไม่ใช่กินเพื่อมุ่งเอาความเอร็ดอร่อยเป็นหลัก ถ้าใครติดคุณค่าเทียม ก็จะเกิดโทษ เช่น เป็นโรคอ้วน หรือถ้ากลัวอ้วน ก็กลายเป็นโรคบูลีเมียและอนอเรกเซีย

    ถ้ามองในเรื่องเทคโนโลยีทั่วไปอย่างเช่นรถยนต์ คุณค่าแท้ของรถยนต์คือใช้เป็นพาหนะเพื่อเดินทาง เป็นการทุ่นแรงทุ่นเวลา คุณค่าเทียมของมันคือความโก้เก๋ การสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผู้ขับขี่ สมัยนี้เราเน้นคุณค่าเทียมมาก ดังนั้นเวลาดูโฆษณารถยนต์ ให้สังเกตว่าเขาไม่ค่อยพูดว่ารถคันนี้ช่วยให้คุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและประหยัด แต่เน้นว่ารถคันนี้ขับแล้วโดดเด่น โก้เก๋ ไม่เหมือนใคร สถานะทางสังคมสูงส่งกว่าผู้อื่น

    ในสังคมปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย และปัญหาสังคมจำนวนมาก ล้วนเกิดขึ้นจากการที่ผู้คนหมกมุ่นยึดติดกับคุณค่าเทียมมากเกินไป อาตมามีความเห็นว่าคนในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องถึงขั้นปฏิเสธคุณค่าเทียมไปเสียทั้งหมด เพียงแต่อย่าให้ความสำคัญกับมันมากไปจนมองข้ามคุณค่าแท้

    การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เราควรเลือกซื้อและนำมาใช้งานเพื่อคุณค่าแท้ คือเพื่อทำงานเอกสาร ใช้ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ช่วยให้งานสำเร็จเสร็จสิ้นได้รวดเร็วขึ้น ไม่ควรเอาคุณค่าเทียมเป็นหลักคือใช้เพื่อความสนุกสนาน บันเทิง ความตื่นเต้น หลายคนใช้คอมพิวเตอร์เป็นประโยชน์ประเภทหลังจนหยุดไม่ได้ ถึงขั้นเสพติดเทคโนโลยี

    เดี๋ยวนี้คนเสพติดเทคโนโลยีไอทีมาก โดยเฉพาะเกมออนไลน์ ในประเทศเกาหลีมีหลายคนติดเกมออนไลน์จนชีวิตย่ำแย่ บางคนติดเกมออนไลน์จนถูกไล่ออกจากงาน เลยเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนจนหัวใจวายตาย มีอยู่ข่าวหนึ่งซึ่งน่าเศร้ามาก สามีและภรรยาชาวเกาหลีคู่หนึ่งติดเล่นเกมออนไลน์นอกบ้าน ทอดทิ้งลูกอายุเพียง 3 เดือนให้อดอาหารจนตาย

    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 คิมแจบอม อายุ 40 ปี และ คิมยุนเจียง อายุ 25 ปี ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานทำให้ลูกสาวของตนเองอายุ 3 เดือนเสียชีวิตโดยประมาท

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือหลังจากเลิกงาน พวกเขากลับมาบ้านเพื่อเอาลูกเข้านอน แล้วรีบออกไปเล่นเกมออนไลน์ที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ นานกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาที่บ้านและพบว่าลูกสาวเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร นี่นับเป็นข่าวสะเทือนขวัญของประเทศเกาหลี และนำไปสู่การออกกฎหมายจำกัดเวลาการเล่นเกมออนไลน์ในเวลาต่อมา

    เกมออนไลน์ที่พวกเขาเล่นมีชื่อว่า "Prius Online" เป็นเกมที่มีตัวละครหลักเป็นเด็กผู้หญิงที่สามารถเติบโตขึ้นมาโดยมีพลังพิเศษมากมาย โดยผู้เล่นจะต้องแข่งกันคอยประคบประหงมเลี้ยงดูเธอแบบออนไลน์ตลอดเวลา

    ลูกสาวอายุ 3 เดือนที่เสียชีวิต ชื่อว่า "คิมซาราง" โดยคำว่า "ซาราง" แปลว่า "ความรัก"

    นี่คือตัวอย่างของการใช้ไอทีเพื่อสนองกิเลสจนเกิดความหลง ความมัวเมา และเสพติด เพราะเราใช้เพื่อมุ่งตอบสนองคุณค่าเทียมที่ไม่มีวันจบสิ้น จนหลงลืมคุณค่าแท้ไป

    เทคโนโลยีนั้นสามารถทำให้เสพติดได้ไม่ต่างจากยาเสพติด โดยนักวิทยาศาสตร์เคยทำการวิจัยเรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ พบว่ามันมีผลต่อสมองในส่วนที่มีปฏิกิริยาต่อการได้รับรางวัล เหมือนกับคนที่ทำอะไรสำเร็จหรือได้รางวัล จะรู้สึกดีใจขึ้นมา มีความสุข สนุกสนาน เพราะมีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาในสมอง เกมคอมพิวเตอร์ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน มันทำให้ผู้เล่นต้องเอาชนะ ต้องทำให้สำเร็จเป็นขั้นๆ ไปเรื่อยๆ และเมื่อชนะหรือผ่านได้แต่ละขั้น สารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาเรื่อยๆ ผู้เล่นก็จะรู้สึกมีความสุขและอยากได้ความรู้สึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นการเสพติดในที่สุด

    อีกหลักการที่เกี่ยวกับการเลือกใช้เทคโนโลยี คือหลักมหาประเทศ 4 ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าวางไว้เพื่อพิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ในกรณีที่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคตโดยที่พระองค์ไม่ได้ระบุไว้ว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ เช่น ถ้าพระองค์ไม่ได้ห้ามไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ไม่ควร สิ่งนั้นก็ไม่ควรทำไม่ควรเสพ และถ้าพระองค์ไม่ได้อนุญาตไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ควร สิ่งนั้นก็ควรทำหรือทำได้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรานำมาใช้เพื่อเผยแผ่ธรรม หรือเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ก็ถือว่าใช้ได้หรือควรใช้ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ส่งเสริมกิเลส ทำให้ขาดสติ ก็ไม่ควรใช้

    พระพุทธานุญาตมหาประเทศ 4

    ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีพระภาคเจ้า. วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง 8 ข้อ ดังต่อไปนี้.

    1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้น ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

    2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

    3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

    4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

    Space & Time ที่เปลี่ยนไป

    ในยุคนี้ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันรวดเร็วฉับไว มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจก็ คือคนสมัยนี้มักรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเวลา ไม่รู้เวลาหายไปไหน ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีนานาชนิดล้วนทุ่นแรงทุ่นเวลาให้เรา เช่น รถยนต์ ทำให้เราถึงที่หมายเร็วขึ้น โทรศัพท์ทำให้เราติดต่อคนที่อยู่ไกลได้โดยใช้เวลาน้อยลง แต่ทำไมทุกวันนี้เราถึงกลับรู้สึกว่า ไม่ค่อยมีเวลาเลย

    ทุกวันนี้สำนึกเรื่องเวลาของคนรุ่นเราเปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนเราเคยนั่งรอกันได้เป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ เวลาทำงานสำคัญสักชิ้น เราใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยไม่รู้สึกว่ามันนานเกินไป เวลากษัตริย์ไทยยกทัพไปตีเชียงใหม่ กองทัพต้องเดินเท้าเป็นเดือน ๆ กว่าจะถึง โดยไม่รู้สึกว่ามันนาน แต่เดี๋ยวนี้พวกเราแค่รอรถติด 2 นาที ก็กระสับกระส่าย หงุดหงิด หรือเวลาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้ามันบูธเกิน ๑ นาที ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากหาซื้อเครื่องใหม่ อยากได้รุ่นที่เร็วกว่านี้ นั้นเป็นเพราะเราไม่รู้จักรอ เราจึงหงุดหงิดง่ายขึ้น

    อาตมาคิดว่ามันขัดแย้งกันมาก เรามีเทคโนโลยีทุ่นแรง ทุ่นเวลา มากมาย แต่แทนที่เราจะมีเวลาเหลือมากขึ้น มีเวลาสบาย ๆ มากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยมีเวลา ผิดกับคนสมัยก่อนกว่าข้าวจะสุกต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะซักผ้าเสร็จ กว่าจะเดินออกจากบ้านไปถึงไร่นาก็อีก 1 ชั่วโมง แต่ทำไมในแต่ละวันเขามีเวลาว่างเหลือมากมาย ตรงกันข้ามกับคนในเมืองใหญ่ มีรถยนต์ที่เร็วมาก มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต สามารถทำงานที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แต่กลับมีเวลาว่างน้อยลง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมี นอนได้ไม่เต็มที่

    คำถามคือ "เวลาหายไปไหน" คำตอบคือ "เวลาหายไปอยู่กับเทคโนโลยี"

    เคยมีคนทำวิจัยพบว่าคนกรุงเทพฯ ใช้เวลาอยู่บนรถ 65 วันต่อปี คือใช้เวลา 1 ใน 6 ของทั้งปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกหรอก ถ้าเราต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็คือ 1 ใน 6 ของวัน

    เด็กวัยรุ่นไทยในแต่ละวัน อยู่กับ เกมออนไลน์และอินเทอร์เน็ต 3 ชั่วโมง ดูทีวีอีก 3 ชั่วโมง คุยโทรศัพท์อีก ๒ ชั่วโมง รวมแล้ว 8 ชั่วโมง ซึ่งก็คือ 1 ใน 3 ของวัน แล้วเด็กจะมีเวลานอน เวลาเรียน เวลาออกกำลังกาย เวลาคุยกับพ่อแม่ได้อย่างไร

    ข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาลในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กินเวลาเราอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารมากมาย อาตมาเองเสียเวลากับเรื่องนี้วันหนึ่ง ๆ ก็ไม่น้อย แค่ตอบอีเมล์ก็เกือบชั่วโมงแล้ว ข้อมูลเหล่าในอินเทอร์เน็ตเหล่านี้บางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน เราจึงควรคุมตัวเองให้ได้ อย่าไปจมกับมันมาก เพราะมันจะดึงดูดเราลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปแบบนี้ มันจะดึงเราเข้าไปแบบไม่มีวันจบ ได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องเตือนใจให้รู้จักหยุด รู้จักพอ

    ไม่น่าแปลกใจที่คนเราใช้เวลามากมายกับข้อมูลข่าวสาร หรืออยู่กับเทคโนโลยีไอที จนกระทั่งไม่มีเวลาเหลือ ในบ้านมีพ่อแม่ลูก 4 คน มีโทรทัศน์คนละเครื่อง แต่ละคนก็อยู่ในห้องตัวเอง ทั้งวันก็ต่างคนต่างอยู่หน้าจอโทรทัศน์ หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนไม่มีเวลาคุยกัน พ่อจะเรียกลูกมากินข้าว ต้องใช้โทรศัพท์มือถือเรียกลงมา บางคนถึงกับส่ง SMS หรือเขียนอีเมล์ถึงลูกให้ลงมากินข้าว

    นั่นแปลว่า ไม่เพียงแค่สำนึกเรื่องเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป สำนึกในเรื่อง space รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้คนก็เปลี่ยนไปพร้อมกันด้วย ในด้านหนึ่งเทคโนโลยีช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราเหินห่างจากคนใกล้ตัวเช่นคนในบ้าน ขณะที่คนไกลได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่คนใกล้กลับห่างเหินกัน Space บิดเบือนไปหมด เราติดต่อกับเพื่อนที่อเมริกาทุกวัน แต่เราไม่คุยกับพ่อแม่เราเอง

    การปฏิบัติธรรมในยุคดิจิตอล

    เทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับธรรมะ ในแง่ที่ว่ามันมุ่งจัดการกับสิ่งรอบตัว ขณะที่ธรรมะเน้นที่การจัดการกับตัวเอง เมื่อเทคโนโลยีล้อมรอบตัวเรามากขึ้น มันบิดเบือน Space & Time ของเราไปทั้งหมด ทุกอย่างต้องเร่งรีบ ขณะเดียวกันจิตใจก็ส่งออกนอก ถูกดึงออกนอกตัว จนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว เดี๋ยวนี้เราไม่สามารถจะอยู่นิ่งได้นานๆ รอได้นานๆ แค่ 1 ชั่วโมงก็ทนไม่ได้ หากต้องวิ่งวุ่นและเร่งรีบแบบนี้ เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร เราจะมีความสงบใจได้อย่างไร การเข้าถึงธรรมะจึงเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความสงบ การหันมามองตน ดูจิตใจของตนเอง

    คนเราจะมีความสุขได้ก็ต้องรู้จัก "เป็นมิตรกับตัวเอง" คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับตัวเองเท่าไร ถ้าเรารักตัวเองจริงอย่างที่พูดกัน ทำไมเราไม่อยากอยู่กับตัวเองล่ะ ถ้าให้นั่งอยู่ในห้องคนเดียว จะทนได้นานสักแค่ไหน นั่งไปชั่วโมงเดียวก็กระสับกระส่าย เบื่อ เหงา อยากโทรศัพท์หาเพื่อน อยากเล่นเกมออนไลน์ อยากเล่นบีบี อยากแชทกับเพื่อน หรือไปเที่ยวห้าง

    สังเกตจากคนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดของอาตมา วันแรกๆ ที่เข้ามา หลายคนจะมีอาการกระสับกระส่าย อาตมาเรียกว่ามีอาการเหมือนลงแดง เพราะห้ามพูดคุยกัน ต้องเดินจงกรมวันละหลายชั่วโมง ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู โทรศัพท์ก็ไม่ได้ คนที่เสพติดเทคโนโลยีจึงรู้สึกเป็นทุกข์ นอกจากการฝึกปฏิบัติธรรมที่จัดเป็นประจำ ทางวัดยังจัดงานเดินธรรมยาตรา ทุกวันที่ 1-8 ธันวาคม ของทุกปี และจะมีโรงเรียนจากกรุงเทพฯ ส่งครูและเด็กนักเรียนไปร่วมกัน ครูจะยึดโทรศัพท์มือถือไว้หมด วันแรก ๆ เด็กวัยรุ่นที่มาร่วมงานจะกระสับกระส่ายกันมาก โทรก็ไม่ได้ ทีวีก็ไม่มีดู

    อย่างไรก็ตาม อาการนี้จะมีอยู่แค่ 1-2 วันแรกเท่านั้น วันหลังๆ พวกเขาจะหาย และไม่ต้องพึ่งพาโทรศัพท์อีกแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน เขาได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขนาดนั้นก็ได้ ถึงแม้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ยังอยู่ได้อย่างมีความสุข เพียงแต่ทุกวันนี้เราเสพเทคโนโลยีจนเคยตัว พอไม่มีอะไรทำก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมากด แล้วก็เสพติดมัน เด็กนักเรียนหลายคนบอกว่าชีวิตเบาลงเยอะ ได้ดูใจตัวเอง ได้มีเวลาคุยกับเพื่อน ได้มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตบ้างก็ดี

    การที่คนสมัยนี้เข้าถึงธรรมะได้ยากขึ้น ทำให้เขาโหยหาธรรมะมากกว่าเดิม เพราะชีวิตเครียดมากขึ้น สมัยนี้เรามีความพรั่งพร้อมทางวัตถุ ได้เสพได้บริโภคเต็มที่ ก็เลยรู้สึกอิ่มตัวเร็ว สมัยก่อนวัตถุสิ่งเสพไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอิ่มตัวเหมือนคนสมัยนี้ พออิ่มตัวเร็ว ก็เลยรู้สึกว่าวัตถุไม่ใช่คำตอบ ไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง เกิดความเบื่อหน่าย จึงหันไปแสวงหาสิ่งอื่นที่เชื่อว่าจะทำให้มีความสุขมากกว่านี้

    ในภาวะนี้ เราจะตกอยู่บนทางแพร่ง ทางหนึ่งก็คิดว่าเราต้องมีเงินให้มากกว่านี้ มีวัตถุให้มากกว่านี้ เราถึงจะมีความสุข เหมือนคนติดยาเสพติด ต้องใช้ยามากขึ้น หรือยาแรงขึ้น ถึงจะเพลิดเพลินเหมือนเก่า เหมือนนักการเมือง เสพติดในอำนาจก็ต้องแสวงหาอำนาจมากขึ้น หรือตำแหน่งสูงขึ้น คนที่ติดเทคโนโลยีก็เช่นกัน พอมีแล้วก็ยังไม่พอใจ อยากได้สินค้ารุ่นใหม่ขึ้น แพงขึ้น ดีขึ้น

    อีกทางหนึ่ง คือการหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้น แล้วมาหาธรรมะ เหมือนกับชาวตะวันตกที่มีความเจริญทางวัตถุสูงมาก เสพสุขกันเต็มที่ทั้ง ตา หู จมูก สิ้น กาย แล้วก็รู้สึกอิ่มตัว เบื่อหน่ายวัตถุ จึงหันเข้าหาธรรมะ ในอเมริกา ยุโรป คนจึงสนใจพุทธศาสนาหรือทำสมาธิภาวนามากขึ้น

    ถึงแม้จะไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมหรือเจริญสติ ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ที่ถูกรายล้อมไปด้วยเทคโนโลยี เราก็สามารถมีชีวิตสงบเย็นได้ โดยใช้หลักการดังต่อไปนี้

    1. ความพอดีและความสันโดษ คือใช้เทคโนโลยีหรือเสพวัตถุแต่พอดี ทั้งในแง่เวลาและปริมาณ คือถ้าเราใช้เทคโนโลยีแต่พอดี เราก็มีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งอื่นที่มีความสำคัญ ดังนั้นจึงควรกำหนดเวลาให้ตัวเอง ว่าวันหนึ่งจะใช้เวลากับเฟซบุคนานเท่าไร เล่นเกมนานเท่าไร จะแชทนานเท่าไร ดูทีวีนานเท่าไร ถ้าไม่กำหนด ไม่มีวินัย ความพอดีก็เกิดขึ้นได้ยาก

    2. มีสติ สติช่วยให้เราไม่หลงเพลินกับการเสพเทคโนโลยี รู้จักหยุดเมื่อถึงเวลา ถ้าไม่มีสติ ก็จะหลงจนเพลิน จนเสียงานเสียการ บางคนดูละครเกาหลีตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง แล้วก็มาบ่นว่าทำอย่างไรดี ติดละครเกาหลีจนไม่มีเวลาทำงาน

    3. ต้องรู้คุณและโทษ ของทุกสิ่งมีทั้งคุณและโทษ ใช้ให้มันเป็นคุณมากกว่าโทษ

    4. แยกแยะระหว่างคุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม ใช้หรือบริโภคสิ่งต่าง ๆ โดยมุ่งคุณค่าแท้มากกว่าคุณค่าเทียม

    ถ้าทำเช่นนี้ได้ เราจะเป็นนายเทคโนโลยี ไม่ใช่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาเป็นนายเรา เราจะมีเวลาว่างมากขึ้น รวมทั้งมีเวลาสำหรับการศึกษาหาความรู้ ดูแลครอบครัว อ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง ออกกำลังกาย และถ้ามีเวลาเหลืออีกก็ออกไปช่วยเหลือผู้อื่น บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม

    อนาคตของมนุษยชาติ

    อาตมาไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีจะนำพามนุษย์ไปไหน จะดีขึ้นหรือแย่ลง ก็บอกไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนเราเคยคาดหวังกันไว้สูงมาก ว่าเทคโนโลยีจะทำให้สังคมเราดีขึ้น ชีวิตของเราดีขึ้น หรือทำให้โลกมีสันติภาพ แต่ก็อย่างที่เรารู้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกลับทำให้มนุษย์ทำลายล้างกันมากขึ้น จนทุกวันนี้โลกก็ยังไม่มีสันติภาพอย่างแท้จริง ในเวลาเดียวกันเคยมีคนคาดทำนายว่าในโลกยุคสารสนเทศ คนจะมีความรู้มากขึ้น อวิชชาจะน้อยลง

    แต่ความเป็นจริงก็คือทุกวันนี้ ความเท็จก็ยังแพร่ระบาดอยู่ และยิ่งแพร่ระบาดได้ง่ายและเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ แม้กระทั่งในหมู่คนที่มีความรู้ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ยังมีความหลง มีอวิชชา หรือเชื่อความเท็จได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ในอเมริกาทุกวันนี้มีถึง ๓๐ ล้านคนที่เชื่อว่าประธานาธิบดี บารัก โอบามา เป็นมุสลิม คนพวกนี้ใช้อินเทอร์เน็ตกันทั้งนั้น แต่เขาก็ยังหลงเชื่อข่าวลือนี้เพราะความเท็จเรื่องนี้แพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ต

    สมัยนี้เว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จและความเห็นแบบสุดโต่ง มีมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากมันจะทำให้ความเท็จแพร่ออกไปมากขึ้นแล้ว มันยังทำให้กลุ่มคนที่สุดโต่งทางความคิดติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนก็มีคนสุดโต่งอยู่ แต่ใน 1 หมู่บ้านอาจจะมีอยู่แค่ 2-3 คน จะติดต่อคนที่คิดแบบเดียวกันก็ยาก เพราะคนเหล่านี้มักจะอยู่กระจัดกระจาย แต่ในทุกวันนี้ เขาติดต่อกันได้ง่ายมากเพราะมีอินเทอร์เน็ต คนคอเดียวกันก็เลือกเข้าเว็บไซต์เดียวกัน จึงพากันสุดโต่งยิ่งกว่าเดิม

    ความสุดโต่งในยุคสารสนเทศนี่น่ากลัวมาก ในอเมริกามีกลุ่มคนสุดโต่งไปในหลากหลายรูปแบบ คนเหยียดผิว คนเกลียดเกย์ คนเกลียดมุสลิม คนเกลียดยิว คนพวกนี้อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเผยแพร่ความคิดของตัว รวมทั้งพูดกรอกหูพวกเดียวกันจนมีอคติรุนแรงมากขึ้น

    ข้อสรุปของอาตมาคือ ความดีงาม ความเจริญรุ่งเรือง ของมนุษยชาติ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเทคโนโลยีมากเท่ากับคุณภาพจิตของผู้คน ถ้าใจเราคับแคบ เห็นแก่ตัว เทคโนโลยีก็ยิ่งทำให้เราคับแคบและเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น

    การเซนเซอร์ไม่เคยได้ผลยั่งยืนไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ไม่ว่าจะใช้กับสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ในยุคดิจิตอล การเซนเซอร์เป็นดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายคนที่เซนเซอร์เอง รัฐบาลจะไม่สามารถปิดเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม หรือปิดหูปิดตาประชาชนได้นาน เพราะเขาก็ย้ายไปเปิดที่อื่น สู้เอาความจริงหรือเหตุผลมาสู้กันไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและผู้คนที่รวมตัวกันเป็นสังคมในโลกออนไลน์ ก็ไม่ควรรอให้ใครมาเซนเซอร์ แต่เราควรควบคุมกันเอง ยกตัวอย่างเช่น ในเฟซบุคมีกลุ่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชัง ก็ควรมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อความสันติเป็นต้น

    ในหมู่ผู้ใช้ควรจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกัน เช่น ช่วยกันสร้างมาตรฐานว่า ไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่กล่าวประณามหยามเหยียดผู้อื่น ไม่ปลุกปั่นความเกลียด เรื่องนี้ควรทำให้เป็นวัฒนธรรม คือนอกจากวัฒนธรรมในวงการอินเทอร์เน็ตที่เน้นสิทธิเสรีภาพในด้านข้อมูลข่าวสารแล้ว เรายังควรมีมารยาทต่อกัน ถกเถียงกันด้วยเหตุผล เมื่อสังคมออนไลน์มีวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ เป็นที่ยอมรับร่วมกัน ต่อไปพวกผู้ใช้ที่คำหยาบคายหรือเกเรก็จะพูดเบาลง หรือย้ายไปที่อื่น พวกที่ชอบด่าทอ เผยแพร่ความเกลียดชัง ใส่ร้าย กล่าวเท็จ ก็จะหดแคบลงไปเรื่อยๆ อาตมาเชื่อว่าวิธีนี้ดีกว่าการเซนเซอร์

    ในส่วนของพระสงฆ์ จริงๆ แล้วทุกวันนี้ พระรู้เรื่องเทคโนโลยีกันเยอะมาก จนมีคนเอาไปพูดล้อกัน "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามฆราวาส" พระสมัยนี้ไปเดินแถวพันธุ์ทิพย์กันเยอะมาก นี่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าสังเกต อาตมาคิดว่าพระสงฆ์ควรจะใช้งานให้เหมาะสม อย่างเช่นการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์ค ถ้าใช้เพื่อการพูดเล่นกัน อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ แต่ถ้าใช้เผยแผ่ธรรมะ ก็น่าจะเหมาะสม และพระสงฆ์ควรเรียนรู้ที่จะใช้งานในด้านนี้ให้มากขึ้น

    ทุกวันนี้อาตมาใช้เฟซบุคในการเผยแผ่ธรรมะ คิดว่าเฟซบุคได้รับความนิยมมากกว่า และเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่า เว็บไซต์ของอาตมาที่ visalo.org ก็ยังทำอยู่ แต่คนเข้าน้อยกว่ามาก อาจเป็นเพราะว่าเว็บไซต์เป็นสิ่งที่เราต้องขวนขวายเข้าไปหา ส่วนเฟซบุคนั้น เวลาเราเขียนอะไร ข้อความจะไปปรากฏในหน้าเฟซบุคของคนอื่นทันที คือไม่ต้องไปหา มันมาเอง อาตมาคิดว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านี้ อาจจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ อย่างเช่นการให้สติแก่ประชาชนไทยในช่วงเวลาที่กำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปีที่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม เราอาศัยแค่เฟซบุคอย่างเดียวไม่ได้ การรอให้คนมากดไลค์หรือใส่คอมเมนต์เห็นด้วยเท่านั้น ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร คนหนุ่มสาวในยุคนี้ต้องลงทุนและลงแรงให้มากกว่านี้ แต่คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลาต่อสู้กับอะไร แค่ต่อสู้กับความเบื่อ ความเหงา ความหงุดหงิด ความเซ็ง ก็เหนื่อยแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงความสะดวกสบายจนเคยตัวจากเทคโนโลยีทั้งหลาย ต้องสู้กับสิ่งยั่วยุกิเลสตัณหาสารพัด รวมทั้งสิ่งดึงดูดความสนใจไปจากสิ่งที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต ถ้ายังผ่านสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้ ชีวิตเขาก็คงลำบาก ยากที่คิดทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้

    **********************************

    1. เทคโนโลยีกำหนดโลกทัศน์ของผู้ใช้เทคโนโลยี เปรียบเหมือนคนที่มีค้อนอยู่ในมือ ก็จะมุมมองที่เห็นแต่เฉพาะตะปู โฟกัสไปที่หัวตะปู มุ่งไปที่การตอกตะปูตัวนั้น

    2. คุณค่าแท้ของเทคโนโลยีรถยนต์คือใช้มันเพื่อการเดินทางไกลแทนเท้า คุณค่าเทียมของมันคือความโก้เก๋ การแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ โฆษณารถยนต์ในยุคที่มุ่งเน้นคุณค่าเทียม จึงไม่ได้โฆษณาว่ารถคันนี้ช่วยให้คุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและประหยัด ยังโฆษณาว่ารถคันนี้ขับแล้วโดดเด่น โก้เก๋ ไม่เหมือนใคร

    3. ในอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารมากมายบางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน แต่ก็ต้องคอยคุมตัวเองไว้ อย่าไปยุ่งกับมันมาก เพราะมันจะดึงดูดเราลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปแบบนี้ มันจะดึงเราเข้าไปแบบไม่มีวันจบ เราค้นหาข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้นสุด

    4. มีคนเอาไปพูดล้อกัน "ถ้าอยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ ถ้าอยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามโยม" พระสมัยนี้ไปเดินพันธุ์ทิพย์กันทั้งนั้น นี่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ และพระสงฆ์ควรจะหาทางใช้งานที่เหมาะสม

    5. เราอาศัยแค่เฟซบุคไม่ได้ การรอให้คนมากดไลค์หรือใส่คอมเมนต์เห็นด้วยเท่านั้น ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร คนหนุ่มสาวในยุคนี้ต้องลงทุนและลงแรงให้มากกว่านี้

    อาตมาใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรกในปี 2537 ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2538 ได้ใช้เวลามากรุงเทพฯ อาศัยสำนักงานของเพื่อน ๆ สำหรับต่ออินเทอร์เน็ต มีอีเมล์แอคเคานต์ของตนเองเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542 ที่ yahoo.com และเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตประจำ ตั้งแต่ปี 2548 โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นโมเด็ม ต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทาง GPRS

    ในปัจจุบันอาตมาใช้โน้ตบุค 1 เครื่อง สำหรับการทำงาน เขียนหนังสือ แปลหนังสือ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในตอนเช้าและเย็น เอาไว้เปิดดูข่าวประจำวัน เช็คข้อมูลในการเขียนหนังสือ ค้นคว้าวิกิพีเดีย เช็คอีเมล์งาน และเผยแพร่งานในเฟซบุค นอกจากนี้ มีเน็ตบุค 1 เครื่อง เอาไว้พกพาไปใช้ในเวลาเดินทางไกลๆ และมีเครื่องเล่นเอ็มพีสาม เพื่ออัดเสียงคำบรรยาย นำไฟล์เสียงไปให้ลูกศิษย์ นำไปแกะแล้วอาตมาจะขัดเกลาข้อความ เพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ เฟซบุคมี 3 แห่ง คืออาตมาทำเอง 1 แอคเคานต์ และมีลูกศิษย์ช่วยทำให้อีก ๒ แอคเคานต์

    อาตมามีเวลาใช้อินเทอร์เน็ตไม่เกิน 30 ชั่วโมงต่อเดือน จึงกำหนดตัวเองว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากมีเวลาใช้จำกัด อาตมาจึงไม่ไปเสียเวลาแวะดูเว็บไซต์พร่ำเพรื่อ ไม่ไปโหลดคลิปวิดีโอ เพราะใช้เวลานานมากเนื่องจากโมเด็มโหลดข้อมูลค่อนข้างช้า ผิดกับหลายคนที่ออนไลน์ทั้งวัน สามารถใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่จำกัด ทำให้มีความพอดีได้ยาก

    พระไพศาล วิสาโล นิตยสาร CHIP มีนาคม ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  4. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    20 ก.ค. 56

    ท่านเกษมได้ออกมาอธิบายในเรื่องของเทวดาให้ได้รับรู้แล้วถึงเทวดาผู้มีหน้าที่ในการเก็บกวาด หวังว่าจะเป็นความรู้ประดับสติปัญญาได้ดี

    ในเรื่องภพภูมิ ถ้าจะว่าตามตัวหนังสือที่ทราบๆกันจะมี 31ภูมิ คือ 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดินแต่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ว่ามี 39ภูมิเปรียบเหมือนกับผู้รู้มากกับผู้รู้น้อยต่างคนต่างออกมาพูดก็สรุปได้ว่าถูกทั้งนั้นแต่จะถูกมากถูกน้อยก็เป็นอีกเรื่อง

    23 ธ.ค. 46 สองเทวดาโดดร่ม

    ทางเทวโลกได้ลงมาเก็บกวาด

    บทนี้จะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า บทความมาจากต่างที่แต่มีความหมายเดียวกัน บทความนี้ได้ลงมา 6ปีแล้วในเว็บนี้ ถ้าไม่ถูกลบก็พลิกกลับไปหาอ่านได้

    เคอิสรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กรกฎาคม 2013
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    คลื่นความร้อนถล่มนิวยอร์ก ชาวบ้านแห่เล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะ

    [​IMG]

    คลื่นความร้อนเล่นงานชาวนิวยอร์ก ต้องพาครอบครัวแห่ไปเล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะ เพื่อคลายร้อนที่อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส และคาดว่าอุณหภูมิจะสูงต่อไปจนถึงวันพรุ่งนี้

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากนครนิวยอร์ก ของสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า ชาวนิวยอร์ก ยังคงแห่กันหนีคลื่นอากาศที่ร้อนจัด ลงไปเล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะอย่างสนุกสนานเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด โดยอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ประชาชนหลายพันคน ต้องลงไปเล่นน้ำในสระกลางแจ้งและสระในร่มอีกหลายสิบสระเนืองแน่น โดยที่สระน้ำฮามิลตัน ฟิช ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2479 มีประชาชนเกือบ 1,000 คน ลงเล่นเต็มความจุของสระ

    ประชาชนบางคนกล่าวว่า คาดว่าอากาศจะร้อนได้อีก แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีสระน้ำแห่งนี้ พวกเขาบอกว่า มันวิเศษมาก ขณะพาลูกจูงหลานมาเล่นน้ำคลายร้อน คาดว่าคลื่นความร้อนจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะลดระดับลงในวันอาทิตย์

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 06:03 น.

    มุสลิมอินเดียยังปักหลักประท้วงทหารหมิ่นศาสนา-ฆ่าประชาชน

    [​IMG]

    ชาวมุสลิมอินเดียในแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ ประท้วงใหญ่ประณามทหารรัฐบาล ที่ยิงประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งยังดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานด้วย หลังบุกทำร้ายครูและนักเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากแคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า ผู้ประท้วงในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ ทางตอนเหนือของอินเดีย ชุมนุมประท้วงใหญ่เมื่อวานนี้ เพื่อประณามกรณีที่ทหารพรานอินเดีย หรือบีเอสเอฟ สังหารประชาชน 4 คนในเขตโดฮา โดยตามรายงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ระบุว่า ทหารอินเดียบางนาย ได้บุกเข้าไปในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ที่หมู่บ้านดาดัด ในเขตรัมบัน เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา และทำร้ายร่างกายนักเรียน และเฆี่ยนตีผู้นำศาสนาในท้องถิ่น และดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาด้วย

    เพื่อเป็นการแก้แค้น ในอีกหนึ่งวันถัดมา ประชาชนในท้องถิ่น ไปรวมตัวกันใช้ก้อนหินขว้างปาเข้าใส่ค่ายทหารบีเอสเอฟ ซึ่งส่งผลให้ทหารยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไป 4 ศพ และบาดเจ็บอีก 40 คน

    เหตุรุนแรงดังกล่าว ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจของชาวบ้าน และมีการประท้วงรุนแรง เรียกร้องให้ทางการทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว และนำตัวทหารที่กระทำผิดมาลงโทษ ส่วนที่จัมมู นายซาฮูร์ อาเหม็ด ประธานองค์กรมุสลิม เวลแฟร์ ทรัสต์ กล่าวว่า เขาได้พบหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง และผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว เรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันแล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณ์นี้ซ้ำรอยอีก

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บีเอสเอฟ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยระบุว่า การยิงปืนเข้าใส่ผู้ประท้วง เป็นการป้องกันตนเอง เนื่องจากกลุ่มผู้ประท้วงบุกจู่โจมค่ายของพวกเขา ส่วนนายซูชิกุมาร ชินเด รัฐมนตรีมหาดไทยของรัฐบาลกลาง สั่งให้ทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่กลุ่มผู้ประท้วงยังคงปักหลักอยู่ในเมืองรีซี แคว้นจัมมู

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 05:10 น.

    อียิปต์ชุมนุมใหญ่ต่อต้านรัฐบาล

    [​IMG]

    ฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีมอร์ซี ที่ถูกยึดอำนาจของอียิปต์ มาตามนัดรวมตัวชุมนุมประท้วงทั่วประเทศครั้งใหม่ กดดันให้กองทัพคืนตำแหน่งให้นายมอร์ซี ขณะที่ฝ่ายต่อต้านนายมอร์ซี ก็จัดชุมนุมประท้วงคู่ขนานที่จัตุรัสตาห์รีร์ เช่นกัน

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า ผู้สนับสนุนนายโมฮาเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีที่ถูกยึดอำนาจของอียิปต์ จำนวนหลายหมื่นคน จัดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เมื่อวานนี้ โดยในกรุงไคโรมีผู้ประท้วงจำนวนมาก รวมตัวกันอยู่นอกมัสยิดราบา อัล-อาดาวิยา เพื่อเรียกร้องคืนตำแหน่งให้ผู้นำเคร่งศาสนาที่ถูกปลด ขณะที่ ฝ่ายต่อต้านนายมอร์ซี ก็จัดชุมนุมประท้วงคู่ขนานที่บริเวณลานจัตุรัสตาห์รีร์ ในพื้นที่ใกล้เคียงเช่นกัน แต่มีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

    กว่า 2 สัปดาห์ หลังจากกองทัพอียิปต์ โค่นอำนาจนายมอร์ซีจากตำแหน่ง ก็ยังไม่มีสัญญาณของความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง ซึ่งทำให้ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกอาหรับแห่งนี้ แตกแยกอย่างหนัก และยังเป็นสัญญาณเตือนไปถึงพันธมิตรตะวันตกของอียิปต์ด้วย

    ทั้งนี้ กลุ่มภราดรภาพมุสลิม เรียกร้องให้ชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ พร้อมกล่าวหาผู้บัญชาการกองทัพ พลเอกอับเดล-ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ก่อรัฐประหารยึดอำนาจประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีคนแรกของประเทศ ขณะที่ นาวี พิลเลย์ ข้าหลางใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กำลังกดดันให้บรรดาผู้นำรักษาการของอียิปต์ ชี้แจงเหตุผลว่าทำไมนายมอร์ซีถูกจับ และเมื่อไหร่เขาจะถูกนำตัวไปดำเนินคดี

    นายมอร์ซี ถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้สนับสนุนของเขา ที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม กล่าวว่า เป็นการยึดอำนาจของกองทัพ และนายมอร์ซีถูกกองทัพควบคุมตัวอยู่ที่สถานที่ลับแห่งหนึ่ง

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 05:00 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เหล่าเทพเทวาจะคอยสนับสนุนและช่วยเหลือผู้บำเพ็ญธรรม !!!

    [​IMG]

    Water Lily สมาชิก

    ข้อความจากฮิลาริออน
    14-21 ก.ค. 2013


    เธอผู้เป็นที่รัก

    เมื่อคลื่นแห่งแสงได้สาดไปทั่วทั้งโลก มุมมืดที่ถูกซ่อนเร้นในโลก ซึ่งกำลังเบ่งบานอย่างเป็นความลับและเป็นลบนั้น ได้ถูกนำออกมาสู่แสงสว่างแห่งความจริง ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผยได้ช่วยคลี่คลายภาพลวงตา จากการตระหนักรู้ของมนุษยชาติ โลกกำลังทำความสะอาดและทำให้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การยกระดับ ความเร็วของการทำความสะอาดนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับผู้ที่ยังคงหลับไหลและไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวนั้น กำลังจะถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล ภาพลวงตากำลังถูกตัดออก โดยการเปิดเผยซึ่งกำลังพุ่งตรงมายังมนุษยชาติ ซึ่งยืนอยู่บนมุมของทางแยก

    พลังของมนุษย์นั้นมีมากและมีอยู่รอบโลก และจะทวีกำลังขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา จิตวิญญาณแต่ละดวงจะทำการเลือก ว่าจะยังคงอยู่บนหนทางที่กำลังพังทลายไปต่อหน้า หรือเลือกที่จะโอบกอดผู้อื่นไว้ด้วยความรักมากกว่าเดิม พวกเขาจะยืนอยู่ร่วมกับชนผู้กล้า ผู้ซึ่งจะเปล่งวาจาออกมาเพื่อประกาศถึงหนทางที่ดีกว่า การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และการเปลี่ยนแปลงจะขยายตัวขึ้นทั้งในด้านกำลังและการเข้าถึง หัวใจของมวลมนุษยจะเปิดออกอย่างเงียบสงัด เพื่อเข้าถึงการติดต่อกับแก่นแท้แห่งความศักดิ์สิทธิ์ (Divine Essence) ของพวกเขา ความรักจะหาหนทางของมัน ชุมชนต่างๆจะรวมตัวกันอย่างสมัครสมานและเป็นอันหนึ่งอันเดียว ครอบครัวจะกลับมารวมกันเพื่อรักษาการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และเพื่อเฉลิมฉลองและสรรเสริญบรรพบุรุษ

    คลื่นแห่งการสำนึกคุณภายในหัวใจทุกดวง จะหลั่งไหลมายังหัวใจของมารดาแห่งโลก เช่นเดียวกับที่ทุกคนตระหนักถึงความรักของเธอ ที่มอบให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งหลาย มันชัดเจนขึ้นว่ามนุษย์นั้นอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์แบบเอื้อซึ่งกันและกันกับโลกนี้ และโลกนี้กำลังพยายามที่จะปรับปรุงใหม่ และเปลี่ยนแปลงในทางที่มีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยน้อยที่สุด แต่ในกระบวนการให้กำเนิด มันจะมีแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในหลายๆส่วนของโลกนี้ และนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปลดปล่อยออกมา

    เราได้เฝ้ามองอย่างอัศจรรย์ใจต่อความดื้อดึง อย่างน่าประหลาดของจิตวิญญาณมนุษย์ ที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชนะการสร้างความเชื่อหลายอย่าง ที่ได้ถูกเก็บไว้ในทุกเซลล์ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถรับใช้หนทางแห่งแสงที่พวกเขาอยูได้อีกต่อไป ผลกระทบของการต่อสู้ภายในหัวใจทุกดวง ต่อพลังตรงข้ามเริ่มที่จะลดลง และความเบาสบายของสรรพสิ่งจะได้ชัยชนะ จงอย่าหวั่นไหวต่อหนทางที่เธอได้เลือก เพราะว่ามันสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเธอและผู้ที่เธอรัก เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหล่าเทพเทวาจะยืนอยู่เคียงข้างเธอ เพื่อสนับสนุนและเป็นเพื่อนเธอ พวกเขาพยายามจะลดภาระที่เธอแบกรับ โดยใช้อารมณขันเพื่อที่เธอจะเดินต่อไป และข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ในหนทางของแต่ละคน

    เธอถูกรักอย่างลึกซึ้ง และได้รับการยอมรับถึงจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก และการไม่ลดละของเธอ เธอได้รับการสรรเสริญถึงความดื้อรื้นและกล้าหาญ ชาวสวรรค์กำลังร้องประสานเสียง ให้มวลมนุษย์เพื่อบทบาทของเธอ ที่กำลังดำเนินไปตามแผนการของจักรวาล และกำลังเปิดเผยออกมา จงนิ่งและเปิดหัวใจของเธอให้กับเสียงของพวกเขา ในขณะที่กำลังยกระดับโลก และทุกสิ่งเหนือเธอไปสู่การตระหนักรู้ที่สูงกว่า จงนิ่งและจงรู้ว่าเธอคือความศักดิ์สิทธิ์(Divine)ที่ประจักษ์บนโลกนี้ รักษาความคิดนี้ไว้ ทุกๆสิ่งนั้นดีแล้ว

    พบกันสัปดาห์หน้า
    เรา คือ ฮิลาริออน

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-369
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Dusitburi10.jpg
      Dusitburi10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      1,585
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แผ่นดินไหว 6.9 ริกเตอร์ในนิวซีแลนด์

    [​IMG]

    แผ่นดินไหวรุนแรงหลายระลอกถล่มนิวซีแลนด์ในวันนี้ ล่าสุดวัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 6.9 ริกเตอร์ แต่เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย และการประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ

    สำนักข่างต่างประเทศ รายงานจากกรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ว่า เกิดแผ่นดินไหว วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.9 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งนิวซีแลนด์วันนี้ โดยรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในกรุงเวลลิงตัน เมืองหลวงนิวซีแลนด์ แต่ไม่มีการประกาศเตือนการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ และเบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหายในทันที

    สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐ หรือยูเอสจีเอส แถลงว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.09 น.ตามเวลาทิ้งถิ่น หรือตรงกับ 12.09 น.ของวันนี้ตามเวลาในไทย ห่างจากกรุงเวลลิงตัน ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ค่อนไปทางใต้ ประมาณ 57 กิโลเมตร ลึกลงไปในทะเล 10.1 กิโลเมตร แผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหว 5.5 ริกเตอร์ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นห่างกันประมาณ 10 ชั่วโมง หลังจากเกิดแผ่นดินไหว 5.8 ริกเตอร์ในพื้นที่เดียวกันนี้ ซึ่งเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จีโอเน็ต สำนักงานตรวจสอบแผ่นดินไหวของนิวซีแลนด์ ระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริกเตอร์ ถือว่าอยู่ในขั้นรุนแรง

    แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งนี้ นานประมาณ 30 วินาที ทั้งนี้ แผ่นดินไหวหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองไครสต์เชิร์ช เมืองใหญ่อันดับ 2 ของนิวซีแลนด์ ไปทางตอนเหนือประมาณ 200 กิโลเมตร ซึ่งเมืองไครสต์เชิร์ช เคยเกิดแผ่นดินไหว 6.3 ริกเตอร์ ในเดือนก.พ. 2554 ทำให้อาคารบ้านเรือนจำนวนมากพังถล่ม มีผู้เสียชีวิตมากถึง 185 ศพ

    เดลินิวส์ วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:08 น.

    น้ำท่วมจีนปีนี้สังเวย 337 ศพ

    [​IMG]

    ยอดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมจีนปีนี้ อยู่ที่ 337 คน และสูญหาย 213 คน ที่เดือดร้อนที่สุดเกิดขึ้นในภาคกลางของประเทศ

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ว่า รัฐบาลจีน แถลงวันนี้ว่า เหตุน้ำท่วมในจีนปีนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 337 คน และสูญหาย 213 คน โดยน้ำท่วมในปีนี้ เกิดขึ้นครอบคลุม 30 มณฑลและเทศบาลนคร และส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 47 ล้านคน จากตัวเลขของสำนักงานควบคุมน้ำท่วมและสำนักงานบรรเทาภัยแล้งของรัฐ เฉพาะดินถล่มก็มีผู้เสียชีวิตไปถึง 202 คน หรือประมาณร้อยละ 60 ของยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันทั้งหมด

    จีนพบว่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาวัดได้ 165.4 มิลลิเมตร ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. ถึง 15 ก.ค. ซึ่งมากกว่าปกติร้อยละ 5 และมากที่สุดในช่วงเดียวกันในรอบ 5 ปี โดยภาคกลางของจีนได้รับความเดือนร้อนหนักที่สุด มีปริมาณน้ำมันมากกว่าปกติถึงร้อยละ 40.1

    จีนประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในปี 2541 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 4,150 คน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งของแม่น้ำแยงซี

    เดลินิวส์ วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2556 เวลา 17:21 น.

    พบหญิงสูงวัยชาวจีนติดเชื้อไวรัสหวัดนกพันธุ์ใหม่รายล่าสุด

    [​IMG]

    จีนพบหญิงชาวจีนวัย 61 ปี ติดเชื้อไว้รัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ ในภาคเหนือของประเทศ ขณะที่ ญาติพี่น้องอีก 9 คน ที่ติดต่อใกล้ชิดกับเธอ ยังไม่แสดงอาการ

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า ผู้หญิงวัย 61 ปี จากเมืองหลางฝาง มณฑลเหอเป่ย์ ทางภาคเหนือของจีน ได้รับการยืนยันเมื่อวานนี้ว่า ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ เอช7เอ็น9 โดยสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า ผู้หญิงคนดังกล่าว มีอาการไอและไข้ขึ้นสูงเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา และ 4 วันต่อมาอาการรุนแรงขึ้นกลายเป็นโรคปอดบวมรุนแรง ต้องถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง

    ซินหัวรายงานอ้างแถลงการณ์ของสำนักงานสาธารณสุขเทศบาลกรุงปักกิ่ง ที่ระบุว่า เธอมักไปซื้อผักสดที่ตลาดท้องถิ่น ซึ่งมีสัตว์ปีกมีชีวิตขายรวมอยู่ด้วย รายงานบอกด้วยว่า สมาชิกในครอบครัวของผู้หญิงคนนี้ 9 คน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับเธอ ยังไม่แสดงอาการของโรคไข้หวัดนก

    ทั้งนี้ จีนพบผู้ป่วยด้วยไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่เอช7เอ็น9 รายแรก ในช่วงปลายเดือน มี.ค. และมีผู้ป่วยในจีนทั้งสิ้น 132 คน เสียชีวิต 43 คน เมื่อถึงสิ้นเดือน มิ.ย.

    เดลินิวส์ วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2556 เวลา 12:18 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  8. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    22 ก.ค. 56 เข้าพรรษา

    วันพระ มานะ ปะวัด
    นำชัก ผู้คน เข้าธรรม
    ประพฤติ ความดี น้อมนำ
    ฟังธรรม ฟังเทศน์ เสพสุข

    จิตสงบ จบลง ตรงธรรม
    คิดทำ แต่สิ่ง ดีดี
    สร้างบุญ กุศล น้องพี่
    สิ่งดี เกื้อบุญ หนุนนำ

    คิดผิด คิดใหม่ แก้ไข
    เพื่อให้ ดวงจิต แจ่มใส
    ทำเพื่อ ชีวิต ของใคร?
    ใช่ใคร ของเรา เข้าตัว

    พรรษา พาเพลิน เจริญใจ
    เที่ยวไป ทำบุญ ตามวัด
    พี่น้อง ลูกหลาน พร้อมสรรพ
    แล้วจัด อาหาร หวานคาว

    ถวายเช้า ถวายเพล เย็นจิต
    ผูกมิตร ญาติธรรม นำผล
    ความสุข ความเจริญ ให้ตน
    เพื่อพ้น ทุกข์ภัย ใกล้ตัว

    ธูปเทียน เวียนทำ นำถวาย
    เพื่อให้ ปัญญา ก่อเกิด
    ลูกหลาน ควรทำ เข้าเถิด
    ได้เกิด ปัญญา พาสว่าง

    เคอิสรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2013
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แผ่นดินไหวภาคกลางจีน เสียชีวิตแล้ว 89 ศพ

    [​IMG]

    เกิดแผ่นดินไหว 2 ครั้งขนาด 5.9 ริคเตอร์ และ 5.6 ริคเตอร์ บริเวณภาคกลางของจีน มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 89 ศพ และบาดเจ็บอีกเกือบ 600 คน

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ว่าสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ ( ยูเอสจีเอส ) ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนขนาด 5.9 ริคเตอร์ เมื่อเวลา 07.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของจีน ( 06.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) มีจุดศูนย์กลางลึกลงไปใต้พื้นดินราว 9.8 กิโลเมตร ห่างจากเมืองเป่ยเตา ในมณฑลกานซู ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ไปทางตะวันตกราว 151 กิโลเมตร และต่อมาเมื่อเวลา 09.12 น. ตามเวลาท้องถิ่น ( 08.12 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) ยูเอสจีเอสรายงานการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณเดียวกันนี้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 5.6 ริคเตอร์ มีจุดศูนย์กลางลึกลงไปใต้พื้นดินราว 10.1 กิโลเมตร

    หลังเกิดเหตุ รัฐบาลจีนส่งทหารและเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิเศษกว่า 500 นาย ลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีรายงานบ้านเรือนและอาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหายกว่า 21,000 แห่ง โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด คือเมืองติ่งซี มีสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายราว 380 แห่ง เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนหลายพันคนออกนอกพื้นที่

    ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตว่า อยู่ที่อย่างน้อย 89 ศพ และบาดเจ็บอีกเกือบ 600 คน นอกจากนี้ยังเกิดแผ่นดินไหวตาม ( อาฟเตอร์ช็อก ) ตามมาอีก 371 ครั้ง และในจำนวนอาคารพาณิชย์และบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายนั้น พังถล่มลงมาแล้วราว 12,000 หลัง ส่วนสำนักงานุตุนิยมวิทยาแห่งชาติพยากรณ์การเกิดฝนตกหนักในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคในขั้นตอนการกู้ภัย

    ชาวจีนเผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.6 ริคเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่มณฑลเสฉวน ทางตอนกลางของประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 200 ศพ และย้อนไปเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2551 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.9 ริคเตอร์ที่มณฑลเสฉวนเช่นกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 90,000 ศพ

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2556 เวลา 14:57 น.

    ภูเขา “เมราปี” ในอินโดนีเซียพ่นเขม่าควัน ชาวบ้านอพยพ

    [​IMG]

    ภูเขาไฟ “เมราปี” บนเกาะชวาของอินโดนีเซียระเบิดรุนแรงและพ่นเขม่าควัน เถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงถึง 1,000 เมตร ทำให้ชาวบ้านหลายร้อยคน ต้องอพยพเพื่อความปลอดภัย

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่า ซูโตโป ปูร์โว นูโกรโฮ เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันภัยพิบัติของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ภูเขาไฟ “เมราปี” ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่เปราะบางที่สุดบนเกาะชวาของอินโดนีเซีย พ่นเขม่าควันและเถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้าในวันนี้ ทำให้ชาวบ้านหลายร้อยคน ต้องอพยพออกจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกนี้ โดยภูเขาไฟเมราปี ส่งเสียงระเบิดออกมา ขณะที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักรอบปากปล่องที่กำลังพ่นเขม่าควันออกมาสีแดงเข้มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูง 1,000 เมตร ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมากลายเป็นสีดำ ไหลผ่านหลายหมู่บ้าน ขณะที่ประชาชนที่พากันตื่นกลัว ก็เร่งอพยพเพื่อความปลอดภัย

    เสียงระเบิดของภูเขาไฟเมราปี ได้ยินไกลถึง 30 กิโลเมตร แต่การปะทุยังไม่เกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้เพิ่มระดับเตือนภัย

    ทั้งนี้ ภูเขาไฟเมราปี ที่มีความสูง 2,968 เมตร เป็นหนึ่งในภูเขาไฟ 500 ลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ และการปะทุครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 347 คน

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2556 เวลา 20:22 น.

    น้ำท่วมเกาหลีเหนือตายแล้ว 5 ไร้ที่อยู่กว่า 23,000 คน

    [​IMG]

    ฝนตกหนักน้ำท่วมภาคกลางเกาหลีเหนือ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน และสูญหาย 3 คน ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 23,000 คน บ้านเรือนเสียหายหลายพันหลัง

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่า สำนักข่าวกลาง หรือเคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือ รายงานวันนี้ว่า เกิดฝนตกหนัก สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเกาหลีเหนือ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 คน และประชาชนกว่า 23,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัย โดยฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้พื้นที่ภาคกลางของประเทศได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เฉพาะในเมืองตองซิน วัดประมาณน้ำฝนได้กว่า 413 มิลลิเมตร หรือ 16.5 นิ้ว ในช่วง 3 วันจนถึงคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

    น้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คนและสูญหายอีก 3 คนระหว่างวันที่ 17-20 ก.ค. นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชนอีกกว่า 6,060 หลัง

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2556 เวลา 20:55 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "จิตติ"เชื่อราคาทองจะขึ้นถึง 22,000 บาทในช่วง 3 เดือนนี้

    [​IMG]

    กรุงเทพฯ 22 ก.ค.-นายกสมาคมค้าทองคำเชื่อแนวโน้มราคาทองจะปรับขึ้นถึง 22,000 บาท ในช่วง 3 เดือนนี้

    นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานห้างทองจินฮั่วเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในไตรมาส 3 ยังมีแนวโน้มปรับขึ้น โดยมีเป้าหมายที่แนวต้าน 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือราคาในประเทศที่ 22,000 บาท หากเงินบาทเคลื่อนไหวที่ 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่มองราคาทองคำยังมีโอกาสปรับขึ้น เพราะที่ผ่านมาราคาทองคำปรับลดลงมากเกินพื้นฐาน จากการทุบราคาของบรรดากองทุนเก็งกำไรที่มีการปั่นข่าวเชิงลบ และเมื่อแรงขายชะลอลง ทำให้ราคาทองในระยะนี้ค่อนข้างนิ่ง ตลาดทองคำเงียบ

    แต่นักลงทุนยังต้องระมัดระวังในการลงทุนต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าราคาทองจะเคลื่อนไหวตามกระแสข่าว โดยให้จับตาภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากเมืองดีทรอยต์ของสหรัฐยื่นเรื่องขอล้มละลายอย่างเป็นทางการ ด้วยหนี้สินอย่างน้อย 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่าจะบานปลายหรือไม่ ส่วนการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE นั้น คาดว่าน่าจะเริ่มในต้นปี 2557

    และวันนี้สมาคมค้าทองคำปิดทำการเนื่องในวันอาสาฬหบูชา โดยจะเปิดทำการปกติวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม แต่ร้านค้าทองคำย่านเยาวราช เปิดทำการซื้อขายตามปกติ

    สำนักข่าวไทย TNA News | 22 ก.ค. 2556 |

    ที่มา "จิตติ" เชื่อราคาทองจะขึ้นถึง 22,000 บาทในช่วง 3 เดือนนี้ | MCOT.net | MCOT.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    มียุคสมัยไหนที่ไม่มี ภัยพิบัติปานโลกจะแตกมั้ง ดู นครปอมเปอี ดูแอตแลนตีสนู้น มันมีทุกยุคแหละ
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิม !!!

    [​IMG]

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า:-
    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดยาวไปทั่วโลก ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่างๆทั้งปวง รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วย

    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น เคย์ซีได้บันทึกไว้ในคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1 โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

    วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไปใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังนั้นเมื่อปี 9,500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์ มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

    มหาอาณาจักรแอตแลนติส มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า พวกเรา รู้จักพัฒนาโดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

    ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

    ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง คือได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีตราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยทีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้ เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

    เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200,000 ลงมา จนถึงปี 10,700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-900,000 ปี

    ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=513242

    กี่ยุคๆ ก็เป็นอย่างนี้ จองเวรกันไม่รู้จักจบสิ้น...

    ผลสุดท้ายของยุคนั้นๆ จะจบลงด้วยการล่มของระบบเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ และทั้งโลก ความตึงเครียดของสงครามก็ยุติด้วยมหาสงคราม

    ส่วนเรื่องวิกฤตภัยธรรมชาติก็จบลงด้วยภัยธรรมชาติรุนแรงเพียงวันเดียว ทำให้ผู้คนล้มตายลงไปมากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ด้วยแผ่นดินไหว 12 ริกเตอร์ เกิดคลื่นสึนามิสูงถึิง 100 เมตร โลกไหวถึง 12 ริกเตอร์ ทำให้แผนที่โลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แผ่นดินที่อยู่ข้างบนจะเคลื่ือนตัวลงทะเล แผ่นดินที่อยู่ใต้ทะเลจะเคลื่ือนตัวมาอยู่ข้างบน นี่โลกเป็นมาอย่างนี้ หากใครเคยศึกษาปรัชญามาบ้างคงจะรู้จักนักปรัชญากรีกที่ชื่อว่า เพลโต ได้เขียนไว้ในบันทึกว่า มีแผ่นดินหนึ่ึงที่เจริญรุ่งเรืองได้จมลงในมหาสมุทรภายในข้ามคืน

    ดินแดนที่เพลโตบันทึกไว้นั้นเป็นยุคที่มีความเจริญมากกว่าสหรัฐอเมริกาในสมัยของเราซะอีก ในยุคนั้นจบลงด้วยมหาสงครามที่ใช้อาวุธที่มีอานุภาพมากทำลายล้างกัน และหลังจากสงครามหนึ่งเดือนก็เกิดแผ่นดินไหว 12 ริกเตอร์ ทำให้เปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แผ่นดินที่เจริญนั้นเคลื่อนตัวลงทะเลและจมหายไป เกิดสึนามิ 100 เมตร

    ประชากรบนโลกล้มตายมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่รอดตายบางคนก็เสียสติ ผู้คนสิบเปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิตและไม่เสียสติก็สืบทอดกันมาจนถึงยุคของเรา และเรื่องเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็กลายเป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมานาน จนปัจจุบันคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง คิดว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็พยามพิสูจน์ เพื่อหาดินแดนแอตแลนติกที่เพลโตบันทึกเอาไว้

    สงครามในยุคนั้นทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก สองกลุ่มใหญ่ที่ทำสงครามกัน ผูกใจเจ็บกันไม่รู้จักจบสิ้น ตายแล้วเกิดใหม่ก็ทำมหาสงครามกันอีก จนมาถึงยุคของเรา สองกลุ่มนี้ก็ได้กลับมาอีกครั้ง กลุ่มหนึ่งไปเกิดที่อเมริกา ส่วนอีกกลุ่มมาเกิดที่ตะวันออกกลาง อยู่ห่างคนละซีกโลกก็ต้องเดินทางมาฆ่ากัน นี้มันสืบกรรมกันมา

    กี่ยุคๆ ก็เป็นอย่างนี้ จองเวรกันไม่รู้จักจบสิ้น ผลที่เกินขึ้นในยุคของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน คือเมื่อเกิดมหาสงคราม ต่อมาก็จะเกิดแผ่นดินไหว 12 ริกเตอร์ และอื่นๆ ตามมาเหมือนๆ กันทุกยุค

    แผ่นดินไหว 10.5 ริกเตอร์อย่างในภาพยนตร์นั้นนักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ซักวันหนึ่งหลังจากประเทศอิสราเอลถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ คนตายทั้งประเทศ นับจากนั้นไม่เกินสามวัน เจ็ดวัน แผ่นดินจะไหว 12 ริกเตอร์ และเหตุการณ์อื่นที่เคยเกิดในยุคต่างๆ จะเกิดตามมา เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ียน

    ที่มา http://www.geocities.com/buddhatatum/008-0050.htm

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  13. chuanchom

    chuanchom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +194
    สงครามพระ ไฟจะลุกทุกหย่อมหญ้า
     
  14. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    23 ก.ค. 56 วัด...?

    เข้าวัด วัด...? วัดจิต
    ที่คิด ดีร้าย มากมาย
    จำเป็น เข้าวัด หรือไม่?
    ไม่ใช่..วัดจิต ชิดตัว

    เคอิสรา
     
  15. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    23 ก.ค. 56 จาคะ

    ทำบุญ ทำไว้ ให้ทิ้ง
    ไม่อิง ทรัพย์สิน เงินทอง
    ทำมาก ทำน้อย ไม่สอน
    พี่น้อง ทำพอ อยากทำ

    เคอิสรา
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่เกี่ยวกับเรื่องของวจีกรรม !!!

    [​IMG]

    กรรมที่ต้องกระทำทุกรกิริยา

    ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทราบว่าพระกัสสปะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้กล่าวว่า "การตรัสรู้ของสมณะโล้น จักมีมาแต่ที่ไหน"

    ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน ด้วยเศษกรรมยังเหลืออยู่ แม้ในภพสุดท้ายก่อนจะได้ตรัสรู้ พระองค์ยังต้องหลงเดินทางผิด บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระองค์เองด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นวัตรของเดียรถีย์ มีการอดอาหาร เป็นต้น จนสรีระผอมเหลือแต่กระดูก ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรเป็นเวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ

    กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่

    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนักเลงสุราชื่อ มุนาลิ ได้กล่าวตู่ พระนันทะ สาวกของพระสัพพาภิภู ปัจเจกพุทธเจ้าว่า "เป็นสมณะทุศีล"

    ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าจึงต้องถูกกล่าวตู่โดยนาง จิญจมาณวิกา

    เรื่องมีว่าเหล่าเดียรถีย์เกิดความริษยา ที่เห็นพระพุทธเจ้ามีบุคลลเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ลาภสักการะของพวกตนน้อยลง จึงหาทางทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการใช้นางจิญจมาณวิกา สาวิกาของพวกตน เป็นผู้ดำเนินการตามอุบาย กล่าวคือในตอนเย็น ขณะที่เหล่าชนกำลังเดินทางกลับเข้าเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางออกไป ตอนเช้าขณะเหล่าชนเดินทางออกจากเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางกลับเข้ามา

    ทำเช่นนี้เป็นประจำ จนชาวเมืองเกิดความสงสัย ถามว่านางออกไปนอกเมืองทุกเวลาเย็นด้วยเหตุอันใด นางตอบว่า เราออกไปตามความประสงค์ของพระสมณะโคดมผู้เป็นศาสดาของพวกท่าน และพำนักอยู่ในพระคันธกุฏีในพระเชตวัน เวลาล่วงมาหลายเดือน นางจิญจมาณวิกาจึงนำท่อนไม้มาผูกติดเอว สวมเสื้อคลุมทับไว้

    ทำประหนึ่งว่าตนกำลังมีครรภ์เดินเข้าไปหาพระพุทธเจ้าในพระเชตวันวิหาร ท่ามกลางบริษัทที่กำลังพระธรรมเทศนา กล่าววาจาตู่พระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ที่ทำให้นางตั้งครรภ์ พระพุทธเจ้ามิได้โต้ตอบแต่ประการใด ทำให้ชนบางกลุ่มในที่นั้นเกิดความสงสัย คิดว่าหากไม่เป็นความจริง นางคงมิกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้ามหาชนเป็นอันมากแน่นอน

    พระอินทร์ทราบความ จึงแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่นางผูกเอวไว้ขาดออก ท่อนไม้หลุดลงมาทับเท้าของนางจนหลังเท้าแตก เหล่าชนในพระเชตวันวิหารเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พากันขับไล่นางออกไป เมื่อพ้นประตูวิหาร นางก็ถูกเปลวเพลิงนรกฉุดลงไปสู่อเวจีมหานรก

    กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวหา

    ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อ สุตวา บวชเป็นดาบสสั่งสอนศิษย์ในป่าหิมพานต์ ต่อมามีดาบสผู้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มายังสำนักของตน ด้วยความริษยาที่เห็นว่ามีวิชาความรู้มากว่าตน จึงกล่าวหาดาบสนี้ว่า "ดาบสนี้หลอกลวง ดาบสนี้บริโภคกาม" และยังแนะให้ศิษย์ของตนกระทำตาม

    ด้วยวิบากแห่งกรรมที่กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่เป็นจริง พระโพธิสัตว์และเหล่าศิษย์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวก จึงถูกกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่านางสุนทรี

    เรื่องมีว่า เหล่าเดียรถีย์ยังคิดที่จะทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ต่อมา จึงใช้ให้นางสุนทรี สาวิกาของพวกตนอีกคนหนึ่งไปดำเนินการ ตามวิธีเช่นเดียวกับนางจิญจมาณวิกา จากนั้นได้ว่าจ้างเหล่าโจรให้ฆ่านาง นำศพไปหมกไว้ใกล้พระเชตวันวิหาร แล้วส่งคนของตนไปร้องเรียนต่อพระราชาว่า สาวิกาผู้หนึ่งของพวกตนหายไป พระราชาจึงมีรับสั่งให้ค้นหา พบศพหมกอยู่ใกล้พระเชตวันวิหาร เหล่าเดียถีย์จึงนำศพวางบนแคร่หาม ออกเดินประกาศไปทั่วพระนครว่า "เหล่าศากยะสมณะร่วมกันฆ่านาง" พระอานนท์ทูลความให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า อีก ๗ วัน เรื่องนี้จะปรากฏความจริง

    ฝ่ายพระราชา แม้จะมีหลักฐานปรากฏเช่นนั้นก็ยังไม่แน่พระทัย รับสั่งให้เจ้าพักงานออกทำการสืบสวนหาความจริง เจ้าพนักงานไปพบกับเหล่าโจรซึ่งกำลังเมามาย ต่างก็อวดตัวว่าเป็นคนฆ่านางสุนทรี จึงคุมตัวไปเฝ้าพระราชา ทรงสอบถามจนได้ความจริงว่า เหล่าเดียรถีย์เป็นผู้ว่าจ้างพวกตน พระราชามีรับสั่งให้จับเหล่าเดียรถีย์คุมตัวไปเดินประจานไปทั่วพระนคร พร้อมทั้งให้ร้องประกาศว่า "พวกตนเป็นผู้สั่งให้ฆ่านาง มิใช่เป็นการกระทำของเหล่าศากยสมณะ" จากนั้นจึงนำตัวไปลงโทษสถานหนักทั้งหมด

    ชื่อว่า กรรม แม้จะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม เมื่อถึงวาระที่กรรมนั้นให้ผล แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในไตรภพ ก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้ด้วยประการฉะนี้

    ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๘ ภาค ๓ อรรถกถาพุทธวรรค พุทธาปทาน, ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓

    ที่มา http://www.gumara.com/node/228
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เห็นหลายๆท่านชอบแนวนี้เลยเอามาฝากครับ ลองอ่านกันดู

    ถอดรหัสพุทธทำนาย...มหันตภัยของโลก หลังปี 2556
    [​IMG]


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

    ประเด็นวันสิ้นโลก ถูกนำกลับมาพูดถูกอีกหลายต่อครั้ง หลังจากผ่านเหตุการณ์วิปโยคอันเกิดจากภัยธรรมชาติหลายหนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีผู้สังเวยชีวิตให้กับความพิโรธของธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่ามาเป็นจำนวนไม่น้อย

    จะว่าไปแล้วคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลก หรือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในเมืองมนุษย์ ก็มีอยู่หลายเรื่อง แม้แต่ในพระพุทธศาสนาเอง ก็เคยมีผู้มีญาณหยั่งรู้ได้ทำนายทายทักความหายนะที่พร้อมจะเกิดขึ้นในอนาคตไว้เช่นกัน แน่นอนว่า คำทำนายดังกล่าวย่อมมีทั้งผู้ที่ "เชื่อ" และ "ไม่เชื่อ"

    ดังเช่น พุทธทำนายจากศิลาจารึก ที่เว็บไซต์ ainews1 ได้นำออกมาเผยแพร่ ตอนหนึ่งเป็นการทำนายเตือนภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้เราได้รับทราบ และ "มงคล กริชติทายาวุธ" ประธานชมรมศาสนาและการกุศล ได้นำคำทำนายดังกล่าวมาถอดรหัสบอกเล่าเหตุการณ์ที่จะอาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ.2556 เป็นต้นไป

    สำหรับพุทธทำนายจากศิลาจารึก ที่มีบางตอนได้กล่าวไว้ถึงหายนะของโลก มีเนื้อหาดังนี้

    "เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ 2507 (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ...ปัจจุบัน ปีเถาะ ตรงกับ พ.ศ.2554 ที่กำลังใช้อยู่ พุทธทำนายปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ.2555 ที่โลกมีโอกาสพลิกขั้ว..ดังนั้น จากเดินลงมาเป็นคลาน ก็หนักหนาเอาการอยู่ ที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทั่วโลก....สนามแม่เหล็กจะกลับขั้ว โลกอาจจะไร้แรงดึงดูดชั่วคราว ดังที่พระอาจารย์รัตน์ ได้เห็นภาพอนาคต และได้เล่าให้ศิษย์ฟัง ที่วัดดอยเกิ้ง

    ล่วงได้ 2508 (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล...ซึ่งในเมขลาพยากรณ์ ตรงกับ 9 พ.ค. 2556 ในหนังสือพระมหาชนก ที่ไขปริศนาออกมา

    ล่วงได้ 2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ.๒๕๕๔ (ปีเถาะ) เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ.ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.2560 มาลดจำนวนปีลง 48 ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.2512 ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน...

    ประเทศไทย นำ พ.ศ. มาจากศรีลังกา ที่ พ.ศ. คลาดเคลื่อนระหว่างเกิดสงครามในประเทศนี้ เป็นเหตุให้นับ พ.ศ.เร็วกว่าความเป็นจริงไป 48 ปี...ในพุทธทำนายที่กล่าวว่าเมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน คาดว่าจะเป็นการเรียงตัวของดวงดาว เป็นแนวระนาบเดียวกัน ในรอบ 2.6 หมื่นปี ตามที่นักวิทยาศาสตร์บอก ทำให้เงาของดาวทุกดวงบดบังแสงอาทิตย์โลกจึงมืด / หรือ อาจจะมีดาวหางพุ่งชนโลกทำให้ ฝุ่นควัน ฟุ้งกระจายจนบดบังทำให้แสงจากดวงอาทิตย์ส่องมาไม่ถึงโลก หรืออาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ จนทำให้พื้นโลกสั่นสะเทือน เกิดภูเขาไฟระเบิดพร้อม ๆ กันหลายลูก จนเถ้าถ่านของภูเขาไฟ ฟุ้งกระจายขึ้นในในบรรยากาศของโลก"

    ถอดรหัสจากพุทธทำนาย

    - ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ปลายเดือนสิงหาคม 2550 มีคุณยายผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้นำหนังสือเรื่องพุทธทำนายฉบับถอดรหัสมาให้อ่าน ในขณะที่ผู้เขียนได้จัดสรรเวลาของตนเอง ไปฝึกทำสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา และเมตตาภาวนา ที่วัดเพลง แขวงและเขต บางพลัด ซึ่งพระอาจารย์ พระมหาฉัตรชัย รักขิตจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสอนนำการทำสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา และเมตตาภาวนา ที่กระชับ และกะทัดรัดดี

    - เมื่อผู้เขียนได้อ่านแล้ว ก็เห็นว่ามีเนื้อหาแปลกดี แต่ไม่แน่ใจว่า ข้อความทั้งหมดที่คัดลอกต่อ ๆ กันมามีการตกหล่นจากความเดิมจนถ้อยคำเปลี่ยนไปหรือไม่เพียงไร

    - ในหนังสือเล่มนี้ อ้างว่า นำความมาจากหนังสือใบลานเก่า ที่พบในจังหวัดอัตตะบือ ประเทศลาว โดยมีพระธุดงค์นำมาถ่ายทอดโดยสรุป คือ

    1. ในปีจอ (2561) กรุงเทพฯ จะหมดสภาพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย

    2. พระคาถาป้องกันภยันตรายในใบลาจารึก ให้นำไปท่องว่า "ปะโต เมตัง ปะระชีวินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นินะนัง สุคะติ จุติ" โดยท่านแนะให้นำไปเขียนลงแผ่นผ้าก็ได้ แล้วนำไปปิดที่ประตูบ้าน หรือปิดในรถยนต์ ยามเกิดเหตุการณ์คับขันจะช่วยให้รอดชีวิตพ้นจากภยันตรายได้ มหันตภัยร้ายแรง ท่านว่าจะมี 10 ประการ ได้แก่
    [​IMG]
    1. วาตภัย (ลมพายุ)

    [​IMG]
    2. ธรณีพิบัติภัย (แผ่นดินไหว) ภูเขาไฟระเบิด


    [​IMG]
    3. อัคคีภัย (ไฟไหม้)


    [​IMG]
    4. อุทกภัย (น้ำท่วม)


    [​IMG]
    5. ฟ้าผ่าดังลั่นสะเทือนแก้วหู


    [​IMG]
    6. อากาศร้อนมากเกินไป หนาวมากเกินไป

    7. สารพิษแพร่กระจายทุกแห่งหน

    8. เกิดโรคระบาดต่าง ๆ

    9. เกิดข้าวยาก – หมากแพง

    10. เกิดการอาฆาตพยาบาทจองเวร จองล้าง จองผลาญ


    3. ถ้าเข้าถึงปีกุน (2562) ไปแล้ว ทุกคนจะได้รับความสุขกาย - สุขใจ เคร่งครัดในการรักษาศีล 5 มาก โดยช่วงนั้นจะมีประชากรลดลงมาก แต่ประเทศไทยจะมีประชากรเหลือมากหน่อย คือ มีเหลือรอดถึง 30 % หรือประมาณ 18 ล้านคน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะมีชีวิตรอดอยู่เพียง 10 % เท่านั้น

    4. เหตุการณ์ร้ายตามท้องถนน จะรุนแรงมาก ตั้งแต่ เดือน 7 ของปีระกา (ปี 2560) และในเดือน 9 – 10 ของปีจอ (ปี 2561) คนใจบาปจะถูกล้างผลาญหมดสภาพสังคมโดยทั่วไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน

    5. ที่ศิลาจารึกในมหาวิหารเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ได้กล่าวถึงมหันตภัยในอนาคต สิ่งที่คนทั้งหลาย ไม่เคยเจอะก็จะได้เจอ ไม่เคยพบก็จะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาป กลับตื่นขึ้นมาอาละวาด จะมีการรบราฆ่าฟันกันนองเลือด แผ่นดินจะมีไฟลุกโชติช่วง แต่ละฝ่ายตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรา ที่เลิกราก็เพราะต่างหมดกำลังลง ผู้ที่สร้างสมกุศลผลบุญ มีสติอยู่เสมอ ก็จะรอดอยู่ได้ ทั้งนี้ไฟจะมาจากทางทิศตะวันออก

    ไฟไหม้บ้านเรือน และวัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์ ก็จะต้องอดอยาก ลูกไฟจะตกจากฟ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุพภิกขภัยจะมีไปทั่ว ครุฑจะบินกลับฐาน (เงินบาทจะด้อยค่า) ในช่วงนี้ ให้ภาวนาว่า "ชา ตะ มะ สะ ละ วา" เขียนใส่กระดาษใส่ผ้าขาว ติดตัวติดบ้าน ติดหัวนอน จะทำให้รอดจากพญามัจจุราชได้มากขึ้น

    6. ผู้ที่ต้องการได้พบผู้มีบุญระดับพระโพธิสัตว์ ซึ่งจะเป็นพระศรีอารย์ในอนาคตคัมภีร์ในใบลานแนะนำให้หมั่นภาวนา หมั่นรักษาศีล 5 ให้ครบถ้วนเป็นประจำ ก็จะสมปรารถนาได้

    7. สัญญาณเตือนภยันตราย จะเกิดชัดเจนครั้งแรกในปีมะเส็ง (2556) ตลิ่งริมฝั่งน้ำจะพัง ทะเลและมหาสมุทรจะบ้าคลั่ง ให้ติดตามเหตุการณ์ดูในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า หากเข้าสู่สถานการณ์นั้น ๆ คัมภีร์ใบลานแนะให้ท่องว่า "สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ" จะลดภยันตรายลงได้กึ่งหนึ่ง

    8. โลกของเรากำลังเข้าสู่กลียุค จะมีปัญหาทั้งภัยธรรมชาติ จากดิน น้ำ ลม ไฟและเกิดจากน้ำมือมนุษย์ในการแย่งชิงผลประโยชน์ แย่งชิงความเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจและทำสงคราม รวมทั้งใช้อาวุธทุกรูปแบบทำลายล้างซึ่งกันและกัน

    9. ประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเช่นเดียวกัน โดยในปี 2556 จังหวัดชายทะเล และกทม. จะมีแผ่นดินยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าชายฝั่ง คลื่นน้ำอาจมีความสูงถึง 20 เมตร (สูงเกือบเท่าตึก 7 ชั้น) ผู้ที่อยู่ริมน้ำทั้งหมดจะล้มตายเกือบครึ่ง โดยจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2560 ในที่สุดประชากรไทย จาก 65 ล้านคน จะเหลือเพียง 18 ล้านคนในปี 2561

    (ข้อนี้ฟังดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา กับพยากรณ์ของนางมณีเมขลา 9 พ.ค. 2556 มากทีเดียว ผู้ที่ติดตามข้อมูลที่ในหลวงทรงแจ้งเตือนพสกนิกรชาวไทยล่วงหน้า เป็นปริศนาเช่นเดียวกับนอสตราดามูส ผู้ยังความไม่ประมาทพึงพิจารณาด้วยตนของตนเอาเถิด)

    ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ อาจเกิดขึ้นจริง หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่พวกเราก็ไม่ควรดำเนินชีวิตด้วยความประมาท อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ท่านจัดสรรเวลาวันละเล็กวันละน้อย ฝึกความมีสติ และความมีสัมปชัญญะ เพิ่มการรักษาศีล และรู้จักให้ทานมากขึ้นด้วยครับ เพราะสิ่งที่ท่านให้แก่ผู้อื่น สงเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่น มีความเมตตาผู้อื่นสัตว์อื่น หรือ ปรารถนาให้ผู้อื่นสัตว์อื่นมีความสุขในปัจจุบัน มีความกรุณาต่อผู้อื่น สัตว์อื่นหรือ มีจิตปรารถนาให้ผู้อื่น สัตว์อื่นที่มีความทุกข์ ได้พ้นจากทุกข์ในปัจจุบัน

    สิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังกุศลผลบุญสนองตอบแก่ท่านในช่วงที่โลกเข้าสู่วิกฤติ อันจะมีผลให้ท่านมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ และพ้นทุกข์ได้โดยเร็วพลัน เป็นการลงทุนสร้างความงามความดีในปัจจุบัน ขณะที่เราสามารถกระทำได้โดยไม่เดือดร้อน ก็ขอให้ท่านรู้จักใช้โอกาสอันดีดังกล่าวด้วย หากประมาท ท่านอาจสูญเสียโอกาสที่ดีดังกล่าวตลอดไปก็ได้

    (ในประเด็นนี้ ท่านผู้เป็นใหญ่สูงสุด ที่ได้แจ้งคณะเตือนภัยเขากะลา เอาไว้ว่าการช่วยเหลือพลโลกได้เฉพาะบางส่วนที่มีบารมี...บารมีของท่าน ผู้ใหญ่แห่งดาวพลูโต นั้นอาจหมายถึง ผู้ที่ได้ฝึกจิตเข้าถึงสภาวะจิตเดิม หรือ "ทาง" ของทุก ๆ คนก็ได้ ...จึงจะนับว่าเป็นผู้มีบารมี ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากชาวต่างดาวหลาย ๆ ดวง ที่ได้มาเตรียมงานบนดาวดวงนี้ล่วงหน้า 10 กว่าปีทีเดียว)

    มงคล กริชติทายาวุธ
    ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

    หมายเหตุ

    ปีนักษัตร ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน เริ่มนับจากเดือนเมษายน เป็นเดือนที่ 1 ของปี เดือนสุดท้ายของปีจึงเป็นเดือนมีนาคมของปีถัดไป ดังนั้นปีระกาในพุทธทำนาย จึงหมายถึงตั้งแต่เดือนเมษายนของปี พ.ศ.2560 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2561

    ที่มา - kapook.com
     
  18. TREETORN

    TREETORN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +199
    เพื่อน ๆ โดนบังคับกันไปหลายคน หลายครั้ง เคยโดนเจ้านายบังคับเหมือนกัน เจ้านายขอเหตุผลว่าทำไมไม่ไปอบรม ผมตอบไปว่า "วัดทำปลากราย ไม่ใช่ ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนี้" โดนตรวจสอบก็ดีพวกผมจะได้หมดเวรหมดกรรมกับวัดทำปลากรายซะที
     
  19. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    เวียดนามช็อก ทารกตายแล้ว 4 รายหลังรับวัคซีน “ไวรัสบี”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2556 18:01 น.

    [​IMG]

    สีหน้าของผู้เป็นบิดา เป็นป้า เป็นตา-ยายและญาติ สะท้อนบรรยากาศในภาพนี้ได้อย่างดีที่สุด ขณะนำลูกและหลานกลับจากโรงพยาบาลอำเภอเหืองหวา (Huong Hao) จังหวัดกว๋างจิ (Quang Tri) ไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่แม่ยังต้องพักฟื้นต่อไป ทารกเพศหญิงรายนี้เกิดมาสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ได้เสียชีวิตลงเพียงข้ามคืนหลังได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับชนิดบี ซึ่งจนถึงวันอัง 22 ก.ค.นี้ มีทารกเสียชีวิตแล้วถึง 4 รายใน 2 จังหวัด. -- ภาพ: ไซ่ง่อนเตี๊ยบถิ (ข่าวการตลาดไซ่ง่อน). .

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สาธารณชนชาวเวียดนาม ต่างมีอาการช็อกเกี่ยวกับข่าวที่มีทารกเสียชีวิตถึง 4 รายในช่วงไม่กี่วันมานี้ หลังจากแพทย์ได้ให้วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับชนิดบี (Hepatitis B Vaccine) ตามปกติ ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หลายคนได้เรียกร้องให้ทางการมีคำสั่งให้งดการฉีกวัคซีนดังกล่าวเอาไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนหาสาเหตุอันแท้จริง

    หลังจากทารก 3 คนแรกเสียชีวิตในโรงพยาบาลแห่งเดียวกันในจังหวัดภาคกลางตอนบนของประเทศ อีกคนหนึ่งได้เสียชีวิตลงในวันอังคาร 22 ก.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นรายที่ 4 ในชั่วเวลาเพียง 3 วัน

    แต่กรมการยากระทรวงสาธารณสุข กล่าวในวันเดียวกันว่า ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ดังกล่าว และเพิ่งจะทราบผ่านสื่อ ซึ่งทำให้สาธารณชนรู้สึกผิดหวัง และออกเรียกร้องให้หยุดการให้วัคซีนดังกล่าวแก่ทารกในทันที ในขอบเขตทั่วไปประเทศ

    ในเวียดนาม มีโครงการให้วัคซีน HBV แก่ทารกแรกเกิดในระยะ 24 ชั่วโมงแรกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเป็นขบวนการปฏิบัติปกติของหมอ และพยาบาลโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ วัคซีนดังกล่าววิจัย และผลิตโดยบริษัทเทคโนโลยีไบโอชีวะและวัคซีนแห่งเวียดนาม หรือ VABIOTECH ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

    ทารก 3 คนแรกเสียชีวิตต่อเนื่องกันระหว่างวันที่ 20-21 ก.ค.ที่โรงพยาบาล อ.เหืองหวา (Hướng Hoá) จ.กว๋างจิ (Quảng Trị) มารดา และญาติของทารกเคราะห์ร้ายให้การคล้ายๆ กันว่า หลังจากให้วัคซีนเด็กทั้งหมดมีอาการหายใจติดขัด และลำตัวกลายเป็นเขียวคล้ำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า เป็นผลจากการขาดออกซิเจน และสิ้นใจไป

    ทางการจังหวัดกว๋างจิ จัดส่งคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ในวันอาทิตย์ 21 ก.ค.เพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริง และได้ผลในเบื้องต้นว่า วัคซีนที่ให้แก่เด็กทั้งหมดได้รับจากบริษัท VABIOTECH พร้อมกันในล็อตเดียวกันผ่านหน่วยงานของจังหวัด และทารกเคราะห์ร้ายทั้งสามก็ไม่ใช่รายแรกๆ ที่ได้รับวัคซีนไวรัสบีล็อตนี้

    คณะผู้เชี่ยวชาญได้ส่งหนังสือถึงจังหวัด และกระทรวงเสนอให้ยุติการให้วัคซีนแก่ทารกเอาไว้ชั่วคราว เพื่อหาข้อเท็จจริง และสาเหตุต้นตอเพิ่มเติม
    [​IMG]

    เป็นภาพที่ไม่ต้องการคำบรรยายใดๆ อีกเช่นกัน ป้ากับยายนำร่างเจ้าหนูน้อยออกจากโรงพยาบาล อ.เหืองหวา จ.กว๋างจิ เพื่อไปบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ทารกเพศชายรายนี้เกิดมาน้ำหนักกว่า 3 กิโลกรัม สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่เสียชีวิตลงเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับชนิดบีในวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นรายที่ 2 จากจำนวน 3 รายที่เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกันในโรงพยาบาลแห่งนี้. -- ภาพ: ไซ่ง่อนเตี๊ยบถิ (ข่าวการตลาดไซ่ง่อน).

    .
    อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันที่ 23 ก.ค. มีทารกอีกรายหนึ่งเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล อ.ตวีฟอมง์ (Tuy Phong) จ.บี่งทวน (Bình Thuận) ในภาคกลางตอนล่าง ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาสตรีที่ใกล้คลอดทั้งหลาย รวมทั้งสมาชิกครอบครัวทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางการจังหวัดแถลงผลการสอบสวนในชั้นต้นซึ่งระบุว่า วัคซีนที่ใช้ในโรงพยาบาล จ.บี่งทวน เป็นคนละล็อตกับวัคซีนที่ใช้ใน จ.กว๋างจิ

    พญ.หวอถิถวี (Võ Thị Thúy) สูตินรีแพทย์ วัย 27 ปี ซึ่งทำคลอดให้แก่ทารกเคราะห์ร้ายรายล่าสุด ให้สัมภาษณ์ว่า เด็กเกิดเวลาประมาณ 06.00 น.วันที่ 21 ก.ค. พยาบาลได้ให้วัคซีน HBV เวลาประมาณ 10 น. วันเดียวกัน และทารกเสียชีวิตเวลาต่อมา นับเป็นเวลา 22 ชั่วโมง กับ 30 นาทีหลังคลอด ซึ่งไม่เคยกรณีเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่การสอบสวนในชั้นรายละเอียดยังดำเนินต่อไป

    ตอนบ่ายวันที่ 22 ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ในกรุงฮานอยแถลงว่า ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตของทารกรายล่าสุด หนังสือพิมพ์ไซ่ง่อนเตี๊ยบถิ (Sài Gòn Tiếp Thị) หรือ “ข่าวการตลาดไซ่ง่อน” ในนครโฮจิมินห์ รายงานในวันพุธนี้

    ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามให้ความสนใจการเสียชีวิตของทารกทั้ง 4 ราย ซึ่งยังความโศกเศร้าให้แก่มารดาที่เพิ่งจะคลอด บิดา ตลอดจนญาติของทุกคน ในโอกาสที่ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเปี่ยมสุขดังกล่าว

    ชาวเวียดนามจำนวนมากที่สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เป็นโศกนาฏกรรมสำหรับครอบครัวชาวเวียดนามทั่วประเทศ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตราด-จันทบุรี น้ำท่วมหนัก!! ประชาชนเดือดร้อนกว่า 10,000 คน

    [​IMG]

    ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในจังหวัดจันทบุรี ทำให้ชุมชนต่างๆ ในเทศบาลเมืองจันทบุรี เทศบาลจันทนิมิตร เทศบาลท่าช่างเมืองใหม่ เทศบาลเนินวง รวมทั้งตัวตลาดสดจันทบุรีถูกน้ำท่วมสูง ประชาชนกว่า 10,000 คนได้รับความเดือดร้อน

    ส่วนพื้นที่อำเภอมะขาม ขลุง และอำเภอท่าใหม่ บ้านเรือนประชาชน และถนนหลายสายจมอยู่ใต้น้ำบางจุดสูงกว่า 50 เซนติเมตร และมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากฝนยังไม่หยุดตก โดยเฉพาะตลาดหอนาฬิกาในอำเภอท่าใหม่ ที่ไม่เคยถูกน้ำท่วม ล่าสุดน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตรแล้ว และเกิดดินจากเขาพลอยแหวนถล่มลงมาปิดเส้นทาง ทำให้สัญจรผ่านไม่ได้ รวมทั้งถนนบางช่วงน้ำท่วมสูงเกิน 1 เมตร

    จังหวัดตราดมีฝนที่ตกหนัก ทำให้น้ำทะลักท่วมตัวเมืองตราดหลายจุด ถนนหลายสายจมอยู่ใต้น้ำสูง 20-30 เซนติเมตร รถเล็กผ่านไม่ได้ เป็นเหตุให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก โดยเฉพาะถนนสุขุมวิท บริเวณหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัด และแขวงการทางตราดที่ระดับน้ำสูง 30-40 เซนติเมตร

    นอกจากนี้ ยังท่วมถนนสายแสนตุ้ง - บางกระดาน บริเวณบ้านท่าหาด ตำบลแสนตุ้ง สายเขาสมิง บ้านนนทรี ตำบลทุ่งนนทรี และมีแนวโน้มเพิ่มระดับขึ้นอีกเช่นกัน เนื่องจากฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ล่าสุดน้ำเริ่มไหลเข้าบ้านเรือนประชาชนหลายแห่งในตัวเมืองตราดแล้ว

    โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2556 15:18 น.

    ที่มา Manager Online
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...