ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... อ้าวเป็นคนหนองบัวเหรอคะ .... บ้านเก่ากาลีนะเลยนะนั้นอะ
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ผี เห็น ผี มั้งคะ อิอิ
     
  3. dakjued

    dakjued เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +851
    ป่าวหรอกครับ ผมอยู่ศรีสะเกษครับ พอดีเพื่อนรู้จักพระอาจารย์ที่วัดป่า ที่นั้น เลยชวนกลุ่มเพื่อนๆกันทำผ้าป่าไป พอดีท่านทำศาลาแล้วขาดปัจจัย เลยชวนกันทำ กะว่าจะไปนอนที่วัดสัก2-3คืน คงจะได้เจอเรื่องแปลกๆอีกแน่ 5555+
     
  4. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    กราบขออภัยทุกท่านนะคะ

    ... กาลีนะ เกิดผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย .. ขออนุญาติใช้ชื่อ " Kalina " นี้แทนไปก่อนนะคะ
     
  5. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    บทความต่อไปนี้คัดลอกมาจาก เว็ป... นะคะ

    คนทรงเจ้า หรือ เจ้าเข้าทรง


    1. คนทรงเจ้า

    หมายถึง คนธรรมดาที่ไม่มีเทพมาประทับ แต่จะแสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ ๆ ที่มีคนนับถือมาก ๆ โดยอาศัยความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพร ดูดวง เข้ามาประกอบ ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริง ๆ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายาเพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงไหลในเรื่องเหล่านี้ ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวกมิจฉาทิฎฐิ ที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะทำให้คนเชื่อถือ หลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เช่น ศิวะ นารายณ์ เป็นต้น

    2. เจ้าเข้าทรง

    หมายถึง ผู้ที่มีองค์เทพลงมาประทับจริง ๆ เพื่อสร้างบารมี บางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไรเลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่าง ดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมากเพราะองค์เทพมีความประสงค์ที่จะมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมี ไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก องค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญบารมีมาก ๆ เท่านั้น คนชั่วช้าขาดศีลขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย เว้นแต่เทพในระดับต่ำ ๆ ที่มีนิสัยเกเรเป็นสัมภเวสี เป็นเทพกึ่งเปรตที่ไม่มีวิมานอยู่ เพราะตอนกลางวันเป็นเทพแต่พอตกกลางคืนก็กลายเป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน จึงจับร่างที่ชั่วช้าสามานต์มาเป็นบริวารแห่งตน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่น ๆ มีนิสัยอันธพาล อิจฉาตาร้อนชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพ ดังนั้น จึงต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่อง การทรงเจ้าเข้าผี

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2013
  6. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    เหตุที่ทำให้มีร่างทรงองค์เทพ ฯ


    ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้ กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น

    พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    “แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา” พระอานนท์จึงทูลว่า
    “ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง
    ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก
    เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้
    เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทำนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณะโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน

    อนึ่ง องค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการมาแฝงบังคับร่าง เพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุ่มหลงในเรื่องของ “เทพพรหม” เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่สอนให้ไปยึดติดในภพภูมิเหล่านั้น แต่ไม่ได้ทรงปฏิเสธในเรื่องเทพพรหมว่ามีจริง เพราะแม้ครั้งพุทธกาลก็เคยเสด็จไปโปรด พุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ แม้ในพุทธกิจก็ยังแบ่งเวลาไปโปรดเทพเทวดาในชั้นภูมิต่าง ๆ จนมีผู้สำเร็จอริยบุคคลไปเป็นจำนวนมาก
     
  7. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ...... ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ

    1. ญาณจุติ

    หมายถึง ภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่ลงมาจุติ เพื่อมารับกรรมบางอย่างและเพื่อทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย

    2. ญาณแฝง

    หมายถึง องค์เทพในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละทีมักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ”
     
  8. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ที่เขาพูดกันว่า 2500 ปีเป็นช่วงที่ พระภิกษุ ภิกษุณี สามาเณร สามเณรี อุบาสก อุสาสิกา รักษาพระพุทธศาสนา แต่หลังจากนั้นจะเป็น พรหม เทวดา ที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ไม่ทราบว่าเขาเอามาจากที่ไหนกันเหรอครับ? หรือว่ามันมีในพระไตรปิฎก

    เพราะเคยได้ยินในการเทศนาธรรมระหว่างงานปริวาสกรรมและการสนทนาของพระ-เณรหลายรูปก็เคยพูดกันอย่างนี้
     
  9. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ที่เขาพูดกันว่า 2500 ปีเป็นช่วงที่ พระภิกษุ ภิกษุณี สามาเณร สามเณรี อุบาสก อุสาสิกา รักษาพระพุทธศาสนา แต่หลังจากนั้นจะเป็น พรหม เทวดา ที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ไม่ทราบว่าเขาเอามาจากที่ไหนกันเหรอครับ? หรือว่ามันมีในพระไตรปิฎก

    เพราะเคยได้ยินในการเทศนาธรรมระหว่างงานปริวาสกรรมและการสนทนาของพระ-เณรหลายรูปก็เคยพูดกันอย่างนี้


    .... ในส่วนนี้มีมาหลายที่มาคะ ... แต่เท่าที่ กาลีนะ ศึกษามาบ้าง พุทธองค์ทรงตรัสบอกแก่สาวกเรื่องที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพานในอีก 3 เดือนข้างหน้า ครั้งนั้นก็ได้ทรงทำนายเกี่ยวกับพระศาสนาของพระองค์ไว้ด้วย ..

    ... จริง ๆ มันมีในแบบเรียนรุ่นเก่าด้วยนะคะถ้าจำไม่ผิด และ ยังมีอีกหลายอันด้วย .. ซึ่งตัวกาลีนะเองไม่ใช่คนที่ไปแปลมาเองนะคะ ยกตัวอย่างเช่น

    ... โดยที่คณะธรรมทูตไทย ผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ( ไม่ต้องปรับแก้ ) ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้ "สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ไกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทพากเพียรพยาบาลว่า

    ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่ตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้ ( คือ ก่อนปี ๒๕๐๐ ปี หรือ ก่อน พ.ศ. 2548 ) มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ( สิ่งนี้ถ้าจะเดา น่าจะหมายถึง ก่อนปี พ.ศ. 2548 มาแล้ว ผู้คนครึ่งหนึ่งของโลกจะได้รับภัยพิบัติเสียครึ่งหนึ่ง )

    พ.ศ. 2533 – 2563 : ช่วงในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หิน ถูกสาป ( คนไม่ดี มีจิตใจเช่นยักษ์ ) ให้หลับก็กลับคื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของตถาคต ก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะรบราฆ่าฟัน กันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มี อำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมจากสัตว์ป่าอำมหิต
    ( อธิบาย : ผูู้้มีพระภาคตรัสเกี่ยวกับก่อนกึ่งพุทธกาล หรือปี 2500 หรือ ก่อน พ.ศ. 2548 ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ผู้คนนอกศาสนาพุทธ ได้สู้รบกัน และที่รู้จักดีคือทั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1 และที่ 2 ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้การต่อสู้ทางอากาศ มีลูกระเบิดจากเครื่องบินทำให้เกิดเป็นเพลิงเผาพลานไปทั่ว ทางพื้นน้ำก็มีการสู้รบกันทางเรือ ทั้งสองฝ่ายต่างเสียชีวิตเป็นอันมาก และแล้วก็เลิกรากัน )

    ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิม วัจนะของตถาคต ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และ กาสาวพัสตร์จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น ( พระผู้มีพระภาคตรัสถึงภัยพิบัติต่างๆ ที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า มนุษย์ต้องเผชิญภัยพิบัติต่อไป )

    เริ่มแต่ศาสนาตถาคตล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี ( พ.ศ. 2533 ) เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม ( อธิบาย : พระสงฆ์ ครูอาจารย์ทางพุทธศาสนาเสื่อมลงตามทีพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว ศาสนาและลัทธิอื่นเข้ามาเผยแพรในแดนพระพุทธศาสนา่ เดียรถีย์เพิ่มพูล ) สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ( จากการวิเคราะห์ อาจเดาว่า พระผู้มีพระภาคน่าจะตรัสถึง สมณชีพราหมณ ที่ประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะอดยากยากเข็ญ เพราะไม่มีผู้นิยม ) คนบ้านจะเข้าป่า ( อธิบาย : คนในเมืองบุกรุกป่า มีทั้งจับจองที่ดิน และหาผลประโยชน์จากป่า ) สัตว์ป่าจะเข้ากรุง ( สัตว์ป่าไม่มีทีหากิน เข้ามาหากินตามไร่สวนรบกวนผู้คน ) เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ ( เกิดมลพิษต่างๆ )

    สงครามจะทั่วทิศ ( สงครามในรูปแบบต่างๆ จะเกิดขึ้นมากมาย ) ศึกจะติดเมือง ( สงครามนั้นๆ อยู่ในเมืองนี่เอง ) ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ( คอร์รัปชั่นจักเกิดมาก ) ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ ( คนดีมีวิชาความรู้ไม่มีปากเสียง ) ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยมเชื่อถือถ้วยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ( อธรรมจะได้รับการยกย่อง เชื่อถือ )

    ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบไม่มีเสียง ( แต่ผู้ยึดถือพระธรรมะจะเป็นใบ้ ) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดแม่ แม่จะพลัดจากลูก ( ลูกและพ่อแม่จะแยกกันอย ู่) โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่งผีเสื้อแสนหนึ่งมาปล่อยแสนหนึ่งมาปล่อย ไข้เป็นไฟผลาญ ( สรุปว่าเมืองหลวงจะเต็มไปด้วยสิ่งไม่ดีต่างๆ นาๆ )

    ( ในส่วนต่อไปนี้ ได้สรุปมาจากการศึกษาพระสูตรและเรื่องราวเกี่ยวกับพระศรีอาริยเมตไตรย [ พระศรีอารย์ ] และคำพยากรณ์ต่างๆ ซึ่งกล่าวไว้ตรงกัน ซึ่งการวิเคราะห์สรุปได้ว่าเป็นทางสองแพร่ง ซึ่งตรงกับการทำนายของโลก ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว )

    ทางสองแพร่งเป็นอย่างไร ที่ได้มาจากการวิเคราะห์วิจัยตามหลักฐานและวิชาการ สรุปคือ

    1. ทางที่หนึ่งเกิดสันติสุขขึ้น โดยการนำของพระศรีอารย์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในส่วนต่อไป พระศรีอารย์เป็นพระจักรพรรดิ ไม่ใช่ศาสดา ศาสนาพระศรีอารย์จึงไม่มี พระ ศรีอารย์จะมานำผู้คนสร้างสันติสุข และช่วยให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ทุกคนจักมีกินมีใช้ มีที่อยู่อาศัยไม่ลำบาก กิจการงานก็ไม่ต้องแข่งขัน มีการชวยเหลือซึ่งกันและกันตามพรหมวิหาร 4 เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนก็จะทำอะไรไม่รีบร้อน ไม่ต้องแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ( ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า "คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน" ) ทุกคนมีสติ มีสมาธิ เกิดปัญญากันทั่วหน้า เพื่อการปรับเข้าสู่ยุคทองที่มีคนดีทั้ง 4 ส่วน เหตุการณ์นี้จักเกิดอย่างช้าสุดในปี พ.ศ. 2555 ถ้าสิ่งดีงามไม่เกิดในปีนี้ ปี พ.ศ. 2556 ก็จะเกิดโลกาวินาศ ซึ่งคำทำนายโลกต่างๆ และมายันยังทำนายละเอียดถึงวันโลกาวินาศไว้ที่ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งคงไม่ได้ต่างอะไรมากนักกับปี พ.ศ. 2556 ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ เรื่องนี้ไม่สนับสนุนให้ใครเชื่อ แต่นำมาแสดงไว้ตามข้อมูลของพุทธทำนาย

    2. ทางที่สอง ถ้าผู้้คนไม่สนใจการมาปรากฏของพระศรีอารย์ ก็จะเกิดโลกาวินาศขึ้นบนโลก ในปี พ.ศ. 2556
    ( ทำไมถึงต้องเกิดโลกาวินาศ การเป็นเช่นนี้เพราะคนในปัจจุบัน มีคนดีเพียง 1 ใน 4 ของประชากรโลก ดังนั้นโลกาวินาศทจะเกิดขึ้นเพื่อล้างโลก ล้างคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรม และคัดเฉพาะคนดีเข้าสู่ยุคทอง นอกนั้นจะถูกส่งไปนรกภูม [ เรื่องดังมีกล่าว มีในพยากรณ์ของโลกที่สามารถค้นหาเองได้ ทั้งทั้งของมายัน และของศาสนาต่างๆ ที่ได้กล่าวไว้ตรงกัน จนเป็นที่น่าสังเกตุว่า ทำไมคำทำนายเหล่านี้ต่างทั้งเวลาและสถานที่ ถึงได้กล่าวเป็นคำทำนายไว้ตรงกัน ] )

    เมื่อศาสนาของตถาคตล่วงมาได้ ๒๕๐๗ ( ปีมะโรง พ.ศ. 2555 ) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ( ดังได้อธิบายไว้เบื้องต้นแล้ว )

    ล่วงได้ ๒๕๐๘ ( ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ( น่าจะเกิดโลกาวินาศ ถ้าผู้คนไม่สนใจพระศรีอารย์ และมนุษย์ยังถูกซ้ำเติมต่อไปในปี พ.ศ. 2560 ผู้มีศีลธรรมจะอยู่รอด )

    ล่วงได้ ๒๕๑๒ ( ปีระกา พ.ศ. 2560 ) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหงอิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของตถาคตจะพ้นภัยพิบัติ
    ให้ เจริญภาวนาดังนี้ "หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิ โหคะหะคะเน" ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศรีษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

    ดูกรอานนท์ ตถาคตสงสารสัตว์โลกเป็นล้นพ้นที่มีอายุขัยอยู่ได้ไกล้ยุคกึ่งยุคลลาย

    เมื่อศาสนาของตถาคตล่วงมาได้ ๒๕๑๒ ( ต่อจากปลายปีระกา ปีจอ พ.ศ. 2560 ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ ( ปีชวด พ.ศ. 2563 ) นับพ้นระยะปี ๓๐ ปี ( จาก พ.ศ. 2533 - 2563 ) พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไปเพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ( เหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2563 )

    ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุงบำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะอยู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ( ตรงกับพยากรณ์อื่น เช่นในระหัสลับดาวินซี ) ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก

    ส่วนนี้พระผู้มีพระภาคตรัสถึง พระมหาเถรโพธิิสัตว์ และพระธรรมมิกราช ดังมีความดังนี้

    มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งจะเกิดภายในความอุปภัมถ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ ( การตีความ แสดงว่า พระธรรมมิกราช นั้นอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหาเถรโพธิสัตว์ ) ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของตถาคต ในระยะนี้เป็น "ยุคศิวิไล" ( ตรงคำทำนายโลกอื่นๆ และสมเด็จพุทฒาจารย์ [ โต ] พรหมรังสี )

    พระมหาเถระโพธิสัตว์ จะเกิดในสมัยของตถาคตล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี (พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแสดงถึงความเป็นพระมหาโพธิสัตว์ และในเวลาปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.9 และในเวลาปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหาเถรโพธิสัตว์โดยสมบูรณ์)

    เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ ( พ.ศ. 2515 - 2534 ) พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด (ท่านอินทรา คนไทยในพุทธศาสนา มีถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้อธิฐานบุญอันแรงกล้าในปี พ.ศ. 2534 และท่านอินทรารู้อมตธรรมด้วยตนเอง ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 หลังค้นหามากว่า 40 ปี จึงนับว่าพระธรรมมิกราช ได้เกิดขึ้นแล้ว )

    ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ( อธิบาย : พระโพธิสัตว์สองพระองค์จะอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชณิมประเทศ หรือกล่าวได้ว่าเป็นไปในภาคกลางของประเทศเขตชมพูทวีป หรือทวีปของพระพุทธศาสนา มาทางทางตะวันออกที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เมืองที่ประทับดังกล่าวคือ กรุงเทพมหานครฯ ของประเทศไทย )

    ระหว่างปีจอปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ( พ.ศ. 2561 – 2562 เหล่าประชาราษฎรขอถวายพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จงพระองค์จงทรงพระเจริญ ทรงมีพระพลามัยที่แข็งแรงขึ้นเป็นพระประมุขของแผ่นดิน ยิ่งยืนนานตลอดไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ ) ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยงแท้สมณชีพราหมณ์ จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

    ดูกรอานนท์ ตถาคตสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที ( ยกของเดิมมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2556 - 2563 = 30 ปี ) พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไปเพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญไปจากโลก ( นี่ี่คือคำตอบ "เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที" เพราะพวกไม่มีศีลธรรมได้หมดไปจากโลกหมดแล้ว )

    คำทำนายของตถาคตนี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ใน ความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามกาลเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษา ศีลห้าประการหนึ่ง ยำเกรงบิดามารดา รู้จักบุญคุณท่านผู้มีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

    พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นโมสัพพราชา ขัตติโย อิติ ปารมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคตา อิติ โพธิ มนุปปัตโต อิติปิโส จ เต นโม"


    .... พุทธทำนาย ต้นฉบับ
     
  10. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ***** เมื่อฉันเจอกับคนที่บอกว่าตัวเองมีปู่เวชสุวรรณ *****

    ... วันนี้เรามีประสบการณ์ที่เราไม่ค่อยจะประทับใจสักเท่าไหร่มาเล่าให้ฟังคะ ... แต่ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกันบ้างนะคะ ..

    .... ก็อย่างที่หลายคนทราบว่าเราทำร้านขายอาหารที่ขายทั้งกลางวัน และ กลางคืน และ ฉันก็อยู่กะกลางคืนเพื่อสลับกับแม่ ... ตลอดเวลาสามปีกว่าที่เราทำงานที่ร้านนี้ มันทำให้ฉันได้รู้ได้เห็นอะไรมากมาย จนเริ่มจะเบื่อหน่ายกับหลายสิ่ง แต่สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้มันเลวร้ายสำหรับจิตใจของเรามาก

    .... เรามีลูกค้าคนหนึ่งที่มักจะมานั้งกินเหล้าที่ร้านตอนดึก ๆ และ พาสาว ๆ แทบไม่ซ้ำหน้ามานั้งกินที่ร้านเรา ... แต่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะแถวนี้มีให้เห็นดาษดื่น เรียกว่าผิดศีลข้อ 3 เป็นว่าเล่น ... ชายคนนี้มักทำตัวเป็นเหมือนเสี่ยใจป้ำกับสาว ๆ ที่มาด้วย และ มักทำรุ่มล่ามแบบไม่แคร์สายตาคนในร้าน แต่ตอนดึก ๆ จะไม่ค่อยมีคนซักเท่าไหร่ ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยได้สนใจจำลูกค้าแบบนี้มากนัก ... แค่รู้สึกคุ้นหน้าเท่านั้น

    .... แต่เมื่อวันที่ 18 ต.ค ตอนใกล้ปิดร้านประมาณตีสามกว่า ก็มีพี่ขาประจำรอบดึกท่านหนึ่งมานั้งดื่มเบียร์ที่ร้าน ซึ้งแกจะมาบ่อยมากหลายปีจนสนิทกับร้านเรา แกนั้งไปสักพักก็ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งกับคนกลุ่มหนึ่งที่ลงมาเพื่อหาของกิน เป็นชายร่างท่วมแบบฉบับอาเสี่ย กับ เด็กสาวอายุน่าจะไม่ถึงยี่สิบใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น และ เพื่อนอีกหลายคน เดินเข้ามาในร้านแต่อาเสี่ยคนนั้นเขาเดินมากับเด้กสาวคราวลูกแบบประคองกอดกันเดินเข้ามา เรากับแฟนมองหน้ากันเพราะที่ร้านเราจะเน้นเรื่องการไม่ทำตัวให้ลูกค้าคิดว่าเราขายอย่างอื่นที่ไม่ใช่อาหาร .. เพราะถ้ามีลูกค้ามาแนวไม่สุภาพจะถูกสวนกลับจากแม่ หรือ เราเสมอ

    ... พอเสี่ยคนนั้นเดินเข้ามาปรากฏว่าเขารู้จักกับพี่ขาประจำของเรา เลยได้ร่วมโต๊ะเดียวกัน และ พี่ขาประจำเลยสั่งเบียร์เพิ่มเพื่อเลี้ยงเสี่ยรายนี้ เขาก็แสดงอาการลูบคลำล้วงเด็กสาวที่มาด้วยแบบไม่แคร์สายตาใคร และ ดูท่าทางเมาจากที่อื่นด้วย เราบอกเด็กสาวคนนั้นว่าเดี๋ยวพี่หยิบแก้วให้แล้วกันนะคะ เด็กสาวคนนั้นบอกว่าไม่เป็นไรเราเลยเดินกลับไปที่โต๊ะขายตามปกติ สักพักอาเสี่ยคนนั้นก็หันมาตะหวาดเราว่าทำไมไม่เอาแก้วมาให้เด็กของเขาแบบอารมณ์เสีย .. เรางงมาก และ รู้สึกแย่เล็กน้อยแต่ก็คิดว่าเขาคงจะเบ่งสาวประมาณนั้น ผ่านไปสักพักกลุ่มคนพวกนั้นก็กลับไปเหลือเพียงอาเสี่ยคนนั้น กับ พี่ขาประจำนั้งกินเหล้าคุยกันไปเรื่อยจนเกือบตีสี่กว่าเราต้องออกมานั้งเฝ้าเพราะอยากให้ทุกคนพักผ่อนเลยยกคอมมานั้งเฝ้าข้างนอก แล้วพี่ขาประจำก้เรียกเราว่าให้เราช่วยพาอาเสี่ยคนนี้ไปเข้าห้องน้ำหน่อย ... เราร้องเสียงดังเลยว่า " ไม่ " แล้วเราก็เล่นคอมของเราค้นข้อมูลต่อไป ซึ่งปกติเราก็จะไม่สนใจว่าลุกค้าจะทำอะไรนอกจากเขาจะสั่งของ พอถึงตอนเก็บเงินเราก็เดินไปเก็บเงินตามปกติ อยู่ ๆ อาเสี่ยคนนี้ก็ถามเราว่า " เธอมีสามีหรือยัง " " มีแล้วคะ " " งั้นก็ไปเลิกกับสามีเธอซะ " เขาพูดทั้งที่ก้มหน้าอยู่กับโต๊ะ เราตกใจมากที่เขาพุดแบบนี้ แต่เราก็ตอบเขาว่า " ทำไมต้องเลิก แฟนหนูไม่ได้ทำผิดอะไร และ เขาก็เป็นคนดี " พี่ขาประจำแกเลยรีบตัดบทไปแล้วก็เดินออกไปจากร้าน ..



     
  11. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... วันที่ 19 ตอนเช้ามืด วันนี้แม่ให้เปิดร้านสว่างจนกว่าแม่บ้านจะมาเปลี่ยน วันนี้อาเสี่ยคนนั้นมาอีกแล้วคราวนี้มากับสาวสวยสองคนมานั้งกินเหล้าที่ร้าน ซึ่งพี่ชายขาประจำของเราก็มาร่วมโต๊ะด้วยหมดไปเยอะพอสมควรก่อนที่สองสาวจะกลับไป แล้วก็เหลือนั้งกินต่อแค่สองคน .. สักพักพี่ขาประจำเดินไปเข้าห้องน้ำอาเสี่ยแกก็สั่งโซดาเพิ่ม 2 ขวดเราก็เดินเอาไปให้ปกติ แกเลยบอกว่าชงเหล้าให้หน่อยเดี๋ยวพี่ให้ติ๊ป .. เราก็ยืนชงให้แกแก้วหนึ่งเพราะคิดว่าเป็นแขกของพี่ขาประจำ และพี่เขาเคยบอกว่าคนนี้เขาเป็นคนที่มีหน้าตาฐานนะดี ที่สำคัญเขาร่วมงานกับลุกอีกคนที่แม่เราเคยไปเช่าที่เขาเปิดร้านด้วย เราเลยคิดว่าชงแค่แก้วเดียวคงไม่เป็นไร .. แต่แกแสดงอาการอยากให้เรานั้งเพราะเหมือนเรายืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่ เราเลยต้องนั้งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ซึ่งปกติเราจะไม่ทำถ้าไม่ใช่คนที่เราสนิทด้วย อาเสี่ยแกบอกให้เราชงเหล้าให้ตัวเอง แต่เราปฏิเสธว่าเราไม่กินเหล้า เราเลิกแล้วแถมร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง เราระวังตัวพอสมควรด้วยความที่งานแบบนี้มักถูกคนอื่นมองด้วยสายตาไม่ดี และ เหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ ... แต่เรายังภูมิใจที่เราไม่ใช่แบบนั้น และ มันคืออาชีพที่ทำให้ครอบครัวเราไม่ลำบาก พอพี่ขาประจำเดินมาแกก็ให้เราชงเหล้าให้ ... อาเสี่ยแกก็เริ่มชวนคุย .. ตอนแรกเราก็ไม่คิดอะไรคุยธรรมดา .. แต่แกเริ่มชวนเราคุยเรื่องการดูดวงแกอยากให้เราดูดวงให้ แต่เราพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะเราไม่อยากทำเรื่องแบบนี้เท่าไหร่แถมเราก็ดูดวงผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยก็บอกเขาตรง ๆ ตามนี้ เขาเริ่มพยายามรุกเรามากขึ้นทั้งที่เราพยายามบ่ายเบี่ยง ตอนแรกเราไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงพยายามจะคุยกับเราเรื่องแนวนี้ ( เรื่องร่างทรง )ทั้งที่ไม่ได้สนิทกัน เขาเริ่มว่าเรามีเทพอยู่ยังไงทำไมแค่ดูดวงยังทำไม่ได้เราก็บอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ เพราะคนที่มีเทพรักษาใช่จะมีความสามารถเสมอไปบางครั้งท่านก็มาแค่รักษาคุ้มครองเราตามเวร และ กรรมที่ทำร่วมกันมา เราพยายามอธิบายแต่เขาไม่ฟัง สุดท้ายเขาก็เลยกลายมาเป็นดูดวงให้เราแทน เขาก็ถามวันเดือนปีเกิดเรา และ ดูดวงให้เรา ซึ่งทักษะแนวนี้เราก็รู้วิธีการมันเป็นเบสิคอยู่แล้ว เราก็เฉย ๆ อยากดูก็ดูไป ...

    .... การสนทนาของเราเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็พูดไปเรื่อยว่าเขานั้นมีบารมีมากมายเราเหมือนเด็กน้อย ๆ สู้เขาไม่ได้หรอก เขาทำบุญมามากมาย เขาท่องบทสวดมนต์ 9 บททุกวันก่อนออกจากบ้าน เราก็บอกเขาว่าเราสวดมนต์ไม่ได้เพราะความจำเราไม่ดี เขาก็เริ่มพูดจาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ออกแนวตะคอกเรา เราพยายามอดทนไว้ เขาก็ยังไม่หยุด เขาบอกว่าตัวเองนั้นเก่งมากทั้งศาสตร์ฮวงจุ้ย เวทย์มนต์ ไม่มีใครสู้เขาได้ เขาไปตำหนักมามายมายทุกคนเกรงกลัวในบารมีของเขา ซึ่งบอกตามตรงตั้งแต่วินาทีแรกที่จำได้ว่าเคยเห็นเขาเราไม่ได้รับรู้ถึงพลังอะไรแบบที่เขากล่าวอ้างมาเลย รู้สึกไม่ชอบเขาเอามาก ๆ เสียด้วยซ้ำ เรื่องทุกอย่างมันเริ่มจะเป็นรูปร่างเข้าเค้าว่าเขาต้องการอะไร เขาพยายามจะถามเราว่าเรานับถือใครเทพเป็นร่างทรงเทพองค์ไหน หรือ เปล่า เราก็ได้แจ้งเขาไปแล้วว่าเราไม่ใช่ร่างทรง เราแค่สัมผัสได้นิดหน่อยแต่เราศรัทธาในเทพบางองค์เรียกว่า รักเลยก็ได้ เขาบอกเราว่าไม่ใช่หรอก ... ทั้งที่พยายามชวนคุยเรื่องอื่นแต่ก็ไม่เป็นผลเหมือนเขาต้องการจะเอาชนะเราให้ได้ เราเริ่มเอ๊ะใจว่า หรือเขาเห็นหิ้งพระของเรา กับ จอมปลวกก็เลยทำให้เขาเข้าใจอย่างนั้น ... เขาเริ่มพูดออกแนวว่าตัวเองมีเทพมีความสามารถมากมาย หรือ เขาอยากจะให้เราศรัทธาเขา .. มันเริ่มมีคำถามขึ้นมามากมาย เวลาเขาพูดอะไรที่มันฟังแล้วเราคิดว่าไม่ใช่เราจะถามเขาตรง ๆ แบบนั้นเพราะมันขัดกับที่เราเรียนรู้ศึกษามามันไม่ใช่ ซึ่งถ้าคนอื่นมาฟังเขาก็น่าจะรู้สึกขัดหูเหมือนเราแน่นอน ..

    .... เขาบอกว่าเขาสามารถสื่อถึงท้าวเวชสุวรรณได้แบบในระดับพิเศษ เขาสวดมนต์บูชาท่านมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ สวดทุกวัน เพราะแกบอกว่าแม่แกไปขอแกจากท้าวเวชสุวรรณแล้วก็ได้แก ( อาเสี่ย ) มานับแต่นั้นแกก็สวดมนต์บูชามาตลอดสี่สิบกว่าปี พี่ขาประจำแกก็แนะนำให้เราทำบุญแบบนั้นนี้สิ สวดมนต์บทนั้นนี้มากมายเราก็บอกว่าเราจำไม่ได้ต้องอ่านเอาเวลาสวดมนต์ไม่งั้นจะผิดเสมอ ถ้านั้งสมาธิเราก็มักสัมผัสนั้นนี้ได้ซึ่งเรากลัวที่จะเจอกับเรื่องแบบนี้ และ ที่สำคัญเราบอกว่าเรากลัวผีมาก ๆ เขาก็หันมาตวาดเราว่า ถ้าคิดว่าตัวเองมีเทพแล้วกลัวทำไมกับแค่ผี มันไม่ใช่แล้วเธอไม่ใช่แล้ว บอกหน่อยสิเธอคิดว่าเธอมีใครอยู่ เราไม่ตอบเขาแถมถามเขากลับว่าแล้วคิดว่าหนุมีใครเหรอ ... เขากลับไม่ตอบ ... ซึ่งมันผิดจากหลาย ๆ คนที่เราเจอที่สามารถบอกอะไรเราได้หลาย ๆ อย่างโดยที่เราไม่ต้องบอกอะไร .. และ คนที่ทำให้เราทึ่งที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา คือ พระอาจารย์ต๋อง นั้นเอง

    ... วันนี้เราคงต้องหยุดเล่าก่อนเพราะง่วงนอนมากแล้ว .. แล้วจะกลับมาเล่าตอนสำคัญที่ทำร้ายจิตใจเรามาก ...
     
  12. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    คนเก่งๆเค้าจะไม่คุยหรอก เพราะถ้าเจอของจริงมาตัวใครตัวมัน

    เค้าใหญ่มาก ใหญ่ไม่มีใครเกิน เก่งเทียบพระพุทธเจ้า

    องค์กิเลส




    เรานี่บังเอิญไปเจอสมัยเด็กๆ มีหลายๆรูปแต่เลือกรูปนี้ เลยนำกลับมาบูชาที่บ้าน
    ก็ไม่รุ้อะไร ทางบ้านก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่พอโตมามีคนทัก ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่บังเอิญ
    เค้าตามหามานานแล้ว กว่าจะมาเจอเลยได้กลับมาบูชาอีก นี่สินะที่เรียกว่า สัญญาเก่า

    ถ้าคุณไม่ถูกใจเค้า ก็ทำบุญแล้วขอให้หมดกรรมกัน ให้ไม่ต้องเจอกันอีก เดี๋ยวเค้าก็ไปเอง
    อย่าพยายามสร้างศัตรู เพราะตอนเราล้มจะโดนรุมจากทั่วสารทิศ โดนรุมมาแล้วเกือบไม่รอด
     
  13. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042


    ...... เรื่องพวกนี้สำหรับเราที่ผ่านมาเราพยายามศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่สามารถหาได้ ทั้งจากการอ่าน ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งวัด ตำหนักทรง หรือ เข้าไปดูพิธีกรรมหลาย ๆ ครั้ง เพราะเราเองก็กลัวการถูกหลอกเหมือนกัน ... เรามีความคิดว่าถ้าเรากลัวสิ่งใดมาก ๆ ให้เราหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงกลัวมัน ... หรือ ใช้ความรู้สึกของเราสัมผัส และ ทดสอบมัน เราเป็นพวก " เจ้าหนูทำไม " อะนะ 5555555 แต่นั้นคือสมัยก่อน ... ตอนนี้ไม่ละสงสัยน้อยลงเยอะ ....

    ... เรื่องสัญญาเก่านั้นมันมีหลายกรณีไม่ใช่เฉพาะเรื่อง เทพ ฯ เท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องเช่น เนื้อคู่ การสัญญากันไว้โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน ฯลฯ

    ... และ ตัวของเราเองก็คุ้นเคย กับ ประสบการณ์แบบนี้ เพราะพบเจออยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เริ่มจำความได้ จึงเริ่มเรียนรู้ และ พิสูจน์มัน .. ผลที่ได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ...

    .... ส่วนเรื่องของ อาเสี่ยคนนี้ ตอนแรกเราคิดว่าเราโกรธเขาที่เขาดูถูก และ เหยียดหยามเรา แต่พอเราพิจารณาในจิตใจของเราแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจในตอนแรก ... จริง ๆ
     
  14. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    สั้นๆแท้ละครับเรื่องอาเฮีย ครับรอตอนต่อไปครับ
     
  15. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    อ้อ ... ยังไม่จบคะ ยังไม่ถึงจุดคลายแม็คเลยคะ .. แต่ว่าเวลามันไม่พอช่วงนี้ที่ร้านขายของดีและยืดเวลาเปิดร้านทำให้ไม่ค่อยว่างคะ ....
     
  16. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... ต่อเรื่องอาเสี่ยตามคำเรียกร้องว่ามันสั้นไปคะ 5555555

    .... เราขอสรุปเหตุการณ์ที่ได้พูดคุยกันดีกว่านะคะ

    1. เขาพยายามโน้มน้าวจิตใจฉันให้เชื่อว่าเขาเป็นคนเก่งในหลายศาสตร์ และ มากด้วยบารมีผู้คนมากมายต่างให้ความเคารพนับถือเขา และ ฉันก็ควรทำแบบนั้นเหมือนกัน

    - ฉันก็ถามเขากลับไปคำหนึ่งว่า แล้วทำไมยังทำตัวแบบนี้ !! ซึ่งคำถามนี้มันดูจะจี้ใจดำเขามากเลย และ เขาก็ไม่พอใจมากด้วยจากอาการที่รับรู้ได้ ... เขาถามกลับมาว่า แล้วเขาทำอะไรเหรอไหนว่ามาสิ ... เราตอบไปว่า ก็อย่างที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้แหละ .. ( เขาทำงานรับเหมาก่อสร้าง + กินเหล้า + ควงหญิงไม่ซ้ำหน้า + ทำตัวรุ่มร่ามกับหญิงสาวหลายคนในที่สาธารณะโดยไม่แคร์สายตาใคร + ดูถูกครูบาอาจารย์ของคนอื่นโดยที่ไม่ดูหน้าหลังว่าอะไรเป็นอะไร + ยกตนข่มท่าน ฯ ซึ่งเราเลือกที่จะไม่พูดให้เขาคิดเอาเองว่าเขารักษาศลีธรรมอันดีงาม และ วางตัวได้ดีแค่ไหน สำหรับเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจนปัจจุบัน เขาติดลบในสายตาเรา )

    2. เขาไม่มีแม้แต่การแสดงธรรมแห่งสัจจะธรรมของโลกที่ควรจะมีให้เรารับรู้ได้ นอกจากการโอ้อวดตัวเองแบบที่ฟังแล้วเราไม่อยากเชื่อ หรือ ศรัทธา กลับมองเห็นแต่ความมืดดำ การอยากเอาชนะ ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความหยิ่งทรนงในตนเอง ... นั้นคือสิ่งที่เรารับรู้ได้จากการสนทนาในครั้งนี้ ... อ้อ อีกอย่าง คือ ความเสียดายถ้าเขามีความสามารถนั้นจริงเอาแค่ครึ่งที่เขากล่าวอ้าง น่าจะเอามาทำอะไรที่เป็นประโยช์ต่อโลกใบนี้ อาจทำให้เขารู้จักคำว่า " ความสุขที่แท้จริง " .. บ้างก้ได้ ...


    3. เราพยายามแนะนำเขาให้เข้าใจถึงเรื่อง " การเริ่มต้นจะทำความดี บุญ กุศล ต่าง ๆ ให้เริ่มมาจาก จิตใจ ก่อน " เปรียบเทียบเรื่องการทำบุญว่าทำไม " ทำบุญบาทเดียว แต่ได่ผลบุญเท่ากับ หรือ มากกว่าคนที่ทำเป็นแสนเป็นล้าน ว่าทุกอย่างต้องเริ่มมาจากจิตใจที่บริสุทธ์ และ ตั้งใจจริง ๆ " ซึ่งเขาไม่ยอมรับฟังอะไรเลย ... เถียงตลอดรายการคะ และ เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ

    4. ตอนที่เรากับพี่ขาประจำพูดกันเรื่องพระพุทธเจ้า การทำบุญ และ คำสอนของอาจารย์ของเราที่เคยสอนเรากับพี่ขาประจำ เขากลับได้ยินผิดเพี้ยนไป หรือ เปล่าเราไม่แน่ใจ ... แต่แกตะคอกกลับมาด้วยคำหยาบคายด่า พระอาจารย์ของเราด้วยคำที่เราฟังแล้วอึ้งไปเลยแถมยังจะมาถามว่าท่านอยู่ที่ไหนเขาจะขับรถตามไปด่าท่านว่าสอนอะไรที่มันไม่ดี และ อวดอ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษได้ยังไง ... กล้าดียังไงมาบอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ... ซึ้งเราไม่ได้พูดคำนี้เลย ... เขาลามปามไปถึงแม่เราด้วย เพราะเราบอกว่าพระอาจารย์ท่านเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเราท่านช่วยชีวิตเรา และ นำเราเข้าสู่ธรรมมะ แต่เขากลับเข้าใจเป็นอย่างอื่น หาว่าเราไม่รักพ่อแม่ไปรักเคารพใครก็ไม่รู้ ทั้งที่พ่อแม่เปรียบเหมือนพระอรหันต์ในบ้าน ... @@%%U^^O*&P_)*&^$# เขาเริ่มด่าอาจารย์ของเราแบบยั้งไม่อยู่ไม่ฟังคำอธิบายอะไรเลย ... น้ำตาเราเริ่มไหลแบบไม่รู้ตัวไหลแบบที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเลย

    ..... ตอนแรกเข้าใจว่าเราโกรธเขาจนกลั้นไม่อยู่ทำอะไรไม่ได้เลยร้องไห้ รึ เปล่า ... หรือ เพราะเรากำลังรู้สึกสมเพชในตัวชายคนนี้กับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป คือ เขาบอกว่าเขานับถือปู่เวชสุวรรณ เช่นเดียวกับ พระอาจารย์ของเรา แต่กลับมาด่าท่านเสีย ๆ หาย ๆ แบบไม่น่าจะทำ .. ทั้งที่เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร .. หากเทพผู้ดูแลพระอาจารย์ท่านมาแต่กำเนิด คือ ปู่เวชสุวรรณขึ้นมาก็เท่ากับว่า อาเสี่ยคนนี้กำลังกระทำการอันเป็นการมิบังควรต่อตัวแทนแห่งครูของตนเอง " ถือว่า ผิดครู "... นั้นคือ ความสามารถพิเศษ หรือ อะไรก็ตามที่เขามีอยู่เสื่อมสลายไป หรือ หนีหายไป และ หากเขาเคยผ่าน " พิธีการรับขันธ์ " มาแล้วด้วยละก็ .. " เขาจะกลายเป็นคนที่ ซวย โคตร ๆ " คงไม่ต้องบรรยายว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ... ก็น่าพอจะรู้ ๆ กันบ้างแล้วนะคะ

    .... หรือ ว่าเรารับรู้ได้ถึงความรู้สึกเสียใจของใครบางคนในอีกภพภูมิ หรือ ว่าเราร้องไห้เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดกับชายคนนี้กันแน่ ....

    ... พี่ขาประจำแกก็พยายามช่วยเราอธิบายว่าเราไม่ได้พูดแบบที่อาเสี่ยแกกล่าวหาแต่อย่างใด คือมันคนละเรื่อง และ การที่เสี่ยมาพูดจาดูถูกครู หรือ ผู้มีพระคุณของคนอื่นแบบนี้นั้นก็ไม่สมควรเช่นกัน ... สุดท้ายอาเสี่ยแกเลยกล่าวขอโทษเรา แต่ เขาจะไม่ขอโทษอาจารย์ของเรา แถมยังตะคอกด่าซ้ำอีกต่างหาก .. แล้วยังมีหน้ามาถามเราว่า .. เะอร้องไห้ทำไม .... เรามองหน้าเขาแล้วก็ตอบกลับไปว่า ... " หนูไม่คิดว่าคนอย่างพี่จะพูดคำแบบนี้ได้ พูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้มันไม่สมควร " แล้วเราก็เดินเข้าห้องไปพร้อมองค์ปู่เวชที่เราเอามาให้พี่ขาประจำดู เพื่อให้เขารู้ว่าเราก็บูชาปู่เวชสุวรรณท่านเหมือนกัน ... คือเขามาอ้างว่าเขามีบารมีมาก มีองค์ปู่เวชสุวรรณสถิตยือยู่ตั้งแต่เกิด และ มีพระนารายณ์มาประทับร่างด้วย ... บอกตามตรงเลยนะเราไม่เชื่อเพราะเท่าที่เราทราบมามันจะมีอะไรที่บ่งบอกในความพิเศษอยู่ว่าใครเป็นใคร ... เอาเป็นว่าเขาไม่ใช่ หรือ ก็เคยใช่มาก่อน ...

    .... พอเรากลับเข้ามาในห้องรู้ไหม๊คะว่าเราพูดอะไรบ้าง ... คำแรกที่เราพูดออกมาว่า .. " นี้หรือคะคนที่ปู่เลือก เปรียบเสมือนตัวแทนของท่าน .. ทำไมมันเลวอย่างนี้ .. " ขอบอกว่าตอนนั้นฟิวนี้เลยคะ .. เสียความรู้สึกมาก ๆ ผิดหวัง มันเหมือนอะไรที่ถาโถมเข้ามา แต่มันก้เหมือนมีความว่างเปล่าอยู่ในนั้น เหมือนมันมีสองอารมณ์นะคะ คนหนึ่งเสียใจ อีกคนว่างเปล่าไร้ความรู้สึก ... มันเป็นอะไรที่อธิบายออกมาเป็นควมรู้สึกให้ฟังลำบากจริง ๆ คะ .. แล้วเราก้พูดแบบนี้อีกหลายครั้ง .. ร้องไห้ไปอีกสักพัก แล้วแฟนเราก็เดินเข้ามาหน้าดุ ๆ
    " หยุดร้องไห้ได้แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องร้องไห้ ปล่อยมันไป มันไม่มีค่าอะไรให้เสียน้ำตา "
    เขาบอกว่าเขารู้สึกหงุดหงิดตลอดเวลาที่เห็นการสนทนาเขาอยากไปดึงเราออกมาจากตรงนั้น แต่ก็ไม่ทำไม่รู้ทำไม .. ตอนที่เราเข้ามาร้องไห้ในห้องเขาก็บอกว่าหูของเขาได้ยินเสียงเราที่ร้องไห้แบบกรีดร้องเขาบอกว่าเสียงมันดังอยู่ข้างหู ... แต่คนอื่นไม่ได้ยิน มีเขาคนเดียวที่ได้ยิน แต่ช่วงนั้นมีลูกค้าเยอะพอเริ่มว่างเขาจึงเข้ามาดูเราด้วยความเป็นห่วง ...

    ... หลังจากวันนั้นเราได้คุยกับพี่ขาประจำ และ บอกแกว่าทำไมเราไม่ลุกหนีไปเสียเฉย ๆ เพราะเราเคารพ และ ให้เกรียจติพี่ขาประจำนั้นเอง และ ทำอะไรที่ไม่ควรลงไปก้เพราะเหตุนี้ .. เพราะเขามาด้วยกัน แต่คราวหน้าไม่แน่ พี่เขาก็เข้าใจ และบอกว่าเขาก็ไม่ชอบนะคนแบบนี้ที่มานั้งด่าพระด่าเจ้ามันไม่ใช่เขาทำไม่ถูก กับมาด่าครูผู้มีพระคุณของเราก็ไม่ควรแกก็ขอโทษเราด้วย เราก็บอกแกว่าไม่เป็นไรเราไม่คิดอะไรแล้ว ใครทำยังไงก้ได้อย่างนั้น ...

    .... อาเสี่ยคนนั้นกับพี่ขาประจำก็ยังมาที่ร้านเรานะ แต่เราตัดปัญหาไปเลยคือให้แฟน หรือ แม่บ้านไปแทนเราทำหน้าที่ตรงอื่นไปไม่สนใจ ... แต่เขาก็ยังมีหน้ามากวนแฟนเรา กับ แม่เราก่อนกลับ ... แต่เจอแม่เราสวนกลับแบบนิ่ม ๆ เหมือนกัน .. หงายเงิบไปเลย ... ไม่รู้จักยาย ... เสียแล้ว เห้อ ๆ
     
  17. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    คุณควรจะโมทนาสาธุกับเค้าที่ให้บททดสอบกับคุณมา ไม่ว่าพระหรือมารทดสอบมิใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญ คือ จิตคุณได้รู้เห็นเข้าใจและยอมรับสัจธรรมนั้นได้หรือไม่? และได้ธรรมะอะไรจากบททดสอบเหล่านั้นบ้าง?

    “สติสมาธิปัญญาของผู้เจริญธรรมมีมากฉันใด บททดสอบที่เข้ามาทดสอบบีบคั้นจิตใจเราให้เศร้าหมองเป็นทุกข์ก็ย่อมมีมากฉันนั้น” สติที่ไม่มั่นคงต่อเนื่อง ยามเมื่อเจอสิ่งเร้ามากระทบทั้งภายในภายนอก ย่อมส่งผลดึงอารมณ์ของจิตใจให้มีมุมมองความคิดที่ขุ่นมัวไม่แจ่มใสไม่ทรงอุเบกขาและไม่บังเกิดปัญญาพิจารณาเห็นตามสภาพความเป็นจริงหรือสัจธรรมของสิ่งกระทบนั้น เนื่องเพราะเราเอาสิ่งกระทบนั้นมาใส่ใจและแบกรับเอาไว้ในจิตเรา จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเกิดทุกข์เกิดความเศร้าหมองในจิต สัจธรรมจึงมิเห็น ปัญญาพิจารณาจึงมิมี จึงมิเห็นรู้เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งจริงแท้ การอ่านฟังมิช่วยให้จิตเราเข้าใจโดยแท้ มีเพียงจิตผู้เห็นรู้เข้าใจและยอมรับโดยเนื้อแท้เท่านั้น จิตจึงจักรู้สึกแจ้งสว่างจากภายใน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2013
  18. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    สาธุคะ .. ท่านมหา ... ในคำแนะนำ ...

    .... ในชาตินี้ดิฉันไม่หวังจะบรรลุถึงนิพพาน หรือ สัจจะธรรมในแนวปล่อยวางทางสันโดษเพื่อหลุดพ้น ... มันยังไม่ใช่ตอนนี้ .. และ ทุกครั้งที่ผ่านอะไรดิฉันจำ และ เอามาเป็นบทเรียนสอนตนเองเสมอ .. และ ความจริงคนประเภทนี้เสี่ยคนนี้ก็ไม่ใช่คนแรกที่เจอด้วยคะ เพียงแค่มีความรู้สึกหวังดีอยากเตือนเขาในสิ่งที่เขากำลังทำ เพราะมันจะเปลี่ยนชีวิตของชายคนนี้ไปตลอดกาล หรือ เขาอาจได้ตั๋วรถด่วนฟรีลงนรกเที่ยวแรกก็ได้ ... เพราะเมื่อเขามองไม่เห้นความหวังดีที่เราหยิบยื่นให้ ดิฉันก็ไม่ตื้อเขาหรอกคะ ... เสียเวลาเปล่า ๆ เอาความหวังดีนี้ไปให้คนที่เขาต้องการจริง ๆ ดีกว่า ... อยากให้เขากลับตัวได้ในตอนที่มีโอกาสอยู่เท่านั้นเอง .... ที่ร้องไห้เพราะเสียดายคะ เสียดายโอกาศที่เขาทิ้งไป เสียดายที่เขาเหมือนคนมีความรู้ความสามารถแต่ไม่รู้จักใช้ในทางที่ดี ที่เหมาะ ที่ควร ..... แต่ก้อย่างว่าละคะ ชายคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ทำตัวแบบนี้ ... จุดจบก็เดาได้ไม่ยากเช่นกัน

    ..... การที่คนเราได้รับสิ่งดี ๆ มีค่ามาก ๆ ในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ... แต่การจะรักษามันไว้ให้ได้ตลอดมันยากกกว่า ... แม้แต่จิตใจสติของตนเองก็ตาม ... มันไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์

    ... คนเราต่อให้ก่อนหน้านี้มาจากที่สูงแค่ไหน หากในชาติภพปัจจุบันทำตัวไม่ดี ไม่ตั้งมั่นในศีลธรรมอันดีงาม จิตใจสกปรก มือถือสากปากถือศีล ไม่สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน .. หรือ ต่อให้มีเทวดารักษาประจำกายดีแค่ไหน .. ถ้าทำตัวผิดจากแนวทางของท่านผู้นั้นไปแล้วท่านก็ไม่อยู่หรอกคะ นอกจากจะเป็นกรรมที่ผูกมัดไว้ร่วมกันเท่านั้น ...
     
  19. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .... บททดสอบสำหรับเรายังมีอีกมาก และ จะเข้มข้นขึ้นแน่นอนคะ .. เมื่อเลือกเดินเส้นทางสายที่ตัวเองเลือกแล้ว .. เท้าข้างหนึ่งอยู่ใน นรก ส่วนอีกข้างอยุ่สวรรค์ ... แต่เราก็ได้เลือกแล้วว่าตัวเองจะเดินทางไหน เพราะไม่อยากเสียโอกาสที่ตัวเองได้ไปอีกแน่นอน .. ส่วนคนอื่น ก็คงเป็นไปตามวาระ และ กรรมที่มีร่วมกันมาเท่านั้น ... จะได้หมดสิ้นกันไปในเร็ววันไม่ต้องมาพอกพูนไปเรื่อย ๆ

    .... หวังว่าความรู้ และ ประสบการณ์ที่ได้นำมาเล่าให้ฟังนี้ คงพอมีประโยชน์กับหลาย ๆ ท่านบ้างในแง่มุมหนึ่งนะคะ ... อย่างน้อยก็ไม่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปสี่ยงโดยไม่จำเป็นเพราะบางครั้งอาจจะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปก็ได้ .... เพราะบางเรื่องในตำรากับสถานการณ์จริงมันอาจไม่เหมือนกันก็ได้ ... อย่างน้อยเรานี้แหละขอยืนยันว่ามันไม่เหมือนกันไปทุกอย่าง

    ..... แต่อย่างน้อยอยากขอให้ทุกคน มี สติ และ ใช้ปัญญาในการพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป เพราะบางเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่มีทางให้เราเดินกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้นะคะ


    .......... เราเตือนคุณแล้ว !! .................
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ..... แต่อย่างน้อยอยากขอให้ทุกคน มี สติ และ ใช้ปัญญาในการพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป เพราะบางเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่มีทางให้เราเดินกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้นะคะ

    .......... เราเตือนคุณแล้ว !! .................


    เลือกไปแล้วจ้า...
    จะขอเดินตามรอยพระบาท ของพระศาสดา...
    "สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า...
    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า...
    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระอริยะสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า..."
    ................
    แม่กาลีนะ นี่ประสบการณ์ ร่างทรงองค์เทพเยอะดีนิ... ไปลุยมา ร้อยเจ็ด สิบเอ็ดซอย...
    ประสบการณ์ขนาดนี้เนี่ย..วันร้ายคืนร้าย รวมเล่มขายได้เลยนะ...

    อีกประสบการณ์นึงที่แม่กาลีนะ ยังไม่เคยลอง....
    คือว่าพาร่างทรงองค์เทพฯ องค์เดียวกัน เช่นทรง เจ้าแม่กาลี ทั้ง 3 ร่างทรง...เอามาประทับทรงคุยกัน...หรือว่า ทรงเจ้าแม่กวนอิมมา 3-4 ร่างมาประทับทรงคุยกัน...จะเป็นยังไงนะ...

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...