พลังงูไฟ( กุลฑณี )

(verygood) (verygood) (verygood)

ใช่แล้วฮะ ไม่นานนักลมปราณที่ไม่กลับเข้าที่มันจะค่อยๆ สลายไปเอง
ภายในประมาณนั้นละ ๓ ถึง ๕ วัน ช่วงที่ตื่นตัวแรกๆ ก็เห็นความชัดเจน
ว่ามันตื่นขึ้นมีกำลังมากอยู่ และเมื่อคั่งค้างก็มีปัญหาอยู่


ปัญหามันอยู่ที่ เวลามันเคยตื่นครั้งหนึ่ง
แล้วมันมักจะเผลอตื่นอีกบ่อยๆ แล้วไปทาง
เดิมเสียด้วยสิฮะ เวลาติดขัดก็มักติดขัดที่เดิม
จนกว่าจะจัดการให้มันไปได้สะดวก ทีนี้มันเลย
รบกวนการใช้ชีวิตปกติประจำวันของเราสักหน่อย


โดยที่บางท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นผลมาจากเรื่อง "ปราณ"
ผมเลยคิดว่าทุกคนมีลมปราณ ถ้าขาดลมปราณก็ตาย
เหตุไฉนไม่เรียนรู้เสียเลยเล่า? จะได้เข้าใจตนเอง


แต่ที่ขู่ๆ ไว้เบื้องต้น ก็เพื่อทดสอบจิตใจผู้เรียน
เพื่อให้วิชชาแก่ผู้ที่ควรแก่เวลาจะได้เท่านั้นเองละฮะ

 

คนขายธูปครับ คือผมมีปัญหาอีกอย่าง 1อ่ะครับ กำลังนอนอยู่ดีๆๆมือขวามันดีดขึ้นเฉยเลย เหมือนกำลังจะยกมือขึ้น แล้วก็ตกมาใส่พื้น ตอนแรกอะไรหว่า สมองยังไม่ได้สั่งเลย มันดีดเฉย เป็น 3ที เลิกนอนเลยที่นี่ แล้วเวลายืนตัวตรง แล้วหายใจธรรดา มือทั้งสองข้างมันดันขึ้น (มือนี่อยู่ตรงกับกระเป๋ากางเกง)เหมือนกำลังจะกางปีน หายใจออกมือมันดันขึ้น คล้ายๆๆกางปีกอ่ะครับ หายใจเข้ามันก็หยุดดัน เวลาหายใจก็ปล่อยตามสบายไม่ได้บังคับเลย และเวลาแปมือเหมือนกัน มันก็จะดันออก คือมืออยู่ทิศไหนก็ชั่งแปมือ แล้วมือมันจะโดนดันให้ถอยหลังเรื่อยๆๆ(ถอยหลังก็คือหลังมือ) เวลาแปมือ รู้สึกจะมีลมปราณออกมาด้วย แต่ผมไม่รู้วิธีหยุดอ่ะครับ เพราะถ้าแปมือแล้ว ไปเกร็งให้มือไม่ขยับไปตามมัน จะมีลมหนาๆๆที่ฝ่ามือ พอจะรู้สาเหตุมั้ยครับ

 

สิ่งที่ผมตอบนี้จะอ้างอิงตามหลักพุทธทั้งหมดนะครับ

๑. อาการอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น แยกได้เป็น อาการ "กาย" อาการ "เวทนา"
อาการ "จิต" อาการ "ธรรม" เมื่อคุณมีสติดีอย่างที่ผมอ่านก็เห็นว่าสติตื่นดี
คุณจะเริ่มละเอียดอ่อนที่พอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ได้ในร่างกาย
เราเอง หากคุณ ปีติ มันเป็นอาการทั้งกายและจิตกึ่งๆ กัน อาการปีตินั้นมีบอกไว้
ในไตรปิฎก เช่น ขนลุกซู่, เห็นแสงวูบวาบ ฯลฯ แต่อาการของคุณ เป็นอาการ
"กายในกาย" หรือ อาการของ "กายทิพย์" ซึ่งก็เกิดจากลมปราณที่ไหลเวียน
ในกายทิพย์ มีการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง อย่าตกใจ ให้ใช้ "สติ" ดูไปตลอด ดู
"กายในกาย" นี้ตลอด ว่าเกิดอะไรบ้าง มีอะไรบ้าง เปลี่ยนไปอย่างไร ใน
สถานการณ์อย่างไร ก็จะรู้ "เหตุเกิด" และ "เหตุดับ" ของการเคลื่อนไหวของ
"กายในกาย" อาการพวกนี้ไม่ใช่อาการ "เวทนา" และไม่ใช่ "จิตอย่างเดียว"

๒. อาการที่ร่างกายขยับเองโดยที่ใจไม่ทันได้สั่งนั้น ผมเองก็เป็นอยู่บ่อยๆ แต่
ไม่ต้องตกใจ ไม่ได้ทำร้ายเรา ให้เรียนรู้ "กาย" นี้ ไม่ใช่ "ตัวตนของตน" การที่
กายขยับเองได้นั้น บางครั้ง เป็นการปรับสมดุลของกายเนื้อ เช่น กระตุกเพราะ
โดนเข็มตำ แต่ที่ไม่มีอะไรโดนกายเนื้อเลย แต่กระตุกเองก็เป็นผลจาก "กายใน"
กายในนั้น ก็เคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของลมปราณในร่าง ผมคิดว่า คุณ
มี "ลมปราณสายหนึ่ง" ที่กำลังตื่นตัว แสดงตัว และต้องการทะลวงออกนะครับ

๓. เวลาแผ่มือออก บางครั้ง ลมปราณในร่างอาจดันออกมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นธรรมชาติ ให้ตั้งสติดู "ธรรมในธรรม" อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล อย่า
สงสัย อย่ายินดี อย่ายินร้าย ตัดนิวรณ์ห้าให้หมด สักแต่ว่าดูเฉยๆ มันจะแสดง
อาการบอกเราเอง ว่า "มันเป็นปราณแบบไหน" ให้คุณเรียนรู้มัน ฝึกที่จะอยู่กับ
มัน และฝึกที่จะควบคุมมัน ใช้มัน พัฒนามัน ไปในทางที่เป็นสัมมาทิฐิแต่ส่วน
เดียว ศิษย์น้องผมมีลมปราณคล้ายคุณ ผมจะยังไม่เฉลย ขอให้คุณตั้งสติดูไป


ให้สังเกตุ "ธาตุสี่" ของสิ่งที่อยู่ใน "กายในกาย" ของคุณสิครับ
คุณมองไม่เห็นลมปราณ แต่สัมผัสมันได้ ในรูปของ "ธาตุทั้งสี่"
ดูว่า มัน ร้อน หรือเย็น เคลื่อนไหว หรือหยุดนิ่ง ตึงหรือหย่อน
เกาะกุมเหนี่ยวแน่น หรือฟุ้งกระจาย มีมวลไหม? หรือเป็นประจุ?


สักแต่ว่าดูให้ชัด ไม่ต้องเอานิวรณ์ห้ามาปน
ดูไปเรื่อยๆ จะเกิดปัญญาญาณ เข้าใจถึงกายในกาย
ธรรมในธรรม จิตในจิต ฯลฯ สุดท้าย หลอมรวมเป็น


"มหาสติปัฏฐาน" ด้วยการฝึกลมปราณ
มันมีอะไรที่พิเศษเยอะนะ ขอให้คุณตั้งใจดูต่อไป

(bb-flower (bb-flower (bb-flower

 

อ้าวคุณ ThesLong


ผมมีกระบวนท่าพิเศษให้คุณลองไปฝึกออกกำลังกายดู
ยืนตัวตรง ขาทั้งสองข้างห่างกันประมาณหนึ่งศอกพอดีๆ
งอเข่าเล็กน้อยไม่ต้องหย่อน แต่ไม่ต้องตึงเกินไป
วางมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัว แต่อย่าให้มือถูกลำตัว
หงายฝ่ามือขึ้นทั้งสองข้าง


หายใจเข้าสูดให้เต็มปอด แล้วแหงนหน้าขึ้นฟ้าช้าๆ
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับนกที่จะโบยบินอย่างอิสระ
จนมือทั้งสองข้างชูยืดอยู่เหนือหัว ให้รู้สึกลำตัวยืดตึง
ทำท่าราวยกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นสูงสุด
เหนือเศียร แล้วพอสุดลมหายใจกลั้นไว้นิดหนึ่งหลับตา
(หลับตาตลอดในช่วงฝึกใหม่ๆ เพื่อดูสิ่งต่างๆ ในกาย)
เงยหน้านิดหนึ่ง ราวกับใช้ตาที่สามจ้องรับพลังจากพระ
พุทธเจ้า


หายใจออก ให้คลายมือทั้งสองข้างลงบิดข้อมือออก
ให้ฝ่ามือออกนอกลำตัว ราวกับจะดันร่างทะยานขึ้น
จากผิวน้ำเพื่อว่ายไปอย่างอิสระเสรี แล้วจิตนาการ
ว่าแสงธรรมแสงทิพย์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เปล่งรัศมีออกจากรอบตัวเราไร้ประมาณ จากฝ่ามือ
ทั้งสองข้างอย่างไร้ประมาณพร้อมหายใจออกจนสุด
ลมหายใจออก ก็สงบนิ่งราวน้ำนิ่งไม่ไหวติงค่อยเริ่มใหม่


นี่คือ "หนึ่งรอบการหายใจ" ให้ลองทำดู ๓ ถึง ๕ รอบ


สบายดีไหม? รู้สึกอย่างไรบ้าง ทำแล้วมาเล่าให้ฟังหน่อยนะ
อิๆๆ...

 

ลืมบอกไปครับ ผมสามารถทำให้มีแสงสีขาวๆๆคล้ายๆๆควัน ออกมาจากมือของผมได้ คนธรรดาก็สามารถมองเห็นได้ ทำได้แต่สีขาว เวลามันลอยออกมาจะเหมือน มันจะลอยขึ้น คล้ายๆๆไอน้ำ ตอนแรกโชว์ให้เพือนดูก็ตะลึงกันใหญ่ ไอ้เราก็พองโตเลยที่นี่ คิดว่าโหทำมั้ยเรามันสุดยอดขนาดนี่ นี่ขนาดไม่มีอาจารย์นะเนี่ย ยังโหด ถ้ามีจะขนาดไหน แต่ไปๆๆมาๆๆคิดอีกที่ ยังไงตูมันก็คนบาปวันยังค่ำแหละถึงได้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ก็เลยไม่โชว์ให้ใครเห็น แล้วเรื่องธาตุทั้ง4 ผมลองมั่วดูแล้ว แต่ไม่รู้จะถูกตามแบบพี่หรือปล่าว- - วันนี่มือมัน ดีด 2ข้างเลย พี่ครับผมทดสอบ 3 ครั้ง ครั้งที่3 ดันงูไฟไปถึงแค่จักรที่6 เองอ่ะครับ คือตอนที่คอแล้วดันขึ้นไปมันไม่เย็นแล้ว มันเหมือนมีอะไรกลมๆๆเล็กๆๆคล้ายๆๆฟองน้ำ เข้าไปในลำคอแล้วดันตรงไปกลางสมองอ่ะครับ คล้ายๆๆฟองน้ำดันขึ้นผิ้วน้ำอ่ะ จะรู้สึกได้เลย ดัน 4ครั้งพอเลย ขี้เกียจฝึก ฝึกครั้งละ 5นาทีพอ

 

อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล อย่าสงสัย อย่ายินดี อย่ายินร้าย
ตัดนิวรณ์ห้าให้หมด สักแต่ว่าดูเฉยๆ

 

ทำมั้ย คนขายธูป ถึงโดนแบนละครับ
หลังๆๆผมไม่ค่อยได้เข้า แล้วท่าทีให้ทำ ตอนคิด ยกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ มันรู้สึกมีพลังบางอย่าง ที่หนาและหนัก แล้วตอนจิตนาการว่าแสงธรรมแสงทิพย์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งรัศมีออกจากรอบตัวเราไร้ประมาณ รู้สึกจะขนลุกเลยที่นี่ เจออะไรเย็นๆๆรอบตัว แล้วก็เหมือนมีอะไรมาหุ้มตัวเรา คล้ายๆๆเราอยู่ในฟองสบู่ละกัน แต่มันก็สบายดี ร่างกายมันผ่อนคลาย แต่ผมทำแค่ 2ครั้งเองอ่ะครับ ไม่อยากทำเยอะ ขอบคุณครับ

 

-*-

 

นั่นสิครับ!

จริตหรือการแสดงออกของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าข้างในเขาเป็นเช่นไร

"เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์กับโลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะให้คนมีดีแต่ส่วนเดียว อย่าไปเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนกับหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยดูแต่ดีมีคุณจริง"

แม้แต่ตัวเรายังมีทั้งดีทั้งไม่ดีเลย จงอย่าไปตัดสินคนอื่นจากกระทำหรือการแสดงออกของเขาเลย มันจะเป็นเวรเป็นกรรมเปล่าๆ

ผู้มีศีลทั้งหลาย
กายกรรม...วจีกรรม...มโนกรรม
พึงสังวรณ์

ขอฝากไว้ให้พิจารณาด้วยครับ

 

ใครรู้วิธีหยุด จักระ 1 มั้งครับ ช่วยบอกด้วย ผมจะกระตุ้นจักระอื่น จักระ1มันทำงานเฉย เวลาอยู่เฉย มันก็กระตุ้นเอง ซะงั้น แล้วเวลาทำสมาธิ ตรงกลางอกมันกระตุ้นเอง อ่ะครับ เขาเรียกว่าอะไรหว่า ช่วยบอกหน่อยนะครับ

 

สงสัย

ตกลงว่าถ้าฝึกแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์อะไรครับ รึว่าเป็นการฝึกร่างกาย เหมือนกับโยคะครับ ถ้าใครรู้ช่วยตอบผมด้วยที่ anocha_pug@hotmail.com ขอบคุณครับ:d :d :d :d :d :d

 

นั่นหนะสิครับ
ทำไมคนขายธูปจึงถูกแบน

ไม่ได้ตามอ่านก็เลยไม่ทราบหนะครับ

 

ขอเสริมนิดเดียวครับ ฝึกพลังุณทารินี เผาเทวดาไม่ได้ เพราะเป็นพลังของทางโลก แนวลมปราณแบบหนังจีน
แต่กสิณไฟ แม้แต่เทวดาต้องหลบ ..............ลองพิจารณาดูนะครับ(b-glass) (b-glass) (b-glass) (b-glass)

 

กระทู้นี้เคยดัง และให้ประโยชน์และข้อควรระวังแก่ผู้ชอบฝึกแบบผิดๆถูกๆ

ขออนุญาตดันๆๆๆๆ

 

ดีครับ
และก็..พอดีมีคน PM มาถามผมเรื่องนี้ด้วย
ทั้งๆที่ผมไม่ใช่ผู้รู้อะไรเลย
ดังนั้นผมจะขออนุญาตส่งต่อไปให้
ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยตอบแทนนะครับ

สาธุ

 

ไปเรียกมาทำไม...

(sing)

อ้างอิงข้อความที่ซัมวันส่งถึง

...สวัสดีครับคุณ Chayutt

ผมเคยอ่านข้อความที่คุณ Chayutt เคย Post ไว้ในกระทู้ พลังไฟ กุณฑลิณี เลยคิดว่าคุณ Chayutt คงจะพอให้คำแนะนำผมได้

คือพักหลังเวลาผมนั่งสมาธิผมจะรู้สึกว่ามีความร้อนเกิดขึ้นในร่างกาย แล้วก็จะค่อย ๆ ร้อนขึ้น (แต่ไม่รู้สึกทรมานนะครับ) ร้อนจนเหงื่อซึม ผมเคยลองปรับแอร์ให้แรงและเย็นจัด ๆ แต่ก็ยังร้อนเหมือนเดิม และมีอยู่ครั้งหนึ่ง รู้สึกถึงความร้อนในตัวมาก และรู้สึกว่ามีความร้อนที่เกิดขึ้นบนฝ่ามือที่ประสานอยู่บนหน้าตักด้วย (แต่ผมไม่ได้ลืมตาดูครับ) รู้สึกว่าเป็นเหมือนเปลวไฟ เพราะความรู้สึกที่รู้สึกที่หน้าท้องที่หน้าอก และที่คางนั้น รู้สึกถึงความร้อนที่กระพือ (ไม่ได้นิ่ง) เหมือนเปลวไฟที่กำลังลุก มีสูงมีต่ำ มีเบามีแรง

ผมก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผมไม่เคยฝึกกสิณหรืออะไรเลย ทุกครั้งที่นั่งสมาธิก็แค่ดูลมหายใจเท่านั้น ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ที่ผ่านมาผมก็พยายามแค่เฝ้าดู แค่รู้เท่านั้นโดยพยายามไม่สนใจ แต่ความร้อนนั้นก็แรงขึ้นเรื่อยๆ และเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เลยตัดสินใจ PM มาถาม คุณ Chayutt เผื่อคุณ Chayutt จะช่วยแนะนำผมได้ว่าควรทำอย่างไร

อย่างไรขอรบกวนคุณ Chayutt ด้วยนะครับ




....


ความร้อนเย็นขณะนั่งสมาธิ อาจเป็นการแสดงออกของธาตุไฟก็ได้ค่ะ

ถ้าธาตุน้ำแสดง จะรู้สึกตัวหยุ่นๆ นุ่นๆ นิ่มๆ ใครมาอธิบายที
ธาตุดินแสดง จะหนัก ร่างกายขยับยาก (แต่ต่างจากอาการปัสสัทธิ นะ แบบนั้นจะหนัก สงบ แต่สบายตัวมากๆ)
ธาตุลมแสดง จะสบายๆ ตัวเบา คนจะชอบตอนธาตุลมแสดงตัว เพราะอาจเหาะได้
ธาตุไฟแสดง ก็จะร้อนๆ เย็นๆ วูบๆ วาบๆ


แต่ถ้ามีปราณ ปราณจะเป็นทั้งสี่ธาตุ ลื่นไหลเปลี่ยนแปลง
แต่การแสดงของปราณ ..จะคล้าย ธาตุไฟที่สุด คือร้อนเย็น

ที่ไม่เหมือน จะเป็นอาการซ่าๆ ซ่าๆ ไปทั่วตัวตัวได้ค่ะ ถึงเรียนว่าปราณเดิน
คือถ้าปราณทะลวงไปทั่วเจ็ดจักระแล้ว จะสามารถเดินปราณได้ทันที เรียกว่าสามารถรู้ได้เลย

คนที่เดินปราณบ่อยๆ จะมีคลื่นรุนแรงมาก ถ้าเคยดูหนังจีนนะ
แต่ถ้าไม่ค่อยฝึก ก็ต้องใช้เวลาเข้าสมาธินานอยู่ค่ะ


ขอขอบคุณคุณชยุต ที่ใช้บริการค่ะ ^___^ *
อนุโมทนากับคุณชยุตด้วยค่ะ

 

หลายๆคนในกระทู้นี้ที่สนทนาธรรมกัน ผมยอมรับว่า อ่านแล้วจิตรู้สึกถึงสภาวะธรรมที่ท่านพิมพ์ออกมาได้ทันทีเลย นับว่าบุคคลที่สนทนาในกระทู้นี้ มีทั้งปริยัติ และ ปฏิบัติ และ ได้ปฏิเวธ ในระดับหนึ่งเลยครับ ขอคารวะ

น่าเสียดายที่ท่านเหล่านั้นไม่มาพูดคุยกันอีก เวปนี้คงจะน่าอ่านขึ้นเยอะมากๆๆๆๆๆ

แต่ที่เห็นอยู่ๆตอนนี้คนที่อวดอ้างว่าตนมีธรรมะ กลับไม่ได้กระเพียกหนึ่งของผู้คนในกระทู้นี้ที่สนทนาธรรมกันเลยสักนิด

ผมถึงว่าอ่านกระทู้พวกที่ใช้ศัพท์แสงธรรมะ แต่ใช้จิตอ่านแล้ว คนพวกนี้สภาวะธรรมไม่ได้ไปไหนเลยจริง ดีแต่ปริยัติ ปฏิบัติไม่ค่อยทำ วันๆเอาแต่จ้องหน้าจอ จับผิดคนอื่นๆที่พูดผิดหลักที่ตนศึกษามา น่าขันจริงๆ สุดท้ายก็เป็นแค่ทัพพีตักแกง ไม่ได้รู้รสแกงที่แท้จริง

ใครอยากเป็นทัพพีก็เป็นไปเถอะ ใครอยากได้ลิ้มรสก็ลิ้มกันไป ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น

ผมแนะนำว่าใครอยากได้ข้อมูลจากผู้ที่ ทั้งปริยัติ และ ปฏิบัติอย่างเข้มข้น ศัพท์แสงที่ท่านใช้ มาจากการปริยัติที่แตกฉาน และ ปฏิบัติที่เข้มข้น ไม่เหมือนพวกกระจอกงอกง่อย แล้วทำอวดทำเบ่งเหมือนในเวปนี้แน่ครับ

เชิญท่านทัศนาแล้วท่านจะรู้ว่า พวกอวดดี กับ คนที่มีของดีจริงๆมันเป็นอย่างไร อ่านแล้วเข้าถึงสภาวะได้เลยจริงๆ เหมือนสมัยก่อนที่เวปนี้เคยเป็น ปราชญ์ของจริงๆอยู่นี่ครับ

http://larndham.net/

 

สังเกตุว่าพวกปากดี ชอบใช้ศัพท์แสงธรรมะที่ตัวเองรู้งูๆปลาๆผิดๆถูกๆ จะไม่ค่อยมาแตะ กระทู้ปฏิบัติ เพราะพวกนี้รู้แค่ปริยัติงูๆปลาๆ เจอของจริงก็หัวหด 5555 น่าขันจริงๆๆ

ถ้าโง่แล้วไม่อวดรู้ก็ยังพอว่า แต่นี้โง่แล้วยังอวดรู้ เจอของจริงก็ย่อมที่จะหดหัว 5555

 

คนขายธูปหายไปไหน อยากรู้เรื่องการระบายพลังที่คั่งค้างตามจักระครับ
ใครรู้ช่วยบอกวิธีด้วยครับ

 

คุณ Chayutt และ คุณ Ruamjit

ตอบให้แล้วนะครับในกระทู้
" รบกวนผู้รู้เรื่องจักระ" ของคุณ Ruamjit