จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พึ่งหยั่งอาวุธ คือ ปัญญาลงตรงที่ข้าศึก คือ กิเลสและกองทุกข์อยู่จึงจะได้ชัยชนะ กิเลสและกองทุกข์ทั้งมวลไม่มีนอกเหนือไปจาก"เบญจขันธ์" ฉะนั้นจึงทราบว่าข้าศึกอยู่ที่นั้นอย่าลดละ "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" หรือผู้วิเศษทั้งหลายอยู่ ณ ที่นั้นคือ "เบญจขันธ์"นั้นเอง เพราะอะไรเล่า? ก็เพราะจิตธรรมชาติวิเศษสิงสถิตอยู่ในเบญจขันธ์นั้น การพิจารณาอย่างนี้ตรงตามพุทธประสงค์ และตรงตามความหมายของธรรมแท้ไม่ผิด อย่ากังวลในความเป็นอยู่หรือความจะแตกตาย เพราะนั้นเป็นอจิตไตร เหนือความคาดหมาย ให้กําหนดลงที่ความเป็นทุกข์ และความวุ่นวาย เพราะสิ่งนี้ก่อให้เกิดกิเลสในจิตให้ฟุ้งขึ้น เพราะความหลงกลมายาของกิเลส "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ทั้งสามนี้เป็นธรรมตายตัว ไม่เป็นไปตามความคาดหมาย หรือความปรุงแต่งของใครทั้งนั้น ฉะนั้นจึงหยั่งสติปัญญาลงไปให้เห็นธรรมตายตัวโดยชัดเจน จึงจะเป็นจิตที่ตายตัวไม่หลอกตน และจะหายกังวลในขันธ์ ซึ่งจะเป็นไปในหน้าที่แต่ละขันธ์ เรื่องกลัวและกังวลในขันธ์จะแตกดับ ก็คือการก่อไฟเผาตนและจิตให้กิเลสฟุ้ง และลุกลามไปนั้นเอง อย่างไรขันธ์ก็ต้องแตกดับแน่ๆ จะต้องพิจารณาให้เห็นขันธ์นี้ต้องแตกดับด้วยปัญญา เมื่อทราบชัดแล้ว ความรู้ที่แท้จริงจะไม่แตกดับตามขันธ์ ฉะนั้นท่านผู้รู้ในขันธ์ชัดเจนแล้วจึงไม่เดือดร้อน เพราะขันธ์จะตั้งอยู่ หรือดับไปเมื่อไร นี่คือ หลักพิจารณาอย่างแท้จริง และความรู้ที่แท้จริงต้องเป็นอย่างนี้ อย่าให้ส่ายแส่ไปในอคีดอนาคต ให้อยู่ในวงปัจจุบันนั้นเป็นกฏความจริงที่จะรื้อถอนกิเลสโดยสิ้นเชิง นอกนั้นคือเรื่องกงจักรหมุนรอบตัวเราเอง...พึงทราบไว้อย่างนี้ตลอดกาล
    ที่มา ธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ธรรมะเป็นกระจกเงาที่เรายกขึ้นมาส่องดูตัวเราได้ พิจารณาตัวเราได้"

    ...เพื่อแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเองได้...

    ...ถ้าเรามีธรรมะเอามาส่อง เราจะรู้เห็นสภาพความเป็นจริง คนที่ไม่เคยดู...

    ...กระจกก็ไม่รู้ว่าตัวสกปรกแต่พอไปดูเข้าก็ตกใจ...เหมือนกับคนที่ไม่เคยฟังธรรมะ...

    ...ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสภาพอย่างไร... ชีวิตจิตใจเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่เป็นอย่างไร...

    ...ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ...แต่พอมาฟังธรรมะเกิดความรู้สึกตัวก็เปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนจิตใจ นี่ก็...

    ...มีตัวอย่างมากมายในครั้งพุทธกาล...ในปัจจุบันนี้ก็มีมากเหมือนกันที่ได้เปลี่ยนชีวิต...

    ...จิตใจใหม่ เขาได้เปลี่ยนจิตใจใหม่ เพราะว่าได้กระจกแผ่นใหญ่ มาส่องดูตัวเองถึง...

    -ได้เห็นตัวตนของตนเอง เห็นถึงความสกปรกที่ติดตัวเต็มไปหมด เขาจึงรู้สึกว่ากระจกแผ่น

    ...ใหญ่ที่เขาได้นำมาส่องดูตัวเอง เมื่อเขาเห็นแล้วเขาได้ใช้กระจกแผ่นนี้ มองตัวเอง แล้ว

    -ขัดสีฉวีวรรณ จนเขาได้เปลี่ยนจิต เปลี่ยนใจ ก็เพราะกระจกแผ่นใหญ่นี่แหละ จริงๆแล้ว

    -ทุกคนต้องส่องกระจกกันทุกคนเพื่อดูความเรียบร้อยของตน แต่ไม่ได้ส่องถึงข้างในดูแต่

    ...ความสวยงามภายนอก ผู้ที่เขามีจิตใจเปลี่ยนไปก็เพราะว่าเขารู้ว่ากระจกแผ่นนี้คือ...

    -กระจกสองทางให้เขาได้มีสิ่งดีๆ ได้ปฏิบัติธรรม เพราะกระจกแผ่นใหญ่นี้คือตัวธรรมะค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  3. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    ขอโมทนาบุญกับกับจิตบุญดวงที่ ๑๓๘ และคุณครูผู้ฝึกสอนทุกท่านค่ะ สาธุค่ะ
     
  4. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    เรียน อาจารย์เกษ

    ในเมล์ที่อาจารย์ส่งมา ดิฉันได้อ่านแล้ว ได้ส่งข้อมูลใหม่ให้แล้วแต่เป็น File ใหม่ เพราะทำอย่างอาจารย์ไม่เป็นค่ะ ดิฉันเลยมาส่งข้อมูลในนี้อีก ดิฉันฝึกจิตเกาะพระอีก โดยใช้วิธีแยกจิตกับกาย สติยังไม่ต่อเนื่อง โดยใช้จิตกำหนดนึกให้ภาพพระมาซ้อนทับกับตัวเราทั้งร่างกาย ผลปรากฏว่าจิตก็ม้วนมาตั้งแช่เหมือนเดิม (สงสัยจะเป็นคนสอนยาก) แต่พอลองวิธีที่อาจารย์ห้ามสติกลับตั้งมั่น แจ่มใส รู้สึกว่าสติต่อเนื่องและนานมากขึ้น โดยวิธีนี้นะคะ กำหนดจิตภาพพระซ้อนทับกับตัวเรา ระลึกถึงภาพท่านแบบสบายๆ ภาวนาไปด้วย ทำความรู้สึกที่กระดูกในร่างกายไปด้วย แล้วสติตั้งมั่นดีและรู้สึกว่าอยู่นานมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ จะทำอย่างไรดีค่ะ ขออนุโมทนาบุญ
     
  5. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    จิตนิ่ง ก็คือเขา ไม่เอาอะไรแล้วมีแต่การกระทำ..แต่ไม่มีผู้กระทำ
    สภาวะนี้ใช้ภาษาสมมุติว่า"การเจริญวิมุตติ"
    เป็นสภาวะที่ไร้การปรุงแต่งทั้งปวง(ไร้ผู้กระทำ)
    จึงยุติวงจรปฎิจจสมุปบาท(การเวียนว่ายตายเกิด)
    หมดสิ้นกฎเกณฑ์อิทัปปัจจยตา(ปัจจัยแห่งการสืบเนื่องเหตุและผล)
    ...สภาวะนี้ จิตจะเฉยๆ ไม่เจริญสมาธิ ไม่เจริญปัญญา ไม่เจริญอุเบกขา
    ไม่มีการจดจ่อ ไม่ตามดูตามรู้กำหนดอะไร
    จิตจะว่างจากการเปลี่ยนแปลง
    ว่างจากทุกๆการปรุงแต่งที่เกิดจาก"เรา"อย่างสิ้นเชิง
    จิตจึงพ้นไปจากสมมุติบัญญัติใดๆ แต่จะรู้แบบปรมัตถ์ คือรู้ๆๆๆๆไปเรื่อยๆอย่างอธิบายไม่ได้
    ...นี่ไม่ใช่การควบคุมจิต ไม่ดับ ไม่ข่ม ไม่หยุด
    ไม่พิจารณาทำความเข้าใจอะไรทั้งสิ้น
    ไม่ว่าท่านจะปฎิบัติอะไรมามากมาย ก็มาจบที่สภาวะนี้
    ......ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เคยสอนธรรมนี้
    ให้ชายผู้หนึ่งที่มีภูมิธรรมสูงชื่อว่า"พระพาหิยะ"
    .......เห็นสักว่าเห็น...
    .......ได้ยินสักว่าได้ยิน...
    .......รู้ก็สักว่ารู้....
    .....รู้แจ้งก็สักว่ารู้แจ้ง......
    สักแต่ว่า หมายถึงไม่มีตัวตนไปปรุงต่อ
    "เมื่อเธอไม่มี โลกนี้ โลกหน้า ระหว่าง2โลกไม่มี"
    ปลดปล่อย... วาง... ว่าง...
    วางตัวรู้.. คือรู้แล้ววาง... แค่นั้นจริง จิ๊งงงงง... สาธุค่ะ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ร่างกายกับจิตใจนี่แบ่งเป็น ๒ เรื่องก่อน เรียกว่าเป็นรูปกับนาม

    -รูป คือสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาท ๕ ตาดูได้ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูก

    ...ต้องได้ สิ่งนั้นเรียกว่าเป็นรูป อะไร ๆ ที่เราสัมผัสด้วยประสาท ๕ ได้ ก็เรียกว่าเป็นรูป

    -ขึ้นมา...ทีนี้รูปประกอบขึ้นมาด้วยอะไร รูปประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ...

    ...ธาตุไฟ ธาตุลม ะาตุทั้งสี่มาประสมกันถูกส่วนถูกส่วนก็เป็นรูปร่างขึ้นมา ถ้าเราแยกออก

    ไป เอาธาตุทั้งสี่ออกไปเสีย แยกเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตูลม ไอ้ส่วนนั้นมันก็หาย

    ไปเหมือนกัน นี่เรียกว่าตัวหายไป...

    ...ทีนี้สิ่ที่ประกอบด้วยธาตุนั้น ในร่างกายเรานี้ ของใดเป็นของแข็งก็เรียกว่าเป็นธาตุ

    ดิน...ของเหลวก็เรียกว่าเป็นธาตูน้ำ ของที่ให้ความอบอุ่นก็เรียกว่าเป็นธาตุไฟ ของที่

    เลื่อนไปมาก็เรียกว่าเป็นธาตุลม ลมก็คือแก๊สที่มีอยู่ในร่างกายของเรา มันหมุนเวียนเปลี่ยน

    ไป เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้อง ลมในไส้ ลมที่พัดไปตามที่ต่างๆที่มี

    ช่องว่างก็เรียกว่ามีลม เรียกว่ามีแก๊สหรือมีลมในร่างกาย ส่วนของแข็งเป็นตัวประกอบ

    สำคัญ แล้วก็มีน้ำเป็นเครื่องประกอบ...ในร่างกายเรานี้มีครบทั้งสี่อย่าง มีดินคือของแข็ง

    มีน้ำคือของเหลว มีไฟคือความร้อน แล้วมีแก๊สคือลมอยู่ในร่างกาย ถ้าส่วนทั้งสี่นี้ประชุม

    พร้อมเพียงกันอยู่ร่างกายก็เป็นปกติ ถ้าหากว่าส่วนทั้งสี่อย่างนี้ประชุมเกิดไม่พร้อม ร่าง

    กายก็ผิดปกติ คือความเจ็บไข้ได้ป่วยความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นจากความผิดปกติของ

    ร่างกาย เมื่อร่างกายเราผิดปกติ มันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉนั้น การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น

    มันเป็นธรรมดา เม่ือถึงเวลา ธาตุทั้งสี่ที่มีอยู่กับตัวเรา ก็จะแตกสลาย เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม

    สูญสิ้นไป ตามธรรมชาติ ของคำว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมันเป็นธรรมดา ถ้าเรานำเอาธาตุ

    ทั้งสี่ ที่มีอยู่ในตัวเรานี้มาพิจารณา ให้เกิดปัญญา เราก็จะได้รับความรู้ จากธาตุทั้งสี่นี้ และ

    ทำให้ปล่อยวาง สังขาร และรับรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป...
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับคุณพี่มาลินีด้วยครับ
    ตามที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ชอบแล้วครับ
    ธรรมะจริงๆแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือความจริง คือพูดอะไรก็จริงตามนั้น
    โดยเฉพาะผู้เข้าถึงพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ย่อมไม่แตกแยกเป็นอย่างอื่น
    ส่วนใครจะแปลหรือเข้าใจอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้อ่านด้วย
    แต่ถ้าผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วย่อมเข้าใจสิ่งที่กล่าวมานั้น คือจิตเขาเข้าใจเอง
    โดยไม่ต้องอธิบายหรือไม่ต้องยกเหตุผลอันใดมากล่าวอ้างอีก
    นักปฏิบัติด้วยกันย่อมรับรู้และสัมผัสด้วยอารมณ์นั้นๆที่สื่อออกมาได้
    แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นั้นว่าจะพูดหรือไม่เท่านั้นเอง

    ขอฝากคำนี้ๆให้พิจารณากันด้วย
    นั่นก็คือ ความเข้าใจบนความไม่เข้าใจผู้อื่น
    แต่บางครั้งเรารู้อะไรก็พูดไม่ได้เช่นกัน นั่นเรียกว่า อุเบกขา
    กว่าจะรู้จักคำว่า อุเบกขาๆนั้นย่อมต้องผ่านปัญญาเสียก่อน
    อยู่ๆจะเข้าอุเบกขาๆไม่ได้หรอก อย่างมากที่สุดก็คือ ช่างหัวมัน ช่างปะไร
    อันนั้นทำไปเพราะว่า จำใจต้องตัดใจนั่นเอง จริงๆแล้วจิตยังไม่ยอมรับ
    แต่ก็ตัดใจหรือทำใจไปอย่างแร๊ะ เพราะไม่มีอะไรตามใจเราทุกอย่างนั่นเอง
    นี่ก็คือ อุเบกขาแบบชาวบ้านๆหรือชาวโลกๆนั่นเอง
    แต่อุเบกขาแบบอริยบุคคลนั้น จิตจะต้องปล่อยวางจริงๆ หรือจิตทรงพรหมวิหารจริงๆ
    แต่ถ้าจิตทรงวิหารกันได้จริงๆนั้นก็ย่อมให้อภัยผู้อื่นได้ง่าย แบบไม่ต้องใช้เวลามาก

    ความว่างของคนเราก็มีอยู่สามว่าง คือหนึ่งว่างแบบชาวบ้าน
    สองว่างจากอารมณ์ระงับชื่อคราว นั่นก็คือในขณะที่จิตเป็นสมาธิหรือว่าฌาน
    สามว่างจากกิเลสตัณหาอุปาทานอย่างสิ้นเชิงหรือว่างแบบสุญญตารมณ์
    พวกเราอย่าพยายามติดคำสมมุติกันมากนัก เพราะจิตจะไม่ไปถึงไหน
    ดูตัวอย่างพระอริยเจ้าท่านจะเทศน์ไปตามแบบฉบับของตนเอง
    แบบไม่ซ้ำกัน ตรงนั้นอย่าไปสงสัย เพราะไม่ต้องไปคิดแทนท่านว่าเป็นพระอรหันต์จริงหรือ?
    จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง ว่าแต่ว่า จิตของเรานี้อรหันต์หรือเปล่า?
    มาพิจารณาดูจิตตนเองก็เหมือนกัน ก็อย่าไปยึดกับคำๆว่าอรหันต์
    ถึงเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น เมื่อรู้แล้วแต่จะวางกันได้จริงๆไหม อันนั้นต้องไปตอบตนเอง

    เพราะฉะนั้นจะต้องยอมรับกันว่า จิตของผู้สื่อธรรมะนั้นก็มีตั้งหยาบกลางละเอียด
    แต่จิตของผู้รับสื่อหรือผู้อ่านนั้นก็มีทั้งหยาบกลางละเอียดเช่นกัน
    ความเลื่อมล้ำต่ำสูงตรงนี้พวกเราสังเกตกันบ้างไหม
    จะสื่อให้กันว่า จิตที่ละเอียดกว่าจะต้องเข้าใจจิตหยาบนั่นเอง
    จิตละเอียดเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ จิตหยาบก็เปรียบเสมือนเด็ก
    เพราะฉะนั้น แต่ถ้าผู้ใดรู้ว่าจิตตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้วย่อมไม่ไปกลั่นแกล้งเด็กนั่นเอง
    พร่ำไปพร่ำมาชักจะติดลม งั้นก็พอดีกว่า
    แต่ถ้าพร่ำไปแล้วไม่ไปเบียดเบียนหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็พร่ำไปเห่อ
    จะไปกลัวทำไม เพราะภาษาธรรม ภาษาษิตเป็นของเย็น ไม่มีพิษมีภัยกับผู้ใดดอก
    แต่ถ้าเป็นเขาเรียกว่า อธรรมแล้ว เห็นคนอื่นเลวไปหมดยกเว้นตนอันนั้นก็แย่เกิน
    แต่ถ้านักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรม หรือไร้ตัวตนจริงแล้วมันจะเห็นตนเองดีตรงไหน
    เพราะรู้กันไหมว่า การมีกายหยาบนั้น ไม่ผู้ใดสะอาดหรือบริสุทธิ์เลย
    ยกเว้นจิตผู้นั้น ที่สามารถแยกออกมาจากขันธ์๕เด็ดขาดแล้วจริงๆ
    แต่สติก็อย่าแยกออกจากกายหยาบนะ อันนี้แยกไม่ได้เลย
    เพราะเผลอสติเมื่อไหร่ เป็นอันเสร็จกิเลสมันทุกทีไป
    ตราบใดจิตยังไม่ถึงซึ่งคำว่าวิมุตติ ย่อมมีโอกาสหลงแน่ๆ อย่าประมาท
    คราวนี้หยุดพร่ำจริงๆ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโทษนะครับ
    บางครั้งผมก็ทำถูกใจ แต่บางครั้งผมก็ืำไม่ถูกใจ
    นี่แหล่ะผมกำลังแสดงธรรมให้พวกท่านทั้งหลายดู
    คือให้กลับไปดูจิตตนเอง ไม่ใช่ให้มาดูจิตผ๊ม โดยเฉพาะบางสิ่งบางอย่างมากระทบจิต
    ไม่ว่าจะทั้งถูกใจหรือไม่ถูกใจ พอใจหรือไม่พอใจ
    สองอารมณ์หรือธรรมารมณ์นี้ อย่าได้เอา อย่าได้มาถือเอาเป็นของตัวของตน
    เจริญปัญญาให้มากเดี๋ยวพ้นเอง
    และนี่ก็คือ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มันไม่ได้ดั่งก็เป็นทุกข์ แถมจะไปบังคับใครเขาก็ไม่ได้
    อย่าไปคิดเปลี่ยนคนอื่น เพราะนิสัยหรือสันดานตนเองก็ยังเปลี่ยนยากเลย
    แล้วเราจะไปคิดเปลี่ยนคนอื่นทำไม๊ จริงไหม
    เพราะฉะนั้น เราจะต้องใช้ปัญญานำหรือธรรมะนำหน้าเหตุผลหรืออารมณ์ต่างๆของตน
    โดยเฉพาะลูกพระตถาคตจะต้องทำปัญญาให้แจ้ง โดยทำจิตให้เป็นปัญญาญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติลูกเดียว
    สติเป็นเสมือนศูนย์กลางหยาบกับละเอียด หรือกายกับจิต
    จิตตกหรือว่าจิตเข้มแข็งหรือมีพลัง
    จิตจะเป็นสมาธิ จิตจะทรงฌานกันได้ต่อเนื่อง หรือทรงทั้งวันทั้งคืน
    ปัญญาจะมีมากหรือน้อย จะรู้สึกเป็นทุกข์มากหรือน้อย
    จิตจะบรรลุมรรคผลหรือนิพพาน ตายไปสุคติหรือทุคติ
    หรือจิตใครจะไปติดอยู่กับสิ่งใด
    หยาบ เช่น กิเลสตัณหา
    กลาง เช่น ติดสุขจากสมาธิหรือฌาน
    ละเอียด เช่น ติดนิมิต ติดอภิญญา
    ละเอียดยิ๊บๆ เช่น สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์หรือวิญญาณขันธ์
    หรือคราบมนุษย์
    ก็ขึ้นอยู่กับสติของเราทั้งนั้นเลย

    ว่าแต่ว่า เราขยันเจริญสติกันแค่ไหนมากกว่า
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เจอแน่ พบแน่ๆ
    นั่นก็คือทุกข์นั่นไง สุขนั่นไง
    ทั้งสองอย่างนี้ ถ้าใครไม่ฝึกจิต ไม่เจริญสติ ไม่เจริญปัญญาย่อมตามไม่ทันแน่
    ย่อมไม่เข้าใจแน่ ย่อมตามสิ่งกระทบแน่
    และผลสุดท้าย ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม ธรรมทั้งหลายพ้นไตรลักษณ์ไหม๊
    ไม่พ้นใช่ไหม นี่ไงทุกคนก็รู้จักกันหมดแล้ว ไม่ต้องมาว่าความหมายคืออะไร
    แต่สิ่งเดียวที่เรายังไม่ได้สัมผัสกัน นั่นก็คือ รสชาด รสพระธรรม
    แล้วมันจะสู้ได้ไหมกับคำว่า กินเองหรือดูเขากิน เห็นไหมเห็นชัดไหม
    แค่นี้เองที่อยากบอก เพราะอยากบอกที่ธรรมของเราที่ไม่เด่นชัด
    เอาการปฏิบัติจริงๆมาพูดกันดีกว่า อย่าไปท่องตำราแล้วมาพูดแข่งกัน
    อันนั้นน่าจะเอาไปใช้สอบเทียบปริยัติ นักธรรม นักเปรียญมากกว่าไหม
    การอ่านการท่องจำมันไม่ลึกซึ้งเท่าจิตเขาจำ
    อย่าลืมนะ สมองมีวันเสื่อง แต่จิตไม่มีวันสูญ ไม่ใช่เสื่อม
    เพราะฉะนั้น จงปฏิบัติให้มาก ท่องตำราน้อยๆ ถกเถียงกันต้องไม่มีเลย
    ยิ่งดูจริยาก็ยิ่งไปกันใหญ่ จิตติดแน่ ไปไหนไม่ไกลแน่ หรือไม่เจริญเท่าที่ควร
    เพราะการปฏิบัติจะต้องอยู่กับกายกับจิตของตนเอง(เท่านั้น)
    เพราะธรรมมันก็อยู่ภายในจิตใจของตนเองนี่แหล่ะ ใช่อื่นไกลที่ไหนเล่า
    นอกจากเห็นมีแต่ทุกข์ หรือสุขก็แค่ชั่วคราว(เท่านั้น)
    ภายนอกจิตคือของปลอม ของมายา ของสมมุติแทบทั้งสิ้น
    ผู้ที่มิได้ฝึกสติฝึกจิตย่อมตามไม่ทัน
    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า ทุกธรรมย่อมล้วนมีเกิด-ดับเท่านั้นเอง อย่างอื่นไม่มี
    หรือเกิดมาตั้งอยู่แล้วที่สุดก็ดับสลายไปเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้แทบทั้งสิ้น
    นี่คือธรรมชาติของแก่นธรรมหรือจิตคนเรา พระอริยเจ้าท่านจึงไม่เดือดร้อนกับใครเขา
    เห็นมีแต่จิตไม่นิ่งไม่เป็นสมาธิไม่มีปัญญาเท่านั้น ที่ยังวิ่งตาม แถมตามไม่ทันด้วย เราจึงไม่เข้าใจ
    จิตไม่เข้าใจเพราะจิตไม่มีปัญญา จิตไม่มีปัญญาเพราะไม่มีสมาธิ
    ไม่มีสมาธิเพราะไม่มีสติหรือว่าศีลนั่นเอง มันเป็นลำดับๆอย่างนี้
    แต่ถ้าเราเข้าใจธรรมจริงๆนะ จะตำหนิแต่ตนเองว่า ตรูนี่โง่จริงจิ๊ง
    ไม่มีเห็นว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นหรือ เราฉลาดคนเดียว นอกนั้นโง่หมด
    ผู้เจริญจงลองนำธรรมะนี้ไปพิจารณากันเอาเองเถิดแล้วจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม
    ผมก็เข้าใจทั้งคนที่เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ไม่มีปัญหาเพราะถึงใครมีปัญหา แต่ผมไม่มี ขอมีแต่ปัญญาเป็นของตนเองจะดีกว่า
    สงบภายในจิตของตนจะดีกว่า ดีกว่าไปสงบในจิตคนอื่นหรือใครเขา
    เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่ที่จิตในจิตของตนนั้นแล

    ไม่รู้ใครบ่นถึง บอกว่าผมหายไปไหน ทีน้องดาวหายยักไม่ถามถึงกัน
    อย่าบอกนะว่า ดาวก็อยู่บนท้องฟ้านั่นไง (ตรูว่าแล้ว)
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถึงคุณบุญ-ทา
    ผมอยากจะบอกว่า ถ้าคุณจะเอาดีทางนี้ จงเลือกครูที่ถูกจริตตน
    แล้วแอบไปฝึกจนกว่าจิตจะยก และอย่าเสียเวลามานั่งเกาะกระทู้
    ขอให้มาที่นี่อีกทีก็จิตยกแล้ว และอย่าลืมนำธรรมะที่ผุดออกมาจากจิตฝากพวกเราด้วย

    คุณเคยเห็นม้าแข่งไหม ว่าทำไมเขาเอาอะไรมาป้องตาให้เห็นแต่ทางตรง
    ไม่ให้เห็นข้างๆอะไรเลย
    ก็เพราะว่าสัตว์มันสมาธิสั้นหรือไม่มีสมาธิเลย เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ที่พูดนี่หมายถึงสมาธิ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ไปดูถูกสัตว์ เพราะหลายคนก็เคยเกิดเป็นสัตว์มาก็มีไม่ใช่ไม่มี
    สรุปแล้วเราเป็นคน ไม่ใช่ม้า เวลาปฏิบัติไม่จำเป็นต้องไปทำแบบม้า
    โดยหนี ปลีกวิเวกอยู่กับครูผู้สอน ทางที่ดีก็อย่าไปดื้อ อย่าถือว่าเราก็เป็นครูหรืออาจารย์
    จิตเกาะพระท่านสอนให้วางของเก่าเสียก่อน แต่ถ้าวางกไม่ได้ก้ไม่เป็นไร
    แต่ข้อเสียก็คือผู้ปฏิบัติเอง มิใช่ใคร
    แต่ถ้าเราวางไม่ได้จริงๆ อย่าไปโทษจิตเขานะ เพราะที่ดื้อก็คือเราชาตินี้หรือสติเรานั่นเองที่ดื้อ มิใช่จิต
    แต่ถ้าดื้อจริง ทั้งผู้ปฏิบัติและก็ครูผู้สอนก็ทำใจ สรุปแล้วยอมไม่ได้ แต่ต้องยอมด้วยปัญญา
    ก็คือขอให้ครูอลุ่มอลวย แต่มิได้หมายถึงให้ครูผู้สอนตามใจศิษย์หรือตามศิษย์มากไป
    เดี๋ยวจะส่งผลเสียกับจิตผู้ปฏิบัติ
    อย่าลืมนะ จิตเป็นาย กายเป็นบ่าว หรือทุกสิ่งสำเร็จที่ใจเรานั่นเอง
    เวลาปฏิบัติอย่าเอาสติไปนำจิต อย่าฝืนจิต อย่าบังคับจิต
    แต่ถ้าผู้ใด หรือครูผู้สอนไปงัดไปแงะจิต งั้นก็ไปเอาเหล็กชะแลงมาดิ พ่อจะงัดให้ดู
    อันนี้ไม่เอานะครับ ไม่ถูกต้องเลยนะครับ พยายามใช้ปัญญานำ อย่าไปใช้อารมณ์นำ
    เพราะจิตจะเบื่อ จะเครียด เดี๋ยวพาลล้มเลิกซะก่อน เดี๋ยวจะยุ่ง

    ที่ออกมาเตือนก็เพราะว่ารักเมตตากันนะครับ ไม่อยากให้ใครมาทำเสียสมาธิ
    เดี๋ยวจะเหมือนม้าที่แข่งขัน ที่เจ้าของม้านำมาป้องตามิให้สนใจที่อื่น แต่ให้สนใจแต่ในลู่ของตน
    เพราะผู้มาใหม่หรือผู้ปฏิบัติยังไม่สุดซอยย่อมเกิดความลังเล-สงสัยได้
    เพราะคนนั้นแนะนำไปทาง คนนี้แนะนำไปทาง ตกลงยังไงแน่
    อะไรประมาณนั้น (จบ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2013
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    โมทนาสาธุทุกท่านค่ะ
    พี่ภู อย่านอนเช้าเน้อ...
    เข้านอนได้แล้วจ้า
    น้องๆ เป็นโอ่ง
    เย้ย!! เป็นห่วง


    [​IMG]



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ควรทำอินทรีย์๕ให้สมดุลย์
    ผู้ปฎิบัติมีความศรัทธาเพียงอย่างเดียวไม่ได้
    จะต้องมีความเพียรมากๆ นั่นหมายถึงปฏิบัติให้มาก คือเจริญสติให้มาก
    สติมากเพราะว่าสมาธิจะได้มากๆ เมื่อสมาธิมีมากปัญญาก็ย่อมมากตามไปด้วย

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติมีแต่ความศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าไม่มีความเพียรหรือเพียรไม่ถึง
    หรือปฏิบัติไม่สำเร็จ คือไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างต่ำย่อมมีโอกาสหลงหรืองมงาย
    แต่ถ้าเราไม่มีความศรัทธากับครูหรือผู้สอนก็จบยากอีกเช่นเดียวกัน
    โดยเฉพาะติดอีโก้หรือตัวรู้หรือกูรูแล้วมรึงไม่ต้องมาสอนหรอก อะไรประมาณนี้
    อันนี้ถ้าผู้ปฏิบัติท่านใดพอจะรู้ตัวเองก็ขอให้วางเสีย เพราะเคยเป็นมาหมดแย๊ว
    เหมือนพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่เขาพูดบ่อยๆว่า อาบน้ำร้อนหรือน้ำเย็นมาก่อนนั่นเอง
    เอาน่ะๆ สู้ๆนะ เห็นครั้งแรกมีแต่จิตแข็งกระด้างกันทั้งนั้น พอจิตยกหรือมีดวงตาธรรม
    ยิ่งจิตที่กำลังจะเข้าวิมุตติ ไม่ใช่ขึ้นต้นละมุด หรือเมื่อถึงความละเอียดแห่งจิตก็ยิ่งอ่อนระทวย

    สำหรับจิตบุญหรือจิตที่ยกไปแล้ว ควรทำอินทรีย์๕ให้สมดุลย์เป็นดีที่สุด
    อะไรก็ตาม ถ้าไม่เกิดความสมดุลย์แล้วย่อมไม่ดีแน่
    จิตใครอ่อนข้อไหน ไปแก้ซะ ไม่แก้ก็ตามใจ(อีก) เข้าใจ(อีก)

    พอแล้วเดี๋ยวอีกไม่นาน ก็อาจจะนานๆจะเข้ามาพบกันสักทีนึง
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอบใจจ้า
    คำนี้คุ้นๆเน๊อะ จำได้ไหมว่าพี่ภูก็เคยพูดกับเธอบ่อยๆ ว่าอย่านอนดึก
    เธอก็เชื่อเป็นเด็กดีเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ปรากฏว่าเธอนอนเช้าเลย ฮ่าๆ
    แต่วันนั้นคุณเพ็ญ คุณแนทและคุณสำรวย ใครอีกนะ
    อ๋อ คุณอุ้ม ตบด้วยคุณอุ๋ย โน้นเลยครับ หกโมงสิบห้านาที
    ป๊าดดด ใครจัดเนี๊ย แต่ก็คุ้มนะ ผมตายไม่ว่า แค่ขอให้พวกเธอเห็นธรรมก็พอ
    เกิดมาถือว่าคุ้มค่าที่สุด ที่ทำตามเจตนารมณ์ของจิตที่รับบัญชามา
    พวกเธอเห็นเหมือนพี่ภูเห็นกันไหม ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีพระมหาเมตตาเพียงไร
    หลวงพ่อมีมหาเมตตากับลูกหลานของท่านเพียงไร
    พวกเราอย่าไปเอาแต่พระธรรมหรือนำธรรมะของท่านไปถกเถียงกัน
    เหมือนปชช.คนไทยที่เห็นแก่ตน พรรคพวกตน ทำอะไรให้นึกถึงจิตใจของในหลวงบ้าง
    แต่ถ้าเราเป็นในหลวงบ้าง ดูสิว่าใครจะกล้าปริปากมาตำหหนิเราได้ ฮึมๆๆ
    เดี๋ยวพ่อจะอุ้มเข้าให้ นั่นเป็นยังงไง ถ้าพ่อหลวงของเรามีจิตใจไม่มีศีลธรรม
    ป่านนี้ใครที่กำลังนั่งนินทาหรือตำหนิท่าน ขอให้คิดซะใหม่
    แค่บารมีชาตินี้หรืออีกสิบชาติจะได้เท่าในหลวงท่านหรือเปล่าก็ยังไม่รุ๊
    นี่แค่เราตัวเล็กๆยังทำได้ขนาดนี้ คิดดูเอา ไม่ได้ตำหนิผู้ใด
    แต่อยากให้ใช้ปัญญานำ มิใช่ใช้อารมณ์นำ

    สรุปแล้ว คนที่หาจิตพบแล้วก็หาธรรมภายในจิตตนต่อไป
    หรือผู้ที่พบทั้งจิตทั้งธรรมแล้วก็หาพระตถาคตให้พบเจอไวๆ
    (หมายถึงอารมณ์ของพระพุทธคุณนะ พูดผิดเดี๋ยวจะโดนข้อหา)
    จะได้รู้ซึ้งในน้ำพระทัย ในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม
    พระองค์ท่านมีพระมหาเมตตาเพียงใด

    ไปนอนก็ได้ ไปนอนก็ได้ เกรงใจน้องหว้าเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2013
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด……คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น

    มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด……ตัวธรรมะแท้ ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด…..

    ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ……ท่านไม่ต้องการอะไร…..ไม่เอาอะไรอีกแล้ว.

    เพราะถ้าจะเอาความสุข…..ความสุขมันก็ดับ.

    ถ้าจะเอาความทุกข์……ความทุกข์มันก็ดับ.

    จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่าง ๆ……สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน.

    แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้…..เกิดขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ.



    หลวงพ่อ ชา สุภัทโท
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "เรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย"

    ในโลกมานี้หนักขนาดไหน

    -การเกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย...

    ...เป็นเรื่องทุกข์ทั้งนั้น...

    ...ไม่ปรากฏว่าเป็นความสุขเลย...

    ...เวลาประกอบความพากเพียรเท่านี้...

    ...ทำไมจะเห็นว่าความทุกข์เป็นความลำบาก...

    ...เราจะหาแดนพ้นทุกข์ได้ที่ตรงไหน...

    ...จุดใดเป็นจุดที่เราจะเกิดความอบอุ่นมั่นใจ...

    ...ถ้าไม่เกิดจากความเพียร ความพยายาม...

    ...หนักก็เอาเบาก็สู้ เป็นก็สูตายก็สู้ไม่ถอยหลัง...

    ...ตายเอาดาบหน้านี้เท่านั้น...

    ...ทำแบบนี้แลคือ ลูกศิษย์ตถาคต ให้ถือกิจนี้เป็นสำคัญ...

    ...นี่แหละแดนพ้นทุกข์อยู่ตรงนี้"...

    ...โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี...

    ...น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...

     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะใกล้ตัว ข้าพเจ้าได้เกิดอาการคันตามตัว ได้ประมาณสองสามวันแล้ว อาจจะเป็นเพราะอาหารเป็นพิษหรือ อาการแพ้ และสงสัยจะเป็นไก่ที่เก็บไว้นานเกินไป แต่บังเอิญกินคนเดียวก็เลยเป็นคนเดียว คืออาการอวกแตกเสร็จตามด้วย ผื่นคันเต็มตัว แล้วก็คันอย่างหนัก ก็เลยไปหาหมอ หมอก็บอกว่าแพ้อาหาร แล้วก็จัดยามาให้ทาน ก็ทําให้นึกถึงว่าอะไร?มันก็ไม่แน่นอน ขนาดอยู่ดีๆกินอาหารอยู่ดีๆ ดันเกิดอาการนี้ขึ้นมา และก็ทําให้นึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า การมีร่างกายมีขันธ์ห้า นี้มันช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน ทําให้ได้เห็นสัจธรรม เพราะเราจะเป็นอะไรขึ้นมาทันที่ ทันใดก็ได้ มันไม่จํากัดกาลเวลา สถานที่เลย และความตายก็เช่นเดียวกับความเกิด เกิดมาแล้วก็มีทุกข์ ถึงไม่อยากได้มันก็ได้ เหมือนข้าพเจ้ามันอยากเป็นผื่น หรือไม่อยากเป็นอาการแพ้ แต่ก็หลี่กไม่ได้ เพราะว่าเรายังมีขันธ์อยู่นั้นเอง...จงได้มองว่าขันธ์นี้แหละเป็นทุกข์ในโลก เพราะเราต้องดูแล และรักษามันไว้ เพราะเรายังมีลมหายใจอยู่ แต่ถ้าตายเมื่อไหร่ ขันธ์ก็จบไปด้วย แต่จิตวิญญาณก็ดํารงค์ต่อไป คือไปเกิดตามภพภูมิของตนที่ได้สร้างไว้...จึงขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " โลกเราทุกวันนี้ มันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ มาอยู่อย่างนี้ซ้ำๆซากๆ"

    เป็นไปตามธรรมชาติของมัน จากวัน เป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนก็เป็นปี

    หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ หมดปีนี้ ก็เริ่มต้น ด้วยปีใหม่ มันก็เป็นการสมมุติทั้งนั้น หมุนไปแล้ว

    ก็เกิดเป็นกลางวันและกลางคืน ส่วนกลางวันก็มีแสงอาทิตย์ มีแสงสว่าง ส่วนที่ไม่มีแสง

    อาทิตย์ก็เป็นกลางคืน มันก็หมุนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างนั้น จึงต้องตั้งชื่อวันนั้นวันนี้

    ให้ครบเจ็ดวันพอครบเจ็ดวันแล้วก็มาเริ่มต้นวันเก่าใหม่อีก ชื่อเดือนก็เหมือนกันก็ใช้ชื่อเก่าอีก

    ที่จะเปลี่ยนก็คือปี แต่ก็เปลี่ยนไปตามตัวเลข ก็เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ไม่ใช่่ตัวความจริง

    ตัวความจริงนั้นมันไมีชื่อ มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น มันตั้งอยู แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับ

    ไปตลอดเวลา เกิด ดับ เกิดดับอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนคนเรานี่แหละเกิดออกมาแล้วก็มาสมมุติ

    อีกก็ต้องมาตั้งชื่อกัน ชื่อนั้นชื่อนี้มันก็เรียกกันไปตามที่เราสมมุติขึ้นทั้งนั้น ธรรมชาติมันเป็น

    มาอย่างนั้น...ธรรมชาติทั้งหลายไม่เที่ยง ธรรมชาติทั้งหลายมีทุกข์ ธรรมชาติทั้งหลายไม่

    มีเนื้อแท้ที่เป็นตัวเป็นตน นี่เราสามารถนำมาพิจารณาถึงความละเอียอของมัน เรานำมา

    พิจารณา เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นให้กัยตัวเรา เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่

    เกิดขึ้นกับโลกกับ สิ่งมีชีวิตได้แก่ คน สัตว์ พืช เหมือนกัน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิต

    ก็มีการ เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย เป็นธรรมดา ต้นหมากรากไม้ที่เราเห็น มันก็ไม่คงที่ มัน

    เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา คนเรานี้ก็เหมือนกันร่างกายเรานี้ก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา เปลี่ยนขึ้น

    ไปเรียกว่า เจริญเติบโตขึ้น แล้วก็เปลี่ยนลง เรียกว่าความแก่ แล้วก็จบด้วยความตาย...

    -นี่แหละเขาถึงพูดว่า มีเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป นี่แหละธรรมชาติทั้งหลายไม่เที่ยง ธรรมชาติ

    ทั้งหลายมีทุกข์ ธรรมชาติทั้งหลายไม่มีเนื้อแท้เป็นตัว เป็นตน ให็พิจารณนาตามความจริง

    ...จึงขอฝากไว้เพราะนี่คือความจริงที่เราทุกๆคนนั้นต้องเจอแน่ๆ ทำดีเอาไว้ ไปแล้วจะได้

    ...ไม่ต้องกลับมา ใครถนัดทางไหนให้ทำตามที่ตนเองถนัด พุทโธ ธรรมโม สังโฆ เป็นที่

    พึ่งนะเราปฏิบัติตนปฏิบัติตัวเป็นคนดี เราก็จะพบกับสิ่งที่ดี ตามคำที่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่ว

    -ได้ชั่ว ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นแหละ.....สาธุ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ไม่ว่าอะไร เราลองเข้าไปยึดถือ พอยึดถือปั้บมันก็เป็นทุกข์ เป็นห่วงเป็นกังวลกับ

    สิ่งเหล่านั้น...เข็มเล่มหนึ่งถ้าเรายึดถือว่าเป็นของฉันก็เป็นทุกข์เป็นกังวลว่าต้องเก็บตรงนั้น

    วางตรงนี้ แล้วก็ไปเที่ยวหา ถ้าหายไปหาไม่เจอก็เป็นทุกข์ วัตถุใหญ่ก็ทำให้เป็นทุกข์ วัตถุ

    เล็กก็ทำให้เป็นทุกข์...จิตใจเป็นทุกข์ สภาพของมันเป็นธรรมดามันก็เป็นทุกข์ตามสภาพที่

    เรียกว่า "ทุกข์ตามธรรมชาติ" ของสิ่งนั้น แต่ว่าเราไปยึดถือมันก็เป็นทุกข์ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง

    เรียกว่า "ทุกข์ด้วยความยึดถือ" ด้วยอุปาทาน ถ้าเราไม่เข้าไปยึดถือ ทุกข์เพราะอุปาทาน

    ก็ไม่มี...นี่คือ มองอะไรมองให้เห็นเป็นธรรมะ ถือหลักว่ามองทุกสิ่งทุกอย่างว่าตามสภาพ

    ที่เป็นอยู่จริงๆ มีคำพิเศษว่า "ยถาภูตญาณทัสนะ" หมายความว่า เห็นตามที่ว่ามันเป็นอยู่

    จริงๆ ไม่ให้เห็นเป็นมายา เป็นของปรุงแต่ง ไม่ใช่ของแท้ ของแท้มี ๓ เรื่องเท่านั้นคือ...

    ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา เราต้องมองให้เห็นความไม่เที่ยง มองให้

    เห็นความเป็นอนัตตา ไม่ใช้เนื้อแท้ ในสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง จิตใจก็ค่อยจะกลับไปสู่สภาวะ

    เดิม คือไปสู่ความสะอาด ความสงบ ความสว่าง สิ่งที่มีทั้งหมดทั้งหลาย ไม่มีฤทธิ์ ไม่มี

    เดช ที่จะทำให้เรากำหนัดขัดเคือง ลุ่มหลงมัวเมา เพราะรู้ว่ามันเป็นอะไรต้องตามสภาพที่

    เป็นจริง...นั่แหละคือทางที่จะให้อยู่ในโลกนี้ ด้วยความที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ไปยิ่ง

    สงบ สุขที่จริงมันอยู่ที่ความสงบ ไม่ใช่อยู่ที่ความเพลิดเพลินสนุกสนาน นั่นสุขปลอม สุข

    ลงทุน...แต่สุขแท้นั้นไม่ต้องลงทุนอะไร มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติของจิต ญาติโยมต้อง

    พยายามให้เป็นสุขอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องลำบากใจ...การที่เรามาศึกษาธรรมะ มาศึกษา

    เพื่ออะไร เพื่อนำเอาไปปฏิบัติให้พ้นจากความทุกข์ในชีวิต...ธรรมะเป็นยาแก้โรคทางจิต

    แก้โรคทางวิญญาณ เราต้องศึกษาธรรมะด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน ด้วยการคิดค้นให้เกิด

    ความเข้าใจ...เมื่อค้นพบคิดค้นให้เกิดความเข้าใจ เมื่อเกิดความเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติ

    การเอาไปปฏิบัติก็คือ นำเอาไปใช้เป็นเครื่องพิจารณา ประกอบเข้าไปให้มีสติและปัญญา

    ให้ได้ถึงความพ้นทุกข์...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ...กราบน้อมรับ

    พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อเจ้าค่ะกราบ กราบๆคัดจากหนังสือยกระดับชีวิตด้วยธรรมะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สิ่งนั้นมีอยู่จริงตามธรรมชาติ
    แท้ที่จริงแล้ว ตัวของเราเองก็เป็นธรรม เป็นส่วนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงอยู่กับโลกใบนี้
    ก็คือโลกไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง
    ขันธ์๕ หรือร่างกายของเราก็เป็นในปรมัตถธรรมนั้นด้วย
    ซึ่งประกอบด้วย รูป จิต เจตสิก และก็นิพพานก็รวมอยู่ด้วย
    ซึ่งมีอยู่จริงตามธรรมชาติ ก่อนพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป
    แต่พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ทรงค้นพบสัจธรรมหรือปรมัตถธรรมเหล่านั้นเท่านั้นเอง

    เมื่อเรารู้และเข้าใจอย่างนี้ก็พอมองเห็นภาพรวมขึ้นบางแล้ว
    แต่จะปฏิบัติไปในทิศทางใด โดยเฉพาะนักปฏิบัติธรรม สิ่งแรกที่จะต้องทำ นั่นก็คือ
    ออกจากทุกข์ของตนให้ได้จริงๆเสียก่อน และออกจากทุกข์ของตนได้อย่างไร
    แล้วต่อไปค่อยมาว่ากันเรื่อง "พระนิพพาน"

    สำหรับผู้มาใหม่หรือผู้กำลังปฏิบัติก็อย่าไปมกมุ่นกับคำสมมุติเหล่านี้มากเกินไป
    นอกจากจะทำให้จิตเดินช้า ตัวของเราเองก็อย่าเป็นตัวถ่วงที่ทจะำให้จิตของตนเดินมรรคผลช้า
    เพราะเรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก
    แต่ถ้าจิตมันอยู่ที่เรา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจจิตแล้วใครเขาจะมาเข้าใจจิตของเรา
    ไม่มีทางและก็อย่าไปหวัง แต่ถ้าหากผู้ใดไปหวังก็เตรียมใจไว้ได้เลยกับคำว่า "ผิดหวัง"
    มันมาแน่ มันมาแน่ๆและพบเจอกับคำว่าผิดหวังแน่ๆไม่ช้าก็เร็วเกินรอ ไม่เชื่อก็คอยดู

    ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราหนีความทุกข์ตนเองไม่รอดแน่ เห็นมีแต่จิตเท่านั้นที่รอด
    ยังไงๆขันธ์หรือร่างกายเรานี้ต้องถึงเวลาดับสูญแน่นอน เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าได้ประมาท
    ให้ฝึกสติก็เพื่อฝึกจิต ให้จิตเขามีปัญญาเป็นผู้นำพาให้เราออกจากทุกข์ของตนเองได้นั่นเอง
    อย่าไปพึ่งพึ่งผู้ใด เพราะไม่มีผู้ใดจะมาเป็นทุกขืหรืออกจากทุกข์แทนกันได้
    บรรลุธรรมหรือเห็นธรรมแทนกันก็ไม่ได้ ขอให้เรานึกถึงเรื่องการทำบุญทำบาป ใครทำใครได้
    เหมือนคนกินข้าว ใครกินใครอิ่ม กินแทนกันไม่ได้นั่นเอง
    การปฎิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกำลังปฏิบัติอย่าได้เป็นห่วงกับเรื่องที่ไม่ใช่จิตของเรา
    ไม่ต้องเป็นห่วง เหตุที่ใจเราเป็นห่วงก็เพราะจิตเขายังไม่มีปัญญาหรือมีกำลังมากพอ
    ที่จะไปปล่อยวางกับสิ่งต่างๆอะไรได้ในตอนนี้ ไม่มีทางและอย่าไปพยายามทำใจยอมรับตอนนี้
    เพราะไม่มีประโยชน์อันใด แต่เราจะไม่ทุกข์ไม่เป็นห่วงไร้อุปาทานไร้พันธนาการต่างๆของเราได้
    ก็ต่อเมื่อจิตเกิดปัญญามาก เมื่อจิตปัญญาเกิดขึ้นมาก จิตก็จะรู้เข้าใจเอง
    อย่าลืม จิตเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ละปล่อยวางกับสิ่งทั้งปวงได้
    ตราบใดถ้าจิตผู้ใดไม่สามารถปล่อยวางได้ ผู้นั้นย่อมเกิดทุกข์อยู่อย่างนั้นและไม่หลุดพ้นทุกข์เสียที
    ดูเหมือนง่ายๆ แต่ปฏิบัติตามทันทีทันใดไม่ได้ตอนนี้ หลายท่านก็คงพอเข้าใจกันบ้างแล้ว
    แต่ถ้าให้หลุดพ้นทุกข์กันจริงๆ เราจะต้องนำจิตมาเดินมรรคหรือลงมือปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง
    ถึงจะรู้เข้าใจ โดยเฉพาะคำว่ารสชาดพระธรรมหรือคำสั่งสอน
    จะรู้ซึ้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นต้น
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติจงสำเร็จโดยเร็ว หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีดวงตาเห็นธรรม
    แต่ถ้าจะเร่งให้ไว ผู้นั้นจะต้องเร่งความเพียรของตนเองโดยปฏิบัติขั้นปรมัตถธรรมทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...