เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เป็นธรรมดามากที่พวกมีภูมิรู้ที่ได้จาก สุตะ จินตะ

    มักดื้อตาใส หลงใหลอยู่แต่ในน้ำคำ และตัวอักษร พวกหนอนแทะตำรา

    ขอเถอะ รู้สึกว่าขอหลายขอแล้ว แต่คนพวกนี้ ดื้อตาใส ด้านจนต้องยอมใจจริงๆ

    มักชอบแอบอ้างพระพุทธพจน์ ที่ตนเองชอบแอบตีความเข้าไปด้วย

    ทำให้พระพุทธพจน์เกิดความเสียหายหมด ขอบอกเป็น"คุรุกรรม"ที่ต้องรับอย่างแน่นอน

    "ภาวนา" ไม่เป็น ไม่คิดพิจารณาขนขวายให้กับตนเอง จนเกิด"ภาวนามยปัญญา"

    ดีแต่จดจำเอาแต่ตำรา แล้วเอามาพูด ต้อง"ทำมาพูด"สิ จึงจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลได้

    ที่"ธรรมภูต" ยกมาตอนต้นนั้น ถ้าคนที่"ภาวนา" จนรู้จักลมหยาบ ลมละเอียดเป็นอย่างดี ก็ถึงบางอ้อ

    ส่วนพวกอวดรู้ชูคอ เป็นกระปอมก่า มักคิดว่า ต้นเองรู้ตามตำราเ๊ป๊ะๆยิ่งกว่าญาญ้าเสียอีก

    ถามจริงๆเถอะว่า ไม่รู้จริงๆ หรือ ว่าแกล้งโง่ ถ้าโง่จริงๆเรื่องเกี่ยวกับ"ภาวนา" ก็ยังพอแก้ไขได้

    ถ้าแกล้งโง่ เพราะ อยากอวดรู้โชว์ภูมิเท่านั้น พวกนี้คงแก้อยากหน่อย แต่ไม่เป็นไร แย้งมาดีแล้ว

    จะได้รู้ว่า พวกที่"ภาวนาไม่เป็น" รู้เห็นเรื่องลมหายใจ ที่เป็นกายสังขารกันยังไงบ้าง?

    รู้มั้ยคำว่า"รู้ชัดว่า" แค่คำนี้ คำเดียวก็กินความหมดไปทั้งบรรพะแล้ว

    คนที่ผ่านการปฏิบัติ"ภาวนา"มาอย่างจริงจัง แบบเอาชีวิตเข้าแลกย่อมรู้ดี"

    เมื่อรู้ชัดว่า ย่อมต้องมีสตสัปชัญญะกำักับจึรู้ชัด เป็นอัญญะมัญญะปัจจัยเกื้อกูลกัน

    เมื่อมีสติสัมปชัญญะกำกับ ย่อมต้องรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อรู้ตัวทั่วพร้อม ย่อม....

    ถ้าคน"ภาวนา"ไม่เป็น รู้ชัดบ้างไม่ชัดรู้บาง หาความแน่นอนไม่ได้ นิวรณ์ก็ลากเอาไปกินหมด

    รู้หรือเปล่้าว่าที่ยกมานั้น เป็นการประจานตนเองให้รู้แบบชัดเจนเลยว่า

    มันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติ"ภาวนา"เลย เพราะมันเชื่อว่ารู้ชัดว่าสักนาทีเดียวยังทำไม่ได้

    เพราะ "รู้ชัดว่า" ย่อมมีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อมตามมาด้วย

    เมื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อม ย่อมเห็นชัดว่า ลมหายใจที่หายใจเข้า-ออกอยู่นั้น

    แสดงพระไตรลักษณ์ชัดเจน นั่นมันไม่เที่ยง เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาว เดี๋ยวหยาบ เดี๋ยวละเอียดไม่เท่ากัน

    เมื่อเห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตนที่พึงพาอาศัยไม่ได้

    โดยเฉพาะสำคัญมาก ตอนเปลี่ยนมาเป็นลมละเอียดนั้น จะแสดงยิ่งชัดถึงความ"ดับ"

    จะเห็นความดับ มันอึดอัดขัดข้องไปหมดเหมือนจะหมดลมหายใจเอา

    กระทั่งนักปฏิบัติมือใหม่หรือเก่าบางท่าน โดนเล่นงานเอาได้ง่ายๆ

    จนบางคนกลัวตายไปเลยก็มี เรื่อง"ลม"ยังไม่ใช่หมดเพียงแค่นั้น

    ลมหายใจยังแสดง ถึงสภาวะอารมณ์ของตนเอง ในขณะนั้นๆอีกด้วย

    นุ่มนวลบางเบาๆ ระวังกามราคะเข้าแทรก กระชั้นสั้นถี่ๆ ระวังปฏิฆะจะครอบเอาได้ฯลฯ

    เห็นหรือยังว่า สัมมาสมาธินั้น เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา ไม่ต้องยกเยิกอะไรอีกแล้ว

    พระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ล้วนเชื่อมโยงกันหมด โดยไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น

    กลับตัวกลับใจซะใหม่ ยังพอเห็นทางสว่างได้บ้าง แต่ถ้ายังทำตัวดื้อตาใส ไม่ว่าใครก็ช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมจริงๆสิทุกๆท่าน

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  2. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ทีแรกว่าจะเลิกพูดแล้ว เพราะพวกเลอะเทอะนี่คุยด้วยยังไงก็ไม่รู้เรื่อง
    แต่ก็จะอธิบายให้ซักหน่อยแล้วกัน เผื่อว่าพอจะรู้ได้
    แต่ถ้ารู้ไม่ได้ก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรมแล้วกัน
    ก็จะสงเคราะห์อธิบายให้ฟัง

    มีคนสองคน คนหนึ่งเป็นคนพูด อีกคนหนึ่งเป็นคนฟัง
    คนที่พูดนี่ เค้าพูดซักพักแล้วเค้าก็หยุดพูด พอหยุดพูดแล้วก็พูดอีก
    ส่วนคนฟังนี่ เค้ารู้ตลอดเวลาใช่มั้ย ว่า
    คนที่พูดนี่เค้าพูดตอนไหน แล้วหยุดพูดตอนไหน
    คนฟังเค้ารู้ตลอดเวลาใช่มั้ย
    ไม่ใช่เค้ารู้แต่เฉพาะตอนที่คนนั้นพูดใช่มั้ย
    ตอนคนนั้นหยุดพูดคนฟังก็รู้

    เมื่อคนที่พูดนี่ เค้าเดี๋ยวพูด เดี๋ยวหยุด
    แล้วจะมาเหมาเอาว่า
    คนฟังจะมารับรู้เอาแต่เฉพาะตอนที่คนพูดเค้าพูดมันจะได้เหรอ
    คนฟังมันจะเหมือนคนพูดได้ยังไง

    กระแสประสาทมันก็เหมือนกับคนพูดนั่นแหละ
    คนฟังมันก็เหมือนจิต
    แล้วจะเหมาะเอาเองว่า จิต มันจะเหมือน กระแสประสาท ได้เหรอ

    นี่แหละทิฏฐิเลอะเทอะ มันก็แสดงอะไรเลอะเทอะออกมาอย่างนี้แหละ
    เอานะขอตัว เลอะเทอะจริง ๆ
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้ย!!!
    เห็นแอบพลาดพิงแบบนี้ ไม่ดีนา

    ตอนที่ตอบไป ดันเ...เฉย เพราะหมดมุข

    ไหนขอคำตอบแบบชัดๆหน่อยนะ ลองหัวเราะแบบขาดความสุขให้ดูหน่อยสิ

    ก็บอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่าอวดอะไรที่เกินภูมิรู้ภูมิธรรมของตน

    ถ้าหัวเราะแบบขาดความสุขหนุนเนื่องได้ จะได้เรียก "ศรีธัญญา"มารับไป

    ชอบจริงเลยนะ ไอ้นิสัยกดคนอื่นเพื่อให้ตนเองดูดีขึ้น

    ถึงจะกี่ขณะส่วนก็ตาม นั่นมันเรื่องของความต่อเนื่องกัน

    จากสุขใจ ยิ้มโดยไม่ตั้งใจ จนอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา

    มันเรื่องเดียวกัน หรือกำลังอยากจะคุยโม้ใช่มั้ยว่า ตนเอง"รู้ทุกขณะจิต"

    ไอ้นิสัยชอบแอบอ้าง "พวกทักจิต" ทำไมถึงได้เป็นกันมากก็ไม่รู้

    รู้เรื่องคนอืนไปหมด แต่กลับไม่รู้จักตนเอง(ตนที่แท้จริง)

    ขนาดแอบอ้างคำท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ "อยู่กับรู้" มันยังกล้าแอบอ้างเฉยเลย

    เฮ้อ!! น่าสม...จริงๆ เมื่อไม่รู้จักอายคนอื่น หัดรู้จักอายตนเองเพราะมีความซื่อสัตย์บ้างสิ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ท่านพี่ธรรมภูิติมีภูมิรู้มาก
    ผู้น้อยขอแนะนำให้ระวังเรื่องมานะทิฎฐิ
    ความเข้าใจเรื่องจิต เกิดขึ้ันได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น
    ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร มันก็หาข้อสรุปไม่ได้ เพราะทิฎฐิต่างกัน...
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..สงสัยครับ..อย่างนั้น ท่านอิทรบุตร จะอธิบาย การแยกจิต ออกจากขันธ์ 5..ทำได้อย่างไร หากยังอาศัยระบบประสาท..:cool:
     
  6. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    จะได้รู้ว่ากันสักทีว่าคุณนั้งหายใจเข้าออกทิ้งไปวันๆ หรือมีสติสัมปชัญญะ เพียรเผ่ากิเลิส รู้ถึงลมหายใจเข้าออกอยู่หรือไม่. ผมเข้าใจดีว่า ลมหายใจคือกายสังขาร เเต่บางคนอาจจะตายน้ำตื่น ตรงที่นั้งบังคับลมหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่ได้รู้สึกตัวทั่วถึงของกองลมด้วยจิตที่เข้าไปรับรู้ กลับเอาสัญญา ความจำของสัตว์ที่หายใจทิ้งมาภาวนา คอยระลึกให้ลมมันเกิดขึ้นตลอด มันจึงทำมั่นคงตั้งมั่นเเนบเเน่นไม่หวั่นไหว เพราะลมหายใจถูกนำมาใช้เพื่อสนองจิตที่มีกุจกุกจ เพื่อยกตัวเองว่าทำให้ลมหายใจมันตั้งมั่นไม่หวั่นไหวดุจเสาระเนียบ ส่วนจิตนั้นบางที่ก็รู้บางทีก็ไม่รู้ที่ลมหายใจ


    คุณลองตอบมาว่า การทำกายสังขารให้ระงับ ทำเพื่ออะไร ทำแล้วสมาธิสามารถไปต่อได้มั้ย

    ส่วนไตรลักษณ์ รู้สั่น รู้ยาว อะไรนั่น มันเป็นไตรลักษณ์ตั้งเเต่จิตคุณเข้าไปรู้ แล้วเกิดผัสสะ1รอบ เกิดการจำได้หมายรู้ เกิดดับกี่ครั้งเข้าไปแล้วหล่ะ ต้นสายปลายเหตุคุณยังมองมันไม่เห็น
    ลมหายใจมันก็ทั่งยาวทั่งสั่น เป็นปกติของกายสังขาร ไม่ใช่ ให้เอาจิตไปคิดว่ามันยาวหรือยัง มันสั่นหรือยัง ให้เอาจิตมารู้เฉยๆ
    อะไรนิ อานาปานสติยังไม่รู้จริงๆหรอ?
     
  7. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    คนที่จิตเค้านุมนวมอ่อนโยนควรเเก่การงาน ระเอียด อย่างเเท้จริงนั้น
    จิตเค้าโน้มออกมาจากกาม ดำริของมาจากกามตั้งเเต่มีมะโว้แล้ว จิตเค้าต้องดำริในเนกขัมมะ
    มีเพียงกามวิตก หรือ กามสัญญาที่อาจจะเกิดขึ้น ในสมาธิ
    ส่วน กามราคะ ไม่มีสำหรับผู้มีความเพียรเผ่ากิเลิสนำออกเสียได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก มีจิตนุมนวนระเอียด นอกจากผู้นั่งเอานิ้วมือนิ้วเท้าออกมาดูด หรือนั่งเล่นกับลมหายใจอยู่่ ถึงจะเกิดกามราคะได้
    จะบอกอะไรให้อีกอย่าง มีพระสูตรตรัสไว้ชัดๆ สมถะมันทำให้ความกำหนัดในกามจางลงไปเท่านั้น สมาธิทั้งหลายไม่ใช่เครื่องขูดเกลา เครื่องทำรายกิเลิสให้สิ้น เมื่อมีวิปัสสนา จะสิ้นอาสวะต้องมีปัญญา
    พระองค์ถึงบอก สมาธิเป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะเป็นอย่างไร ไม่ใช่นั้งอย่างเดียวจิตหลุดพ้น อย่างที่พูดมานะ
    อะไรที่สงสัยก็ต้องถามมา ถ้าคิดเอาเองมันก็ไม่ดีอย่างนี้
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จิตที่สั่งให้กายหัวเราะ เป็นกระบวนการนึง
    ส่วนหัวเราะแล้วเกิดเป็นอารมณ์ปรุงแต่ง แล้วจิตเข้าไปรับเสพ เป็นอีกกระบวนการนึง ทั้งสองอย่างนี้ จิตทำงานคนละอย่าง แยกกันเด็ดขาด มีเพียงสภาวะเกื้อหนุนการเกิดของกันที่ถูกส่งต่อให้กัน

    ธรรมภูตจะแย้งบอกว่ามันไม่ใช่ มันก็สมควรแล้ว เพราะจิตของธรรมภูตไม่มีความสามารถจะเห็นกระบวนการเหล่านี้ได้

    ให้ธรรมภูตปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ เถิด

    หากไม่ติดทิฏฐิมานะ จนย่ำอยู่กับที่ สักวันนึงในอนาคต จะเห็นเอง
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ต้องนิยามก่อน ว่า การแยกจิต หมายถึงอะไร หากนิยามชัดเจนแล้ว จึงจะตอบได้ ไม่งั้นอาจจะได้คำตอบไม่ตรงกัน

    ส่วนเรื่องระบบประสาท เป็นข้อจำกัดของการรวมตัวของธาตุ 4 ที่รวมตัวมาเป็นกายสังขาร
    ทำให้ระบบประสาทส่งผัสสะได้เป็นการเกิดดับถี่ๆ ไม่ใช่การส่งผัสสะเป็นลักษณะของสิ่งที่เกิดขึ้นยาวๆ แล้วค่อยดับลง

    ในลักษณะของชั้นจิต ผู้ที่เห็นจิตละเอียดแท้ๆ จริงๆ จะเห็นได้เองโดยปัจจัตตัง ว่า ผัสสะต่างๆ นั้น มันไม่ได้มีลักษณะเกิดดับคงที่ แต่มันมีการไหวน้อยๆ มีการดิ้นน้อยๆ อยู่เกือบตลอดเวลา

    จิต ก็เป็นผู้ที่คอยรับรู้อยู่เฉยๆ ถึงสภาวะต่างๆ เหล่านั้น และในสภาวะรับรู้ที่บริสุทธิ์จริงๆ จะเป็นลักษณะของผัสสะล้วนๆ บริสุทธิ์ ที่ปราศจากการปรุงแต่ง ก็คือการรับผัสสะถี่ๆ ทั้งหมดนั่นแหละ

    แต่จิตที่ยังมีอวิชชา เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการปรุงแต่งยึดสภาวะ
    เมื่อยึดสภาวะ จึงทำให้สภาวะแห่งการรับรู้แท้ๆ มันจางลง เบลอลง ทำให้ผัสสะที่มากระทบถี่ๆ นั้น มันเบลอเลือนลงไป กลายเป็นเหมือนการ เกิดระยะนึง แล้วค่อยดับ

    อธิบายได้ง่ายๆ ที่สุดเลย เช่น เวลาลมพัดกระทบแขน เตชพโลบอกว่า ผัสสะที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกของลมโดนแขน อันนั้นเป็นการเกิด และมันก็จะดับเมื่อลมหยุดกระทบแขน

    แต่ในความเป็นจริงที่จิตของผู้ฝึกดีแล้วรับรู้ จะรับรู้ได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องของการเกิดยาวๆ แล้วดับ

    แต่มันคือ การที่ขนบนแขน แต่ละเส้น มันถูกแรงลมพัด ทำให้กระดิก รูขุมขน ก็เลยส่งข้อมูลนี้ พร้อมๆ กัน ออกมา แล้วจิตที่มีความปรุงแต่งนี่แหละ จึงปรุงแต่งรวมกันแล้วเอามาสรุปว่า มันคือผัสสะของลมพัด กระทบแขน

    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลมที่พัดกระทบแขน นั้นมีความเบา แรง ต่างกัน (ไม่เชื่อก็ลองเปิดพัดลมใส่แขนดู) เป็นระลอกๆ ดังนั้นแล้ว ขนบนแขนแต่ละเส้น ก็จะผลัดกัน ส่ง-หยุด-ส่ง-หยุด ตลอดเวลา

    เอาแค่แขนข้างเดียว เวลาโดนลมพัด ผัสสะที่ส่งรวมกันมา มันก็ เกิด ดับ ถี่กว่าไฟนีออนแล้ว

    แต่เหตุที่ เตชพโล เห็นเป็นผัสสะตัวเดียว เพราะจิตที่ฝึกยังไม่ดี มันมีความสามารถเห็นได้แค่นั้น

    จะพูดไป มันก็เหมือนเรื่อง จอทีวี จอคอมพิวเตอร์ นั่นแหละ
    ในความเป็นจริง ภาพ มันเกิดดับ ถี่ๆๆๆ ต่อเนื่องกันตลอดเวลา เปลี่ยนไปทีละเฟรมๆๆ
    ผู้ที่จิตละเอียดพอ จะเข้าไปเห็นความเกิดดับถี่ๆ ตรงนี้ได้
    แต่จะพยายามอธิบายให้ผู้ที่ยังไม่ละเอียด เช่น ธรรมภูต กับ เตชพโล เข้าใจ ยังไงเสีย เขาก็ยืนกรานแบบของเขา

    ก็เพราะเขามีความสามารถแค่นั้น ภาพที่เขาเห็น มันก็เป็นภาพที่ไม่เกิดดับ เพราะจิตเขาเห็นไม่ทัน ก็เท่านั้นเอง
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..ความเห็นคุณ เกินภูมิตัวเองรึไม่ครับ..ขออภัย :cool:
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัตตัง สภาวะที่เห็นจริง ยังไม่ละเอียดขนาด แยกเป็นเส้นๆ ออกจากกันได้
    แต่สามารถแยกพื้นที่บนแขน ที่ผัสสะมีลักษณะต่างกันออกเป็นประมาณ 8 ส่วน ทั้งหมดมีลักษณะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประมาณวินาทีละ 2 ครั้ง
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้เตชพโล ลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่ตนเองเขียนไว้นี้
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87.498328/page-8#post8023232

    แล้วเตชพโล ลองอ่านข้อความที่ผมตอบกลับดีๆ
    ผมไม่ได้อธิบายถึงสภาวะในส่วนที่ เตชพโล เปรียบเทียบว่าเป็น "ผู้ฟัง"
    แต่ผมพูดถึงสิ่งที่เตชพโลนิยามว่า "สิ่งที่เคยสำคัญว่าเป็นจิตแต่เดิม" หรือ "ผู้พูด"

    ผมไม่ได้จะมาฟันธงอธิบาย ว่า "ผู้ฟัง" มีลักษณะอย่างไร เพราะสิ่งนั้นเกินภูมิของผม

    แต่ผมบอกว่า ในเมื่อระดับจิตของ เตชพโล ยังไม่สามารถจำแนกแยก "ผู้พูด" ออกเป็นสภาวะตามความเป็นจริงโดยละเอียดได้ ยังเห็น "ผู้พูด" แค่หยาบๆ เหมือนเป็นแค่เงาลางๆ เตชพโล จะไม่มีวันเห็นสภาวะที่แท้จริงของ "ผู้ฟัง" ได้เลย ดังนั้น การจะมาสรุปอะไรว่า "ผู้ฟัง" เป็นลักษณะอย่างไร มันยิ่งกว่าตาบอดคลำช้างเสียอีก

    และ ข้อที่สอง คือ เตชพโล ควรจะยอมรับในทิฏฐิ ที่ตนเองเคยผิด
    ในเมื่อตนเองกล่าวไว้เอง ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดดับถี่ๆ แต่ในเมื่อความจริงปรากฎออกมาว่า แท้จริงแล้วมันเกิดดับถี่ๆ
    สิ่งที่ต้องควรแก้ก่อน คือ แก้ใจตนเอง ให้ยอมรับความจริงก่อน ไม่ใช่เปลี่ยนเบี่ยงประเด็น ข้ามไปไม่พูดถึงในสิ่งที่เคยกล่าวไว้ผิด
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เกิดดับ ก็คือ ความไม่เที่ยง
    สันตติ คือ ความสืบเนื่องไป

    ตรงนี้คือทิฏฐิของผู้รู้ ผู้ดู ผู้ฟัง
    เค้ามีิทิฏฐิเช่นใด

    ถ้ามีทิฏฐิเห็นถึงความไม่เที่ยง
    ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ

    แต่ถ้ามีทิฏฐิเห็นมันเป็นสันตติ
    ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ

    ส่วนการจะพิจารณาว่า เกิด ดับ เช่นไร
    มันเป็นเรื่องของผู้พิจารณา
    อย่างเช่น คำว่าพุทโธ
    อาจจะพิจารณาว่า พุท เกิดแล้วดับไป โธ เกิดแล้วดับไป
    แล้วพุท เกิดใหม่แล้วดับ โธก็เกิดใหม่แล้วดับ ต่อไปเช่นนี้
    หรือ พุทโธ เกิด แล้วดับไป พุทโธ ใหม่ ก็เกิดใหม่ เช่นนี้ก็ได้
    ตามแต่จริตนิสัยของผู้พิจารณา
    จะถี่ยิบ หรือ เกิดซักพักแล้วดับซักพัก ค่อยเกิดใหม่
    ก็ให้เป็นไปตามจริตของผู้พิจารณาไป
    เพียงแค่เห็นตามจริงว่าเกิด แล้ว ดับ
    ก็เพียงพอต่อการปล่อยวางเป็นลำดับไป
    จะเห็นเช่นไรก็ตาม ก็ชื่อว่า เห็นการเกิดดับ

    ้เพราะจุดสำคัญคือการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
    การเห็นตามเป็นจริงว่าเกิดดับเป็นเหตุ
    การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นเป็นผล

    ต่อเมื่อพิจารณาแล้วว่าเกิดดับ รู้เองเห็นเองเป็นสันทิฏฐิโก
    ก็สะเทือนถึงใจ นั่นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ
    จิตใจจะปล่อยวางลงเป็นลำดับลำดาไปเอง

    การเกิด ดับ นี้มันไม่ใช่ จิตแท้ ๆ ล่ะ อย่างที่บอกแต่แรก
    จะเกิดดับแบบใด มันก็เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นแหละ

    ถ้ามันเกินภูมิตนนัก แล้วเอามาพูดทำไม
    พูดในสิ่งที่ตนไม่รู้
    ก็เท่ากับเป็นการเอาความฉลาดน้อยของตน
    มาประกาศให้คนอื่นทราบเท่านั้นแหละ

    เอานะ ขอตัวผมขี้เกียจสนทนาด้วย เลอะเทอะ จริง ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :'(..แค่กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เส้นนะครับ.ผมว่า ท่านเตชพโล กับ ท่านอินทบุตร...อ่านดูดีๆ สันทิฏฐิโก หรือ ปัจจัตตัง ของทั้งสองฝ่าย..เอามาปรับดูตามอักษร ที่ต่างฝ่ายบรรยายมา มันก็คล้ายๆกันนั่นนะครับ ผมเข้าใจอย่างนี้..
    :boo:..หากเป็นกัลยา ณ มิตร กันได้ ไม่เลวนะครับ ท่านอเมซิ่ง อีกคน ไม่ธรรมดา..เหมือน หลวงปู่พุทธอิสระ กับ หลวงพ่อเกษม เจอ ..หลวงปู่เณรดำ บวก ..พุทธจวนะ มูลนิธิ โอ๊ยยยยยย..
    ..ขอตัว ไปล้างตับ ล้างพิษ ก่อนดีกว่าผม ศีรษะอโศก อิอิ ..400-500 บาทเอง ตายเป็นตาย..ไปละ นานๆมาที เจอแต่เรื่องให้คิด อิอิ:':)'(
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้าเห็นเกิด ดับ ได้แบบถี่ยิบ
    มันก็เรียกว่าเห็นเกิดดับแล้ว
    สันตติไม่ได้มาบังทิฏฐิอะไรอีกแล้ว
    มันจะไปคล้ายกันตรงไหน

    ถ้าเห็นเป็นสันตติ มันจะไปเห็นเกิดดับได้ยังไง
    ไม่อย่างนั้นท่านจะเรียกว่า สันตติปิดบังอนิจจังเหรอ

    นี่บอกว่าเห็นเกิดดับ แล้วมาเห็นเกิดดับต่อเนื่องเป็นสันตติอีก
    มันจะเห็นอะไรกันหลายอย่างแบบนี้
    เห็นเกิดดับ มันก็ไม่มีสันตติมาปิดบังแล้ว

    ความเห็นเหล่านี้มันเรื่องของทิฏฐิ
    มันจะเหมือนกันตรงไหน ตีความมั่วไปเรื่อย
    คุยกันมันก็ไม่ได้เป็นศัตรูกันซักหน่อย
    อย่าเอากิเลสของตนมาประเมินผู้อื่นเลย
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    โน่น..ไปโน่น..จับคำ มาติ กับอีแค่สันตติ-เกิด-ดับ เอ้ายอมแล้วครับ อิอิ:'(
     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [​IMG]

    จิต

    “..จิตนั้น เมื่อย่นย่อเข้ามามี ๒ อาการ อาการหนึ่งคือจิตใจดวงผู้รู้ อยู่ในตัวคนเราทุกคน มีจิตใจดวงผู้รู้ครองในสังขารแต่ละบุคคล จิตใจดวงนี้นั้นเรียกว่าเป็นดวงจิตที่รู้อยู่ มีความรู้สึกอยู่ในตัวในกาย ในจิตในกายนี้ ไม่ว่าเราจะเอามือไปแตะต้องที่ไหนจนปลายผมก็ตาม ก็มีความรู้สึกเข้าไปถึงจิตใจดวงผู้รู้นี้ นั่นแหละให้สังเกตเข้าไป สู่ดวงจิตที่รู้อยู่

    ส่วนต่อจากดวงจิตผู้รู้ออกมาภายนอกท่านให้ชื่อว่า สังขารจิต จิตปรุง จิตแต่ง จิตคิด จิตนึก คือมันเป็นเงาเป็นกิริยาอาการของจิต มันต่อออกมาอีก มันงอกออกมา มันรั่วไหลออกมา อันนี้ท่านให้ละทิ้งคือไม่ให้ตามออกมา มันเข้ามันออกก็ยังมีจิตใจดวงผู้รู้ รู้ว่าจิตเราคิดออกไป เผลอไปลืมไป ไม่ต้องตามไป ละเสียวางเสีย ให้ทวนกระแสมาอยู่กับดวงจิตที่รู้อยู่ จิตผู้รู้คือว่ามันมีอยู่ตลอดเวลา

    กายสบายมันก็รู้ ร่างกายเราสบายวันนี้ เมื่อร่างกายมันไม่สบายมันก็รู้ รู้ว่ากายไม่สบาย เมื่อจิตมันสบายก็รู้ จิตไม่สบายก็รู้ จิตร้อนก็รู้ จิตหนาวก็รู้ นี่แหละท่านให้รวมจิตใจเข้ามาอยู่ภายในนี้ ไม่ต้องตามไปภายนอก ตามไปภายนอกนั้นไม่มีที่หยุด เหมือนเราเดินไป เดินไปทั่วโลกในพื้นแผ่นดินนี้ไม่ได้ ตาย ตายก่อนก็ไม่ทั่ว จิตภาวนานี้ ท่านก็ไม่ให้ตามออกไป

    ท่านให้ทวนกระแสเข้ามาว่าจิตใจดวงผู้รู้ ฟังอยู่ ได้ยินเสียงตรงไหนเราก็รู้ว่าอยู่ไหน สติระลึกได้ที่นั่น สมาธิจิตตั้งมั่นก็ตั้งลงไปที่นี่ ปัญญาความรอบรู้ในกองสังขารก็รอบรู้อยู่ที่นี่ สงบตั้งมั่นอยู่ในตัว ในกาย ในจิต ตรงที่จิตดวงผู้รู้อยู่ที่ไหนก็ที่นั่นแหละ จนจิตใจดวงนี้สงบระงับ รู้แจ้งเห็นจริงว่า..นอกจากจิตใจดวงผู้รู้ภายใน นอกนั้นออกไปไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงอย่างนี้ จิตผู้รู้ให้รู้ รู้แล้วอย่าได้หลงใหลไปกับอารมณ์กิเลส ให้รวมจิตใจเข้าไปที่ตรงนี้ มันจะคิดไปไหน ใกล้ไกลไม่ต้องไปตามมันไป ตามรู้อยู่กับที่จิตรู้อยู่ จิตรู้ไปไม่เอาละทิ้ง เอาจิตที่รู้อยู่

    คำว่าเอาจิตที่รู้อยู่นั้น คือว่ามันมีอยู่แล้ว ความจริงจิตของคนเราจริง ๆ มันไม่ได้ไปไหน คิดไปปรุงไปอันนั้นเป็นเรื่องสังขาร มันปรุงมันแต่งไปเอง เป็นเรื่องสังขาร เป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ เป็นเรื่องกิเลสที่มันดิ้นรนวุ่นวาย กามตัณหามันไป เมื่อจิตใจผู้ภาวนาไม่หลงไปตามไป มันก็ดับไปเอง ไม่มีใครส่งเสริมต่อเติมมันก็ดับ

    แต่จิตผู้ใดหลงไป ส่งเสริมต่อเติมให้มันก็ไม่มีที่จบที่สิ้น เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่มีที่จบที่สิ้น...”


    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2013
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    สาธุ พี่ๆทุกท่านครับ ขอตามอ่านก่อนถกกันหลายหน้าเชียว :cool:
     
  19. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    ดูกรอานนท์ ทศพลญาณ ๑๐ ประการนั้น เป็นของสำคัญตั้งอยู่สำหรับโลก ไม่มีผู้ใดตั้งแต่ง ขึ้น เป็นแต่เราตถาคตเป็นผู้รู้ผู้เห็นก่อนแล้วยกออกตีแผ่ ให้โลกเห็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญญาณ ๑๐ ประการ ได้แล้ว ก็ขับขี่เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว ก็ปล่อยวางญาณนั้นไว้แก่โลกตามเดิม หาได้เอาตัวตน เอาจิตใจเข้าสู่พระนิพพานด้วยไม่ เอาจิตใจไปได้เพียงนรก และสวรรค์ และพรหมโลกเท่านั้น ส่วนพระนิพพานนั้น ถ้าดับจิตใจไม่ได้แล้วก็ไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าจักเอาจิตไป เป็นสุขในพระนิพพานแล้ว ต้องหลงขึ้นไปเป็นอรูปพรหม เป็นแน่ ดูกรอานนท์ การตกนรกและขึ้นสวรรค์ จะเอาตัว ไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป จิตนั้นใครจะจับต้องลูบคลำไม่ได้ เป็นแต่ลมเท่านั้น
    เพราะจิตเป็นของละเอียด ใครจะจับถือ ไม่ได้ เมื่อจิตไปตกนรก ใครจะไปช่วยยกขึ้นได้ ถ้าจิตนั้น เป็นตนเป็นตัวก็พอช่วยกันได้ บุคคลจำพวกใด คอยท่าให้ ผู้อื่นมาช่วยยกตัวให้พ้นจากทุกข์ นำตัวไปให้ได้เสวยสุข บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนโง่เขลาหาปัญญามิได้ เราตถาคต รู้นรกสวรรค์ทุกข์สุขอยู่แล้ว และหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ ให้เสวยสุข ก็เป็นการแสนยากแสนลำบาก จะไปพาจิตใจ ของท่านผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ถึงแม้พระพุทธเจ้า องค์จะตรัสรู้ในเบื้องหน้าก็เหมือนกัน มีแต่แนะนำสั่งสอน ให้รู้สุขทุกข์สวรรค์และพระนิพพานเท่านั้น ผู้ที่จะต้องการ สุขทุกข์อย่างใดนั้น แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าต้องศึกษาให้ รู้แท้แน่นอนแก่ใจเสียก่อนว่าทุกข์ในนรกเป็นอย่างนั้น สุข ในสวรรค์เป็นอย่างนั้น สุขในพระนิพพานเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วยังจะมีทางได้ทางถึงบ้าง คงจะไม่ท่องเที่ยวอยู่ใน วัฏฏสงสารเนิ่นนานเท่าไรนัก ถ้ายังไม่รู้แจ้งแต่เมื่อยังมี ชีวิตอยู่ก็ไม่อาจจะพ้นได้เลย และได้ชื่อว่าเป็นผู้เกิดมา เสียชาติเป็นมนุษย์เสียความปรารถนาเดิม ซึ่งหมายว่าจะ เป็นผู้เกิดมาเพื่อความสุข ครั้นเกิดมาแล้วก็พลอยไม่ให้ตน ได้รับความสุข ซ้ำยังตนให้จมอยู่ในนรก ทำให้เสียสัตย์ ความปรารถนาแห่งตน น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ข้าแต่ พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.
    [/SIZE]
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ในที่นี้ ผมก็เห็นเตชพโล กับ ธรรมภูต ที่พูดเรื่องเกินภูมิของตนเอง
    เรื่องที่ผมกล่าวไป ไม่ได้เกินจากสิ่งที่จิตผมรับรู้ได้

    แต่เตชพโล กับ ธรรมภูตกล่าวสรุปในสิ่งที่เกินจากภูมิจิตของตนเองจะเห็นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...