ปัญหาการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู

ปัญหาการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู

กระผมมีความสงสัยมาเป็นเวลานานร่วม 30 ปี ได้แต่ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ไม่กล้าสอบถามผู้ใด
แต่ก็มีอยู่บ้างที่ได้เคยสอบถามร่างทรง ผลที่ได้รับ คือการถูกดุและว่ากล่าวจากร่างทรง
เคยสอบถามพระภิกษุสงฆ์ แต่มักไม่ได้คำตอบ หรือเป็นคำตอบที่ทำให้ไม่หายสงสัย
เคยคิดที่จะถามพระอรหันต์ แต่ไม่กล้าถาม กลัวท่านดุเอา

ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามร่างทรง ด้วยวาจาสุภาพ มิตรไมตรีว่า ในพระพุทธศาสนานั้น หรือถ้าจะมีหลักฐานอ้างอิงก็ขอยกพระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งได้จัดแบ่งสวรรค์ออกเป็น 6 ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหม 4 ชั้น นั้น กระผมมีความสงสัยใคร่รู้มานาน ว่า พระอิศวร พระนารายณ์ ท่านอยู่ในสวรรค์ชั้นไหน หรือเป็นเทพพรหมชั้นใดครับ

เท่านั้นแหละ เป็นได้เรื่อง ร่างทรงก็ออกอาการไม่พอใจ หาว่ามาลบลู่ดูหมิ่น แถมยังไม่ตอบข้าพเจ้าด้วย ว่าอยู่ชั้นไหน สุดท้ายก็ยังไม่หายความสงสัย

ทุกวันนี้ ก็ยังสงสัยอยู่ ดังรายนามต่อไปนี้ พระอิศวร พระนารายณ์ พระกฤษณะ พระวิษณุ พระพิฆเนศ พระอุมาเทวี พระลักษมี พระสรัสวดี

ก็เห็นจะมีเพื่อนสมาชิกในเว็บพลังจิตนี้ ที่พอจะเห็นเป็นที่พึ่ง ให้หายสงสัยไปได้บ้าง
ขอบคุณครับ

 

อันที่จริงแล้ว กระผมเคยคิดบ้างเหมือนกันว่า เทพเจ้าทั้งหลายดังกล่าวนั้น เป็นเทพเจ้า หรือเป็นพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู ไม่ใช่เป็นชื่อเทพ พรหม ในพระพุทธศาสนา

แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ เพราะพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพิธีบวงสรวงเทพเจ้า มักกล่าวถึงเทพเจ้าท่านเหล่านี้เสมอ

 

เข้าใจว่าส่วนใหญ่เป็นพรหม

 

“คติสวรรค์เป็นอย่างไร?”

สวรรค์ในคติศาสนาพุทธแตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ เขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ในคติของชาวพุทธ ได้แก่

ชั้นที่ 1 จตุมหาราชิกา มีท้าวจตุโลกบาลประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ ประกอบด้วยท้าวธตรฐ (เจ้าแห่งภูติและคนธรรมพ์)
ท้าวกุเวร (เจ้าแห่งยักษ์) ท้าววิรุณหก (เจ้าแห่งกุมภัณฑ์) และท้าววิรูปักข์ (เจ้าแห่งนาค) จตุโลกบาลเหล่านี้อยู่บนยอดเขายุคธร
ซึ่งเป็นเขาลูกแรกจากเจ็ดลูกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ โดยปกครององค์ละเมือง สี่เมืองในแต่ละทิศ
ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ (ไตรตรึงส์) พระอินทร์จอมเทวดาอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุมีไพชยนต์ปราสาทเป็นที่อยู่
ชั้นที่ 3 ยามา เป็นเทวดามีวิมานลอยฟ้า ไม่ได้อยู่ยอดเขาใด
ชั้นที่ 4 ดุสิต เป็นวิมานของพระโพธิสัตว์ ใครก็ตามที่จะมาตรัสรู้ธรรมเป็น พระพุทธเจ้าต้องอยู่ชั้นนี้ก่อน เป็นวิมาลอยฟ้า ไม่ได้อยู่บนยอดเขาใด
ชั้นที่ 5 นิมานรดี เป็นเทวดาจากเหล่ามารที่ได้บำเพ็ญเพียรกุศลแล้วเกิดเป็นเทวดา มีวิมานลอยฟ้า ไม่ได้อยู่ยอดเขาใด และ
ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวดี เป็นมารเทวดาบำเพ็ญบุญสูงกว่าเทวดานิมานรดี อยู่วิมานลอยฟ้าเหมือนกัน

ส่วนสรรค์ในคติของชาวฮินดูมีอยู่ 4 ชั้นด้วยกัน ได้แก่

ชั้นที่ 1 สวรรค์ (swrga) เป็นที่อยู่ของพระอินทร์จอมเทวดา,
ชั้นที่ 2 ไกรลาส (kailasa) เป็นอยู่ของพระศิวะ,
ชั้นที่ 3 ไวกูณฑ์ (vaikuntha) เป็นที่อยู่ของพระวิษณุ (พระนารายณ์) และ
ชั้นที่ 4 สัตยโลก (sttaya-loka) ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระพรหม
ในแต่ละชั้นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเป็นจำนวนมาก

 

....ผมได้คำตอบมาละ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะโพสต์นะ ผมก็เคยสงสัยเหมือนกัน...

 

ถาม : ตอนนี้ยังมีไหมครับ ... อย่างพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิด ?
ตอบ : แบ่งภาคคงไม่ต้องแบ่งหรอกจ้ะ ถ้ามาคงมาเลย คำว่าพระนารายณ์ที่เป็นตำแหน่งไม่ใช่เป็นชื่อเฉพาะ ดังนั้นใครมากินตำแหน่งนั้นเขาเรียกว่าพระนารายณ์ ปัจจุบันเขาเรียกท่านพี่มเหสักข์ นอกจากท่านจะทำหน้าที่พระนารายณ์แล้วท่านยังเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณีด้วย ถ้าหากท่านพ้นตำแหน่งไปองค์อื่นก็มาเป็นเขาเรียกพระนารายณ์เหมือนกัน ถ้ามาเกิดคงมาเกิดเลยเรื่องแบ่งภาคไม่มีหรอก แบ่งไม่ออก (หัวเราะ)
พราหมณ์เขาเก่งเขาตั้งเทวดาได้ คือเขาจะกำหนดว่าเทวดาชื่อนั้นมีความสามารถอย่างนั้น ๆ เสร็จแล้วทางข้างบนเขาก็ลำบากกันเพราะว่าการเคารพเทวดาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือเป็นเทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาท่าน แต่ว่าพรหามณ์เขาไม่ระลึกถึงความดีในลักษณะที่ว่าเทวดาดีอย่างไรแล้วทำตาม เช่น เทวดาต้องมี หิ ริ รู้จักละอายชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล หรือว่าอย่างน้อยต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นพรหมซึ่งถือว่าอากาศเทวดา ชั้นสูงขึ้นไปอย่างน้อยต้องได้ฌานสมาบัติเขาไม่ได้ดูตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำตามตรงจุดนี้ เขาใช้วิธีอ้อนวอนร้องขออย่างเดียว แต่ว่าก็ยังเป็นการยึดในเทวตานุสสติ ในเมื่อเป็นการยึดความดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระอินทร์ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าเทวดาก็เลยต้องหาผู้มารับตำแหน่งรับหน้าที่ตามนั้น ผู้ใดมีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขากำหนดไว้ เอ้า ! เขาว่าไว้ต้องเก่งอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น มีความสามารถด้านนั้นก็หามารับตำแหน่งไป
อย่างพระศิวะของเขาในปัจจุบันก็คือท่านปู่พระอินทร์รับไปอย่างนั้น พระแม่อุมาเทวี ก็ท่านย่ารับไป แต่ว่าประวัติเทวดาของเขาแต่ละอย่างพิลึกพิลั่นบางทีกิเลสท่วมหัวยิ่งกว่ามนุษย์อีก เช่นพระอินทร์ไปเป็นชู้กับเมียพระฤๅษีก็มี....อะไรอย่างนี้ ของเขาสนุกมากประวัติเทวดาแขกลองไปอ่านดู

ถาม : พระพิฆเณศวร์ล่ะครับ ?
ตอบ : พระพิฆเณศวร์ก็มีจ้ะ ปัจจุบันนี้ก็คือท่านปิยะสิกขะรับตำแหน่งอยู่ เป็นตำแหน่งเฉย ๆ ใครมารับตำแหน่งก็เรียกพระพิฆเณศวร์ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งศีลปวิทยาการทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้มีเศียรเป็นช้างอย่างที่เห็นนะ ที่เป็นช้างนั่นตามตำราพราหมณ์เขาว่าไว้ จริง ๆ แล้วท่านหล่อกว่าชายงามจักรวาลอีก เรื่องนี้โกหกหรือเปล่าพระก็เล่าไปเรื่อยนะ จับผิดไม่ได้โกหกมันไปเรื่อยอย่างนั้นพูดหน้าตาเฉยอย่างกับรู้จักกันดี (หัวเราะ) ว่าไปเรื่อยเปื่อย... มันเป็นตำแหน่งของเขา

-หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ-​

 

เป็นตำแหน่งครับ พระนารายณ์จะเป็นองค์ที่จะมาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดมา ปัจจุบันพระศรีอริยะเมตไตรยดำรงตำแหน่งพระนารายณ์อยู่ครับ ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในตำแหน่งพระนารายณ์ ท่านเคยดำรงตำแหน่งพระศิวะมาก่อนครับ

 

...อย่างที่หลาย ๆ ท่านบอกนั่นแหละครับ มันเป็นตำแหน่งของเทพพรหมผู้ดูแลจักรวาล ไม่ใด้เป็นชื่อนะครับ เป็นตำแหน่ง เทพพรหมเหล่านี้อยู่มาตั้งแต่ต้นกัปล์ และจะดำรงค์อยู่จนสิ้นกัปล์ ตอนไฟบรรลัยกัปล์เผาโลก...
....พอเริ่มกัปล์ใหม่ ก็จะมีเทพพรหมที่ทำหน้าที่ดูแลโลกธาตุและจักรวาล จุติมาทำหน้าที่แบบนี้อีก ใครจะมาเป็นก็แล้วแต่บุญวาสนาเดิมของแต่ละท่าน

 

มีอยู่ แต่บางองค์ก็ใกล้ชิดกับมนุษย์ บางองค์ก็ยากจะสัมผัส

ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่โต ท่านจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน ก็ได้
อยู่ที่กำลังของความเป็นทิพย์ อยู่ที่พอใจ อยู่ที่จุดประสงค์

เช่น ท้าวมหาราชทั้งสี่ อยู่สวรรค์ชั้นหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ท่านมีอำนาจมาก สามารถอยู่สวรรค์ชั้นสูงกว่านั้นได้มาก
หรือ ทำไมพระอินทร์ อยู่สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์

ที่คุณไปถาม เป็นจิตวิญญาณ ธรรมดา ๆ บริวาร ของบริวาร ของบริวาร
เขาจะไปรู้เรื่องที่ถามได้อย่างไร

 

พระอิศวร พระแม่อุมา พระนารายน์ พระแม่รัศมี พระพิฆเนศ ล้วนมีจริง
แต่ด้วยการสร้างบารมี ท่านมีแบ่งภาค อวตาร มากมาย เฉกเช่นพระโพธิสัตว์บางพระองค์
อย่าได้สงสัยเลยครับ ขอให้มีศรัทธาและหมั่นเจริญภาวนาทางจิตอย่างแท้จริง เธอทั้งหลายจักรับรู้พบเห็นและรู้แจ้งด้วย จิตของท่านเองครับ สาธุ

 

.....หลายศาสนาเขามีมาก่อนศาสนาพุทธ ศาสนาพราห์ม ศาสนา (... ) เอากลุ่มศาสนา (.... ) ก่อนนะครับ ที่เขานับถือพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าตามความเข้าใจก็คือผู้ดูแลจักรวาล ตามคำอธิบายในสาสนาของเขาผมว่าคล้าย ๆ พวกอรูปพรหมครับ คือ ไม่รูป มีแต่นามเรียก เป็นพลังงานที่สถิตอยู่ทุกในทุก ๆ สรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต

 

..ส่วนศาสนาพราห์ม ลักษณะจะคล้าย ๆ กับพวกเทวดา มีครอบครัว มีความรัก มีรูปร่าง มีหน้าที่ปกปักษ์ รักษามนุษย์

 

.....ถ้าจิตของทุกคนมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริงใจไม่หวั่นไหวแล้ว จะสนใจทำไมกับเทพของพราหมณ์ มันเป็นแค่ความเชื่อของเขาเท่านั้นเองเราทุกคนก็สามารถเป็นเทพเป็นพรหมได้เหมือนกันทุกคน ขอแค่คุณทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าบอก นั่นก็คือ หมั่นให้ทาน รักษาศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ และหมั่นเจริญพระกรรมฐาน ๔๐ กองใดกองหนึ่งตามความพอใจ หรือจะลองไปศึกษาที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ก็ได้ แล้วความสงสัยของท่านทั้งหลายจะหายสนิทเป็นปลิดทิ้งเลยครับ แต่ถ้าอยากเป็นเทวดาก่อนที่จะตายก็ต้องมีเทวธรรม คือ
๑. หิริ ความละอายในการทำบาปทำชั่วทั้งปวง
๒. โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาปและความชั่วทั้งหลาย
ถ้าท่านทั้งหลายมีคุณธรรมดังนี้ ก็ได้ชื่อว่า เป็นเทวดาที่แท้จริง สาธุ ฯ.

 

==========

เหตที่กระผมกล่าวเช่นนี้เพราะได้สัมผัสท่านมานานแล้วเสมอเป็นนิจ และท่านก็เคยประทานบทสวดเป็นภาษาของท่านว่า

โอม นามาฮา ดิสิทสิบิยา ยัคคะนะโม นามาฮา ฮัทซาบินา ยัคคา นะโม นามาฮา มังคะละมู ตรีมูระติยา

เฮสักกาเร เฮเต สักการาฮายะ กัมมันตะเร เฮเตสักการฮายา เฮสักการาฮายะ โอม ประสิทธิยา โอม ประมัตเตร ประมัตเตร ประมัตเตร

เมื่อประมาณ9ปีที่แล้ว กระผมไม่เคยไหว้และบูชาเทพเพราะไม่รู้พิธีจนท่านทำให้เชื่อว่ามีจริงและเริ่มต้นทำทุกอย่างด้วยตนเอง เหมือนกายนี้มีสองจิต หมุนเวียน สามารถสวดมนต์ สามารถทำบายศรี งานพิธีกรรมทางพรามห์ กระผมรู้และสามารถทำได้ทุกพิธีกรรม และอื่นๆอีกมาก และทำมานานแล้วครับ

แต่ใจภายในก็เคารพรักและบูชาพระพุทธเจ้าสูงสุดครับ

 

เกิดเป็นมนุษย์ แล้ว จงอย่าปิดกั้นทุกๆความดี ไม่เกี่ยวด้วยใคร แต่สนในแค่ว่า ท่านนำท่านสอนให้เราเป็นคนดี ทำแต่ความดี แค่นี้ก็พอ หรือมีอะไรน่าสนใจมากกว่าไปนี้ครับ สาธุ อย่ายึดติด แต่จงตั้งมั่นในทุกความดีครับ

ก็บารมีกระผมสร้างมาแบบนี้ ทำมันทุกอย่างมาแล้ว ก็ต้องสานต่อทำมันไปก็เท่านั้นครับ
ส่วนการเจริญภาวนานี้มันขาดไม่ได้ เพราะสิ่งนี้คือตัวปัญญา และคงไม่มีใครสอนได้ดีไปกว่าพระพุทธเจ้า ตรงนี้เราก็ต้องรู้ว่าควรนำเอาพระสัทธรรมของพระองค์มาใช้ฝึกฝนชำระจิตอย่างไรให้เดินมรรคถูกต้องตรงตามที่ท่านตรัสไว้ครับ สาธุ

 

.....ความดีน่ะก็ต้องรู้จักเลือกที่ เฉกเช่นการทำนา ต้องหานาที่มีดินดี น้ำดี ข้าวจึงจะงอกงามแต่ถ้าไม่เลือกนา หว่านไปทั่ว ข้าวก็ได้น้อยหรือไม่ได้เลย
.....นาบุญก็เช่นกัน ต้องหาแต่นาบุญที่ดี ถ้าไม่แน่ใจในนาบุญ ก็ทำสังฆทาน ทอดกฐินวิหารทาน ธรรมทานไปเลย มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า

ทาน คือ การเลือกให้ อันพระสุคตสรรเสริญ



​

ว่างๆเดี๋ยวเอานิทานชาดกมาเล่าให้ฟังครับ

 

มันเป็นเรื่องอจินไตย สงสัยไปไม่เกิดประโยชน์เพราะมันเป็นความเชื่อของแต่ละศาสนา

 

ระวังจะหลงทางกันนะครับท่านโพธิสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวหาว่าหล่อไม่เตือน
​

 

ไม่ได้ยึดถือเทพพรหมทั้งหลายเป็นสรณะ

สรณะของข้าพเจ้า มีเพียง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แต่ เทพ พรหม ทั้งหลาย จะปฏิเสธถึงการมีอยู่จริงก็ไม่ได้
เทพ พรหม หลายองค์ ก็เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องพระพุทธศาสนา
เช่นนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายดังกล่าว ก็เหมือน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ในกิจการงานเพื่อศาสนา ที่เราสมควรจะถือเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่หรือ?

พระอินทร์ ท้าวสหัมบดี ท่านธัมมะสามี คิดว่าถ้าไม่มีสององค์นี้ พระพุทธศาสนา ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร?

 

มีหัวใจดำรงมั่นอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นประทาน ประกอบกับมีสัมมาทิฏฐิประกอบอยู่กับจิต จะไปกลัวทำไมการหลงทาง หากทุกความดีทำให้หลงทางก็ยินดี บ้าทำความดี หลงทำความดี ก็ดีกว่าหลงทำบาบ หลงในโลกธรรม8ครับ

สำหรับนักบุญผู้ปราถนาสร้างบารมี เขาไม่เลือกหรอกครับ เพราะที่เขาทำเขาไม่ได้หวังผลที่ผลที่จะเกิดกับผู้อื่นมากนัก แต่เขาหวังผลคือเขาได้ทำลงไปด้วยเพราะปราถนาจะขัดเกลากิเลสภายในของเขาให้ดีงามเสมอครับเพื่อปูพื้นฐาน สร้างจิตตนให้ดีงามประดุจทองนพคุณแท้ ครับ

หลวงปู่ทวด เวลาท่านช่วยเหลือคนไม่เคยเห็นว่าท่านเลือกช่วยคน แม้คนที่ชั่วทรามต่ำช้า ท่านก็ช่วยไม่มีข้อยกเว้น นี่เป็นแบบอย่าง เมื่อเราเมตตาแล้ว จงเมตตาโดยไม่มีประมาณ เช่นเดียวกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์อื่นๆทุกพระองค์ครับ
โอกาสในการทำความดีสร้างกุศลมาถึงหน้าแล้ว อย่าไปมัวคิดมากเลย พึงตั้งใจทำความดีไปอย่าให้เสียโอกาสเลยครับ สาธุ