คัมภีร์ พระคุณบิดามารดายากทดแทน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โหน่งคับ, 26 มีนาคม 2010.

  1. โหน่งคับ

    โหน่งคับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +69

    ครั้งหนึ่งในสมัยพระพุทธกาล ประมาณสองพันห้าร้อยล้านปีก่อน

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ในสวนเชตวัน กรุงสาวัตถี

    โดยได้โปรดแสดงธรรมให้สงฆ์สาวก 2,500 รูป และเหล่ามหาโพธิสัตว์อีก

    38,000 พระองค์ ผู้ร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น

    วันหนึ่ง ขณะทีพระพุทธองค์เสด็จนำเหล่าสาวกมุ้งหน้าไปทางทิศใต้

    ระหว่างทางนั้น ทรงทอดพระเนตรเห็นโคงกระดูกก้อนหนึ่งพระองค์ได้น้อมพระ

    วรกายก้มลงทำความเคารพกระดูกกองนั้น ด้วยพระจริยาที่นอบน้อมของพระ

    พุทธองค์ ทำให้เหล่าพระสงฆ์สาวกต่างฉงนสนเทห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เหตูใดพระ

    บรมศาสดาจึงแสดงอาการเช่นนี้

    พระอานนท์เถระ พนมมือคารวะ แล้วทูลถามพระองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระ

    ภาคเจ้า พระองค์เปนมหาบุรุษ เป็นครูของสามโลก เป็นบิดาผู้มีการุณธรรม

    อย่างยิ่ง เป็นที่เคารพเทิทูนของผู้คนและเทวดาทั้งหลาย พวกเราเหล่าสาวก

    ล้วนเคารพเทิดทูนพระองค์เป็นที่สุด หาสิ่งใดเสมอมิ แต่ด้วยเหตุผลอันใด

    พระองค์จึงได้ก้มลงกราบโครงกระดูกเหล่า พระเจ้าข้า?"

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ดูก่อนอานนท์ คำถามของเธอดีมาก แม้ว่าพวกเธอ

    ทุกคนล้วนเป็นสาวกของเรา ได้ออกบวชบำเพ็ญมานานแล้ว แต่ยังมีอีกหลาย

    เรื่องที่พวกเธอไม่รู้ โครงกระดูกเหล่านี้อาจจะเป็นบิดามารดา หรือบรรพบุรุษ

    ของเหล่าใอดีตชาติ แล้วมีเหตุผลอันใดที่บุตรจะไม่กราบไหว้บิดามารดาแห่ง

    ตน ดังนั้น เราจึงๆได้แสดงความเคารพกระดูกกองนี้"

    พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า "ดูก่อนอานนท์ บัดนี้เธอจึงแบ่งแยกกระดูกออกเป็นสอง

    กองเถิด หากเป็นกระดูกของผู้ชาย จะมีสีขาวกว่า และน้ำหนักมากกว่า แต่หาก

    เป็นกระดูกผู้หญิง จะมีสีคล้ำ และมีน้ำหนักเบากว่า"

    พระอานนท์แสดงความประหลาดใจ ทูลถามอีกว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระ

    ภาคเจ้า ข้อนี้ข้าพระองค์ไม่เข้าใจเลย ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เราอาจพิจารณาจาก

    เสื้อผ้า การแต่งที่แตกต่างกัน ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่วาหลังจากเสีชีวิตไป

    แล้ว ก็ล้วนกลายเป็นโครงกระดูกไม่ต่างกัน แล้วเราจะว่า เป็นกระดูกของผู้ชาย

    หรือผู้หญิงได้อย่งไร พระเจ้าข้า?"

    พระพุทธองค์ทรงตรัสชี้แนะว่า "ดูก่อนอานนท์ หากเป็นผู้ชาย ขณะมีมี

    ชีวิตอยู่ ได้เข้าวัด ฟังเทศน์ฟังธรรม ถือศีล บูชาพระรัตนตรัย สวดพระนามพระ

    พุทธะอยู่เสมอ ด้วยอานิสงส์ของกุศลนี้ กระดูกจึง กระดูกจึงมีสีขาวและน้ำหนัก

    มากกว่า ส่วนผู้หญิงนั้น มักไม่ค่อยมีโอกาศสวดมนต์ไหว้พระ ต้องรับภาระหนัก

    อยู่บ้าน อมรมดูแลบุตรธิดา เมื่อให้กำเนิดบุตรธิดาหนึ่งคน จะต้องเลี้ยงด้วยน้ำ

    นม ซึ้งกลั่นมาจากสายเลือดของผู้เป็นมารดาจำนวนมาก ทำให้ร่างกายของ

    มารดาผ่ายผอมทรุดโทรมไป กระดูกจึงมีสีคล้ำแน้หนักเบากว่า"

    พระอานนท์ได้ฟังพระราชดำรัสของพระองค์ จิตใจปวดร้าวดังถูกมีดกรีด

    รู้สึกสำนึกเสียใจ สะอื้นร้ำไห้ น้ำตาพร่างพรู แล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระ

    ภาคเจ้า พระคุณของบิดามารดาที่ทุกข์ยากลำบากนั้น พวกเราพึ่งทดแทนอย่าง

    ไร พระเจ้าข้า"

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "พวกเธอจงตั้งใจฟังใด เมื่อมารดาตั้งครรภ์ต้องใช้เวลาถึงสิบเดือน ในระหว่างต้องได้รับความทุกข์ทรมานนานัปการ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00205_11.jpg
      00205_11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.6 KB
      เปิดดู:
      125
  2. โหน่งคับ

    โหน่งคับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +69
    เริ่มจากเดือนแรก ที่เป็นจุดปฏิสนธิเกิดขึ้นในครรภ์ ชีวิตน้อยๆ มีอันตรายได้ตลอดเวลา

    เสมือนหยดน้ำค้างบนยอดหญ้า ที่พร้อมจะเหือดแห้งหายไป ตอนเช้าก่อตัว พอตกบ่ายอาจ

    สลายไป มีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นข้ามคืน

    พอถึงเดือนที่สอง หยดนั้นก็จับตัวคล้าบกับเนยเหลวก้อน เล็กๆ แต่อาจสลายได้โดยง่าย

    พอถึงเดือนที่สาม เริ่มเกาะกลุ่มกนกลายเป็นก้อนเลือด

    พอถึงเดือนที่สี่ ทารกจึงเริ่มจะมีรูปร่างเป็นนขึ้นมา

    พอถึงเดือนที่ห้า อวัยวะสำคัญทั้งห้าของทารกในครรภ์ ศรีษะ แขน ขา เริ่มเป็นรูปร่างมาก

    ขึ้น
    พอถึงเดือนที่หก ทวารทั้งหกของทารกในครรภ์ ประกอบด้วย ตา หู จมูก ปาก ร่างกาย และ

    จิตใจ เปิดทวารสัมผัสรับรู้ได้แล้ว

    พอถึงเดือนที่เจ็ด ทารกในครรภ์ก็มีกระดูกในร่างกายครบ 360 ชิ้น และบนผิวหนังยังเกิด

    ขน 84,000 รูขุมขน

    พอถึงเดือนที่เเปด ทารกในครรภ์ก็เจริญเติบโตจนเกือบสมบูรณ์แล้ว เริ่มมีความรู้สึก มีชีวิต

    จิตญาณภายใน ต่อมาทวารทั้งเก้าภายในร่างกาย ตา รูหู รูจมูก ปาก และทวารหนักเบา ก็

    เปิดรับรู้

    พอถึงเดือนที่สิบ ทารกในครรภ์มีอวัยวะร่างกายครบถ้วนสมบรณ์ เตรียมพร้อมที่จะออกสู่โลกภายนอก......
     
  3. โหน่งคับ

    โหน่งคับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +69
    ในช่วงเวลาสิบเดือนของการตั้งครรภ์นั้น มารดามีความทุกข์ยากลำบากมากมาย เกินกว่าจะ

    บรรยาย เพื่อให้ทารกคลอดสะดวกมารดาต้องหลั่งเลือดมากมายดั่งสายน้ำ ทำให้ทารกใน

    ครรภ์ลื่นไหลออกมาพร้อมกับสายเลือดนั้น

    การคลอดโดยปกติ ทารกจะงอมืองอเข่าเข้าหาตัว ศรีษะเคลื่อนลงล่าง ออกมาอย่าง

    ปลอดภัย มารดาก็ไม่มีอันตราย แต่ในบางรายที่คลอดยาก มือและเท้าน้อยๆ จะเตะถีบ

    ดิ้นรน ทำให้มารดารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เสมือนดั่งถูกหอบดาบทิ่มแทง หือถูกยิงด้วย

    ลูกธนูทะลุหัวใจ สลบไปแล้วก็สลบอีก ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ผู้เป็นลูกจึงต้องระลึกถึง

    ความเจ็บปวดทรมานของมารดาที่ให้กำเนิด มิเช่นน้นก็คงร้ายกว่าสัตว์เดรัจชาน

    พระคุณอันยิ่งใหญ่ของมารดาสิบประการประกอบไปด้วย....
     
  4. โหน่งคับ

    โหน่งคับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +69
    ประการที่หนึ่ง พระคุณที่ปกปักรักษาทนุถนอมทารกในครรภ์

    ทรงตรัสสรรเสริญว่า การได้เกิดเป็นคนนั้นแสนยาก ต้องวนเวียนยู่ในภูมิวิถีหก นับถพนับ

    ชาติไม่ถ้วน กว่าจะได้จุติเกิดกายเป็นคน ทั้งต้องมีบุญสัมพันธ์กับบิดามารดาในชาปัจจุบัน

    จึงอาศัยครรภ์มารดาเริ่มปฏิสนธิ จนเข้าเดือนที่ห้า ทารกในครรภ์จึงเริ่มมีอวัยวะปรากฏเป็น

    รูปร่างขึ้น ราวเดือนที่หก ทวารทั้งหกก็เปิดทารก ในครรภ์น้ำหนักเพิ่มขึนทุกวัน มารดารู้สึก

    เหมือนแบกภูเขาไว้ทั้งลูก เมื่อทารกในครรภ์เริ่มดิ้นรนเตะถีบ ทำให้มารดารู้สึกเหมือนต้อง

    ลมพายุ หรือแผ่นดินไหว จิตใจจดจ่อ ห่วงกังวลแต่ลูกในครรภ์ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายจิต

    ใจเหนื่อยล้า แต่เดิมเคยรักสวยรักงาม ก็ปล่อยปละไม่อยากแต่งตัว ไม่ใส่ใจใยดี


    "หากแม้นบุคคลใด หาบบิดาไว้ที่ไหล่ซ้าย หาบมารดาไว้ที่ไหล่ขวา แล้วเดินวนรอบเขาพระสุเมรุ หาบนั้นทั้งหนักทั้งเสียดสี จนไหล่ทั้งสองข้าง ผิวเนื้อแตกทะลุถึงกระดูก เลือดไหลอาบถึงข้อเท้า ทำอยู่เช่นี้เป็นเวลานับพัน นับหมื่นกัป ก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของบิดามารดาได้"
     
  5. โหน่งคับ

    โหน่งคับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +69
    ประการที่สอง พระคุณที่ได้รับความเจ็บปวดทรมนในขณะคลอดบุตร

    ทรงตรัสสรรเสริญว่า ตลอดเวลาสิบเดือนที่ตั้งครรภ์ มารดาเฝ้านับวันคืนรอคอยจะได้เห็น

    หน้าลูกน้อย เวลาคลอดก็ยิ่งใกล้เข้ามา ด้วยความห่วงใย มารดาจึงเหมือนคนป่วย ไม่มีชีวิต

    ชีวา ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง จิตใจหงุดหงิดเต็มไปด้วยความกวาดกวั่น กังวลถึงความ

    ปลอดภัยของลูก น้ำตาไหลพรั่งพรู กล่าวกับญาติมิตรด้วย อาการเศร้าหมองว่า "สิ่งที่ฉัน

    กลัวที่สุด ไม่ใช่ความปลอดภัยของตัวเอง แต่กลัวว่าพญายมไม่ปรานี จะมาพรากชีวิตลูกรัก

    ไปจากฉัน"

    ประการที่สาม พระคุณที่หลังจากคลอดบุตรแล้ว ลืมเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น

    ทรงตรัสสรรเสริญว่า ขณะที่มารดาคลอดบุตรต้องใช้แรงอย่างมาก เหมือนอวัยวะถายในจะ

    ฉีกขาด เจ็บปวดแสนทรมาน สลบไปแล้วสลบไปอีก เลือดที่หลั่งพุ่งออกเป็นน้ำพุ เหมือน

    กับที่เขาเชือดคอสัตว์ มารดาผ่านช่วงวิกฤติรอดตายมาได้ เมื้อฟื้นสติขึ้นมา สิ่งแรกก็คือ

    ถามหาลูกรักของตน ครั้นเมื่อรู้ว่าลูกปลอดภัยแล้ว ก็รู้สึกปิติยินดี มีความสุขเมื่อได้อุ้มลูก

    น้อยไว้ในแนบอก ใบหน้ายิ้มแย้มจ้ใสดีใจชั่วขณะหนึ่ง ความเจ็บปวดในร่างกายก็ประดัง

    กลับมาใหม่
     
  6. Kosit`

    Kosit` Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +48
  7. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    พระคุณของบิดามารดานั้นทดแทนเท่าไรก็ไม่หมด อ่านแล้วซาบซึ้งมากค่ะ ขอกราบอนุโมทนาในธรรมทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...