จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    ยิ่งมอง ยิ่งเห็น..ยิ่งรู้สึกเข้าใจและเห็นใจเธอมาก..แต่ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้..นอกจากดวงตาที่เห็นธรรมของเธอเอง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2013
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    องค์ใดพระสัมพุทธ (Homage to the Buddha) - YouTube

    (นำ) องค์ใดพระสัมพุทธ (รับพร้อมกัน) สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลเกลสมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบาน คือดอกบัว
    ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
    พร้อมเบญจพิธจัก- ษุ จรัสวิมลใส
    เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง
    กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปทั้งชายหญิง
    สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ
    ข้าฯ ขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ
    สัมพุทธการุญ- ญ ภาพนั้นนิรันดร ฯ (กราบ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2013
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมคงไม่สามารถตอบได้ครับ เพราะว่าผมอยู่กับท่านอยู่แล้วครับ
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตสารภาพ...
    ที่ผ่านมา และที่กำลังจะผ่านไป เท่าที่ข้าพเจ้า คือนับตั้งแต่จำความได้เป็นต้นมา
    จำอดีตกาลที่ผ่านไปไม่ได้ นับตั้งแต่กำเนิดเป็นมนุษย์ชาติแรกจนถึงชาตินี้และลมหายใจนี้
    ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เคยเดินทางมาจากดินแดนแห่งอื่น แต่ไม่ขอกล่าวมาณ.ที่นี้
    เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมายังโลกนี้ ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองตามจิตวิญญาณทั่วไป
    แต่ปรากฎว่าติดรสชาดและหลงใหล เพราะความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกิดมีกายหยาบเข้า
    เพราะมีอยู่ทางเดียว ที่จะทราบและสัมผัสโลกใบนี้ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยธาตุ๔เป็นสื่อกลาง
    จึงตัดสินใจทำตามความต้องการจิตวิญญาณของตน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็เลยลืมที่มาของตน
    จึงไม่สามารถกลับคืนฐานถิ่นเดิม ในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้โดยปริยาย
    ความรู้หรือจิตเดิมแท้นั้น แท้จริงแล้วก็เป็นจิตประภัสสร แต่จิตเศร้าหมองเพราะกิเลสมาจรชั่วคราว
    ความรู้เดิมกลายเป็นความรู้สึกตัวหรือสติของคนเรานี่เอง ก็เลยมาง่ายแต่กลับยาก เพราะจิตหลง
    มีอวิชชาครอบงำ ปิดบังดวงจิตเดิมแท้จนมืดมิด เจ้ามนุษย์เอ๋ย เจ้าจงตื่นเถิด ตื่นมาจากกายหยาบ
    คือตื่นจากกิเลสที่ติดมากับกายหยาบ แต่ถ้าไม่ตื่นมัวแต่หลับไหลอยู่แต่กองกิเลสตนอย่างนี้
    ก็ไม่มีทางรู้ความจริงชีวิตของเราได้ ก็เลยพากันหลงเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิดอยู่อย่างนี้
    เป็นทุกข์กายทุกข์ใจอยู่ร่ำไป วิชาออกจากคราบมนุษย์ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบมาเป็นแนวทาง
    การปฎิบัติที่ออกจากทุกข์ของตน แต่ถ้าหากมีกำลังใจมากย่อมออกจากการตายแล้วเกิดของตนได้
    ดั่งพระพุทธองค์หรือพระอรหันต์ท่านก็เคยประพฤติ ปฎิบัติให้กับพวกเราดูกันไปหมดแล้ว
    ท่านผู้เจริญทั้งหลายคือผู้ที่ทรงศีล ทรงคุณธรรมอย่างสูงยิ่งย่อมไม่โกหกหรือผิดศีลแน่
    เพียงแค่ปฎิบัติธรรมหรือปฎิบัติตามท่านผู้เจริญทั้งหลาย ย่อมพบแต่ความสุข ความเจริญแน่นอน

    ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะขอปฎิบัติธรรม ประพฤติดี ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ บนสายมัชฌิมาปฎิปทา
    โดยเฉพาะปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าเท่าที่ตนสามารถพึงประพฤติ พึงปฎิบัติโดยมิได้ฝืนจิตใจตน

    ไม่มีผู้ใดเห็นความผิดหรือเห็นบาปดีเท่ากับตัวของเราเองหรอก
    สำหรับผู้ที่อยากออกจากทุกข์ตนเองจะต้องอยู่กับกายใจของตนมากๆ คอยหมั่นดูจิตดูอารมณ์ตน
    ว่ามันไหลไปถึงไหนแล้ว คนที่รู้ทันจิตก็คือนักภาวนาเท่านั้น ขนาดนักภาวนาก็ยังสอบตกบ่อย
    นับประสาอะไรผู้ไม่ลงมือปฎิบัติ เห็นใจผู้คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อกิเลสแห่งตน จนเงยหหัวไม่ขึ้น
    ท่านทั้งหลาย ท่านไม่เชื่อ/ไม่ยอมทำตามพระพุทธเจ้าแล้วจะไปเชื่อใคร ตัวเองก็ยังเชื่อไม่ได้
    โดยเฉพาะผู้ที่ยังตามหาจิตหรือธรรมของตน ยังไม่มีปัญญา ยิ่งอย่าไปเชื่อ อย่าหลงตนมากนัก
    ปัญญาจะนำพาให้เราหลุดพ้น นั่นก็คือปัญญาที่ได้มาจากการภาวนา อบรมบ่มนิสัยของตน
    หรือเรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"

    อ่านแล้วถ้ามีประโยชน์ก็เก็บไปคิด ไปประพฤติปฎิบัติ แต่ถ้ารู้แล้วหรือไม่มีประโยชน์ก็ก้าวข้ามไป

    ฟังเพลงทีไรอดคิดถึงเสียงเพราะๆของคุณพี่พะพะพอใจ..ทุกคราเลย
    อยากให้ร้องเพลงนี้ให้ฟังจักหน่อย เหมือนน้องเปาวลีร้องน่ะ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2013
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    :cool:อ.ใหญ่ภุ เป็นดีเจ จัดเพลงอีกแร๊ะ..
    จิตสารภาพ กับใจสารภาพน่ะนะ..

    มนุษย์เราเดินทางมายาวนาน..อย่างไม่รู้ทาง..
    หลงวนเวียน..ไม่รู้จักจบ..จักสิ้น..
    หาทางออกไม่เจอ..ทั้ง ๆ ที่่มันอยู่ใกล้ ๆ ..
    ปฏิบัติ ๆ ๆ มิใช่เพียงแค่คิด..
    ขอบคุณ อ.ภู..ที่แนะนำ


    ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะขอปฎิบัติธรรม ประพฤติดี ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ บนสายมัชฌิมาปฎิปทา
    โดยเฉพาะปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าเท่าที่ตนสามารถพึงประพฤติ พึงปฎิบัติโดยมิได้ฝืนจิตใจตน

    ไม่มีผู้ใดเห็นความผิดหรือเห็นบาปดีเท่ากับตัวของเราเองหรอก
    สำหรับผู้ที่อยากออกจากทุกข์ตนเองจะต้องอยู่กับกายใจของตนมากๆ คอยหมั่นดูจิตดูอารมณ์ตน
    ว่ามันไหลไปถึงไหนแล้ว คนที่รู้ทันจิตก็คือนักภาวนาเท่านั้น ขนาดนักภาวนาก็ยังสอบตกบ่อย
    นับประสาอะไรผู้ไม่ลงมือปฎิบัติ เห็นใจผู้คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อกิเลสแห่งตนเอง เงยหหัวไม่ขึ้น
    พวกท่านทั้งหลาย ท่านไม่เชื่อ ไม่ยอมทำตามพระพุทธเจ้าแล้วจะไปเชื่อใคร ตัวตัวเองกันก็ไม่ได้
    โดยเฉพาะผู้ที่ยังตามหาจิตหรือธรรมของตน ยังไม่มีปัญญา ยิ่งอย่าไปเชื่อ อย่าหลงตนมากนัก
    ปัญญาจะนำพาให้เราหลุดพ้น นั่นก็คือปัญญาที่ได้มาจากการภาวนา อบรมบ่มนิสัยของตน
    หรือเรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"


    อ่านแล้วถ้ามีประโยชน์ก็เก็บไปคิด ไปประพฤติปฎิบัติ แต่ถ้ารู้แล้วหรือไม่มีประโยชน์ก็ก้าวข้ามไป
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กรรมทำแท้ง!
    บาปติดตราตรึงใจไปตลอดชีวิตจนกว่าจะได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง
    แต่ถ้ามิได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องแล้ว ผลวิบากกรรมจะกลับคืนสนองแน่นอน
    แล้ววันนั้นผู้ที่กระทำจะต้องได้ผลอย่างเจ็บปวดเช่นกัน ถ้าไม่คราวตายก็ทุกข์ใจจนตาย

    อย่ารอช้า...ใครอ่านธรรมาทานนี้ หรือดูคลิปนี้แล้วก็อย่า..ประมาท!
    สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยทำแท้งเอง หรือยังไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรรมทำแท้งนี้
    ได้โปรดดูเป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ว่า..อย่าทำหรืออย่าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด
    ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หมายถึงให้ความสนับสนุน ให้ความสะดวกใดๆซึ่งนำไปสู่ทำแท้งสำเร็จ
    ผู้ฆ่าหรือผู้ว่าจ้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนจะต้องรับโทษเท่าเทียมกันหมด
    ยิ่งสมัยนี้มีสิ่งยั่วยุ/ล่อแหลมที่จะทำแท้งหรือคนสนิทที่ไว้ใจกัน ระวังจะนำพากันทำกรรมร่วมกัน
    อย่าลืม! ชีวิตจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ถ้ากรรมไม่ทำโดยตรงก็จะเข้ามาทางที่คุณรักมากที่สุด
    อย่าลืม! ร่างกายมิใช่เรา มิใช่ของเรา ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของจิตเราเท่านั้น
    คนเราทุกคนที่หลงเกิดมาแล้ว ย่อมตายทุกคนหรือพลัดพรากจากคนที่เรารักอย่างแน่นอน
    ได้โปรดเตรียมใจล่วงหน้า ก่อนวันจริงๆจะมาถึง ถึงเรารักมากแค่ไหน สุดท้ายไม่มีผู้ใด
    นำร่างวิญญาณไปกอดนอนด้วยแน่นอน สุดท้ายเราจะต้องสั่งลากันที่ ณ เมรุ
    และหลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า นั่นก็คือผงเถ้าหรืออัฐิ เท่านั้น
    อย่าสงสัยเลย เพราะอีกไม่นานเราทุกคนก็ต้องจากกันหรือตายจากกันอย่างแน่นอน

    ความพลัดพรากจากคนที่เรารัก มาพร้อมกับวิบากกรรมทำแท้ง
    และทุกข์ใจไปตลอด จนกว่าผู้นั้นจะมีดวงตาเห็นธรรม
    ด้วยความปรารถนาดี ไม่อยากให้ผู้คนเป็นทุกข์ เพราะกรรมทำแท้งจะทำลายทุกอย่าง
    ไม่ว่า...ความรัก การงาน การเงิน จะมีปัญหาทุกอย่าง

    *โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม!*

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Upy2m_QCxMs]คนอวดผี 15 พฤษภาคม 2556 2/5 - YouTube[/ame]​
     
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ประวัติวันวิสาขบูชา​
    [​IMG]
    วันวิสาขบูชา
    หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
    (ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส ก็เลื่อนออกไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗)
    ในวันนี้ได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ
    เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพาน ในวันเดียวกันของพระพุทธเจ้า

    ความสำคัญของ "วันวิสาขบูชา"
    วันวิสาขบูชาได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ด้วยเหตุตามที่กล่าวมา วันวิสาขบูชา จึงถือว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเมื่อถึงวันเช่นนี้ พุทธศาสนิกชนถ้วนหน้าทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงพร้อมใจกันน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ประกบอพิธีบูชาด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
    การบูชาอันเนื่องด้วยวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าวมาก็ควรที่จะกล่าวประวัติไว้เพื่อเป้นการเจริญศรัทธา ความเชื่อและปสาทะความเลื่อมใสต่อไป

    กิจกรรมที่ชาวพุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติในวันวิสาขบูชา
    ในวันวิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก ส่วนใหญ่จึงจะมารวมตัวกันเพื่อจัดพิธีบุญใหญ่ หรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อบำเพ็ญกุศลและรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เช่น ทำบุญตักบาตร ถือศีล ฟังธรรม ปล่อยนก ปล่อยปลา และนิยมเวียนเทียนรอบอุโบสถ์ในตอนค่ำ เพื่อเป็นการถวายพุทธบูชาอีกด้วย


    วันวิสาขบูชาปีนี้ ตรงกับวันที่ 24 พ.ค. 2556 ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2013
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,351
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    สมเด็จตรัสฝากหลวงพ่อมาบอกพุทธบริษัท


    ...เป็นอันว่าวันนี้จะขอย้ำเรื่อง เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน สักนิดหนึ่งคือในเรื่อง เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน นี่เป็นเรื่องของจิตโดยตรง การเจริญพระกรรมฐาน เราฝึกกันที่จิต ฉะนั้นสำนักของเรานี่ย่อมเป็นที่รังเกียจของสำนักบางสำนัก ที่สำนักนั้นชอบฝึกกาย ใช่ไหม แล้วเวลาจะทำก็ต้องทำเครียดต้องทำกันนับชั่วโมง แต่ทว่าของพวกเราอย่าไปติสำนักนั้นๆ ว่าท่านทำไม่ถูก การฝึกอารมณ์ของจิตก็สุดแล้วแต่กำลังใจของคนอย่างหนึ่ง หรือว่าจริยาตามปกติตามภาคพื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาถือ กลุ่มเดิม เป็นสำคัญ คำว่ากลุ่มเดิมนี่ก็หมายความว่า เป็นคนที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ถ้าจะนับเป็นชาติๆ นี่นับไม่ถ้วน เอ พวกที่นั่งป๋อหลออยู่นี่ ๙๙เปอร์เซ็นต์นี่ ทีนี้อีกเปอร์เซ็นต์ไม่แน่ ใช่ไหม แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น เอาอย่างนี้ไหม พูดกันตรงๆ ดีกว่าไหม พูดกันแบบตรงไปตรงมา

    ถ้าเราได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราก็จะรู้ว่าตัวเราเองเกิดมากี่ชาติ ระยำมาเท่าไร ดีมาเท่าไร ฉันนี่ระยำมาก แล้วคนเรากว่าจะเดินเข้าไปหาความดีได้ มันต้องคบกับความชั่วก่อน ใช่ไหม กว่าจะรู้ความดี รู้ผลของความดีก็ต้องแวะเข้าไปคุยกับความชั่วก่อน แล้วจนกว่าจะเข้าเขตพระพุทธพยากรณ์ กว่าจะเข้าเขตพระพุทธพยากรณ์ได้ก็ไม่รู้ว่าผ่านมาเท่าไร พอหลังจากได้รับเขตพุทธพยากรณ์แล้ว ก็ผ่าน ๑๖ อสงไขยกันแสนกัป เล่นนับกันเป็นอสงไขยกันนะ อสงไขย แปลว่า นับไม่ได้ แล้วก็เอาหน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน แล้วก็เติมศูนย์ท่านเรียกว่าโกฏิ เติมไปอีกสามศูนย์ เรียกว่า อสงไขยกับแสนกัป นับชาติชาติซิพวกคุณ ตั้งแต่รัตน์โกสินทร์นี้ ฉันตะบันเกิดมาแล้วตั้งสี่หนนะ นี่ชาตินี่ นี่พระพุทธกาลนี่ แค่หลังๆ นี่ สมัยพุทธกาลตั้งแต่สมัยเชียงแสน สุโขทัย อยุธยา แล้ว รัตนโกสินทร์นี่สี่ครั้ง นี่มันยังไม่ถึงอีกเขตหนึ่งของกัป มันไม่ใช่ในสิบของกัป เพราะเกิดขึ้นขึ้นมาตั้งสิบกว่าครั้ง นี่ถ้ากัปหนึ่งเราเกิดเท่าไร เรานับเป็นอสงไขยกัป มันเกิดกันเท่าไรไหวไหมช่วยคิดที ไม่คิดดีกว่าปวดหัว

    เป็นอันว่า คณะของเราก็ตามกันมาเป็นระยะ ที่หนีไปนิพพานนับไม่ถ้วนแล้ว พวกนั้นขี้ขลาด สู้พวกเราไม่ได้ มีตัวอย่างที่ไหน วิ่งกันพรึ่บๆๆ เรานี้ต้องมาตกระกำลำบาก มาช่วยคนโน้น ช่วยนี่ วิ่งนี่วิ่งนั้น เราจะกินยังเข้าไปก็ไม่ค่อยจะมี แต่ก็ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่นใช่ไหม พวกนั้นไม่ได้ความ สู้เราไม่ได้นะ เรามายกย่องตัวเองนะ เขารอให้ชาวบ้านเขายกเมื่อไรจะได้ยกย่องได้ยก ใช่ไหม ไม่ชมตัวเองรอชาวบ้านชม เมื่อไรจะได้ยกย่อง ใช่ไหม ไม่ชมตัวเองรอชาวบ้านชม เมื่อไรจะได้ชมก็ชมมันซะเองก็หมดเรื่อง นี่เจ้าบ้านบอกหมาขี้ ไม่มีใครไปยกหาง ไม่ตรง เวลานี้จะขี้มันบอกอะไร เหอะ ยกหางดีไม่ดีก็เปื้อน นี่เป็นอันว่า ท่านที่ไปนิพพานนับไม่ถ้วน

    ตอนนี้ลองสอบดูนิดหนึ่ง นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี ๓๗ สาย ถามสายหนึ่งระยะยาวเท่าไร ท่านก็บอก สองแสนโยชน์ หรือสี่แสนโยนช์ สายน่ะมันมี ๓๗ สาย แล้วก็ไปดูวิมานนี่สายพระนิพพาน แล้วไปนี่เขาตั้งเต็มไปหมด แล้วพวกนี้จะไปอยู่ไหนไม่รู้ ไม่มีที่ซิ นี้ใครอยากไปอยู่ก็มาจองไว้ จัดสรร คิดไร่ละเท่าไรก็ว่ากันไป ใช่ไหม

    เป็นอันว่า ๓๗ สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลัง พระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง ตอน นี้ของอาตมามันก็เป็นจุดแปลก จุดที่แปลกวิมานมาตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้าใหญ่ คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ท่านไม่ได้เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เพราะฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี

    แต่ว่าแสนกัปนี่ถ้าทนไม่ไหวเลยเลยไม่เกิด เอามันแค่นี้พอ ใช่ไหม ถ้ารออีกอีก ๗ ครั้งในกัปนี้แหละ ไม่ต้องรอ แล้วก็ต้องรอเป็นองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอริย์ โฮ้ ไปนั่งบี้ตะโพนอยู่นั้น ไม่เอาเปิดดีกว่า อีโธ่ ถ้าไม่ไหว กลืนไม่ลงนะ ถามเท่าไหร่ ยี่สิบสอง เฮอะ ยี่สิบสองไปนั่งเป่าปี่อยู่โน้น ชั้นดุสิต ตั้งยี่สิบสององค์ เมื่อไรไม่รู้ ที่เขาคอยตั้งนาน บอกฉันหลีกทางให้เปิดดีกว่า เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ ตามสายของพวกเรา แต่ว่าหาจุดพร่องไม่มี แต่ความจริงวิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอ สมควรแต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานไม่สวยมาก เพราะจิตของบุคคลใดถ้ารักนิพพานวิมานจะปรากฏที่นั้น แต่ทว่าจิตใจของท่านผู้นั่นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใดวิมานจะไม่สวยเต็มที่ จิตกะวิมานมันสวยเท่ากัน ใช่ไหม เดินไปนี่จะรู้เป็นอันว่า วิมานนั่งคอยอยู่เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาปรารถนาพุทธภูมิ

    อันนี้คณะที่ร่วมปฏิบัติกันมาในกาลก่อนร่วมกันมาปรารถนาที่จะเป็นสาวกใน สมัยนั้นในเมื่อหัวเรือใหญ่เลี้ยวเข้าตามตรอกไปเสียแล้วเข้าคลองเล็ก บรรดาเรือทั้งหลายมันก็ต้องเลี้ยวตาม ถ้าขืนวิ่งไปคนเดียวหลงแน่ เป็นอันว่า ฉะนั้นวิมานมันตั้งอยู่เต็ม เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพานนะ แต่ว่าพลาดในชาตินี้ ชาตินี้พลาดก็ไปจั้งโน้นศาสนา พระศรีอาริย์ นะไม่เหลือ เพราะโยมท่านคอยอยู่ โยมท่านดัก ไม่ยอมให้ไปไหนแน่
    เป็นอัน ว่าระหว่างนี้ใครปฏิบัติดีบ้าง ปฏิบัติชั่วบ้าง ก็เป็นของกฎของกรรมขณะใดที่กรรมที่เป็นกุศลให้ผล ขณะนั้นจิตเราก็จะเป็นสุข บางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลมันตามมาให้ผล มันก็มีความวุ่นวาย แต่เรื่องนี้ เราจะแพ้มันในระยะเวลาตายไม่มี ไม่มีทาง เราจะให้มันเฉพาะในระหว่างที่มีชีวิตมันจะทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้จะตายจริงๆ อาตมารับรองว่าทุกคนไม่ไร้สติ แล้วก็ไม่ไร้ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไร ไปตรวจบ้านหมดแล้ว

    วันนี้ สบายกลับมาตีหุ่ย เลยไม่กลับเลย ดีใจ กลับขึ้นไปนอน ความจริงนอนไม่ได้ มีงานทำต่อ เพราะอะไรเพราะว่าเริ่มจะพักเลยไม่ได้พัก อาบน้ำเสร็จ ฉันยาเสร็จ นึกว่าจะพักสักหน่อยพอนั่ง นอนปุ๊บลงไป ก็เจอะพระ แฮะ

    คัดมาบางส่วนตอนจากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ ของพระราชพรหมยานเล่ม ๘ หน้าที่ ๑๗๐-๑๗๒
    ************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2013
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,351
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ประวัติหลวงปู่มั่นบางตอนที่น่าสนใจ


    ท่านประอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2413 ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

    บิดาชื่อนายคำด้วง แก่นแก้ว มารดาชื่อนางจันทร์ ปู่ของท่านชื่อ เฟี้ยแก่นท้าว มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน ท่านเป็นบุตรชายคนหัวปี

    ท่านพระอาจารย์มั่นรูปร่างเล็ก ผิดขาวแดง ลักษณะเข้มแข็ง ว่องไว สติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนั้นไม่มีโรงเรียนประชาบาล ใครจะเรียนหนังสือต้องเข้าวัด เป็นลูกศิษย์วัด



    สามเณรมั่น

    พระอาจารย์ได้เข้าอยู่วัดเมื่ออายุได้ 15 ปี และบวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านคำบง เล่าเรียนอักษรไทย อักษรธรรมและอักษรขอม

    เนื่องจากท่านมีสติปัญญาเฉลี่ยวฉลาดมาก สนใจใคร่รู้ธรรมะประจำนิสัย ทำให้สามารถเรียนรู้สูตรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ยกย่องชมเชยของครูบาอาจารย์

    ประกอบกับมีนิสัยความประพฤติเรียบร้อย ใจคอเยือกเย็น ไม่โกรธใครง่าย ๆ ให้อภัยคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดีงามอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นที่รักใคร่ของหมู่คณะและครูบาอาจารย์เป็นพิเศษ

    บวชเป็นสามเณรอยู่ 2 ปี อายุได้ 17 นายคำด้วงบิดาจึงขอร้องให้สึก เพื่อให้มาช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทำไร่ไถนา เป็นการแบ่งเบาภาระของบิดามารดาของน้อง ๆ

    ทีแรกพระอาจารย์มั่นจะไม่ยอมสึกเพราะมีจิตใจดื่มด่ำรักในพระธรรมวินัยอย่างลึกซื้ง ใคร่รู้ใคร่เห็นธรรมอยากจะเล่าเรียนต่อไป แต่ทนอ้อนวอนของบิดาไม่ไหว จึงจำใจสึกออกมาช่วยทำนา

    ครั้นต่อมาอีก 5 ปี อายุได้ 22 ปี พระอาจารย์มั่นก็ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาสมความตั้งใจ





    หนุ่มวัยคะนอง

    ในระยะ 5 ปี ระหว่างอายุ 17-22 ก่อนบวชพระนี้ พระอาจารย์มั่นก็เหมือนคนหนุ่มวัยคะนองทั้งหลายนั่นเอง

    เมื่อถึงฤดูกาลทำนา ท่านก็ทำนาช่วยบิดามารดาและน้อง ๆ อย่างขยันขันแข็ง เวลาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกับเพื่อนฝูง ท่านก็สมาคมกับเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายลูกชาวบ้านเดียวกัน มีการเล่นหัวกันอย่างสนุกสนานร่าเริงด้วยเกมต่าง ๆ และหัดร้องรำทำเพลงไปตามประสา

    เมื่อถึงฤดูเทศกาลงานบุญก็เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกรื่นเริงบันเทิงใจตามวิสัยโลกธรรมชาวบ้าน

    ท่านมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับขับลำนำคำร้องพื้นบ้านอันไพเราะ โดยเฉพาะ "กลอนหมอลำ" ท่านได้ไปขอหนังสือกลอนลำเพลงมาจากครูหมอลำคนหนึ่ง แล้วฝึกหัดลำท่วงทำนองต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

    แคนท่านก็เป่าเก่งด้วยสมองอันยอดเยี่ยม ความจำรวดเร็วแม่นยำ ปรากฎว่าท่านสามารถลำเพลงพื้นบ้านได้อย่างรวดเร็ว สิ้นตำราจนครูหมอลำอัศจรรย์ใจ

    ท่านสามารถลำล่องโขงได้อย่างไพเราะมาก กลอนแอ่วล่องโขงของท่านใครได้ฟังแล้วต้องเคลิบเคลิ้มน้ำตาซึมทีเดียว ลำกลอนเดินดงดั้นป่าชมนกชมได้ในพนาท่านก็ยอดเยี่ยม

    ลำเกี้ยวสาว ลำแก้ ลำกระแตเต้นไม้ท่านก็เก่ง เรียกว่าเป็นหมอลำเพลงแคนสมัครเล่นที่เพื่อนฝูงและชาวบ้านยกย่อง และมักจะขอร้องให้ท่านขับลำทำเพลงให้ฟังเพื่อความสนุกครึกครื้นอยู่เสมอ

    หาญสู้แม่เสือสาว

    มีเรื่องสนุกสนานขำขันอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องขับลำทำเพลงแคนของพระอาจารย์มั่น เรื่องมีอยู่ว่า

    คราวหนึ่งชาวบ้านได้จัดงานบุญขึ้นใหญ่โต มีคนไปเที่ยวมากมายเป็นพัน ๆ จากหมู่บ้านต่าง ๆ ในลำเนาละแวกถิ่นโขงเจียม ทางเจ้าภาพได้ว่าจ้างหมอลำสาวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งมาลำแคนในงานนี้

    พระอาจารย์มั่นตอนนั้นเป็นหนุ่มคึกคะนองยังไม่ได้บวชพระ ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมา กระโดดขึ้นไปบนเวทีหมอลำ ขอลำเพลงประชันกับหญิงสาวผู้นั้น

    หมอลำสาวยินดีที่จะลำประชันกับท่าน เพื่อนฝูงที่ไปด้วยต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พอได้สติก็พากันคัดค้านห้ามปรามหนุ่มมั่นไม่ให้ลำเพลงประชันกับหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวสวยผู้นั้นลำเก่งมาก

    ยิ่งลำกลอนสด ๆ แล้วละก็เป็นต้อนคู่แข่งที่เป็นหมอลำผู้ชายถึงกับจนแต้มต้องกระโดดหนีลงจากเวทีมาแล้วหลายงาน เพื่อนฝูงกลัวหนุ่มมั่นจะแพ้ห้าแต้มไม่เป็นท่า เพราะเป็นเพียงหมอลำเพลงสมัครเล่น เดี๋ยวจะเป็นที่อับอายขายหน้าชาวบ้านไปเปล่า ๆ ไม่เข้าการ

    แต่ท่านมั่นกลับหัวเราะไม่ฟังเสียงคัดค้านของเพื่อน ๆ ยืนยันจะขับเพลงลำโต้กับหญิงสาวให้ได้ จะโต้กันตลอดรุ่งก็ยังไหวไม่มีกลัว

    เพื่อน ๆ ก็ล้อว่า เจ้ามั่นหลงรักสาวหมอลำคนสวยเข้าให้แล้ว จะทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อห้ามไม่เชื่อ เพื่อนฝูงก็ปล่อยเลยตามเลย

    พอเพลงแคนเริ่มต้นขึ้น ท่านหนุ่มมั่นก็ขับลำเพลงอันไพเราะเจื่อยแจ้วอย่างอาจหาญร่าเริ่งเชื่อมั่นในตัวเอง ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องต้องรับของคนดูดับพัน ๆ อึงคะนึงด้วยความชอบอกชอบใจ

    พอขับลำจบลงก็เป็นฝ่ายของหมอลำสาวคนสวยเสน่ห์แรงลำโต้บ้าง ลำกันไปลำกันมาอย่างสนุกสนานครึกครื้นก็ปรากฎว่า ท่านมั่นลำสู้ฝีปากคารมและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของหญิงสาวไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด

    ยิ่งขับลำไปก็ยิ่งเป็นฝ่ายแพ้ ถูกหญิงสาวต้อนเอาแบบตีไม่เลี้ยง เล่นเอาท่านมั่นเหงื่อแตก เพราะหาญขับลำสู้กับมือชั้นครู เป็นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ๆ เอวบางร่างน้อยนึกว่าคงจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้หล่อนก็คือแม่เสือสาวดี ๆ นี่เอง



    พระภิกษุมั่น


    ต่อมา เมื่อท่านมั่นอายุได้ 22 ปี ท่านได้สละเพศฆารวาสเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ที่วัดสีทอง โดยมีพระอริยกรี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครู่ประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า "ภูริทัตโต"

    เมื่ออุปสมบทแล้วท่านพระภิกษุมั่นได้ไปฝากตัวเรียนวิปัสนากรรมฐานที่สำนักวัดเลียบในเมืองอุบลราชธานี โดยมีท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโลเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนา

    การเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานนี้ ท่านพระภิกษุมั่นได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" เป็นคำบริกรรมภาวนาสมถะกรรมฐาน เพราะท่านชอบคำ "พุทโธ" นี้อย่างกินใจลึกซื้งดื่มด่ำเป็นพิเศษมากกว่าบทธรรมอื่น ๆ

    และในเวลาต่อมาจวบกระทั่งตลอดชีวิตของท่านก็ได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" นี้ใช้บริกรรมประจำใจในอริยาบทต่าง ๆ ในการเจริญวิปัสสนาทุกครั้งไป เมื่อถือเพศสมณะอย่างเต็มภาคภูมิแล้วท่านก็ตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิงไม่แลเหลียว

    ความคึกคะนองในสมัยเป็นหนุ่มไม่มีหลงเหลืออยู่เลย กลับกลายเป็นคนละคนทีเดียว ท่านเต็มไปด้วยจริยาอันสำรวมเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ไม่มีวอกแวกยึดถือธรรมธุดงควัตรอย่างเหนียวแน่นเอาเป็นเอาตาย ด้วยใจรักอันเด็ดเดี่ยวไม่ให้มีผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว สืบมาตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน จนถึงวาระสุดท้ายเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม

    ธรรมธุดงควัตรที่ท่านยึดถือเป็นข้อปฏิบัติมี 7 ข้อคือ

    1. ถือ ผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องนุ่งห่ม เมื่อชำรุดเปื่อยขาดไปก็เย็บปะชุนด้วยมือตนเอง ย้อมเองเป็นสีแก่นขนุนหรือสีกรัก ซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ยอมรับคหปติผ้าไตรจีวรสวย ๆ งาม ๆ ที่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายด้วยมืออย่างเด็ดขาด

    2. ออก บิณฑบาตรทุกวันเป็นประจำ แม้จะป่วยไข้ก็ต้องพยายามพยุงกายออกบิณฑบาตร ยกเว้นเฉพาะวันที่ไม่ขบฉันอาหารเพราะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนากรรมฐานด้วยความเพลิดเพลินอาจหาญร่าเริงในธรรม ซึ่งมีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านเดินจงกลมและนั่งสมาธิ ภาวนาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ขบฉันอาหารเลย

    3. ไม่ยอมรับอาหาร ที่ญาติโยมพุทธบริษัทตามส่งทีหลัง รับเฉพาะที่ใส่บาตร

    4. ฉันมื้อเดียว คือฉันวันละหน ไม่ยอมฉันอาหารว่างใด ๆ ทั้งสิ้น ที่มีอามิสเข้าปะปน

    5. ฉันอาหารในบาตร คือมีภาชนะใบเดียว ไม่ยอมฉันในสำรับกับข้าวที่มีอาหารต่าง ๆ อาหารคาวหวานทั้งหลายคลุกเคล้าฉันรวมแต่ในบาตร ไม่ติดใจในรสชาตอาหาร ฉันเพียงเพื่อยังสังขารให้พออยู่ได้ เพื่อเพียงจะได้บำเพ็ญเพียรภาวนาสร้างบารมีธรรม

    6. อยู่ในป่าเป็นวัตร ปฏิบัติคือท่องเที่ยวเจริญสมณะธรรมกรรมฐานอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำ ในเงื้อมผาอันเป็นที่สงัดวิเวกห่างไกลจากชมชน

    7. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ จีวร และสบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝนซึ่งจำเป็นต้องมีเป็นธรรมดาในสมัยนี้)

    สำหรับธุดงควัตรข้ออื่น ๆ นอกจากที่กล่าวนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นสมาทานและปฏิบัติเป็นบางสมัย แต่เฉพาะ 7 ข้อข้างต้นนี้ท่านปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยากในปัจจุบัน

    ท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง ซึ่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เรียกว่าถือสัจจะเป็นบารมี แม้จะเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มุ่งหวังต่อแดนหลุดพ้นพระนิพพานอย่างจริงใจ รู้ซึ้งถึงภัยอันน่ากลัวของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างถึงใจ ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ

    ท่านรู้จริงเห็นจริงว่า การต้องเกิดแล้วตาย...ตายแล้วเกิด... วนเวียนไปมาเป็นวงจักรไม่มีสิ้นสุดนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหามบาปหาบทุกข์เปี่ยมแปล้อยู่นั่นแล้วไม่มีที่สิ้นสุด

    ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งเห็นเป็นเรื่องน่ากลัวน่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นพรหม พอหมดจากพรหมก็ลงมาเกิดในนรก จากนรกมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ ดิรัจฉาน

    วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับเป็นอสงไขยหรือหลายแสนหลายพันล้าน ๆ ปี เมื่อเกิดแต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องใช้บาปกรรมของภพชาตินั้นอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งทุกข์ทั้งสุขอันไร้แก่นสารสาระน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ

    จะมีก็แค่แดนหลุดพ้นคือ พระนิพพานเท่านั้นเป็นแดนสุขเกษมอย่างแท้จริง นิพพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นแดนรอดปลอดจากทุกข์ เป็นแดนของพระวิสุทธิเทพ คือพระอรหันต์ผู้เสวยความสุขที่ยอดเยี่ยมและสูงสง่า

    เป็นความสุขสำราญทั้งกาย และใจ ที่สุขล้นพ้นเหนือมหาเศรษฐี เหนือพระราชามหากษัตริย์ เหนือเทวดาและพรหมที่พึงได้รับ เมื่อพระอรหันต์ทิ้งร่างมนุษย์ไปแล้ว รูปก็สูญ เวทนาก็สูญ สัญญาสูญ สังขารสูญ วิญญาณสูญ

    แต่จิตยังคงอยู่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากอาสวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นจิตที่มีดวงสุกใสประดุจดาวประกายพรึก จิตดวงนี้จะพุ่งไปสถิตย์อยู่ ณ แดนพระนิพพาน

    เมื่ออยากจะครองร่างสมบัติใด ๆ เช่นกายทิพย์ ก็พร้อมที่จะนฤมิตได้เพื่อเสวยความสุขสุดยอดนานานัปการ

    ถ้าไม่อยากจะเสวยสุขในร่างสมมติหรือธรรมกายจะอยู่เฉย ๆ เหมือนเข้านิโรธสมาบัติ ทรงอยู่แต่จิตสุกใสดวงเดียวก็ได้ เป็นแดนที่ไม่ต้องตายอีกต่อไปไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

    หากมีความทรงตัวอยู่เสวยความสุขอันยอดเยี่ยมที่เทวดาและพรหมทั้งหลายมีความใฝ่ฝันปรารถนาถึงยิ่งนัก





    นิพพานไม่สูญ

    พระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญ

    นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

    เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึก

    พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลา

    คำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด

    การแปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเอง

    นิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลย

    นิพพานเป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย

    กายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณ

    ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไป

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นในเรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาด

    โลกเราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขตไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกิน

    เมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้

    ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหน

    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล





    ลวงตาหรือกายทิพย์

    เรื่องนี้มีท่านผู้อ่านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นไปไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายจะยังมี "ร่างทิพย์" เหลืออยู่และเสด็จมาโปรดได้

    เพราะพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพพานดับสูญไปกว่าสองพันปีแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเลย พระพุทธองค์จะเสด็จมาได้อย่างไร แม้ว่าจะเสด็จมาในรูปกายทิพย์ก็ตามเถิด

    นักวิจารณ์ที่เป็นจอมปราชญ์ทางปริยัติก็กล่าวหาว่า ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะได้เห็นภาพลวงตาซึ่งเกิดจากการเข้าสมาธิลึก ๆ เสียมากกว่า

    อาการเห็นภาพลวงตาแบบนี้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าเป็นความวิปลาสอย่างหนึ่ง คือความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความผันแปรกลับกลายอันเป็นลักษณะมายาหลอนจิต

    คำกล่าวหาว่า พระอาจารย์มั่นวิปลาสไปขณะเข้าสมาธิลึก ๆ นี้ เป็นคำกล่าวหาที่อ้างอิงบิดเบือนไม่รู้จริงถึงเรื่องสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนา หรือาจจะรู้จริงเรื่องหลักสมาธิเหมือนกัน แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ

    หากรู้ได้ด้วยการสักแต่ว่าอ่านจากตำราแบบความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เอาตัวเข้าปฏิบัติ การรู้ด้วยวิธีนี้ เป็นการรู้ด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเอา ตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบค้นชอบเดาเอาตามสันดาน

    เป็นความเห็นตามสัญญาหรือความจำได้หมายรู้จากตำรา ไม่ใช่รู้จากการลงมือปฏิบัติด้านสมาธิจิตวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้เป็นการหยั่งรู้ด้วยปัญญาล้วน ๆ

    ฉะนั้นความเห็นตามสัญญากับความเห็นตามปัญญาผลย่อมจะต่างกันราวฟ้ากับดิน

    พระอาจารย์มั่นเห็นอะไรต่ออะไรได้ด้วยปัญญาของท่าน ไม่ใช่เห็นตามสัญญาความจำได้หมายรู้

    การที่หาญไปวิพากษ์วิจารย์ท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนี้ เป็นการเอาระดับความนึกคิดของตนซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ไปวัดอารมณ์และสติปัญญาของพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิธรรมขั้นสูง

    เปรียบ ไปแล้วก็เหมือนเราเป็นแค่นักเรียนอนุบาลหาญกล้าไปวิพากษ์วิจารณ์ภูมิรู้ใน ด้านการปฏิบัติของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลองวิทยาศาสตร์

    แน่นอน การวิพากษ์วิจารณ์นั้นย่อยจะไร้เดียงสาผิดพลาดอย่างน่าสงสาร

    ตามความเป็นจริงนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นมีญาณพิเศษตาทิพย์ หูทิพย์ รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่างทั้งภายในและภายนอก โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิลึก ๆ เลย

    เพียงแต่ท่านเข้าสมาธิอย่างอ่อน ๆ ระดับอุปจาระสมาธิก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างขวางโดยไม่จำกัดขอบเขต

    ในบางครั้งบางคราวท่านไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิเลยก็เกิดญาณพิเศษ สามารถรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตาทิพย์หูทิพย์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำน่าอัศจรรย์

    ญาณพิเศษนี้เกิดขึ้นด้วยอำนาจปัญญาอัตโนมัติหมุนทับรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องมีการบังคับบัญชาใด ๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเครื่องเรด้าร์ขนาดใหญ่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งใกล้และไกลได้ถูกต้องแม่นยำนั่นเอง

    เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันตสาวกจำนวนมาก เสด็จมาแสดงความยินดีกับพระอาจารย์มั่นที่ท่านบรรลุอรหันตผลนี้ ท่านได้เล่าให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังว่า


    โอวาทพระตถาคต

    พระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่น มีใจความว่า

    เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา

    ที่คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจเกี่ยวกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น

    ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัญหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไร

    สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล

    พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรมะ

    ธรรมะก็อยู่แบบธรรมะ สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม

    พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น

    ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลก ที่เพิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้

    เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรี้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัญหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น

    ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษ

    ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน

    โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัญหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น




    กราบขอบพระคุณแหล่งข้อมูล >>> Bloggang.com :
    **************************************
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่มั่นด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ

    https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/-11-3

    **********************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2013
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=hoQ6LMG_UiQ]jaisarapapppp - YouTube[/ame]​

    <object type="application/x-shockwave-flash" data="http://kiwi6.com/swf/audio-player.swf?audioUrl=http://k004.kiwi6.com/hotlink/291nydbk8e/jaisarapap2013.mp3
    " id="audioplayer" height="27" width="400" allowscriptaccess="always">
    <param name="movie" value="http://kiwi6.com/swf/audio-player.swf?audioUrl=http://k004.kiwi6.com/hotlink/291nydbk8e/jaisarapap2013.mp3
    " /><param name="FlashVars" value="" />
    <param name="quality" value="high" /><param name="menu" value="false" /><param name="allowscriptaccess" value="always" /><param name="wmode" value="transparent" /></object>



    เพลงใจสารภาพ
    พอใจ ขับร้อง..


    แค่เพียงสมมุติว่าหยุดคบกัน
    ใจฉัน ก็สั่นเหมือนคนเป็นไข้
    ถ้าในความจริง สองเรามีอันห่างไกล
    ผลลัพธ์ที่เกิดกับใจ ก็คงเหมือนตายจากกัน

    ด้วยความรักนั้นก้าวผ่านห้องใจ
    อ่อนไหว เผลอใจให้เธอเกินกั้น
    ขอบคุณเวลา นำพาเราใกล้ชิดกัน
    จากเพื่อนเลื่อนเป็นผูกพัน เพียงก้าวห่างกันวันไหน

    ขาดเธอไม่ได้ หัวใจขอสารภาพ
    กดโทรศัพท์ รับช้าก็ยังน้อยใจ
    อยู่ใกล้จนชิน ไม่อยากได้ยินคำว่าห่างไกล
    ขอร้องอย่าทำร้ายใจ ด้วยการหนีไปห่างกัน

    ถ้าสิ่งใดนั้นที่ผ่านพ้นมา
    หนักหนา จนเธอไร้ความเชื่อมั่น
    เจ็บจนเหลืออด ก็โกรธได้แต่อย่านาน
    เพราะใจที่ทรมาน คอยนานจะพาลสิ้นลม

    ขาดเธอไม่ได้ หัวใจขอสารภาพ
    กดโทรศัพท์ รับช้าก็ยังน้อยใจ
    อยู่ใกล้จนชิน ไม่อยากได้ยินคำว่าห่างไกล
    ขอร้องอย่าทำร้ายใจ ด้วยการหนีไปห่างกัน

    ถ้าสิ่งใดนั้นที่ผ่านพ้นมา
    หนักหนา จนเธอไร้ความเชื่อมั่น
    เจ็บจนเหลืออด ก็โกรธได้แต่อย่านาน
    เพราะใจที่ทรมาน คอยนานจะพาลสิ้นลม...
    ----------------------------------------------
    **มาแล้วค่ะ เพลงตามคำขอ ของ อ.ภู พี่ต้อย-สุภาทรมาได้จังหวะพอดี.. เพลงนี้ อ.ภูขอให้ 3 คนเลย รวมทั้งทุก ๆ ท่านที่วนเวียนรอยเดิม ๆ ด้วยนะคะ..

    [COLOR="#990ff"]**เราเลือกที่จะไม่เอาสุข ไม่เอาทุกข์ ขอไว้แค่เพียงเข้าใจ..ก็พอ..นะคะ พี่ ๆ น้อง ๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าโลกน่าอยู่มาก ๆ ค่ะ[/COLOR]
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอกล่าวถึง อุเบกขาธรรมารมณ์ คือความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นการรักษาจิต ให้ดำรงตั้งจิตไว้เป็นกลางๆ

    อุบกขา ในตำรา มี10ชนิด แต่ไม่ขอพูดถึง หากอยากทราบไปค้นดูในกูเกิ้ลได้
    แต่ที่กระผมจะขอขยายความ โดยขอเรียบเรียงใหม่ ตามความเข้าใจที่ตกผลึกว่า อุเบกขานั้น ประกอบด้วย

    1 อุเบกขาธรรม ของโลิกยะธรรม อันได้แก่
    1.1 อุเบกขาพรหมวิหารธรรม คือเป็นผู้วางตนเป็นกลางวางใจเป็นกลางไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้เจริญมหาพรหมวิหารธรรม ย่อมมีปัญญาในขั้นโลกิยะ อย่างเช่น แม้เมตตาจะไม่มีประมาณแต่ก็อาศัย ก็ตั้งอยู่ด้วยอุเบกขาเมตตาธรรม เป็นต้น

    1.2อุเบกขาที่เกิดสมาธิและฌาณ เป็นอุเบกขาธรรม แต่อาศัยสภาวะที่อาศัยการบังคับ ควบคุมจิตไว้ วางจิตไว้เป็นกลางๆ ไม่ส่ายไปไหน อุเบกขาข้อนี้สำหรับนักปฏิบัติเจริญสมาธิ จะทราบดีและมักจะนำมาใช้เป็นบาทฐานในการทำสมาธิ รวมจิต ดิ่งเข้าสู่สมาธิฌาณได้อย่างรวดเร็ว ข้อนี้กระผมก็นำไปใช้อยู่ในการปฏิบัติ หากสมาธิเข้าอุเบกขาได้เร็ว ก็จะเข้าสมาธิฌาณได้เร็ว ขอให้ลองนำไปปฏิบัติดู


    2 อุเบกขาธรรมขั้นโลกุตระธรรม อันนี้เป็นอุเบกขาที่อาศัยการเกิดด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะธรรม เมื่อรู้แจ้งด้วยปัญญาแล้ว พร้อมทั้งจิตก็ยอมรับในสัจจธรรมความจริงที่ปรากฏ จิตจึงปรับเปลี่ยนสภาวะของจิตได้เองคือตั้งอยู่ด้วยอุเบกขาจิตได้เอง ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ส่ายไปข้างใดข้างหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นกลางอยู่อย่างนั้น ด้วยปัญญา อย่างเช่น

    2.1 เริ่มต้นจาก การรู้แจ้งเห็นจริงในร่างกาย ความเกิดขึ้น และเสื่อมไปของกาย อายะตนะทั้ง6ที่เกิดผัสสะเป็นต้น เรียกได้ว่าเป็น อายตนะอุเบกขา
    2.2 เวทนาทั้งหลาย ทั้งทุกขเวทนา สุขเวทนาและเวทนาเป็นเป็นกลางๆหรือ เวทนาอุเบกขา หรืออุเบกขาในเวทนาขันธ์
    2.3 สัญญาทั้งหลาย ทั้งทุกขสัญญา สุขสัญญาและสัญญาที่เป็นกลาง หรือ สัญญา อุเบกขา หรืออุเบกขาในสัญญาขันธ์
    2.4 สังขาระวิญญาณ ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นฝ่ายอกุศล เป็น ทุกข์ และฝ่ายกุศล เป็น สุข หรือฝ่ายที่เป็นกลางๆไม่ดี ไม่ร้าย ไม่ทุกข ไม่สุข ก็ดีข้อนี้เคือเป็นสังขาระวิญญาณอุเบกขาหรือ อุเบกขาในสังขาระวิญญาณขันธ์ หรือกล่าวได้ว่า หากเจริญสังขารุเปกขาญาณข้อนี้ให้มากแล้ว ที่สุดก็เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน
    2.5 อุเบกขาในเจตสิกทั้งหลาย อันหมายถึงวางจิตและอารมณ์เป็นกลางมีปัญญา รู้แจ้งเห็นแจ้งในเจตสิกหรือธรรมารมณ์ทั้งหลาย เป็นไปในส่วนเดียวกันคือเสมอกัน ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกทั้งไม่ยินดีและยินร้ายในเจตสิกเครื่องปรุงแต่งทั้งหลาย จิตอาศัยอยู่ด้วยความเป็นกลาง หรือกล่าวเรียกว่า ตัตรมะชูฌัตตะอุเปกขาญาณ นั่นเอง
    2.6 อุเบกขา ที่เกิดเพราะอาศัย สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ประกอบอยู่กับจิต อาศัยว่ากองรูปนามทั้งหลายนั้นไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตจึงดำรงตั้งมั่นเป็นกลางอยู่อย่างนั้น หรือกล่าวว่าเป็นโพชฌงค์อุเบกขานั้นเอง อันเป็นอุเบกขารมณ์ ของพระอรหันต์ ที่เกิดพร้อมด้วย สติ สมาธิและปัญญาประกอบเสมอ ข้อนี้บางครั้งจะเรียกว่า ปาริสุทธิอุเบกขา ก็ได้เช่นกัน คืออาศัย ความบริสุทธิ์ของ สติ สมาธิและปัญญาประกอบเป็นเครื่องชำระให้จิต ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่อย่างนั้น ไม่เอนเอียงส่ายไปข้างใดหรือสิ่งใด

    3 ส่วนที่เหลือยังมีอุเบกขา ข้อที่เป็นส่วนสนับสนุนให้อุเบกขาในธรรมอื่นๆเกิดขึ้น อันได้แก่
    3.1 วิริยะอุเบกขา คือมีความเพียรเป็นกลาง ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป
    3.2 วิปัสสนาอุเบกขา คือการอาศัยความเป็นกลางในการวิปัสสนากรรมฐาน คือตั้งอารมณ์วิปัสสนากรรมฐานด้วยการวางกำลังใจเป็นกลางๆ นั่นเองครับ

    ก็ขอกล่าวตามความเข้าใจอย่างนี้ การลงลึกในรายละเอียดจากการปฏิบัติเป็นเรื่องที่กล่าวได้ยากมากๆครับ ธรรมข้ออุเบกขา นี้เป็นธรรมข้อใหญ่ ที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นธรรมของผู้ทรงคุณธรรมและมีจิตใจสูงตลอดจนที่สุดคือพระอรหันต์ อุเบกขาจึงเป็นธรรมะข้อสำคัญที่นักปฏิบัติทุกท่านขาดไม่ได้ และต้องปฏิบัติเรียนรู้ให้มาก เพราะเป็นธรรมารมณืข้อใหญ่ข้อสำคัญของพระอริยะบุคคลจนถึงพระอรหันต์ครับ ที่กระผมอธิบายมานั้น ผิดถูกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ควรหรือไม่ควรก็ขออภัยมาณที่นี่ด้วยครับ หากท่านใดจะกล่าวอธิบายเสริมเพิ่มเติมก็ยินดีครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    เรื่องราวเกี่ยวกับจิตเกาะพระ
    เนื่องด้วย ทางกลุ่มจิตบุญ สายประอังกฤษ ทุกท่านมีความปลาบปลื้มยินดี เป็นอย่างยิ่ง
    ในพระมหากรุณาธิคุณ ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพ่อองค์ปฐม ที่ได้ พระราชทาน ชื่ออันเป็นมงคล ว่า " สมาคม จิตเกาะพระ" ...เพื่อที่จะใช้แทน คำว่า กลุ่ม"จิตบุญ" ที่พวกเรา ได้เคยใช้ กันมาก่อน ในการสื่อ ความหมายออกสู่ สาธารณชน ต่อไป ...แต่ยังคง คำว่า "จิตบุญ" ไว้ในทำเนียบ จิตบุญ เหมือนเดิม หรือ ใช้เรียกพวกเรา เป็นการภายในเท่านั้น และจะใช้ ภาพสัญลักษณ์ ข้างล่าง เป็นโลโก้ ประจำสมาคม ต่อไป

    เพื่อรับสนองใน พระเบี้องพระยุคลบาท ที่สมเด็จพ่อทรงพระเมตตา พระราชทาน ชือใหม่ ให้พวกเรา ... ดิฉัน ณัฐชยา (พี่แนท) จบ.85 ขอเป็น ตัวแทน จิตบุญ ที่ประเทศอังกฤษ ที่จะใช้ ชื่อ " สมาคมจิตเกาะพระ" เพื่องานสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับ งานของ จิตเกาะพระ โดย จะใช้่ ชื่อว่า "สมาคมจิตเกาะพระ ... สาย UK " ในการทำงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ งานที่เกี่ยวกับ การเผยแผ่ "วิชา จิตเกาะพระ ... " ของสมเด็จพ่อ โดยยังคงรักษา วัตถุประสงค์หลัก คือ ช่วยสงเคราะห์ยกจิต ลูกหลาน ของท่านพ่อ หลวงพ่อฤาษี และ ครูบาอาจารย์ ทุกท่าน กลับสู่ บ้านพระนิพพาน ...

    โดยงานแรก ของปีนี้ ที่พวกเรา สาย UK ได้จัดทำนั่นคือ จัดทำ ต้นผ้าป่า ถวายวัดสันติวงษาราม Birmingham ในวันที่ 19 พ.ค นี้ โดยการทำบุญส่วนนี้ เป็นการสร้าง วิหารทาน คือถวายผ้าป่า เพือสร้างและ ต่อเติมขยาย วัดสันติวงษาราม ให้กว้างขวางขี้น ...ก็ถือเป็นโอกาส ดี ที่จะได้ถวายผ้าป่า ไว้ในนาม " สมาคมจิตเกาะพระ " พวกเราจิตบุญทุกคน ที่ ประเทศอังกฤษ ขอเป็นตัวแทน พี่น้องจิตบุญที่ประเทศไทย และ ประเทศอื่นๆ ร่วมกันถวายทานอันยิ่งใหญ่ไว้ในพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง...

    ขอกราบเรียนเชิญ ท่านผู้มีจิตศรัทธา ทุกท่าน ร่วมบุญได้ ตามอัธยาศัย นะคะ ...รายละเอียด จะแจ้งให้ทราบ อีกทีค่ะ ...สาธุ อนุโมทนาค่ะ
    แนทUK จบ.85


    ขอโมทนาบุญกับคุณแนทและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
    โดยเฉพาะคุณเพ็ญUK ท่านเป็นผู้ริเริ่มงานนี้
    เพราะต้องการเชื่อมสายสัมพันธ์อันดีงามระหว่างวัด พระสงฆ์กับฆราวาสหรือผู้ศรัทธาทั้งหลาย
    และเป็นการเปิดตัวสมาคมจิตเกาะพระ ที่ประเทศอังกฤษโดยปริยาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้เจริญทั้งหลาย ได้โปรดร่วมโมทนาบุญกับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบด้วยเทอญ
    จาก..สมาคมจิตเกาะพระ​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ โดยเฉพาะเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันตามที่ตนปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
    "นิพพานัง ปรมัง สุขัง"
    สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2013
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...อย่าลืมว่า...

    ...ใช้ปัญญา พิจารณาให้เข้าใจ ความ...

    ...เป็นคนที่ตัวเอง...

    ...ขาดปัญญา บรรลุมรรคผลไม่ได้...

    ...อย่ายอมให้กิเลสเป็นนาย...

    ...อย่ามีจิตใจอ่อนแอ...

    ...ทำจิตใจให้เข้มแข็ง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ที่ตั้งแห่งกองบุญ)

    -๑ ทานมัย -ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ

    -๒ สีลมัย - ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรืประพฤติดี

    -๓ ภาวนามัย - ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ

    -๔ อปจายนมัย - ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม

    -๕ เวยยาวัจจมัย - ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้

    -๖ ปัตติทานมัย - ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้แก่คนอื่น

    -๗ ปัตตานุโมทนามัย - ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น

    -๘ ธัมมัสสวนมัย - ทำบุๆญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้

    -๙ ธัมเทสนามัย - ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้

    -๑๐ ทิฏฐุชุกัมม์ - ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง

    ...คัดจากหนังสือยกระดับชีวิตด้วยธรรมะ...
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    การเคารพนับถือพระพุทธเจ้า

    เคารพด้วยใจที่ตั้งมั่น มีจิตศรัทธา
    ไม่สงสัยในพระธรรมคำสอนของพระองค์ อันเป็นตัวแทนของพระศาสดา
    เปรียบประดุจพระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แม้เสด็จปรินิพพานไปนานแล้ว

    ตั้ง "นะโม" ขึ้นมาคราวใดขอให้มีจิตศรัทธา นอบน้อม
    ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจโดยแท้จริง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    ท่านสอนลูกหลานไว้ว่า....

    นิพพานถ้าฉลาดพอ ไปได้ทุกคน ไปได้ในชาตินี้

    การไปนิพพาน เป็นเรื่อง ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

    ไปด้วย "กำลังใจ" อย่างเดียว แค่เราทำจิตเช่นนี้ไว้เสมอ

    คิดถึงแต่พระพุทธเจ้าเสมอ อย่าให้จิตห่างพระพุทธเจ้า

    คิดถึงแล้วเราจะไม่อยากทำชั่ว ท่านจะคอยช่วยจริงๆ

    ท่านจะคอยช่วยบังคับกระแสจิตเรา ให้ห่างจากความชั่วทุกชนิด

    ให้อยากทำแต่ความดี ให้มีใจเบิกบาน
    จริงๆ เราสามารถบอกตัวเองได้ ณ บัดนี้เลย ว่าเมื่อเราตายแล้ว เราจะไปไหน
    ด้วยความรู้สึกของเราเอง ขณะนี้ เราจะรู้ดีกว่าใคร ไม่ต้องไปหา อาจารย์ที่ไหน
    บอกเราว่าเราจะไปนิพพานได้หรือไม่ เราตอบตัวเราเองได้เลยนะ
    ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้า...

    1.ใครด่า ว่า นินทา ตำหนิ ไม่รู้สึกโกรธ
    ไม่เดือดร้อน ไม่แค้น เฉยๆ คิดว่า
    คนก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไม่อยากเจอ สภาพนี้ เราก็ต้องหนีไปนิพพาน

    2.ไม่ว่าจะเจอมรสุมใด ก็ไม่ทุกข์
    มีหนี้ ลูกดื้อ ผัวบ้า เมียบอ ก็ไม่ทุกข์
    คิดว่าเขากับเรา ต่างคนต่างมา
    ต่างคนต่างไป ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น
    เราเห็นคนตายจากกัน
    ก็ไม่เห็นกลับมาช่วยอะไรกันได้อีก
    ดังนั้นเมื่อเราอยู่ หรือ ตาย ก็ไม่กังวล
    ไม่ทุกข์กับการที่ใครจะนิสัยอย่างไร
    ไม่ใช่นิสัยเราก็แล้วกัน
    แต่นิสัยเรา เราต้องแก้ ไม่ต้องแก้คนอื่น

    3.จิตทรงอุเบกขา เป็นอารมณ์
    จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ไม่ตื่นเต้น
    ไม่ตกใจ ไม่ฟูมฟาย นิ่ง เข้าไว้ก่อน
    เห็นคนใกล้ชิดตาย หรือ มีเคราะห์กรรม
    ก็ให้คิดว่า คนในโลกนี้เขาก็มีให้เราเห็น
    อยู่ทุกวัน ไอ้เคราะห์กรรมแบบนี้
    แล้วทำไมมันจะเกิดกับเราไม่ได้
    กรรมแต่ละคน ต้องทำมากันทั้งนั้น

    อารมณ์นี้ หลวงพระราชพรหมยาน (พ่อฤาษีลิงดำ) ท่านบอกว่า
    " เป็นอารมณ์พระนิพพาน"​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2013
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,351
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, Natcha@uk, Patcharawan+
    ************************
    ****น้องจุ๋ม มาแล้ว ดีใจจัง
    ****อนุโมทนาสาธุกับผ้าป่าUK ด้วยค่ะ
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    โมทนา สาธุ ๆ ๆ กับคำสั่งสอนหลวงพ่อ...
    ลูกจะนำไปปฎิบัติค่ะ...
     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    อิฐก้อนหนึ่งมีน้ำหนัก 10 กิโล
    แล้วเอาทองคำแท่งหนึ่งมาวางลงเทียบกัน น้ำหนัก 10 กิโล
    ทองคำกับอิฐทั้งสองก้อนนี้
    เมื่อยกขึ้นแล้ว จะมีน้ำหนักเท่ากัน

    ถ้าว่าเป็นทุกข์เพราะความหนักในการยกอิฐ
    และยกทองคำก็เป็นทุกข์เท่ากัน
    เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่เป็นทุกข์
    จึงไม่ยกทั้งทองคำ ไม่ยกทั้งอิฐ ปล่อยไว้ตามเป็นจริง

    อิฐหรือทองคำเทียบกับความนินทา และความสรรเสริญ
    ความนินทาเท่ากับอิฐก้อนหนึ่ง
    มันก็มีน้ำหนักของมันเท่านั้น
    ความสรรเสริญแม้ว่าเป็นของดี
    มันก้มีน้ำหนักเช่นเดียวกัน
    ไปยกขึ้นก็หนักเท่ากัน


    เพราะงั้นจึงปล่อยเสียทั้งหมด โดยสิ้นเชิง
    เมื่อไม่ยกอะไรแล้ว ก็หาความทุกข์ไม่ได้
    เช่น พระพุทธเจ้าทรงปล่อยวางหมดแล้ว
    พระอรหันต์ปล่อยวางหมดแล้ว
    ความทุกข์ทางจิตใจ เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นท่านจึงไม่มี
    เปิดออกหมดไม่มีอะไรเหลือ

    ธรรมเมื่อเข้าสุ้หัวใจใดแล้วย่อมพอ
    ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าคำว่า พอ
    คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับกองทุกข์ทั้งหลายนั้นแลจากจิตใจ
    เมื่อสมมุติดับโดยสิ้นเชิงแล้ว ใจก็พอ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     

แชร์หน้านี้

Loading...