ถามฝึกจิตให้เกาะอารมณ์กุศลธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 17 พฤษภาคม 2013.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    คําถามนี่ผมคิดว่าถ้าคนจะตอบถูก คงต้องมีคนที่ปฎิบัติ อย่างเดียว แล้วรู้ธรรม


    คือว่า จิตนี่เสวยอารมณ์ เป็นปกติใช่ไหม เช่น อกุศลธรรม อยากเลวบ้างคิดไม่ดีบ้าง หรืออารมณ์โกรธ และกุศลธรรมคือ ความเมตตาบ้าง หิริโอตัปปะ (เกรงกลัวและอายบาป) และอีกหลายอย่าง เยอะมากผมจําไม่ได้ แล้วที่เราชาวพุทธ มาฝึกจิตนี่ คือฝึกให้เกาะอารมณ์กุศลธรรม แล้วสุดท้ายก็ไม่ต้องเกาะ ความดีความเลวเป็นพระอรหันต์ (อ่านมาท่านไม่เกาะดี แต่ท่านทําดี ท่านไม่ยึดธรรม แต่ท่านเคารพธรรมและทรงธรรม)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2013
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ ถ้าธรรมชาติ สามอย่างเหล่านี้ ไม่พึงมีอยู่ในโลกแล้วไซร้ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก ธรรมชาติสามอย่างนั้น คืออะไรเล่า คือ ชาติ ชรา มรณะ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติสามอย่างเหล่านี้แล ถ้าไม่มีอยู่ในโลกแล้วไซร้ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุใดแล ที่ธรรมชาติสามอย่างเหล่านี้ มีอยู่ในโลก เพราะเหตุนั้น ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว จึงต้องรุ่งเรืองไปในโลก----[SIZE="3"ทสก.อํ.24/154/76....:cool:[/SIZE]
     
  3. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนนะครับ ผมไม่ใช่นักปฏิบัติ ไม่ใช่ผู้รู้ แต่เป็นผู้อวดรู้ก็เลยอดมาตอบไม่ได้
    ไม่ควรเชื่อแต่ขอให้ลองพิจารณาดู การฝึกจิตก็เหมือนกับการฝึกลิงป่าให้เชื่อง
    เพราะจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกเปรียบเหมือนลิงป่า เที่ยวซุกซนไม่อยู่นิ่งใช้ทำงาน
    ทำการอะไรไม่ได้ เมื่อนำมาฝึกจนเชื่องจึงสามารถสั่งให้ทำงานตามที่ต้องการได้
    เมื่อจิตได้รับการฝึกมาดีก็สามารถใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้ งานของจิตก็คือ
    สร้างปัญญาเพื่อกำจัดอวิชชาให้สิ้นไปนั้นเอง ครับ จิตเสวยอารมณ์เป็นธรรมชาติของจิต
    ถ้าจิตเสวยอารมณ์หยาบ กระด้าง เป็นอกุศล จิตย่อมมัวหมอง ไม่สดใสเป็นทุกข์ แต่ถ้าจิต
    จิตเสวยอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน เป็นกุศล จิตย่อมแจ่มใสเป็นสุข เหมือนร่างกายที่ได้รับอาหารดีๆ
    ย่อมแข็งแรง สามารถทำกิจกรรมการงานต่างๆได้สะดวก จิตที่แจ่มใจไม่ขุ่นมัวย่อมง่ายต่อการสร้างปัญญาให้เกิดขึ้น
    สิ่งที่ผมเข้าใจนี้ก็ได้มาจากการอ่านหนังสือธรรมะ ตามคำสอนของ พระสุปฏิปัณโณหลายรูป ก็อยากนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ครับ
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ปัญจุปาทานักขันธิ์---พระวจนะ ภิกษุทั้งหลาย กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานักขันธิ์ เป็นตัวทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ปัญจุปาทานักขันธิ์ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ขันธิือันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือรูป ขันธิ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา ขันธิ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ สัญญา ขันธิ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ สังขาร และขันธิ์อันเป็นที่ยึดมั่นคือวิญญาน เหล่านี้แล เรียกว่า กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานักขันธิ์ เป็นตัวทุกข์----มหา.ที.10/343/295:cool:
     
  5. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    ขอเสริมอีกนิดครับที่ว่า ท่านไม่เกาะดี แต่ท่านทําดี
    หมายถึงการปฏิบัติธรรมของท่านจิตท่านไม่ได้มุ่งจับอยู่แต่จุดหมายปลายทาง
    ไม่คิดว่่าทำดีเพื่อจะได้ดี แต่ท่านมีสติอยู่กับการปฏิบัติตลอด
    การปฏิบัติธรรมเปรียบเหมือนการเดินขึ้นเขา ถ้าสายตาจับจ้องอยู่แต่ยอดเขาก็อาจเดินตกหลุม
    สะดุดหินหรืออาจเดินตกเหวได้ ขณะเดินตาจึงควรมองอยู่บนเส้นทางที่เดินและมั่นใจว่าเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ยอดเขาได้
    นั่นคือมีสติอยู่กับการปฏิบัติตลอด เพื่อไม่ให้พลาดในการปฏิบัติ ความคิดเห็นอันนี้มีบางส่วนอยู่นอกประเด็นคำถามอยู่บ้างแต่ อยากนำมาพิจารณาร่วมกันเผื่อจะเป็นประโยชน์
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สังสารวัฎนี้ เป็นสิ่งที่มีเบื้องต้นและเบื้องปลายอันบุคคลรู้ไม่ได้ เบื้องต้น เบื้องปลายไม่ปรากฎ แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน กำลังแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่ ......................ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสุนัข ถูกผูกด้วยเครื่องผูกสุนัข ซึ่งเขาผูกไว้ที่หลักเสา อันมั่นคง ถ้ามันจะเดินก็เดินเบียดหลัก หรือเสานั้นเอง ถ้ามันจะยืนก็ยืนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง ถ้ามันจะนั่งก็นั่งเบียดหลักหรือเสานั่นเอง ถ้ามันจะนอนก็นอนเบียดหลักหรือเสานั่นเอง อุปมานี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลายอุปไมก็ฉันนั้น คือปุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งรูปว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งเวทนาว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ย่อมตามเห็นพร้อมวึ่งสัญญา ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั้นตัวตนของเราดังนี้ และ ย่อมตามเห็นพร้อมซึ่งสังขารทั้งหลายว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ และย่อมตามเห็นพร้อมซึ่ง วิญญาน ว่า นั้นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ถ้าปุถุชนนั้นยืยอยู่ใกล้ใกล้ ปัญจุปาทานักขันธิ์นี้เอง ถ้าปุถุชนนั้นนั่งอยู่ใกล้ใกล้ปัญจุปาทานักขันธิ์นี้เอง ถ้าปุชนนั้น นอนอยู่ก็นอนอยู่ใกล้ใกล้ ปัญจุปาทานักขันนี้เอง ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลควรพิจารณาดูจิตของตนอยูเสมอไปว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะฉนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลึวพิจารณาดูจิตของตนอยู่เสมอไปว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้ว ด้วย ราคะ โทสะ และโทะ ตลอดกาลดังนี้เถิด----ขนธ.สํ.17/183/258:cool:
     
  7. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อันนี้ก็จริง ถ้ายึดใน อารมณ์ หรือนสิ้งที่เห็นก็ทุกข์ แต่จะละนี่ดิ ต้องใช้บารมีมาก แล้วต้องบําเพ็ญเองไม่มีใครมาบําเพ็ญให้ได้ พระท่านได้แต่สอนวิธี เหลือแต่เราจะปฎิบัติไหม (นับถือพระอริยเจ้า ที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ จนชนะกิเลส แล้วเอาวิธีชนะกิเลสมาสอน พวกเราให้ทํากัน เอาความสุขมาให้)

    สาธุครับกล่าวดีแล้ว
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    ผมน่ะไม่ใช่นักปฏิบัติ แต่เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บตาย เช่นเดียวกับ คุณ หรือ คนทุกๆ คนหรือสัตว์ ที่เกิดมา เท่าไหร่ ก็ตายหมด เท่านั้น เกิดมาเพื่อใช้กรรม และสร้างบุญบารมีต่อ เพื่อความพ้นทุกข์ (ไม่จำเป็นต้องตอบ ในหัวข้อของคุณแล้วครับ เพราะว่า คุณตั้งคำถาม และตอบมันมาหมดเรียบร้อยแล้วในตัวของมันเสร็จครับ ถ้าเข้าใจ ในหัวข้อของคุณ ตามที่คุณว่ามานั่นแหละ ทั้งดีและชั่ว ไม่เอาตัดหมด ถ้ามันต้องเกิดอยู่ มันก็จะตรงข้ามกับทีคุณถามมาครับ
     
  9. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    คำถามคืออะไรครับ
     
  10. ผู้มาใหม่

    ผู้มาใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +618
    เคยได้ยินน้ำมันทาบาตรไหมครับ
    มีก็เหมือนไม่มี
    ไม่มีก็เหมือนมี
    เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าไม่ควรยึดเกาะสิ่งใดเพราะไม่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น
    ถือวางว่างปล่อย(แค่นี้เราก็เจอแล้วครับ)
     
  11. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    ธรรมชาติของจิต มีสภาพรู้
    มีปกติรู้อารมณ์เสมอ

    ไม่ว่าอารมณ์อะไร จิต รู้ตลอด
    รู้ว่ารู้
    รู้ว่าไม่รู้
    รู้ร้อน เย็น แข็ง อ่อน เจ็บแสบ
    ชอบใจไม่ชอบใจ
    แต่จิตที่ยังไม่ได้อบรม มันแยกไม่ออกว่า อะไรดีอะไรชั่ว
    อะไรบุญอะไรบาป
    เพราะมันยังไม่มี สติ ปัญญา
    จึงทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏมานับไม่ถ้วน

    แม้จะบอกว่า จิตสเวยอารมณ์ กุศล อกุศล
    หากจิตมันยังไม่มีปัญญามันก็แยกไม่ออก
    มีแต่เพียงรู้อย่างเดียว
    คำสอนพระพุทธเจ้า มรรค 8 เป็นการนำออก พ้น บุญพ้นบาป

    คำว่าพ้นบุญพ้นบาป นี่เป็นผลงาน
    ที่ผู้ปฏิบัติ ตามมรรค 8จะต้องบังเกิดผล

    ทีนี้ ในการปฏิบัติตามมรรค 8
    หรือเรียกว่า การตกแต่งดำเนินตามมรรค8
    อันนี้เป็นกุศล การกระทำแบบนี้เป็นกุศล
    แต่เมื่อการปฏิบัติตกแต่งมรรค มันพร้อม
    ผลที่เกิดขึ้นตรงนี้ มันพ้นกุศล
    การพ้นกุศลนี้เป็นมรรคอริยะ เป็นมรรคญาณ

    ฉะนั้น คำว่าพ้นกุศลอกุศล พ้นบุญพ้นบาป มันเป็นผลงาน

    ไม่ใช่ ว่า ทำดี แต่ไม่ติดดี
    เพียงแต่ว่า การทำดีที่เดินตามมรรค8
    ผลของมัน มันพ้นความดีโดยอัตโนมัติ เรียกว่าไม่ติดดี
    ไม่มีเจตนาจะไปตั้งใจไม่ติดดีหรือไม่ยึดดี
    แต่มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ
    ผลของ มรรคญาณ หรือเรียกว่า ในขณะแห่งมรรคเกิด
    มันจึงละกุศลแต่เพียงถ่ายเดียว

    เราชาวพุทธ ที่มาฝึกจิต
    ก็เพื่อ ให้ จิต มีปัญญาเห็นแจ้ง ว่า นี่ทุกขัง นี่อนิจจัง นี่อนัตตา
    ให้จิตรู้ว่า
    อะไรเรียกว่าทุกข์
    อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์
    อะไรเป็นการดับทุกข์
    อะไรเป็นหนทางดับทุกข์

    และในทางกลับกัน ทางเดินแห่ง มรรค 8
    หากไม่ยืนพื้น ตั้งต้นที่กุศลเป็นฐาน มันจะไปไม่สุดทาง
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำถามนี้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะว่ามันเป็นสมมติบัญญัติ
    ปฏิบัติเอง รู้เอง เพราะว่าธรรมอันละเอียดนั้น ไม่สามารถใช้ภาษาอะไรอธิบายได้ค่ะ

    สิ่งที่คุณกล่าวมานั้น คือธรรมชาติของจิต เราปฏิบัติเพื่อเข้าไปรู้ไปเห็นความเป็นธรรมชาติเหล่านั้น ไม่ใช่ปฏิบัติไปเพื่อบังคับให้จิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเราได้เห็นธรรมชาติในทุกๆ ด้านของจิตแล้ว ก็จะสามารถวางจิตให้เป็นอุเบกขาอย่างแ้ท้จริง ไม่ใช่อุเบกขาปลอมๆ เพราะอะไรจึงบอกว่าเป็นอุเบกขาปลอมๆ เพราะว่ามันยังมีการกำหนดให้วางลง วางเพียงชั่วคราว เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบจิตก็บอกมันว่าให้ปล่อยวาง โดยที่ยังไม่รู้แจ้งแทงตลอด แต่เมื่อใดที่เข้าถึงสภาวะแห่งธรรมชาติของจิตด้วยใจแล้ว

    การปล่อยวาง หรืออุเบกขานี้คือ ธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธองค์ เมื่อปฏิบัติจนถึงขั้นนี้แล้ว วางทุกอย่างจนว่าง ไม่เหลืออะไร แม้แต่จิตเองก็ไม่มี
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่จริงการพูดคุยธรรมะเนี่ย ถามว่าดีไหม คำตอบนั้น คือ ดีแน่นอนค่ะ
    แต่แค่พูดคุยมันไม่มีผลใดๆ เลย ถ้าเราไม่นำไปปฏิบัติให้เห็นจริง เพราะว่ามัวแต่สงสัย
    หรือว่าลองภูมิกัน ไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อการปฏิบัติธรรมค่ะ
     
  14. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับ คือที่ถามเพราะ แต่ก่อนผมอารมณ์ดี เป็นมิตรคนอื่น คิดว่ายังไงเราก็ตาย ไม่ต้องการศัตรู เป็นมิตรคนอื่นดีกว่า และไม่ชอบโกรธ ตอนนี้ไม่รู้ทําไม โกรธ ลบหลู่บุญคุณ (ในใจนะ) มันมาเป็นบางครั้ง ทั้งที่ๆรู้ตัวอยู่ว่ามันไม่ดี ผมต้องฝึกสมาธิให้มากๆ
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    บ่องตงเลย. ทำสมาธิมากขึ้น. ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่มีจิตปรามาสนะ

    และยิ่งกว่านั้น. จะยิ่งเห็นจิตปรามาสนั้นแล่น ไว รวดเร็ว ลึก. ได้ยิ่งกว่าเดิม

    การที่จิตไปเห็นอาการของจิต. ว่ามี สังขารแอบแฝงในจิต. ไว และร้ายลึก
    ในทางธรรมเรียกว่าเห็นกิเลสได้ปรานีตขึ้น(ก้าวหน้า)

    ถ้าสดับธรรมมาผิด. จะมุ่งแต่เอาจิตเที่ยงทำกิเลสให้หายไป

    ถ้าสดับธรรมบ่อยๆ. จะเข้าใจว่า ท่านให้เห็นตามความเปนจริง

    เห็นแล้วได้อะไร. ได้ความคลายกำหนัดจากการทำดี

    การคลายกำหนัดนั้นไม่ได้แปลว่าทำให้มันหายไป ไม่พบไม่เจอ

    การคลายกำหนัดคือ การเจอผัสสะอยู่ต่อหน้าต่อตา. เพียงแต่สิ่งนั้นยั่วยวลใจเราให้
    ส่งออกไม่ได้อีก

    กรณีเป็นอกุสล. การไม่ส่งออกคือ. ละ. เว้น. วาง

    กรณีเปนกุศล. การไม่ส่งออกคือไม่เลิกประกอบ. ไม่ทวงถามเอาผล. ไม่ร้อนใจว่าต้องได้ดิบได้ดี ณบัดนาว

    กรณีเป็นอัพพยากตา. จะไม่แส่ส่ายเอานิมิตปรานีต. จะทรงไว้แบบคนเก็บเปีี้ยวกินหวาน ปลูกข้่าว
    รอเพียงวันออกรวงออกผลของมันเอง


    ดังนั้น
    คอนเซ็ปท์ดี ก็รู้ไปตรงๆว่า. ทิฏฐิสัมมา. สังกัปปะสัมมา. มี

    ถ้าร้อนใจ. ด่วนไดผลดี คิดแต่จะทำ. ก็รู้ไปตรงๆว่า. ยังมัวคาดหมาย วาดนิพพาน
    แ่บบ. จิคมีอโยนิโสมนสิการ. ถ้าใจร่ม. หมั่นประกอบ. ก็รู้ไปตรงๆว่า. จิตมีมนสิการ
    แต่. ไม่โน้มไปหาธรรม


    ธรรมนั้นคาดหมายเอาไม่ได้. ถ้ายังคาดหมาย วาดภาพ. จะวนเวียนปรารภความดีอยู่เพียงแค่นั้น


    น่าเสียดาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...