ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. PredicOfMaya

    PredicOfMaya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +85
    ตอนปี 55 ลุงบอกว่า น้ำไม่มาก จะไปหนักปี 56
    พอมาปี 56 บอก 57 จะหนักมาก
    เดี๋ยวปี 57 ก็คงจะบอกว่า เลื่อนไปปี 58 อีกมั้ง
     
  2. 123go

    123go เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +302
    อย่าไปถือสาลุงแกเลยนะ...555... คิดว่าในนี้ คงไม่มีใครเชื่อแกหรอก เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยทายอะไรถูกซักอย่าง 555 :boo: คงพอๆ กับ ลุงหนุมารนั่นแหละ
     
  3. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    12 พ.ค. 56

    การอ่านถ้ารู้จักแยกแยะอ่านแล้วเข้าใจก็เข้าใจ ถ้าแยกไม่ออกก็ช่วยไม่ได้ถือว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่ง

    ความฝันคือความฝันเอาอะไรแน่ไม่ได้ ถ้าเชื่อเป็นตุเป็นตะก็ขาดสติ นอกจากฟังหูไว้หูแล้วระวังเพื่อความไม่ประมาทนั่นคือผู้มีสติ

    นิมิต เห็นตึกสูงห้าชั้นมีรอยแตกร้าว มีเศษอิฐเศษปูนร่วงลงมา ผู้คนหนีลงมารวมอยู่นอกตึก เห็นศพคนตาย

    เคอิสรา
     
  4. PredicOfMaya

    PredicOfMaya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +85
    ผมว่าลุงนั่นแหละสร้างกรรมให้ตัวเอง มุสา มากี่ปีแล้วครับ

    ฝันเป็นตุเป็นตะ มันก็เชื่อไม่ได้อยู่แล้วครับ ไม่เคยถูกเลย แล้วเอามาโพสต์ทำไมครับ

    นิมิตมากี่ปีแล้วครับ เคยถูกบ้างมั้ยครับ น่าจะพิจารณาตัวเองได้แล้วนะครับ

    คำถามคือ
    ตอนปี 55 ลุงบอกว่า น้ำไม่มาก จะไปหนักปี 56
    พอมาปี 56 บอก 57 จะหนักมาก
    เดี๋ยวปี 57 ก็คงจะบอกว่า เลื่อนไปปี 58 อีกมั้ง

    *แต่ลุง k-97 ตอบอะไรก็ไม่รู้ ไม่ตรงประเด็นเลย แถไปเรื่อย*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  5. MemayWitch

    MemayWitch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +84
    เมว่าปล่อยลุงแกไปเถอะ แกคงมีอาการทางจิตไม่ปกติ บอกอะไรไปแกคงไม่รับรู้อะไรหรอกค่ะ
     
  6. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    ทำไมต้องจับให้มั่น คั้นให้ตาย

    ไม่ได้เป็นสาวกหรือสมาชิกอะไรของคุณลุง แต่ตั้งแต่อ่านบทความของลุงมา ก็ถูกเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเวลาเกิดเหตุถูกเลื่อน และเกิดเหตุไม่หนักมากสำหรับประเทศไทย แต่ไปเกิดต่างประเทศเสียส่วนใหญ๋ ท่านก็บอกแล้ว ฝันก็คือฝัน ต้องฟังหูไว้หู พิจารณาแยกแยะเอง เพื่อเตรียมตัว แต่อย่าลุ่มหลง คนที่เค้าเชื่อแล้วเตรียมตัวก็มี คุณมีสิทธิ์วิจารณ์ได้อย่างสร้างสรรค์ คุณ พวกคุณ หรืออาจจะเป็นคุณคนเดียว วิจารณ์แบบให้เกิดการแตกแยก ทะเลาะกัน ใช้อารมณ์ คุณเคยไหม มีเพื่อนมาชวนไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดผลดี ก็ไม่มีอะไรว่ากัน แต่ถ้าผลที่เกิดไม่ดี จะโทษเพื่อนที่ชวนหรือบางทีโกรธกันไปเลย นั่นเป็นเพราะคนๆ นั้นไม่ใช้สติไตร่ตรอง เมื่อเกิดผลเสียแล้วโทษผู้อื่น ที่ว่าคุณ พวกคุณ หรือคุณคนเดียว เพราะสไตร์การเขียน สำนวนการใช้ภาษา ลักษณะการเขียนคุยกัน มาแนวเดียวกันเลย จึงหลับตาฟันธงว่า พวก ขอความกรุณาวิจารณ์แบบสร้างสรรค์นะค่ะ และขอให้เกิดประโยชน์กับผู้อ่าน เพราะการเขียนสามารถส่งความรู้สึกผ่านมาทางตัวหนังสือได้ ถ้าวิจารณ์แบบสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นกุศล ถ้าวิจารณ์ในทางตรงกันข้าม ก็เป็นตรงกันข้าม สิ่งใดๆ ในโลกนี้ ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอนาคต ไม่สามารถจับให้มั่น คั้นให้ตายได้ ดูแต่การณ์พยากรณ์อากาศซิ พยากรณ์ว่าวันนี้ฝนจะตก แต่บังเอิญเกิดเหตุกาณ์คลื่นความร้อนเข้ามาอย่างรุนแรง เกิดลมพัดมาอย่างรุนแรง พัดเมฆฝนไปหมด ฝนก็ไม่ตก อีกตัวอย่างหนึ่ง เราทุกคนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกคนรู้ รู้ดีด้วย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดกายเรา จิตเรา ตัวเราจะดับ จับให้มั่น คั้นให้ตายได้ไหม ในเมื่อมันเป็นเหตุการณ์ในอนาคต ตัวดิฉันซื้อที่ดิน ซื้ออาหาร รวมทั้งปัจจัยสี่ สร้างที่หลบภัย เหมือนคนที่พลาดพลั้งมากๆ นะคะ แต่ไม่ได้โทษท่านผู้พยากรณ์ทั้งหลาย ปัจจัยที่ซื้อก็ได้มาจากการกู้เงิน ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ย แต่การจัดซื้อสิ่งของ สร้างที่หลบภัย ดิฉันทำอย่างพอเพียง โดยซื้อแค่พออยู่ได้ซักระยะ แล้วเริ่มเพาะปลูกอาหารเอง เริ่มถนอมอาหารเอง เริ่มศึกษายาสมุนไพรเอง โดยใช้เงินให้น้อยที่สุด แลกเปลี่ยนความรู้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่ดินที่ซื้อก็ไม่ได้เอกสารสิทธิ์ แต่มีสิทธิ์สร้างบ้านพัก ทำกินแบบเกษตรกรได้ ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะดิฉันซื้อแบบพอเพียง เพื่อปลูกพืชอาหารเลี้ยงครอบครัว ทำแบบไปเรื่อยๆ ตามกำลังกายที่มี ไม่ได้จ้างแรงงาน ศึกษาการทำน้ำหมักชีวภาพ การตัดเย็บเสื้อผ้า การทำยาสมุนไพร เพื่อครอบครัว และเพื่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ไม่เป็นภาระให้กับใคร เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น คนที่เดือดร้อนจากการเตือนภัย เพราะไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี ทำอะไรแบบใหญ่โต เกินกำลัง จนสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง ทรัพย์ในพื้นที่เกิดภัย ถ้าเกิดจริงๆ ดิฉันก็ยอมสละ ไม่คิดขายให้คนอื่น เพราะเค้าอาจไม่รู้ว่าจะเกิดภัยจึงมาซื้อ เป็นการทำบาป ดิฉันจึงคิดว่ายอมเสียทรัพย์เสียเองดีกว่าจะทำบาป เพราะถึงอย่างไร เมื่อดับไปแล้วก็ไม่สามารถเอาไปได้ ที่หลบภัยดิฉันทำให้ลูกและน้องๆ ของดิฉัน และเพื่อนร่วมชาติของดิฉันถ้าตัวดิฉันไปไม่ทันหรือเสียชีวิตก็ไม่เป็นไร ไม่เสียใจ เป็นธรรมดาของโลกและเราได้เตรียมตัวดีแล้ว ธรรมชาติไม่สามารถจับให้มั่น คั้นให้ตายได้ เพราะเราคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือเรา
     
  7. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ความฝัน ไม่จำเป็นต้องฝันได้แต่เรื่องแถวบ้าน
    เพียงแต่มนุษย์ต้องฝันให้ไกลไปให้ถึงเท่านั้น
    (เกี่ยวอะไรนะเนี่ย ออกทะเลจนได้นะเรา :D)
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ๑๐๐ คำสอน สมเด็จพระสังฆราช

    [​IMG]

    ๑๐๐ คำสอน สมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษาครบ ๑๐๐ ปี

    คำสอนเรื่อง"กรรม"

    ๔๓

    กรรม แปลว่า กิจที่คนกระทำ คำว่า ทำ หมายถึงทั้งทำด้วยกาย อันเรียกว่ากายกรรม ทั้งด้วยวาจาคือพูด อันเรียกว่าวจีกรรม ทั้งด้วยใจคือคิด อันเรียกว่ามโนกรรม บางทีเมื่อพูดกันว่าทำก็หมายถึงทำทางกายเท่านั้น ส่วนทางวาจาเรียกว่าพูด ทางใจเรียกว่าคิด แต่เรียกรวมได้ว่าเป็นการกระทำทุกอย่าง เพราะจะพูดก็ต้องทำคือทำการพูด จะคิดก็ต้องทำคือทำการคิด จึงควรเข้าใจว่าที่นี้ คำว่าทำใช้ได้ทุกทาง

    ๔๔

    ความเชื่อกรรม ถ้าเชื่อให้ถูกทาง ก็จะแก้ความเชื่อโชคลางต่างๆ ได้เป็นอันมาก และสำหรับคนเรามีปัญญาสร้างกรรมใหม่ๆ ขึ้นได้ดีๆ มีพระธรรมของพระพุทธเจ้าปฏิบัติรักษาอยู่ ก็เป็นผู้มีสรณะกำจัดทุกข์ภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

    ๔๕

    ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ทุกๆ คนพิจารณาให้ทราบหลักกรรมเนืองๆ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาท พยายามละกรรมชั่ว ประกอบแต่กรรมดี เพราะทุกๆ คนสามารถละกรรมที่ชั่ว ประกอบแต่กรรมที่ดีได้ การที่ยังปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้ ก็เพราะยังประมาท มิได้พิจารณาให้รู้ตระหนักในหลักกรรมและไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อผลของกรรม ไม่เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน ต่อเมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทและมีศรัทธา ความเชื่อดังกล่าว จึงจะละกรรมชั่ว ทำกรรมดีได้ตามสมควร

    ๔๖

    ทุกๆ คนทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมให้ผลในปัจจุบันบ้าง ในภายหน้าบ้าง ในเวลาต่อๆ ไปบ้าง ตามแต่กรรมนั้นๆ จะหนักเบาอย่างไร ท่านเปรียบเหมือนอย่างยืนอยู่บนที่สูงและโยนสิ่งต่างๆ มีก้อนหิน ก้อนดิน กิ่งไม้ ใบหญ้าลงมา ของที่มีน้ำหนักมากย่อมตกลงสู่พื้นดินก่อน ส่วนกรรมที่หนักน้อยกว่าหรือเบากว่าจะให้ผลตามหลัง

    ๔๗

    คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าจะต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา สัจจาธิษฐาน เป็นต้น อันเป็นส่วนจิต และศีล อันหมายถึงตั้งเจตนา เว้นการที่ควรเว้น ทำการที่ควรทำ ในขอบเขตอันควร

    ๔๘

    ผู้ที่ทำกรรมดีอยู่มากเสมอๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีตหากจะมี กุศลของตนก็จะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบต่อไป และถ้าได้แผ่เมตตาจิตอยู่เนืองๆ ก็จะระงับคู่เวรอดีตได้อีกด้วย ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน

    ๔๙

    ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อกรรมของตนเอง จะป้ายไปให้คนอื่นไม่ได้ คนทำดีจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามก็เป็นคนดี เพราะกรรมของตน ใครจะรู้หรือชื่นชมหรือไม่ก็ตาม ตัวผู้ทำรู้สึกตัวเองว่าทำดี คนที่ทำไม่ดี เช่นประพฤติตนเกะกะระรานเป็นคนหัวขโมย ก็เป็นคนชั่วเพราะกรรมของตน ใครจะรู้หรือไม่ก็ตาม ตัวผู้ทำเองก็รู้สึกว่าตัวทำชั่ว อาจจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นด้วยการหลอกให้คนอื่นเข้าใจผิด แต่จะหลอกตัวเองไม่ได้ ตัวเองย่อมรู้สึกสำนึกตัวเองอย่างเต็มที่ ฉะนั้น เมื่อทำดีทำชั่วแล้ว จึงปัดดีปัดชั่วออกไปให้พ้นตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกตัวเองอยู่ทางจิตของตน ใครจะแย่งดีไปจะใส่ชั่วให้ก็ไม่ได้นอกจากจะหลอกให้คนอื่นเข้าใจผิดเท่านั้น

    ๕๐

    พระพุทธศาสนาแสดงเรื่องกรรมไว้ เพื่อให้รู้ว่ากรรมเป็นเหตุวิบาก คือผลตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดมาและติดตามให้ผลต่างๆ ต่อชีวิต ทำนองลิขิตนั่นแหละ แต่กระบวนของกรรมที่ทำไว้มีสลับซับซ้อนมาก ทั้งเกี่ยวกับเวลาที่กรรมให้ผล และข้อสำคัญที่สุดคือเกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคลในปัจจุบัน คือทางพระพุทธศาสนาสอนให้ไม่เป็นทาสของกรรมเก่า เช่นเดียวกับให้ไม่เป็นทาสของตัณหา แต่ให้ละกรรมชั่ว กระทำกรรมดี และชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์สะอาด ตามหลักพระโอวาท ๓ หรือกล่าวโดยทั่วไป มีกิจอะไรก็ตามควรทำก็ทำโดยไม่ต้องนั่งรอนอนรอผลของกรรมเก่าอะไร

    ๕๑

    คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่า มีผู้ดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น แต่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกข์เพราะกรรม ผู้คนเลยหันมากลัวกรรม กรรมจึงคล้ายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม ไม่ได้สอนให้ตกเป็นทาสของกรรมหรืออยู่ใต้อำนาจของกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน

    ๕๒

    กรรม คือการอะไรทุกอย่างที่คนทำอยู่ทุกวันทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือความจงใจ หลักใหญ่ของพระพุทธศาสนามุ่งให้พิจารณาให้รู้จักปัจจุบันกรรมของตนว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรหรือไม่ควร เพื่อที่จะได้เว้นกรรมที่ชั่วที่ไม่ควร เพื่อจะทำกรรมที่ดีที่ควร พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า บุคคลสามารถที่จะละกรรมที่ชั่ว กรรมที่ไม่ดีได้ จึงได้ตรัสไว้ให้ละกรรมที่ชั่ว ทำกรรมที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่า คนมีอำนาจเหนือกรรมอาจควบคุมกรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา สัจจาธิษฐาน และศีล

    ๕๓

    กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนหรือใจ กล่าวคือร่างกายที่ประกอบด้วยอายตนะทั้งหกนี้ คือตัวกรรมเก่า เป็นกรรมเก่าที่ทุกๆ คนมองเห็นนอกจากนี้ยังเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งกรรมใหม่ทั้งปวงอีกด้วย เพราะกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็อาศัยกรรมเก่านี้แหละเป็นเครื่องมือกระทำ

    ๕๔

    ตา หู มิใช่จะมีไว้เฉยๆ ต้องดูต้องฟัง แล้วก็ให้เกิดกิเลส เช่น ราคะ (ความคิดความยินดี) โทสะ (ความขัดเคือง) โมหะ (ความหลงใหล) ให้เกิดขึ้นขณะที่ร่างกายเจริญวัยหนุ่มสาว ซึ่งกล่าวได้ว่ากรรมเก่ากำลังเติบโตเป็นหนุ่มสาว ก็ยิ่งเป็นสื่อของราคะ โทสะ และเป็นสื่อแห่งกรรมต่างๆ ตามอำนาจของจิตใจที่กำลังระเริงหลง จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปกครอง จะปล่อยเสียหาได้ไม่ ถ้าตนเองควบคุมตนเองได้ก็เป็นวิเศษที่สุด แต่ถ้าควบคุมตนเองไม่ได้ ก็ต้องมีผู้ใหญ่ เช่น บิดา มารดา และผู้ใหญ่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องควบคุมให้อยู่ในระเบียบวินัยที่ดีงาม ให้เกิดสำนึกว่า เรานี้เกิดมาเพื่อทำความดี

    ๕๕

    เวร คือความเป็นศัตรูกันของบุคคลสองคนหรือสองฝ่าย เพราะฝ่ายหนึ่งก่อกรรมเสียหายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายนั้นก็ผูกใจเจ็บและคิดแก้แค้นตอบแทน เวรจึงประกอบด้วยบุคคลสองคนหรือสองฝ่าย คือผู้ก่อความเสียหาย ผู้รับความเสียหาย บุคคลที่สองหากผูกใจเจ็บแค้น จึงเกิดความเป็นศัตรูกันขึ้น นี่แหละเวร

    ๕๖

    เวร เกิดจากความผูกใจเจ็บแค้นของบุคคลที่สอง คือผู้รับความเสียหาย ถ้าบุคคลที่สองไม่ผูกใจเจ็บก็ไม่เกิดเป็นเวร การเกิดเวรเพราะบุคคลที่สองเป็นสำคัญ เมื่อใครมาทำความล่วงเกินเล็กๆ น้อยๆ ต่อเรา เราไม่ผูกอาฆาต เขาและเราก็ไม่เกิดเป็นศัตรูกัน คือไม่เกิดเป็นคู่เวรกันนั่นเอง เหมือนอย่างตบมือข้างเดียวไม่เกิดเสียง

    --------------------------------------------------------------

    หมายเหตุ ผู้สนใจในเนื้อหาคำสอนนี้ กรุณาสนับสนุน หนังสือ ๑๐๐ คำสอน สมเด็จพระสังฆราช ได้ที่ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา โดยรายได้จากการจำหน่ายหนังสือจะนำไปจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี

    คัดลอกจาก หนังสือ ๑๐๐ คำสอน สมเด็จพระสังฆราช ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จัดทำโดย มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพ ๒๕๔๔ พิมพ์ที่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419

    เห็นด้วยในบางเรื่อง และไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง

    ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทุกชีวิตล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า(ต่างกันที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น) หากเรามัวเอาเวลาในปัจจุบันไปทุ่มเทกับเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และไม่รู้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด(มากเกินไป) เราก็จะพลาดโอกาสที่จะพบและทำสิ่งดีๆในปัจจุบันไปอย่างน่าเสียดาย

    อย่าลืมว่า "ชีวิตนี้น้อยนัก" ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ และปัจจัย อยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดี เมื่อปัจจุบันดีก็จะส่งผลให้อนาคตดีไปด้วย อย่ามัวเอาเวลาปัจจุบันไปทุกข์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และไปวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    ขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  10. IPhon6s

    IPhon6s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2013
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +177
    เอ้าทำไมลุงยกล้อแล้ววกกลับแบบนี้อ่ะ แบบนี้ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่างเลยนะเนี่ย แล้วเรื่องนิมิตรที่เท้าแช่น้ำเกินครึ่งล่ะลุง ไหนบอกว่า เอานะ แล้วนี่ยกล้อวกกลับ กลืนเสล็ดเลยนะเนี่ยไม่ใช่แค่น้ำลายแล้วลุง แล้วขอร้องเลยนิมิตรทำนายแบบนี้ ใครก็ทำได้ พอเกิดอะไรนิดหน่อยที่ไม่ตรง บางเรื่องเกิดนู่นเลยต่างประเทศ ลุงยังโยงเข้านิมิตรลุงได้เลย ผมถามตรงๆเลยนะลุง คำสอนของพระพุทธเจ้า มีด้วยหรือว่าให้เอาความฝันหรือนิมิตร บ้าบอคอแตก มาเตือนเพื่อนมนุษย์ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านเอง ยังคอยปรามเหล่าสงฆ์เลย ในเรื่องอวดอุตริปาฏิหารย์ ลุงนี่ไม่ธรรมดาแล้วนะครับไปยาวแล้วนะลุง จริงๆ ไม่อยากยุ่งกับลุงหรอกนะ แต่ลุงเล่นยกล้อแล้ววกกลับแบบนี้ ทำได้ไง ใครคิดบทให้ลุงเนี่ย แล้วอีกอย่างนะถ้าใครจะมาต่อว่าอะไร บลา บลา บอกไว้เลยผมไม่ใส่ใจเลย ผมนับถือทุกโพสหรือกระทู้ ที่มาทำนายภัยพิบัติ แบบที่มีข้อมูล สาระ ตรรกะ ทางวิทยาศาสตร์ มีที่มา ที่ไป เพราะถึงแม้ว่าทำนายแล้วไม่เกิด อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ใครหลายคนได้ความรู้ไปกระแทกรอยหยักของสมองบ้าง เมื่อ4-5ปีที่แล้ว ใครรู้จักมั่งปรากฏการณ์การเรียงตัวของดาว ใครเคยสนใจมั่งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก แล้วใครเคยสนใจไหมว่าแม๊กม่าที่ไหลเวียนอยู่ในโลกช่วยอะไรโลกมั่ง ใครมั่งที่รู้เรื่อง solar flare ใครรู้จักมั่ง sunspot แล้วมีใครมั่งที่ได้ติดตามเรื่องข่าวการเกิดแผ่นดินไหวแล้วแผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับคนที่โพสกระทู้ทำนายภัยพิบัติในลักษณะนี้ ผมขอขอบคุณแล้วขอชื่นชม ยกย่องเลยว่าพวกคุณเหล่านั้น เป็นทั้งนักเตือนภัยแล้วก็เป็นครูอาจารย์ไปในตัว ส่วนพวกที่เตือนภัยโดยนิมิตร ญาณ หรืออภิญญา Google ผมขอบอกเลยว่า พวกคุณโครตไร้สาระ พวกคุณมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วขอบอกเลยว่าผมแม่งโครตต่อต้านกับกลุ่มคนเหล่านี้เลย ส่วนถ้าจะโดนแบนอะไร ผมไม่ใส่ใจเลย เพราะว่า คุณมีเหตุผลของคุณ แต่ผมมีความรักของผม แค่นี้ล่ะครับ สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  11. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    12 พ.ค. 56

    พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ลด ละ เลิก ให้อยู่กับปัจจุบันแต่ก็ทรงสอนให้ใช้ชีวิต...อย่างไม่ประมาท ถ้าประมาทใครจะเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อ

    เคอิสรา
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ใจร้ายนั้นคนมองไม่เห็น ปากร้ายทุกคนต่างได้ยิน !!!

    [​IMG]

    บาปกรรม เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 47 วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2521 ตอน ท่องแดนตัดลิ้นร้อยแก้มนรกน้อย ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า

    โลกมนุษย์ วุ่นวายหนอ มิควรยุ่ง
    เนื้อนาบุญ ปลอดภาษี หว่านไถนา
    ลูกคลื่นหลัง ซัดคลื่นหน้า ในคงคา
    ชั่วพริบตา ใบไม้ร่วง อีกคราเอย


    อรหันต์จี้กง : อ่านตามคำกลอนนี้แล้ว อาจมีคนพูดว่าอาตมานั้นเป็นผู้ที่หมดความมานะ เป็นผู้สิ้นหวัง ก็ล้วนแต่คนจะพูดไป อาตมาก็ไม่มีปัญญาที่จะไปห้ามปรามได้ ความมีมานะบากบั่นคล้ายกับการไต่บันได หากคิดจะมุ่งก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เมื่อบรรลุถึงขั้นสุดแล้ว ไม่รู้จักยับยั้งฝีเท้าก็จะต้องล่วงหล่นลงร่างกายก็จะย่อยยับแหลกลาญไม่มีชิ้นดี ดังนั้นชาวโลกควรจะสำนึกรู้ตัว ชีวิตของผู้คนในชาติหนึ่งมิได้ยืนอยู่ยงยาวนานอะไรนักหนา ห้องหอบ้านช่องตึกรามนั้นเพียงให้ท่านได้ยืมอาศัยอยู่ได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง

    ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีวิธีใดที่จะยึดอยู่ได้ตลอดกาล เมื่อเหยียดแข้งเหยียดขานอนแผ่เมื่อใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญสิ้น พวกลูกหลานก็จะเชิญให้ท่านย้ายไปอยู่ยังแหล่งอื่นลูกคลื่นในแม่น้ำคลื่นลูกหลังซัดไล่คลื่นลูกหน้า คนรุ่นใหม่เข้ามาแทนคนรุ่นเก่า หากไม่สำนึกรู้ตัวโดยเร็ว รอคอยจนฝุ่นไอ (ผืนดิน) เต็มตัว (กลบหน้า) มองไม่เห็นวี่แววแห่งความสดใสใหม่แล้ว เวลานั้นก็จะกลายเป็นบุคคลในอดีตกาลเสียแล้ว วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงจงขึ้นดอกบัวเสีย

    หยางเซิง : ขอรับคำบัญชา คำสวดมนต์หน้าศาลเจ้าได้ดังกังวานขึ้น คือเสียงดนตรีที่สวดส่งผู้คนกลับขึ้นไปสู่แดนตะวันตก

    อรหันต์จี้กง : เสียงสวดเร่าให้คนตื่นขึ้น คนตายแล้วไม่มีวันกลับเราไปนรกกันเถิด…ถึงแล้วละ เจ้าหยางเซิงลงจากดอกบัวเสีย

    พัศดี : ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งมาเยี่ยมชมคุกนี้ และคุกนี้คือ "แดนตัดลิ้นร้อยแก้มนรกน้อย" อยู่ในความปกครองของขุมที่เจ็ด ท่านทั้งสองแต่งหนังสือตามเทวโองการ มีความดีใหญ่หลวง น่าสรรเสริญเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง

    หยางเซิง : ที่ท่านพัศดียกย่องนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะรับไว้ได้ การท่องนรกเพื่อแต่งหนังสือ ก็ได้รับการดูแลคุ้มครองอุ้มชูจากท่านอีกด้วย ต้องขอขอบคุณจากขั้วหัวใจโดยแท้ วันนี้ได้มาถึงคุกของท่าน ขอท่านจงเปิดประตูแห่งความสะดวกให้ด้วย

    พัศดี : ต้องเปิดประตูแห่งความสะดวกให้แน่นอน ท่านทั้งสองเชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปภายในคุก ตรวจชมให้ละเอียดถ้วนถี่ได้

    หยางเซิง : ขอบคุณมาก…ถึงหน้าประตูคุกแล้วยามรักษาการณ์ตั้งแถวแสดงความเคารพอยู่ ภายในคุกส่งเสียงขรมระงมไปด้วยเสียงคร่ำครวญทรมาน ยมทูตใช้ตะขอเหล็กงัดปากของพวกวิญญาณโทษออก แล้วก็สับเกี่ยวดึงเอาลิ้นออกมา เห็นวิญญาณโทษร้องตะโกนขึ้นทันที แล้วก็ใช้มีดที่คมกริบตัดเอาลิ้นให้ขาดเลือดสดๆ เปรอะเปื้อนเต็มหน้าอก ถึงขนาดนี้แล้ว พวกยมทูตยังไม่ยอมหยุด ยังหย่อนเอาเหล็กเจาะๆ เอาแก้มของวิญญาณโทษทั้งสองข้าง แล้วจึงใช้เส้นลวดร้อยไว้ ล่ามให้ติดกับเสาหลัก วิญญาณโทษก็ร้องครวญครางแล้วก็สลบเหมือดไป การลงโทษแบบนี้สยดสยองและรุนแรงเหลือหลาย

    พัศดี : ลิ้นติดเนื่องถึงขั้วหัวใจ ผู้ที่โดนตัดเข้าล้วนมีความเจ็บปวดแสนจะทรมาน บรรดาวิญญาณที่ถูกทำโทษแบบนี้ มือไม้เท้าตีนสั่นเทาไปหมด อุจจาระ-ปัสสาวะเรี่ยราดลงพร้อมกันในทันที

    หยางเซิง : ยมโลกทำเครื่องมือทำโทษผู้คน ล้วนเป็นยาขนานที่ตรงต่อโรคทั้งนั้น เป็นที่น่าทึ่งน่าประหลาดใจมาก มิทราบว่าวิญญาณโทษเหล่านี้มันทำผิดโทษฐานอะไรบ้าง?

    พัศดี : บรรดาที่มารับโทษในคุกนี้ ล้วนมีความผิดทางวาจา การสูญเสียศีลธรรมในการพูด ข้าพเจ้าจะสั่งให้วิญญาณโทษ มาบอกเล่าถึงความผิดในตอนที่มันมีชีวิตอยู่ เพื่อลงพิมพ์ "เที่ยวเมืองนรก" ปลอบเตือนชาวโลก

    หยางเซิง : ขอบคุณมากที่ท่านพัศดีให้ความร่วมมือ

    พัศดี : วิญญาณโทษออกมาแล้ว ท่านหยางเซิงจงสอบถามได้ทุกประการ

    หยางเซิง : ขอถามคุณยายผู้นี้ว่า ท่านมารับโทษยังที่นี้ด้วยเหตุใดมิทราบ?

    วิญญาณโทษ : ฉันเพียงแต่พูดพล่อยไปเท่านั้น มิได้ทำความผิดอะไรเลยนี่ !

    อรหันต์จี้กง : ฆ่าคนด้วยคำพูดมิใช่ความผิดดอกหรือ? เธอไม่พูดความจริงต้องถูกลงโทษให้หนักกว่านี้อีก

    วิญญาณโทษ : เอาละค่ะ ! อีฉันจะพูดความจริงก็แล้วกัน ตอนมีชีวิตอยู่อีฉันชอบอิจฉาริษยาคนอื่นมาก มักจะยุยงให้แตกกันเสมอๆ เคยใช้วาจากล่าวร้ายให้โทษผู้อื่น ทำให้เกิดความบาดหมางปั่นป่วนในครอบครัว พี่น้องต้องแตกแยกออกจากกัน ทำให้พ่อแม่ที่แก่เฒ่าขาดการเลี้ยงดูสงเคราะห์ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้อื่นต้องรับเคราะห์กรรมนี่

    พัศดี : เธอเป็นผู้หญิง "ปากหมา" (ปากเสีย) ที่ชาวโลกชอบกล่าวถึงนั่นแหละ ตัวเป็นผู้หญิง ไม่มีศีลธรรมในวาจา ใช้คำพูดยุยงปลิ้นปล้อน ทำลายครอบครัวที่มีสุขอย่างกลมกลืนสมบูรณ์และก็เคี้ยวหมาก ดื่มเหล้า เมายาไม่ขาดปาก ยามปกติคำพูดคำจาก็ไม่มีการยับยั้ง บางครั้งก็ตะเบงเสียงเอ็ดตะโรลั่นบ้าน บางครั้งก็พูดแนบหูผู้ชายกระซิบสั่ง ที่กระทำไปล้วนคำพูดที่ไม่สุจริตหรือเป็นเรื่องไม่ดีไร้สาระ ลิ้นของเธอนั้นมีพิษสงจำตัดให้ขาดลง จึงจะทำให้เธอนิ่งเฉยพูดไม่ออก เพื่อจะได้ให้ไปบำเพ็ญทางวจีธรรมอีก

    อรหันต์จี้กง : ลิ้นนั้นคมดังมีดดาบ "นรกตัดลิ้น" มีพวกผู้หญิงเป็นส่วนมาก เพราะว่าผู้หญิงนั้นพูดมากแล้วใจคอคับแคบ ทำให้เกิดคลื่นลมปั่นป่วนได้ง่ายที่สุด บ้างก็ตัวนั้นเป็นหญิง แต่ไม่มีคุณสมบัติที่อ่อนหวานแม้แต่น้อย พูดจาทีไรเสียงดังยังกับฟ้าร้อง โดยวาจานั้นไปทำให้ผู้อื่นเกิดความโกรธเคือง ก็ยังไม่รู้สึกตัวเมื่อตายลงต้องให้หัวควายหน้าม้า ตัดซ่อมลิ้นของมันเพื่อทำให้สุ้มเสียงนั้นได้ลดต่ำลง จึงหวังว่าบรรดาผู้หญิงในโลกมนุษย์ จงใช้วาจานุ่มนิ่มจะดีกว่า เพื่อไม่ต้องไปขัดใจขัดคอใครให้เสียน้ำใจกัน

    หยางเซิง : ขอถามสุภาพบุรุษผู้นี้ ว่าท่านทำผิดฐานอะไรบ้าง จึงต้องมารับโทษชนิดนี้ยังที่นี้เล่า ?

    วิญญาณโทษ : ตอนมีชีวิตอยู่นั้น ผมมีนิสัยร้อนรุนแรงมาก พอพบเห็นเรื่องที่ไม่สบอารมณ์หรือได้ยินคำพูดที่ขัดหูเข้า ก็จะแหกปากแผดเสียงด่าทอเป็นการใหญ่ โดยไม่เกรงกลัวผู้หลักผู้ใหญ่ หรือโคตรเหง้าบรรพบุรุษของผู้อื่น ล้วนด่าเปิงไปหมด นอกจากนี้แล้วก็มิได้ทำอะไรชั่วร้ายเลย เมื่อตายลงแล้วท่านยมบาลไม่ลดละจะเล่นงานผม หาว่าผมปากเสียชอบด่าคน ทำสกปรกให้อภัยมิได้ ตัดสินให้เข้ามาตกอยู่ในคุกนี้ รับการลงโทษให้ตัดลิ้นร้อยแก้ม แสนที่จะทรมาน จึงขอเตือนชาวโลกจงอย่าได้เลียนแบบผม เที่ยวไปด่าทอผู้อื่น มิเช่นนั้นเมื่อตกถึงนรกแล้ว ทุกข์นั้นจะไม่สามารถบรรยายได้ถูก

    พัศดี : ภาษิตท่านว่า "ใจร้ายนั้นคนมองไม่เห็น ปากร้ายทุกคนต่างได้ยิน" ปากที่ร้ายกาจนั้นจะทำให้ผู้อื่นเจ็บใจได้ง่ายที่สุด ก่อเรื่องก่อราวเสมอๆ ทำให้กินแหนงแคลงใจไร้ความสมัครสมานที่เรียกว่า "บาดแผลจากคมมีดหายได้ง่าย แต่เจ็บช้ำจากคำกล่าวร้ายยากที่จะลบเลือน" เวลาด่าทอนัยน์ตาไม่ยอมมองคนเลยหยาบช้าสามานย์สิ้นดี เหยียดหยามฉีกหน้าผู้คนสารพัด เรียกได้ว่า "ไม่เว้นแม้แต่โคตรเหง้า" ก็เป็นความผิดที่หนักหนาชนิดหนึ่ง เฉพาะอย่างยิ่งกับผู้บำเพ็ญธรรม คำพูดคำจายิ่งต้องตั้งอยู่ในหลักธรรม ห้ามใช้คำพูดที่มีสิ่งสกปรกปะปนเคลือบแฝงเป็นอันขาด มิเช่นนั้นศีลธรรมทางปากเสื่อมคลาย ผลธรรมก็เน่าเปื่อย หมดสิ้นความหวังที่จะบรรลุธรรม แต่ตายลงแล้ว "นรกตัดลิ้นร้อยแก้ม" จะมีส่วนให้รับ

    หยางเซิง: ขอถามครูบาผู้นี้ ท่านมาสวดมนต์ที่นี้ด้วยหรือ

    วิญญาณโทษ : นะโมพุทโธ มนต์ช่างสวดยากหนักหนาหวนนึกถึงปางก่อน เลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธอันใหญ่ยิ่งมโหฬาร จึงได้ออกบวชรับศีลเป็นภิกษุสงฆ์ขยันท่องอ่าน ค้นคว้าในทางพระธรรมคัมภีร์จนรู้ซึ้งแตกฉาน ได้แต่งตำราประกาศธรรมหรือขึ้นธรรมมาสน์บรรยายธัมมะ มักจะวิจารณ์ติเตียนศาสนาอื่นๆเขา โดยถือเอาพระพุทธเป็นใหญ่แต่องค์เดียว ว่านอกนั้นแล้วเช่นเทพเจ้า เจ้าชั้นกษัตริย์ เจ้าแม่ต่างๆ ล้วนเป็นเจ้ากระจอกว่าเป็นภูตเป็นมารนอกศาสน์

    มิใช่ศาสนาของพระพุทธท่านที่เป็นศาสน์แท้เพียงองค์เดียว ไม่ต้องไปเคารพนับถือ ผู้ที่รับการกล่อมเกลาอบรมจากผมก็มีไม่น้อย จากนั้นมาดูหมิ่นดูแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นินทาให้ร้ายศาสนาอื่น ทั้งนี้ผมได้ทำตามพูดตามคำจดบันทึกของคัมภีร์พระธรรม จึงไม่รู้ว่ามีความผิด เมื่อตายลงแล้วดวงวิญญาณโดนผูกมัดไม่สามารถเอาตัวรอด ที่แท้นั้นคือโดนควบคุมตัวจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก โดยโทษที่กล่าวร้ายเสียดสีผู้อื่นไม่เบาเลย จึงทำให้ผมต้องตกเข้ามาอยู่ในนรก ไม่สามารถไปยังแดนตะวันตก ขอท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยเหลือกอบกู้ผมด้วย

    อรหันต์จี้กง : ไอ้ศิษย์เวร ทางพุทธไม่มีศิษย์เลวๆ เหมือนอย่างเองนี่น่ะ ธรรมแห่งพระพุทธให้ความเสมอภาค สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จธรรมได้ ภายใต้กาลสมัยและสถานที่ๆ ต่างกันได้ เว้นแต่วาจาที่ยกขานขนานนามต่างกันเท่านั้นเอง เทพยดาเจ้าแม่ต่างๆ ที่ช่วยชาวโลกกอบกู้ผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ฝึกอบรมจนบรรลุสำเร็จเป็นสิ่งสูงศักดิ์ สลายเรือนร่างแล้วขึ้นสู่สวรรค์ เสพสุขยังแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น ซึ่งไม่ตรงกับได้กล่าวไว้ว่า

    โลกแห่งความสุดยอดเนื่องจากผู้บำเพ็ญธรรม ยังห่างไกลจากการบรรลุถึงผลธรรมนั้นมีอยู่จำนวนมาก มักอวดถือว่าตนฉลาดเก่งมากแล้ว เพื่อที่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกลูกศิษย์สาวก ทำการตัดทอนต่อเติมคัมภีร์ตำรา หรือแต่งหนังสือขึ้นโดยเอาความเห็นส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เลยทำให้เกิดความพิพาทวุ่นวายทางศาสนา ทำให้ผู้เลื่อมใสในทางบำเพ็ญธรรม เชื่อถือทำตามอย่างงมงายจนเกิดคติในการดูหมิ่นศาสนาอื่น ตัวเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันแต่จิตใจต่างกันการกระทำของมนุษย์ จึงทำให้คลื่นลมโหมแรงจัดมาก โทษฐานนั้นจะให้อภัยมิได้

    จึงขอเตือนพวกพระพวกนักบวชในโลกมนุษย์ว่า การบำเพ็ญธรรมสำคัญที่จิตใจต้องบรรลุ มิได้อยู่กับการก่อเรื่องทำเหตุบรรดาที่ประกาศธรรมบิดเบือนสกปรก แต่งหนังสือด้วยใจอคตินั้น หากไม่เผาหนังสือโยนพู่กันทิ้ง (คือสำนึกผิด) โดยด่วน แล้วประกาศธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้โดยปากทีสะอาดหมดจด เมื่อตายลงแล้วล้วนจะโดนลงโทษจากนรกตัดลิ้นร้อยแก้ม ให้ไปถ่องบน "ตำราทุกข์" ทุกวันคืนจะได้รู้รสแห่งการที่ใช้ปากทำลายคน วันนี้ได้เวลาแล้วเจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

    พัศดี : สิ่งที่ขาดตกบกพร่องประการใด ขอได้โปรดอภัยด้วย ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

    หยางเซิง : ขอขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย เราศิษย์ขอลาละ ท่านอาจารย์ครับกระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้วเชิญออกเดินทางได้….

    อรหันต์จี้กง : ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง

    หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม

    ที่มา Un title page
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    อย่าท้าทายหรือดูหมิ่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น !!!

    [​IMG]

    สงสัยรู้ สมาชิก

    สวัสดีคุณมณีส่องแสงครับ

    ความจริงผมก็ตามอ่านห้องภัยพิบัติมาเรื่อยๆ เกือบปีแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้สมัครสมาชิกมาพูดคุยกัน เอาแต่รับสาสน์มากกว่าครับ

    ที่นี้ตามอ่านนิยายของคุณมณีส่องแสงแล้วรู้สึกชอบมากครับ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนชอบรหัสนิยายอยู่แล้ว และรู้สึกว่ารหัสพวกนี้มีอะไรซ่อนอยู่เยอะครับ

    ผมตามอ่านเห็นคุณมณีส่องแสงอธิบายหลายๆเรื่องมากเลย น่าสนใจทั้งสิ้น ทั้งองค์สูงสุด พระศรีอริยะ และอื่นๆ ไหนๆท่านก็อธิบายแล้วช่วยเพิ่มเติมเรื่องของพญามาร ที่มีเรื่องกันในห้องภัยพิบัติสัก 1-2 เดือนที่ผ่านมาได้ไหมครับ ผมตามอ่านแล้วค่อนข้างสงสัยว่าเขาจะเกี่ยวกับภัยจริงหรือไม่ และเขาเคยปรากฏหรือไม่ ใช่ที่มาผจญพระพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือทั้งหมดที่อ้างว่ามี 9 คน เป็นรหัสลับที่ต้องการสื่ออะไรหรือเปล่าครับ เพราะผมดูแล้วชื่อเขาผมไม่เคยอ่านเจอที่ไหน และความหมายก็เหมือนจะเป็นรหัสเลย....

    รบกวนหน่อยครับ แต่ถ้าไม่สมควรก็ไม่เป็นไรครับ

    มณีส่องแสง สมาชิก

    สวัสดีคะคุณสงสัยรู้..

    ขอโทษด้วยนะคะที่มาตอบคำถามช้าไปนิดหนึ่ง..

    สำหรับคำถามที่ถามเรามานั้น สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวเรา .."เวปพลังจิตเปรียบเหมือนสนามรบทดสอบ สติ" นั้นเองค่ะ...

    ขออนุญาติยกคำพูดของคุณ Falkman นิดหนึ่งค่ะ..

    จริงๆ จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้มา จะได้มาแชร์ๆ กันว่า ใครคิดอะไรอย่างไรกับปีนี้ ไม่มีใครว่าอะไรว่าใครจะคิดอย่างไร นั่นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล คนที่คาดว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เช่น เห็นสัญญาณเศรษฐกิจ คนจะตกงาน หรือจะอะไร ก็มาแชร์กันได้ แต่ควรใช้วาจาที่สุภาพ ไม่ควรเอาอารมณ์ของแต่ละคนมาใส่กัน คนที่เค้าคิดว่าอย่างไรก็แล้วแต่เค้า ไม่ควรไปว่าเค้าตื่นตูมหรืออะไร เพราะเค้าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่พวกเค้าทราบแล้วก็อยากนำมาบอก

    ส่วนอีกพวกที่คิดว่า ไม่มีอะไร ก็แล้วแต่ความคิดเห็นของเค้า ถ้าอยากมาพูดคุยกันก็ควรมาให้เหตุผลอย่างสุภาพ คนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ควรไปว่าเค้า เพราะเค้าก็ทราบแค่ที่เค้าทราบ แต่ถ้าทุกคนเอาคำพูด เอาอารมณ์มาสาดใส่กัน การพูดคุยมันก็จบที่ทะเลาะกัน

    @@@การมีสติ รู้เท่าทันกิเลส สติมันจะเป็นตัวทำงานคอยดักจับกิเลสที่จะออกมาเพ่นพ่าน แล้วออกมาทางกาย วาจา ตัวอักษร ถ้าสติเร็วจริงกิเลสพวกนี้จะออกมาได้ยากมาก เพราะมันจะถูกดับจับตั้งแต่มันเริ่มก่อตัวแล้ว ก็ใช้ตัวนี้เป็นตัวชี้วัดก็ได้ ถ้ากิเลสมันยังออกมาเพ่นพ่านเพื่อไปสร้างกรรมก่อภพ ก่อชาติกับผู้อื่นได้ ก็แสดงว่าสติยังไม่ไวพอ ก็ต้องปฏิบัติกันต่อไป
    __________________
    http://palungjit.org/threads/f178/f178/f178/f178/f178/%E0%....444502/page-2

    คุณ Falkman กล่าวได้ดีค่ะ..และอีกหลายๆท่านในเวปพลังจิต เราถึงบอกว่า เวปพลังจิตมีอาถรรพ์ต้องระวังค่ะ..และคำเตือนต่างๆ เราก็เขียนเตือนไว้แล้วค่ะ..ว่า"อย่าท้าทายหรือดูถูกกับของที่มองไม่เห็น" สำหรับเวปพลังจิตคือศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลก็ว่าได้ค่ะ..

    และตอนนี้พวกเราก็เปรียบเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายค่ะ.."มีฝ่ายพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีฝ่ายเทวฑัต" นั่นเอง แล้วแต่ว่าใครจะเลือกฝ่ายไหนก็ประมาณนั้นค่ะ..

    และก็ไม่ต่างจาก พระถังซำจั๋ง ที่กำลังไปอัญเชิญพระคัมภีร์กระมังคะ และก็ต้องมี เห้งเจีย หรือ ตือโป๊ยก่าย ฯลฯ ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องมีพญามารมาขวางเป็นธรรมดาค่ะ..(เหมือนเดิมเวปพลังจิตสำหรับเราคือ ที่ทดสอบ"สติ" และเป็นที่คัดแยกมนุษย์..นั้นเองค่ะ)..

    คำเตือน ...เหมือนเดิมค่ะ เวปพลังจิตนั้นมีอาถรรพ์ค่ะ อย่าคิดว่า "ปุ่มไม่เห็นด้วย" กับ "ปุ่มอนุโมทนา" ไม่สำคัญนะคะ..เพราะนั่นคือการคัดคนโดยแท้จริง (หากเพื่อนๆบางคนสังเกตุจากที่เรานำยอดประชากรที่เหลือจากการล้าง ก็มาจากปุ่มไม่เห็นด้วยนั้นเอง..) อย่าคิดแต่ว่า..เป็นเรื่องเล่นๆนะคะ เพราะนี่คือคำเตือน อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะนำมาพูดก็ได้ค่ะ.."หากใช้ใจมากกว่าตา จะรับรู้ถึง ปริศนาที่ซ่อนไว้ค่ะ"..

    เพราะกรรมตอนนี้..มันจะส่งผลถึงคนในครอบครัวตัวเองและคนที่รัก มิต่างจากแชร์ลูกโซ่.นั้นเองค่ะ..

    ตะก่อนนี้เราก็ค้านว่า ทำไมต้องเก็บประชากรเยอะขนาดนี้ และทำไมไทยเราถึงต้องเหลือแค่ ๔๓ ล้านคนไม่เกิน ทำไมต้องเก็บเยอะขนาดนี้...(เพราะตอนที่เราเปิดคำสั่งเรื่องการคัดแยกและคงเหลือประชากร เราตอบได้เลยว่าเราไม่ต้องการที่จะเปิด แต่เรานั้นถูกเชื่อมและแกมบังคับ เพราะหากเราไม่เปิดหรือจัดการเอง พวกเขาสภาแกแล๊คซี่จะจัดการเอง นั้นคือ จะหนักมากๆ ประมาณว่า ไม่สนไม่คัดแยก เรียกว่าเทหน้ากระดานนั้นเองค่ะ)...

    แต่หากมาถึงตอนนี้ระยะไม่กี่วันเราก็ได้รับรู้ว่าทำไม ประชากรเฉพาะเมืองไทยเรานั้นถึงเหลือแค่ ๔๓ ล้านคนไม่เกินนี้ แค่เฉพาะในเวปพลังจิตและเชื่อมไปถึงวงวานครอบครัว ก็กี่คนไปแล้วละคะ...ที่ถูกแสกนว่า "ดวงจิตเป็นสีดำ" นั้นเอง..

    เราถึงพูดแล้วพูดอีกว่า ปิดอะไรปิดได้ แต่ปิด"ดวงตาสวรรค์"มิได้หรอกนะคะ สำหรับดวงจิตมนุษย์...เพราะมนุษย์เราชอบตัดสินแค่ภายนอก หากไม่ชอบใจใครแล้วก็คิดว่า..คนนั้นคือผิด และอัตตาตัวตนของมนุษย์นั้นสูงนั่นเอง..

    และเราขอพูดความจริงกับ คุณสงสัยรู้ได้เลยว่า...

    ขบวนการล้าง มนุษย์ที่เหลือนะ จะเหลือบุคคลที่ถูกมนุษย์ตราหน้าว่า "บ้า"มากกว่า มนุษย์ทีคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ฉลาดและเก่ง(รับรองพวกนี้จะไม่เหลือเชื้อไว้ทำพันธุ์เลยค่ะ)..สิ่งสำคัญคือ คนพวกนี้ชอบดูถูกมนุษย์ด้วยกันและชอบดูถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง...แม้นแต่สิ่งที่พวกเขายืนอยู่ได้นั้นก็คือ "พื้นธรณี"..ต่อจากนี้ก็ไม่มีที่ให้คนพวกนี้ได้ยืนและอยู่แล้วนั่นเองค่ะ...

    เพราะพวกเขาไม่เข้าใจและรับรู้ถึงคำว่า สัจจะ และหน้าที่ .."ขาดซึ่งสติ"..เราชอบคนหนึ่งมากเลยคะ..คุณที่บอกว่าเขาคือ พระศรีอาริย์(เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิด)..บุคคลนี้น่านับถือ เพราะจิตข้างในเขาใสบริสุทธิ์มากๆค่ะ และเป็นคนที่ไม่โกหก พูดแต่ความจริงและอัฉริยะสำหรับเราค่ะ แค่เปิดจุดยุทธศาสตร์ให้เขานิดเดียวรับรองเขาสุดยอดมากๆเลยค่ะ..บุคคลแบบนี้สิที่เรานับถือจิตและใจของเขา..รวมทั้งคุณเกษมและท่าน K-97 ที่อดทนทำหน้าที่ตนเอง ใครจะด่าจะว่าอย่างไรก็ไม่สน เราชอบมากๆเลยสำหรับความอดทนและอึด นี่แหละคือบุคคลที่ควรจะยกย่องค่ะ...และก็มีอีกหลายท่านที่เราเฝ้าติดตามแต่มิได้เอ่ยชื่อ...

    (เราพูดได้เลย พวกคนที่ว่าพวกเขาเหล่านี้ อนาคตก็ต้องไปพึ่งพาพวกเขา เพราะชิวิตเขาเหล่านี้ จะพลิกและดีแบบหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน)...

    เพราะมีหลายคนไปบอกว่าเขาบ้าเพื้ยน..(แต่เขาก็ยอมรับว่าบ้า แต่เขาบ้าในการทำหน้าที่และบ้าในการพูดความจริง และทำความดี)...

    แต่มนุษย์บางคนกลับไม่รู้ตัวว่า ตัวเองนะบ้ายิ่งกว่าเขาก็คือ บ้าวัตถุ บ้าความรวย บ้าอำนาจ และบ้าหลอกตัวเอง บ้าแต่งตัว บ้าเที่ยวเธค บ้าเล่นเกมส์ ฯลฯ..

    ตัวเราก็ยอมรับว่าเราบ้า..แต่หากเราจะบ้าใน..สัจจะ หน้าที่ และบ้าทำความดี และบ้าในสิ่งที่ถูกต้อง ถามหน่อยสิ..ว่ามันผิดตรงไหนคะ...

    นี่แหละค่ะ ที่เราบอกว่าตอนนี้กำลังคัดแยก"ระบบ น้ำ ออกจาก น้ำมัน"...สำหรับคนบ้าแต่รู้ตัว กับคนบ้าที่ไม่รู้ตัว...

    ปล. ตัวตนเรามีสองแบบ..666<999 (ล้าง กับ สร้าง).."ดำ กับ ขาว"..หากมนุษย์หน้าไหนมาดี เราก็จะดีด้วย..หากร้ายมาเราก็จะร้ายแบบสุดๆ ยิ่งกว่าอสรพิษ(เพราะคำว่าต้นศาสตร์แม่มดคือ ตัวเรานั้นเอง)...

    เพราะตัวตนเราไม่ชอบมนุษย์ที่ประมาณว่าหน้าไหว้หลังหลอก..(ตัวเรานั้นเปรียบเหมือนกลไก ..กระจกส่องใจ..)...

    ปิดอะไรปิดได้ แต่ปิดความจริงไม่พ้นนั่นเอง..."กรรม"คือ ตัวกำหนดค่ะ..

    ต้องขอโทษคุณสงสัยรู้ ด้วยค่ะที่ร่ายยาวไปนิดหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจหลายๆอย่างค่ะ..

    และเราก็ต้องขออนุโมทนา..กับหลายๆท่านด้วยนะคะ ที่มุ่งมั่นทำความดีและสัจจะ (หน้าที่)อย่าท้อนะคะ จงทำหน้าที่ตัวเองต่อไป อย่าไปสนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะจงรู้ไว้ว่า"ฟ้ามีตา"..

    "ทำดีฟ้าคุ้มครอง ทำชั่วแผ่นดินสูป"..

    ส่วนเรือธรรมที่จะนำไปถึงฝั่งนั้นก็คือ.."เรือใบสีขาวของพระมหาชนก" ก็คือผู้ที่เรียบเรียงเรื่องพระมหาชนก ที่จะเป็นผู้นำพาพสกนิกรไปถึงฝั่งได้แน่นอนค่ะ" เราการันตีและฟ้าดินเป็นพยานค่ะ...

    "กรรมตอนนี้มันถูกเร่งความเร็วยิ่งกว่า..อุกกาบาตที่ตกที่รัฐเซียอีกนะคะ..อย่าล้อเล่นกันนะคะ กลับเนื้อกลับตัวก็ยังพอทัน ก่อนที่จะนำพาภัยพิบัติอันใกล้ตัวไปสู่ครอบครัวและคนที่ตัวเองรัก ไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่นั่นเอง..

    ภัยตอนนี้ที่เราถูกทดสอบก็ไม่ต่างจาก "ภัยพิบัติจากสิ่งที่มันใกล้ตัวนั้นเอง เพื่อเป็นการทดสอบจิต และหากอนาคตมันจะรุนแรงมากกว่านี้ มนุษย์จะทนและรับได้และมีสติกันหรือไม่นั่นเอง"...

    ปล.อีกจุดหนึ่ง ในอนาคต ผุ้ที่จะมาทำหน้าที่ช่วย สำหรับมนุษย์ที่ถูกพิพากษาตัดสิน เช่น ถูกยึดทรัพย์ โรคที่รักษาไม่หายและสาระพัดที่จะเจอ และผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ก็คือ..

    ตำหนัก "ร่างทรง" ที่มีคนบางคนได้ทำการดูถูกนั่นเอง..เพราะร่างทรงคนนี้จะมีหน้าที่มาทำ เพื่อมา..พิพากษาโดยองค์ที่ลงมาก็คือ..

    "พระอินทร์ ท้าวเวสสุวรรณ และอีกหลายท่าน จะสลับเปลี่ยนลงมาค่ะ เพื่อมาทำหน้าที่ฯลฯ " นั้นเองค่ะ...

    (รับรองบันไดไม่แห้ง)...ดาบประกาศิต ตัดให้ขาดเลยฉับๆๆๆๆ..รับรองสนุกแน่ๆ...แต่พวกที่ดูถูกร่างทรงของจริงนะ..อนาคตก็ขอให้รอดก่อนถึงวันนั้นนะจ๊ะ อย่าประมาณว่าถูกหามไปนะจ๊ะตัวเอง จะหาว่าไม่เตือน...

    เราก็อยากจะดู ..ว่า..พวกที่ชอบดูถูก ร่างทรง..จะพ้น..และหนี..ไปได้หรือไม่..กับคำว่า.."ร่างทรง"...อนาคตอย่าไปให้ร่างทรงโปรดหรือช่วยก็แล้วกัน..(และดีไม่ดี พวกที่ปากว่า ..ว่าร่างทรง ตัวเองนั้นแหละจะถูกเหล่า ..ผีไร้ศาล..จับตัวและใช้เป็นร่างเสียเอง.."ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" จริงหรือไม่ ไม่นานเกินรอ หากเราเอ่ยวาจาออกไปแล้ว ก็เตรียมตัวและกายให้พร้อมนะจ๊ะตัวเอง...

    ส่วนตัวเราคือ คนธรรมดามิได้มีสิ่งใดที่วิเศษใดๆเลย..แต่เราถือว่า ทุกคนทุกจิตวิญญาณมีจิตวิญญาณสูงส่งและมีค่าเท่ากันหมด และจะไม่มีใครที่มีแต่คำว่าขาว แต่ล้วนแล้ว ก็ต้องมีดำผสมนั้นเอง...

    เหมือนเดิมคะ...ขออนุญาติเจ้าของกระทู้และขอขอบคุณเจ้าของกระทู้และเวปพลังจิต และขอขอบคุณเพื่อนๆและทุกกำลังใจ และเราก็จะขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆอีกหลายๆคนค่ะ..ที่มุ่งมั่นทำความดีต่อไปค่ะ อีกไม่นานก็ "สุริยาส่องแสง" แล้วคะ..สู้สุ้ เพื่อตัวเรา เพื่อคนที่เรารัก เพื่อครอบครัวเรา เพื่อแผ่นดินชาติกำเนิดของเรา เพื่อการหลุดพ้นเข้าสู่ความว่างค่ะ..

    นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวโปรดพิจารณา (หรือเป็นนิยายน้ำเน่าจากเรา ถึงเวลาเราจะมาลบให้ค่ะ)...

    ปล. ตัวเรานั้น ก็ทำหน้าที่ตามสัจจะ(หากคนไหนได้อ่านก็จะรับรู้ เราจะย้ำว่าเราทำตามสัจจะ(หน้าที่เรา)..และตัวเราก็มิต้องการให้ใครมารักและศรัทธาในตัวเรา..แต่หากสิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือ เราอยากให้มนุษย์ศรัทธาในสัจจะ และหน้าที่ตัวเอง รักและศรัทธาพ่อหลวง และผืนดินที่เขายืนนั้นก็คือ ชนชาติตัวเองสำหรับคนไทยและคนชาติอื่นๆ ก็คือ การรู้จัก กับคำว่า "สัจจะ อโหสิกรรม"..ซึ่งกันและกัน

    ..และมุ่งมั่นทำความดี เพื่อสันติภาพก่อเกิดบนโลกเรา(และเราก็อยากให้มนุษย์หัดคิดบวก ..เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวและโลกของเราคะ)..เพราะเรานะแค่คนคนเดียว มาปลุกเราตื่นและตื่นเช้าขึ้นมาเห็นรูปภาพเราก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว..เราไม่อยากเหนื่อยเพิ่มแล้วค่ะ)..

    มนุษย์คนอื่นหลายคน อยากที่จะไม่ต้องการกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์ แต่ผิดกับเราที่ต้องการจะกลับมาเกิดอีก เพราะเรารักโลกใบนี้ (แต่ก็คงจะยากสำหรับภพนี้ของเรา เพราะตอนนี้เราถูกตามตัวเจอแล้ว และก็ถูกคุ้มกันตัวแน่นหนา ยากที่จะหนีไปเทียวหรือซ๋อนตัวแล้วนั้นเอง..จบการเครียร์กิจภพนี้เราก็ต้องบ๊ายบาย..โลกมนุษย์แล้วนั้นเอง)..เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมรอเราหมดแล้วนั้นเอง)...

    "สัจจะ อโหสิกรรม....ตายก่อนตาย..สติและกรรมฐานจะนำพาให้รอดค่ะ"..
    __________________
    0000000

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ตามรอย-พระมหาชนก.248273/page-79
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ข่าวสารจากเพื่อนต่างดาว Arcturian !!!

    [​IMG]

    Chayutt สมาชิก

    บางส่วนของข้อความจากชาวดาว Arcturian

    ...ด้วยแก่นแท้แห่งตัวตนของพวกเราที่อยู่ในตัวของพวกคุณ จะทำให้พวกคุณรู้ว่า “วันเวลาแห่งการเลื่อนระดับขึ้น” ของไกอา(ดาวโลก) ใกล้จะมาถึงแล้ว และพวกคุณก็ยังจะรู้อีกว่า พวกเราชาว Arcturian คือผู้พิทักษ์ของไกอา ในช่วงที่เธอกำลัง “เกิดใหม่” อยู่นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดของเธอด้วย

    พวกเราชาว Arcturian ได้รับการคัดเลือกจาก “สหพันธ์แห่งกาแล็กซี่” หรือ “The Galactic Federation” ให้มาทำหน้าที่โค๊ชให้กับไกอา ในช่วงแห่งการเกิดใหม่ของเธอนี้ เพราะว่าพวกเราคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะสามารถช่วยเหลือไกอา ให้บรรลุเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้ ซึ่งเป้าหมายที่ว่านี้ก็คือ การกลายไปเป็น “ดาวเคราะห์แห่งความรัก” (Planet of Love)

    ส่วนชาวกลุ่มดาวลูกไก่ (the Pleiades), ชาวกลุ่มดาว Sirius, ชาวกลุ่มดาว Andromeda และชาวกลุ่มดาว Antares ก็กำลังให้ความช่วยเหลือไกอา และ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนไกอา อย่างขมักเขม้นอยู่เช่นเดียวกัน ที่พวกเราทั้งหมดมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อที่จะเตือนให้พวกคุณจดจำให้ได้ว่า กุญแจสู่ความสำเร็จของพวกคุณ ก็คือการดาวน์โหลด, การนำไปตรึงไว้กับพื้นโลก (ground), การผสานรวม (integrate), และการแผ่กระจายออกมา ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกแบบไม่มีเงื่อนไข, ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข, การยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข และการให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นคุณสมบัติส่วนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของพวกคุณ

    ซึ่งโดยอาศัยอารมณ์ความรู้สึกแบบไร้ข้อจำกัดนี้เอง ที่จะทำให้พวกคุณสามารถกลับไปสู่การมี “ความเมตตากรุณาแบบวางอุเบกขา” (Detached Compassion) ได้ ซึ่งเป็นทัศนคติ ของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณนั่นเอง...เมื่อใดที่พวกคุณเลือกที่จะปรับระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตนเอง ให้อยู่ในคลื่นสมองระดับเบต้า (Beta Brainwaves) ประสบการณ์ส่วนใหญ่ของพวกคุณ ก็จะอยู่ในมิติที่ 3 หรือต่ำกว่า ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงอันนี้ ก็จะดูเหมือนว่า “อยู่นอกตัว” พวกคุณ และพวกคุณก็จะมีประสบการณ์กับมัน ผ่านทางจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ส่วนตัวของใครของมัน

    ในทางกลับกัน ถ้าเมื่อใดที่พวกคุณปรับระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง ให้อยู่ในคลื่นสมองระดับแอลฟ่า (Alpha waves) แล้ว พวกคุณก็จะรับรู้ได้ทั้ง “โลกภายใน” และ “โลกภายนอก” ในเวลาเดียวกัน และในระหว่างที่อยู่ในคลื่นสมองระดับแอลฟ่านี้ พวกคุณก็จะสามารถมีประสบการณ์กับ “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก” (the Collective Consciousness) ได้ เพราะว่าพวกคุณกำลังใช้ “ความตระหนักรู้ของสมองทั้งหมด” อยู่นั่นเอง

    ในคลื่นสมองระดับธีต้า (Theta waves) พวกคุณก็จะมีประสบการณ์อยู่เฉพาะกับ “โลกภายใน” ของตัวเองเท่านั้น แต่ก็ยังมีสติรับรู้ถึงร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่ด้วย และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะสามารถเชื่อมต่อกับ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” (the Planetary Consciousness) ได้ และพวกคุณก็จะสามารถรับรู้ถึง “หัวใจของไกอา” ได้ด้วย และรวมถึงพวกคุณก็จะสามารถรับรู้ข้อความต่างๆ จากสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิด ที่อาศัยอยู่บนโลกได้ด้วย

    และสุดท้าย เมื่อใดที่พวกคุณเลือกที่จะปรับระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง ให้อยู่ในคลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta waves) พวกคุณก็จะมีประสบการณ์อยู่แต่กับ “โลกภายใน” ของตัวเองเท่านั้น และแทบจะไม่มีสติรับรู้ถึงความเป็นไปของร่างกายเนื้อในมิติที่ 3 ของตัวเองเลย ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถมีประสบการณ์กับ “จิตสำนึกมวลรวมระดับกาแล็กซี่” (the Galactic Consciousness) ได้ และพวกคุณก็จะสามารถเชื่อมต่อกับกายต่างๆที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าพวกคุณกำลังท่องจักรวาลที่อยู่ใน “แก่นแท้แห่งความเป็นตัวตนของตัวเอง” อยู่...

    ...ต้นกำเนิดของ “แมทริกซ์ หรือแม่พิมพ์ของโลกในมิติที่ 3” ใดๆ ซึ่งเป็นโลกแห่งการแบ่งแยก และการมีข้อจำกัดนั้น จะถูกสร้างขึ้นมา และจะถูกบำรุงรักษาเอาไว้ โดย “กระแสความคิด” (Thoughts) ของโลกแห่งความมีขั้ว โลกนั้นๆ แล้วจากนั้น กระแสความคิดเหล่านั้น ก็จะถูกทำให้กลายเป็นสิ่งต่างๆขึ้นมา โดยอาศัย “อารมณ์ความรู้สึก” (Emotions) แห่งการแบ่งแยก และแห่งการมีข้อจำกัดทั้งหลาย แล้วจากนั้น มันก็จะถูกกระตุ้นต่อไป โดย “เจตจำนงร่วมกันของคนทั้งโลก” (the Collective Intention)ที่อยากจะมีความเป็นตัวใครตัวมันแบบสุดขั้ว

    ส่วน “แมทริกซ์ หรือ แม่พิมพ์ของโลกในมิติที่ 5” จะถูกสร้างขึ้นมา และจะถูกบำรุงรักษาเอาไว้ โดย “กระแสความคิด” (Thoughts) แห่งความเป็นเอกภาพ และแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของสิ่งมีชีวิตทั้งโลก และรวมถึงจะถูกสร้างขึ้นมา และจะถูกบำรุงรักษาเอาไว้ โดย อารมณ์ความรู้สึกแบบไม่มีเงื่อนไข, ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข, การยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข, การให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข และเจตจำนงร่วมกันที่จะเลื่อนระดับขึ้นของสิ่งมีชีวิตทั้งโลก...เมื่อใดที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ขยายขอบเขตออกไป จนเกินเลยข้อจำกัดของมิติที่ 3 แล้ว ภาชนะที่ห่อหุ้มจิตสำนึก/ความตระหนักรู้อันนั้นอยู่ ก็จะต้องขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งกระบวนการนี้ ก็จะเหมือนกับการที่ปูเสฉวน จะต้องหาเปลือกใหม่อยู่ เมื่อมันตัวโตขึ้นนั่นเอง

    ในยุคอดีตกาลของดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เมื่อใดที่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง สามารถบรรลุถึงขั้น มีระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่พวกคุณหลายคนกำลังมีประสบการณ์อยู่ในขณะนี้ได้แล้ว พวกเขาก็จะต้องเลื่อนระดับขึ้นไป ซึ่งนั่นก็หมายความว่า “ร่างกายเนื้อของพวกเขาจะต้องตายลงไป” นั่นเอง เพราะว่าระดับความสั่นสะเทือนของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกเขา สูงเกินกว่าที่ร่างกายเนื้อของพวกเขาจะทานทนอยู่ได้นั่นเอง

    แต่โชคดีที่..ตอนนี้ ไกอา และมนุษย์โลกจำนวนมากมาย รวมถึงปลาวาฬและปลาโลมา, สัตว์ทั้งหลาย และพืชทั้งหลายด้วย กำลังมีระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอยู่ และแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรแร่ธาตุก็ด้วย ก็กำลังมีระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน และเพราะระดับความสั่นสะเทือน ที่เพิ่มขึ้นของดาวเคราะห์โลกนี้เอง จึงทำให้พวกคุณทุกๆคน มีโอกาสที่จะได้ “เลื่อนระดับขึ้น” ไปสู่มิติที่สูงขึ้น โดยไม่ต้อง ”ตาย”...

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน-และอื่นๆ.492683/page-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  15. boonma05

    boonma05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +516

    โมฆะแมนผู้ยึดความฝันเป็นสรณะ บอกว่าให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

    คนปกติที่ไหนกันหนอจะเซฟความฝันที่ผ่านมาแล้วเกือบ 5 ปี เอาไว้โยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า ข้านี้ฝันแม่น แต่สูเจ้าทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะฮ้าบ
     
  16. MemayWitch

    MemayWitch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +84
    น้องเมของถามพี่เกษมสั้นๆหน่อยนะคะ ว่าทำไมเวลามีคนไม่เห็นด้วยทีไรพี่เกษมจะหยิบยกเรื่องปรามาสลบหลู่ทุกครั้งเลย ทั้งๆที่สิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็นด้วยมันไม่ได้จะเป็นการปรามาสลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นเลย มีแต่ว่าให้คนที่เอาอะไรแปลกๆมาลงเพื่อทำให้คนตื่นกลัวมากกว่า พวกสิ่งที่มองไม่เห็นน้องเมเห็นแต่แต่พวกพี่เกษมนั่นแหละที่เอามาโพสมากกว่า แล้วจากที่ได้ย้อนอ่านเข้าไปทำไมมันมีแต่เรื่องแปลกๆทั้งนั้นเลย มนุษย์ต่างดาวบ้างอะไรบางเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ ทำให้น้องเมไม่เข้าใจว่าพี่เกษมและคนอื่นต้องการอะไรและทำไปเพื่ออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  17. boonma05

    boonma05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +516
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  18. MemayWitch

    MemayWitch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +84
    ขอบคุณค่ะพี่ boonma05 ที่คลายความสงสัยให้น้องเม คำตอบแค่นี้น้องเมก็เข้าใจแล้วค่ะ ย้อนกลับไปอ่านเรื่องพี่ มณีส่องแสง มาบ้างที่กล่าวถึงกัน ดูจากที่พี่เกษมเอามาโพสเพิ่มเติมก็เข้าใจแล้วค่ะ ว่าพี่เค้าเป็นคนยังไง อวยกันขนาดนี้ น้องเมว่ามันดูเสแสร้งยังไงไม่รู้นะคะ พี่อีกคนก็มีอาการทางจิตไม่ปกติ พูดถึงแต่ "สัจจะ" แต่สิ่งที่ได้กระทำต่อเนื่องมานานมันตรงข้ามทั้งหมด เห็นบอกกันว่าข่มขู่สาปแช่งมาก็นานเป็นปีเห็นแต่ละคนก็ยังสบายดีไม่ได้เป็นอะไรเลยนิคะ ตอนนี้น้องเมมองว่า ใครที่คิดเห็นต่างจากพวกเค้าไป ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นคนบาป คนไม่ดีไปโดยปริยาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2013
  19. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419

    ความไม่ประมาทของท่านคงจะเป็นคนละความหมายกระมัง

    พระบรมศาสดาได้ประทานปัจฉิมโอวาทความว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั่งหลายจงบำเพ็ญไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
    พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบความไม่ประมาทเหมือนรอยเท้าช้าง โดยตรัสว่า "รอยเท้าของสัตว์อื่นสามารถเหยียบลงไปในรอยเท้าช้างได้ฉันใด ธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ย่อมอาศัยความไม่ประมาทเป็นจุดเริ่มต้น หรือเป็นที่รวมอยู่ของธรรมทั้งหมดได้ฉันนั้น"
     
  20. boonma05

    boonma05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +516

    เจ้าลัทธิช่างฝัน กับ คนที่หลับตาฟันธง

    กรรม!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...