ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ใครอยู่ในบ้าน
    เมื่อประมาณต้นปี51 ตามปกติครอบครัวผู้เขียนจะชอบออกไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยๆ อย่างเช่นช่วงเทศกาลหรือช่วงหยุดยาวๆติดต่อกัน ก็จะนัดกับญาติๆ เพื่อไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดกันบ่อย ปีหนึ่งบางทีก็2-3ครั้ง อยู่ที่ว่าพร้อมเมื่อไหร่ ก็ชวนกันไปเป็นขบวน รถ4-5คัน ต่างครอบครัวก็ต่างขับรถกันไปเอง เพราะขับไปไม่ได้รีบร้อน ชอบตรงไหน ชอบที่ไหน ก็แวะรายทางไปเรื่อย ครั้งละไม่ต่ำกว่า2-3วันหรือ4-5วันแล้วแต่โอกาศ

    ครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี 51 ตามที่บอก ผู้เขียนและครอบครัวได้พากันเดินทางไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี-ราชบุรี-ประจวบ ใช้เวลาพักประมาณ4คืน จึงเดินทางกลับ เมื่อมาถึงบ้าน สิ่งที่ต้องแปลกใจเมื่อมาถึงคือ เพื่อนข้างบ้าน(ห้องติดกัน)เข้ามาถามภรรยาผู้เขียนว่า ไปเที่ยวไหนกันมา ก็ได้เล่าให้ฟัง เพื่อนข้างบ้านก็บอกว่า

    “แหม๋ ไปเที่ยวสวีทกัน2คนเหรอ ทิ้งให้ลูกชายอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวเหรอ” ภรรยาผู้เขียนก็บอกว่า เปล่า ไปกันทั้งหมดนี่แหละ คนข้างบ้านก็ต่อว่าอีกว่า

    “ แหม๋ อย่ามาอำเลยเจ้ เจ้รู้เปล่าว่า ตั้งแต่เจ้ไปน่ะ ลูกชายน่ะนอนดึกทุกคืนเลยนะ ในบ้านเปิดไฟซะสว่างเลยแถมเปิดทีวีจนปิดรายการทุกวันเลยแน่ะ สงสัยนั่งเล่นคอม แล้วเปิดทีวีเป็นเพื่อนด้วยมั้ง”

    เล่นเอาผู้เขียนและภรรยามองหน้ากัน งงๆ ว่ามันคืออะไร ก็ลูกชายไปกับเราด้วย แล้วใครมาเปิดทีวี มาเปิดไฟในบ้านตามที่คนข้างบ้านเล่า ภรรยาเริ่มหน้าเสีย ผู้เขียนจึงพูดปิดคั่นรายการตอบกลับไปว่า

    “ อ๋อ พอดีเพื่อนลูกชายมาขออยู่เฝ้าบ้านให้น่ะ สงสัยคงดูทีวีแล้วหลับไปน่ะ ลูกชายไม่ได้อยู่หรอก”
    ก็กลายเป็นคำตอบที่ตัดบทสนทนาหรือสรุปเอาตัวรอดได้ในขณะนั้น เพื่อนข้างบ้านก็จึงพยักหน้ารับ และก็ไม่ได้ซักถามต่ออีก แต่ตัวผู้เขียนกับภรรยา กลายเป็นต้องมาตั้งคำถามกันเองว่า สิ่งนั้นคืออะไร แล้วอะไรมาอยู่ในบ้านเรา มาจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังหาตัวคนเปิดไฟ เปิดทีวี ยังไม่ได้


    …...............................ภควัณตัง.....................................[/​
    SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2013
  2. UlTrAmAn_26

    UlTrAmAn_26 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +66
    รอติดตามคะ
     
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    วันนี้วันพระ จึงขออนุญาตจากญาติธรรมงดโพส 1 วันครับ เพื่อเจริญสมาธิภาวนาครับ ขอขอบคุณทุกโพสครับผม

    ภควัณตัง
     
  4. Bonbnn

    Bonbnn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2012
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +20
    เด็กผมจุก..แกละ..เหล่านั้นคงเป็น บรรพบุรุษ
    ต้นตระกูลคีรีแลง..แห่งแถบเขาพระบาท..เขาวังม่าน
    สินะครับ
    ขอบคุณครับ
    สาธุ
     
  5. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องแปลก แต่หาสาเหตุหรือต้นตอไม่ได้ จึงต้องเก็บงำมาเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ ดังเรื่องนี้

    นี้คือมือใคร​

    เมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคมผ่านมานี้ ผู้เขียนหยุดอยู่บ้าน เมื่อได้เวลาที่ภรรยาเลิกขายของ(ห้างปิด 3 ทุ่ม)ผู้เขียนก็เอารถออกไปรับภรรยาที่ห้างตามปกติ เหมือนเช่นที่ผ่านๆมาเป็นประจำ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผู้เขียนนำรถเข้าจอดในช่องจอดรถตามปกติ และก็ต้องสาระวนกับการล็อครถ ปล่อยให้ภรรยาเดินเข้าบ้านไปก่อน

    ภรรยาเล่าว่า เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน พบว่าประตูบ้านเปิดอยู่ แต่ยังมีประตูเหล็กดัดปิดอยู่อีกชั้น(ที่บ้านมีประตู2ชั้น ประตูนอกเป็นประตูไม้ ประตูในเป็นประตูเหล็กดัด ซึ่งมีกลอนล็อคอยู่ด้านในอีกชั้น เอาไว้ใส่ลูกกุญแจ) จึงตะโกนเรียกลูกชายที่อยู่ในบ้านให้ช่วยเปิดให้ เพราะในมือถือของพะรุงพะรัง (เข้าใจว่าลูกชายอยู่บริเวณหน้าบ้านหรือนั่งเล่นคอมอยู่)เรียกอยู่2-3ครั้ง ก็เลยลองเอื้อมมือเข้าไปด้านใน เพื่อจะเปิดตัวล็อคด้านใน เพราะเข้าใจว่าคงไม่ได้ล็อค แต่ก็พบว่ามีกุญแจล็อคอยู่ (ปกติหากอยู่บ้าน เมื่อไม่ต้องการปิดบ้าน ก็จะเปิดประตูนอกไว้ แล้วล็อคประตูในแทน) จึงได้เอาของที่ถือมาวางบนโต๊ะหน้าบ้าน แล้วล้วงกุญแจสำรองออกมาเพื่อจะไขเปิด

    เมื่อเอื้อมมือพร้อมกุญแจเข้าไปเพื่อที่จะไขอีกครั้ง ปรากฏว่าขณะที่เอามือล้วงลงไปเพื่อจะไขกุญแจ มือจับไปโดนมืออีกมือหนึ่งเข้าพอดี ภรรยาเล่าว่า มือนั้นมีลักษณะอ้วนใหญ่และมีความนิ่มหยุ่นๆ ภรรยาจึงดึงมือกลับออกมา เพราะเข้าใจว่าลูกชายที่อยู่ด้านในกำลังไขกุญแจเพื่อที่จะเปิดให้พอดี

    เมื่อชักมือออกมา ประตูเหล็กดัดค่อยๆเปิดออก ภรรยาก็ผลักเพื่อให้เปิดกว้าง ในใจก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่นึกแปลกใจเท่านั้น แต่เมื่อผลักประตูเหล็กดัดออกไปเท่านั้น ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในบ้านและทำให้ต้องยืนอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกคือ

    ลูกชายนุ่งผ้าเช็ดตัวพึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งระยะจากประตูหน้าไปที่ห้องน้ำก็ไกลพอประมาณ จะว่ารีบวิ่งไปวิ่งมาคงเป็นไปไม่ได้แน่ แถมลูกชายยังตะโกนบอกอีกว่า

    “อ้าวแม่ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย พอดีกำลังอาบน้ำอยู่”

    ขณะนั้นผู้เขียนหลังจากล็อครถเสร็จก็เดินมาถึงภรรยาพอดี เลยถามว่า “อะไรกัน” ภรรยาผู้เขียนเลยไล่ลูกชายให้ไปแต่งตัว แล้วเล่าเรื่องในสิ่งที่เจอให้กับผู้เขียนฟัง สาเหตุที่ไล่ลูกชายไปก่อน ก็เพราะลูกชายเป็นคนขี้กลัว หากได้ยินเข้าเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ทำให้กลัวกันไปใหญ่

    จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังหาตัวมือปริศนานั้นไม่ได้ ว่ามือนั้น คือมือใคร และที่สำคัญ กุญแจยังไม่ได้ไขเลย แล้วมันเปิดออกมาได้ยังไง แล้วใครเป็นคนไขกุญแจ
    ….................................
    ภควัณตัง​
    ...................................
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สัมผัสพลังมหรรย์จรรย์ในตัว

    หลายครั้งที่ตัวผู้เขียนได้มีโอกาศได้บวชพราหมณ์เพื่อเสริมบารมีให้กับตัวเอง บางคนบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์เสริมโชคชะตาก็มีเยอะแม้แต่คนที่จบระดับสูงๆก็มีมาบวชให้เห็นบ่อยๆ ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่มาก บางครั้ง1-2วันหรือ2-3วันก็มี แล้วแต่โอกาศและเวลา การบวชพราหมณ์ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก มีเสื้อผ้าสีขาว1-2ชุด มีอุปกรณ์การครองชีพ จะให้สบายหน่อยไม่ต้องไปพึ่งพาวัดก็มีเต้นท์ไปเอง เพราะบางวัดไม่มีอุปกรณ์ความสะดวกต่างๆจัดหาให้

    เมื่อมีครบก็ขอบวชได้ โดยเข้าไปขอบวชกับทางวัด ทางวัดก็จะจัดให้รับศีลจากพระ ก็เป็นอันเสร็จพิธี และจะลาสึกวันไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ตามแต่กำลังศรัทธาหรือตามแต่เวลาที่มี มีหลายคนที่พบเจอมาเมื่อบวชสึกออกมาแล้ว ก็พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆตามมา หรืออาจได้ลาภจากสิ่งต่างๆดังใจปรารถนา ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน

    ส่วนมากตัวผู้เขียนจะถือโอกาศไปบวชช่วงตอนที่ทางวัดจัดงานพระปาฏิวาส งานปาฏิวาสคือการจัดให้พระมารวมตัวกันจากหลายๆวัดหลายสถานที่บางครั้งมีพระมาร่วมปาฏิวาส200-300รูปก็มี พระบางรูปเดินทางมาจากที่ไกลๆ พักปักกลดรอนแรมมาเรื่อยๆ บางรูปเดินทางมาเป็น10กว่าวันกว่าจะถึงวัดที่จัดงาน พระที่มาก็จะกางกรดรอบๆบริเวณวัดที่จัดงาน นั่งสมาธิภาวนา และมีกิจกรรมการอบรมหรือสวดมนต์หมู่ ปรึกษาปัญหาธรรม สอนธรรมมะกับคนที่มาบวชหรือญาติโยมที่มาฟังเทศน์และเดินบาตร คนที่ไปบวชรวมทั้งญาติโยมบริเวณใกล้ๆก็ได้มีโอกาศได้ทำบุญใส่บาตรพระหลายๆรูป

    เขาว่ากันว่าคนที่ไปทำตรงนี้ได้บุญยิ่งใหญ่นัก เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้ใส่บาตรพระเป็นร้อยหรือหลายร้อยรูปแบบนี้ ส่วนมากก็จะใส่ได้แค่ 5รูป 7รูป 9รูป หรือตามที่เดินบินฑบาตรทั่วๆไป การจะได้ทำบุญใส่บาตรพระจำนวนมากๆ จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสมากนัก ยิ่งคนที่ทำงานประจำ จึงยากนักที่จะได้ทำแบบนี้เพราะเวลาไม่มีให้

    ครั้งหนึ่งที่ตัวผู้เขียนได้มีโอกาสบวชพราหมณ์ที่วัดหนึ่งในอำเภอแกลง หลังจากเสร็จภาระกิจกระบวนการของพระแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อนประจำวัน ครั้งนั้นมีคนมาร่วมบวชพราหมณ์หลายคน (มากกว่า10คน) เลยได้รู้จักกับคนที่มาหลายคนด้วยกัน มีอยู่คนหนึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยด้วยกัน จนถูกคอถูกใจกันดีแล้วก็ทราบว่า ได้เคยติดตามบวชพราหมณ์มาหลายสถานที่ทั่วประเทศ หากทราบว่าที่ไหนมีการจัดงาน หากว่างก็จะเดินทางไปบ่อยๆมิได้ขาด คนๆนี้เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งก่อนหน้านั้น เคยบวชตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆด้วยความศรัทธาเลยบวชมาเรื่อยๆจนกระทั่งมีเหตุจำเป็นที่ต้องสึก นับเวลาได้ประมาณ15พรรษา แล้วก็สึกออกมาทำธุรกิจกับครอบครัวเพราะหัวหน้าครอบครัว (พ่อ) ได้เสียชีวิตลง จึงไม่มีใครช่วยสานต่อธุรกิจได้ ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีฐานะเป็นถึงระดับเจ้าอาวาสเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีใจรักในเพศบรรพชิต จึงหาโอกาศมาบวชพราหมณ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

    จากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันจึงได้รับรู้ว่า คนๆนี้ในขณะบวช ชอบฝึกกรรมฐานวิปัสนาอยู่เป็นประจำ จึงถือเป็นโอกาศอันดีที่ตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาศรับรู้และรับอุบายในการฝึกหัดกรรมฐาน ทั้งสมาธิและวิปัสนาไปในตัว โดยคนสอนก็เต็มใจที่จะสอนให้

    วันหนึ่งหลังจากเป็นวันสุดท้ายของการบวชของผู้เขียน ผู้เขียนได้โอกาศจึงถามคนผู้นี้ว่า

    “ทราบว่าตัวท่านเคยบวชอยู่หลายพรรษา น่าจะมีความรู้เรื่องการหยั่งรู้หรือรอบรู้จากญานบ้างนะ ผมอยากให้ดูให้ผมหน่อยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร จะรวยกับเขาบ้างไหม หรือมีโชคมีลาภกับเขาบ้างหรือเปล่า”

    คนๆนั้นมองผู้เขียนแล้วก็ยิ้มๆบอกกับผู้เขียนว่า

    “จะมาถามผมทำไมกันท่าน ตัวท่านน่ะรู้ดียิ่งกว่าผมอีก ผมสิน่าจะถามแบบนี้กับท่านมากกว่า” พูดจบก็หัวเราะ

    ผู้เขียนมองคนๆนั้นอย่าง งงๆ ไม่อยากคิดหรอกว่าโดนตอบแบบกวนๆ เพราะจากท่าทางแล้ว คงไม่ใช่คนประเภทนั้นแน่ๆ จึงตอบว่า
    “อ้าว.....ผมจะไปรู้อะไรกันล่ะ รู้แล้วจะถามท่านทำไมกัน คือไม่รู้จริงๆ ท่านมาถามผม ผมจะตอบได้ไง ตัวผมเองยังไม่รู้เลย ท่านแกล้งผมหรือเปล่า”

    ชายคนนั้นก็กล่าวอีกว่า

    “ไม่ได้แกล้ง พูดจริงๆ ตัวท่านน่ะมีความพิเศษในตัวแล้ว ผมรับรู้ตั้งแต่เจอกันวันแรกแล้วว่า มีหลายอย่างที่ตัวท่านไม่เหมือนคนอื่น ไม่งั้นคงไม่นำพาตัวท่านมาบวชพราหมณ์อยู่เรื่อยๆหรอก จริงหรือเปล่าล่ะ”

    ผู้เขียนพยักหน้ารับว่าใช่ในการชอบที่จะบวชพราหมณ์ แต่ก็ยัง งงๆ กับเรื่องที่ถามอยู่เราเองจะรับรู้ตัวเองได้อย่างไรกัน

    มีต่อครับ

    ............................................................. ภควัณตัง........................................................​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2013
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สำหรับญาติธรรมที่เข้ามาอ่านกระทู้ใหม่ ทางที่ดีก็เริ่มอ่านตั้งแต่กระทู้แรกๆตามมาเรื่อยๆเพื่อความต่อเนื่องน่าจะดีครับ เพื่อจะได้อรรถรสในการอ่าน ส่วนแฟนพันธุ์แท้ก็อ่านต่อกระทู้ได้เลยครับผม

    กระทู้ที่ลงไว้ มุ่งหวังให้อ่านเพื่อการผ่อนคลายและเข้าถึงในธรรมครับ มิได้มีเจตนาอย่างอื่น เพื่อลด ละ เลิก จากกิเลศทั้งหลายทั้งปวง จากสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่นับวันจะสะสมในสิ่งที่เป็นกิเลศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    บางท่านเคยถามผู้เขียนว่า จากการที่ปฎิบัติบ้างไม่ปฎิบัติบ้าง มาเป็นเวลานาน ก็ยังไม่เห็นมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย หรืออาจจะเป็นเพราะไม่มีบุญกุศลเป็นตัวหนุนส่ง ผู้เขียนก็จะตอบว่า เพราะเราตั้งความหวังมากเกินไปนั่นเองครับ การตั้งความหวังมากจนเกินไป เป็นกิเลศอย่างหนึ่งที่อาจจะเป็นตัวก่อให้เกิดการหยุดยั้งความก้าวหน้าในการปฎิบัตินั่นเอง เพราะฉนั้นอย่าตั้งความหวังไว้มากครับ สักวันหนึ่งก็จะสำเร็จได้เอง ซึ่งเป็นเหมือนผลพลอยได้ครับ

    คนเราทุกคนล้วนมีบุญญาธิการกันทุกคนนั่นแหละครับ หากไม่อย่างนั้นแล้ว เราคงไม่ได้เกิดมาในยุคของพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ครับ คงจะต้องชดใช้กรรมอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ที่เป็นเรื่องยากในการบำเพ็ญ ในการทำความดี หรือในการต่างๆที่จะสามารถสร้างบุญกุศลได้ จึงนับว่าทุกผู้ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ในอดีตชาติล้วนทำกรรมดีมาบ้างไม่มากก็น้อย

    บางคนบอกว่าเกิดมาชาตินี้ ลำบากยากจน ไม่สมปรารถนาในสิ่งที่ต้องการ ก็เพราะในอดีตชาติเราสั่งสมบุญมาน้อยนั่นเอง แต่ในเมื่อเราได้มีโอกาศได้มาสั่งสมบุญเพิ่มแล้ว ทำไมเราไม่เริ่มสะสมผลบุญกันล่ะ เพื่อว่า ในภพภูมิใหม่ เราจะได้สมหวังหรือดีกว่าในชาติปัจจุบัน ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องความหลุดพ้น หรือสำเร็จนิพพานกันหรอกครับ เอาแค่ว่าในปัจจุบัน ทาน ศีล สมาธิ เราเริ่มกันบ้างหรือยัง

    บางคน(และหลายคน)ในปัจจุบัน บุญไม่เคยทำ บาตรไม่เคยใส่ วัดไม่เคยไป ใจไม่เคยคิด แล้วเราจะมาเอาอะไรกันล่ะทีนี้

    อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้ ที่เราเสพ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ล้วนเอาติดตัวไปในปรภพด้วยไม่ได้ทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่เสพ ก็เสพเพื่อประคองร่างกายไว้เฉยๆไม่สามารถขนเอาไปไหนมาไหนด้วยได้ สิ่งที่ใช้ ก็เพื่อความสุข(ชั่วคราว)เพียงแค่นั้น ซึ่งนับวันก็จะเสื่อมลงๆไปเรื่อยๆ ทำไมเราไม่ทำอะไรบ้าง ในสิ่งที่เราจะสามารถเอามันติดตัวไปด้วยได้ล่ะ อย่างน้อยๆก็ยังเป็นเครื่องการันตีว่า รอบต่อไป เรายังมีต้นทุนอยู่บ้างครับ มีแต่ใช้อย่างเดียวไม่ฝากเลย มันจะมีมาจากไหนเพิ่มกันล่ะ

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2013
  8. ริมฝั่งของ

    ริมฝั่งของ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +310
    อ่านจบแล้ว ก็ได้สาระ และบันเทิงธรรมดีครับ..
     
  9. wan_winny

    wan_winny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +216
    ขอมาอ่านด้วยคนนะคะ
     
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ด้วยความยินดีทั้ง 2 ท่านครับ ยังไงก็ติชมมาได้นะครับ สำหรับท่านที่มีเรื่องแปลก พิศวง หรืออัศจรรย์เกี่ยวกับตัวท่านเอง หรือมีเรื่องที่สงสัยอะไร ก็โพสมาร่วมแจมกันได้นะครับ กระทู้นี้ยินดีน้อมรับมาร่วมแจมกัน เดี๋ยวจะหาว่าผมมีเรื่องแปลกพิศดารอยู่คนเดียวครับ

    ภควัณตัง
     
  11. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    “ท่านลองนั่งหลับตาสิ แล้วผมจะทำอะไรให้ท่านดู ใช้เวลาประมาณ1-2นาที ทำตามผมบอกนะ แบมือขวาท่านออกมา........ เจริญสติให้มั่นคง …..แล้วนึกถึงพระพุทธคุณ …....พระธรรมคุณ.......... พระสังฆคุณ.........ตั้งนะโม3จบ แล้วกล่าวตามผมนะ”

    “ พุทธธัง อาราธนานัง
    ธรรมมัง อาราธนานัง
    สังฆัง อาราธนานัง”

    “พระพุทธัง อิทธิ ปาฏินัง”
    “พระธรรมมัง อิทธิ ปาฏินัง”
    “พระสังฆัง อิทธิ ปาฏินัง”

    “นะโม พุทธายะ พุทธะ มะ อะ อุ”

    เสร็จแล้วนึกนอบน้อมถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพบูชา.................... แล้วน้อมนำเอาพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทธคุณของท่านเหล่านั้น...............มาไว้ที่มือขวาที่แบมือออกมา”

    ชายผู้นั้นกล่าวกับผู้เขียนอย่างช้าๆ เว้นจังหวะเพื่อให้รู้สึกคล้อยตาม เหมือนดังครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานกับลูกศิษย์ ในขณะปฏิบัติ ที่จะพูดช้าๆสอนช้าๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เร่งรัด เมื่อรู้สึกว่าตัวผู้เขียนรวบรวมสมาธิได้แล้ว ชายผู้นั้นก็กล่าวต่อ

    “ผมจะวางสิ่งหนึ่งไว้บนมือท่านนะ ไม่ต้องตกใจ เมื่อรับแล้วก็หลับตาทำสมาธิกำไว้สักครู่ แล้วบอกความรู้สึกกับผมว่า รู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่กำอยู่ในมือ”

    ในขณะนั้นผู้เขียนรู้สึกจากมือที่กำไว้ว่า ได้กำวัตถุชนิดหนึ่ง มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าแข็ง วัตถุเมื่อกระทบกับเนื้อในขั้นแรก มีความเย็นในตัว เมื่อทิ้งระยะเวลา10-15วินาที ความรู้สึกที่ได้คือเริ่มรู้สึกอุ่นๆในวัตถุที่กำอยู่............20-25วินาทีต่อมา สิ่งที่กำอยู่เริ่มมีความร้อนเพิ่มขึ้นอีก..................30-45 วินาที วัตถุนั้นยิ่งเพิ่มความร้อนสูงขึ้นจากเดิม.................50-60 วินาที สิ่งที่กำอยู่ร้อนแผ่ซ่านไปทั้งมือ ลามมาที่ข้อมือและแขนตามลำดับ รับความรู้สึกว่าร้อนมาก

    “พอได้แล้วท่าน ลืมตาและแบมือท่านออกมาได้แล้ว แล้วลองเล่าความรู้สึกของท่านให้เราฟังซิ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

    ชายผู้นั้นเหมือนกับจะรับรู้ว่า ในขณะนั้นผู้เขียนรู้สึกอย่างไร จึงชิงพูดตัดบทถามก่อน

    สิ่งที่แบอยู่บนมือผู้เขียน เป็นพระสมเด็จค่อนไปทางเก่า มีสีขาวครีมกระดำกระด่าง มีรอยลงรักปิดทองติดอยู่เป็นหย่อมๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ในซุ้มครอบ ลักษณะใบหูแหลมยาวขึ้นไปจรดขอบซุ้มด้านบน นั่งอยู่บนชั้นหลายชั้น

    เมื่อผู้เขียนได้เล่าความรู้สึกในขณะกำมือไว้ให้ฟัง ชายผู้นั้นก็กล่าวสรุปว่า

    “นี่แหละคือความมหรรย์จรรย์สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัวท่านนั่นแหละ เป็นการส่งพลังถึงกันระหว่างพระพุทธคุณของพระ กับพลังจากตัวท่านท่านไม่ต้องไปหาไปไขว่คว้าถามใครหรอก มันมีอยู่ในตัวท่านอยู่แล้วสำหรับพลังพิเศษ เพียงแต่อาจจะยังไม่รู้วิธีหรือยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เท่านั้น เมื่อท่านฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ได้ในตัวเองว่า จะเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อศาสนาและตัวเองได้อย่างไร เพราะเรื่องแบบนี้ ผมคงบอกท่านไม่ได้หรอกนะ มันเป็นเรื่องของเอกัตตะ คือรับรู้ได้เฉพาะตัวบุคคล และก็ไม่มีในทุกคน'”

    การไปบวชพราหมณ์ครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ตัวผู้เขียนมีความรู้สึกว่าได้วิชาความรู้ที่สุดแสนจะวิเศษที่สุดกลับมา มากกว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ได้รู้ถึงอำนาจพลังบารมีของตนเอง พลังบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งจากครูบาอาจารย์ที่ได้แนะนำสั่งสอนจนได้รับรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้รับรู้มาก่อนเพิ่มขึ้นอีกอย่าง

    จากพลังตรงนี้นี่เอง จึงทำให้ผู้เขียนมีความพิเศษเพิ่มมาอีกอย่างตรงที่ สามารถจับดู ตรวจเช็ค พลังพระพุทธคุณในพระเครื่องหรือพระสมเด็จแทบจะทุกองค์ ว่ามีพระพุทธคุณหลงเหลืออยู่สักประมาณไหนและแนะนำว่าสมควรจะทำอย่างไร และส่วนมากก็จะเช็คไม่ค่อยพลาด พระบางองค์จับแล้วเย็นชืด ไม่รู้สึกร้อนหรือมีพลังในพุทธคุณเลย จากตรงนี้เลยทำให้รับรู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า พระเครื่องบางองค์แม้จะเก่าแก่โบราณหรือถูกขุดออกมาจากกรุดัง ก็ไม่แน่เสมอไปที่พระพุทธคุณหรือพุทธานุภาพจะมีมากตามอายุพระหรือความเก่าแก่ บางองค์พระพุทธคุณอาจจะน้อยกว่าพระใหม่ๆที่ออกมาก็มีไม่ใช่น้อย คงเกี่ยวเนื่องมาจากการเก็บหาหรือความเป็นไปในการได้มาหรือระยะเวลาในการครอบครองนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนก็คงบอกตายตัวไปไม่ได้ว่า เพราะเหตุใด



    …......................................ภควัณตัง......................................................[/​
    CENTER]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2013
  12. srwarin

    srwarin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +12
    ชอบมากๆ ค่ะ ใช้ภาษาเข้าใจได้ง่าย อ่านแล้วเพลินดีค่ะ ขอบคุณมากๆนะค่ะ ที่เอามาแบ่งปันกัน
     
  13. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ยังไงแล้ว ก็ขอออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ใช่นักเขียนนิยายหรือแต่งเรื่อง เหมือนนักเขียนอาชีพนะครับ บางครั้งอ่านแล้วอาจจะขัดๆหูหรือขัดๆกันเองในตัวอักษรที่เรียงกันออกมาครับ คือผู้เขียนเข้าใจว่าอย่างไรก็เขียนไปตามนั้นครับ อาจจะตรงๆไปหน่อยในบางครั้ง แต่เมื่อลองอ่านทวนดู ก็น่าจะตรงกับใจผู้เขียนนะครับ(แบบตรงไปตรงมา)บางครั้งอาจจะบรรยายน้อยไปหน่อย(ก็ไม่ใช่นิยายนี่นะ) ก็พยายามคล้อยตามแล้วกันนะครับ

    เรื่องงานเขียน บางทีการจะสื่อให้คนอ่านเข้าใจ ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่าไม่ใช่นักเขียนครับ และเขียนลงให้อ่านก็เพื่อให้แง่คิดอะไรต่างๆ ตามแต่ผู้อ่านจะเอาไปใช้น่ะครับ หรือจะอ่านเอาเพลิน ก็ไม่ว่ากันครับ มิได้มีเจตนาแอบแฝง อวดสรรพคุณตัวเองหรือต้องเก็บเงินเก็บทองหรือพิมพ์ขายครับผม

    ยังไงแล้วก็แสดงความคิดเห็นกันมาเยอะๆนะครับ หรือมีเรื่องอื่นๆมาจอยกันก็ได้ครับ ถ้าไม่มีผู้เขียนก็จะทยอยลงไปเรื่อยๆแบบนี้แหละครับ ยังมีเรื่องราวอีกเยอะครับ ของใหม่ยังไม่ได้ลงเลย ของเก่าที่เขียนไว้ ยังอยู่อีกหลายตอนครับ

    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤษภาคม 2013
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ผ่านไป 1 เดือนเศษ ดีเจท่านนี้มาเคาะประตูห้องเรียกแต่เช้า ความว่า ขอนำพระธาตุมาคืน เพราะฝันติดต่อกัน3ครั้ง ว่าให้นำองค์พระธาตุมาคืน ในฝันมีเทวดาร่างหนึ่งมาบอกว่า ตัวเจ้าไม่คู่ควรที่จะเก็บรักษาพระธาตุไว้ ให้หาสิ่งอื่นมาแขวนแทน(ดีเจท่านนี้ นำองค์พระธาตุไปเลี่ยมทองแขวนคอ) แล้วให้นำพระธาตุไปคืนเจ้าของซะ เอามาจากใคร ก็ให้ไปคืน คนนั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองในชีวิตเจ้า"

    สำหรับกรณีดีเจรายหนึ่งที่อ้างถึง ถ้าใช่คนที่เป็นคนคุ้นเคยกับผม ก็เเสดงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    มีมาตรฐานเดียวคือ เลือกคุ้มครองเฉพาะคนดีมีศีล เเละปฏิเสธคนไม่ศีล จริงๆ
     
  15. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    หากจะพูดถึงเรื่ององค์พระธาตุก็ยังมีอีกที่ยังไม่ได้ลงครับ ท่านท้วงมาก็จะลงเพิ่มให้อ่านแล้วกันนะครับ ยังมีอีกสำหรับผู้ที่ไม่คู่ควรกับองค์ท่าน แต่ขอนำองค์ท่านไปบูชา เมื่ออยากได้หรือปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ ก็จัดให้ไปครับ แต่ผลกลับมาดังเรื่องนี้ครับ


    องค์พระธาตุทำโทษ​

    เมื่อประมาณต้นปี53 มีบุคคลเป็นชายผู้หนึ่งแต่งกายดี ตรงมาที่บ้านผู้เขียน ในขณะนั้นผู้เขียนกำลังพักผ่อนอยู่ภายในบ้านโดยที่ยังไม่ได้เปิดประตูหน้าบ้าน ชายผู้นั้นเดินเข้ามานั่งรอที่เตียงไม้ไผ่บริเวณหน้าบ้านที่ผู้เขียนเอาไว้นั่งเล่น ผู้เขียนได้ยินคนเดินเข้ามาก็เลยชะโงกออกไปดูบริเวณหน้าต่างที่ติดกับเตียงไม้ไผ่นั้นก็รู้สึกแปลกใจว่าใคร มาทำอะไร เพราะไม่คุ้นตาหรือรู้จักกันมาก่อน จึงเปิดประตูออกไปดูว่าใคร มีธุระอะไร

    ชายผู้นั้นเมื่อเห็นผู้เขียนเปิดประตูออกมาก็รีบยกมือไหว้แล้วกล่าวพร้อมทั้งแนะนำตัวเองว่า

    “สวัสดีครับพี่ ผมมาขอบูชาองค์พระธาตุครับ”

    ผู้เขียนก็งง ว่าทราบได้อย่างไรว่าที่บ้านนี้มีองค์พระธาตุ จึงสอบถามไป ได้ความว่า มีบ้านอยู่ที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มีพื้นความรู้ดีพอสมควร ได้ทราบจากญาติอีกคนหนึ่ง ที่เคยมาขอเช่าบูชาองค์พระธาตุไปเมื่อปีก่อนนั้น พบว่าตั้งแต่เอาพระธาตุไป มีความเจริญรุ่งเรื่องดีขึ้นกว่าเก่า จากที่เคยมีอุปสรรคต่างๆนาๆหรือมีหนี้สิน ก็ค่อยๆดีขึ้นๆตามลำดับ ตามที่ชายคนนั้นเล่ามา ก็เลยอยากที่จะมาขอเช่าบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคลต่อตนเองบ้าง เผื่อว่าตนเองจะเกิดมีโชคลาภบ้าง

    ตัวผู้เขียนก็เลยอธิบายบอกว่า อันว่าการขอองค์พระธาตุไปบูชานั้น ต้องมีใจที่มีความศรัทธาและประกอบกุศลกรรมดีด้วย เพราะองค์พระธาตุ ไม่ใช่เครื่องรางของขลังที่จะเอาไปช่วยเสริมให้คนนั้นคนนี้ร่ำรวยขึ้นมาได้ การบูชาพระธาตุหมายถึงการที่ให้คนๆนั้นมีความระลึกถึงคุณงามความดีในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณและต่อองค์ศาสดาคือ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและอรหันต์สาวกต่างๆ ในการสั่งสอนสัตว์โลกให้ประกอบกรรมดี ให้หลุดพ้น มีจิตใจที่ดีงาม และดำเนินรอยตามคำสั่งสอนที่ได้เคยสั่งสอนไว้ มิใช่ให้มุ่งเน้นในเรื่อง ของกิเลศต่างๆเป็นต้น โปรดให้สัตว์โลกได้หลุดพ้นจากวัฐสงสาร ไม่ได้ส่งเสริมให้คนๆนั้น เพิ่มกิเลศและมีความร่ำรวยดังที่ได้เข้าใจ ส่วนผู้ที่ได้นำไปบูชานั้นประสพผลสำเร็จเพราะมีใจน้อมนำในการประกอบกรรมดี จึงอาจจะเป็นผลพลอยได้หรือปัจจัยให้ได้รับในกุศลผลบุญที่ได้ทำ ก็คงเป็นผลพลอยได้เท่านั้น คนเราหากประกอบแต่กรรมดี คิดดี ทำดี ทั้งกาย วาจาและใจ สิ่งที่ดีๆก็จะเป็นผลตามมาเอง และเหนืออื่นใดคือ สิ่งต่างๆที่ตามมา อาจจะเป็นผลจากบุญกุศลที่ได้สร้างสมมาส่งผลมาจากอดีตกาลนั่นเอง ไม่ใช่ในปัจจุบันกาล ณ. ทีเดียว

    การที่จะขอไปบูชานั้น มิได้หวง แต่ต้องหมั่นสวดมนต์ภาวนา พยายามรักษาศีลให้ครบ เพราะเท่ากับว่า มีองค์พระอรหันต์อยู่ประจำที่บ้านเลยทีเดียว การจะปฏิบัติสิ่งใด ก็คงต้องคำนึงมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่น มิใช่ปล่อยปละละเลย หรือเพียงแค่อยากมีเหมือนคนอื่น สิ่งไหนที่มีคุณอนันต์ ย่อมแฝงด้วยโทษมหันต์ตามมา หากว่าเราไม่สามารถปฏิบัติได้

    ผู้เขียนก็ได้อธิบายสิ่งต่างๆในการครอบครององค์พระธาตุให้เป็นที่เข้าใจ จึงได้มอบองค์พระธาตุให้ไปองค์หนึ่ง ชายผู้นั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากที่ตัวผู้เขียนได้สังเกตุดู รีบยกมือไหว้แล้วลากลับไป

    ผู้เขียนยืนมองตามหลังชายผู้นั้นเดินออกไปขึ้นรถที่จอดไว้ใกล้ๆบ้าน จนขับออกไป นึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล กึ่งว่ามีความกังวลจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่า จะมีเหตุการณ์บางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นตามมาในภายหน้าเป็นแน่ แต่ก็พยายามตัดความคิดในสิ่งนั้นออกไป พร้อมกับโมทนาบุญกุศล ที่ได้กระทำการส่งเสริมให้คนมีใจรักและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป โดยผ่านทางแรงศรัทธาในองค์พระธาตุ

    ประมาณ7วันผ่านไป สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจ หดหู่และเศร้าใจก็ตามมา เมื่อได้ทราบข่าวว่า ชายผู้นั้นเกิดอาการทางประสาท หรือเสียสติ(เป็นบ้า) เดินพูดโวยวายจับใจความไม่ได้ตามถนนหนทาง ไม่ใส่เสื้อผ้า หลังจากกลับจากมาขอบูชาองค์พระธาตุที่บ้านผู้เขียนไปไม่นานนั่นเอง


    มีต่อครับ​


    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤษภาคม 2013
  16. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ก่อนที่จะโพสเรื่องต่อ ขออนุญาตตอบเมล์ที่กรุณาส่งเมล์ถามมาก่อนนะครับ ต้องขออภัยด้วยครับที่ไม่ได้ตอบส่วนตัว สาเหตุก็เพราะท่านผู้อื่นจะได้ทราบไปด้วยกันนะครับ ดังนี้

    "สวัสดีค่ะ พอดีอ่านเรื่องเล่าของคุณภควัณตัง เกี่ยวกับพระธาตุ ก็เลยอยากถามเพื่อเป็นความรู้นิดนึงค่ะว่า...หากเรานำพระธาตุไปแช่น้ำมนต์ (ปกติ ไม่เคยแช่น้ำมนต์ แต่เมื่อวันพระที่แล้วได้นำไปแช่ค่ะ แต่ก่อนแช่ก็ขอขมาก่อน) แล้วมีฟองเกาะที่องค์พระธาตุ แบบนี้ หมายความว่าอะไรหรือเปล่าคะ"

    ส่งมาสั้นๆแบบนี้เลยตอบไม่ถูกน่ะครับว่าเกิดจากสาเหตุอะไรถึงได้นำองค์ท่านลงไปแช่น้ำล่ะครับ ถ้าให้ดีช่วยบอกสาเหตุมานิดหนึ่งก็คงจะดีครับ

    ถามว่าทำไปแล้วมีผลกระทบอะไรไม๊ ก็คงไม่มีอะไรครับเพราะทุกอย่างอยู่ที่เจตนา เจตนาดีก็ดีครับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่เอาลงไปแช่ครับ การนำองค์พระธาตุลงไปแช่ในน้ำนั้น สามารถทำได้ แต่ก็ต้องมีสาเหตุด้วยครับ

    อันว่าองค์พระธาตุเป็นของสูง หากเราทำดี ปฎิบัติดี หมั่นสวดมนต์ถวายบูชา เมื่อได้ครอบครองอยู่ภายในบ้าน ย่อมส่งผลให้ครอบครัวหรือคนในบ้านได้อานิสงค์ครอบคลุมอยู่แล้วครับ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาลงไปแช่ในน้ำมนต์เพื่อเสริมพุทธานุภาพอีกหรอกครับ องค์ท่านอยู่ในสิ่งที่ใส่บูชาน่ะดีแล้วครับ

    ส่วนเรื่องฟองอากาศนั้นคงไม่มีอะไร องค์พระธาตุเป็นของที่แห้ง อธิบายในหลักวิทยาศาสตร์คือ เมื่อของแห้งลงสู่น้ำ ย่อมต้องดูดของเหลวเข้าไปด้านใน จึงทำให้เกิดฟองอากาศได้ครับ

    สำหรับเรื่องของพระธาตุนั้น หากว่ามีผู้ที่สนใจในองค์ท่านนั้น ในคราวต่อๆไป ผู้เขียนจะขออนุญาตลงให้ได้อ่านกันนะครับเกี่ยวกับ องค์พระธาตุประเภทต่างๆ ข้อปฎิบัติในการบูชา ลักษณะทั่วไปขององค์พระธาตุแต่ละองค์ ก็ขอให้คอยติดตามกันนะครับ

    ไม่เข้าใจตรงไหนก็สอบถามมาอีกนะครับ

    อนุโมทนาครับ

    ภควัณตัง​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤษภาคม 2013
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ต่อจากครั้งที่แล้วครับ................


    จากการที่ผู้เขียนได้พยายามสืบเสาะสอบถามจากทางญาติๆของชายผู้นั้น ถึงสาเหตุแห่งนั้นว่า เกิดอะไรขึ้น ก็ได้ทราบมาว่า หลังจากชายผู้นั้นได้องค์พระธาตุจากบ้านผู้เขียนไป ก็ได้นำเอาองค์พระธาตุนั้นไปป่นให้เป็นผง แล้วนำไปบรรจุอัดใส่ในปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ โดยการเจาะรูที่ด้านท้ายของปลัดขิกให้เป็นรู แล้วนำผงองค์พระธาตุบรรจุอัดเข้าไป

    โดยใช้ชัน ยาท้องเรือ ยาปิดทับไว้อีกที ทั้งนี้โดยสำคัญไว้ว่า คงต้องการเอาไปเสริมให้ตัวปลัดขิก มีความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น หรืออาจจะเป็นความเชื่ออย่างอื่นของชายผู้นั้น ก็สุดจะเดา จึงทำให้เกิดอาเพทและเป็นไปต่างๆนาๆทำให้ถูกลงโทษให้เกิดอาการทางประสาท เป็นบ้าเป็นหลังไปแบบนั้นจนบัดนี้

    อันว่าตัวปลัดขิกนั้น เป็นศาสน์ในทางต่ำ หาใช่ในทางสูงไม่ เป็นตัวแทนแห่งไสยเวทย์สัญลักษณ์เพศชาย ซึ่งถือเป็นของต่ำ แต่ก็มีทางประเทศอินเดียบางลัทธิ นับถือเคารพบูชากราบไหว้ นัยว่าเป็นตัวแทนขององค์นารายณ์หรือเทพองค์ใดสักอย่าง ซึ่งอาจจะด้วยในสมัยนั้น ไม่ทราบจะหารูปเคารพตัวแทนแห่งองค์เทพเป็นแบบใด เลยอาจจะใช้วิธีเอาสัญญลักษณ์เพศชาย เป็นตัวแทนไปเลยก็อาจจะเป็นได้

    ดังเช่นบางลัทธินับถือโยนี คือสัญญลักษณ์เพศหญิง นัยว่า เป็นตัวแทนแห่งองค์แม่อุมา ก็ไม่ทราบว่าผู้เขียนจะอ้างอิงถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆคือ ถือเป็นของต่ำอยู่ดี เพราะคงไม่มีใคร นำเอาปลัดขิก มาแขวนที่คอเป็นแน่ อย่างมากก็คงแขวนได้เฉพาะที่ คือบริเวณตั้งแต่เอวลงไปเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนเองก็คงนึกเดาใจชายผู้นี้ไม่ถูกเหมือนกัน ว่านึกอุตริยังไง ถึงได้เอาองค์พระธาตุ ไปกระทำอย่างนั้นได้ ทั้งๆที่ก่อนเอาไป ได้ย้ำนักย้ำหนาแล้ว ในเรื่องการนำเอาไปบูชา และบูชาอย่างไหนถึงจะถูกต้อง

    เรื่องที่กล่าวมา จึงเป็นที่มาของการเคารพสักการะที่ไม่บังควรกระทำ แต่ก็ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ผลจึงออกมาในทางที่ไม่ดีดังนี้เอง

    ภควัณตัง​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤษภาคม 2013
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ทำเอาหูขาด​

    เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ในการบูชาองค์พระธาตุอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะทำไปโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ก็เป็นไปแล้ว

    เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เดินทางมาจากพัทยา เพื่อมาขอเช่าพระธาตุที่บ้านผู้เขียน เพื่อเอาไปสักการะบูชา หลังจากที่ได้พูดคุยและแนะนำวิธีกันเป็นที่น่าเข้าใจ ก็พากันกลับไป โดยขอแบ่งเอาไปบูชา 2 องค์

    หนึ่งเดือนผ่านไป ผู้เขียนได้ทราบข่าวว่า ฝ่ายภรรยาของสองคนนั้นที่มาหาเข้าโรงพยาบาล โดยฝ่ายหญิงหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง บริเวณติ่งหูที่ใช้แขวนต่างหู

    หลังจากได้ทราบข่าว ก็ได้สอบถามถึงที่มาที่ไปว่า เกิดจากสาเหตุอะไร ก็ได้รับคำตอบว่า ตั้งแต่ครั้งได้องค์พระธาตุไป ก็นำเอาไปเลี่ยมทองทำเป็นต่างหู แขวนที่หูทั้งสองข้าง

    อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่แขวนได้ไม่กี่วัน ขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน มีความรู้สึกเหมือนมีมืออันใหญ่โต มากระชากต่างหูทั้งสองข้างพร้อมๆกัน ตัวคนใส่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณติ่งหูทั้งสองข้าง พร้อมๆกับมีเลือดไหลทะลักออกมาบริเวณติ่งหูทั้งสอง ด้วยความตกใจ จึงรีบวิ่งเอามือปิดหูทั้งสองข้างทั้งๆที่ยังมีเลือดออกอยู่ไม่หยุด ตะโกนเรียกสามีสุดเสียง ว่าเกิดอะไรขึ้น

    สามีเมื่อลงมาเห็น ก็เกิดอาการตกใจในภรรยาของตนว่าเป็นอะไร จึงรีบนำตัวพาส่งโรงพยาบาล เมื่อทางหมอในโรงพยาบาลตรวจรักษาแล้ว ก็ลงความเห็นว่า บริเวณติ่งหูตั้งแต่บริเวณที่เจาะเพื่อใส่ต่างหูเรื่อยลงมาถึงปลายติ่งหู มีบาดแผลฉีกขาดทั้งสองข้าง ต้องทำการเย็บแผลที่ฉีกขาด ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากการโดนต่างหูฉีกกระชากขาดลงพร้อมๆกัน โดยไม่ทราบสาเหตุว่าไปเกาะเกี่ยวกับอะไร

    ตัวคนโดนกระทำ ก็ไม่ทราบว่าโดนจากอะไร เพราะนั่งทำงานอยู่เฉยๆ ไม่ได้ไปมุดหรือหาสิ่งใด อันจะเป็นการที่จะมีโอกาศที่ต่างหูจะไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดได้

    แถมเมื่อออกจากโรงพยาบาลกลับไปบ้าน ต่างหูทั้งสองข้างอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งๆที่บ้านนี้ ไม่มีคนรับใช้ หรือคนอื่นๆเข้าออกภายในบ้านในช่วงที่เดินทางไปโรงพยาบาล

    สิ่งนี้ ผู้เขียนคงพอจะสรุปอธิบายตามความคาดคะเนได้ว่า อันว่าองค์พระธาตุ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ หาใช่อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ประดับร่างกายไม่ การนำเอาองค์พระธาตุเอาไปแปลงเป็นอุปกรณ์ประดับร่างกาย ถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นดูแคลนในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นเจ้าของ ย่อมต้องไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเหล่าเทพ หรือสิ่งที่คุ้มครองอยู่กับองค์พระธาตุและเหล่าอรหันต์เป็นแน่แท้ จึงดลบันดาลให้เป็นไปอย่างนั้น ถือว่าเป็นการสั่งสอน แม้คนผู้นั้นจะไม่ทันได้คิดหรือเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในวิธีการสักการะบูชาก็ตาม

    เรื่องแบบนี้จึงเปรียบเสมือนอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง ในการบูชาองค์พระธาตุ ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร ต่อจากนั้นการที่จะให้ใครหรือผู้ใดเอาไปบูชา ตัวผู้เขียนจึงต้องย้ำนักย้ำหนาในวิธึการบูชา เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะแทนที่จะทำกุศล จะกลายเป็นว่าเอาความทุกข์ไปให้แก่ผู้อื่น จึงระงับการแจกหรือให้คนที่ไม่ทราบที่มาที่ไปตั้งแต่นั้นมา แต่ก็มีบางวัดหรือพระอาจารย์บางรูปที่รู้จัก มาขอนำเอาไปไว้ให้ญาติโยมสักการะบูชาที่วัด ก็มีมาขอไปอยู่เนืองๆ ก็ไม่ได้หวงแต่อย่างใด



    ภควัณตัง ​
     
  19. sasa2516

    sasa2516 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +13
    ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ (คุณภควัณเต) ด้วยค่ะ สำหรับธรรมทานดีดีที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายและให้ึความกระจ่างในหลักการปฏิบัติำได้อย่างชัดเจน และขอเผยแพร่บางบทความเพื่อเป็นแนวทางความคิดและแนวทางการปฏิบัีติแก่สาธุชนทั่ืวไป ด้่วยค่ะ สาธุค่ะ
    :cool::cool:
     
  20. ริมฝั่งของ

    ริมฝั่งของ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +310
    .." มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เดินทางมาจากพัทยา เพื่อมาขอเช่าพระธาตุที่บ้านผู้เขียน เพื่อเอาไปสักการะบูชา.."

    มาขอเช่า หมายถึงต้องจ่ายเงินเป็นค่าบูชาพระธาตุหรือเปล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...