จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    [​IMG]

    ***การเข้าพระนิพพาน***
    ในวิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    สำหรับการที่จะเข้าพระนิพพานนั้น...
    จิตจะต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งก็แยกย่อยออกไปได้หลายวิธี...
    แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด คือ...

    1. ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพ
    พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต
    ... ซึ่งความเชื่อนี้ รวมไปถึงพระธรรมคำสอนในข้อที่ว่า...
    นิพพานัง ปรมัง สุขัง...
    *พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง*
    นิพพานัง ปรมัง สูญญัง...
    พระนิพพานเป็นที่ที่สูญจากกิเลส จากอวิชชาทั้งมวล
    จากพระธรรมทั้ง ๒ ประโยคนี้...
    ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า พระนิพพานเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง
    ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทับอยู่จริง...
    เมื่อเราเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจว่า พระนิพพานมีจริง
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง...
    การที่เราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่นั้น... ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด...

    สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความเชื่อมั่น...
    เชื่อมั่นว่าพระนิพพานมีอยู่จริง...
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีอยู่จริง...
    พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ประทับอยู่บนพระนิพพานจริง...
    เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้แล้ว...
    ให้ลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ท่านทรงชี้แนะเอาไว้...
    สิ่งนั้นคือ ขั้นตอนต่างๆ ที่ลัดที่สุด เร็วที่สุด ตัดตรงที่สุด ซึ่งมีดังนี้...


    2. มีศีล 5
    (เป็นอย่างน้อย)

    [​IMG]


    3. ทุกครั้งที่ทำความดี
    (ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม)
    ให้อธิษฐานขอไปพระนิพพาน
    ว่า...ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
    ... ภพภูมิอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น อบายภูมิ โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหมก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา...ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงพระนิพพานเป็นที่สุด..ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น..


    4. พิจารณานึกถึงความตายอยู่เสมอ
    พร้อมกับพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา
    เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา...
    นึกน้อมพิจารณาจนจิตยอมรับสภาพตามความเป็นจริง... และมีการปล่อยวางในสังขารร่างกายนี้


    5. พิจารณาตัดขันธ์ 5
    และพิจารณาถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ...
    เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้ว มีแต่โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้
    ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจทั้งหลาย
    ต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักและคนที่รักเรา... สิ่งเหล่านี้มันทุกข์ใช่ไหม...
    เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้วเรายังอยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่


    6. เมื่อพบความจริงของชีวิตแล้ว... ต่อมา
    ให้จิตเชื่อมั่น และ
    จับภาพพระพุทธเจ้า หรือ ภาพพระพุทธรูป
    ที่เราร้กชอบ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ที่พระนิพพานซึ่งเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่สุด...
    (ไม่ว่าเราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่ก็ตาม)
    ... หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว และอธิษฐานให้บ่อยๆ ทำจนจิตชิน
    จนเขาภาวนาของเขาเองได้ยิ่งดี ว่า...
    สังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย
    ... ถ้าข้าพเจ้าตายลงเมื่อไหร่
    ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเถิด
    และขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานนั้นโดยทันทีด้วยเถิด


    ข้อสำคัญของการเข้าพระนิพพาน
    คือ จิตจะต้องเกิดอาการเบื่อหน่ายในร่างกาย {ขันธ์5}
    อย่างจริงๆ จัง...
    ดังนั้น
    ต้องมีการพิจารณาตัดขันธ์ 5
    พิจารณาถึงความตาย ความทุกข์ทั้งหลาย อยู่เสมอๆ
    ... พิจารณาบ่อยๆ วันละหลายๆ ครั้งได้ก็จะดีมาก...

    แต่เมื่อพิจารณามากเข้าๆ จิตอาจจะเบื่อจนนึกอยากจะฆ่าตัวตาย
    ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาสมทบเข้าไปว่า...
    ถึงสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ น่าเบื่อหน่าย...
    แต่ข้าพเจ้าจะยังคงรักษาธาตุขันธ์นี้ต่อไป เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอื่น
    และธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา
    ตราบจนกว่าจะถึงอายุขัยของข้าพเจ้าเอง
    เสร็จแล้วพยายามพิจารณาทุกสิ่งให้เป็น
    "ธรรมดา"
    ยอมรับสภาพของชีวิตตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น...
    เมื่อใกล้ตายจิตจะมารวมตัวกันเองโดยไม่ต้องบังคับ...
    เพราะจิตมีความชินกับการที่จิตเราจับอยู่ที่พระพุทธองค์ และพระนิพพานเสมอ...

    ให้เชื่อมั่นว่า...
    ตายเมื่อไหร่เราขึ้นพระนิพพานแน่นอน...



    สุขสันต์วันสงกรานต์ ขออัญเชิญคำสอนของหลวงพ่อ สำหรับสหธรรมิกทุกท่านเนื่องในวันสงกรานต์ค่ะ


    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/fIxgPOkLdoE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ ข้าพเจ้าขออาราชธนา"คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์" และคุณงามความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทํามาขอจงมาเป็นพละปัจจัยส่งพรให้ท่านทั้งหลายจงมีแต่ความสุขความเจริญในทางโลกและทางธรรม และขอให้เราชาว"จิตเกาะพระ"ทุกๆท่านจงเจริญๆด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และในปีใหม่นี้เป็นปีที่มาบรรจบครบ ๑ ปี ของชาวจิตเกาะพระและขอให้ท่านทั้งหลายจงได้ภูมิใจต่อการที่ท่านได้สละเวลาอันมีค่าของท่านมาทําหน้าที่เป็นตัวแทนของ"พระพุทธเจ้า"ได้นําคําสั่งสอนของท่านมาแนะนําสั่งสอนก็เพราะว่าพวกเราเห็นคุณค่าของคําสั่งสอนของท่านว่า"เป็นที่พึงเป็นสรณะ"ผู้ที่ต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์ จะได้อาศัยดื่มกินเป็นเหมือนห้วงนํ้าที่รอคอยผู้เดินทางผ่านมาจะได้ดื่มและกินนํ้า...จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญๆยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ โชดดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ค่ะ(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 เมษายน 2013
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...สวัสดีปีใหม่ค่ะท่านผู้อ่านทุกๆท่าน...

    ...ขอฝากคติธรรม ของหลวงปู่ทองท่านฝากไว้...

    ...เราพบพระพุทธศาสนา...เราท่องว่า...

    ...ขันติ คือ ความอดทน...สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว...

    ...เราท่องกันไปแต่ปากเท่านั้นเอง...แต่ไม่เอามาใส่ใจ เราไม่ทำตาม...

    จึงขอให้เอามาปฏิบัติ...เราต้องช่วยกันปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติแต่ห้องกรรมฐาน...

    ...ห้องที่เราอยู่ก็เป็นห้องกรรมฐานได้เหมือนกัน...

    ...การทำความสงบเหล่านี้...จะยังพระพุทธศาสนาให้งาม...

    ...อยู่หมู่ให้งาม และยังตนให้งาม...ยังตระกูลให้งามด้วย...

    ...เพราะฉะนั้น ความงามนี้คือ "คือความอดทนและความสงบ"

    พระธรรมคำสอนของพระธรรมมังคลาจารย์หลวงปู่ทอง วัดพระศรีมหาธาตุ จอมทอง ช.ม

    กรานมัสการและกรามขอบพระคุณในธรรมะธรรมทานที่ท่านม้อบให้ขอน้อมรับเจ้าค่ะสาธๆ..
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713


    สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกๆท่าน...มีของดีคำสอนดีๆมาฝากค่ะ

    หลวงพ่อจรัญท่านกล่าวไว้ว่า...ถือและเชื่อไว้ก่อน...มันมีประโยชน์ มันได้

    กำไรชีวิต...คือเชื่อในกฎแห่งกรรม...ท่านกล่าวว่า เมื่ออาตมาเป็นเด็กเมื่อมา

    บวชใหม่ๆ...ไปบ้านญาติ ที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ เขากินเหล้ากัน

    ...พอเห็นพระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย...ยังกลัวบาปนะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง...

    กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก...แถมงานศพเล่นไพ่หน้าศพอุทิศส่วนกุศล...

    ...แล้วพระสวดไปไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปกรรมแต่ประการใด...

    เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอน...เข้าใจอย่างนี้ผิดนะขอฝากไว้...การอโหสิกรรมนั้นเป็นบุญกุศลอย่างมหาศาล...

    พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อจรัญ พระธรรมสิงหบุราจารย์.

    น้อมกราบนมัสการหลวงปู่จรัญและน้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะ...

    ขอบพระคุณ คุณภูทยานฌาน ที่เป็นตัวแทนของพวกเราทั้งคำขอขมาและคำอวยพรสาธุอนุโมทนาค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สู้ด้วยใจ ไปให้ถึง

    .

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Mep2Eh-nJ9A&sns=em]สู้ด้วยใจไปให้ถึง -By ป้าเช็ง - YouTube[/ame]​


    ปีใหม่ไทย2556นี้..
    ก็ขออวยพรให้ทุกๆท่านจงมีความเพียร ให้ถึงพร้อม
    ดั่งเพลงของคุณป้าเช็ง "สู้ด้วยใจ ไปให้ถึง"
    สาธุครับ
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนา​

    ๑.สามารถกําจัดกิเลสน้อยใหญ่อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้
    ๒.มีความทุกข์น้อยลงและมีความสุขมากขึ้น
    ๓.คลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงได้
    ๔.มีจิตใจมั่นคงรู้เท่าความเป็นจริง
    ๕.มีความเห็นแก่ตัวน้อยลงแต่บําเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นมากขึ้น
    ๖.จิตใจมีคุณธรรมคุณภาพสูงขึ้น
    ที่มาหนังสือวัดเนรมิตรวิปัสสนา อําเภอด่านช้าย จังหวัดเลย
     
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความหมายของสงกรานต์​

    คําว่า"สงกรานต์"มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า"ก้าวขึ้น"หรือ"ผ่าน" หรือ"เคลื่อนย้าย"หมายถึงการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งเข้าไปอีกราศีหนึ่ง เช่น เคลื่อนจากราศีพฤษภไปสู่ราศีเมถุน อันเป็นเหตุการณ์อันปกติที่เกิดขึ้นทุกเดือน เรียกว่า"สงกรานต์เดือน"ยกเว้นว่าเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษเมื่อใดก็ตาม ก็จงเรียกชื่อเป็นพิเศษว่า"มหาสงกรานต์"อันหมายถึงการก้าวขึ้นครั้งใหญ่ซึ่งนับเป็นครั้งสําคัญ เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติพราหมณ์โดยเป็นการนับทางสุริยคติตรงกับวัน ๑๓-๑๕ เมษายน ซึ่งแต่ละวันจะมีชื่อเรียกดังนี้
    วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า"วันมหาสงกรานต์"หมายถึงวันพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอีกครั้ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีอื่นๆมาจนครบ ๑๒ เดือน
    วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า "วันเนา"แปลว่า วันอยู่หมายถึงวันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอันเป็นราศีตั้งต้นปี เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย
    วันที่ ๑๕ เมษานย เรียกว่า"วันเถลิงศก"ถือเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่การกําหนดให้อยู่ในวันนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าดวงอาทิตย์โคจรจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษแล้วอย่างน้อย ๑ องศา
    ทั้งสามวันนี้ ถ้าหากดูตามประกาศสงกรานต์ และการคํานวณตามหลักโหรศาสตร์จริงๆก็มีการคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันบ้าง เช่น วันหมาสงกรานต์อาจจะเป็นวันที่ ๑๔ เมษายนแทนที่จะเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน แต่เพื่อให้จดจําได้ง่าย จึงกําหนดเรียกตามดังนี้
    วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัว
    วันที่๑๓ เมษายน ของทุกปี นอกจากจะเป็นวันมหาสงกรานต์แล้ว รัฐยังกําหนดให้เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติด้วย เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสําคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบุพการี ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่ในชุมชนนั้นๆซึ้งเคยทําประโยชน์ให้แก่สังคมนั้นๆมาแล้ว
    ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน ของทุกปี รัฐบาลได้กําหนดให้เป็น"วันครอบครัว"เพราะเห็นว่าช่วงดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัว หรือ"วันสู่คืนเหย้า"จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความรัก ความอบอุ่น ที่จะได้พบกันอย่างพร้อมเพียงหน้าพร้อมตา และทํากิจกรรมพร้อมกันอย่างอบอุ่น และขอให้ทุกๆท่านจงมีแต่ความสุขตลอดไปด้วยเทอญ
    ที่มาหนังสือ สัจธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย...เหมือนพุ่มไม้อ่อนที่ดัดง่าย

    ...เหมือนขี้ผึ้งที่เราจะปั้นเป็นอะไรก็ได้...

    ...ความว่านอนง่ายสอนง่ายจะช่วยลดตัวทิฏฐิมานะลง...

    ...ตัวมานะจะกั้นมรรคผล...นิพพาน...

    ...ดังนั้น การว่านอนสอนง่าย...ขอให้มีในใจทุกคน...

    หลวงปู่ทองท่านฝากไว้...จึงนำมาฝากท่านผู่อ่านค่ะ

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทองและกราบขอบพระคุณในคำสั่งสอน ขอน้อมรับคำสอนเจ้าค่ะสาธุๆ.
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คำปันปอนปี๋ใหม่ของ คุณพ่อ คุณแม่ และของผู้เฒ้าผู้ชะราเมืองเหนือ

    ...กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัพพะโทสัง ขะมันตุ โน...ดีและอัชชะในวันนี้ก็

    เป็นวันดี ดิถีอันวิเศษเหตุว่า...ปีเก่าก็ล่วงข้ามไปแล้ว ปีใหม่แก้วพญาวันก็มาจุจอดรอดเถิง

    เติงยังข้าและสูท่านทังหลาย...บัดนี้สูท่านทั้งหลายก็บ่ได้ละเสียยังฮีต จารีตประเพณีอัน

    ล่วงแล้วมาแต่ก่อน...จิ่งได้ตกแต่งแป๋งพร้อมน้อมนำมายังวัตถุบุปผามาลา ดวงดอกข้าว

    ตอกดอกไม้ลำเทียน...วัตถุปัจจัยข้าวน้ำอาหารมวลฝูงนี้ และน้ำสุคันโธทะกะข้าวมิ้นส้ม

    ป่อยมาหื้อเป๋นทานและขอสุมาคารวะยังคุณพระแก้วเจ้าสามประการ...อันอยู่เหนือกระ

    หม่อมจอมแห่งผู้ข้า...บ่เท่าแต่นั้นก็จักขอสุมายังตั๋วแห่งผู้ข้า บัดนี้ก็มีธรรมเมตตาปฏิคคะ

    หะอว่ายหน้ารับเอายังอามิสทานตังหลายมวลฝูงนี้แล้ว...ขออดโทษแก่สูท่านตังหลาย

    แม้ว่าสูท่านตังหลาย...ได้กระทำปะมาทะกรรม ด้วกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดังอั้นก็ดี

    ด้วยอิริยาบถทั้งสี่ ด้วยรู้แจ้งถี่บ่รู้แจ้งถี่ดังอั้นก็ดี...ผู้ข้าก็ขออโหสิกรรม อย่าได้เป็นนิวรณ์

    ธรรมกรรมอันแก่นกล้า...หับตั๊บเสียยังชั้นฟ้าและเนระปาน แก่สูท่านตังหลายนั้นจุ่งจักมี

    เตี่ยงแต้ดีหลี...ตังแต่กาละบัดนี้ไปปายหน้า ขอหื้อสูท่านตังหลายจุ่งพ้นเสียยังสัพพะ

    เคราะห์ สัพพะภัย สัพพะอุบาทอนทะรายทังหลายหื้อรำงับกลับหายเสีย เหมือนน้ำกลิ้ง

    กลาดจากใบบัวใบอน...แล้วจุ่งหื้อมีสหรีฑีฆาอายุมั้นยืนยาว อยู่ก็หื้อมีชัย ไปก็หื้อมีโชค

    มีลาภ ปราบแพ้ชนะข้าศึกสัตถะหรูตังมวล...ตังสุขกายสุขใจ ไปจุวันจุยามไจ้ ๆ หื้อได้เอา

    ต๋นตั๋วอยู่ก้ำชูบูชายังวระพุทธศาสนาไปไจ้ ๆ ถะหราบห้าพันพระวะสา...

    นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี...สัพพีตีโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุมา เต ภะวัตวันตราโย

    ...สุขี ฑีฆายุโก ภะวะอะภิวาทะนะสีสสะ...นิจจัง วุฑฒาปะจายิโนจัตตาโร ธัมมา

    วัฑฒันติ...อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง. นี่คือคำอวยพรของพ่อแม่ผู้เฒ้าชะราผู้มีพระคุณ

    ตลอดถึงครูอาจารย์...ที่ท่านอวยพรกับผู้ที่ไปดำหัวปี๋ใหม่ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังถึงประเพณี

    ของทางภาคเหนือเจ้า สวัสดีปี๋ใหม่ สุขใจ๋ สุขกาย รวยศีล รวยธรรมยิ่งๆขึ้นไปสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2013
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    .................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    บุญก่อเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์

    [​IMG]
    จะกล่าว ประเพณี ก่อเจดีย์ แล้วด้วยทราย

    ผลบุญ เลิศล้ำหลาย และมากมาย ไม่ประมาณ

    บุญนั้น ย่อมบรรดล แผ่ผายผล ให้สุขสานติ์

    ล้วนเกิดที่ชื่นบาน ที่ร้าวฉาน ไม่เกิดมี

    ยังมีเทพบุตร งามผาดผุด วิไลศรี

    รุ่งเรืองดังอัคคี ในบุรี ดาวดึงส์

    หมู่นาง เทพอัปสร ศรีสมร งามกลมกลึง

    แสนนาง ล้วนพอพึง เฝ้าแหนหึง ไม่เหินห่าง

    เทพบุตร ดังกล่าวนี้ สุขมากมี ไม่จืดจาง

    โดยบุญ ที่ได้สร้าง กล่าวเอ่ยอ้าง เมื่อเป็นคน

    คราวนั้น เกิดที่ยาก ต้องตรำตราก เป็นคนจน

    เกี่ยวหญ้า ขายเลี้ยงตน ข้างถนน และทุ่งนา

    วันหนึ่ง ไปเห็นทราย งามแพรวพราย ริมธารา

    จึงหยุด เกี่ยวหญ้าคา กวาดทรายมา ทำกองทราย

    กวาดกอง ทำเจดีย์ เป็นเจดีย์แล้ว ด้วยทราย

    ดอกไม้ ปักโปรยปราย เจดีย์ทราย น้อมบูชา

    ชาตินั้น เมื่อสิ้นชนม์ บุญผายผล ให้สุขา

    เกิดแดน ดาวดึงสา สุขเลิศหล้า ไม่แหนงหน่าย

    สมเด็จ พระศาสดา ทรงตรัสว่า ท่านหญิงชาย

    ก่อกอง เจดีย์ทราย บุญแผ่ผาย สุขมากมี

    อบาย ไม่ไปเกิด ย่อมจะเกิด แต่ที่ดี

    ร้อยชาติ มากมายมี ล้วนเกิดที่ โสมนา

    ก่อกอง เจดีย์ทราย ผลเลิศหลาย ยิ่งนักหนา

    ฝูงชน มีศรัทธา ก่อบูชา ล้ำเลิศแลฯ

    จะแถลง เวลุวกา เวลุวกา คือกองทราย

    เป็นที่ กำหนดหมาย ชำระบาป และมลทิน

    บัณฑิต ในปางก่อน รู้เหตุถอน บาปมลทิน

    ขนทราย ขนกรวดหิน หรือขนดิน สร้างเจดีย์

    รู้บาป มลทินโทษ ที่หินโหด ตนทำมี

    แต่หลัง เก่าก่อนมี จะหลุดพ้น สะอาดใส

    บางพวก ถือเป็นบุญ เหตุนำหนุน เมื่อตายไป

    จะเกิด ที่พึงใจ ที่สดใส ไม่อาวรณ์

    บางพวก ก่อกองทราย อุทิศหมาย ให้ผู้มรณ์

    เป็นญาติ หรือบิดร หรือมารดา คณาชน

    บางพวก ให้เจ้าเวร ที่เป็นเวร ไว้กับตน

    โดยแผ่ แรงกุศล ที่ตนทำ อุทิศให้

    กองทราย เวลุวกา เหตุมีมา ดังกล่าวไข

    โดยความ สังเขปนัย ที่กล่าวไข เท่านี้เทอญฯ

    ขอให้วันหยุดสงกรานต์เป็นโอกาสในการสร้างบุญ
     
  13. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    สวัสดีปีใหม่ไทย2556กับทุกท่านขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการเทอญ. ขออนุโมทนาสาธุกับคุณครูลูกพลังด้วยค่ะที่นำเพลงนี้มาให้พวกเราได้ฟัง เพลงที่ป้าร้องนี้มีความหมายมากค่ะ ขอขอบคุณค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิพพานนั้น อยู่ที่จิตใจ
    แต่ต้องนำจิตเข้าไปอยู่เองนะ มิใช่ แค่ไปเยี่ยม ไปเยือนกันชั่วคราวเฉยๆ
    หรืออย่าเป็นนักท่องเที่ยวพระนิพพานกันเฉยๆ
    ขอยกตัวอย่างธรรมาทานที่คุณNatcha@ที่ส่งมาให้..


    “อย่างที่กล่าว ทุกสิ่งมีสองเสมอ จะทำให้เหลือหนึ่งนั้น เข้าใจเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆ เรื่อยๆ จัดการกันไป พอเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะกลายเป็นศูนย์ ตอนนั้นคือนิพพาน ในเวลาที่เราอยู่ทางโลกก็ปฏิบัติธรรมด้วย เพราะธรรมอยู่ที่จิต จะเพศไหน สถานะไหนๆก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเท่านั้น ดีไม่ดีจะบรรลุอรหันต์ทั้งๆที่เป็นฆราวาสทั้งๆที่มีครอบครัว ไม่แปลกนะคนส่วนมากเขาคิดกันไปว่า ต้องเป็นพระเท่านั้น จึงนิพพานได้ หารู้ไม่ การบบรรลุในฆราวาสได้นั้น เป็นสองเท่าสามเท่าเลยนะ ศีลไม่จำกัดเฉพาะพระ เราเป็นฆราวาสมีครอบครับก็มีศีลได้ พื้นฐานเท่านั้นศีล ๕ มี สมาธิเกิด ปัญญามาสู้กิเลส ตัดร่างกาย สัญญาเก่า หมดเหตุ หมดสงสัย หมดเกิด นิพพานลูกเดียว”

    “ฟังดูง่ายแต่ไม่ง่าย ยากแต่ไม่ยากเลยจริงๆ ต้องมานะอดทน เท่านั้น เพียรสม่ำเสมอ อะไรก็สำเร็จ ด้วยความเพียร ของเก่าจะเยอะแค่ไหน สู้คนเพียร ขยันซะอย่าง ทำไมจะนิพพานไม่ได้ ลองดูกันไป คนที่มีของเก่าเยอะๆ แต่ไม่เพียรไม่ต่อ มันก็ยังเท่าเดิม แต่คนที่มีน้อยขยันต่อ เพียรปฏิบัติ สมาธิ มีปัญญา นำหน้าคนของเก่าเยอะไปไหนๆ ชนะเห็นๆ นิพพานไม่ได้วัดที่อะไรเลย แค่สภาวะจิตเท่านั้น จบจิตภายในแล้ว จิตสะอาดจากอาสวะทั้งมวล จิตก็หมดเหลือแต่แสง ลอยไปมา ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่มีรูป ไม่มีนาม ไม่มีสมมุติ ว่างเปล่า คือ พระนิพพาน”

    สุดท้ายเราพบกันที่นิพพานแน่นอน กลับบ้านเก่าเถอะครับ จากมานาน มาอยู่บนโลกทุกข์ ปฏิบัติถึงจิตในจิต จะเห็นทุกสิ่งอย่างด้วยตนเอง ด้วยจิตตัวรู้ จะรู้ทั้งจักวาล

    เครดิต:
    ลูกพระพุทธฯ บุตรพระธรรมฯ (สายนิพพาน)
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=9zC7g5wWXk8]EPISODE05 : คนจนผู้ยิ่งใหญ่ [จัง-หวะ-จะ-เดิน] - YouTube[/ame]
    มาฟังวิชั่นของคนจนผู้ยิ่งใหญ่
    และแฝงไปด้วยธรรมะ


    ครูเกษส่งเข้าประกวด!
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=anHOaaoBsiY&NR=1&feature=endscreen]Hitman Returns: All By Myself feat. Charice - YouTube[/ame]

    ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ
    เวลาจะทำอะไรสักอย่างนึง เราต้องตั้งใจ ทุ่มเทจิตใจจริงๆ
    เหมือนดั่งน้องคนที่ร้องเพลงนี้ (ร้องเพราะกว่าต้นฉบัับซะอีก)
    การปฎิบัติธรรมก็เช่นกัน เราต้องนำจิตไปเดินมรรคให้ถูกต้องและใส่ความเพียรให้มาก
    เพราะใครทำเล่นได้ของเล่นๆและเสียเวลาโดยใช่เหตุ!
    ใครทำจริงได้ของจริงๆแน่นอน บุญเก่า บารมีเก่าหรือจะมาสู้ความขยันหมั่นเพียร
    จิตฝึกยาก แต่ก็ต้องฝึก
    เพราะถ้าเราไม่ฝึก เราก็จะออกจากทุกข์ไม่ได้ และจะต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ไปตลอด
    ถ้อแท้ได้ แต่อย่าถอย นะครับ
    สู้..สู้
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กิจในอริยสัจ
    คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่


    ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง
    เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
    ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
    สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
    ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการ
    หรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา

    กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
    กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึง
    การหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้


    สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
    นี่คือทุกข์
    นี่คือเหตุแห่งทุกข์
    นี่คือความดับทุกข์
    นี่คือทางแห่งความดับทุกข์

    กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
    ทุกข์ควรรู้
    เหตุแห่งทุกข์ควรละ
    ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
    ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น

    กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
    ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
    ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
    ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว


    ที่มา
    https://th.wikipedia.org/wiki/อริยสัจ_4

    เชื่อว่าผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่มักจะรู้ความหมายดีแล้ว ปฎิบัติแล้ว แต่ปฎิเวธ(ผล)นี่สิ! น่าคิด
    สังเกตผลของการปฎิบัติได้ง่ายนิดเดียวก็คือ เรายังมีความทุกข์หลงเหลืออยู่ไหม
    สำหรับผู้ที่ตอบว่า เมื่อก่อนมีทุกข์มาก แต่เดี๋ยวนี้ทุกข์ นั่นก็แปลว่า จิตเริ่มเข้าสู่โคตรภูญาณ
    หรือโคตรภูจิต(ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์) หรือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม นั่นเอง

    แต่ผู้ที่ตอบว่าทุกข์ไม่มี ไม่เกิดแล้ว นั่นก็แสดงว่า จิตผู้นั้นนอกจากออกจากทุกข์ตนได้แล้ว
    ยังออกจากวัฎฎะตนเองได้อีก คือจิตเข้าสู่โลกุตตระธรรมไปเรียบร้อยแล้ว หรือวิมุตติ
    บุคคลอันหลังนี้เสมือนตายไปแล้ว และเกิดใหม่ หมายถึง..
    ได้ดวงจิตประภัสสรกลับคืนมาใหม่อีกครั้งนึง แต่ก็ยังอยู่ที่กายเดิม
    อยู่ได้ทุกวันนี้ เหมือนคนไม่ได้ปฎิบัติธรรม มีสิ่งมากระทบเหมือนเดิมทุกอย่าง
    มีธรรมารมณ์หรือมีอารมณ์ต่างๆเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มิได้รู้สึกเป็นทุกข์หรือสุข แต่อย่างใด
    บุคคลประเภทอันหลังนี้ ต้องมีวิปัสสนาญาณ ๙ ครบ
    เพราะญาณเป็นเครื่องรู้หรือตัวผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เอง โดยไม่ต้องเสียเวลาวิปัสสนาหรือปล่อยวาง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2013
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "หลวงปู่ทองสอนไว้"

    ...หากถ้าเรามีความขยัน...มีสติ สำรวมในศีล...

    ...และปฏิบัติวิปัสสนาในแนวสติปัฏฐาน ๔...

    ...นับว่าเป็นอยู่บนเกาะ...นับว่าเราได้ที่พึ่งแล้ว...

    ...คือศาสนาพุทธนี้...

    ...ฉนั้นขอให้รู้จักคุณค่าและปฏิบัติ...

    ...เราก็จะอยู่เหนือกรรม...

    ...พระธรรมคำสอนของพระธรรมมังคลาจารย์หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง...

    กราบนมัสการขออนุญาตินำพระธรรมขององค์ท่านมาเป็นธรรมทาน

    ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสอนของท่านเพื่อนำมาซึ่งการปฏิบัติเจ้าค่ะกราบ กราบๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2013
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ชีวิตที่ไม่มีการปฏิบัติธรรม"

    ...เหมือนกับแผ่นดินที่ว่างเปล่า...

    ...เหมือนกับภาชนะที่ปราศจากอาหาร...

    ...ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้...

    ...ผู้ปฏิบัติธรรม...เปรียบเหมือนผู้ทรงพระไตรปิฏก...

    ...เหมือนไม้จันทน์ที่อยู่ในป่า...ย่อมเป็นของหายาก........

    หลวงปู่ทองฝากไว้ กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.กราบ กราบๆ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อยากจะปลุกให้ตื่น!
    อยากจะบอกกับพวกเราว่า อย่าไปอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่กำลังร้อน กำลังแผดเผากันอยู่เลย
    เพราะว่ามันร้อน มันไม่สบาย ออกมาจากตรงนั้นกันเถอะ
    นั่นหมายถึง กำลังจะสะกิดหรือบอกให้คนทั่วไปให้ตื่นกันได้แล้ว ที่ที่คนเราส่วนใหญ่อยู่กันนั้น
    มันไม่ใช่ความสุขตามที่ทุกคนเข้าใจกันหรอก แต่ถ้าเรามีสติหรือจิตนิ่งก็จะทราบกันเป็นอย่างดี
    เพราะโลกนี้มันหนีไม่พ้นคำว่า ไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์จริงๆ ถ้าพวกเราใคร่ครวญ ไตร่ตรอง
    หรือพิจารณากันให้ดี เพราะถ้าพวกเราสติ จิตนิ่งหรือมีปัญญา พวกเราก็จะทราบกันเป็นอย่างดี
    ตราบใดถ้าเรายังตามหา ค้นหาสติ ดวงจิต(ผู้รู้)หรือปัญญา(ตัวผู้รู้) ทั้งสามอย่างนี้ของตนไม่ครบ
    เราก็ไม่มีทางรู้ความจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้อย่างแน่นอน เพราะดูแค่ผิวเผินเหมือนเราจะรู้มาก
    แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่รู้หรือรู้ไม่จริง ก็คือไม่รู้หรือไม่เข้าใจในเรื่องอริยสัจจ์ นั่นเอง
    พอไม่รู้ตามอริยสัจจ์หรือความจริงอันประเสริญของพระพุทธองค์ จิตของผู้คนส่วนใหญ่จึงหลง
    จึงเข้าไปยึดถือหรือถือเอากับสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งปวงไปเรียบร้อยแล้ว โดยมิรู้ตัวกันเลยทีเดียว
    ต่อให้บอกหรือเตือนกันก็จะไม่มีทางรู้เรื่อง เหมือนเราอยู่คนละมิติ อยู่คนละภพภูมิอย่างนั้นเลย
    มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยเฉพาะผู้คนที่ยังไม่ปฎิบัติธรรม หรือปฎิบัติ แต่ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม
    ก็เลยหลงทางกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะคำว่า อวิชชา เท่านั้นเอง

    สำหรับผู้ปฎิบัติ หรือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างต่ำ ก็จะทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว
    แต่อย่าไปหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ขอให้ปฎิบัติต่อไป ตราบสิ้นอายุขัยของตน เพราะตราบใด
    เรายังมีขันธ์ ๕ ก็ยังมีสิทธิ์ไปสร้างกรรมต่อไป ว่าแต่ว่า เราจะไปสร้างกรรมอะไร ดีหรือชั่ว
    บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล หรือบำเพ็ญเพียรบารมีของตนเองต่อไป ก็สุดแต่เราแล้ว

    อย่าลืมนะ! สำหรับผู้ที่เอาดีในทางมรรคผล หรือบุญใหญ่คือบุญที่ได้จากพระกรรมฐาน
    หรือการเจริญสติภาวนาหรือการปฎิบัติธรรมนั้น ขอให้นึกถึงศีลของตนเองก่อนลงมือปฎิบัติ
    เพราะศีลเป็นเสมือนรากฐานของโครงสร้างสำคัญ แต่ถ้าเราแน่ใจ มั่นใจเรื่องศีลตนเองแล้ว
    สำหรับเรื่องนั้น ขอให้เน้นคำว่าเจตนาก่อน ต่อไปจึงเป็นภาคปฎิบัติ ก็คือการทำภาวนา
    การภาวนา แบ่งเป็น 2 ประเภท คือสมถะและวิปัสสนา ส่วนสำคัญสำหรับในภาคปฎิบัตินั้น
    ก็คือ สติ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติไม่คอยหมั่่นเจริญหรือสร้างสติของตนอยู่บ่อยๆ ต่อไป คำว่าสมาธิ
    หรือปัญญาก็จะไม่มี ไม่เกิดกับเราอย่างแน่นอน สติในภาคปฎิบัติธรรม สติถือว่าสำคัญมาก
    สำคัญที่สุด เพราะสติเป็นเสมือนบันไดขั้นแรกและขั้นต่อๆไป จิตของผู้ปฎิบัติจะเป็นสมาธิ
    จิตเป็นปัญญาได้ ผู้ปฎิบัติจะต้องคอยหมั่นเจริญหรือสร้างสติบ่อยๆและทำให้ต่อเนื่องด้วย
    เมื่อเราทำอย่างต่อเนื่องแล้ว จากสติธรรมดาๆก็จะเป็นสติสัมปชัญญะ หรือมาหาสติกันได้
    เมื่อสติเป็นสัมปชัญญะต่อเนื่อง หรือมหาสติกันแล้ว จิตเราย่อมเป็นมหาสมาธิ มหาปัญญา
    และในที่สุด จิตผู้นั้นก็อาจจะถึงปัญญาญาณหรือญาณใด ญาณหนึ่ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
    อย่างแน่นอน เพราะการปฎิบัติธรรมนั้น จำเป็นต้องนำจิตมาเดินตามรอยอริยมรรค เท่านั้น
    หรือตามที่ทุกคนเข้าใจกัน ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นทางสายเอกหรือสายกลางเท่านั้น
    ที่จะนำจิตของผู้ปฎิบัติไปให้ถึงมรรคผลหรือนิพพานได้ ทางอื่นเราอย่าได้หลงเดินเด็ดขาด!
    เพราะไม่ใช่หนทางแห่งความสุขที่แท้จริง เป็นหนทางแห่งความหลง ไม่ใช่ทางออกจากทุกข์
    ไม่ใช่หนทางหลุดพ้น หรือไม่ใช่ทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดของเรา

    ผู้จริญทั้งหลาย ได้โปรดปฎิบัติไปตามกำลังใจแห่งตนกันด้วยเถิด
    สำหรับผู้ที่มีกำลังใจน้อย ก็ให้ทำบุญทำทานบ่อยๆ แต่ถ้าสำหรับผู้ที่มีกำลังใจมากกว่านี้หน่อย
    หรืออยากออกจากทุกข์ ก็ให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ พร้อมฟังเทศน์ฟังธรรม
    เดี๋ยวพอเรามีกำลังมากพอที่อยากจะปฎิบัติของเขาเอง แต่ถ้าใครอยากจะสวดมนต์ไหว้พระ
    อยากฟังเทศน์ฟังธรรม นั่นก็แสดงว่า กำลังใจของเรามากขึ้นแล้ว ขอให้ท่านจงภูมิใจว่าเรานั้น
    มีบุญหรือบารมีมากขึ้นแล้ว อีกไม่นานนักเดี๋ยวเราก็อยากปฎิบัติธรรม

    สำหรับผู้ที่มีกำลังใจพอที่อยากปฎิบัติหรือกำลังปฎิบัติธรรมก็จะมีบททดสอบกำลังใจไปเรื่อยๆ
    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องมีความศรัทธาและมีความเพียรมากตามไปด้วย
    ถ้ามีความศรัทธาอย่างเดียว แต่ไม่มีความเพียรก็ไปไม่รอด เดี๋ยวก็ถ้อแท้และล้มเลิกในที่สุด
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติมีความศรัทธามาก แต่มีความเพียรน้อยเกินไป ก็ปฎิบัติไม่ถึงไหน หรือ
    ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร เป็นคนหูเบา เชื่อคนง่าย งมงาย เพราะไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง
    หรือผู้ปฎิบัติพอจิตเริ่มเข้าละเอียด(จิตในจิต)หรือจิตเป็นสมาธิมาก(ฌาน) แต่ถ้าสติหรือ
    มีปัญญาแต่ไม่มากพอ ก็มักหลงนิมิต หลงอภิญญา จิตไปติดสุขจากฌานกันอีก เพราะฉะนั้น
    ผู้ปฎิบัติพึงระวังให้ดี เพราะทุกด่านในการเดินมรรคจะมีบททดสอบจิตของผู้ปฎิบัติไปเรื่อยๆ
    จนกว่าผู้ปฎิบัติจะมีปัญญาเป็นของตนเองนั่นแหล่ะ จึงจะรู้ จึงจะเห็น จึงจะออกจากความหลง
    คือจิตไม่ไปยึดนิมิตหรืออภิญญา จิตจึงจะหลุดพ้นหรือออกจากอาการที่จิตไปติดสุขจากฌาน

    เมื่อผู้ปฎิบัติออกจากดงป่าพงหรือออกจากความหลง งมงาย ไม่ติดสุขจากฌาน ไม่หลงไปยึด
    คำว่า นิมิตหรืออภิญญาต่างๆแล้ว จึงจะมีกำลังใจมากที่อยากจะออกจากการเวียนว่ายตายเกิด
    หรือไปพระนิพพาน เมื่อมาถึงขั้นนี้เราจึงจะสามารถละขันธ์ ๕ ได้เด็ดขาด หรือแยกกายแยกจิต
    ได้ชัดเจน หรือผู้ปฎิบัติเริ่มมองเห็นคราบมนุษย์มนุษย์ตนเองแล้ว แต่จะออกกันได้เมื่อไหร่นั้น
    ขอตอบว่าขึ้นอยู่กับตัวเรา ทุกวันเวลา สติกับจิตมันไปอยู่ด้วยกันไหม ไปอยู่ด้านใดมากกว่ากัน
    ระหว่างโลกมายากับโลกแห่งความเป็นจริง มีสติสัมปชัญญะต่อเนื่องกันไหม แต่ถ้าตอบว่าไม่
    นั่นก็แสดงว่า จิตเจริญสมาธิ(ฌาน)ไม่ต่อเนื่อง และผลที่ได้ก็คือ เจริญปัญญาไม่ต่อเนื่อง อย่าลืม!
    เราจะรู้ จะเห็นหรือจะละปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่างได้จิตจะต้องมีปัญญาในระดับใด ระดับหนึ่ง
    ตรงนี้เราจะต้องอาศัยความสังเกต ความเอาใจใส่เอง คอยมีสติสัมปชัญญะต่อเนื่องมากที่สุด
    เท่าที่จะทำได้ ขอให้สังเกตที่จิตเราสำรวมบ่อยไหม สนใจแต่เรื่องสติกับจิตตนเองเพียงอย่างเดียว
    อย่าลืมว่าเราผ่านอะไรมาแล้ว ละอะไรไปแล้วบ้างแล้ว เช่น ละรูป(ร่างกาย) ละนาม(เวทนาขันธ์
    สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) ละทุกข์ได้(บ้าง)แล้ว ละสุขจากฌาน ละนิมิตหรืออภิญญา
    และไม่กลับไปสนใจ หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนสามารถละหรือผ่านกันมาได้แล้ว อย่าลืม!
    ผู้ทำหน้าที่ละปล่อยวางกับสิ่งต่างๆ ทั้งรูปและนาม ผู้ที่จะบอกกับเราว่าสุขหรือทุกข์ ผู้ที่ไปนรก
    สวรรค์ พรหมหรือพระนิพพานได้นั้น ก็คือ จิตของเราเอง เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปหลงทาง
    อย่าไปสนใจ อย่าไปให้ความสำคัญ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องอื่น ที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง
    เพราะที่เหลือ มิใช่ของแท้ หาแก่นสารมิได้เลย ผู้เจริญทั้งหลายจงใช้สติปัญญาของตนเท่าที่มี
    พิจารณา ไตรตรองกันให้ดีด้วยเถิดฯ เมื่อเรารู้แล้ว เห็นแล้ว ชอบแล้ว สุดท้ายย่อมทำให้แจ้ง เห็นแจ้ง
    หรือทำให้จิตเราเป็นผู้ละ-ปล่อย-วางกับสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวงกันได้จริงๆ
    มิใช่แค่รู้ และปากพร่ำว่าเราละ เราปล่อย เราวางทั้งรูปทั้งนามหรือทุกสิ่งได้แล้วๆๆ

    ขอให้ไปถามที่จิตใจของเราให้แน่ๆ ว่าใจของเรานั้นมันละปล่อยวางได้จริงๆ หรือ?

    (เรายังไม่ทันตายเลย หลอกตนเองซะแร๊ะ)

    ปล.สำหรับผู้ที่สอบตกบททดสอบจิตบ่อย ขอให้มองเป็นเรื่องธรรมดา
    เพราะผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ก็มักสอบตกด้วยกันทั้งนั้น แต่สอบผ่านนี่สิ! น่าประหลาดยิ่งนักฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...