เกี่ยวกับเรื่องภพภูมิ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย kaew198701, 26 มีนาคม 2013.

  1. kaew198701

    kaew198701 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +27
    พอดีได้มีโอกาสอ่านหนังสือของพระพุทธธาสภิกขุ ท่านได้พูดถึงโลกว่ามี โลตระ และโลกุตตระ ที่ซ้อนกันอยู่แต่กายหยาบของเราไม่สามารถมองเห็นได้ ต้องใช้จิตที่ฝึกมาเป็นอย่างดีแล้วถึงจะสามารถมองเห็นได้

    แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือ "โลกุตตระ" เป็นภพภูมิที่มีทั้งเทวดาและผีเดินไปเดินมารวมกันเลยหรือเปล่า? แล้วถ้าฝึกจิตจนถึงขั้นมองเห็นได้จะสามารถมองเห็นได้ทั้ง เทวาดาและผีพร้อมๆ กันเลยหรือเปล่า?
     
  2. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    การฝึกจิตถึงขั้นนั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะเรื่มฝึก คนที่ทำได้ต้องมีบารมีฝึกฝนมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วเวียนว่ายตายเกิดมาในยุคปัจจุบัน และมีญาณฌาณสมาบัติติดตัวมา เป็นอริยทรัพย์

    การเรียนจบและได้รับปริญญาเอกทุกสาขาในโลกนี้ ยังเป็นเรื่องง่ายกว่า ที่จะมาเรื่้มฝึกปฏิบัติแล้วให้ได้ญาณฌาณสมาบัติ

    การที่จะฝึกปฏิบัติให้ได้นั้น เมื่อชาติก่อนบุคคลเหล่านั้นจะต้องเคยบวชเป็นสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง โดยนับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม มาก่อน ภิกษุเหล่านั้นเิกิดมาเพื่อเป็นบริวารสาวก เป็นพุทธพยาน ของพระพุทธเจ้า ในการประกาศเผยแพร่พระุพุทธศาสนา

    ในทุกยุค ทุกสมัย การที่สาวกจะไปสั่งสอนเทศนาพูดปากเปล่าให้ใคร ๆ เชื่อนับถือ เป็นเรื่องยาก ถ้าหากว่าไม่มีหลักฐานหรือประจักษ์พยาน ดังนั้นสาวกเหล่านั้นจึงต้องแสดงฤทธิ์ให้เห็นได้ ต้องมีตาทิพย์ หูทิพย์ หายตัวได้ ย่นระยะทาง หรือถึงขั้นเหาะได้

    การฝึกถึงขั้นมองเห็นได้ ทั้งเทวดา และ วิญญาณ ได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น จิตของท่านก็จะเฉย ๆ กับสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะกว่าที่ท่านจะฝึกสำเร็จถึงขั้นนี้ ท่านก็ต้องผ่านประสบการณ์เรื่องโลกของเทพและวิญญาณ แบบนี้จนเฉย ๆ ไปแล้ว คือกล่าวได้ว่าท่านได้ก้าวข้ามจุด ๆ นี้ไปแล้ว

    การที่ท่านยังไม่รู้ ท่านก็เลยอยากรู้ เรื่องของโลกของเทพและวิญญาณ จะปรากฏให้ท่านเห็นในขั้นตอนของการปฏิบัติ เมื่อท่านปฏิบัติถึงขั้นนั้นแล้ว ยังมีเรื่องที่ท่านอยากรู้เ้หนือกว่าเีรื่องแบบนี้อีกมากมาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  3. kaew198701

    kaew198701 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ มีสาระมากๆ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตามที่คุณ chaokhun ว่านั่นหละครับ..
     
  5. schiller

    schiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +265
    เป็นความเห็นที่ถูกใจมาก ท้าได้ถึงขั้นนั้นก็คงไม่อยากเห็นอะไรแล้วละ
     
  6. Than_2012

    Than_2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    462
    ค่าพลัง:
    +1,027
    ผมเคยเห็นครั้งหนึ่ง โดยอาจารย์พาไปแล้วอยู่ในความควบคุมของอาจารย์เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าอะไร ยังไง มันทับหรือซ้อนกันอยู่ ทุกอย่างคล้ายๆ กัน มีเนินดิน มีคลองน้ำ คล้ายๆ นะครับ แต่ไม่ทุกอย่าง เช่น ต้นไม้ หรือ บ้านเรือน หรือว่ายังไง รบกวนอาจารย์ nopphakan ช่วยแนะนำบ้างก็ดี อาจจะอธิบายให้ฟังได้ดี นับถือจริงๆ นะครับ
     
  7. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701

    นั่นเป็นเพียง นิมิตร เท่านั้น
     
  8. RaDii

    RaDii เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +142
    พอทำสมาธิ หลับตาลง ก็ไม่เห็นจะเคยพบ เคยเห็นอะไรกะใครเขาสะที ^_^

    (ไม่ได้อยากจะเห็นหรอกนะค่ะ) ​
    -------------------------------------------------------------
    คิดว่า ถ้าเราฝึกได้ละเอียด ถึงขั้นไหน ชั้นไหน ภพไหน

    ก็คงเห็นสิ่งที่มีอยู่ในชั้นนั้น ภพนั้นละค่ะ

    ตัวเองทุกวันนี้ คิดว่ายังฝึกได้ไม่ดีเลยค่ะ แม้แต่ในภพเดียวกัน ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย

    ^___^''
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อืมๆ.แหมๆ..ลูกหลานท้าวเวสฯ.เรียกซะหรูเลย..เรียกลูกพี่นะดีแล้วก๊าบบ.
    ส่วนตัวออกแนวสายบันเทิง.โว๊กเว๊กไปวันๆ.เรียกอาจารย์..อายเค้า.ฮ่าๆๆ.


    เห็น จขกท. ตั้งคำถามเรื่องภพภูมิ.และโยงไปเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง
    โลกุตระ.เห็นจะต้องอารัมภบท.เพียงแต่เล่าให้ฟังซักหน่อยก่อนเพื่อ
    ปรับความเข้าใจในเบื้องต้นให้เป็นไปในทางเดียวกัน.
    จะเรียกว่าโม้ให้ฟังก็ได้นะฮ่าๆๆ.ก็โม้จริงๆนั่นหละ..


    เพราะมองว่าเป็นปกติธรรมดา.ไม่ต้องซีเรียส.แม้ว่าเราจะรับรู้กันทุกคนว่า.
    ไม่ใช่ทางจริงๆ..จากตำรับ.ตำรา.หรือตามคำสอนที่เราได้ยินมา.
    ยังไงปลายทางของทุกคน.หรือทุกรูปทุกนาม.ไม่ว่าตอนนี้จะเชื้อชาติใด.
    นับถือศาสนาใด.จะอยู่ในภพภูมิใด จะเป็นทาง พุทธ ทางจีน ทางแขก
    ทางฝรั่งหรือแม้กระทั่งต่างดาว.มีของเค้าอยู่ก่อนแล้ว
    .แต่สุดท้ายปลายทางก็เหมือนๆกัน.


    จุดนี้เราค่อยๆว่ากันไป.ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปเน้นว่าจะต้องมีหรือว่าไม่มี.แต่การที่เราจะไปรับรู้
    หรือสัมผัสได้นั้น.หรือเราไม่รู้ไม่สัมผัสเลย..ไม่ใช่ประเด็นหลัก..
    ส่วนจะรู้ได้อย่างไรหรือสัมผัสอย่างไร.เด่วค่อยว่ากันภายหลัง


    และเป็นธรรมาดาที่ระหว่างที่เรากำลังเดินทาง.ย่อมมีโอกาสไปพบ.ไปเห็น
    ไปสัมผัส.รับรู้แตกต่างกันไป.ขึ้นว่าเราจะใช้ตามอง.หรือเราจะมองเห็นด้วยใจ..
    และจะด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่..นั้นก็ไม่ใช่สาระยิ่งใหญ่อะไร.

    .
    เพราะการเดินทางสายนี้หรือโลกุตระเป็นเส้นทางการเดินทางเพื่อให้
    อยู่เหนือโลก.ให้พ้นจากโลก.ปลายทางก็เพื่อพบกับความสุข.
    ที่แท้จริงเพื่อไม่ให้ไปติดอยู่กับภพภูมิอื่นๆ.จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกนั่นต่างหากคือ การอยู่เหนือโลกอย่างที่พูด


    ที่นี้ประเด็นความสงสัย.ของเราคือส่วนของภพภูมิ.ส่วนของมิติที่พ้นโลก
    แต่ยังอยู่ระหว่างทางยังไม่ถึงปลายทาง.เราสงสัยว่า.
    .การพ้นโลกพ้นแล้วไปอยู่ตรงไหน..พ้นแล้วลงไปอยู่ใต้โลก.
    .หรือ.พ้นขึ้นไปอยู่ทับซ้อนกับโลกหน่อยเดียว...
    หรือว่าอยู่สูงกว่าโลกมากๆ..หรือว่าอยู่รวมในที่เดียวกัน..เหล่านี้ต่างหาก.
    ..ที่เราค้างคาใจจริงๆ.และก็สงสัยได้เป็นปกติ ว่า.เค้าเห็นกันไหม..อยู่ร่วมกันไหม..มีการ
    แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา.แบ่งเขตแบ่งพรรคแบ่งพวกกันไหม.
    และการที่จะรับรู้ได้มากน้อยแค่ไหนหรือไม่รับรู้เลย.นั่นใช่ประเด็นหลักอะไรไหมหรือว่าจะเป็นประเด็นสำคัญอะไรไหม?.


    ประเด็นคือ..ผู้เป็นเลิศทั้งสามภพท่านได้ให้แผนที่และข้อปฏิบัติจากคำสอนของท่าน.เอาไว้สำหรับทุกรูปทุกนามสำหรับการเดินทาง..แต่ท่านก็ไม่ได้บังคับ. ..
    และท่านได้วางแนวทางสำหรับการเดินทางให้แล้ว..สรุป รวมความได้..ว่า "ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา.."จากการที่ท่านได้ค้นพบ.และท่านกล่าว
    ว่า"เราเป็นเพียงแต่ผู้บอกทาง.ส่วนเส้นทางเธอจักพึงเลือกเดินเอง"
    สำนวนการกล่าววาจาอย่างนี้.ใครที่พอสัมผัสกับ.ระดับนี้ได้จะทราบเองว่าเป็น
    .เอกลัษณ์ของผู้เป็นเลิศทั้งสามภพพระองค์ใด..


    .ส่วนระหว่างการเดินทางนั้น.ใครจะใช้พาหนะอะไร.(ภาคแรก)

    ๑.จะเดินไปคนเดียว
    หรือชวนเพื่อนร่วมทางเดินไปด้วยหรือไปหาเพื่อนร่วมทางเอาข้างหน้า
    หรือจะเปลี่ยนเพื่อนร่วมเดินระหว่างทางก็ไม่ได้บังคับ


    ๒.จะขับรถจักรยานยนต์ไปคนเดียวหรือจะหาคนซ้อนท้ายรู้ใจไปเป็นเพื่อน
    หรือขับไปแล้วค่อยไปแวะรับใครก็ไม่ได้ว่า.


    ๓.จะขับรถยนต์ส่วนบุคคลไปคนเดียวหรือชวนใครนั่ง
    ไปด้วยหรือค่อยไปแวะไปรับ.หรือใครอยากลงหรือไปปล่อยใครลงระหว่างทางก็ไม่ได้ว่า...


    เด่วจบตอนนี้ไว้ก่อน..ไปต่อตอนต่อไป..
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040

    .ส่วนระหว่างการเดินทางนั้น.ใครจะใช้พาหนะอะไร ภาคต่อ.

    หรือ ๔.ใครมีกำลังทรัพย์มากหน่อย
    จะไปแบบรถบัสที่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางร่วมด้วยก็ไม่ได้บังคับ...


    .หรือ ๕.ใครมีกำลังทรัพย์และใจดีด้วยเลยทำเป็นรถสาธารณะ
    ที่จะคอยรับทุกคน.โดยไม่เลือกไม่แยกเเยะ
    ว่าใครจะมีทรัพย์น้อยทรัพย์น้อยทรัยพ์มาก.ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ
    ศาสนา.ไม่แบ่งแยกชนชั้นและฐานะก็ว่ากันไป..


    ๖..บางคนก็คอยเรียกคนอื่นๆให้ขึ้นรถไปก่อน.รอจนกระทั่ง
    คนขึ้นรถไปหมดแล้วตัวเองค่อยไป.ก็ว่ากันไป.


    ๗.ใครที่ชอบคิดชอบวางแผนจะต้องเรียนรู้ว่า.พาหนะที่ใช้เดินทาง
    ทำอย่างไรประกอบด้วยอะไรบ้าง.ก่อนที่จะเดินทางก็ว่ากันไป
    .และ
    ๘.ใครที่ยังไม่เริ่มเดินทาง หรือกำลังหาเส้นทางอยู่.หรือยืนมองคนกำลังเดินทางอยู่.
    หรือคอยแกล้งคอยขวางคนที่กำลังเดินทางอยู่.
    .หรือเดินเทางไปแล้วอาจหลงออกนอกเส้นทางไปบ้าง.
    .หรือ.อยากจะพักหรือมีเหตุให้ลงระหว่างทางก็ว่ากันไป.
    ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่เหตุและปัจจัย.


    ทีนี้ระหว่างการเดินทางนั้น.จากวิธีการที่แตกต่างกันออกไป.
    ตามเหตุและปัจจัย.ที่ได้กล่าวมาแล้วล่วงหน้าในหลายๆข้อนั้น..
    .พอมาถึงช่วงหนึ่งเป็นจุดพักพาหนะ..เป็นจุดพักระหว่างทาง.ซึ่งไม่ว่า
    จะเดินทางอย่างไรมาก่อนก็ต้องมีโอกาศมาแวะพัก ณ จุดนี้และช่วงที่กำลังพักนั้น.
    .

    ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาพูด.มาคุย.มาพบปะสังสรรค์
    แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ้าง.
    เราอย่าลืมว่าแต่ละคนได้เลือกวิธีการเดินทางของตนไว้เริ่มแรกแล้ว
    .ซึ่งบางคนพอได้พูด.ได้คุยกัน.
    ก็อาจเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางได้หากเห็นว่าเป็นวิธีการที่ดีกว่าหรือไปได้เร็วกว่า.
    และก็มีความพร้อมในเรื่องการเปลี่ยนวิธีการเดินทาง..นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา


    .และก็เป็นธรรมดาที่แต่ละนักเดินทางก็ย่อมพูด.แต่สิ่งที่สายตาตนมองเห็น
    เพราะเชื่อมั่นในวิธีการเดินทางที่ตนเองเลือกไว้แต่แรก..จึงเป็นเหตุให้.
    มีการโต้แย้ง.ถกเถียงกันบ้างเล็กน้อย.ถ้าสิ่งที่พูด.
    เห็นด้วยกันทั้งสองฝ่ายในขณะเดินทาง..ก็จะคุยกันรู้เรื่อง.

    หรือสิ่งที่พูดนั่นอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นมาบ้างแต่เห็นไม่ละเอียด
    หรือเห็นแล้วแต่ก็ลืมๆไปบ้างหรือคุ้นๆอยู่ และยอม
    รับฟังอีกฝ่ายที่กำลังพูดในรายละเอียดย่อยให้ฟัง.ทำให้พอนึกๆได้.ก็ไม่
    มีปัญหาอะไรกัน..

    แต่ถ้าเห็นแค่ฝ่ายเดียวไปพยายามพูดอย่างไร ให้อีกฝ่ายยอมรับหรือพูดให้รู้เรื่องอย่างไรก็เป็นไปได้ยาก.
    .เพราะอีกฝ่ายยังไม่เห็น ที่ไม่เห็น อาจเป็นเพราะไม่ได้
    สนใจ.ไม่ใช่ว่าไม่มี หรือว่าเห็นไม่ได้.หรือยังเข้าไม่ถึง
    วิธีการที่จะไปเห็นไปรู้เท่านั้นเอง


    แต่ถ้าอีกฝ่ายซึ่งไปเห็น.ไปพัก ณ จุดนั้นและรู้รายละเอียดอย่างดี
    มาเจอฝ่ายที่ไม่เคยเห็น..แต่ก็่พยายามบอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    แบบนี้ก็จะเกิดการโต้เถียงกันได้..


    ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายที่เห็นจะอุเบกขาหรือไม่
    หรือฝ่ายที่ไม่เห็นจริง.จะยอมรับไหมว่าตนไม่เห็น.
    แล้วฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายเห็น..และก็ยังขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนเห็นจริงและไม่จริง.
    ซึ่งเราจะอ้างอิงจากอะไรได้ว่าสิ่งที่พูดมีจริง.ก็จากบันทึกการเดินทาง
    ที่ผู้ที่ไปถึงปลายทางได้เขียนไว้แล้วมาเป็นข้อสรุป..
    ที่สำคัญจะยอมรับกันได้ไหม...


    ทั้งๆเรื่องที่พูดๆกัน.ในระหว่างเดินทาง เกี่ยวกับการเห็นสิ่งต่างๆ หรือการมีอยู่ของสิ่งต่างๆนั้น..ว่ามีไหมหรือไม่มี..
    จะเห็นไหมหรือไม่เห็น.ในระหว่างการเดินทางนั้น.
    ก็เป็นการมาถกเถียงกัน.ในขณะที่ยังไม่มีใครไปถึงปลายทางทั้งนั้น..
    ทั้งๆที่มี.ผู้ที่ไปถึงปลายทางได้เขียนไว้แล้ว.ได้แนะนำวิธีการที่จะไปถึงปลายทางไว้แล้ว.ก็คือ
    เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับนัก
    เดินทางจะต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองก่อนว่า..


    จำเป็นไหม.จะต้องไปเห็น.ไปรู้ ไปดู ไปเข้าใจว่าสิ่งนั้น มีไหมหรือว่า
    สิ่งนั้นเป็นอะไร.จำเป็นต้องไปเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง..ในระหว่างที่เดินทาง
    ก่อนที่จะถึงปลายทางหรือไม่.หรือจะรู้หรือเห็นแค่ไหน.เท่านี้เองเป็นประเด็นที่ นักเดินทางจะต้อง
    ตัดสินใจด้วยตัวเอง
    .แม้กระทั้งประเด็นว่าจำเป็นไหมเกี่ยวกับการ
    รับรู้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในระหว่างทาง

    .ผู้ที่ไปถึงปลายทางก่อนแล้วท่านไม่ได้บังคับนักเดินทางท่านใด.
    ท่านก็เพียงแต่ชี้เส้นทางที่จะไปถึงปลายทางให้นักเดินทางเท่านั้นเอง...
    ประเด็นนี้ต่างหากสำคัญกว่าการที่จะต้องไปรู้ ไปเห็น
    หรือต้องมาถกเถียงกันไปให้วุ่นวาย..

    .แต่ถ้าอยากรู้อยากเห็นต้องขึ้นอยู่กับว่า.
    ท่านยอมรับในสิ่งที่..คนที่รู้ ที่เห็นมาก่อน..และมาถ่ายทอด..มาพูด
    ให้ท่านฟังได้มากน้อยเพียงใด หรือว่าท่านจะพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
    นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งครับ.
    .

    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง​
     
  11. Than_2012

    Than_2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    462
    ค่าพลัง:
    +1,027
    เข้าใจแล้วครับ
    ผมไม่ได้อวดอ้างประการใดนะครับ ตอนที่ทำนั้น เปลี่ยนคำภาวนาเป็นอย่างอื่น
    ไม่ไช่ พุทโธ หรือ หนอ ซึ่งตอนนั้นหลายคนก็อยากเห็น อยากรู้ แต่ก็ทำได้ไม่กี่คน
    และต้องไปในที่ที่มี ผมได้เดินดูพวกเขา เขาก็ยังมองดูผม ผมอธิบายไม่ได้ว่าเป็นยังไง หรืออะไร แต่ไม่ไช่ฝันหรือนิมิตรแน่ ตอนที่ภพนั้นเคลื่อนเข้ามา เป็นพรึบๆ คล้ายๆ ดับไฟทีละดวงจากหลอดที่ไกลสุดจนมาถึงตัวเรา แล้วผ่านตัวเรา วุ้ยยย อธิบายไม่ถูก
    คนที่พาผมไปนั้น ตอนนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อตอนต้นเดือนก็ไปเยี่ยมท่านด้วย

    อาจารย์ nopphakan ยอมรับข้าเป็นศิษย์ด้วย ไม่งั้นจะไม่ยอมลุกขึ้น ฮ่าาาาา
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ลุกขึ้นได้.:boo:.บอกให้เรียก.ลูกพี่:'( จะมาให้เป็น.อาจารย์ :mad:
    เรื่อง ประสบการณ์ที่เล่ามาพอเข้าใจอยู่..นอกจากสองคำนั้น.....
    ลองไปอ่านในกระทู้ข้างล่างดูเล่นๆนะ.ว่าตรงกันไหม..ว่าลองครบหรือยัง.ไว้เผื่อนึกสนุกๆ...จะลองทำดูบ้าง..คริ คริ ;)


    ความแตกต่างของคำภาวนาแบบถอดจิตและแบบยกกาย.ใน#Rep1149 #Rep 1150
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  14. poonoy

    poonoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +219
    อาจารย์ Nopphakan เก่งจริงๆๆเลยนับถือๆๆ ขอเป็นศิษย์ด้วยคนนะคะ:cool::cool:
     
  15. Than_2012

    Than_2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    462
    ค่าพลัง:
    +1,027
    แค่วันเดียว เรามีศิษย์น้องแล้ว
     
  16. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ขอสมัครด้วยคนจิ...รับรองจะพยายามไม่ดื้อ ไม่ซน จิเป็นเด็กดี อิอิ :cool:
     
  17. poonoy

    poonoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +219
    คารวะศิษย์พี่ ตอนนี้ท่านอาจารย์หายยยปายยยหนายนี่(deejai)
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อัยยะ!...คุณน้อง Than_2012 คุณน้อง poonoy คุณน้อง mukmik... มารวมแก๊งค์....

    .อนาคตเนี่ย..จะมีเพื่อนเป็นผี.ที่คอยมาทักทาย..

    มากกว่าคนเน้ออออ.:boo:.เด่วจะหาว่าไม่บอก :p 555+
    ยกเว้นคุณน้อง poonoy นะคงจะเจอยากหน่อย..:boo:
     
  19. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ได้แบบนี้ก็คงจะหนุกหนานมิใช่น้อย...แบบคุณ Than_2012 ไงคะ
    ชีวิตเรา มันราบเรียบเกินไปอ่ะ ไม่ค่อยมีสีสัน (แต่ขอเลือกแบบไปดี มาดีได้ป่าวคะ)
    แต่สงสัยนิ..ทำไมต้องยกเว้น คุณ poonoy ด้วยละคะ ที่ว่าคงเจอยากสักหน่อย ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2013
  20. Than_2012

    Than_2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    462
    ค่าพลัง:
    +1,027
    ศิษย์น้องอย่าเข้าใจผิด อาจารย์หมายถึงตัวท่านเอง เพราะดูจากสัญลักษณ์แทนตัว ภาพนี้มีความหมายที่ดี ถ้าผมเดาความหมาย อยู่ที่ กรรมฐาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...