ฉบับที่ ๔๔ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 11 ตุลาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม " กรรมฐาน ๔๐"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม: ..........................................
    ตอบ : ของหลวงพ่อท่านมีตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แล้ว คือว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่ง พวกลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาตั้งใจจะยึดประเทศไทยมานานแล้ว แต่เขาทำไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง เขาก็มีการวิจัยว่ามันเป็นเพราะอะไร ก็สรุปได้ว่า ประเทศไทยของเรานี้มันมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัติรย์ มันเหมือนไม้สามอันขัดกันอยู่พอดี ถ้าอย่างนั้นถ้าเขาโค่นอันใดอันหนึ่งได้ อีกสองอันก็จะล่มตามไป ก็ดูว่า จะปล่อยข่าวทำลายพระมหากษัตริย์ ปล่อยข่าวไปเท่าไร ๆ ก็ไม่สามารถทำลายได้ เพราะในหลวงท่านทำงานชนิดทุ่มเทให้กับชาวบ้านตลอด ถึงเชื้อพระวงศ์บางท่านก็จะทำในลักษณะเตะลูกเข้าทางตีนเขา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเคารพของคนที่มีต่อในหลวงได้ เขาก็เลยมาดูอีกทีว่า มันก็มีด้านศาสนาที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เขาก็เลยใช้วิธีว่า ให้คนของเขาปลอมเข้ามาบวช แล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่ดีให้ชาวบ้านเขาเห็นจะได้เสื่อมศรัทธา แต่ปรากฏว่ามันยิ่งกลายเป็นตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนว่า ในขณะคนของเขามาทำเลว หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงความดีอยู่ก็ยิ่งฉายชัดขึ้นมาเรื่อยว่าที่ดีจริง ๆ มันเป็นอย่างไร


    ในเมื่อเขาทำลายโดยตรงลักษณะอย่างนี้ไม่ได้ เขาก็ใช้วิธีว่า กำหนดบัญชีรายชื่อขึ้นมาว่า พระที่เป็นที่ยึดถึอของชาวบ้านมีใครบ้างที่สำคัญ ๆ ได้มา ๕๒ องค์ มันสั่งยิงทิ้งเลยครับ อันนี้หน่วยข่าวกรองของทหารมาส่งข่าวเอง เสร็จแล้วทาง บก. สูงสุดตอนนั้น พลเอกเกรียงศักดิ์ เป็นนายกอยู่ เขาเลยให้ บก.สูงสุดจัดทหารมาคอยดูแลหลวงพ่อเป็นปกติ ถ้าหากเราสังเกตว่า วัดท่าซุงสถานที่ ๆ จะพบหลวงพ่อได้ ไม่ว่าเป็นตึกรับแขก ศาลาเนาวราช หรือตึกรับแขกใหม่ก็ดี มันจะอยู่ลักษณะปราบเซียน คือว่ามันไม่มีจุดให้ซุ่มยิง เมื่อใช้ปืนยาวไม่ได้ ต้องใช้ปืนสั้น ก็ต้องเข้าใกล้หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในสุด ลูกศิษย์ข้างนอกเป็นร้อยเป็นพัน คุณคิดว่ายิงหลวงพ่อแล้วจะไปรอดไหมล่ะ ? ก็เลยกลายเป็นว่าทางทหารคอยระวังป้องกันอยู่ ขณะเดียวกัน หลวงพ่อก็ระวังตัวท่านเองด้วย ท่านไม่ประมาท หลาย ๆ ครั้งท่านจะวิทยุเข้ามา หรือโทรศัพท์เข้ามา บอก เฮ้ย...เล็กเว้ย...เขามาแล้ว บอกทหารให้เตรียมตัวด้วย มันมารถสีนั้นสีนั้นนะ ท่านบอกไว้หมดเลย เราก็คอยสังเกตไป มีจริง ๆ มันจะรถสีนั้น ๆ ติดฟิล์มกรองแสงมามืดตึ๊บเลย หลวงพ่ออยู่ในกุฏิท่านแท้ ๆ ท่านโทรบอกล่วงหน้าเป็นชั่วโมง

    ถาม : เขามาดักยิงหรือคะ ?
    ตอบ : เขามาจริง ๆ คราวนี้ของเราได้แต่ระวังอยู่ เพราะว่าวัดของเราคนเข้ามาเป็นปกติ ถ้าอยู่ ๆ ไปเรียกตรวจรถบางคัน ถ้าทหารไปเรียกตรวจนี่ คนต่อ ๆ ไปจะไม่กล้าไปวัดนะสิ ก็เลยได้แต่ระวังไว้ว่าพวกนี้มันจะทำอะไร ก็ได้แต่ระวังไว้ห่าง ๆ มันเห็นไม่มีโอกาสลงมือมันก็กลับ


    ถาม : แล้วมันเคยมีโอกาสไหมคะ ?
    ตอบ : มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ปกติแล้วหลวงพ่อท่านจะนั่งรถตู้ไปกรุงเทพ พอไปถึงกลางทาง ท่านเปลี่ยนจากรถตู้เป็นนั่งรถเก๋งแทน แล้วคราวนั้น ป้าน้อยกับป้านนทา กำลังคุยกันอยู่ แล้วปรากฏว่าต่างคนต่างเปิดหน้าต่างสองข้างพอดี เปรี้ยงเข้ามาเลย กระจกยังไม่เสียสักบานเลย ผ่านไปพอดีป้าน้อยบอกว่าไม่เคยเจอปืนอะไรแรงอย่างนี้ แค่แรงที่มันแหวกอากาศผ่านไปมันกระชากฟิล์มกรองแสงหลุดเลย น่าจะเป็นพวกไรเฟิลล่าสัตว์ มันยิงจุดที่หลวงพ่อนั่งเป๊ะเลย แล้วสองคนก็พอดีเปิดพร้อมกันคนละฝั่ง กระทั่งกระจกยังไม่เสียสักบาน แหม...เทวดาท่านดลใจให้เปิดกระจกพร้อมกันพอดี


    จริงแล้วคุย ๆ กันไปกันมา เฮ้ย...ร้อนว่ะ เปิดกระจกดีกว่า อย่าไปใช้แอร์เลยอย่างนี้ เพราะว่ารถตู้นี้ ถ้าเก่า ๆ แ ล้วแอร์ข้างหลังมันไม่ค่อยเย็น ตัวหลวงพ่อเองไปกรุงเทพนานแล้ว มันมัวแต่ตามรถตู้อยู่

    ถาม : พระที่ปฏิบัติดี เหมือนกับว่าเป็นลักษณะที่ว่าสืบทอดเชื้อสายมา มีน้อยองค์มากที่จะเก่งได้ด้วยตัวเอง ต้องมีครูบาอาจารย์ ?

    ตอบ : ไม่มีทางหรอก เก่งได้ด้วยตัวเองนี่ไม่เจอเลย อย่างน้อย ๆ ต้องมีกัลยาณมิตรที่เป็นครูบาอาจารย์ อย่างน้อยคุณต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ค้นคว้าพระไตรปิฎก อย่างสุภัททะปริพาชก เป็นปัจฉิมสาวก คือพระองค์สุดท้ายที่บวชทันพระพุทธเจ้า ได้ฟังเทศน์จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตนเป็นพระอรหันต์ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

    ท่านเข้าไปถึงท่านถามว่า ข้าแต่สมณโคดมผู้เจริญ บรรดาคณาจารย์ทั้งหกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีบางคนเป็นพระอรหันต์ มีบางคนไม่ใช่พระอรหันต์ มีบางคนเป็นผู้เข้าถึงธรรม มีบางคนเป็นผู้ไม่ใช่เข้าถึงธรรม พระองค์ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อนสุภัททะ นี่เป็นวาระสุดท้ายของตถาคต เธออย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย ฟังธรรมดีกว่า คือไม่ให้ยุ่งเลย สุภัททะปริพาชก พอฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็ขอบวช พระอานนท์บอกว่าพระพุทธเจ้าป่วยจนป่านนี้แล้ว อย่าเพิ่งบวชตอนนี้เลย แล้วอีกอย่างการบวชพระในพระพุทธศาสนาต้องถือติตถิยปริวาส คือการอยู่แบบปฏิบัติอย่างคนนอกที่เข้ามาบวช ๓ เดือนเป็นอย่างน้อย ถ้า ๓ แล้วยังทำดีไม่ได้ ให้อยู่อีก ๓ เดือน ถ้ายังเอาดีไม่ได้ ให้อยู่ ๓ เดือน รวม ๓ ครั้ง ๙ เดือน ยังเอาดีไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช ปริพาชกก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ท่านขออยู่ปริวาส ๔ ปี แต่ว่าขอบวชให้เขาก่อน พระพุทธเจ้าก็เลยบอกพระอานนท์ บอกว่าเมื่อกำลังใจเขาขนาดนี้ก็บวชให้เขาเลย ตกลงก็ญัตติกันตรงนั้นแหละ ญัตติเสร็จท่านก็เดินจงกรมไป กลายเป็นพระอรหันต์ทันพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานนิดเดียวเอง

    เขาบอกว่าบุพกรรมที่ทำให้ท่านเป็นปัจฉิมสาวก คือทันพระพุทธเจ้าเป็นคนสุดท้ายจริง ๆ เพราะว่าในอดีตชาติท่านกับพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพี่น้องกัน แบ่งนากันทำ คราวนี้พระโกณฑัญญะเริ่มไถนาท่านก็ทำบุญ เริ่มหว่านข้าว ท่านก็ทำบุญ ข้าวตั้งท้องท่านก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ ขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ

    ส่วนสุภัททะปริพาชกนี้ขี้เกียจทำอย่างนั้น แกเล่นไปทำตอนขนเข้าขึ้นยุ้งอย่างเดียว ปรากฏว่าพระโกณฑัญญะที่เริ่มตั้งแต่ไถนาก็กลายเป็นพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะผลบุญส่งให้เป็นองค์สุดท้ายของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ยังดีที่ทัน นั่นของท่านนะ ของเราเฮงซวยอยู่จนป่านนี้ยังไม่ได้อะไรเลย

    ถาม : กำลังใจที่หลวงพี่บอกว่า ให้นึกไปว่าเป็นของที่จะสละแล้ว มันหมายถึงอะไร ?
    ตอบ : ก็ตอนนั้นมันจะเหลืออะไร ถ้าหากเป็นกำลังใจพระพุทธเจ้าท่านก็ประเภทสละเลือดเนื้อ ร่างกาย สละชีวิต สละแขนขาอะไรของท่าน ง่าย ๆ ก็คือว่าพอถึงวารสุดท้ายไม่มีอะไรจะสละแล้ว แม้แต่ชีวิตนี้ก็จะสละได้ เพราะว่าถึงตายเราก็ไปนิพพาน


    ถาม : ถ้าเป็นของใช้อะไรนี้ก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ ก็คือถ้าเห็นว่ามันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยอย่างเดียวนะ เราเองใช้ตอนที่ดำรงชีวิตอยู่ ยังไง ๆ ก็ต้องพังจากกันไปข้างหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีประโยชน์แค่ตอนมันมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่รู้จะไปรักไปหวงมันทำไม ตอนเราใช้มันอยู่ รักษามันให้ดีที่สุด ถ้าหากว่าต้องจากกันก็ไม่เห็นจะต้องไปห่วงหาอาลัยอะไรกับมัน


    พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า เหมือนนกบินจากคอน ไม่มีร่องรอยอะไรให้เหลือไว้ ไปดูกิ่งไหนที่นกมันเกาะแล้วมีรอยตีนบ้าง ? ไม่มีหรอก ยกเว้นตีนมันสกปรก ไปเหยียบขี้ดินมา บางคนก็แปลกใจว่า ของอะไร ๆ ดี ๆ ที่ผมมีอยู่ เที่ยวไปถวายองค์โน้นองค์นี้ บางทีเขาเสียดายแทน คุณไม่ต้องเสียดายหรอก อันดับแรก เราถวายพระระดับนั้น ของแค่นี้มันยังไม่สมกำลังใจเสียด้วยซ้ำไป ส่วนอันดับที่สองทุกสิ่งทุกอย่างมันมีประโยชน์ตอนที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าคุณไปเผลอยึดเกาะมันก็เสร็จอีกต่างหาก ถ้ายังตัดใจสละไม่ได้ จาคานุสติยังไม่เต็มหรอก

    ถาม : อยากถามเรื่องเกี่ยวกับมาร มีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ จ้ะ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักเขาไหม เราจะเห็นเขาได้ไหม คนรอบข้างของเรา เขาสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือได้หมด ตอนแรก ๆ อาตมายังเข้าใจว่า มารนี่เป็นกำลังที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ มันมีตัวตน จริง ๆ มันพยายามจะชักนำให้เราคิดผิด ทำผิด พูดผิด อยู่เสมอ ขณะเดียวกัน คนรอบข้างเรานี่ เขาสามารถที่จะดลใจให้คน ๆ นั้น ไม่ว่าจะคิดจะพูดอะไรก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดโทสะ ให้เราเกิดราคะ ให้เราเกิดโลภะได้อยู่ตลอดเวลา


    เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปเขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ขวางของเขาไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ไม่มีใครเป็นศัตรูของใคร

    ฟังให้ดี ๆ นะ ตรงจุดนี้ เมื่อถึงวาระ เมื่อถึงเวลา โอกาสเปิดให้เขาขวางเราก็เป็นเรื่องของเขา จริง ๆ แล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสามารถก้าวข้ามที่เขาทดสอบเราได้ ตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้เขาอีก ต่าหากว่าเราก้าวข้ามไม่ได้ เราไปติดไปสะดุดหรือไปหยุดอยู่ เขาถึงได้เรียกว่า มารเป็นผู้ขวาง หรือผู้ฆ่า เพียงแต่ว่าเขาเป็นครูที่ขยันไปหน่อย ข้อสอบมันมาทุกวินาทีเลย เผลอเมื่อไรก็โดน

    ถาม : แล้วอยากถามว่า มารนี่อยู่ภพภูมิไหน ?
    ตอบ : มารนี่อยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะจัดเอาไว้ว่า เทเวนะวา มาเรนะวา พรัหมมุนาวา เพราะฉะนั้น เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา


    ถาม : มีหน้าที่คอยขวาง ?
    ตอบ : นั่นเป็นงานเขา เหมือนยังกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งานที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม

    ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?
    ตอบ : สร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเราได้ยาก ศีล ๕ ก็พอ ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาลโทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขาทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคนรักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิด ไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ทำ

    ถ้าเรามีศีลเป็นเกราะ มารจะชักนำเราได้น้อยมาก อย่างดีเขา ก็ให้เราคิดได้ บังคับให้เราพูดได้ แต่บังคับให้เราทำไม่ได้ แล้วถ้าหากว่าคำพูดที่เป็นตัวมุสาวาท คือ โกหก เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีลอยู่ เราจะไม่พูดโกหก เขาก็จะบังคับเราไม่ได้ด้วย ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง

    พอไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นคุณค่าของเขาเองว่า เขามีคุณูปการอย่างมหาศาลเอง คุณูปการนั้น คือว่าถ้าไม่มีการทดสอบจากเขา กำลังใจของเราก็จะไม่มั่นคงเร็ว จะไม่แข็งแกร่งเร็ว ดังนั้น ถึงได้บอกว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา

    เพียงแต่ว่าเราจะสามารถ ทำข้อสอบของครูคนนี้ไหวไหม พอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไป ก็เหมือนกับว่าโลกมันตีลังกากลับ ก็คือว่าสิ่งที่เราไม่เคยเห็นความดี ก็จะเห็นความดีของเขา ทุกอย่างรอบข้างของเราเป็นครูเราหมด คนทำให้เราโกรธก็เป็นครูที่ดีของเรา เพราะทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้วอารมณ์ใจของเรา มันยังห่วยแตกใช้ไม่ได้ คนที่ทำให้เราเกิดโลภ ก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังใช้ไม่ได้ ยังต้องระมัดระวังมากกว่านี้

    ถาม : .................(ถามเรื่องนิมิต).............
    ตอบ : ก็ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ ตอนนั้นต้องกำหนดใจถามว่ามันคืออะไร ไม่ใช่มาถามคนอื่น ...เจอเองไม่รู้จักถามแล้วไปถามคนอื่น กินเองแล้วไปถามเขาว่ารสชาติเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็โดนเขกกะโหลกหรอก คราวหลังสงสัยอะไรให้กำหนดใจถามตอนนั้นเลยจ้ะ คราวหน้าฉลาดบ้างนะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ................(อานิสงส์การทำบุญ)............
    ตอบ : บางคนเขาไม่เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างไร การส่งผลของบุญหรือบาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กรรมวิบาก คือ กรรมเป็นที่กุศลคือ ส่วนที่เป็นบุญ กรรมที่เป็นอกุศลคือส่วนที่เป็นบาป ท่านบอกว่ามันพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจได้ ใครคิดพึงมีส่วนของควาเมป็นบ้า เสียเวลาคิด ได้ก็คือได้ เป็นก็คือเป็น หมดเรื่อง ถ้ามัวแต่ไปคิดว่าทำไม เขาถึงได้มีเยอะขนาดนั้น เอาแค่ใครล่ะ


    ... อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซื้อสวนจากเจ้าเชตกุมาร เจ้าเชตบอกว่าขายให้ก็ได้ เอาเงินมาถมให้เต็มสวนซิ พื้นที่มันไม่เรียบ เป็นป่า เรียกว่าอุทยาน เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน แล้วจะขายให้ อนาถบิณฑิกเศรษฐี สั่งให้เปิดคลังเลย มาถึงก็เทเลย ให้คนงานเกลี่ยไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปากประตู เจ้าเชตคงประเภทที่ว่า แค่นี้ก็เหลือเฟือที่จะรับแล้ว ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้ขอว่าร่วมบุญด้วยก็แล้ว กัน เงินที่เหลือที่จะถมที่ตรงหน้าประตูเป็นจำนวนเท่าไร ขอร่วมสร้างวัดด้วย อนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านก็สุดยอดเลยจริง ๆ เขาสละทรัพย์แค่นั้นะ แต่ว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งให้ชื่อว่า วัดเชตวัน ป่าของเจ้าเชต เชตะ คือเจ้าเชต วันนะคือป่า กลายเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าอยู่จำพรรษามากที่สุด คือ พรรษาที่ ๒๑ ถึง พรรษาที่ ๔๔ พระพุทธเจ้าประจำอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร เดินทางอยู่ระหว่างสองเมือง คือ เมืองสาวัตถี กับเมืองสาเกต เมืองสาวัตถีกับเมืองสาเกตเป็นเมืองแฝด เหมือนเชียงใหม่กับลำพูน หรือไม่ก็กรุงเทพกับธนบุรีอย่างนี้

    คือว่า ตอนพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเห็นว่าแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารนี้มีเศรษฐีเยอะมาก เศรษฐกิจทั้งหมดอยู่ในมือของเศรษฐีเขา เพราะว่าเศรษฐีสมัยก่อนได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาด้วย จะมีการมอบฉัตรให้ยศด้วย ถึงจะเรียกว่าเศรษฐี ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาถึงจะเรียกว่าเศรษฐีได้ ผู้ใดจะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีทรัพย์อย่างน้อย ๘๐ โกฏิ หลวงพ่อท่านบอกว่าประมาณ ๘,๐๐๐ ล้าน แต่ว่าตามบาลีเขาเทียบว่า ๑๐ ล้านเป็น ๑ โกฏิ เพราะฉะนั้น ๘๐ โกฏิต้องมีอย่างน้อย ๘๐๐ ล้านขึ้นไปถึงจะเรียกว่าเป็นเศรษฐีได้

    พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเป็นพี่เมียของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะว่าพระนางโกศลเทวี เป็น้องสาวของพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปแต่งกับพระเจ้าพิมพิสาร แคว้นมคธโน้น ท่านก็เลยทำราชสาส์นถึงพี่เขย ขอตระกูลเศรษฐีมาช่วยงานในแคว้นโกศลบ้าง

    ตอนนั้นแคว้นโกศลก็เป็นประเทศใหญ่ประเทศหนึ่ง แคว้นมคธก็เป็นประเทศใหญ่ประเทศหนึ่ง แล้วยังมีแคว้นอื่น ๆ อีก ๑๔ แคว้นด้วยกัน รวมแล้ว ๑๖ แคว้น ต่างคนต่างเป็นประเทศ ต่างคนต่างเป็นราชามีพระมหากษัตริย์ปกครองอยู่ แคว้นใหญ่เรียกมหาราชา แคว้นเล็กเรียกราชาบ้าง กษัตริย์บ้าง อย่างของแคว้นวัชชี เขาก็เรียกมัลละกษัตริย์ ถ้าหากว่าของพระเจ้าปเสนทิโกศลเขาเรียกว่า มหาราชา เพราะว่าเป็นแคว้นใหญ่ พลเมืองเยอะ พื้นที่กว้าง

    ทางด้านพระเจ้าพิมพิสารก็ส่งธนัญชัยเศรษฐีที่เป็นพ่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาไป ส่งให้ไปอยู่แคว้นโกศล ธนัญชัยเศรษฐีพาบริวารไปไม่มากหรอก ๒๐๐,๐๐๐ คน ลูกน้องแก พอพาไปถึง ก่อนเข้าเขตเมืองสาวัตถี มันมีป่าใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็ถามว่าตรงนี้เป็นสมบัติของใคร ? พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่ายังไม่มีใครจับจอง ยังเป็นสมบัติของท่านอยู่ ธนัญชัยเศรษฐีก็เลยบอกขอที่ตรงนี้ เพราะบริวารของท่านมาก เข้าไปในเมืองแล้ว ก็จะไปสร้างความลำบากให้กับผู้อื่นเขา ต้องไปแบ่งที่แบ่งทางคนอื่นเขา ท่านเองก็ทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสร้างเป็นเมืองสาเกตขึ้นมา ก็กลายเป็นว่าเมืองสาเกตกับเมืองสาวัตถีเป็นเมืองแฝดติดกันอยู่

    พระพุทธเจ้าท่านก็จะเสด็จอยู่ระหว่างบุพพาราม คือวัดที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างกับ เชตวันมหาวิหารที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินไปถมที่ ๑๘ โกฏิ ก็ตีเสียว่า ๑,๘๐๐ ล้าน สมัยนี้ก็แล้วกันนะ แล้วก็จัดสร้างวัดเชตวันมหาวิหาร หมดไปอีก ๑๘ โกฏิ หมดไปอีก ๑,๘๐๐ ล้าน แล้วจัดงานฉลองเสีย ๓ เดือน หมดไปอีก ๑๘ โกฏิ ชื่นใจมาก รวม ๆ แล้วหมดไป ๕๔ โกฏิ วัดเดียว กลายเป็นวัดที่คุ้มค่ามากที่สุดในพระศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าอยู่จำพรรษาตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑ – ๔๔ จะเดินทางอยู่ระหว่างสองเมือง ก็คือว่า ถ้าตอนเช้าบิณฑบาตแล้ว ออกประตูเมืองทิศเหนือ ก็กลายว่าจะไปเชตวันมหาวิหาร ถ้าบิณฑบาตแล้วออกประตูเมืองทิศตะวันออก ก็จะไปวัดบุพพาราม ก็เดินกันไปเดินกันมาอยู่แค่นี้ ชาวบ้านเห็นพระพุทธเจ้าออกทางด้านไหน ก็ถือดอกไม้ธูปเทียนแห่ตามกันไปฟังเทศน์ที่นั่น เป็นเมืองแฝดเหมือนกรุงเทพ-ธนบุรี แค่นั้น

    คราวนี้ที่ว่าท่านรวยขนาดนั้นเกิดจากกำลังของบุญ นางวิสาขามหาอุบาสิกานี้ นับ ๆ แล้วรวยเกินมนุษย์มนาเขา เพราะปู่คือเมณฑกะเศรษฐี มีเงินไม่รู้นับเท่าไร พ่อคือธนัญชัยเศรษฐี แล้วตัวเองดันไปเป็นลูกสะใภ้ของมิคาระเศรษฐีอีก ๓ ตระกูลรวมกันของแกคนเดียว เขาบอกว่า เฉพาะท่านใช้คำว่า พรหมไทย คือสมบัติที่พ่อให้ติดตัวไปวันแต่งงาน ของขวัญวันแต่งงาน เขาบอกว่าเป็นทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน เงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะ ๕๐๐ เล่มเกวียน แล้วก็มีพวกผ้าผ่อน พวกจอบเสียมเครื่องทำไร่ไถนาอย่างละ ๕๐๐ หมด ท่านให้จนครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง โดยใช้คำพูดว่า ขึ้นชื่อว่าบุตรสาวของเราจะไปสู่ประตูเรือนผู้อื่นด้วย ต้องการสิ่งของนั้นไม่มี พูดง่าย ๆ ว่าอยากให้อะไรพ่อแม่ให้ไปครบแล้ว แล้วก็ให้หญิงบริวารไป ๑,๕๐๐ คน บอกว่าเธอ ๕๐๐ คน ดูแลการกินของลูกสาวเรา เธอ ๕๐๐ คน ดูแลการนอนของลูกสาวเรา เธอ ๕๐๐ คน ดูแลการแต่งตัวของลูกสาวเรา ...(ขาดช่วง)...

    ท่านบอกว่า เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ของผู้ชายจะสูงสุดที่จีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ คือคนที่มีโอกาสบวชกับพระพุทธเจ้ ถ้าหากเคยได้ถวายไตรจีวรไว้ก่อน ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสว่าเอหิภิกขุ เธอจงมาเป็นพระภิกษุเถิด ไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จะลอยมาครองตัวให้เสร็จเรียบร้อยเลย แต่ถ้าของผู้หญิงจะเป็นพวกเครื่องประดับ

    แล้วที่ขำที่สุดคือว่า มีอยู่วันหนึ่งนางวิสาขาลืมเครื่องประดับเอาไว้ ของมีค่าขนาดนั้น ลืมจริง ๆ นะ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเสร็จแล้วอิ่มอกอิ่มใจ เดินตัวปลิวไป พระอานนท์ก็เลยเก็บไว้ให้ พอกลับถึงบ้าน อ้าว...ลืมนี่หว่า ก็ให้คนใช้ไปขอคืน คนใช้ก็บอกว่าพระอานนท์ท่านเก็บไว้ให้แล้ว นางวิสาขาเคารพพระมาก คิดว่าของที่พระคุณเจ้าจับต้องแล้ว เราจะเอาแต่งตัวก็ไม่สมควร เหมือนกับเป็นของพระไปครึ่งหนึ่งแล้ว ท่านก็เลยตั้งใจขาย แล้วจะเอาเงินไปบำรุงพระศาสนา ปรากฏว่าต้องเอาใส่เกวียนไป คนอื่นยกไม่ไหว ประกาศขายไปทั่วเมืองสาเกต ไม่มีใครกล้าซื้อ มันแพงจัด ตั้ง ๙ โกฏิ แกก็เลยตัดสินใจซื้อเสียเอง พอซื้อเสร็จก็เลยไปถามพระพุทธเจ้าว่า ควรจะเอาไปทำอะไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทรัพย์ที่เห็นปานนี้ก็สมควรในการวิหารทานเท่านั้น วิหารทานก็คือ การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับถวายพระ ท่านก็เลยทุ่มเทเงินทองสร้างเป็นวัดบุพพารามขึ้นมา เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนาที่ผู้หญิงสร้าง

    คราวนี้ท่านก็บอกว่าขอพระสักองค์หนึ่ง ที่เป็นมหาเถระไปอำนวยความสะดวกในการก่อสร้างด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า เธอชอบใจพระเถระองค์ไหน ก็จงรับบาตรพระเถระองค์นั้น คราวนี้นางวิสาขาจริง ๆ แล้ว ท่านสนิทสนมกับพระอานนท์มาก แต่เห็นว่าพระโมคคัลลาน์มหาเถระผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเป็นผู้ประกอบด้วยฤทธิ์ ถ้าหากว่าพระเถระไปอำนวยการก่อสร้างทุกอย่างก็จะคล่องตัว คนมีฤทธิ์นี่บันดาลอย่างไรก็ได้ ก็เลยรับบาตรพระโมคคัลลาน์ไป พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า โมคคัลลานะ ดูก่อนโมคคัลลาน์ เธอจงไปพร้อมกับบริวารของเธอเถิด พระโมคคัลลาน์ก็เลยต้องพาพระลูกศิษย์ ๕๐๐ องค์ไป

    เขาบอกว่าด้วยอานุภาพของพระเถระ ไม่ว่าเขาจะไปหาหินหาไม้ไกลขนาดไหน ก็สามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวสบายไป ท่านก็เลยสร้างขึ้นมา กลายเป็นวัดที่มีอาคารสำคัญอยู่หลังหนึ่ง เรียกว่ามิคาระมาตุปราสาท คือปราสาทแม่ของมิคาระเศรษฐี นางวิสาขาแกเป็นลูกสะใภ้ แต่แกกินตำแหน่งแม่ของพ่อผัว อันนี้มันเรื่องอีกต่างหากนะ

    คราวนี้เขาบอกว่ามิคาระมาตุปราสาท ชั้นบนมี ๕๐๐ ห้อง ชั้นล่างมี ๕๐๐ ห้อง ท่านสร้างใหญ่ขนาดนั้น สิ้นทรัพย์ในการซื้อที่ไป ๙ โกฏิ สิ้นทรัพย์ในการก่อสร้างไป ๙ โกฏิ สิ้นทรัพย์ในการฉลองไป ๙ โกฏิ รวมแล้วทั้งหมด ๒๗ โกฏิ สร้างเป็นวัดใหญ่โตขึ้นมา เสร็จแล้วแกก็ปลื้มใจ แกและก็ลูก ๆ หลาน ๆ ของแก แกชื่อว่าวิสาขา ผู้มีสาขาอันงอกงามอย่างยิ่ง เพราะว่าแกมีลูก ๒๐ คน แล้วลูก ๒๐ คนนี้ มีลูกอีกคนละ ๒๐ คน รวมแล้วแกมีหลาน ๔๐๐ คน

    แล้วนางวิสาขา ด้วยกำลังบุญของแก ทำให้แกเป็นเบญจกัลยาณี แกบอกว่าในอดีตชาติเคยซ่อมพระพุทธรูปให้กลับดีคืนมา มาชาตินี้แกเลยกลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด คราวนี้เบญจกัลยาณี งามผม งามเนื้อ งามอะไรก็ไม่แปลกหรอก มันไปงามวัยนี่แปลก งามวัยนี้อรรถกถาท่านอธิบายว่า ถ้าคลอดลูกคนแรกอายุเท่าไร รูปร่างหน้าตา สภาพร่างกาย จะอยู่อายุแค่นั้นจนวันตายเลย คราวนี้แกแต่งงานอายุ ๑๖ ตีเสียว่าอย่างช้า ๆ อายุ ๑๗ ได้ลูกคนหนึ่ง แม่เจ้าประคุณอายุ ๑๒๐ ก็ยังสาวพริ้งอยู่อย่างนั้นแหละ

    แกก็เลยเดินไปปลื้มใจไปกับการสร้างมิคาระมาตุปราสาทของแกกับลูก ๆ หลาน ๆ ของแกไป ก็คงอยู่ในลักษณะปลื้มใจ พูดเป็นโคลงเป็นกลอนเป็นเพลงไปเลยว่า เราเคยคิดจะถวายทานกับพระสงฆ์ในพระศาสนา เราก็ได้ถวายแล้ว คิดจะถวายยาเราก็ได้ถวายแล้ว คิดจะถวายผ้าไตรจีวรก็ได้ถวายแล้ว คิดจะได้ถวายสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุก็ได้ถวายแล้ว ทานทุกอย่างที่เราตั้งความปรารถนาสมบูรณ์แล้ว พระได้ยินแกพูดเป็นโคลงเป็นกลอนอยู่ก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า สงสัยว่าวันนี้มหาอุบาสิกาของเราเป็นโรคดีกำเริบ ก็เลยฟุ้งซ่าน ปกติไม่เคยเห็นร้องเพลงสักทีหนึ่ง วันนี้เห็นร้องเพลงทำไมก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่านั่นไม่ใช่ร้องเพลงหรอก นั่นเป็นปิติในบุญของตัวเอง ก็เลยกล่าววาจาดังนั้นขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตั้งไว้ว่าเป็นมหาอุบาสิกา ผู้เลิศที่สุดในการถวายทาน ถ้าเป็นมหาอุบาสกก็เป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี

    คราวนี้มากล่าวถึงตรงจุดที่ว่า เขาเรียกว่า นางวิสาขามิคาระมาตา คือวิสาขาผู้เป็นแม่ของมิคาระเศรษฐี ลูกสะใภ้อีท่าไหนไปเป็นแม่ของพ่อผัวก็ไม่รู้ คือว่าพอแต่งงานไปแล้ว เข้าไปในตระกูลของมิคาระเศรษฐีแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าเป็นตระกูลที่ไม่นับถือพระรัตนตรัย แต่นับถือพวกนักบวชชีเปลือย เขาเรียกว่าอเจลก คือสมัยก่อนการแต่งงาน เขาส่งฑูตไป มิคาระเศรษฐีเขามีลูกชายคือปุณวัฒนะกุมาร พออายุ ๑๖ เขาก็หาคู่ให้ลูก เขาก็เชิญพราหมณ์ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ ๘ คน ของเมืองสาวัตถีมา เสร็จแล้วก็มอบพวงมาลัยทองคำมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ กหาปนะให้ ก็คือราคา ๔๐๐,๐๐๐ สมัยโน้น เพราะกหาปนะเท่ากับ ๔ บาท สมัยนี้ไม่รู้ ๔ ล้านจะซื้อได้หรือเปล่า ? มอบพวงมาลัยที่มีราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปนะให้ บอกว่าให้ไปหาผู้หญิงที่งามที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพื่อมาเป็นคู่ของลูกของเรา

    ก็หาไปเรื่อย ๆ มาถึงเมืองสาเกต พอดีเป็นวันนักขัตฤกษ์ ก็คือเป็นวันงานประจำปีของเขา อาจารย์ทั้ง ๘ คนก็เข้าไปพักที่พักริมทาง ประเภทศาลาพักร้อนอะไรอย่างนั้น ปรากฏว่า ฝนตกใหญ่พอดี พวกคนก็วิ่งกันหลบฝนอุตลุดไปหมด กระทั่งบริวารที่ตามนางวิสาขาก็วิ่งกันให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด ปรากฏว่านางวิสาขาสาว ๑๖ แกก็เดินเอ้อระเหยลอยชาย ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างไปเรื่อย แล้วก็ไปหลบฝนอยู่ในศาลา พราหมณ์ทั้ง ๘ ก็พิจารณาเห็นแล้ว ผู้หญิงคนนี้สวยมาก สวยกว่าทุกคนที่เคยได้เห็น แล้วทำไมจริตกริยาถึงได้แปลกอย่างนี้ ฝนตกมีแต่คนวิ่งหนี แล้วทำไมเขาไม่วิ่ง ก็เลยเข้าไปถามว่า แม่หนู ๆ ชื่ออะไร ? ลูกเต้าเหล่าใครหรือ ? นางก็บอกว่า ดิฉันชื่อวิสาขา ลูกของธนัญชัยเศรษฐีกับสุมนาเทวี ก็เป็นคนของเมืองสาเกตนี้เอง ก็ถามว่าฝนตกแล้ว ทำไมไม่วิ่ง ? ก็บอกว่า มันเกิดจากสาเหตุ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรก พ่อแม่ทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม หากว่าฝนตกแล้ววิ่ง เกิดลื่นล้ม แขนขาหักเป็นบาดแผล แล้วตัวเองไปตอบกับพ่อแม่ได้อย่างไร เขาเลี้ยงมาดีขนาดนั้นแล้ว ตัวเองไปวิ่งเสียหัวร้างข้างแตกอย่างนี้

    อีกประการหนึ่งบุคคล ๔ ประเภท วิ่งแล้วจะไม่งาม ท่านบอกว่าได้แก่อันดับแรกคือพระภิกษุ อันดับที่สองคือพระราชา อันดับที่สามคือช้างศึกของพระราชา อันดับที่สี่คือผู้หญิง วิ่งแล้วจะไม่งาม ยอมเปียกหน่อยดีกว่า พราหมณ์ทั้ง ๘ พอเห็นก็สอบถามว่ามีเนื้อคู่หรือยัง ? มีคนจับจองไว้แล้วหรือเปล่า ? บอกว่าไม่มี ก็บอกว่าพวกลุงทั้ง ๘ คนมาจากเมืองโน้น มิคาระเศรษฐีเขามีทรัพย์สมบัติเท่านั้น ๆ มีลูกชายอายุ ๑๖ เขาขอหนูไปเป็นคู่หมั้นจะตกลงไหม ? พอสอบถามทวนความกันดีแล้ว ก็มีตระกูลเสมอกัน คือเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน นางวิสาขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็รับ พราหมณ์ทั้ง ๘ ก็เอาพวกมาลัยคล้องคอให้ ลักษณะเหมือนเป็นของหมั้น เสร็จแล้วนางวิสาขาก็นัดแนะวันเวลาให้ทางฝ่ายโน้นส่งผู้ใหญ่มาให้ถูกต้อง มิคาระเศรษฐีพอได้ยินว่าลูกของเราจะได้หญิงที่เป็นเบญจกัลยาณีก็ดีใจ

    คราวนี้สมัยก่อนเศรษฐีมีหน้าที่เข้าเฝ้าพระราชาทุกวัน งานของแกก็เหมือนกับรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์หรือรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เพราะต้องคอยเป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดินอยู่เสมอ ๆ ในการที่จะสร้างความเจริญให้กับแคว้นของตัวเอง ก็เลยเกิดความสนิทสนมคุ้นเคย ก็ไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ลูกชายจะแต่งงานกับผู้หญิงเมืองสาเกตโน้น พระเจ้าปเสนทิโกศล พอได้ยินก็ อ้าว...นั่นตระกูลเศรษฐีที่เราเชิญมาเองนี่ เพราะฉะนั้นเราควรจะไปเองเพื่อให้เกียรติเขาดีกว่า ทางด้านนี้ก็นัดแนะวันเวลา ถึงเวลานั้นวันนั้น จะยกขันหมากไปสู่ขอ ตัวเราจะไปญาติพี่น้องก็จะไป แม้กระทั่งพระราชาของเราก็จะไปด้วย เขาก็เลยแต่งงานแต่งการกันไปอย่างที่ว่านั่นแหละ

    ก็เฉพาะของขวัญวันแต่งงานอย่างเดียว พ่อเจ้าประคุณก็ขนกันไม่ไหวแล้ว ก็อย่างละ ๕๐๐ เล่มเกวียน เฉพาะวัวอย่างเดียว ไม่รู้นางวิสาขาได้ไปกี่ตัว เพราะธนัญชัยเศรษฐีบอกให้สมุห์บัญชีของตัวเองเปิดคอกวัวของตัว แล้วให้คนยืนเรียงสองฝั่ง ท่านใช้คำว่ากว้าง ๒๕ อสุภะ คือ ๑ อสุภะ น่าจะปราะมาณหลายวาอยู่นะ แล้ว ๒๕ อสุภะ คงประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ได้มั้ง ? ระยะทาง ๓ โยชน์ ประมาณ ๔๘ กิโล เพราะว่า ๑๐๐ เส้น เป็นหนึ่งโยชน์ ๒๐ วา เป็นหนึ่งเส้น เพราะฉะนั้น โยชน์หนึ่งเท่ากับ ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร ๑๖ กิโลพอดี เขาก็เลยจัดคนไปยืนตลอดระยะทาง ๓ โยชน์ กว้าง ๒๕ อสุภะ บอกว่าเปิดคอกให้วัวเดินออกไป ถ้าวัวเดินไปได้ ๑ โยชน์ ก็ตีฆ้องส่งสัญญาณมา พอสองโยชน์ก็ส่งสัญญาณมา ครบ ๓ โยชน์ก็ให้นายบัญชีปิดคอกได้ ตกลงแม่เจ้าประคุณได้วัวไปกี่ตัวก็ไม่รู้ นับไหวไหม ๔๘ กิโล ก็คงนับกันไม่ไหวแล้วล่ะ คราวนี้ปรากฏว่าวัวทั้งหมดในคอกกระโดดตามไปเกลี้ยงเลย คนก็เห็นเป็นอัศจรรย์ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าภายหลัง

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าในอดีตชาตินางวิสาขาทำบุญประเภททำแล้วทำอีก อย่างนี้ก๊ดีเจ้าข้าโปรดรับสักหน่อย อย่างนั้นก็ดีเจ้าข้ารับอีกสักหน่อยเถิด ไอ้โน่นก็เอาเพิ่มอีกนิด ไอ้นี่ก็เอาเพิ่มอีกหน่อย ถวายแล้วถวายอีก อานิสงส์ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นว่าแกได้แล้วก็ได้อีก ถึงเวลาพ่อตั้งใจให้แค่นั้น ที่เหลือมันตามไปเกลี้ยงเลย แกไปถึงก็ประเภทขนไปอย่างละ ๕๐๐ อะไรสารพัดสารเพ แถมวัวอีกฝูงมโหฬาร ไปถึงเมืองสาวัตถี แม่เจ้าประคุณแจกดะตั้งแต่บ้านแรก จนถึงบ้านสุดท้ายเลย

    ในพระไตรปิฎกท่านใช้คำว่าทำทุกตระกูล ให้มีฐานะอันเสมอกัน ก็เลยเป็นว่าทุกคนกลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันว่า ยังไง ๆ ถ้าแม่นี่สมัคร ส.ส. แกได้แน่ คราวนี้นางวิสาขาแกเข้าไปในตระกูลแล้วเพิ่งรู้ว่า ตระกูลนี้นับถือนักบวชอเจลก คือไม่ได้นับถือพระในพระพุทธศาสนา แล้วจะทำบุญ พ่อผัวก็ไม่ยอมให้ทำ

    สมัยก่อนอำนาจอยู่ในหัวหน้าครอบครัว ในเมื่อเขาไม่อนุญาตก็ทำไม่ได้ นางวิสาขาแกเป็นคนฉลาด คนเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ไม่ฉลาดก็ไม่ได้ แกก็รอจังหวะ รอไปรอมา มีอยู่วันหนึ่ง พระมาบิณฑบาตหน้าบ้านพอดี มิคาระเศรษฐีเห็น อ้าว...ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ก็คือไม่ใช่นักบวชที่เป็นชีเปลือยก็ไม่ใส่บาตร ก็นั่งกินข้าวมธุปายาสไปเรื่อยเปื่อย นางวิสาขาได้ทีจะเฉ่งพ่อผัวแล้ว ก็บอกพระคุณเจ้า นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด พ่อสามีของดิฉันมัวแต่กินของเก่าอยู่ มิคาระเศรษฐีได้ยินก็ฉุนขาดเลย ตูรวยขนาดนี้ของค้างคืนไม่เคยแตะเลย มาบอกว่ากินของเก่าได้อย่างไรใช่ไหม ? ก็เลยบอกลูกชายไป หญิงอัปรีย์อย่างนี้มันกล่าวหากัน พ่อเลี้ยงไม่ได้หรอก ไล่มันไปเสีย ปุณวัฒนะกุมาร แหม...เมียสวยขนาดนั้นใครจะไปไล่ใช่ไหม นางวิสาขาก็บอกว่าด้วยว่าไล่ไม่ได้ เพราะว่าตอนมานี้ เชิญดิฉันมาโดยใช้พราหมณ์ถึง ๘ คน เท่ากับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ ถ้าจะให้ไล่ก็ต้องให้ผู้ใหญ่มาสอบสวนทวนความกันก่อนว่าใครถูกใครผิดอย่างไร

    คราวนี้มิคาระเศรษฐีก็ยัวะ สอบสวนก็สอบสวนวะ ถ้าแกแพ้แกต้องไปนะ นางวิสาขาก็บอกตกลงไป แต่ถ้าพ่อแพ้หนู พ่อต้องยอมนะ รายนี้ก็ยังไงตูก็ชนะแน่ เอ้า...ยอมก็ยอม

    คราวนี้ก็ไปเชิญพราหมณ์ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ทั้ง ๘ มาช่วยตัดสิน พราหมณ์ก็สอบถามว่าที่พูดอย่างนั้น หนูหมายความว่าอย่างไร มิคาระเศรษฐีก็ประเภทยัวะใหญ่บอก มันว่าเรากินของเก่า ดูถูกความเป็นมหาเศรษฐีของแกมาก อะไรสารพัดก็ว่าไป นางวิสาขาบอกว่า พ่อสามีที่ร่ำรวยมานี้เกิดจากบุญเก่าที่ตัวเองทำมา แล้วพอมาถึงชาตินี้ไม่ยอมทำบุญใหม่ ก็เท่ากับว่า ตัวเองกำลังกินของเก่าอยู่ตลอดเวลา มิคาระเศรษฐีพอได้ยินอึ้ง เถียงไม่ได้ ในเมื่อเถียงไม่ได้ก็ยอมแพ้ คณาจารย์ทั้ง ๘ ก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นยอมแพ้แล้ว ลูกจะขออะไร นางวิสาขาก็บอกขออนุญาตทูลเชิญพระสมณโคดมมารับภัตตาหารในเรือนนี้

    คราวนี้พวกอเจลกชีเปลือยได้ยินก็เต้นกันใหญ่เลย พอได้ยินก็บอกมิคาระเศรษฐีว่า อนุญาตไม่ได้เด็ดขาด มิคาระเศรษฐีก็บอกตกปากรับคำลูกสะใภ้ไปแล้วว่าเขาขออะไรก็ต้องยอม เขาขอแค่นี้ก็ต้องยอมเขาสิ อเจลกก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปคังคาส ก็คืออย่าไปถวายอาหารพระสมณะโคดม นางวิสาขาก็จัดแจงเสียใหญ่โต เงินทองของพ่อผัวสักนิดก็ไม่แตะ ตัวเองขนมาเหลือเฟือแล้วใช่ไหม ? ก็สั่งพวกข้าทาสบริวารทั้งหมดช่วยกันจัดอาหารเพื่อถวายพระ แล้วก็ส่งสารทูลเชิญพระพุทธเจ้าว่า วันนั้นเวลานั้นให้เสด็จมารับภัตตาหาร พร้อมพระภิกษุ ๕๐๐ องค์ ตั้งใจเลี้ยงใหญ่เสียที ไม่ได้เลี้ยงมานานแล้ว

    พอถึงวันถึงเวลานางวิสาขาก็ขอให้พ่อผัวออกมาถวายอาหาร พ่อผัวก็บอกว่าไม่ นางวิสาขาก็บอกว่าไม่ก็ไม่ ไม่ว่ากัน ตัวเองก็ถวายอาหารเสร็จอะไรเสร็จ พอพระพุทธเจ้าพร้อมพระทั้งหมดฉัน สมัยก่อนพอฉันเสร็จก่อนที่จะให้พรอะไรกันนี่ เขาจะมีการเทศน์ให้ฟังก่อน พอเทศน์ให้ฟัง นางวิสาขาก็บอกว่า ขอเชิญพ่อผัวมาฟังเทศน์ พระอเจลกก็บอกว่า แกอย่าไปนะ มิคาระเศรษฐีก็บอกว่าไม่ไป นางวิสาขาก็บอกว่านี่เป็นคำสั่ง ในเมื่อเป็นคำสั่งก็ขัดไม่ได้ ตัวเองแพ้เขาแล้วนี่ ก็ต้องไป พระอเจลกก็แก้เกมกันยกใหญ่ เอาอย่างนี้แล้วกัน กั้นม่านหนา ๆ สัก ๗ ชั้น แต่ละชั้นให้ห่างกันกี่ว่า แล้วก็ซ่อนอยู่ชั้นหลังสุดเลย นางวิสาขาก็ไม่ว่า กั้นม่านก็กั้นไป เพราะท่านรู้อานุภาพของพระพุทธเจ้ามีขนาดไหน เขาจะกั้นก็ช่วยกั้นเสียด้วยซ้ำไป มิคาระเศรษฐีก็อยู่ชั้นสุดท้าย

    พระพุทธเจ้าท่านตั้งใจเทศน์เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ในอรรถกถาเขาบอกว่า ถ้าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เพื่อสงเคาะห์ผู้ใด ต่อให้นั่งอยู่หลังภูเขาก็เหมือนกับนั่งอยู่เฉพาะหน้า พอฟังไปก็ไพเราะจับใจ ถูกใจไปหมด ก็เปิดม่านขยับไปทีละชั้นทีละชั้น มาถึงชั้นสุดท้ายกลายเป็นพระโสดาบันพอดี ก็เลยเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ในเมื่อกราบพระพุทธเจ้าเสร็จก็เลยสรรเสริญคุณของลูกสะใภ้ ว่าเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำให้เขาเข้าถึงธรรม ก็เลยประกาศบอกคนทั้งหมดว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปลูกสะใภ้นี้ตั้งอยู่ในฐานะเหมือนแม่ตัวเอง เพราะเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็เรียกว่า วิสาขามิคาระมาตา นางวิสาขาผู้เป็นแม่ของมิคาระเศรษฐี ตกลงลูกสะใภ้กลายเป็นแม่ของพ่อผัวไปได้ด้วยประการฉะนี้แล

    แต่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่สุดคือว่า แกเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบนะ แต่ว่าไม่ได้ไปนิพพาน วิสาขามหาอุบาสิกา สิ้นชีวิตเมื่ออายุ ๑๒๐ ปี ไปอยู่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสตี เห็นบอกว่าตั้งใจจะมาเกิดใหม่ถวายทานใหญ่ ๆ อีกสักครั้งหนี่งเถิด ไม่รู้เหมือนกันว่างานนี้จะใช้เงินสักเท่าไร ประวัติของแต่ละท่าน ถ้าเราฟังดูนะเหมือนกับมันเวอร์เกินไป อะไรมันจะรวยกันขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วคือว่า เขารวยได้ด้วยกำลังบุญ เอาแค่ว่า ไม่ต้องมากหรอก

    สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถของเราก็แล้วกัน สมัยอยุธยากลาง ๆ แล้วใช่ไหม สมัยนั้นแค่ฝนตกลงมา แก้วแหวนเงินทองจะผุดจากพื้นดินขึ้นมา คือในลักษณะที่เรียกว่าทำบุญของเขาที่ทำมา ทำให้ทรัพย์ต่าง ๆ ขึ้นมาใกล้ขนาดนั้นไม่ต้องเสียเวลาไปขุดไปหาอะไร ฝนตกก็เจอแล้ว

    ปัจจุบันนี้อาตมาเจออยู่ที่หนึ่งคือบางกระจะ จันทบุรี เจ้าของบ้านคือโยมเชิญ บุญรังษี อันนั้นฝนตกลงมา พลอยโผล่ในบ้านเลย เอาไปเจียระไนเลย แต่แกไม่ยอมขุดพลอยในที่ของตัวเอง แกไปเช่าที่คนอื่นไร่หนึ่งเป็นล้าน ๆ ไว้ขุดพลอย ก็ถามว่าแล้วโยมทำไมไม่ขุดในบ้านของตัวเอง เยอะแยะขนาดนี้ เขาบอกว่าอันนี้เก็บไว้ให้ลูกหลานมัน ตัวเองยังมีแรง ยังมีเงินอยู่ ไปเช่าคนอื่นเขาก่อน กะกินของเขาให้หมดก่อนแล้วค่อยมาว่าของตัวเอง นี่แหละคือกำลังบุญของคน

    ในเมื่อคนเรามีบุญก็จะเกิดในสถานที่ ที่ดี ท่านใช้คำว่า ปฏิรูป ปะเทสวาโส เอตัมมังคละมุตตะมัง การเกิดในถิ่นที่เหมาะสม ถือเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้นคนที่ทำบุญมาดี ก็จะเกิดในสถานที่ ที่ดี ที่เหมาะสมกับบุญของตัวเองที่ทำมา ...เอาไหม ? ของเรามีสัก ๘๐ โกฏิ นี่ช็อกตายเลย สมัยนั้นถ้ามีเงิน ๘๐ โกฏิ พระราชาจะตั้งเป็นเศรษฐี มีฉัตรสามชั้นเป็นเครื่องหมาย ถ้าหากว่ามี ๔๐ โกฏิ เป็นอนุเศรษฐี ต่ำกว่านั้นจะเป็นคหบดี รวยกันแย่เลย เครื่องประดับชิ้นเดียวแบกไม่ไหว เขาบอกว่าเครื่องประดับทำเหมือนนกยูงรำแพน ดูไกล ๆ นี่ ไม่รู้ว่ามีชีวิตหรือเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ต้องเข้าไปจ้องดูใกล้ ๆ ถึงรู้ เสร็จแล้วด้ายที่ใช้ร้อยพวกแก้วมณี แก้วมุกดา ที่ร้อยเป็นตัวเสื้อคลุม เขารีดเอามาจากทองคำ เงินเอาไปทำตัวนกยูงประดับพวกแก้วมณี มีอย่างนั้นสักชุดเป็นลมตายเลยแบกไม่ไหว

    วัดแรกในพระพุทธศาสนาคือเวฬุวันมหาวิหารของพระเจ้าพิมพิสาร ถ้าวัดสำคัญในแคว้นโกศล ของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็วัดเชตวัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง จะเป็นวัดที่ถูกเอ่ยถึงมากในพระสูตรต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ เอวัมเม สุตัง ข้าพเจ้าได้ฟังมาดังนี้เอกัง สะมะยัง ภควา สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สาวัตถิยังวิหะระติ พักอยู่ที่เมืองสาวัตถี เชตวเนอนาถบิณฑิกัสสะ อารามเม ที่เชตวันมหาวิหาร เป็นอารามที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างให้ เขาจะเอ่ยถึงอย่างนี้เยอะมากเลย เพราะตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑ ถึง ๔๔ อยู่ที่นี่ตลอด </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : บุญที่สามารถส่งเสริมให้ผู้ชายก็ดี ผู้หญิงก็ดี เข้าถึงธรรม คือผมไม่ทราบว่า ในชาติหน้าเราจะได้เกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องทำบุญอย่างไร ?

    ตอบ : ทาน ศีล ภาวนา สามอันนี้เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระศาสนา ท่านบอกว่าบุญกริยาวัตถุ คือ การกระทำที่เป็นบุญ มี ๑๐ อย่าง ทานมัย การให้ทาน ศีลมัย การรักษาศีล ภาวนามัยการปฏิบัติภาวนา สามอย่างนี้ใหญ่ที่สุด ถัดจากนั้นก็เป็นอปจายนมัย คือ การนอบน้อมถ่อมตน เวยยาวัจมัย คือ การช่วยเหลืองานบุญของคนอื่นให้สำเร็จลง ปัตติทานมัย การทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เขา ปัตตานุโมทนามัย เห็นเขาทำดีแล้ว โมทนากับเขา ธัมมัสวนมัย ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ปฏิบัติได้แล้วไปสอนคนอื่นต่อ แล้วตัวสุดท้าย ทิฏฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นถูก เราจะปฏิบัติตาม

    ถาม : แล้วต้องอธิษฐานด้วยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : คำว่า อธิษฐาน คือ ความตั้งใจ ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจมั่นคงเท่าไร ผลมันก็เกิดได้ง่ายเท่านั้น
    ถาม : ก็คือว่า ถ้าเราอธิษฐานให้เกิดเป็นผู้ชายทุกชาติ ?


    ตอบ : อ๋อ...โอกาสนั้นยาก การจะได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องสร้างบารมี จนถึงระดับอุปบารมีขั้นปลาย จำไว้ ผู้หญิงกับผู้ชาย จะมีความต่างกัน ตรงจุดที่ว่า ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงที่ตั้งใจสร้างบารมีต่อกันมาจริง ๆ ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลายเมื่อไรจะยังไม่เกิดเป็นผู้ชาย จะเกิดเป็นผู้หญิงเรื่อยไป

    ยกเว้นผู้หญิงบางประเภท อย่างเช่นผู้ตั้งใจจะเป็นพุทธมารดา อย่างหนึ่ง ผู้ที่ตั้งใจจะเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์อย่างหนี่ง ท่านเหล่านี้ จะเป็นปรมัตถบารมีแล้วก็จะเกิดเป็นผู้หญิง แต่ถ้าไม่ใช่ท่านทั้งหลายเหล่านี้แล้ว จะเกิดเป็นผู้ชายได้ต่อเมื่อเป็นอุปบารมีขั้นปลาย
    การสร้างบุญ มีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น ก็คือ สามัญบารมี (ขั้นต้น) มีหยาบ กลาง ละเอียด อุปบารมี(ขั้นกลาง) มีหยาบ กลาง ละเอียด ปรมัตถบารมี (ขั้นปลาย) มีหยาบ กลาง ละเอียด เราต้องถึงอุปบารมีขั้นกลาง ผู้หญิงจะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย


    คราวนี้ตอนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นผู้ชาย นิสัยห้าวเริ่มปรากฏ สมัยนี้เขาเลยเรียกกันว่าทอม แล้วพอเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงก็ยังอยู่ ก็เลยกลายเป็นตุ๊ดไป จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแต่ว่าระยะนี้พวกนี้ปรากฏเยอะหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้ในเรื่องของกรรมว่า ยถากรรมมุตาญาณ คือว่า คนเราทำอะไรแล้วจะได้ผลอะไร การกระทำทุกอย่างจะส่งผลแบบไหน ๆ ก็จะเห็นเป็นเรื่องปกติ คืออยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไป อันดับแรกไม่ใช่ผู้หญิง ที่ตั้งใจจะเกิดเป็นพุทธมารดา ไม่ใช่ผู้อธิษฐานจะเกิดเป็นเนื้อคู่พระโพธิสัตว์โดยตรงแล้ว ถ้าถึงอุปบารมีขั้นกลางก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ชาย ดังนั้นว่า ๆ ไปแล้ว ผู้หญิงจะสร้างบารมีมาน้อยกว่า


    ถาม : คนเราถ้ามีคู่บารมีแล้ว จะลาขาด กันได้เมื่อไร ?
    ตอบ : อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ความมุ่งมั่นมีเท่าไร


    ถาม : ถ้าเกิดว่าฝ่ายผู้ชาย เขาไม่ยอมให้ลา ?
    ตอบ : มันไม่เกี่ยวกัน การลาอยู่ที่ความตั้งใจของเรา ถ้ากำลังของเราสูงพอ ก็ไปแน่บอยู่แล้วแหละ เอาอย่างนี้สิ หาทางทำบุญใหญ่ ถ้าหากว่าใครสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก เราสร้างด้วย พอสร้างเสร็จก็อธิษฐานบอกว่าผลบุญนี้ขอให้เราละความปราถนาพระโพธิญาณ ขอละความปรารถนาเดิมทุกอย่าง ขอเข้านิพพานในชาตินี้ อะไรก็ว่าไป


    ถาม : คนที่เป็นคู่บารมี กำลังบุญที่เรามาต่างกันไหมคะ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่จะทำมาด้วยกัน ต่างคนต่างทำมาด้วยกัน จะต่างกันที่ไหน ถึงเวลาเขาก็โผล่หัวมา รวมหัวกันทำไปเรื่อย ๆ

    ถาม : เขาบอกว่าถ้าจะลา กรรมที่เคยทำร่วมกันมาจะย้อนกลับเข้าตัว
    ตอบ : มันก็ไม่ได้ย้อนเราคนเดียว ย้อนเขาด้วย


    ถาม : แล้วที่เขาขู่ก็ไม่ถูกต้องใช่ไหม ?
    ตอบ : เขาเข้าใจอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น อย่าลืมว่า กรรมทั้งหมดใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

    ถาม : ............(ไม่ชัด)..............
    ตอบ : ควรจะภูมิใจนะ ทำบุญมาเหมือนนางปัญจปาปา หรือเปล่าก็ไม่รู้ แม่เจ้าประคุณนั้น หน้าตาห่วยแตกที่สุดในพระไตรปิฎก ปัญจปาปา แปลว่า ประกอบด้วยลักษณะอัปลักษณ์ทั้งหมด ๕ อย่าง ประเภท จมูกหัก ฟันเหยิน หูบี้ อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าใครเผลอเข้าไปแตะตัวแกเข้าจะยืนตาลอยอยู่ตรงนั้นแหละ เขาบอกว่าแกมีเนื้อเป็นทิพย์ ผู้ชายแตะตัวไม่ได้ แตะตัวจะหลงเสน่ห์แก ไปไหนไม่เป็นเลย เขาบอกว่าในอดีตชาติ นางปัญจปาปา เขาเกิดเป็นลูกสาวของช่างปั้นหม้อ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสร้างกุฏิ ทีนี้ข้างฝาเขาจะใช้ดิน ผสมพวกเศษหญ้าหรือพวกเศษผ้าเก่า ๆ แล้วก็ไปยาอุดรอยต่อ เพื่อกันพวกลมเข้า หน้าหนาว มันจะแย่ใช่ไหม ? แล้วมาบิณฑบาตขอดินที่บ้าน แม่นั่นกำลังโมโหพ่ออยู่ ก็เลยปั้นดินได้แล้วก็ทุ่มใส่บาตรไปเลย แกทำบุญนะ แต่ทำด้วยโทสะ คราวนี้ผลจากทำบุญด้วยโทสะ เกิดมาหน้าตาก็เลยบู้บี้ดูไม่ได้กับใครหรอก เขาเรียกว่าปัญจปาปา แปลว่าอัปลักษณ์ ๕ อย่าง แต่แกมีเนื้อเป็นทิพย์ ใครเผลอไปแตะก็เสร็จเลย คนที่ซวยที่สดุเผลอไปแตะรู้ไหมใคร พระราชาไง เสด็จผ่านไปหิวน้ำ ขอกินน้ำหน่อย แกตักน้ำส่งให้ ดันไปจับมือแกเข้า พระราชาก็เลยเดินตาลอยไปเลย ตั้งแต่นั้นมา ก็ต้องย่องไปหาแม่เจ้าประคุณทุกคืน ๆ ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สนใจ ต้องย่องไปหาแม่นี่ให้ได้


    เลยเกิดความคิดว่า เราจะตั้งนางเป็นอัครมเหสี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลักลอบไปกันอย่างนี้ ถึงพ่อแม่จะอนุญาตก็จริง แต่ว่ามันไม่เปิดเผยพอ ไม่เป็นลูกผู้ชายพอ ทำนองนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรดี ให้คนอื่นเขายอมรับได้ คราวนี้ท่านเป็นพระราชา ก็ต้องฉลาดพอไปกลางคืน ไปหาเสร็จก็เลยถอดพระธำมรงค์ คือแหวนประจำพระองค์ใส่ให้นางปัญจปาปา พอถึงเวลาแกก็ลากลับไป คราวนี้แกไปกลางคืน มาทีไรก็มืดตื๋อจะจุดไฟก็ไม่ต้อง นางปัญจปาปาก็ไม่รู้จักเลยว่าผัวหน้าตาเป็นอย่างไร บอกว่าถ้าจับมือนี่จะรู้ เพราะว่าจำได้

    คราวนี้พระราชาพอตื่นเช้าก็แกล้งโวยวายว่า ใครขโมยพระธำมรงค์ไป คราวนี้พวกที่เดือดร้อนก็บรรดาข้าราชบริพารก็วิ่งกันพล่านเลยสิ อยู่ ๆ แหวนประจำพระองค์หายไป ท่านสั่งให้ค้นบ้านทุกบ้านในพระนครนี้ ค้นไปค้นมา ไปถึงบ้านนางปัญจปาปา ไม่ต้องค้นแล้ว นางใส่โชว์อยู่กับนิ้วนี้ เลยจับตัวไป แกก็ยืนยันเสียงแข็ง พระราชาเขาแกล้งถามเป็นของใคร ขโมยไปแต่เมื่อไร ใครขโมยให้ หรือใช้ใครขโมยก็ว่าไป แกก็ยืนยันว่าผัวฉันให้ ก็ถามว่าผัวแกเป็นใคร บอกไม่รู้จักหรอก เขามาทีไรก็มาตอนกลางคืน มืดทุกที จุดไฟก็ไม่ยอมให้จุด แล้วว่าจำผัวได้อย่างไร ก็บอกว่าถ้าจับมือก็จำได้ ในเมื่อจับมือจะจำได้ เขาก็เลยให้นางปัญจปาปา ไปอยู่ในกระโจมผ้า เสร็จแล้วให้ผู้ชายยื่นไปทีละคน ก็เกณฑ์ไปทั้งเมืองเลย ยื่นมือไปจับเสร็จ ก็บอกคนนี้ไม่ใช่ผัวไปเรื่อย พวกผู้ชายก็ยืนตาลอยกันเป็นฝูงเลย จนกระทั่งหมดเกลี้ยงทั้งเมืองแล้ว ก็ให้พวกเชื้อพระวงศ์ พวกอำมาตย์ ราชบริพาร มาจับกันทุกคน แกก็บอกว่าไม่ใช่ พระราชาก็บอกว่าในเมื่อไม่มีใครลองจับของฉันดูบ้าง ก็ยื่นมือไป พอคว้าปุ๊บก็บอกคนนี้แหละผัวฉัน พระราชาก็บอกว่าในเมื่อเป็นผัว ก็จะตั้งเมียคนนี้เป็นพระอัครมเหสี มีใครค้านไหม ? ตอนนั้นทั้งเมืองไม่มีใครค้านแล้ว มันยืนตาลอยกันหมดแล้ว ก็เลยเป็นพระอัครมเหสีเลย ระวังเอาไว้ว่าอาจทำบุญมาอย่างนี้ก็ได้ แหม...มีเสน่ห์เยอะจัง

    ถาม : เขามองว่าเรามีบุญเยอะไงคะ ถ้า.....(ไม่ชัด)....
    ตอบ : เรื่องพรรค์อย่างนี้มันไม่ใช่ เรื่องของการทำบุญใหญ่ในพระศาสนา มันมีเยอะ ตัวอย่างหมอนพพร แกตั้งใจจะทำสังคายนาพระไตรปิฎก คือหมอนพพร แกจะต้องเกิดอีกหลายยกแกจะเร่งให้มันเต็มเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเกิดให้มันลำบาก เขาเลยตั้งใจว่าจะทำงานสังคายนาพระไตรปิฎก กำลังเริ่มหาทุน แกก็เลยไปหาอาตมา บอกหลวงพี่ครับ ภูเขาทองของหลวงพี่ผมขอได้ไหมครับ ? บอกว่าอยากได้ก็ขนไปสิ


    คือ อาตมาธุดงค์ไปเจอสถานที่หนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ในหนังสืออ่านเล่น ท่านบอกว่า ภูเขาลูกนั้นจากจุดกึ่งกลาออกไป ๑๕ กิโล เป็นทองคำหมด อาตมาก็เพิ่งเห็นทองคำธรรมชาติเต็ม ๆ ตา ก็จากที่หลวงพ่อบอกนั่นแหละ ตักขึ้นมาก็เป็นทรายทองเลย แล้วขุดไม่ลึกด้วย หมอนพพรแกจัดแจงไปเอาเครื่องบินขึ้นไปสำรวจแล้วเอาเครื่องวัดแร่ไปวัด พอเราบอกแล้วแกมาร์คจุดในแผนที่ทหารเลย

    คราวนี้ของแก แกเป็นผู้บังคับกองพันอยู่ ก็มีอำนาจสั่งให้พวกเครื่องบินมันขึ้นได้ กำหนดเส้นทางบินให้เขาเสร็จสรรพ แต่ไม่บอกหรอกว่าไปทำอะไร กลับมาถึง บอกหลวงพี่ครับมหาศาลจริง ๆ เลยครับ พอเครื่องบิน ๆ ผ่าน ตรงจุดนั้นเครื่องวัดแร่มันตีเกจ์เลย ก็เลยขอตรงจุดนี้ บอกว่าได้ก็เอาไปสิ บอกว่าเอาใครเป็นผู้ร่วมงานบ้างละงานนี้ ก็บอกว่าคงต้องสอบถามหลวงพ่อก่อนว่า จะนิมนต์พระองค์ไหนบ้าง เพราะว่าการสังคยานาพระไตรปิฎกอย่างน้อย ก็ต้องมีพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ รวมกันเป็นร้อย ๆ หลวงพ่อบอกว่าอีกสององค์ที่อยู่ในป่าเฉพาะตรงจุดนั้นรวบรวมไว้ ๖๐ กว่าองค์แล้ว

    ปรากฏว่างานนี้ไม่ทันจะลงมือ หลวงพ่อไปเสียก่อน ก็รอดูแล้วกันว่าหมอนพพรเขาจะทำได้เมื่อไร อาตมาเป็นนายทุน จะให้ทองไปภูเขาหนึ่ง หาบุญอะไรก็ได้ที่เป็นบุญใหญ่ในพระศาสนา แล้วก็ทำไปสิ มันส่งผลทั้งนั้นแหล นั่นก็แค่อ้างเท่านั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าลูกสาวเราไม่เต็มใจด้วย มันอ้างให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก มันสำคัญตรงลูกเราจะเต็มใจด้วย

    ถาม : ของเราไม่รู้เรื่องด้วย
    ตอบ : ไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องของเขาสิ ตบมือข้างเดียว มันไม่ดังหรอก อย่าไปตบใส่หน้าคนอื่นก็แล้วกันจะให้อาตมาไปขอด้วยหรือ

    ถาม : ไม่ใช่ จะให้ช่วยขวางด้วยเหมือนกับที่พี่สำเร็จไปแล้วหนึ่งราย
    ตอบ : ไม่ใช่...ที่สำเร็จนั้นนะ ไปหลอกเขาให้ขอขมากัน พออโหสิกรรมแล้ว กระแสกรรมมันขาด พอกระแสกรรมมันขาด ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรกับใคร


    ถาม : ก็กะว่าจะทำอย่างที่หลวงพี่ทำกับผู้หญิงคนนั้นนะ ขอขมาต่อหน้าเลย
    ตอบ : ก็ลองดูเผื่อจะสำเร็จ


    ถาม : ผมจะหาโอกาสไปกราบหลวงพ่ออุตตมะ
    ตอบ : เร็ว ๆ หน่อย ผมเสียวจริง ๆ เลย ... เพราะท่านหมดอายุมาตั้ง ๒ ปี แล้วยังอุตส่าห์กัดฟันทรงสังขารอยู่ เพราะผมตีลูกโง่ดึงเกมส์ไว้ คือ หลวงพ่ออุตตมะท่านรับปากเอาไว้ว่าจะสงเคราะห์ผมเป็นคนสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์สักทีหนึ่ง อย่างเช่นงานนี้ คราวก่อนก็ไม่ได้นิมนต์ท่านไง ไม่ได้นิมนต์ เพียงแต่บอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่ไหว หลวงพ่อก็ไปเถอะ คราวนี้งานก็เหมือนกันก็ไม่ได้นิมนต์ อาจารย์พงษ์เขานิมนต์ ต่อไปตูจะตายไม่ลงก็เพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ?


    ถาม : อย่าเผลอรับปากใครนะครับ ?
    ตอบ : จะไม่พยายามรับปากใครเลย บอกเจ้าตัวเล็กไว้ว่า หนูแต่งงานเมื่อไร หลวงพ่อก็ไปได้แล้ว คราวนี้แม่เขายุใหญ่เลย หนูอย่าแต่ง ๆ


    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...