จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    งานพิธีวันมาฆบูชา เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๔

    เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส

    จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น

    โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

    ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว

    ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่
    - การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
    - การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม
    - การทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
    ที่มา fb สมาคมประวัติศาสตร์ไทย
     
  2. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    "....อะไรที่มันยากลำบากมาก เราก็ต้องสู้ ต้องอดทน ต้องพากเพียร คนเราที่จะประสบความสำเร็จ มันต้องผ่านความทุกข์ยาก ความทุกข์มันจะสอนให้เรามีปัญญา ถ้าไม่มีทุกข์ไฉนเลยจะเกิดปัญญา ถ้าไม่มีปัญหาไฉนเลยจะเกิดบารมี...." ขอทุกท่านเจริญทางธรรมยิ่งๆๆขึ้นไปด้วยเทอญ. อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  4. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  5. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    ประทานพระโอวาท เนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2556 ความว่า



    พระพุทธศาสนา แสดงว่า พระสุคต
    คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น
    งามในท่ามกลาง งามในที่สุด และแสดงว่า
    บุคคลย่อมงามในเบื้องต้นด้วยศีล
    งามในท่ามกลางด้วยสมาธิ
    งามในที่สุดด้วยปัญญา

    เพราะว่าศีลทำให้กาย วาจา หรือพฤติกรรมเรียบร้อยงดงาม
    สมาธิทำให้ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจสงบเยือกเย็นและมั่นคง
    ปัญญาทำให้ความรู้ความสามารถสะอาดบริสุทธิ์
    เป็นไปในทางสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามแก่ชีวิต
    เมื่อประมวลเข้าด้วยกัน ศีล สมาธิ ปัญญา
    ก็คือคุณเครื่องทำให้ชีวิตงดงาม

    วันมาฆบูชา คือ วันที่พระพุทธองค์
    ทรงแสดงหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยย่นย่อ
    ส่วนหนึ่งของหลักการสำคัญดังกล่าวก็คือ
    การไม่ทำบาปทั้งปวง
    การทำความดีให้ถึงพร้อม
    และทำจิตของตนให้บริสุทธิ์
    ซึ่งก็คือ หลักศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง

    ฉะนั้น วันมาฆบูชา จึงถือได้ว่าเป็นวันแห่งความงามของชีวิต
    จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
    น้อมจิตรำลึกถึงพระพุทธเจ้า
    พร้อมทั้งน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระองค์
    มาบริหารจัดการชีวิตของตนให้งดงาม
    ด้วยการปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ทั่วกัน

    ขออำนวยพร


    ---------

    เนื่องในวันมาฆบูชา วันแห่งความงามของชีวิต
    สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
    หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ และ
    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
    ขอเชิญพุทธศาสนิกชน
    ร่วมทำชีวิตให้งดงาม ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    ในงานมาฆบูชา ปฏิบัติบูชา "ญาณสังวร"

    ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.30 น.
    ณ สวนปทุมวนานุรักษ์

    รายละเอียดอ่านได้จาก News - งานมาฆบูชา ปฏิบัติบูชา "ญาณสังวร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2013
  6. noutc

    noutc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +107
    ไม่น่าเชื่อเลยว่าช่วงที่พี่ภูปฏิบัติธรรมใหม่ๆ



    ไม่น่าเชื่อเลยว่าช่วงที่พี่ภูปฏิบัติธรรมใหม่ๆจะเข้าใจธรรมะเหมือนที่อาจารย์แต่ละท่านที่ศึกษามานานแล้วสอน เยี่ยมจริงๆเลย
     
  7. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ฟังยังไม่ได้เลยจ้ะ เน็ตเต่า นะคะ พี่ลูกพลัง...^_^ แต่อ่านจากชื่อเพลง ก้อ พอจะรู้ว่าเปนเช่นไร อิอิ ขอบคุณค่ะ ที่กรุณา เมตตา อุเบกขา ปานาฎิปาตา ('_'?) ( เห็นมันคล้องกัน อารมณ์มันพาไป 55555+
     
  8. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    พี่ภูๆๆๆๆๆ อย่างผึ้งใช้ไม่เรียวไม่ได้นะ "ต้องไม้หน้าฉาม" ฟาดให้ดังป้าบๆๆ
    กิกิ เมื่อสติตามไม่ทัน จิตมันก้อเผลอไผล ล่องลอยไปเกาะตรงโน้นที ตรงนี้ที เพราะกิจกรรมทางโลกมันมากเหลือเกิน ไม่อยากอ้างเหตุปลทั้ง 108 จ้า แต่มันคือความจริง และมันคือสิ่งที่เราต้องยอมรับ และมิสามารถสลัดความจริงนี้ไปได้ หลุด ก้อคือหลุด ได้แต่แอ่นอก 32 รับ และแก้ไขให้ดีขึ้น ดีกว่าหลุด หลง และ ละเลย จนลืม ที่จะปรับปรุง หรือคิดเข้าข้างตนเองว่าไม่ จิตข้าพร้อมเสมอ สติข้าเจ๋งตลอด ปัญญาข้าเกิด 24 ผึ้งไม่ใช่คนแบบนั้น ผึ้งถึงพร้อมที่จะรับไม้หน้าสาม สี่ ห้า หก ของพี่ๆ เพื่อให้อยู่ในกรอบ ดังเดิม โลกนั้น ถึงแม้นมันจะสมมติ เราก้อยังมีหน้าที่ทางโลก บางคนเล็กน้อยสบายๆ บางคนใหญ่หลวง ตามกรรมของแต่ละท่าน สิ่งใดที่ต้องเดิน บางทีก้อโดดข้้าม หรือเพิกเฉยเสียไม่ได้ ผึ้งขอทำมันให้ดีที่สุด เท้าที่เด็กน้อยคนนี้จะทำได้ นะคะ และขอท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตา ชี้แนะ แม้จะเข้ามาบ้าง ไม่เข้าบ้าง แต่ก้อยังมีพรายคอยกระซิบให้ย่องๆๆๆ มาอ่านเสมอค่ะ รักทุกท่านด้วยใจบริสุทธิ์ เสมือนดังมนุษย์ ผู้เกิดมารับกรรมคนนึงจะมีให้ เมื่อละสังขารจากกันวันใด จิตคงได้ไปพบกัน ณ ที่ที่จากมา ความท้อแท้ สิ้นหวัง การปรุงแต่งทุกอย่าง ทำให้เรารู้ว่า บทเรียนในการเดินเพื่อบรรลุ มันไม่ใช่ถนนคอนกรีด มันคือถนนลูกรัง กิกิ วันนึงผึ้งจะเดินบนถนนลูกรังแบบ สบาย ด้วยความเห็นว่าเส้นทางนี้ บรรพบุรุษเคยถอดรองเท้าเดินมาก่อน สมัยยังไม่มีคอนกรีด แล้วไฉนเลยเราจะเดินตามไปบ่อได้ ฝากความห่วงใยไปกับตัวหนังสือ สื่อถึงทุกท่านที่กำลังอ่าน แค่นี้แหละ ขี้เกียจพิม จบค่ะ ! ^_^
     
  9. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ขอบคุณค่ะ คุณฝ้าย โมทนาสาธุค่ะ
     
  10. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ธรรมะ ย่อมเกิดที่ตน รู้ที่ตน เข้าใจที่ตน จึงเป็นธรรมะของตน บางคนไม่เข้าใจในเรา ไม่ได้รู้จิตเรา เราย่อมรู้จิตเรา รู้ขณะช่วงชีวิต ภาระ และหน้าที่ การกระทำ คือการแสดงของขันธ์ จะกลั่นกรองออกมาจากจิตหรือไม่ เราย่อมรู้ดี อารมณ์ เมื่อเกิด ก้อต้องดับ เพียงแค่เรารู้ทุกขณะที่เกิด และมองเห็นมัน ทุกช่วงจังหวะอารมณ์ มันก้อย่อมเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ใครที่กดหรือคิดว่าตนไม่มีอารมณ์นั้นๆ ย่อมฝืนตัวเอง ย่อมไม่รู้ตัวเอง และโกหกตัวเอง ทุกคนมีอารมณ์หมด แค่รู้ให้ทัน และตัดลงไตรลักษณ์ให้หมดเป็นพอ มรรค8ฟังให้ตาย ท่องจนขึ้นใจ ถ้าไม่ปฎิบัติ มรรค8 นั้นย่อมไม่เกิดผล.....สาธุ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ไหนๆ ยายหากระทู้ภัยพิบัติ ไม่เจอ
    เห็นพวกเขาเข้าไปอ่านกันจั๊ง! อ่านแล้วก็จิตตก
    ยายก็กลัวตายเหมือนกันอ่ะ!

    ยายๆ อย่าเข้าไปอ่านเล๊ย เดี๋ยวจะตายก่อนแก่ ปล่อยไปตามธรรมชาติดีก่า
    (หลานภูเตือน)..อิอิ

    นี่ขนาดมีเรื่อง(ภายใน)ตรึงเครียด หนักจวนตาย ยังจะขำออกอีกหรือ ฮ่าๆ
    คิดไรมากคนเรา เดี๋ยวก็ตายจากกันวันไหนไม่รู้ ขันธ์ ๕ นี้มันไม่เที่ยง
    จงยอมรับความไม่เที่ยงหรือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    ขอให้เราทำใจกันได้ นี่ไง๊ พบแร๊ะ กฎธรรมดา กฎแห่งพระไตรลักษณ์ ของพระพุทธองค์

    เมื่อวานดีใจ วันนี้เสียใจ
    เมื่อวานสุข วันนี้ทุกข์

    พวกเราว่านิพพานอยู่ที่ใด???
    (เฉลย) ระหว่างตรงกลาง คำว่า "สุขกับทุกข์ หรือ ดีใจกับเสียใจ"​

    สรุปแล้ว เราจักต้องอยู่เหนือขันธ์ ๕ อยู่เหนือความรู้สึกตัว(สติ)+ความนึกคิด(เจตสิก)ของตนให้ได้

    สรุปแล้ว
    อย่าไปรู้สึก อย่าไปวิ่งตามความนึกคิดของตน เพราะสุดท้ายมันก็คือ ทุกข์
    แต่ถ้าใครนั่งดูเฉยๆ มันก็ไม่ทุกข์หรือสุข ไม่ต้องไปรับเอามา แค่นี้ก็สุขเหนือสุข
    แค่เราทำครั้งเดียว ก็รู้ไม่เท่ากับมีคนมาบอกร้อยครั้งหรือพันครั้ง มันไม่ซาบซึ้งเหมือนเราทำเอง
    การปฎิบัติธรรมนั้น ก็เหมือนเราต้องกินเองจึงอิ่ม ฟังเขาพูดกินๆๆ แล้วเมื่อไหร่เราจะอิ่ม

    เพราะฉะนั้นทุกธรรมหนีไม่พ้น กฎธรรมดา
    เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว และบอกกับตนเองบ่อยๆ บอกจนชิน เดี๋ยวก็เลิกโง่เองสักวันนึง เพราะปัญญาเราเกิดก็ถึง บางอ้อ! บางอ๊าว!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2013
  12. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    เด็กที่ผ่านบทเรียนตามสูตรได้สำาเร็จ
    จะเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาด
    ผู้ใหญ่ที่ผ่านทุกบทเรียนในชีวิตได้โดยดี
    จะเป็นคนตายที่สบายใจ​


    ชีวิตทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกอยู่
    แล้ว พวกเราถูกหลอกว่ามี พวกเราถูกหลอก
    ว่าเป็น ทั้งที่ไม่เคยมีและไม่เคยเป็นอะไร
    จริงๆสักอย่าง ทุกอย่างผ่านมาให้ดู เพื่อ
    ผ่านไปให้เสียดาย หรือไม่ก็ผ่านไปให้โล่งใจ
    เล่นแป๊บๆเท่านั้น
    วันแห่งความตายคือวันแห่งการ
    เปิดเผยความจริง ทุกสิ่งจะหลุดจากกำามือ
    ของเราไป ประโยชน์อะไรกับการพยายาม
    พูดโกหก ปั้นเรื่องเท็จซ้อนเข้าไปในเรื่องเท็จ
    กันอีก

    การยอมรับความจริงย่อมทำาให้ใจ
    คุณสบายกว่าตอนไม่ยอมรับ ความจริงไม่
    เคยน่าหวาดกลัวสำาหรับนักยอมรับ ความ
    จริงเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่ทุก
    เมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าก่อนคุณเกิดหรือหลังคุณ
    ตาย

    อย่างน้อยการเผื่อใจเชื่อเรื่อง
    หลังความตาย จะลดแรงต้านลงได้มาก การ
    ลดแรงต้านลงก็คือการไม่ต้องออกกำาลังต่อสู้
    กับความไม่รู้ มันช่วยผ่อนคลายจิตใจให้
    สบายขึ้นได้จริง เลิกเถียงกับตัวเองเกี่ยวกับ
    การมีหรือไม่มีชีวิตหลังความตาย

    อย่างไรก็ตาม ความพยาบาท
    อาฆาตอาจทำาให้ ‘เรื่องปกติ’ กลายเป็นสิ่ง
    ผิดปกติไป หลายคนยังผูกใจเจ็บ ยังนึกไปใน
    ทางเคียดแค้นอยากเอาคืน เสียดายไม่อยาก
    ตายตอนนี้ เพราะยังไม่ทันได้เอาคืนให้
    หนำาใจ หรือกระทั่งคิดเลยเถิดถึงขั้นประกาศ
    ศักดาชัด ว่าคอยดู เดี๋ยวกูเป็นผีก็จะมาเอามึง
    คืนแน่นอน!

    สิ่งเดียวที่ประกันความรู้ได้แน่นอน
    ก็คือ ระหว่างยังไม่ตายนี้ คุณสามารถดับ
    วิญญาณอาฆาตลงได้ด้วยความคิดให้อภัย
    และเมื่อเชื้อแห่งทุกข์ร้อนดับลงแล้ว หลังตาย
    ก็ไม่น่าหลงเหลือวิญญาณอาฆาตอยู่ ณ ที่ใด
    อีก สาธุค่ะ >.<
     
  13. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895

    พี่ภูน่าจะเอาภาพผู้ชายแก่มาลงมากกว่าน๊า เป็นตัวแทนพี่ภูในคะ กิกิ ขออนุโมทนาในธรรม ที่กล่าวมานะคะ วันนี้ลูกค้าน้อย มานั่งอ่านเจริญสติกันจ้า สาธุ สาธุ สาธุ จ้า ^__^
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้ำบริสุทธิ์
    ยังต้องใช้เครื่องกรอง นับประสาอะไรกับจิตใจของคนเรา

    จิตคนเราจะใสสะอาด จะบริสุทธิ์ได้
    ต้องผ่านขบวนการขัดเกลา ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด
    ด้วยเครื่องกรองมนุษย์ ชื่อว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง

    เครื่องกรองมนุษย์หรือเครื่องกรองมรรคนี้ หาง่าย ไม่ต้องซื้อหาและใช้งานได้ทันที
    โดยมิต้องรอ เพราะเดี๋ยวตายก่อน
     
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    3-ช่า ทางธรรม

    .


    โลกคือละคร​

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Oq9Pq1nsKeU&feature=youtube_gdata_player]จังหวะชะชะช่า - สุขกันเถอะเรา - YouTube[/ame]​



    การฝึกเต้นจังหวะชะ-ชะ-ช่า(หรือ3ช่าทางโลก)นั้น มันก็ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน ความมุ่งมั่น ฯลฯ
    จึงจะทำให้ท่าเต้นออกมาได้สวยงาม มีความพร้อมเพียง สอดประสานกับเสียงดนตรี
    มันก็เปรียบเสมือนกับการเดินมรรค ที่จะต้อง"ถึงพร้อม"ในไตรสิกขานั่นเองคือ ศีล สมาธิ ปัญญา (3ช่าทางธรรม)

    ศีล-ฝึกสติเบื้องต้นด้วยการรักษาศีล5ให้บริสุทธิ์
    (ดูซิ..ตั้งใจจริงๆมันจะทำได้ไหม?)
    สมาธิ-ฝึกจิตให้สงบตั้งมั่น มีสามัญสติรู้เท่าทันปัจจัยกระทบต่างๆ-basic จวบจนกระทั่งเป็นขั้นมหาสติ-advance
    (เกาะพระไปให้แนบแน่น จนจิตเกาะพระเองเป็นออโต้ได้-basic แล้วจึงฝึกสติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป-advance ==> จบ.อินทรีย์อ่อน ต้องกลับไปเดินมรรคพื้นฐานตรงนี้..ทำให้ได้ก่อน อย่าพึ่งไปแสวงหาป.โท ป.เอก อะไรเล้ยย..เพราะว่ามันจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ฐานรากไม่มั่นคง สมาธิไม่แน่นหนามั่นคงเป็นปึกแผ่นในทุกท่วงท่าอริยบท แล้วจะรีบไปต่อยอดทางปัญญา ผลมันก็คือไม่สามารถตัดกิเลสได้เด็ดขาดจริงๆ)
    ปัญญา-ฝึกจิตให้เข้าใจรู้แจ้งในขันธ์5&สรรพสิ่งต่างๆว่าธรรมดามันก็ย่อมเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ตามกฎไตรลักษณ์และอริยสัจ4
    (การเจริญวิปัสสนาให้ได้ผลสามารถตัดกิเลสให้เด็ดขาดจริงๆนั้นจะต้องอาศัยกำลังแห่งสมาธิบาตรฐานที่แน่นหนามั่นคงเป็นปึกแผ่น หากขาดปัจจัยพื้นฐานนี้แล้ว มันก็จะทำให้ตัดกิเลสแบบติดๆดับๆคือตัดได้ไม่เด็ดขาดจริงๆนั่นเอง ผู้ปฎิบัติต้องมีความเพียรไม่เกียจคร้าน ค่อยๆเดินมรรคไปตามศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นเองทำไปเรื่อยๆจนกระทั่งจิตมันแจ้งของมันเอง หากเราพอจะมีปัญญาเป็นของตนเองบ้าง เราก็จะทราบได้ว่า"ไม่มีวิธีลัด" มีแต่เราต้องเหยียบขี้ไก่ให้มันฝ่อด้วยตนเอง มิใช่เปลี่ยนนี่ทีนึงเปลี่ยนไปโน้นทีนึงเปลี่ยนไปตามกระแส แล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่องได้ราวซักที มัวแต่เปลี่ยนอยู่นั่นแหล่ะ)

    จงสนใจสิ่งที่เป็นพื้นฐานแล้วทำมันให้ได้จริงๆจังๆจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติแห่งจิตเลย ไม่ต้องไปสนใจขั้นพิศดารอะไรดอก
    หากจะพูดเปรียบเทียบให้ตรงประเด็นก็คือ"แหม่..ศีล5ยังรักษาให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ดันทะลึ่งจะมาคุยเรื่องวิปัสสนา"

    พระอรหันต์เจ้าสุปฎิปันโนทั้งหลาย ท่านๆเหล่านั้นก็ใช้เวลาในการเดินมรรคแบบอุกฤษอยู่ตั้งหลายๆปี
    ท่านก็ค่อยๆปฎิบัติไปเดินมรรคไปด้วยความเพียรไม่มีเกียจคร้าน น่าเสื่อมใสยิ่งนัก
    จนถึงที่สุดแห่งจิต จิตมันก็จะเป็นผู้ตรัสรู้เอง รู้แจ้งแทงตลอดเอง มีปัญญาวิมุติบอกกับตัวเองได้
    ก็ให้เรามีความเพียรมุ่งมั่นทำไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เราไม่หยุดเดิน เราก็เดินเข้าไปใกล้นิพพานในทุกขณะจิตนั่นแหล่ะ
    (แต่มีข้อแม้นนะว่าจะต้องเดินอยู่บนอริยมรรควิธีเท่านั้น หากเดินอ้อมก็อาจจะใช้เวลายาวนานขึ้นสุดแต่วาระกรรม)


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พ้นโลก!
    คนเหนือโลก มิใช่ เหนือมนุษย์ด้วยกัน(เอง)
    ก็คือ จิตโลกุตตระ
    คือผู้ที่อยู่เหนือวิสัยของโลก ตรงกันข้ามกับ คำว่า โลกกียะ

    โลกุตรธรรม ๙ นั้น ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

    การปฎิบัติธรรม ไม่ต้องตั้งใจมากเกินไป แต่ไม่ตั้งใจเลย ก็ไม่ดี
    ก้มหน้าทำไปๆๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เร่งก็ไม่ได้ บังคับเกินไปก็ไม่ได้
    เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    ทำแบบคนโง่ แต่อย่าทำแบบคนฉลาดทางโลก
    อย่างมงาย ศาสานพุทธสอนให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร
    ให้ยึดในพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งสูงสุดทางใจ
    นอกนั้นอย่าไปยึด แม้นกระทั่ง ขันธ์ ๕ ตนเอง ก็ไม่ต้องไปยึด
    แล้วผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่เจริญแล้ว จะไปยึดสิ่งใดๆอีกเล่า!

    ทั้งรูป๑ ทั้งนาม๔ ก็คือขันธ์ ๕ (จะพูดทำไม๊) ย้ำเฉยๆ

    แต่กำลังจะบอกว่า ให้สนใจดูจิตตนเอง (พยายาม)อยู่กับกายใจตนเองให้มาก
    เพราะธรรมะของตน หรือ มรรคผลนิพพานตนเอง มันก็อยู่ภายในกาย ภายในใจของตนเอง

    ส่วนพระไตรปิฎกอยู่ที่หอสมุด
    แต่ธรรมะของฉัน! มันผุดมาจากก้นบึ้ง จากหัวจิตหัวใจของฉัน
    ธรรมะไม่ต้องอ่านเยอะ(มันปวดหัว) แต่ต้องปฎิบัติเยอะๆ

    พี่ภูใกล้จะหมดวาระ หมดหน้าที่ตนเองแร๊ะ จะได้มุดถ้ำกับคนอื่นบ้าง
    เราไม่อยากยุ่งกับทางโลก แต่ทางโลกมันมายุ่งกับเรา ก็เลยต้องอยู่ทั้งทางโลกและทางธรรมไปก่อน
    ก่อนที่จะอยู่กับโลกทิพย์(โลกหลังตาย) ทิพย์ไหนไม่รุ๊ ทิพพจักขุหรือบอดจักขุ ก็ไม่รูี ฮ่าๆ

    พี่ภู..เกิดมาพร่ำ
    (ไม่ใช่พร่ำเพื่อนะ ถ้าเลือกได้ ก็อยากเกิดทีเดียวตายหนเดียวนะ เพราะมันอิ๊ดดด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เมื่อก่อนเคยเป็นพระเอกหนังเรื่อง ทวิภพ
    (อดีตชาตินานมาแร๊ะ)

    แต่ตอนนี้ เป็นพระเอกหนังสด(ไม่ใช่เนื้อสดนะ)
    เรื่องชีวิตจริงของนายภู
    !(ไม่ใช่นายหัวนะ)

    (ชาติปัจจุบันเล๊ยยย)

    อำนวยการสร้างเอง ดูเอง ขำเอง ร้องไห้เอง ส่วนตัวละครก็หาเอง(คนแถวๆนี้) start and end เอง เห่อๆ
    สร้างด้วยจิตศรัทธา คือไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว ใจล้วนๆ
    เจ็บกายมั่ง สบายใจมั่ง แต่ก็ไม่สน เพราะได้มอบกายถวายชีวิตนี้ เพื่อพระพุทธศาสนาไปแร๊ะ(มิใช่พูดดีเข้าตน บ่นให้ฟังเฉยๆ)
    เพราะตอนนี้คนหายหมด ทิ้งเราไปหมดแร๊ะ หนังเรื่องนี้มีทั้งชม(ก่อนดู) ด่าเมื่อหนังจบฯ..อิอิ
    โลกธรรม๘ วัดจิตโดยตรง ปฎิบัติวัดผลกันที่ปฎิเวธ
    แล้วพวกเราปฎิบัติธรรมเก่งกันแล้ว มัวมาดีใจหรือเสียใจ สุขหรือทุกข์กันทำไม๊ วางมันเดี๋ยวนี้ซะ ก็ออกจากเครื่องเศร้าหมองใจ(อุปกิเลส๑๖)ได้แล้ว

    ว่าแต่ว่า เรื่องนี้ไม่มีสคริ๊ปซะด้วยแฮ๊ะ แสดงสดๆเลย เลือดสาดเลยพูดจิ๊งๆ

    นี่แหล่ะหน๋อ ธรรมะ
    หมองูยังตายเพราะงู
    นี่หมอธรรมะ จะมาตายเพราะธรรมะ (รึป่าว?)

    เห่อ คิดไรมาก ตายช่างมัน เอาจิตตนเองให้รอดก่อน
    จิตรอดหมายถึง ตอนนี้จิตเราเศร้ามั๊ย หมองมั๊ย
    มันต้องเศร้ามั่ง หมองมั่งแร๊ะ แต่ล้างให้ทันก่อนดับจิตกันนะ

    หุ้นหรือกระทู้ก็เหมือนชีวิตคนเรานี่แหล่ะ มีขึ้น มีอวบ เอ๊ย มีลง
    ใครทุกข์ช่างมันปะไร แต่ข้าต้องไม่ทุกข์ เพราะตัวทุกข์ก็คือ ขันธ์ ๕
    เพราะฉะนั้น ทุกข์เป็นของกาย มิใช่ จิต
    ถามว่าสติ ก็คือเราอีก สติทุกวันนี้ เราต้องทำแค่ไหน?
    แค่ทำให้เกิดความรู้สึกตัวเองบ่อยๆ(เจริญสติ)
    เพราะสติมากทำให้จิตเรานิ่ง จิตนิ่งแปลว่า จิตเป็นสมาธิ
    เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตเราก็มีปัญญา
    นี่นะ ตัวปัญญา ที่ทำให้คนเรา ฉลาดทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว

    ที่พพร่ำมาทั้งหมดนี้ ก็คือ ธรรมะของตนเองล้วนๆ คนอื่นๆอาจจะได้พ่วงมาด้วย(maybe)

    หนังเรื่องนี้ เกิดขึ้นเพราะพี่ภูคนเดียวเล๊ย (ไม่น่าเลยหรือว่าเห็นสัจจะธรรมไวดี)

    เขียนบทโดย: นายระบาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2013
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ศีล ๕ จัดเป็นมหาทาน เพราะศีลเป็นแม่ของธรรม ศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา ศีลเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา การให้ศีลเป็นทานจึงชนะทานทั้งปวง การสร้างพระภายในให้เกิดขึ้น ความสำคัญอยู่ที่ศีล หากศีลทรงตัว คือเพียรรักษาศีล จนกระทั่งศีลรักษาจิตใจผู้นั้นไม่ให้กระทำผิดศีลอีก เรียกว่าศีลเข้าถึงใจ เป็นสีลานุสสติเป็นอธิศีล หรือเป็นพระโสดาบันนั่นเอง เป็นพระอริยะเบื้องต้นจิตเป็นพระ เป็นแล้วไม่เสื่อมมั่นคงถาวร มีแต่จะเจริญขึ้นตกต่ำไม่มี ก็เพราะความดีนั้นตั้งมั่นอยู่บนศีล ๕ ข้ออันบริสุทธิ์นั่นเอง

    บารมี ๑๐ ต้องพยายามให้เต็มอยู่เสมอ ทำกำลังใจให้ดีตรวจตราบารมี ๑๐ ให้ครบ ถ้าครบถ้วนทุกประการ จักทำกรรมฐานกองใดก็สำเร็จได้ทุกกอง ที่แล้วๆ มา เพราะทำกำลังใจไม่เต็มนั่นเอง ไม่ว่าใครทั้งหมดที่ปฏิบัติธรรมไม่มีผล ก็เพราะขาดบารมี ๑๐ การปฏิบัติไม่ใช่เอาแต่จำได้ จักต้องจำได้ให้ครบถ้วน และทำได้ครบถ้วนประจำใจอยู่ตลอดเวลาด้วย ถ้าหากหวังพระนิพพานในชาตินี้ จักต้องทำได้อย่างนี้ จึงจักไปพระนิพพานได้

    การลืมเป็นของธรรมดา แต่จงอย่าลืมพระนิพพาน ทำใจให้สงบ เรื่องการลืมเป็นธรรมดาของสัญญา ลืมอะไรก็ลืมไปแต่จงอย่าลืมความตั้งใจที่ตั้งไปพระนิพพานก็แล้วกัน

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม ๑๖)
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โลกก็หมุนไปตามธรรมชาติของมัน
    เหมือนกิเลสคนเราที่มักจรมาหาจิต
    แล้วทำให้จิตเกิดสุข เกิดทุกข์ หรือเกิดอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดไปต่างๆนานา
    หรือเราเรียกว่า เจตสิก (อารมณ์ของจิต)
    แต่ถ้าจิตปุถุชน หรือผู้ไม่ฝึกจิตมาดี ก็จะไม่มีสิทธิ์รู้เท่าทันแน่ๆ หรือไม่มีทางเห็นมันแน่ๆ
    แต่เมื่อเราสามารถรู้เท่าทัน ด้วยปัญญาแล้ว เราก็ออกจากทุกข์ตนเอง เมื่อนั้น

    ถึงว่าทำไม๊ พระพุทธองค์ทรงให้พระกรรมฐานทั้ง 40 กองมาให้พวกเราปฎิบัติทำไม
    ก็แค่เป็นกุศโลบายทำให้จิตคนเรานิ่งนี่เอง
    การปฎิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่ยากตรงที่จะทำอย่างไรให้จิตตนเองนิ่ง
    นิ่งแบบเสถียร มิใช่นิ่งดูดาย หรือนิ่งนิดหน่อย อันนี้ใช้ไม่ได้

    จิตเรานิ่งได้เมื่อไหร่ เราก็สุขได้เมื่อนั้น (สมาธิระดับอุปจารสมาธิหรือเฉียดฌาน)
    ไม่ใช่สุขแบบขณิกสมาธิ(สมาธิเล็กน้อย)
    นี่คืออานิสงส์แรกพบ เหมือนเราได้พบเจอแรกรัก(รักแรก)

    สุขถัดไปก็คือ สุขนุ่มลึก ก็คือสุขจากฌาน(สมาธิระดับอัปปนาสมาธิ)

    สุขถัดไปก็คือ สุขเหนือสุข (แหม๊ ไม่อยากพูดเลย เดี๋ยวหาว่าเราเป็นจิตอรหันต์)
    ขอเรียกว่า สุขนิพพานบนดินก็แล้วกัน
    สุขอันหลังนี้เกิดจาก จิตสมถะเป็นบาทฐานก่อนแล้วจิตถึงจะเข้าโหมดวิปัสสนา จนได้ปัญญาญาณ

    ผิดถูกไม่ว่ากันนะ เพราะเป็นกระทู้สาธารณะ ติ-ชมได้
    แต่ใครนำตำรามาเถียง ผมฟังนะ แต่จะเชื่อหรือไม่ ก็เป็นเรื่องปัจจัตตัง(ผม)

    ปัญญาญาณนี้แหล่ะ จักทำให้เรารู้ลึกตื้นหนาบางทั้งกิเลสหยาบละเอียด
    หลอกปัญญาญาณไม่ได้เลย
    จิตไม่นิ่ง เผลอสติก็ได้ ไม่ทุกข์เลย เหมือนลมบนไม่มี ไม่เกิด เราจึงไม่ไหวติง
    ไร้น้ำหนัก ไร้ที่ยึด ไม่มีอะไรเลย
    เหมือนจิตมันไปไกลมาก แต่ไม่ใช่กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีนะ
    ถามจริงๆคนอ่านงงไหม๊ เพราะคนเขียนเหมือนคนตาย เหมือนไม่ได้หายใจอย่างนั้นแหล่ะ
    ทุกสิ่งมีอยู่ กิเลสครบ100% แต่มันอยู่แบบธรรมชาติ อยู่กับกายเพียงอย่างเดียว
    แต่จิตไม่ได้ไปยึดติด ถามว่ารู้มั๊ย(ตอบว่ารู้) รำคาญมั๊ย(ตอบว่าไม่)
    รู้สึกทั้งหมดแร๊ะ เห็นทั้งหมดแร๊ะ ได้ยินทังหมดแร๊ะ เหมือนกับคนธรรมดานี่แหล่ะ
    เหมือนก่อนเราปฎิบัติทุกอย่าง แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ มันไม่วิงตามเท่านั้นเอง

    สติถามว่าจิตว่า..รู้ป่าว? กรูรู้แย๊ววว มัน(กิเลส)หลอกกรูไม่ได้หลอก
    พอดีกว่า เริ่มออกทะเลแร๊ะ
    เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ก่อน (สภาวะบางอารมณ์)
    ใครรู้แล้ว ช่วยเฉลยด้วยนะ เพราะผมมันโง่นัก!
    ฉลาดแต่เรื่องยากๆ เรื่องง่ายๆดันไม่รู๊

    ผู้ปฎิบัติให้ดูที่จิตตนเองนะ เวลาปฎิบัติน่ะ
    เมื่อไหร่เน็ตจะล่มนะ เพราะจะได้กลับบ้านใครบ้านมัน..อิอิ
    บ้านในที่นี้หมายถึง ถ้ำ เอ๊ย กายในกาย จิตในจิต(ตนเอง)

    (ฝากข้อคิด)
    ขอให้เราเข้าใจตนเองก็พอแร๊ะ ไม่ต้องให้ใครมาเข้าใจตนเองหรอก

    จากนักแสดงละคร(มีคนเขาให้ฉายามาเพี๊ยบ..อิอิ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตัวอย่าง!

    ผู้ประมาทในธรรม จิตเป็นมิจฉาทิฎฐิ คิดว่าตนเองพ้นนรกแล้วอย่างถาวร จึงทำความผิด ทำความชั่ว ทั้ง ๆ ที่รู้ ขอยกตัวอย่าง ๒ ราย

    รายที่ ๑ เป็นแม่ชี

    รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองมิใช่พระ แต่ก็รับสังฆทาน แล้วเอาทั้งวัตถุและเงินของที่เขามาถวายเป็นสังฆทานไปใช้จ่ายตามที่ตนเองเห็นว่าสมควร ทำไปทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะความหลงคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าพ้นนรกแล้ว จะทำอะไรก็ทำได้ มโนมยิทธิของตนแจ่มใสจะไปพระนิพพานเมื่อใดก็ได้ ผลพอตายหรือขันธ์ ๕ พัง จิตก็ตรงไปโลกันตมหานรกทันที โดยไม่ผ่านสำนักพระยายม ใครอยากทราบก็ไปถามลุงพุฒท่านดู (เจ้าพระยายมราช) หรือถามพระพุทธเจ้าโดยตรง

    รายที่ ๒ เป็นนักวิชาการ

    มีความรู้ทางปริยัติดี เคยบวชเรียนในวัดมีชื่อเสียง ซึ่งมีการสอนปริยัติธรรม และเชื่อเรื่องมีนรก มีสวรรค์ มีพระนิพพาน ตายแล้วไม่สูญ รายนี้จึงรู้ แต่ก็รู้แบบปริยัติ คือ รู้ไม่จริง ความสงสัยยังมีอยู่ในใจเป็นธรรมดา

    ตอนที่ยังเป็นฆราวาส เห็นแก่สินจ้างรางวัล จึงออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีตามที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด ขอเล่าย่อ ๆ ว่า ทุกครั้งที่เขาไปโจมตีด้วยข้อความที่เป็นเท็จ แม้แต่ในชนบทตามหมู่บ้านในป่า-ในเขา ก็จะมีประชาชนที่นั่นคัดค้านโต้เถียงด้วยเหตุผลอันชอบแทนหลวงพ่อท่าน จนนักวิชาการผู้นี้หน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่สำเร็จก็เงียบไปสักพักหนึ่ง คราวนี้ไปบวชเป็นนักบวช จากวัดที่มีชื่อเสียงนั่นแหละ แล้วออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงอีก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา ที่รัฐ L.A) ก็ไม่มีผลอีกตามเคย ทั้ง ๆที่เอาผ้าเหลืองบังหน้า คิดว่าจะไม่มีฆราวาสกล้าขัดแย้ง แต่ก็มีฆราวาสขึ้นพูดขัดแย้งด้วยเหตุผลอันชอบ จนหน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่มีผลก็สึกจากนักบวชออกมาเป็นฆราวาส วันหนึ่งขับรถยนต์ส่วนตัวไปต่างจังหวัด กรรมที่ตนเองเป็นผู้ทำไว้หนักมาก เพราะทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ในขณะที่ครองผ้าเหลืองเป็นนักบวช โทษจึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ รถพลิกคว่ำหลายตลบ ตนเองคอหักชนิดจับคอหมุนได้ หมายความว่า ร่างกายหรือขันธ์ ๕ แตกดับหรือตายทันทีในขณะอุบัติเหตุ คนไปบวชเป็นพระแล้วไม่สนใจเรื่องศีล ไม่รักษาพระวินัยให้ครบ ๒๒๗ ข้อ เพราะขาดหิริโอตตัปปะ คือ ไม่ละอายในความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่วแล้ว ก็เป็นแบบท่านเทวทัตทุกราย ให้สังเกตศีลของพระเกือบทุกข้อ หรือทุกข้อมีต้นเหตุจากขาดหิริโอตตัปปะทั้งสิ้น (ปาจิตตีย์ แปลว่า จิตเป็นบาป) รายนี้ก็เช่นกัน ไปบวชเป็นพระ แต่ไม่สนใจศีลหรือพระวินัย บวชเท่าไหร่ก็ไม่เป็นพระ โทษก็ลงอเวจีมหานรกอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่ที่เลยไปอีก ๑ ขุม เป็นโลกันตมหานรกนั้น เพราะเขาทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ (จุดนี้ พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสเมื่อมีผู้ถามพระองค์ท่าน)

    สรุปว่า ทั้ง ๒ รายนี้มีเหตุมาจากการทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งคู่


    (คัดมาบางส่วน)
    ที่มา:

    http://www.tangnipparn.com/page10_b00k2.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...