ขอเชิญร่วมตอบปริศนานกยาง นำโลกสู่ยุคศิวิไลซ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 21 มิถุนายน 2011.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
  2. Kariang

    Kariang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +18
    จำเขามาตอบนะค้าบบบ

    ๑.นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องบอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    นกยางไม่ร้องบอกหมายถึงพระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัว ปกตินกยางมีนิสัยกินปลาเฉพาะเวลาหิวเท่านั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงแทนความมักน้อยไม่สะสมโภคทรัพย์ของพระโพธิสัตว์ขณะสร้างบารมี 30ทัศน์ ปลาหมายถึงคนทั่วไปที่ใฝ่ธรรมมะก็ไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะ นกยางจึงไม่ส่งเสียงร้องใดๆเนื่องจากคนทั่วไปในสังคมมีคนที่ใผ่ธรรมน้อย
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ปลาหมายถึงคนทั่วไปส่วนมากในสังคมที่ใฝ่ธรรมมะมีน้อยคนส่วนมากไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะเนื่องจาก หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลามันรกคือไม่มีความสงบสุขคนจึงไม่ขนขวายในธรรมะ
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลา. มันรกคือไม่มีความสงบสุขเนื่องจากวัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    วัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข อ้างว่าเจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อย คือขังวัวไม่ให้กินหญ้าที่รกหมายถึงข้าราชการตกอยู่อำนาจผู้มีอำนาจที่มาจากประชาชนเอง
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    เจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อยวัว อ้างว่าเจ็บท้องหิว. คือไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอซึ่งเป็นค่านิยมของคนทั้งหลายที่โลภในสังคมเต็มไปด้วยคนที่บริโภคนิยม
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ท้องที่หิวหมายถึงความไม่รู้จักพอนี้เกิดจากทรัพย์ทั้งหลาย ในที่นี้คือข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักสุก บริโภคแล้วปวดท้อง
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักพอ เนื่องจากไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ไม่รู้จักการเสพโภคทรัพย์แต่พอดี
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ เนื่องจากฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะตามค่านิยมของสังคม
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เพราฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทานขณะบริโภคโภคทรัพย์
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทาน เนื่องจากกบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกบเขียดที่สักแต่ว่าร้องตามกันไปเวลาจิตรับอารมณ์ทางทวารต่างๆ
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    กบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เนื่องจากงูคือความไม่รู้ในวิชชาที่ทำหน้าที่ทำให้
    จิตรู้ทันอารมณ์ทั้งหก
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า
    งูหมายถึงอวิชชาที่กินหรือครอบงำจิตที่ไม่รู้ทันอารมณ์ทั้งหกเพราะเป็นธรรมดาของอวิชชาจะครอบงำชีวิตของคนทั่วไป
    โดยสรุปการที่พระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัวเพราะในยุคปัจจุบันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแก่การแสดงธรรมะและอวิชชายังครอบงำคนทั้งหลาย. หากบุคคลใดปราถนาพบปะศาสนาพระศรีอารยเมตตรัยต้องหมั่นภาวนาอยู่เนืองๆในวิชชาทั้งหลายจึงจะมีโอกาสได้พบเจอท่าน
     
  3. Kariang

    Kariang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +18
    จำเขามา่าสู่กันฟังนะค้าบบบบบบบบบบ

    ๑.นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องบอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    นกยางไม่ร้องบอกหมายถึงพระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัว ปกตินกยางมีนิสัยกินปลาเฉพาะเวลาหิวเท่านั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงแทนความมักน้อยไม่สะสมโภคทรัพย์ของพระโพธิสัตว์ขณะสร้างบารมี 30ทัศน์ ปลาหมายถึงคนทั่วไปที่ใฝ่ธรรมมะก็ไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะ นกยางจึงไม่ส่งเสียงร้องใดๆเนื่องจากคนทั่วไปในสังคมมีคนที่ใผ่ธรรมน้อย
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ปลาหมายถึงคนทั่วไปส่วนมากในสังคมที่ใฝ่ธรรมมะมีน้อยคนส่วนมากไม่ขนขวายออกมาแสวงหาธรรมะเนื่องจาก หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลามันรกคือไม่มีความสงบสุขคนจึงไม่ขนขวายในธรรมะ
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    หญ้า หมายถึงบ้านเมืองสังคมที่เป็นที่อาศัยของปลา. มันรกคือไม่มีความสงบสุขเนื่องจากวัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    วัวซึ่งหมายถึงข้าราชการไม่ดูแลให้บ้านเมืองสงบสุข อ้างว่าเจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อย คือขังวัวไม่ให้กินหญ้าที่รกหมายถึงข้าราชการตกอยู่อำนาจผู้มีอำนาจที่มาจากประชาชนเอง
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    เจ้าของวัวคือผู้มีอำนาจไม่ปล่อยวัว อ้างว่าเจ็บท้องหิว. คือไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอซึ่งเป็นค่านิยมของคนทั้งหลายที่โลภในสังคมเต็มไปด้วยคนที่บริโภคนิยม
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ท้องที่หิวหมายถึงความไม่รู้จักพอนี้เกิดจากทรัพย์ทั้งหลาย ในที่นี้คือข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักสุก บริโภคแล้วปวดท้อง
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ข้าว มันไม่มีความสุก คือทรัพย์ทั้งหลายที่คนบริโภคนั้นบริโภคด้วยความโง่เขลาจึงไม่รู้จักพอ เนื่องจากไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ไม่รู้จักการเสพโภคทรัพย์แต่พอดี
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ไฟ คือปัญญาไม่ลุก หมายถึงไม่รู้จริงในการใช้ทรัพย์ เนื่องจากฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะตามค่านิยมของสังคม
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ฟืนมันเปียก คือเชื้อฟืนไม่พร้อมจะติดไฟ คือจิตคนทั้งหลายยังไม่พร้อมจะเกิดปัญญา ยังชุ่มอยู่ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เพราฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทานขณะบริโภคโภคทรัพย์
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ฝนตกมาก หมายถึงการปรุงแต่งยึดมั่นในโภคทรัพย์หรือที่เรียกว่าตัณหาอุปปาทานของคนมีมากและไม่สามารถรู้ทันในตัณหาอุปปาทาน เนื่องจากกบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกบเขียดที่สักแต่ว่าร้องตามกันไปเวลาจิตรับอารมณ์ทางทวารต่างๆ
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    กบเขียดร้อง คือการไม่รู้ในสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เนื่องจากงูคือความไม่รู้ในวิชชาที่ทำหน้าที่ทำให้
    จิตรู้ทันอารมณ์ทั้งหก
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า
    งูหมายถึงอวิชชาที่กินหรือครอบงำจิตที่ไม่รู้ทันอารมณ์ทั้งหกเพราะเป็นธรรมดาของอวิชชาจะครอบงำชีวิตของคนทั่วไป
    โดยสรุปการที่พระโพธิสัตว์ไม่แสดงตัวเพราะในยุคปัจจุบันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแก่การแสดงธรรมะและอวิชชายังครอบงำคนทั้งหลาย. หากบุคคลใดปราถนาพบปะศาสนาพระศรีอารยเมตตรัยต้องหมั่นภาวนาอยู่เนืองๆในวิชชาทั้งหลายจึงจะมีโอกาสได้พบเจอท่าน
     
  4. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ชอบครับ. มีอีกมัยครับ ท่านเอามาจากไหนครับ
     
  5. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อันนี้แปลได้ดี เพราะที่สุด ไปตกอยู่ที่ อวิชชา
    ไม่รู้เท่าทัน มาร - โมหะ โทสะ โลภะ แถมให้อีก ราคะ (ยินดีชอบในสิ่งที่ทำ และวนมาซ้ำๆ อีกครั้งเรื่อยไปเสมือน การกำหนัดทางเพศ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2013
  6. ราชันลาง

    ราชันลาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +431
    ดีมากครับ
     
  7. Kariang

    Kariang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมเดาเอาว่าพระโพธิสัตว์ท่านรอเวลาสร้างบารมีไปเรื่อยๆจนกว่ายุคสมัยจะพร้อม ในปัจจุบันธรรมะของพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธเจ้าอีกองค์มาให้คนกราบไหว้อีก และผมเองก็เชื่อหมดหัวใจว่าท่านเองก็กราบไหว้พระพุทธเจ้าของเรามาโดยตลอดในฐานะปุถุชนคนหนึ่งที่ไม่ปราถนาแสดงตัวตนใดๆ เหนือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ที่มีอยู่ดีแล้ว เพียงมีความรู้สึกอยากเตือนสติมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีสติ เท่าที่จะเข้าถึงพระธรรมที่แสดงไว้ดีแล้วได้ตามกำลังตน นี่เป็นเหตุให้ไม่มีใครพบเจอท่านเพราะเราพบเจอธรรมะของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันก็ดีมากกว่าเจอท่านอยู่แล้ว และคนที่อ้างตัวว่าเป็นท่านก็ต่างไม่รู้ความจริงข้อนี้แต่โลภอยากยิ่งใหญ่จึงหลงแอบอ้างตัวเป็นพระศรีอารย์ แต่ไม่มีใครไขปริศนานกยางเฮยได้สักคนเดียว ว่าธรรมะที่แทรกในปริศนาของพระอินทร์หมายถึงธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง
     
  8. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    โอ้วคำถามนานแล้วนะนี่ครับ

    (ฝากถึงพระอินทร์ ถ้าคำถามนี้เป็นคำถามของพระอินทร์จริง)
    โอ้ว 12 คำถามได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยิ่งกว่าเกมเศรษฐี คงบ้าจี้กันทั้งคนถามและคนตอบ คนถามก็คงดิ้นพล่านคิดคำถาม คนตอบก็ดิ้นพล่านหาคำตอบ

    เบื่อจริงๆพวกทำอะไรเป็นคำถามเป็นปริศนา ยิ่งถ้าเป็นปริศนาธรรมแบบแฝงธรรมไว้ในคำถาม ยิ่งดูเพ้อเจ้อ เลอะเทอะ ไปกันใหญ่
    ไม่รู้ว่าใครคนต้นคิด คนพาทำ คำตอบมันก็รู้ชัดเจนแก่ใจคนถาม เป็นคำตอบหนึ่งเดียว ซึ่งไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ถามผู้ตอบ คนจะตอบก็คงพากันคิดเตลิดวุ่นวายกันให้วุ่นไปหมด
    ก็คนถามเล่นซะอุปมาอุปไมยหาข้อเทียบเคียงเกินความหมายความเข้าใจของสิ่งนั้นตามแต่ตนจะนิยาม (เช่นนกยางหมายถึงอะไร ปลาหมายถึงอะไร หญ้าคืออะไร เปรียบเทียบกันได้กับสิ่งไหน)
    ถ้าเป็นข้อเปรียบเทียบไว้ พร้อมกับอธิบายให้เห็นสอดคล้องตามสิ่งที่เปรียบไว้ ด้วยก็ว่าไปอย่าง

    เป็นแค่คำถามที่ผู้ถามเพื่อไม่ต้องการคำตอบ แต่ถามเพื่ออยากจะรู้ว่ามีใครจะรู้คำตอบในสิ่งที่ตนรู้ (หรือว่าเป็นสุบินนิมิตรของพระอินทร์ แต่ดูท่าคงไม่น่าใช่ 555+)

    ถ้าถามแบบนี้ก็คงได้คำตอบตรงๆว่า มันก็แค่เรื่องเล่าของเรื่องราวเรื่องหนึ่ง
    ที่แสดงให้เห็นถึงการ สืบเนื่องสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล และความเกี่ยวเนื่องกันของสรรพสิ่งในธรรมชาตินี้
    ทุกอย่างล้วนมีเหตุมีปัจจัย ที่เกิดขึ้น และเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นมานั้น ก็ยังส่งผลต่อเนื่องไปยังสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นต่อไป

    เหมือนคำพูดที่ดูสวยหรูที่เขาว่ากันว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว อะไรนั้นประมาณนั้น


    ซึ่งต่างจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งที่เป็นในส่วน คำถาม และ คำตอบ ซึ่งยังประโยชน์ให้แก่ผู้ฟัง

    ถ้าเป็นคำถาม ท่านก็ทรงอธิบายก่อน แล้วก็ค่อยถาม
    ซึ่งก็เป็นคำถามที่ ถามผู้ฟังให้ได้คิดตาม ทำให้ได้เห็นตามสภาพความเป็นจริงไปตามลำดับ
    เช่นในอนัตตลักขณสูตร ที่ท่านทรงอธิบายๆปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็ทรงถามให้คิดตามไปทีละลำดับๆ
    ͹ѵ�

    ซึ่งเปรียบประดุจเหมือนผู้ที่
    -หงายของที่คว่ำ
    -เปิดของที่ปิด
    -ชี้ทางกับผู้เดินทางไม่ให้หลงทาง
    -จุดประทีปเอาไว้ในที่มืด

    และถึงแม้จะเป็นการ เปรียบเทียบ แบบที่พอจะเข้าใจได้ยาก คล้ายๆกับปริศนาธรรม ก็เป็นการเล่าเรื่องเปรียบเทียบแล้วก็อธิบายสิ่งที่เปรียบเทียบนั้นไว้
    (ไม่ได้เอาไปเที่ยวถามใคร) เช่น ในเรื่องอสรพิษ 4 ตัว เพชฌฆาตทั้ง 5 และ 6 เป็นการเปรียบเทียบตรง ให้เห็นภาพสิ่งที่เป็นภัย
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=18&A=4774&Z=4833



    ส่วนถ้าเป็นคำตอบท่านก็ทรงอธิบายตอบด้วยพระมหากรุณา อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเป็นคำถามของ พวกเจ้าลัทธิต่างๆ ชาวบ้าน พระราชา เทวดา ภิกษุ
    ทั้งที่บางคนจุดประสงค์ในการถามก็แตกต่างกันไป ถามเพราะสงสัยในธรรม คำสอน ถามเพราะอยากรู้ ถามเพราะอยากอวดภูมิ อยากข่ม


    แต่เท่าที่ดู ตย คำถามเทวดาๆสมัยก่อนรวมถึงพระอินทร์ ไม่เห็นมีคำถามพิเรนท์ๆแบบ 12 คำถามได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเลย
    เทวดา ทูลถาม พระพุทธเจ้า.

    สักกปัญหาสูตร สูตรด้วยปัญหาของท้าวสักกะ
     
  9. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ท่าน blackangel ก็ยังตอบเลยขนาดไม่สนใจ ก็คิดซะว่าฝึกสมอง ทดสอบจินตนาการ
    เรื่องราวคงมีมานาน อาจจะเพี้ยนไปต่ามกาลเวลาก็เป็นได้ คงไม่มีใครคิดว่าตอบได้แล้วจะได้เป็นจริง

    ส่วนตัวก็ยังคิดว่า คงมีคำตอบที่ทุกคนยอมรับ ว่าเป็นคำตอบของคำถามจริงๆ ครับ แต่จะเป็นเรื่องอะไร อันนี้ไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2013
  10. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    คำถามนกย่าง

    เป็นเรื่องของเหตุ

    เหตุ ของการกำเนิดของมนุษย์

    ที่มีองค์ประกอบของอวิชชา

    ตั้งแต่ต้น

    อวิชชาหรือความไม่รู้ในเหตุ

    ที่จริง จนกระทั่งหาที่สุดไม่ได้

    คำถามและคำตอบก่ จะวนเวียนไป

    อยู่ไม่รู้จักจบสิ้น เพราะ ความไม่รู้

    ในความจริง .... เพราะความจริง

    ที่แท้ไม่มีใครมานั่งตอบ นอกจาก

    ผู้สร้างตัวจริง ว่าทำไมมนุษย์

    จึงมีอวิชชา

    เพราะถึงแม้นจะรู้ ก่ จะไม่สามารถ

    คำตอบ (แก้ไข) ได้ด้วยตนเอง

    เพราะแม้นจะรู้รอด ปลอดภัย

    แล้ว ก่ ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด

    รู้เท่าใด ก่ เท่านั้น

    จึงเรียกว่า รู้รอดแล้ว

    แต่ก่ ยังไม่รู้หมด รู้จริงทั้งหมด

    เพราะให้รู้เพียง แค่นั้น ก่ เพียงพอ

    แล้วสำหรับการรู้รอดปลอดภัย

    ----------------------------------------
    โดยสรุป คือ เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่ถูกสร้าง ถูกกำหนด
    มีอวิชชา ตั้งแต่กำเนิด มานาน เป็นองค์ประกอบการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง
    ให้หลายอย่าง สามารถเปลี่ยนแปลง หมุนเวียนเปลี่ยนถ่าย เพื่อความดำรงอยู่
    ที่เจริญขึ้นๆ เจริญพันธ์ขึ้นๆ เจริญธาตุยิ่งขึ้นๆ ไป ...

    มนุษย์จึงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเปลี่ยนถ่าย ของ ทุกสิ่ง ไม่ว่า กระแสลบ หรือ บวก
    การมีกระแสลบ และ บวก นี้ เมื่อผ่านตัวมนุษย์ (เสมือนตัวต้านทาน) ก่ จะเกิดพลังงาน หรือ กระแสขับเคลื่อน
    หมุนเวียน ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2013
  11. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ยุคศีวิไลต้องมีวิทยาการก้าวหน้าด้วยสิ เดี๋ยวเจอโรคแปลกๆอีก ตามหาผู้ช่วยรอดอีก เซ็ง
     
  12. seberton

    seberton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2006
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +655
    ฉุกคิด พิจารณา สร้างแรงบันดาลใจ ใฝ่ฝันจินตนาการ นำองค์ความรู้ผสมผสาน แยกแยะเหตุผล เข้าใจธรรมชาติ บู้มเป็นโกโก้ครั่น
     
  13. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,266
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ต้นกำเนิดสักกะปัญหา ปริศนานกยาง
    หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านมาได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ท้าวสักกะองค์
    อินทร์ระลึกถึงกิจที่พระศาสดาสั่งไว้ได้ จึงเนรมิตตนเป็นชีผ้าขาวลงมาสู่
    กรุงศรีอยุธยา. ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้ง
    หลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.
    คนโดยมากได้ พบเห็นชีผ้าขาวเข้าไปถามปัญหาก็พากันคิดว่า พราหมณ์
    เฒ่านี้ท่าจะบ้า จึงไม่มีใครใส่ใจพิจารณาปัญหานัก ท้ายที่สุด ชีผ้าขาวก็
    กลับร่างเป็นพระอินทร์ นั่งอยู่บนอากาศแสดงปริศนานกยางไว้ดังนี้

    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    พระอินทร์สั่งให้จารึกปริศนานี้ไว้ใน ใบลาน และย้ำว่า ถ้าใครแก้ปริศนานี้ได้ ก็ให้
    บอกแก่พระอินทร์ คนผู้นั้นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วพระอินทร์ก็กลับคืนสู่
    ดาวดึงส์เทวโลก
    ตั้งแต่นั้นมา ก็มีผู้พยายามจะแก้ปริศนานกยางนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกพระอินทร์ให้รู้
    ได้อย่างไรดี จึงทำได้เพียงจารึกความคิดเห็นของตนลงในใบลานไว้ว่าปริศนานก
    ยาง มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง แม้อย่างนั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่ถูกต้อง
    ของปริศนานกยางนั้นคืออะไรแน่ เพราะพระอินทร์ก็ยังไม่ได้มาเฉลยให้ใครได้รู้เลย
    ว่า ปริศนานี้แก้ได้ว่าอย่างไร
    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////
    จะแก้ล่ะนะ

    นิทานทั้งเรื่องนี้เป็นปริศนา "ชีผ้าขาวนั้นท่องเที่ยวถามปัญหาแก่สมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ."

    ให้พระอินทร์ไปตั้งคำถามกับสมณะชีพราหมณ์ โดยที่ เอาตำแหน่ง พระเจ้าจักรพรรดิ์มาล่อ มันดูขัด ๆ กันมั้ยครับ ระหว่าง คำว่า สมณะชีพราหมณ์ กับ คำว่า พระจักรพรรดิ์

    ผู้ออกบวชคือผู้ออกจากเรือนแล้ว ดังนั้นตำแหน่งลาภยศใด ๆ ไม่สำคัญ ดังนั้นสมณะชีพราหมณ์ผู้ตอบคำถามนี้เพื่อหวังจะเป็นพระเจ้าจักรพรรรดิ์ สอบตกแต่แรกเลย

    ดังนั้น ปริศนานี้ ไม่ได้มีมาเพื่อหาพระจักรพรรดิ์ แต่มีมาเพื่อหาสมณะผู้มีพร้อมทั้งปัญญา และ ศีลธรรม


    ส่วนคำถาม

    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก
    ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    ผมวิเคราะห์ว่า มันเป็นการเอา วิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมมารวมกัน แล้วนำมาตั้งเป็นปริศนาธรรม คนที่ไขปริศนานกยางออกก็มีโอกาศที่จะพัฒนาตัวเองให้มีสติปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป เพราะ จะทำให้เรารู้จักพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ได้มากขึ้น

    1. ในปริศนา 12 ข้อ จะเห็นว่า ที่ปัญหา(ความทุกข์)ในข้อนี้ เกิดขึ้นและดำรงอยู่เป็นผลมาจากปริศนาข้อถัดไป สอดคล้องกับหลักปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดรู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท จะสามารถเป็นสงฆ์ในหมู่สงฆ์ได้ สามารถเป็นตัวตั้งตัวตีในการธำรงค์พระศาสนาให้อยู่ครบ 5000 ปีได้เช่นกัน

    2. จากข้อ 1 สรุปได้ว่า ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย ดำรงอยู่ด้วยเหตุปัจจัย

    3. ผู้มีปัญญา จะสามารถ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพื่อ ทำความเข้าใจปัญหาแต่ละอย่างได้เป็นวงกว้าง ทำให้แก้ไขปัญหาในห่วงโซ่แต่ละห่วงได้อย่างถูกต้อง
    ซึ่ง ในห่วงโซ่แต่ละห่วง มีวิธีแก้ปัญหา อยู่ประมาณ 3 แบบ คือ 1) แก้ที่เหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นมา 2)แก้ที่ความทุกข์ ของผู้ถูกกระทำ ไม่ให้ทุกข์จากการโดนกระทำ 3) แก้มันทั้ง 2 อย่าง

    4. จากข้อ 3 ถ้าเราสามารถหาปัจจัยที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาจนปัญหานั้นคลี่คลายได้ ก็อาจจะได้ข้อสรุปว่า สิ่งนี้สามารถดับได้ด้วยเหตปัจจัย

    5. ในการแก้ปัญหา การคำนึงถึงหลักความเป็นจริงทางธรรมชาตินั้น สำคัญที่สุด เช่น ฝนตก ก็ไปถามฝนว่าทำไม่มันจึงตก = = คงไม่มีฝนที่ไหนตอบกลับมาจริง ๆ หรอกครับ ว่า เพราะกบมันร้อง
    หรือฟืนเอยทำไมจึงเปียก ฟืนที่ไหนมันจะไปตอบกลับมาได้ว่ามันเปียกเพราะอะไร
    ดังนั้น การแก้ปัญหาต่าง ๆ ต้องอาศัยสติในการพิจารณาข้อมูลแวดล้อมให้ดี ว่า มีอะไรที่ขัดแย้งกับความจริงบ้าง การเอาสิ่งมีชีวิตมาใส่ชีวิตให้มัน น่าจะมีส่วน ทำให้คนเปรียบเทียบไปถึงลักษณะของนามธรรม *.* ซึ่งเขาจะเปรียบเทียบถูกผิดก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริงของปริศนานี้

    6. จากข้อ 5 การรู้เท่าทัน มีสติในการฟังความ หรือพิจารณาต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ

    7. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก ข้อนี้สังเกตได้ว่า เราสามารถคาดเดาความเป็นไปได้ต่าง ๆ โดยอาศัยพื้นฐานความเป็นจริง และนำเอาผลสรุปนั้นมาเป็นข้อมูลในการช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่ ข้อมูลที่เกิดจากการประเมิณ ประมาณ คาดเดา ยังไงก็ไม่สู้ ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง

    อย่างเช่น ถ้าฟืนมันเปียก หากเรารู้ว่าอะไรมันสามารุถเป็นเชื่อไปได้ก็ไปหามาเป็นเชื่อไฟ หรือเป็นวัสดุอื่นที่แห้ง ๆ แทนก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาสาเหตุว่าอะไรทำให้ฟืนเปียกอีก เป็นการ เอาความรู้ ที่เคยมีมามาใช้แก้ปัญหาได้

    ผมยังตอบได้ไม่หมดหรอกครับ เพราะคิดว่าตัวเองยังรู้ไม่มาก แต่ โดยข้อสันนิษฐาน นิทานเรื่องนี้ น่าจะมีจุดประสงค์อยู่ที่การค้นหาผู้มีปัญญา และศีลธรรม หรือไม่ก็ตรวจวัดระดับคุณธรรมของสมณะชีพราหมณ์

    ผู้ที่จะธำรงค์พระศาสนาให้อยู่ครบ 5000 ปี ได้ คือผู้ถึงพร้อมด้วย สติปัญญา ศีลธรรม และความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลายครับ

    ตามการมโนของผม ย้ำว่า มโน เพราะ ที่พูดมาทั้งหมดเป็นแค่ความเห็นส่วนบุคคล
    การหาพระจักรพรรดิ์ด้วยปริศนานกยางนี้ ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะครับ เพราะปริศนานกยาง น่าจะเป็นเป็นแค่การขุดบ่อล่อปลา ของบรรพบุรุษบางกลุ่มของเรา ที่เอาไว้คัดกรองผู้ที่ไม่เหมาะสมออกไปจากพระศาสนา กับ วัดปัญญา และคุณธรรมของสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย


    สงสัยจริงว่าปริศนานกยางนี้ เป็น ปริศนาของพระพุทธเจ้ามอบไว้ให้กับท้าวสักกะจริงมั้ย เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่น่าจะต้องทำอะไรแบบนี้ จะให้ดี ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากได้รับคำตอบหรือที่มาที่ไปของปริศนานกยางนี้ ว่ามันเป็นเรื่องแต่งที่มีจุดประสงค์บางอย่างหรือเป็นสิ่งที่พระอินทร์ท่านได้รับมอบหมายมาจริง

    อย่างไรก็ตาม ผมคงวางปริศนานกยางไม่ลงซะละ เพราะแม้ว่าจะไขไม่ออก การพยายามแก้ปัญหานี้ก็ทำให้ผม เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไว้จะแก้เล่น ๆ ดูเรื่อย ๆ นะครับ ไม่ได้หวังว่าจะตอบถูก แต่ ผมแค่อยากแชร์สิ่งที่ผมได้รับจากปริศนานกยาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2017
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อ่านแล้วทำให้นึกถึง หลักอิทัปปัจจยตา
    ที่ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดมาแต่เหตุ ไม่มีีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองลอยๆได้
    สาเหตุที่สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ๆ ก็เพราะมันมีเหตุของมันนั่นเอง คนโบราณช่างมีวิธีสอนที่แยบยลนัก
     
  15. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    คนไม่รู้
     
  16. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,266
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ก็ถูกนะครับ แล้วท่านทราบที่มาที่ไปของปริศนานี้หรือเปล่า ถ้าทราบโปรดช่วยบอกช่วยกล่าว
     
  17. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    ในปริศนา มีคนไม่รู้ ใน ธรรม+ชาติ พิจารณาดีๆ ในเนื้อเรื่องปริศนา คนไม่รู้ถาม คำตอบ คนไม่รู้
     
  18. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    เรื่องนี้มีคนตอบได้นะ...
     
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    องค์อินทร์บอกว่าจะทำให้คนที่ตอบคำถามนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิ เรื่องนี้ชาวโลกเขาจะยอมรื้อ
    ทุกวันนี้โลกมีความเจริญศิวิไลซ์อยู่แล้ว
    ไม่ต้องไปง้อพระเจ้าจักรพรรดิ อเมริกาเป็นพี่เบิ้มมหาอำนาจ รองลงมาก็มีจีน อังกฤษ
    ใครเขาจะไปยอม
    ถ้าคุณจะทำได้ คุณต้องทำลายล้างโลกในขณะนี้ให้หมดซะก่อน
    ทำให้ผู้คนกลับไปอยู่ถ้ำเหมือนเดิม
    ทำให้ตำนานโลกศิวิไลซ์ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็นแค่นิทานปรัมปรา ที่อยู่ในความทรงจำของผู้คน เล่าไปแล้วลูกหลานไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
    แล้วจึงค่อยสถาปนาพระเจ้าจักรพรรดิ นั่นแหละจึงจะมีผู้คนที่ยอมศิโรราบต่อพระเจ้าจักรพรรดิของคุณ
     
  20. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อีกอย่างหนึ่งนะ เรื่องที่คนทั้งโลก ฝากความหวังไว้กับคนๆเดียว รอให้คนๆเดียวมาจัดการปัญหาทุกอย่างให้แบบเบ็ดเสร็จ มันเป็นความคิดของคนด้อยความเจริญ
    ซึ่งคนที่เจริญแล้วเขาไม่คิดไม่ทำกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...