ไสยศาสตร์ฉบับชาวบ้าน..มี.สาระ แบบกันเอง

ขอบคุณพญายามากครับ ว่าแต่พวกเขี้ยวหมูตันกรณีที่มันสู้กันจนหัก
เรียกว่าเขี้ยวกระเด็นได้ไหมครับเนี้ย 555(ขำๆนะครับ เห็นช้างเรียกได้ )

 

อยากให้อาจารย์คำรณเล่าเรื่องไสยศาสตร์เกี่ยวกับการสักยันต์ให้ฟังหน่อยครับ
ป.ล.เคยเห็นทหารที่ลงสามจังหวัดชายแดนใต้สักยันต์แล้วบอกว่าดี

 

ผมว่ายันต์กับวัตถุมงคลก็คงเหมือนกันครับ แต่สักยันต์นี่ติดตัวไปไหนมาไหนกับเราไม่ต้องถอด เหมือนพระหรือเครื่องราง ยันต์ดี พุทธคุณดี แต่คนที่สักไม่ดี ก็เหมือนลายเส้น หมึกที่เขียนลงบนตัวครับ

แต่ถ้าทำตัวดี ปฏิบัติตามข้อกำหนด ก็คงถึงไหน ถึงกันแต่ไม่เกินกรรมครับ

 

อาจารย์ไปไหนน้อ เงียบเชียว:'(

 

น่าสนอันไหนครับพี่พญายา 5555

 

ท่านสมาชิกที่รอคอยวัตถุมงคลก็รอนิดนะครับเพราะผมยังประชุมสัญจรอยู่..น่าจะราวๆ ๖-๗ ก.พ. จะส่งให้

สำหรับสมาชิกท่านใดที่ได้นำคาถาบางบทไปใช้แล้ว บางคนได้ผลก็ต้องบอกว่าเป็นบารมีของเราครับ ส่วนที่ไม่ได้ผลก็อย่าไปท้อ ถ้าอยากจะมีวิชากับเขาต้องฝึกฝนอดทนกันหน่อย.เพราะบางครั้ง..บางคนนั้นขณะภาวนาจิตยังวอกแวกไปมาลมหายใจยังไม่เยือกเย็น..ก็จะได้ผลน้อยเพราะพลังที่แผ่ออกไปด้วย จิต+คาถา ยังมีน้อยเกินไป..มันก็จะแสดงผลได้น้อย.ครับ.

บางคนก็ยังไม่เข้าใจเรื่องลมหายใจว่าจะภาวนาอย่างไร..จะเรียกว่า พอดิบพอดี
ผมอธิบายดังนี้ครับ..
-คาถาสั้นๆที่ใช้ทั่วไปส่วนใหญ่จะให้ ว่า ๓ คาบ ๗ คาบ ๙ คาบ บางทีก็จะบอกว่า ๓ ที ๗ ที แล้วแต่ครูอาจารย์ ถ้าจะว่าคาบง่ายๆตามที่ผมบอกคือ หายใจกลั้นไว้แล้วว่าให้จบ.แล้วเป่าลง ๑ ครั้งเรียกว่า๑คาบ (ครูบอกว่าขณะเป่าออกให้กำหนดมโนภาพให้เกิดพลังออกมา) หรือจะคาบธรรมดาคือหายใจเข้า ว่าคาถา ๑ จบ หายใจออก ว่า ๑ จบ(ว่าทั้งไป-กลับ) ก็เรียก ๑ คาบได้ แต่ที่ผมฝึกมาผมใช้แบบกลั้นลมหายใจครับ..จนกระทั่งต่อๆมาสมาธิผมได้ฝึกมาดีขึ้นๆตามลำดับพอว่านะโม ๓ จบ จิตก็จะดิ่งลงไปเองคราวนี้ก็สนใจแค่ตัวถาคาก็ว่าไปแบบนี้เรียกว่า คาบ สมบูรณ์คือ ว่าคาถา ๑ จบ ก็ ๑ คาบ เพราะจิตนั้นเข้าไปสมาธิดีพอควรแล้ว(มีปิติประกอบ)

-ส่วนบทยาวๆ เช่น โองการ หรือ คาถาบทยาวๆที่กลั้นอึดใจยังไงก็ไม่ไหว
ท่านบอกว่านั่นคือการเสก.คือว่าคาถาไปตามตัวคาถาให้ได้จบบทเรียกว่า ๑ คาบ บทยาวๆนี้จะเน้นการบริกรรมภาวนา ยิ่งว่าหลายครั้งยิ่งดีท่านว่ายังงั้น ส่วนใหญ่จะเอา ความนิ่งของ สมาธิจิต เป็นหลัก..
อย่างเช่นบททำน้ำมนต์ บางครั้งหลับตาภาวนาไปเรื่อยๆจนจิตสงบนิ่งเยือกเย็นดีแล้ว..จึงมากำหนดจำนวน คาบ ภายหลัง แบบนี้ก็ได้ผล ครับ..เรื่องบทยาวนั้นน่าจะเปรียบเสมือนคนวิ่งเป็นแล้วนั่นแหละจะเดินก็ได้จะวิ่งก็ได้จะคลานก็ยังไหว..แต่บทสั้นมันแค่เดิน..ขืนไปวิ่งก็ล้มไม่เป็นท่าครับ..

สรุป เรียนจากง่ายไปหายากอย่าไต่จากยอดลงมาครับ..คือว่าบทสั้นๆง่ายๆให้จิตมีสมาธินานๆ..ซั้กวันไม่แน่บางครั้งท่านใดที่ฝึกไว้พอเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน..เผลอภาวนาออกมา แค่ คำว่า พุทโธ หรือ นะโมพุทธายะ ก็อาจจะเจอปาฎิหารย์แน่นอนครับ..

 

เรื่องสักยันต์ในความเห็นของผมก็มีทั้ง ขลัง/ไม่ขลัง ขลังนาน/ไม่นาน

-มีหลายปัจจัย.
..ครูสักรักษาวิชาได้ถูกต้องไหม ถ้ารักษาวิชาได้ดี สักไปก็ขลัง แต่ผู้รับการสักรักษาดีไหม ถ้าดี ก็ขลัง แต่ถ้ารักษาไม่ดี..เสื่อมไปเอง.ดั่งไฟในหม้อแบตที่ไม่มีการชาต ก็เสื่อมครับ.
ครูสักถ้าสำเร็จวิชาถึงขั้นฒานสมาบัติ อันนี้ขลังแน่นอน แค่สักตัว นะ ตัวเดวก็เผาไม่ไหม้ มีมาแล้ว..แต่คนที่ถูกสักรักษาไม่ได้ของก็เสื่อม.
-มีข้อสังเกตุว่า ถ้าครูสักเป็นฆราวาส นานๆไปหมู่ลูกศิษย์ที่สักไปรู้สึกจะคลายความขลังไป..ครูผมบอกว่ามันเกิดจาก ครูสักมิได้มอบวิชาปลุกอักขระมาให้ลูกศิษย์..มันจึงทำให้เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเพราะพลังจิตครูสักยังไม่บรรลุถึงขั้นให้ใช้ได้อย่างถาวร..แต่ถ้าจะให้ใช้ได้อีกจะต้องมีการว่าคาถาปลุกอักขระยันต์นั้นขึ้นเอง ..
-ในสมัยก่อนนักรบจะปลุกตัวก่อนออกรบเสมอ ทั้งสัก ทั้งว่าน แต่เมื่อเกิดศึกอีกรอบก้จะมาปลุกตัวกันใหม่ ว่ากันใหม่..(ตามตำราพิชัยสงสครามว่าไว้เช่นนั้น) เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความขลังนั้นมีเวลา..ที่จำกัดของพลัง..ข้อนี้ควรนำไปพิจารณาครับ..เพราะบางคนสักแล้วฟันกันลองกันเดวนั้นไม่เข้า ทิ้งระยะห่างไปไม่ถึงเดือน..ไปเผลอลองกันเองเลือดสาดแทบทุกราย.
นี่คือข้อ พิจารณาครับ..ผมเองก็ไม่ได้ สัก เพราะ ครูท่านบอกว่า.เรียนคาถาอาคมแล้วไม่ต้องไปสักหรอก อยู่ในกายอยู่ในจิต ใครก็คิดไม่ออกว่าเรามีอะไรดี..คัดไม่ได้ แก้ไม่ตก..ผมก็เลย เฉยๆกัยเรื่องสักครับ มีบ้างที่ให้ พระท่านจารแผ่นหลังให้เพื่อทดลอง..ความเหนียว แต่ท่านก็บอกตรงๆว่า โยม จารแล้วลงน้ำมันแบบนี้ไม่ทนนะ..ต้องเสกน้ำมันงากินไปเรื่อยๆถึงจะทน..ผมก็รับว่าจริงครับ..เพราะเมื่อผ่านไปเกือบปีวิชาที่จารลงน้ำมันก็หายไป(ปลุกไม่ขึ้นอีกเลย)..

 

ไล่อ่านมาหลายวัน ตอนนี้เป็นปัจจุบันแล้ว..จะติดตามต่อไปได้ประโยชน์มากครับ พอมีประสบการณ์การใช้คาถามาบ้างเล็กน้อยเดี๋ยววันหลังมาแจม...ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ครับ..ถ้าผ่านไปแม่สายจะแวะไปชิมชาที่ร้านนะครับ

 

เรื่องการครอบครู

ใครที่สนใจในวิชาไสยฯ แล้วอยากจะไปครอบครูแบบพิธีหมู่ตามวัดต่างๆที่ท่านจัดขึ้น..ก็สงสัยว่า ครอบแล้วจะนำไปสู่การเรียนวิชาอื่นๆนอกเหนือจากของสำนักที่เราครอบได้ไหม

ปกติแล้วการครอบครูนั้น ทางอาจารย์ผู้ครอบจะตั้งพิธีรวมทุกสรรพวิชา คือจะกล่าวให้ครอบคลุมไว้กว้างๆเว้นแต่บางวิชาที่ไม่เกี่ยวข้อง/ไม่จำเป็น หรือต้องใช้ความรู้เฉพาะ ทางท่านก็จะไม่กล่าวครอบให้ เช่น ครูหมอ ครูยา ครูโขน/การแสดง..

สำหรับวิชาคาถาอาคมนั้น ทุกสำนักจะมีกล่าวอัญเชิญครูไว้ ดังนั้นถ้าที่ไหนมีพิธีรีตรองดีๆ กรรมวิธีถูกต้อง ก็น่าไปครอบครับ แล้วเรื่องการเรียนวิชาเราก็ไปแตกแขนง ไปหาความชำนาญเอาเอง ถ้าท่านไม่ได้มอบคาถาอาคม เราก็สามารถนำวิชาคาถาอาคมในหนังสือต่างๆที่มีอยู่ทั่วๆไป นำมาท่องบ่นสาธยายมนต์ได้แบบไม่ผิดครู..เพราะว่าในบรรดา เรื่องว่าด้วยครูคาถาอาคมนั้น ผู้ครอบ จะว่าเชิญเป็นโองการกล่าวนมัสการครูสายเดียวกันทั้งหมด..

แต่ว่าเมื่อเราจะนำคาถาในหนังสือมาใช้นั้นก็ให้ระลึกนึกถึง พระรัตนตรัยก่อนเสมอ จากนนั้นก็จะเป็นครูคาถาอาคมเจ้าของวิชาที่เรามี..ซึ่งถ้าเราผ่านการครอบมาแล้ว ก็จะสื่อได้ตรงกัน..ไม่ผิดเพี้ยนไปแต่อย่างใด..
แต่อย่าลืม เมื่อครอบครูมาแล้ว ควรตั้งขันบูชารับครูไว้ที่บ้านด้วย เพื่อจะทำให้เราระลึกนึกถึงครู และเพื่อรักษาการสื่อสารระหว่าง ครู-ศิษย์อยู่เสมอๆ..

นี่เป็นวิธีการที่รวบรัดและถูกต้องดีที่สุดทางหนึ่งครับ..

 

ถามหน่อยครับบางครั้งผมไปวัดหรือต่างจังหวัดบางทีได้กลิ่นธูปหอมมากตามติดตัวมาถึงที่บ้านบางทีได้กลิ่นหลายวันกว่าจะหายแต่ส่วนมากกลิ่นธูปจะได้กลิ่นหลังจากไปวัด แต่บางทีถ้าเข้าป่าเข้าดงหรือไปทำงานแล้วค้างที่ต่างจังหวัดก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า ตามมาถึงที่บ้านยิ่งบางช่วงนั่งเล่นคอมอยู่ๆก็ได้กลิ่นโชยมาแรงมาก ถามคนที่บ้านเค้าก็บอกไม่ได้กลิ่นไม่เห็นเหม็นอะไรเลยก็ยังงงๆอยู่ว่าเราเหม็นอยู่คนเดียวได้ยังไง ถามอาจารย์คำรณหน่อยครับว่ามีใครตามผมมารึเปล่าแล้วถ้ามาไม่ดีมีวิธีแก้ไหมครับ กลิ่นธูปนี่ชอบแต่กลิ่นเหม็นๆนี่สิไม่รู้เป็นอะไรบางทีหน้าบ้านหมาหอนกันเกลียวกราว

 

พอดีอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่า "การสวดรักขี" และ "บทยาเทวะตาฯ" คืออะไร
ก็เลยไปหาคำตอบ และหามาเพื่อหลายๆท่านครับ

การสวดรักขี
บทยาเทวะตาฯ (เทวตาทิปัตติทานคาถา)

 

พี่ tang_2536 ครับ พอดีซื้อบ้านใหม่แล้วอยากทำศาลพระภูมิครับ ขอพี่ช่วยแนะนำการขึ้นศาลพระภูมิเจ้าที่ให้หน่อยนะขอรับ

 

มาติดตามอ่าน ทุกวันเช่นเคยครับ....

ผมพยายามท่องบ่นคาถาหลายบทครับ.....แต่อยากสอบถามครับ ส่วนคาถาเมตตานั้น เวลาท่องเราต้องวางใจเป็นกลางหรือว่าให้นึกถึง คนๆนั้น ที่เราหมายปองด้วยครับ

 

..
กราบครูบาเจ้า.....พระอริยเจ้า....

 

เข้ามาติดตามอ่าน ตอนนี้หน้า 99 แล้ว ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆที่เล่าสู่กันฟัง

 

ถ้าประมวลจากที่เล่า แสดงว่าท่านมีจิตที่สัมผัสกับ.สิ่งที่มองไม่เห็นครับจะเรียกว่าพวกมีบุพกรรมร่วมกับท่านมาก็ได้
จริงๆนั้น ถ้าสังเกตุดีๆจะรู้ว่ามีเหตุมาจากสิ่งใด..
ถ้าถามว่าจะป้องกันอย่างไร..ผมก็ไม่ทราบว่า นอกจากกลิ่นนั้น มีผลกระทบอื่นๆด้วยหรือไม่ เช่น ท่าน/สมาชิกในบ้านเดือดร้อน
ถ้าไม่เดือดร้อน ก็แค่แผ่ส่วนกุศลให้ก็น่าจะดีที่สุด..ครับ เขาก็ไปแล้ว

 

แนะนำว่าถ้าจะขึ้นศาลพระภูมิควรหาผู้ทรงความรู้จริงๆตั้งให้ครับ ..เพราะจะได้พระภูมิที่มีพลังสูง
ผมเคยคุยคนรู้จักท่านหนึ่ง เป้นนายตำรวจเกษียนแล้ว ทำรีสอร์ทแบบลงทุนง่ายๆภายในบ้าน ใช้ชีวิตแบบสมถะ ไม่เหมือน นายตำรวจทั่วไป ชอบเรื่องธรรมะ มีผุ้ทรงความรู้ท่านหนึ่งมาขึ้นศาลให้(ท่านนี้มีศีลมีธรรมมากพอควร) ขึ้นแล้วท่านบอกว่า สถานที่นี้เจ้าที่แรงดีมาก ขอให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระแล้วจะ เหนื่อยหน่อยนะ..เจ้าของบ้านถามว่าทำไมถึงเหนื่อย คนขึ้นศาลบอกว่า ต่อไป ท่านก็จะมีลูกค้าเข้ามาจนเหนื่อยแหละครับ๕๕๕
จนทุกวันนี้กิจการก็เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ผมก้แวะไปทักทายท่านเสมอครับ ที่ อ.แม่จันฯ
แสดงว่า พระภูมิดีมีพลัง ที่อยู่อาศัยก็ดีไปด้วย แต่ถ้าไม่ขึ้นก็ไม่ต้องขึ้นไปเลย..อย่าทำแบบขัดเสียไม่ได้ เห็นเขามีก็มีตาม ไปเอาใครมาเชิญก็ไม่รู้ แบบนี้ ได้ไม่ดีครับ..

 

กราบครูบาบุญชุ่มคะ
และสวัสดีน้าคำรนด้วยคะ

หน้า99แล้วกาวต่อไปเรื่อยๆคะ

 

จริงๆใจอุเบกขานั้นวางยากยิ่งครับ..จิตที่ฝึกมาดีแล้วเท่านั้นถึงจะวางได้นิ่งแบบอุเบกขาจริง..ถ้าได้แบบนั้น จิตยิ่งมีพลัง คือทำจิตให้ ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น มาก่อน เมื่อวางแบบนี้ได้แล้วให้ท่องคาถาจนครบตามคาบ จากนั้นค่อยโน้มจิต/ใจไปทางด้านอานุภาพคาถาบทนั้น เช่น ถ้าเมตตาก็ให้มโนภาพถึงหญิงคนหมายปองก้ได้ว่าให้มานึกมาคิดมาชอบเรา..(เหมือนการปั้นแต่งนิมิตรนั่นแหละ)..ก็จะทำให้คาถามีพลังงานส่งไปตรงแบบเส้นสายน้ำฉีดรีดไปเลย...
เทียบเคียงก็ดั่งทำอุเบกขา เพื่อรวมน้ำให้มีจำนวนมากๆขึ้นๆๆ..
สร้างมโนภาพ/นิมิต ก็ เอาปั้มมาดันสูบฉีดไปใช้งานตามที่ต้องการ.
ถ้าถามว่าวางอุเบกขาไม่ได้ ข้ามไป มโนภาพได้ไหมก็ได้ครับ..แต่ถ้าสร้างไม่ดีพอก็ไม่มีพลังพุ่งไปไกล..จนฝ่ายตรงข้ามสะเทือนจิตใจ..
วิชาเมตตา จึงมีทั้งเล่ห์กลอุบายประกอบ เช่น..ว่าคาถาเป่าเสกไปแบบมโนภาพ พลังไม่พอ ก็ต้องเสกใส่ตรงๆ(พ่นบุหรี่มั่ง ลมมั่ง) หรือ เสกสีผึ้งติดชายเสื้อ เสกเกลือให้กิน นี่คือการสร้างพลังงานให้ยิงตรงแบบไม่ผิดตัว.
แต่ก็มีข้อแม้อีกว่า..สาวเจ้ามีของป้องกันไหม..ถ้ามีก็เจาะหลายครั้งถึงจะเข้า ถ้าไม่มีคาถาเพิก/ถอน(วิชานี้มีเฉพาะ เป้นวิชาเน้นเมตตา ที่ใช้เพิก/ถอน การป้องกัน)เปรียบดั่งทหารเข้าตีป้อมหอรบ ต้องพังกำแพงเสียก่อนจึงเข้าประชิดข้าศึกชั้นในได้ ไม่เช่นนั้นก้ได้แต่ยิงธนูไปชนกำแพงอย่างไม่มีผลนั้นแหละ เว้นท่านมีปืนใหญ่(สมาธิระดับฌาน/อัปนา) ก้ บึ้มเดวพัง..รับรองฝ่ายในกำแพงยอมศิโรราบแน่นอน
ก็เล่าๆกันไปตามความเข้าใจของผมนะ เพราะไม่รู้จะเทียบเคียงกับอะไร..ถ้าไม่เข้าใจก็ไขถ้อยความกันใหม่..

 

มาแจ้งท่านผู้จะได้รับพระของท่านครูบาฯ(พรุ่งนี้๖/๒/๕๖ จะทยอยส่งให้ครับ) เป็นพระที่ท่านแจกมาให้ส่วนใหญ่ไม่มีรุ่น ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สวยบ้างไม่สวยบ้าง เพราะลูกศิษย์หลายคนสร้างแล้วนำไปถวาย ท่านก็จะรับไว้แล้วอธิษฐานจิตอีกที จากนั้นท่านจะนำไปแจกให้กับผู้ที่มาคอยพบท่าน หรือท่านอยากแจกบ้าง..ผมก็ได้รับมาหลายวาระ จึงไม่ค่อยเหมือนกันนัก นี่ก็ก้นถุงพอดี๕๕ หมดคลังเรียบร้อย..เพราะอยากมอบให้กับผู้ที่ศรัทธาจิงๆ และที่สำคัญ..เมื่อได้ไปควรบันทึกไว้ด้วยครับถ้าไม่มีใครบอกรับรองไม่รู้ว่ามาจากท่านเพราะส่วนใหญ่ไม่มีรูปท่านครับ..และไม่มีสัญลักษณ์ใดๆเลยบนองค์พระที่จะบ่งบอกว่ามาจากท่าน..
แต่จะสัมผัสได้เอง ถ้าท่านผู้ใดได้ใช้จริง..และบูชาจริง..
รวมไปถึงถ้าผู้ใดนำไปเก็บรักษาในที่ไม่เหมาะสมก็จะทราบเองครับว่า วันหนึ่งของนั้นอันตรธานหายไปเสียแล้ว..
ขนาดรูปท่านที่แจกไว้ บางคนนำไปติดแปะข้างฝา ต่อมามีการลอกออก ท่าไหนไม่รู้ทำให้ รูปตรงเศียรพระแหว่งไป...ปรากฏว่าเงินขวัญถุงที่เก็บไว้อย่างดีในที่เก็บ ก้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลย..๕๕ เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวผมนี่แหละ..ก็แปลกดีครับ จะว่าใครขโมยคงไม่ใช่เพราะ แบงค์๒๐เอง....

จึงฝากว่าถ้าใช้ไปมี ปสก.ก็เล่าสู่กันฟังบ้าง...