พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    โอกาสหน้ายังมีครับ

    ผมเองก็หา,สมเด็จเนื้อปูนสอและกรุวัดรางบัว พยายามหาอยู่ แต่ยังหาไม่ได้เลย ต้องพยายามให้มากกว่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีวาสนาจะได้ไว้อีกหรือเปล่า

    .
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    พิธีทำบุญทั่วไป
    พิธีทำบุญในที่นี้ จะพูดถึงพิธีทำบุญทั่ว ๆ ซึ่งเป็นกิจเบื้องต้นที่พุทธศาสนิกจะพึงทราบ และนำไปปฏิบัติได้ ส่วนจะผิดแผนแตกต่างกันไปบ้าง ก็สุดแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น พิธีทำบุญในศาสนาพุทธ สรุปแล้วมี ๒ พิธี คือ.-
    ก. พิธีทำบุญในงานมงคล เป็นการทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล ความสุขความเจริญ เช่น พิธีแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ และวันเกิด เป็นต้น
    ข. พิธีทำบุญในงานอวมงคล เป็นการทำบุญเพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายให้หมดไป โดยปรารถถึงเหตุที่มาไม่ดี หรือเหตุที่ก่อให้เกิดความทุกข์โศก เช่น พิธีศพ พิธีทำบุญในการที่แร้งจับบ้าน รุ้งกินน้ำในบ้าน เป็นต้น
    ทั้ง ๒ พิธี มีพิธีกรรมที่จะต้องปฏิบัติโดยย่อ ๆ ดังนี้
    ๑. จัดสถานที่ ก่อนถึงวันพิธี จะต้องตบแต่งสถานที่รับรองพระที่เจริญพระพุทธมนต์ และแขกที่จะมาในงาน ตลอดจนเครื่องใช้แต่ละแผนก ให้เรียบร้อย
    โดยเฉพาะที่พระสงฆ์ ต้องจัดให้อยู่ในฐานะที่น่าเคารพเสมอ โดยจัดที่บูชาไว้ทางขวามือของพระที่จะสวดมนต์ และให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (ถ้าทีจำกัดก็เว้นได้) และอาสนะพระนั้นต้องจัดให้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากฆราวาสโดยเฉพาะผู้หญิง แล้วตั้งกระโถน ภาชนะน้ำ พานหมากพลู ไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ โดยตั้งกระโถนไว้ข้างในแล้วเรียงออกมาตามลำดับ
    ๒. เครื่องสักการะ หมายถึง โต๊ะหมู่หรือที่บูชาอื่นใดตามฐานะอันประกอบด้วย พระพุทธรูป ๑ องค์, แจกัน ๑ คู่, เชิงเทียน ๑ คู่, กระถางธูป ๑ ที่ เป็นอย่างน้อย อย่างมากจะจัดให้เต็มที่ตามรูปแบบการจัดของโต๊ะหมู่ ๕,๗ หรือ ๙ เป็นต้น ก็ได้
    ๓. ด้ายสายสิญจน์, บาตรน้ำมนต์ ในงานมงคลทุกชนิด นิยมวงด้วยสายสิญจน์รอบบ้านหรือสถานที่ แต่จะย่อลงมาแค่ที่พระสวดมนต์ก็ได้ การวางด้วยสายสิญจน์ ให้ถือเวียนขวาไว้เสมอ ถ้าจะวงรอบบ้านด้วย ก็ให้เริ่มต้นที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วเวียนออกไปที่รั้วบ้านหรือตัวบ้านทางขวามือ (เวียนแบบเลข ๑ ไทย) เมื่อวงรอบแล้วกลับมาวงรอบที่ฐานพระพุทธรูป วงไว้กับฐานพระพุทธรูปแล้วมาวงที่บาตรน้ำมนต์ เสร็จแล้วหาพานวางด้ายสายสิญจน์ที่เหลือไว้ใกล้ ๆ บาตรน้ำมนต์นั้น เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ประกอบการเจริญพระพุทธมนต์ต่อไป
    บาตรน้ำมนต์ให้ใส่น้ำพอควร จะใส่ใบเงิน ใบทอง ใบนาก หญ้าแพรก ผักส้มป่อย ผิวมะกรูด ฯลฯ ก็ได้ สุดแต่จะนิยม ไม่ใส่อะไรเลยก็ได้ เพราะพระพุทธมนต์ที่พระสวดเป็นของประเสริฐอยู่แล้ว และตั้งไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ที่เป็นประฐาน ติดเทียนน้ำมนต์ไว้ที่ขอบบาตร ๑ เล่ม จะหนัก ๑ บาท หรือ ๒ บาท ก็ได้ แต่ควรให้ไส้ใหญ่ ๆ ไว้เพื่อกันลมพัดดับด้วย และเมื่อพระสงฆ์ดับเทียนน้ำมนต์แล้ว ห้ามจุดอีกต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นการดับเสนียดจัญไรไปหมดแล้ว มิให้เกิดขึ้นมาอีก
    ส่วนในพิธีศพ ตั้งแต่ถึงแก่กรรมจนกระทั่งเผา ไม่มีการวางด้ายสายสิญจน์และตั้งบาตรน้ำมนต์ หลังจากเผาศพเสร็จแล้วจะทำบุญอัฐิจึงกระทำได้
    ๔. การนิมนต์พระ เจ้าภาพจะต้องแจ้ง วันเดือนปี และพิธีที่จะกระทำให้พระสงฆ์ทราบเสมอ เพราะบทสวดมนต์จะเพิ่มเติมตามโอกาสที่ทำบุญไม่เหมือนกัน ส่วนจำนวนพระสงฆ์นั้นมีแน่นอน เฉพาะพระสวดพระอภิธรรม สวดรับเทศน์ และสวดหน้าไฟเท่านั้นคือ ๔ รูป นอกนั้นแล้ว ถ้าเป็นงานมงคล พระสงฆ์ที่สวดมนต์ (เจริญพระพุทธมนต์) ก็นิยม ๕ รูป, ๗ รูป, ๙ รูป, ๑๐ รูป โดยเหตุผลว่า ถ้าเป็นงานแต่งงานซึ่งนิยมคู่ จะนิมนต์พระ ๕ รูป, ๗ รูป, ๙ รูป, โดยรวมพระพุทธรูปเข้าอีก ๑ องค์ เป็น ๖ รูป, ๘ รูป, ๑๐ รูป ก็ได้เหมือนกัน ส่วนพิธีหลวงใช้ ๑๐ รูป เสมอ
    สำหรับพิธีสดับปกรณ์ มาติกา บังสุกุล ก็เพิ่มจำนวนพระสงฆ์มากขึ้นอีกเป็น ๑๐, ๑๕, ๒๐, ๒๕, หรือจนถึง ๘๐ รูป หรือ ๑๐๐ รูป ก็สุดแต่จะศรัทธา ไม่จำกัดจำนวน การนิมนต์พระเพื่อฉันหรือรับอาหารบิณฑบาต อย่าระบุชื่ออาหาร ๕ ชนิด คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ สรุปแล้วระบุไม่ได้ทุกชนิด จะเป็นขนมจีน หมี่กรอบ ไม่ได้ทั้งนั้น ให้ใช้คำรวมว่า "รับอาหารบิณฑบาต เช้า - เพล" หรือ "ฉันเช้า ฉันเพล" ก็พอแล้ว
    เมื่อพระสงฆ์ที่มาสวดมนต์ถึงบ้านแล้ว กิจที่จะต้องทำอีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรจัดหาน้ำล้างเท้าและทำให้เสร็จ เพราะถ้าพระสงฆ์ล้างเอง น้ำมีตัวสัตว์พระสงฆ์ก็เป็นอาบัติ และถ้าปล่อยให้เท้าเปียกน้ำแล้วเหยียบอาสนะพระสงฆ์ก็เป็นอาบัติอีก จึงต้องทำให้ท่าน แต่สมัยนี้ การไปมาสะดวกด้วยยานพาหนะ เท้าพระสงฆ์ไม่เปรอะเปื้อน จึงไม่มีการล้างเท้าพระสงฆ์เป็นส่วนมาก
    ๕. ลำดับพิธี โดยทั่วไปพิธีมงคลจะเริ่มด้วยประธาน หรือเจ้าภาพจุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย ธูปไม่ควรเกิน ๓ ดอก หรืออย่างมากไม่เกิน ๕ ดอก เทียน ๒ เล่ม และจุดให้ติดจริง ๆ จุดแล้วอธิฐานในใจกราบพระ ๓ หน แล้วอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร ฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์สวดถึงบท "อเสวนา จ พาลนํ" ให้เจ้าภาพจุดเทียนน้ำมนต์ และเมื่อพระสงฆ์สวดถึงบทว่า "นิพฺพนฺติ ธีรา ยถา ยมฺปทีโป" ท่านดับเทียนตรงคำว่า "นิพฺ" โดยจุ่มเทียนน้ำมนต์ลงในบาตรน้ำมนต์ (การดับเทียนอาจจะผิดแผกไปจากนี้บ้างก็เป็นเรื่องของพระสงฆ์) พระสงฆ์สวดมนต์จบแล้ว ถ้าเป็นพิธีสวดมนต์ในวันเดียว ซึ่งนิยมทำในตอนเช้า หรือเพลก็ถวายภัตตาหาร ฉันเสร็จถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำ ก็นับว่าเสร็จพิธี แต่ถ้าทำบุญ ๒ วัน วันแรกนิยมสวดมนต์เย็น แบบนี้ เมื่อสวดมนต์เย็นเสร็จ ก็นับว่าเสร็จไปตอนหนึ่ง รุ่งขึ้นจะเช้าหรือเพล พระสงฆ์มาถึงก็ทำกิจเบื้องต้น มีจุดเทียนธูป อาราธนาศีล รับศีลเสร็จแล้ว พระสงฆ์สวดถวายพรพระ ไม่มีอาราธนาปริตร จบแล้วถวายภัตตาหาร ถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนาเจ้าภาพกรวดน้ำ จึงเสร็จพิธี
    ๖. การกรวดน้ำ เมื่อพระสงฆ์เริ่มอนุโมทนา คือ รูปหัวหน้าว่า "ยถา..." ก็ให้เจ้าภาพทำการกรวดน้ำทันที พอจบ "ยถา..." พระสงฆ์รูปที่สองขึ้นบทให้อนุโมทนา "สัพพี..." พระสงฆ์นอกนั้นสวดรับต่อพร้อมกัน ก็ให้เจ้าภาพเทน้ำให้หมด แล้วนั่งประนมมือฟังพระสงฆ์ให้พรต่อไป จบแล้ว กราบ ๓ หน
    ๗. การประพรมน้ำพรุพุทธมนต์ ให้กระทำหลังจากพระสงฆ์อนุโมทนา (ยถาสัพพี) จบแล้วจะนิมนต์ให้พระสงฆ์ประพรมใคร หรือที่ใดก็นิมนต์ท่านตามประสงค์
    ๘. การเทศน์ การนิมนต์พระสงฆ์ให้แสดงพระธรรมเทศนาด้วย ในกรณีที่มรสวดมนต์ก่อนแล้วก็มีเทศน์ติดต่อกันไป การอาราธนาตอนพระสวดมนต์ ให้อาราธนาพระปริตร ยังไม่ต้องรับศีล ต่อเมื่อถึงเวลาเทศน์นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นธรรมาสน์แล้ว จึงอาราธนาศีล รับศีล อาราธนาธรรมต่อพระสงฆ์เทศน์จบ ถ้าไม่มีพระสวดรับเทศน์ พระท่านจะอนุโมทนาบนธรรมาสน์เลย ท่านลงมาแล้วจึงถวายไทยธรรม (เครื่องกัณฑ์) แต่ถ้ามีพระสวดรับเทศน์ เช่น ในกรณีทำบุญหน้าศพ เป็นต้น พระเทศน์จบ พระสงฆ์สวดรับเทศน์ต่อ (ระหว่างพระเทศน์จะลงมานั่งข้างล่างต่อต้นแถวพระสวด) จบแล้วเจ้าภาพถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำ เป็นเสร็จพิธี
    ๙. การตั้งเครื่องบูชาหน้าศพ ถ้าเป็นพิธีอาบน้ำศพ จะต้องมีเทียน (ประทีป) ๑ เล่ม ตามไว้ข้างศพเหนือศีรษะด้วย และประทีปนี้จะตามไว้ตลอดเวลา เมื่อนำศพลงหีบแล้ว ก็ตามไว้ข้างหีบด้านเท้าของผู้ตาย ซึ่งถือว่าผู้ตายจะได้จุดส่องทางไป
    ถ้าเป็นพิธีทำบุญหน้าศพ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือวันเผาก็ตาม ด้านหน้าศพจะมีที่จุดธูปไว้ให้ผู้ที่เคารพนับถือบูชา ๑ ที่ และนอกจากนี้ เวลาประกอบพิธีทุกครั้ง นิยมจัดเครื่องทองน้อยไว้เบื้องหน้าศพอีก ๑ ที่ ซึ่งประกอบด้วย กรวยปักดอกไม้ ๓ กรวย, เทียน ๑ เล่ม, ธูป ๑ ดอก, เครื่องทองน้อยนี้ตั้งไว้หน้าศพ เพื่อให้ศพบูชาธรรมโดยเจ้าภาพจุดให้ และการตั้งให้ตั้งดอกไม้ไว้ข้างนอก ตั้งธูปเทียนไว้ข้างใน (หันธูปเทียนไว้ทางศพ) ให้ตั้งเครื่องทองน้อยอีกชนิดหนึ่ง สำหรับเจ้าภาพในเวลาฟังธรรมระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าภาพ การตั้งให้หันธูปเทียนไว้ทางเจ้าภาพ
    ๑๐. การจุดเทียนธูป การจุดเทียนธูปพระรัตนตรัยหรืออื่นใดก็ตาม จะต้องจุดเทียนก่อนเสมอ แล้วจึงจุดธูป เพราะถือว่าเทียนสูงกว่าธูป และอีกประการหนึ่ง การจุดเทียนก่อน หากเทียนเกิดการดับขึ้นระหว่างกลางคัน ก็จะได้ต่อติดกันสะดวกยิ่งขึ้น
    ๑๑. ผ้าภูษาโยง พิธีศพ เวลาพระท่านจะบังสุกุล ถ้าไม่มีผ้าทอด พระก็จับเฉพาะผ้าภูษาโยง หากไม่มีผ้าภูษาโยง จะใช้ด้ายสายสิญจน์แทนก็ได้ และห้ามข้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้าก็ตาม ถือว่าไม่เคารพศพ สำหรับศพหลวง ผ้าภูษาโยงจะถูกนำเชื่อมกับผ้าหรือด้ายสายสิญจน์ที่ต่อมาจากศพ จากนั้นเจ้าภาพจึงทอดผ้า
    ๑๒. ใบปวารณา ในการทำบุญ มักจะมีเงินถวายพระสงฆ์เสมอ เพื่อให้ท่านนำไปใช้จ่าย แต่พระสงฆ์ท่านจับต้องเงินไม่ได้ จึงใช้ใบปวารณาแทน และใช้คำว่าจตุปัจจัย (ปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม ๑ อาหาร ๑ ที่อยู่อาศัย ๑ ยารักษาโรค ๑) แทนคำว่าเงิน
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การเตรียมการในการทำบุญ
    ๑. การจัดสถานที่ทำบุญ
    ๑.๑ โต๊ะหมู่บูชา
    - โต๊ะไว้ด้านขวาอาสน์สงฆ์ สูงกว่าอาสน์สงฆ์พอสมควร หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ทิศเหนือ หรือทิศใต้ก็ได้ ไม่นิยมตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ดูความเหมาะสมของสถานที่ประกอบด้วย)
    - โต๊ะหมู่บูชา ประกอบด้วยสิ่งสำคัญอย่างน้อยคือ.-
    ๑.๑.๑ พระพุทธรูป ๑ องค์
    ๑.๑.๒ แจกัน ๑ คู่ พร้อมดอกไม้ประดับ (ดอกไม้นิยมให้มีสีสวย - กลิ่นหอม - กำลังสดชื่น)
    ๑.๑.๓ กระถางธูป ๑ ใบ พร้อมธูปหอม ๓ ดอก
    ๑.๑.๔ เชิงเทียน ๑ คู่ พร้อมเทียน ๒ เล่ม
    ๑.๒
    อาสน์สงฆ์
    - จัดตั้งไว้ด้านซ้ายโต๊ะหมู่บูชา แยกเป็นเอกเทศต่างหาก จากที่นั่งฆราวาส ประกอบด้วยเครื่องรับรอง คือ.-
    ๑.๒.๑ พรมเล็กเท่าจำนวนพระสงฆ์
    ๑.๒.๒ กระโถนเท่าจำนวนพระสงฆ์
    ๑.๒.๓ ภาชนะน้ำเย็นเท่าจำนวนพระสงฆ์
    ๑.๒.๔ ภาชนะน้ำร้อนเท่าจำนวนพระสงฆ์
    - เครื่องรับรองดังกล่าว ตั้งไว้ด้านขวามือของพระสงฆ์ โดยตั้งกระโถนไว้ด้านในสุด ถัดออกมาเป็นภาชนะน้ำเย็น ส่วนภาชนะน้ำร้อนจัดถวายเมื่อพระสงฆ์เข้านั่งแล้ว
    - ถ้าเครื่องรับรองไม่เพียงพอ จัดไว้สำหรับพระผู้เป็นประธานสงฆ์ ๑ ที่ นอกนั้น ๒ รูปต่อ ๑ ที่ก็ได้ (ยกเว้นแก้วน้ำ)
    ๑.๓
    ที่นั่งเจ้าภาพและผู้จัดงาน
    - จัดไว้ข้างหน้าของอาสน์สงฆ์ โดยแยกเป็นส่วนหนึ่งต่างหาจากอาสน์สงฆ์
    - ถ้าเนื่องเป็นอันเดียวกับอาสน์สงฆ์ ให้ปูเสื่อหรือพรมบนอาสน์สงฆ์ ทับผืนที่เป็นที่นั่งสำหรับฆราวาส โดยปูทับออกมาตามลำดับ แล้วปูพรมเล็กสำหรับพระสงฆ์แต่ละรูปอีก เพื่อให้สูงกว่าที่นั่งเจ้าภาพ
    ๑.๔
    ภาชนะน้ำมนต์
    - จัดทำเฉพาะพิธีทำบุญงานมงคลทุกชนิด โดยตั้งไว้ข้างโต๊ะหมู่บูชา ด้านขวาของประธานสงฆ์
    - พิธีทำบุญงานอวมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับศพ เช่น ทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เป็นต้น ไม่ต้องจัดภาชนะน้ำมนต์
    ๑.๕
    เทียนน้ำมนต์
    - ใช้เทียนขี้ผึ้งแท้ น้ำหนัก ๑ บาทขึ้นไป โดยใช้ชนิดไส้ใหญ่ เพื่อป้องกันมิให้ดับง่าย
    ๒.
    การนิมนต์พระสงฆ์
    ๒.๑ พิธีทำบุญงานมงคล อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๕ รูป ข้างมากไม่มีกำหนด (พิธีหลวงนิยม ๑๐ รูป)
    ๒.๒ งานมงคลสมรส เมื่อก่อนนิยมนิมนต์จำนวนคู่ คือ ๖ - ๘ - ๑๐ - ๑๒ รูป เพื่อให้ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนิมนต์ฝ่ายละเท่า ๆ กัน
    ๒.๓ ปัจจุบัน งานมงคลทุกประเภท รวมทั้งงานมงคลสมรสนิมนต์ ๙ รูป (เลข ๙ ออกเสียงใกล้เคียงคำว่า "ก้าว" กำลังพระเกตุ ๙, พระพุทธคุณ ๙ และโลกุตธรรม ๙)
    ๒.๔ งานทำบุญอายุ นิยมนิมนต์พระสงฆ์เกินกว่าอายุเจ้าภาพ ๑ รูป
    ๒.๕ งานอวมงคลเกี่ยวเนื่องกับพิธีศพ นิยมนิมนต์ดังนี้:-
    - สวดพระอภิธรรม ๔ รูป
    - สวดหน้าไฟ ๔ รูป
    - สวดพระพุทธมนต์ ๕ - ๗ - ๑๐ รูป ตามกำลังศรัทธา
    - สวดแจง ๒๐ - ๒๕ - ๕๐ - ๑๐๐ - ๕๐๐ รูป หรือทั้งวัด
    - สวดมาติกา สวดบังสุกุล นิยมนิมนต์เท่้่าอายุผู้ตาย หรือตามศรัทธาก็ได้
    ๒.๖ วิธีการนิมนต
    - พิธีที่เป็นทางราชการ นิยมนิมนต์เป็นลายลักษณ์อักษร
    - พิธีทำบุญส่วนตัว นิยมไปนิมนต์ด้วยวาจาด้วยตนเอง
    ๒.๗ ข้อควรระวัง
    อย่านิมนต์ออกชื่ออาหาร เช่น นิมนต์ไปฉันขนมจีน เป็นต้น เพราะพระผิดวินัยบัญญัติ
    นิมนต์แต่เพียงว่า "
    นิมนต์รับบิณฑบาต รับภิกษา" หรือ " นิมนต์ฉันช้า ฉันเพล" เ้ป็นต้น
    ๓.
    การใช้ด้ายสายสิญจน์
    ๓.๑ นิยมใช้ทั้งงานพิธี และพิธีอวมงคล
    ๓.๒ งานพิธีอวมงคลเกี่ยวกับศพ ไม่ใช้ด้ายสายสิญจน์รอบอาคารบ้านเรือน ใช้เป็นสายโยงจากศพมาถึงอาสน์สงฆ์ สำหรับพระสงฆ์พิจารณาบังสุกุล
    ๓๓.งานพิธีมงคล นิยมวงรอบอาคารบ้านเรือนเฉพาะพิธีขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญบ้านประจำปี และทำบุญปัดความเสนียดจัญไรดังนี้:-
    - อาคารบ้านเรือนที่มีรั้วหรือกำแพง วงรอบรั้วหรือกำแพงโดยรอบ
    - อาคารบ้านเรือนที่ไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม หรือมีแต่บริเวณกว้างขวางเกินไป ให้วงเฉพาะรอบตัวอาคารบ้านเรือน
    ๓.๔ การวงด้ายสายสิญจน์
    - เริ่มวงด้ายสายสิญจน์ตั้งแตะโต๊ะหมู่บูชา แต่ยังไม่ต้องวงรอบพระพุทธรูป เมื่อรอบอาคารบ้านเรือน หรือรอบบริเวณงาน แล้วจึงนำมาวงรอบฐานพระพุทธรูปภายหลัง โดยวงเวียนขวา ๑ รอบ หรือ ๓ รอบ
    - วงด้ายสายสิญจน์เวียนขวาไปตามลำดับ และยกขึ้นให้อยู่สูงที่สุด เพื่อป้องกันคนข้ามกราย หรือทำขาด
    - ด้ายสายสิญจน์ที่วงแล้วไว้ตลอดไป ไม่ต้องเก็บ
    - พิธีทำบุญงานมงคลอื่น ๆ วงเฉพาะบริเวณห้องพิธี หรือเฉพาะรอบฐานพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วโยงมาวงรอบภาชนะน้ำมนต์ วางกลุ่มด้ายสายสิญจน์ใส่พานไว้ด้านซ้ายโต๊ะหมู่บูชา
    ๓.๕ การใช้ด้ายสายสิญจน์ทอดบังสุกุล
    - โยงจากศพ จากโกศอัฐิ จากรูปของผู้ตาย หรือจากรายนามของผู้ตายอย่างใดอย่างหนึ่ง มาทอดให้พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุล
    - ในพิธีทำบุญงานมงคล หากเชิญโกศอัฐิของบรรพบุรุษมาร่วมบำเพ็ญกุศลด้วย เมื่อจะนิมนต์พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุล ให้ใช้ด้ายสายสิญจน์อีกกลุ่มหนึ่งต่างหาก จากกลุ่มเดียวกันนั้นให้ขาดออกจากพระพุทธรูป แล้วเชื่อมโยงกับโกศอัฐิก็ได้
    ๓.๖ การทำมงคลแฝด
    - นำด้ายดิบที่ยังไม่ได้ทำเป็นด้ายสายสิญจน์ไปขอให้พระเถระที่เคารพนับถือทำพิธีปลุกเสก และทำเป็นมงคลแฝดสำหรับคู่บ่าวสาว ก่อนถึงวันงานประมาณ ๗ วัน หรือ ๓ วัน เป็นอย่างน้อย
    ๔.
    เทียนชนวน
    ๔.๑ อุปการณ์
    - ใช้เชิงเทียนทองเหลือขนาดกลาง ๑ ข้าง
    - เทียนขี้ผึ้งไส้ใหญ่ ๆ ขนาดพอสมควร ๑ เล่ม
    - น้ำมันชนวน (ขี้ผึ้งแท้แช่น้ำมันเบนซินหรือเคี่ยวขี้ผึ้งให้เหลวยกลงจากเตาไฟแล้ว ผสมน้ำมันเบนซิน)
    ๔.๒ การถือเชิงเทียนชนวนสำหรับพิธีกร
    - ถือด้วยมือขวา โดยหงายฝ่ามือ ใช้นิ้วมือสี่นิ้ว (เว้นนิ้วหัวแม่มือ) รอบรับฐานเชิงเทียน ใช้หัวแม่มือกดฐานเชิงเทียนเข้าไว้
    - ไม่นิยมจับกึ่งกลางเชิงเทียนเพราะจะทำให้ผู้ใหญ่รับไม่สะดวก
    ๔.๓ การส่งเทียนชนวนให้ผู้ใหญ่สำหรับพิธีกร
    - ถึงเวลาประกอบพิธี จุดเทียนชนวน ถือด้วยมือขวา เดินเข้าไปหาประธานในพิธี (เข้าทางซ้ายมือประธาน) ยืนตรงโค้งคำนับ
    - เดินตามหลังประธานในพิธีไปยังที่บูชา โดยเดินไปทางด้านซ้ายมือประธานในพิธี
    - ถ้าประธานในพิธีหยุดยืนหน้าที่บูชา พิธีกรน้อมตัวลงเล็กน้อยส่งเทียนชนวน (ถ้าประธานในพิธีคุกเข่าพิธีกรก็นั่งคุกเข่า) ตามแล้วส่งเทียนชนวนด้วยมือขวา มือซ้ายห้อยอยู่ข้างตัว
    - ส่งเทียนชนวนแล้วถอยหลังออกมาห่างจากประธานในพิธีพอสมควร พร้อมกับคอยสังเกต ถ้าเทียนชนวนดับ พึงรับเข้าไปจุดทันที
    - เมื่อประธานในพิธีจุดเทียนธูปเสร็จแล้ว เข้าไปรับเทียนชนวน โดยวิธียื่นมือขวาแบมือเข้าไปรองรับ ถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อย โค้งคำนับแล้วจึงกลับหลังหันเดินออกมา
    ๔.๔ การจุดเทียนธูปสำหรับประธานในพิธี
    - เมื่อพิธีกรถือเทียนชนวนเข้าไปเชิญประธานในพิธี ประธานในพิธี ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ถ้าโต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่สูง พึงยืนถ้าตั้งอยู่ไม่สูงนัก พอนั่งคุกเข่าจุดถึง พึงนั่งคุกเข่าลงแล้วรับเชิงเทียนชนวนจากพิธีกร
    - จุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจึงจุดเล่มซ้ายต่อไป แล้วจึงจุดธูป
    - ถ้าธูปมิได้จุ่มน้ำมันชนวน พึงถอนธูปออกมาจุดกับเทียนชนวน ส่งเทียนชนวนให้พิธีกรแล้ว ปักธูปไว้ตามเดิม โดยปักเรียงหนึ่ง เป็นแถวเดียวกัน หรือปักเป็นสามเส้าก็ได้
    - จุดเทียนธูปเสร็จแล้ว นั่งคุกเข่าประนมมือ กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า นโม... ๓ จบ แล้วว่า อิมินา... (เพียงแต่นึกในใจ) แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ขณะกราบพึงระลึกถึงพระรัตนตรัยด้วยคือ กราบครั้งที่ ๑ บริกรรมว่า อรหํ สฺมาสฺมพุทฺโธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ ครั้งที่ ๒ บริกรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ ครั้งที่ ๓ บริกรรมว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ เสร็จแล้วกลับเข้าไปนั่งประจำที่
    ๕.
    การอาราธนาสำหรับพิธีกร
    - เมื่อเจ้าภาพ หรือประธานในพิธี จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว พิธีกรเริ่มกล่าวคำอาราธนาศีล
    - ถ้าอาสน์สงฆ์อยู่ระดับพื้น ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดนั่งกับพื้น พิธีกรพึงนั่งคุกเข่าประนมมือ กราบ ๓ ครั้ง แล้วจึงกล่าวคำอาราธนา ถ้าอาสน์สงฆ์ยกขึ้นสูงจากพื้น แต่ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดนั่งอยู่กับพื้น ก็นั่งคุกเข่าอาราธนาเช่นกัน
    - ถ้าอาสน์สงฆ์ยกสูง ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดนั่งเก้าอี้ พิธีกรพึงยืนทางท้ายอาสน์สงฆ์ ข้างหน้าพระสงฆ์รูปที่ ๓ จากท้ายแถว หรือที่อันเหมาะสม ทำความเคารพประธานในพิธี แล้วหันหน้าไปทางประธานสงฆ์ ประนมมือกล่าวคำอาราธนาศีล โดยหยุดทอดเสียงเป็นจังหวะ ๆ ดังนี้ ;- " มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ, ทุติยัมปิ ... ยาจามะ, ตะติยัมปิ ... ยาจามะ "
    - เมื่อรับศีลเสร็จแล้ว พึงอาราธนาพระปริตรต่อไป จบแล้วถ้านั่งคุกเข่า ก็กราบ ๓ ครั้ง ถ้ายืน ก็ยกมือไหว้ เสร็จแล้วทำความเคารพประธานในพิธีอีกครั้งหนึ่ง
    ๖.
    การจุดเทียนน้ำมนต์
    - ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ จะต้องรอคอยจุดเทียนน้ำมนต์อีกครั้งหนึ่ง
    - เมื่อพระเจริญพระพุทธมนต์ถึงมงคลสูตร พิธีกรพึงจุดเทียนชนวนเข้าไปเชิญประธานในพิธี หรือเจ้าภาพไปจุดเทียนน้ำมนต์ ยกภาชนะน้ำมนต์ถวายประธานสงฆ์ ยอมือไหว้ แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
    ๗.
    การถวายเข้าบูชาพระพุทธ
    - เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถึงบทถวายพรพระ พิธีกรยกสำรับคาวหวานไปตั้งที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา โดยตั้งบนโต๊ะที่มีผ้าขาวปูรอง หรือที่พื้นแต่มีผ้าขาวปูรอง
    - เชิญประธานในพิธี หรือเจ้าภาพทำพิธีบูชา (พิธีกรไม่ควรจัดทำเสียเอง)
    - ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ นั่งคุกเข่า (พิธีราษฎร์จุดธูป ๓ ดอก ปักที่กระถางธูป) ประนมมือกล่าวคำบูชาพระพุทธจบแล้วกราบ ๓ ครั้ง
    - กรณียกสำรับคาวหวานสำหรับพระพุทธ และสำรับคาว หรือทั้งคาวและหวาน สำรับพระสงฆ์ เข้าไปพร้อมกัน (หลังจบบทถวายพรพระ) ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ นั่งคุกเข่ากล่าวคำบูชาข้าวพระพุทธจบแล้ว จึงยกสำรับคาวหรือทั้งคาวและหวาน ถวายพระสงฆ์เฉพาะรูป ประธานในพิธี นอกนั้นจะมอบให้ผู้ร่วมพิธีเข้าร่วมถวาย ก็ชื่อว่าเป็นความสมบูรณ์แห่งพิธีการที่เหมาะสม (กรณีนี้น่าจะเหมาะสมกว่า)
    ๘.
    การลาข้าวพระพุทธ
    - เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เจ้าภาพหรือพิธีกร เข้าไปนั่งคุกเข่าประนมมือ กล่าวคำลาข้าวพระพุทธจบแล้วกราบ ๓ ครั้ง แล้วยกสำรับไปได้
    ๙.
    การจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์
    - เวลาเช้า จักอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กาแฟ ขนมปัง เป็นต้น
    - เวลาเพล จักอาหารประเภทอาหารหนัก โดยมากจักเป็นอาหารไทย และควรเป็นอาหารพื้นเมืองเป็นหลัก อาจมีอาหารพิเศษแทรกบ้างก็ได้
    ๑๐.
    การประเคนของพระ
    - ถ้าเป็นชาย ยกส่งให้ถึงมือพระภิกษุผู้รับประเคน ถ้าเป็นหญิงวางถวายบนผ้าที่พระทอดรับประเคน และรอให้ท่านจับที่ผ้าทอกนั้นก่อน จึงวางสิ่งของลงบนผ้านั้น
    - ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้น พึงนั่งคุกเข่าประเคน ถ้าพระสงฆ์นั่งเก้าอี้ พึงยืนประเคน
    - ยกภัตตาหารที่จะพึงฉัน พร้อมภาชนะอาหารถวายเท่านั้น สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่ต้องยกประเคน เพียงแต่วางมอบให้เท่านั้นก็พอ
    - ภัตตาหารทุกชนิดที่ประเคนแล้ว ห้ามคฤหัสถ์จับต้องอีก ถ้าเผลอไปจับต้องเข้า ต้องประเคนใหม่
    - ประเคนครบทุกอย่างแล้ว ถ้านั่งคุกเข่าประเคนกราบ ๓ ครั้ง ถ้ายืนประเคนก็น้อมตัวลงยกมือไหว้
    - ลักษณะการประเคนที่ถูกต้อง ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ :-
    ๑. สิ่งของที่จะประเคน ไม่ใหญ่โต หรือหนักเกินไปขนาดปานกลางคนเดียวยกไหว และยกสิ่งของนั้น ให้ขึ้นจากพื้นที่สิ่งของนั้นตั้งอยู่
    ๒. ผู้ประเคนอยู่ห่างจากพระภิกษุผู้รับประเคนประมาณ ๑ ศอก (อย่างมากไม่เกิน ๒ ศอก)
    ๓. ผู้ประเคนน้อมสิ่งของนั้นเข้าไปให้ด้วยกิริยาอาการแสดงความเคารพอ่อนน้อม
    ๔. กิริยาอาการที่น้อมสิ่งของเข้าไปให้นั้น จะส่งให้ด้วยมือก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกาย เช่น ใช้ทัพพีตักถวายก็ได้
    ๕. พระภิกษุผู้รับประเคนนั้น จะรับด้วยมือก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกาย เช่น จะใช้ผ้าทอดรับ ใช้บาตรรับ หรือใช้ภาชนะรับก็ได้
    ๑๑.
    การจัดเครื่องไทยธรรมถวายพระสงฆ์
    ๑๑.๑ เครื่องไทยธรรม คือ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่สมควรถวายแก่พระสงฆ์ ได้แก่ ปัจจัย ๔
    ๑๑.๒ สิ่งของที่ประเคนพระสงฆ์ได้ในเวลาเช้าชั่วเที่ยง ได้แก่ ประเภทอาหารคาวหวานทุกชนิด ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง และอาหาร เครื่องกระป๋องทุกประเภท
    หากนำสิ่งของเหล่านี้ไปถวายในเวลาหลังเที่ยงวันแล้ว เพียงแต่แจ้งให้ภิกษุรับทราบ แล้วมอบสิ่งของเหล่านั้น แก่ศิษย์ของท่าน ให้เก็บรักษาไว้ทำถวายในวันต่อไปก็พอ
    ๑๑.๓ สิ่งของที่ประเคนพระสงฆ์ได้ตลอดเวลา ได้แก่ ประเภทเครื่องดื่ม เครื่องยาบำบัดความเจ็บไข้ และประเภทเภสัช เช่น น้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำอ้อย หมากพลู หรือประเภทสิ่งของที่ไม่ใช่ของสำหรับขบฉัน
    ๑๑.๔ สิ่งของที่ไม่สมควรประเคนพระสงฆ์ ได้แก่ เงินและวัตถุสำหรับใช้แทนเงิน เช่น ธนบัตร เป็นต้น
    (ในการถวาย ควรใช้ใบปวารณาแทนตัวเงิน ส่วนตัวเงินมอบไว้กับไวยาวัจกรของพระภิกษุนั้น)
    ๑๒. การปฏิบัติในการกรวดน้ำ
    - กระทำในงานทำบุญทุกชนิด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
    - ใช้น้ำที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปน
    - ใช้ภาชนะสำหรับกรวดน้ำโดยเฉพาะ ถ้าไม่มี ก็ใช้แก้วน้ำหรือขันน้ำแทน โดยจัดเตรียมไว้ถึงเวลาใช้
    - กรวดน้ำหลังจากถวายเครื่องไทยธรรมแล้ว
    - เมื่อประธานสงฆ์เริ่มอนุโมทนา (ยถา...) ก็เริ่มหลั่งน้ำอุทิศส่วนกุศล
    - ถ้านั่งอยู่กับพื้น พึงนั่งพับเพียบจับภาชนะสำหรับกรวดน้ำด้วยมือทั้งสอง ริมน้ำให้ไหลลงเป็นสาย
    - ถ้าภาชนะสำหรับกรวดน้ำปากกว้าง เช่น ขันหรือแก้ว ควรใช้นิ้วมือขวารองรับสายน้ำให้ไหลลงไปตามนิ้วชี้นั้น ถ้าภาชนะปากแคบ ไม่ต้องใช้นิ้วมือรองรับสายน้ำ
    - ควรรินน้ำให้ไหลลงเป็นสาย โดยไม่ขาดตอนเป็นระยะ ๆ พร้อมกันนั้น ควรตั้งจิตอุทิศกุศลแก่ท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว
    - เมื่ออุทิศเป็นส่วนรวมแล้ว ควรอุทิศระบุเฉพาะเจาะจง ชื่อ นามสกุล ของผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
    - เมื่อพระสงฆ์รูปที่ ๒ รับและขึ้นอนุโมทนาว่า สัพพีติโย ... พึงเทน้ำให้หมดภาชนะ แล้วประนมมือรับพรต่อไป
    - ขณะที่พระสงฆ์กำลังอนุโมทนา ไม่พึงลุกไปทำธุรกิจอื่น ๆ (หากไม่จำเป็นจริง ๆ)
    - พระสงฆ์อนุโมทนาจบแล้ว พึงกราบหรือไหว้ตามสมควรแก่สถานที่นั้น ๆ
    - น้ำที่กรวดแล้วพึงนำไปเทลงที่พื้นดิน โดยเทลงที่กลางแจ้ง ภายนอกตัวอาคารบ้านเรือน ห้ามเทลงไปในกระโถน หรือในที่สกปรกเป็นอันขาด
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พิธีทอดกฐิน
    เพื่อให้ทราบสาเหตุที่พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้ภิกษุนับกฐิน และต่อมาทายกก็ได้ถือเป็นกุศลกรรมบำเพ็ญสืบต่อกันมา ตราบเท่าทุกวันนี้ เรื่อเดิมมีดังนี้ :-
    ครั้งหนึ่ง ภิกษุชาวเมืองปาฐาประมาณ ๓๐ รูป มีความประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เมืองสาวัตถี จึงพากันเดินทางจากเมืองปาฐาไปเมืองสาวัตถี แต่พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ในระยะทางห่างจากเมืองสาวัตถีประมาณ ๖ โยชน์ จึงจะถึงสาวัตถี ก็เผอิญถึงวันเข้าพรรษา ภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงจำพรรษา ณ เมืองสาเกต ในระหว่างจำพรรษามีความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้า พอออกพรรษาก็เดินทางไปสาวัตถีโดยเร็ว ในเวลานั้นฝนยังตกมากอยู่ ทางเดินเต็มไปด้วยโคลนตามเปรอะเปื้อน เมื่อมาถึงสาวัตถี ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบความลำบากของพระเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำพิธีกรานกฐิน ในระยะเวลาภายหลังออกพรรษาไปแล้ว ๑ เดือน พระภิกษุที่ได้รับกฐินและกรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ ตามพระวินัยคือ :-
    ๑. เข้าบ้านโดยไม่ต้องบอกลาภิกษุด้วยกัน
    ๒. เดินทางไปโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบ
    ๓. ฉันอาหารโดยล้อมวงกันได้
    ๔. เก็บจีวรที่ยังไม่ต้องการใช้ไว้ได้
    ๕. ลาภที่เกิดขึ้น ให้เป็นของภิกษุที่จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว
    การที่ผู้มีศรัทธานำผ้าไปถวายพระภายหลังวันออกพรรษาคือ ในระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ ซึ่งเรียกว่า ฤดูทอดกฐิน หรือกฐินกาล นั้น ตามหลักพระวินัย ภิกษุจะต้องนำผ้านั้นมาตัด เย็บ ย้อมตากให้แห้ง ควรแก่การใช้ได้ให้เสร็จภายในวันเดียว
    พิธีของกฐินนี้มีอยู่ ๒ ระบบ คือ :-
    ๑. ระยะทายกนำผ้าไปถวายระยะหนึ่ง ซึ่งตกในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ ภายหลังออกพรรษาแล้ว
    ๒. ระยะที่พระท่านรับผ้าจากทายกแล้วประชุมกันทำกรรมวิธีการตัดเย็บ ย้อมแล้วกรานกฐินนี้ เป็นระยะหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับฆราวาสประการใดเป็นเรื่องพิธีกรรมทางพระวินัยของสงฆ์โดยเฉพาะ
    อนึ่ง การทอดกฐินนั้น ผู้มีศรัทธาประสงฆ์จะทอดวัดใดก็ตาม ตามธรรมดาจะต้องไปบอกกล่าวให้พระสงฆ์วัดนั้น ๆ ทราบล่วงหน้าก่อน หากไปทอดเฉย ๆ เรียกว่า "
    กฐินจร"
    ลำดับพิธีถวายกฐิน
    ๑. นำผ้ากฐินไปวัดที่จะถวาย ถ้ามีการแห่แหนไป เมื่อเข้าไปในวัดแล้วจะนำองค์กฐินเวียนโบสถ์ (วัดหลวงเรียกว่าพระอุโบสถ) เช่นเดียวกับการนำนาคเวียนโบสถ์ด้วยก็ได้ หรือจะไม่เวียนก็ได้
    ๒. นำผ้ากฐินพร้อมด้วยบริวารกฐินไปตั้งไว้ ณ สถานที่ที่ถวายให้เรียบร้อย สถานที่ถวาย เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ จงพิจารณาดูว่า ที่ไหนจะเหมาะ (คำว่า เหมาะ หมายถึง ที่กว้างพอที่จะเข้าไปนั่งรวมอนุโมทนาได้พอสมควร) เมื่อถึงเวลาที่พระสงฆ์จะจะทำพิธีของท่าน (สังฆกรรม) ท่านจะต้องไปทำในโบสถ์เสมอ ทำนอกโบสถ์ไม่ได้ ถ้าวัดไม่มีโบสถ์ก็ต้องทำในเขตแม่น้ำ หรือในเขตสระใหญ่ ๆ
    ๓. เมื่อเจ้าภาพไปถึงสถานที่ถวานผ้ากฐินแล้ว ให้จุดเทียนธูปสักการะบูชาและกราบพระรัตนตรัยก่อน ดอกไม้ธูปเทียนสำหรับสักการะบูชาพระรัตนตรัยนี้ เจ้าภาพจะนำไปด้วยก็ได้ หรือจะให้คนไปจัดไว้ที่วัดก่อนก็ได้ เรื่องนี้ตามประเพณีนิยมถือกันว่า ไปวัดทั้งทีควรมีดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะบูชาด้วย การนำไปพร้อมกับเจ้าภาพไม่ยุ่งยาก เพียงให้คนถือตามไปมีเทียน ๒ เล่ม ธูป ๓ ดอก ดอกไม้ ๑ กำ ก็พอแล้ว เมื่อไปถึงก็นำไปสักการะบูชา ณ สถานที่จัดไว้ ถ้าให้คนไปจัดไว้ที่วัดก่อน ควรมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ปูผ้าขาว ตั้งแจกัน ๑ คู่ พร้อมด้วยธูป ๓ ข้างหน้าวางหมอนไว้ ๑ ใบ ถ้าไม่มีหมอนก็ใช้ ผ้าขาวปูไว้แทน จะใช้ผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดขนาดเหมาะสมก็ได้ เมื่อเจ้าภาพไปถึง ก็ให้จุดเทียนธูปสักการะบูชาพระรัตนตรัยที่จัดไว้นี้ แล้วกราบพระ ๓ ครั้ง
    ๔. ตามประเพณีนิยมในต่างจังหวัด ในบางถิ่น ถ้ามีการทอดกฐินชาวบ้านที่ทำบุญในวัดที่จะทอดนั้น จะพากันไปร่วมอนุโมทนาด้วยเป็นจำนวนมาก เวลาถวายผ้ากฐินก็ร่วมถวายด้วย ถ้าในถิ่นที่ชาวบ้านนิยมประเพณีนี้ก็ควรอนุโลม คือ ใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกกับผ้าไตรกฐิน (อย่าผูกให้แน่นนักจะแก้ออกลำบาทให้ผูกเป็นเงื่อนกระตุกได้) เมื่อผูกแล้วโยงมาวงเครื่องบริวารกฐินให้รอบ ที่เหลือจากนั้น ให้ผู้ที่มาร่วมอนุโมทนาถือด้วยกันทุกคน เวลาจะโยงวงบริวารกฐิน ให้เว้นด้ายสายสิญจน์ไว้ในระยะประมาณจากที่ตั้งองค์กฐิน ไปถึงหัวอาสน์สงฆ์ เพราะเวลานำผ้ากฐินไปประเคนนั้น ยังไม่ได้แก้ด้ายสายสิญจน์ออก ประเคนผ้ากฐินแล้วจึงแก้ออก ทั้งนี้ถือกันว่าผู้ร่วมอนุโมทนาได้ประเคนร่วมด้วย เพราะเขาถือกันว่า การทำบุญถ้าได้ประเคนกับมือตนเองได้บุญมาก เรื่องด้ายสายสิญจน์นี้ ถ้าในท้องถิ่นที่ไม่นิยมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแต่ประนมมือว่าคำถวายตามไปด้วยก็พอแล้ว
    ๕. เมื่อพร้อมแล้ว ถึงเวลาถวายผ้ากฐิน ให้เจ้าภาพหยิบผ้าห่มพระ (ผ้าห่มพระประธาน) มอบให้แก่มรรคนายก เพื่อนำไปห่มพระประธาน แล้วประเคนตาลปัตรแด่พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน เพื่อท่านจะได้ใช้ในการให้ศีล
    ๖. มรรคนายกหรือพิธีกรอาราธนาศีล เจ้าภาพพร้อมด้วยผู้มาร่วมอนุโมทนากฐิน ตั้งใจรับศีลโดยพร้อมเพรียงกัน
    ๗. มรรคนายกหรือผู้ช่วยพิธีกรนำผ้ากฐินมามอบให้ประธาน ส่วนพานแว่นฟ้าที่วางผ้ากฐินนั้น ให้นำไปตั้งไว้เบื้องหน้าพระสงฆ์รูปที่ ๒ หรือที่ ๓ นับจากหัวอาสน์สงฆ์ เพื่อว่าเมื่อกล่าวคำถวายผ้ากฐินเสร็จแล้ว จะได้นำผ้ากฐินไปวาง ณ ที่นั้น ทั้งนี้หมายความว่าผ้ากฐินตั้งไว้ รวมกับเครื่องบริวารกฐิน การตั้งรวมไว้เป็นหมวดหมู่ก็เพื่อความสวยงาม ไม่ได้ไปตั้งไว้ที่หัวอาสน์สงฆ์ก่อน เมื่อผู้เป็นประธานรับผ้ากฐินแล้ว ให้อุ้มประคองประนมมือหันหน้าไปทางพระปฏิมาประธาน (ในการทอดกฐินนี้ ถ้าสามีภรรยาไปทอดด้วยกัน จะจับผ้ากฐินด้วยกันก็ได้ และก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าได้ทำบุญร่วมกันจริง ๆ ) เมื่อหันหน้าไปทางพระประธานแล้ว ให้ตั้งนะโม ... ๓ จบ แล้วหันหน้าไปทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน ดังนี้
    (สำหรับวัดมหานิกาย) "อิมัง ภันเต สะปะริวารัง. กะฐินะ จวะระ ทุสสัง, สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ" (ว่า ๓ หน)
    (สำหรับวัดธรรมยุต) "อิมัง ภันเต สะปะริวารัง, กะฐินะทุสสัง, สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, สังโฆ, อิมัง, สะปะริวารัง, กะฐินะทุสสัง, ปะฏิคคัณหาตุ, ปะฏิิคคะเหตตะวา จะ, อิมินา, ทุสเสนะ กะฐินัง อัตถะระตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ
    การกล่าวคำถวาย ถ้าจะไม่ว่าคำแปลด้วย ให้ทอดเสียงสองคำสุดท้าย (สำหรับวัดมหานิกาย คือ โอโณชะยามะด้วย) สำหรับวัดธรรมยุตคือ "
    หิตายะ สุขายะ" ให้ยาวหน่อย เพื่อให้พระสงฆ์สังเกตได้ว่าจบแล้ว ท่านจะได้กล่าวรับด้วยคำว่า "สาธุ" ขึ้นพร้อมกัน
    ๘. เมื่อกล่าวคำถวายจบ พระสงฆ์รับ "สาธุ" ขึ้นพร้อมกันแล้ว ให้นำผ้ากฐินไปประเคนแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง จะเป็นรูปที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได้ เพื่อท่านจะได้รับไว้แทนพระสงฆ์ เพราะผ้ากฐินยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อท่านรับแล้ว ต่อไปนี้เป็นเรื่องของพระสงฆ์ ซึ่งจะได้พิจารณามอบผ้ากฐินให้แก่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้สมควร
    ๙. เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีของท่านเสร็จแล้ว ให้มรรคนายกหรือพิธีกรส่งไตรคู่สวดให้เจ้าภาพประเคน เพื่อท่านจะได้ออกไปครองผ้าพร้อมกัน (การถวายผ้ากฐินนี้ ถ้าถวายที่วิหาร หรือศาลาการเปรียญ เวลาท่านจะไปทำสังฆกรรมในโบสถ์ ก็ให้ถวายไตรครองพระคู่สวดเสียก่อน ท่านจะได้ครองผ้าในโบสถ์พร้อมกับองค์ครองกฐินเลยทีเดียว ไม่ต้องกลับมาแล้วให้ท่านครองอีกเป็นการเสียเวลา)
    ๑๐. พระสงฆ์ครองผ้ากลับเข้ามานั่งบนอาสน์สงฆ์เรียบร้อยแล้ว มรรคนายกหรือพิธีกรส่งของให้เจ้าภาพประเคน ให้ส่งเครื่องบริวารกฐินถวายองค์ครองให้เสร็จก่อน แล้วประเคนพระคู่สวดพระอันดับตามลำดับ ถ้ามีสามเณรก็ใช้มารับไทยธรรมตอนนี้ด้วย การประเคนของพระและสามเณรนี้ เจ้าภาพจะมีใจเอื้อเฟื้อให้ผู้มาร่วมอนุโมทนา ประเคนด้วยก็ได้ ทั้งนี้เฉพาะผู้ที่อยู่ในเครือญาติ หรือผู้ที่เคารพนับถือและรู้จักมักคุ้น
    ๑๑. ประเคนเครื่องไทยธรรมเสร็จแล้ว มรรคนายกหรือพิธีกรนำน้ำกรวดไปให้เจ้าภาพ พระสงฆ์อนุโมทาว่า (ยถา ...) เจ้าภาพกรวดน้ำ
    เสร็จพิธี
    บันทึก
    เรื่องการประเคนผ้ากฐินนี้ พระสงฆ์บางวัดรับประเคน แต่มีบางวัดไม่รับ เพราะฉะนั้น ขอให้ส่งผู้แทนไปซักซ้อมเรียกถามเสียก่อน จะได้เป็นการเรียบร้อยด้วยกันทั้งสองฝ่าย สำหรับวัดที่ท่านไปประเคน ประธารพึงวางผ้ากฐินไว้บนพานแว่นฟ้า ตรงเบื้องหน้าพระสงฆ์เถระนั้น

    หมายเหตุ ปะฏิิคคะเหตตะวา - บาลี, ปฏิิคฺคเหตฺวา
     
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เกือบลืมอีก 1 คำ ครับ

    - ไอศกรีม : มาจากภาษาอังกฤษว่า Ice-cream (ไอศรีม)
    แต่เขียนเป็นภาษาเขียนที่ถูกต้อง ต้องเขียน "ไอศกรีม

    http://www.thaitv3.com/learnthai/data/april2003.html

    แต่ถ้าเป็นไอศกรีม มหาชัย ก็...อร่อย

    จริงไหมครับคุณ Chaipat
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มีสีขาว ย่อมมีสีดำ และยังมีสีเทา
    มีความดี ย่อมมีความชั่ว และยังมีทั้งดีและชั่ว
    มีเกิด ย่อมมีดับ และยังมีพระนิพพาน
    มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีพยามาร แต่ไม่มีอย่างอื่น

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ไหน ๆ ก็เคยผ่านวัยนี้มาแล้ว (ping) กลัวเขียนผิด เดี๋ยวจะกลายเป็น "วัยห้าเพศ"

    คนไทยเรา ถ้าอายุเข้าวัย เบญจเพส แปลว่าอายุ ยี่สิบห้า คำว่า เบญจ แปลว่า แปลว่า ห้า บวกกับคำว่า วีส แปลว่า ยี่สิบ แต่มีหลายคนเขียนคำว่าเบญจเพส เป็นเบญจเพศ ซึ่งผิดความหมาย เพราะเบญจเพศนี้มีความหมายว่า ห้าเพศ :d





    http://www.thaitv3.com/learnthai/data/nov2003.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2007
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    เฮ้อ..เรื่องยุ่งๆ พอซักทีก็ดีเหมือนกัน ยิ่งอ่านยิ่งไม่สบายใจ ไปกันใหญ่ทีเดียว รุ่นใหญ่หายกันหมดพี่ตุ่น ขุนท้าว และอีกหลายๆ...จริงๆ แล้วขณะนี้มีพระของหลวงปู่ใหญ่ เจ้าประคุณสมเด็จ เริ่มออกมาให้เห็นอีกมากแล้ว ของเดิมที่เรามีอยู่นึกว่าดีแล้ว กลับมีพิสดารยิ่งขึ้นกว่าอีก ทำให้เห็นว่าจิตของผู้เสก ทั้งหมู่ ทั้งเดี่ยวนั้น พิสดารเหลือกำลังเช่นสมเด็จเขียวของหลวงปู่อุตตระ สมเด็จของหลวงปุ่แสงกับเจ้าประคุณสมเด็จเสกร่วมกันเป็นพระพิมพ์เหมือนวัดระฆัง หรือสมเด็จปีระกา (วัดบางน้ำชน) พิมพ์เดียวกันกับวัดบางขุนพรหม รวมถึงพระเนื้อโลหะอื่นๆ ที่เริ่มเผยโฉมออกมาให้ศึกษาทั้งนอกและในกัน แถมเจ้าของที่เสกท่านเริ่มมาแวะเวียนมาให้กำลังใจทั้งกายทิพย์ และกายเนื้อให้พี่ใหญ่ได้เห็นและได้ถ่ายทอดมายังพวกเราอีก ทำให้ได้ศึกษาและเก็บความรู้รวมถึงการกำหนดจิตเข้าถึง (สมถะภาวนา) ให้ย่นย่อแทนการเดินอย่างสะเปะสะปะของเราอีกด้วย เวทีใหญ่ที่บ้าน อ.ประถมอาจจะใหญ่ไปคุยไม่ทั่วถึง เวทีเล็กสนุกกว่ามีทั้งพระพิมพ์ให้ตรวจ พร้อมคำอธิบายทางจิตและเกร็ดประวัติที่ไม่ได้รู้มาฟัง ยิ่งวันไหนมีศิษย์รุ่นใหญ่ๆ ของ อ.ประถมมาแจมรับรองซีดปาก ต้องเงี่ยหูฟังตลอด เพราะท่านเหล่านี้ทั้งบู๊บุ๋น ครบเครื่อง ตรวจได้ทั้งรูป-นาม แถมหลักปริยัติ ปฏิบัติ พร้อม อีกเรื่องนึง คุณโสระ ไม่บอกบุญกฐินที่นครสวรรค์หน่อยรึ ทำบุญกฐิน แถมเหรียญลูกศิษย์หลวงพ่อยีที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ด้วย ท่านเป็นพระอภิญญาน๊ะ (พี่ใหญ่บอกยังงั้น แถมยังควักตังค์ทำบุญมาด้วย 200 เลยได้พระไป 1 องค์) แต่กรณีนี้ทำบุญเท่าไรก็ได้ ได้พระมา 1 องค์ ได้ทั้งพระได้ทั้งบุญ ต้องให้คุณโสระประชาสัมพันธ์เอง ออกอากาศไม่ได้เพราะไม่ได้ขออนุญาต แต่แนะนำได้ว่าพระดีๆ นี้น่าเก็บจัง ส่วนพระอื่นๆ คงต้องรออีกระยะแล้วจะนำมาฝากกันบ้างครับเช่นพระพิมพ์วัดระฆังที่ทันเจ้าประคุณเสกตรวจโดยทางฌาณ
    โดยเฉพาะในก๊วนนี้องค์ไม่กี่ร้อยบาท(ไม่เกิน 500-) เชื่อเครดิตกันก็จองกันเข้ามาจะขึ้นทะเบียนไว้ให้ ไม่แจกฟรี จองได้คนละ 1 องค์ รับพระที่บ้าน อ.ประถม สวยบ้างไม่สวยบ้างพระมีไม่เกิน 8 องค์ใครไม่จอง อด ไม่ง้อด้วย เพราะเก็บไว้ใช้เองถือว่าสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าก็แล้วกันพระชุดนี้แขวนเดี่ยวได้หายห่วงไม่มีการเสกในพิธีอื่นเพิ่ม เพื่อให้เป็นจิตของเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยตรงนั่นเอง
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พี่พันวฤทธิ์ครับ
    ผมขอจองด้วย 1องค์ครับ
    ขอบคุณมากครับ
    nongnooo...
     
  11. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  13. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ร่วมจองและร่วมทำบุญด้วยคนครับพี่ พันวฤทธิ์

    โมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เร็วจริงนะลุง เปลี่ยนไปใช้โซฮอลล์แน่เลย
    (b-ping)
     
  15. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,252
    ค่าพลัง:
    +7,241
    อดีตไม่สำคัญเท่าปัจจุปัน
    คุยกันในเรื่องปัจจุปันดีกว่าค่ะ
     
  16. pondkantana

    pondkantana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +44
    ขอจองพระ

    เรียนพี่พันวฤทธิ์
    ผมขอจอง 1 องค์ครับ
    pondkantana
     
  17. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,252
    ค่าพลัง:
    +7,241
    ขอจองพระ 1 องค์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่วงค์ตระกูลค่ะ
     
  18. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    ผมขอจองด้วย 1องค์ครับ
    ขอบคุณมากครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE class=tborder id=post733703 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 10:51 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10333 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พันวฤทธิ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_733703", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:10 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 215 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 148 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 2,061 ครั้ง ใน 208 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 242 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD class=alt1 id=td_post_733703 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เฮ้อ..เรื่องยุ่งๆ พอซักทีก็ดีเหมือนกัน ยิ่งอ่านยิ่งไม่สบายใจ ไปกันใหญ่ทีเดียว รุ่นใหญ่หายกันหมดพี่ตุ่น ขุนท้าว และอีกหลายๆ...จริงๆ แล้วขณะนี้มีพระของหลวงปู่ใหญ่ เจ้าประคุณสมเด็จ เริ่มออกมาให้เห็นอีกมากแล้ว ของเดิมที่เรามีอยู่นึกว่าดีแล้ว กลับมีพิสดารยิ่งขึ้นกว่าอีก ทำให้เห็นว่าจิตของผู้เสก ทั้งหมู่ ทั้งเดี่ยวนั้น พิสดารเหลือกำลังเช่นสมเด็จเขียวของหลวงปู่อุตตระ สมเด็จของหลวงปุ่แสงกับเจ้าประคุณสมเด็จเสกร่วมกันเป็นพระพิมพ์เหมือนวัดระฆัง หรือสมเด็จปีระกา (วัดบางน้ำชน) พิมพ์เดียวกันกับวัดบางขุนพรหม รวมถึงพระเนื้อโลหะอื่นๆ ที่เริ่มเผยโฉมออกมาให้ศึกษาทั้งนอกและในกัน แถมเจ้าของที่เสกท่านเริ่มมาแวะเวียนมาให้กำลังใจทั้งกายทิพย์ และกายเนื้อให้พี่ใหญ่ได้เห็นและได้ถ่ายทอดมายังพวกเราอีก ทำให้ได้ศึกษาและเก็บความรู้รวมถึงการกำหนดจิตเข้าถึง (สมถะภาวนา) ให้ย่นย่อแทนการเดินอย่างสะเปะสะปะของเราอีกด้วย เวทีใหญ่ที่บ้าน อ.ประถมอาจจะใหญ่ไปคุยไม่ทั่วถึง เวทีเล็กสนุกกว่ามีทั้งพระพิมพ์ให้ตรวจ พร้อมคำอธิบายทางจิตและเกร็ดประวัติที่ไม่ได้รู้มาฟัง ยิ่งวันไหนมีศิษย์รุ่นใหญ่ๆ ของ อ.ประถมมาแจมรับรองซีดปาก ต้องเงี่ยหูฟังตลอด เพราะท่านเหล่านี้ทั้งบู๊บุ๋น ครบเครื่อง ตรวจได้ทั้งรูป-นาม แถมหลักปริยัติ ปฏิบัติ พร้อม อีกเรื่องนึง คุณโสระ ไม่บอกบุญกฐินที่นครสวรรค์หน่อยรึ ทำบุญกฐิน แถมเหรียญลูกศิษย์หลวงพ่อยีที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ด้วย ท่านเป็นพระอภิญญาน๊ะ (พี่ใหญ่บอกยังงั้น แถมยังควักตังค์ทำบุญมาด้วย 200 เลยได้พระไป 1 องค์) แต่กรณีนี้ทำบุญเท่าไรก็ได้ ได้พระมา 1 องค์ ได้ทั้งพระได้ทั้งบุญ ต้องให้คุณโสระประชาสัมพันธ์เอง ออกอากาศไม่ได้เพราะไม่ได้ขออนุญาต แต่แนะนำได้ว่าพระดีๆ นี้น่าเก็บจัง ส่วนพระอื่นๆ คงต้องรออีกระยะแล้วจะนำมาฝากกันบ้างครับเช่นพระพิมพ์วัดระฆังที่ทันเจ้าประคุณเสกตรวจโดยทางฌาณ
    โดยเฉพาะในก๊วนนี้องค์ไม่กี่ร้อยบาท(ไม่เกิน 500-) เชื่อเครดิตกันก็จองกันเข้ามาจะขึ้นทะเบียนไว้ให้ ไม่แจกฟรี จองได้คนละ 1 องค์ รับพระที่บ้าน อ.ประถม สวยบ้างไม่สวยบ้างพระมีไม่เกิน 8 องค์ใครไม่จอง อด ไม่ง้อด้วย เพราะเก็บไว้ใช้เองถือว่าสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าก็แล้วกันพระชุดนี้แขวนเดี่ยวได้หายห่วงไม่มีการเสกในพิธีอื่นเพิ่ม เพื่อให้เป็นจิตของเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยตรงนั่นเอง
    <!-- / message -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post733808 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 11:56 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1034</TD></TR></TBODY></TABLE>
    kwok<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_733808", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:56 AM
    วันที่สมัคร: Mar 2006
    ข้อความ: 379 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 826 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,019 ครั้ง ใน 424 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 357 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    1 ชั่วโมง 5 นาที ครับ
    พระสมเด็จ 8 องค์ เรียบภายใน 1 ชั่วโมง 5 นาที

    โมทนาสาธุทิพย์กับทุกๆท่านครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2007
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อย่าลืมชำระหนี้สงฆ์ และทำบุญให้แผ่นดินด้วยนะครับ

    การทำบุญให้แผ่นดิน เป็นการทำบุญที่ให้กับผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดิน เช่น การทำบุญกับสภากาชาดไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา ,โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นต้น
    หรือการบริจาคเลือดก็ได้เช่นกันครับ

    อย่าลืมเรื่องของการกรวดน้ำอีกเรื่อง สำคัญมากๆเช่นกัน

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...