เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    supatorn
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ
    ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่ให้กายเนื้อมาเพื่อปฎิบัติธรรม
    ขอบคุณความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ทําให้เบื่อหน่ายในขันธ์ห้า
    ขอบคุณอุปสรรคทั้งหลายที่ทําให้เรามีความพากเพียร มีอิทธิบาท๔
    ขอบคุณศัตรูคู่อาฆาตจองเวรจองกรรมที่ทําให้เรารู้จักกับการให้อภัยและอโหสิซึ่งกันและกัน
    ขอบคุณสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งหลายที่ทําให้เรามีพรหมวิหาร๔
    ขอบคุณความยุ่งยากในชีวิตที่ทําให้เรารู้ความหมายของคําว่า"เพื่อนแท้และกัลยาณมิตร"
    ท้ายที่สุดคือขอบคุณในพระธรรมคําสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เที่ยงแท้แน่นอนที่ทําให้"ใจ"เห็นธรรมและกฎไตรลักษณ์ว่าทุกๆสิ่ง"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปในท่ามกลางและดับไป"
    ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ

    ชอบ บทขอบคุณของ พี่ต้อย มากครับ...

    สวัสดีปีใหม่ 2556 คุณ toplus99 และกัลยามิตรทุกๆคนครับผม...
    ขอให้มีความสุขกายสบายใจ ร่ำรวยบุญทานบารมี และขอให้มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ได้ทำบุญกันมากๆทุกๆคนนะครับ...
     
  2. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    lomdadbaimai
    สมาชิก


    วันที่สมัคร: Nov 2009
    ข้อความ: 148
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 696
    ได้รับอนุโมทนา 560 ครั้ง ใน 104 โพส
    พลังการให้คะแนน: 81
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ supatorn
    ==========================
    แล้วท่านอาจารย์จะจากกับเราโดยทิ้งเรื่องที่ยังเล่าไม่จบหรือคะ น้องลม น้องภิศร น้องแตน น้องRasri ว่าอย่างไร

    น้องลมก็จะตอบว่า "ไม่เอาอ่ะ" ที่นี่อบอุ่นดีค่ะ

    ขอสารภาพนะคะว่าจนป่านนี้ ยังอ่านที่คุณ toplus99 เขียน ยังไม่จบเลย เพราะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนหน้าจอ)

    สำหรับคุณ pegaojung ดิฉันซาบซึ้งก้บความเพียร และน้ำใจอันดีงามของคุณนะคะ มิได้มองข้าม เห็นที่เขียนก็ทราบแล้วค่ะว่า ต้องใช้พลังไปมากเพียงไร และรู้สึกขอบคุณมาก ทั้งคุณ toplus99 คุณพี่ต้อย คุณ pegaojung และทุก ๆ ท่านเลย ที่ห่วงใยกัน แม้จะข้ามกระทู้ไป

    อันที่จริงดิฉันเป็นคนที่มีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ลองมาหลายแบบแล้ว และบางครั้งวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายสิ่งที่เป็นได้นะคะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่หวังว่า ตนเอง และทุก ๆ ท่านจะมีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ค่ะ

    ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีสุขภาพ ไม่ค่อยแข็งแรง เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไปหาหมอ ตรวจก็ไม่มีอะไร ก็ถ้ออยู่เหมือนกันครับ แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ก็เลยคิดว่า เราพยายามทำดี คือทำบุญทำทานไปตามมีตามเกิดครับ...
     
  3. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    ก็คงจะเหงา ๆ เหมือนกันนะคะ แม้จะพยายามเข้าใจว่านี่เป็นการสอนถึงความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งปวงอีกวาระหนึ่ง ซึ่งผ่านมาให้เราได้เรียนรู้เพิ่มอีกหนึ่งบท และรู้สึกว่ายังไม่อยากจบบทนี้ก็ตามที

    น้องก็คงไม่มีคำใดจะกล่าว น้อมรับการตัดสินใจนั้น
    แต่ถ้าหากบอกได้ ก็คงอยากบอกแบบ คุณลมว่า "ไม่เอาอ่ะ" ที่นี่อบอุ่นดีค่ะ

    ก็ไม่ง่ายนักกับการที่จะรู้สึกถึงความเป็นมิตร การเป็นกัลยาณมิตร มอบแก่กัน แต่ที่นี่มีให้ คงเป็นดังเช่นพี่ต้อยกล่าว ที่ว่า ขอบคุณความยุ่งยากในชีวิตที่ทําให้เรารู้ความหมายของคําว่า"เพื่อนแท้และกัลยาณมิตร"
     
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    มาฟังเพลงเพราะๆกันดีกว่า
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=S8iOjugW-_I"]?????????????? - YouTube[/ame]

    เพียงลมพัดผ่าน ศิลปิน พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

    ฉันไม่อยากกล่าวคำว่าอำลา ฉันใช่มาโอดครวญหรือชวนให้ลุ่มหลง

    เพียงลมลมที่ผ่านเลยก็เลยไป

    เหมือนน้ำหลากล่องลงไม่คืนหลัง น้ำก็ยังชุ่มเย็นเป็นสายน้ำ

    ไม่เคยขาดไม่ไหลคืนคือความจริง

    เราพบกันมีเรื่องราวเล่ากันฟัง เป็นเหมือนดั่งภาพเขียนที่เสกสรร

    บรรยากาศที่ดีและจริงใจ

    *แม้ไม่มีพยานคำมั่นฤาสัญญา

    อย่ารอเวลาให้ล่วงเลยร่างกายจะร่วงโรย

    จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาว

    ใช่ว่าเราจะจากกันนิรันดร์ไป

    จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาว

    ใช่ว่าเรา ... จะจากกันนิรันดร์ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2013
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    มีผู้หญิงคนหนึ่งไปหาพระ "หลวงพ่อขา ทําไงดี ชอบด่าสามีเรื่อยเลย เขาก็กลับบ้านไม่เป็นเวลา ก็ทะเลาะกันประจําเลย" หลวงพ่อเลยให้นํ้ามนต์แล้วบอกว่า"นี่นะ เวลาสามีมาก็ให้อมนํ้าไว้นะ หรือพอจะทะเลาะก็อมนํ้ามนต์ไว้เลย" เธอก็ทําตาม พอถึงเวลาสามีมาสาย ก็อมปุบ สามีก็สงสัยทําไมเมียไม่บ่น บ่อยๆเข้าก็กลับบ้านตรงเวลาและเป็นคนดีเลยเลิกทะเลาะกัน ที่แท้แล้วหลวงพ่อท่านก็ให้นํ้าธรรมดาแหละ แต่พออมแล้วมันพูดไม่ได้
    ===============================
    ที่มาจําไม่ได้ 555
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    *********************************************
    ขอบพระคุณในไมตรีจิตที่หยิบยื่นให้ค่ะ ขอต้อนรับสู่"ครอบครัวtoplus99" ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ขอให้คุณโชคดีและหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็วค่ะ ด้วยความรักจากพี่ต้อยค่ะ(kiss)
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    มาฟังเพลงเพราะๆ


    ==============================
    เพลงซึ้งใจ:':)'( "ครอบครัวtoplus99"รอการกลับมาของท่านอยู่นะคะ (kiss);aa41;aa58
     
  8. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๗ การรับประทานอาหารปรับสมดุลร่างกาย(๒)
    กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน


    ในการไปอบรม แต่ละเช้าจะมีภารกิจบำเพ็ญประโยชน์แบ่งตามกลุ่ม หมุนเวียนกันไป
    หนึ่งในกิจกรรมนั้น จะมีไปเก็บผัก เพื่อมานำประกอบอาหาร
    จะต้องไปกันตั้งแต่6โมงเช้า นำมาล้าง ช่วย จนท.จิตอาสาปรุงอาหารต่อไป
    เราก็จะได้เรียนรู้เรื่องของการปรุงอาหารไปด้วย
    ตอนแรกว่าจะแยก ประเภทอาหารอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็นให้อ่านก่อน
    แต่ เปลี่ยนใจ บอกๆไปพร้อมกับเทคนิคลำดับการกินไปเลยละกันนะ
    อาจจะยาวจนน่าเบื่อ ก็ทนๆอ่านเรื่องหลักๆเป็นพื้นฐานไปก่อน แล้วรอบต่อไปจะแนะเทคนิคเฉพาะอีกครั้ง
    :z12

    กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน
    ในมื้อหลัก ๑ มื้อใน ๑ วัน อาจเป็นช่วงเช้าหรือเที่ยงก็ได้ มีเทคนิคการรับประทานอาหารตามลำดับ ดังนี้(สูตรล้างพิษร้อน)

    ลำดับที่๑ ดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล เช่น น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่างๆ หรือที่เรียกว่า น้ำคลอโรฟิลสดจากธรรมชาติ น้ำยานาง เป็นต้น

    ลำดับที่๒ รับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น
    กล้วยน้ำว้า แก้วมังกร กระท้อน สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ มังคุด แตงโม แตงไทย แคนตาลูป มะม่วงดิบ มะละกอดิบ มะละกอห่าม มะยม มะดัน มะขวิด แอ๊ปเปิ้ล สาลี่ ทับทิม ลางสาด พุทรา ลูกพลับ เป็นต้น โดยรับประทานเท่าที่รู้สึกสดชื่นสบาย ถ้าเป็นผลไม้หวานให้รับประทานเพียงเล็กน้อยแค่พอรู้สึกสบาย
    ควร งดหรือผลไม้ฤทธิ์ร้อน เช่น ทุเรียน ขนุนสุก มะม่วงสุก ลูกยอ ลิ้นจี่ เงาะ ลำไย มะเฟือง มะปราง มะตูม กล้วยไข่ กล้วยหอม กล้วยเล็บมือนาง ส้มเขียวหวาน สละ องุ่น ฝรั่ง น้อยหน่า กระทกรก (เสาวรส) ละมุด ลองกอง ระกำ (ร้อนเล็กน้อย) มะละกอสุก (ร้อนเล็กน้อย) มะขามหวานสุก (ร้อนเล็กน้อย) ผลไม้ทุกชนิดที่ผ่านความร้อน เช่น การอบ นึ่ง ปิ้ง ย่าง ต้ม หรือตากแห้ง เป็นต้น


    ลำดับที่๓ รับประทานผักฤทธิ์เย็นสด เช่น
    อ่อม แซบ (เบญจรงค์) ผักบุ้ง แตง กวางตุ้ง สายบัว ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักกาดหอม (สลัด) ถั่วงอก มะเขือเปราะ มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือเทศ ใบมะยม ใบทองหลาง พลูคาว(กินไม่เกิน๕ยอดมักออกฤทธิ์เย็น ถ้าเกิน๕ยอดมักออกฤทธิ์ร้อน) เป็นต้น

    สำหรับ ผักพาย บัวบก มะเขือพวงหรือ พืชรสขมทุกชนิด มีฤทธิ์ร้อนดับร้อน บางอย่างมักถูกกับบางคน ถ้าถูกกันกินแล้วจะสบายขึ้น

    ส่วนผักที่มีรสฝาดควรกินคู่กับรสเปรี้ยวจะทำให้เกิดความสมดุล สำหรับอาหารรสเปรี้ยว ถ้ากินแล้วเสียวฟัน แสดงว่า ณ เวลานั้น ร่างกายไม่ต้องการเปรี้ยว ควรงด
    ผักฤทธิ์เย็น อาจรับประทานเป็นสลัดผักที่น้ำสลัดไม่ใส่สิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนมากเกินไป ห่อใบเมี่ยง รับประทานกับส้มตำ หรือน้ำพริกหรือยำวุ้นเส้นหรืออาหารอื่นๆ ที่ปรุงรสไม่จัดเกินไป (ปรุงรสด้วยเกลือหรือซีอิ้วขาวจะดีกว่าน้ำปลา หรือปลาร้า ถ้าใช้เกลือปรุงอย่างเดียวจะดีที่สุด ใช้มะนาว มะขามเปียกหรือพืชรสเปรี้ยวอื่นๆ ที่มีฤทธิ์เย็น ปรุงรสได้) ควรรับประทานจนเริ่มรู้สึกฝืดฟัน/ฝืดคอ/ฝืดลิ้นจึงหยุด

    กรณีที่ไม่ ค่อยมีฟันเคี้ยว ผู้ป่วยอ่อนแรงอ่อนล้าอ่อนเพลีย ไม่ชินกับผักสดหรือรู้สึกว่ารับประทานผักสดได้ลำบาก ควรใช้วิธีการปั่นผักฤทธิ์เย็นใส่กับผลไม้ฤทธิ์เย็น โดยปั่นใส่น้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ปรับสัดส่วนของผักผลไม้และสมุนไพร ตามสภาพร่างกายที่รู้สึกรับประทานได้ง่าย และมีพลังชีวิต

    ควรงดหรือลดผักฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ผักรสเผ็ดทุกชนิด รวมถึงพืชที่ไม่มีรสเผ็ด แต่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ชะอม คะน้า กะหล่ำปลี แครอท บีทรูท ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง กระเฉด กระถิน โสมจีน โสมเกาหลี แปะตำปึง (ร้อนเล็กน้อย) ผักกาดเขียวปลี ใบยอ ผักโขม ฟักทองแก่ หน่อไม้ เม็ดบัว สาหร่าย ไข่น้ำ และพืชกลิ่นฉุนทุกชนิด เป็นต้น

    ลำดับที่๔ รับประทานข้าวเจ้าพร้อมกับข้าว โดยรับประทานข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือเป็นปกติ ก็ยิ่งดี
    ควร งดหรือลดคาร์โบไฮเดรตที่มีฤทธิ์ร้อนมาก เช่น ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำ (ข้าวก่ำ ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ เผือก มัน กลอย

    กับข้าวควรใช้ผักฤทธิ์เย็นเป็นหลักในการปรุง ได้แก่ ผักฤทธิ์เย็นที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงผักฤทธิ์เย็นอื่นๆ เช่น บวบ ใบ/ยอดตำลึง ผักปลัง ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน ก้านตรง ฟัก แฟง แตงต่างๆ หยวกกล้วย ปลีกล้วย ก้านกล้วย กล้วยดิบ ยอดฟักข้าว ยอดฟักแม้ว กระหล่ำดอก บล๊อกเคอรี่ หัวไช้เท้า (ผักกาดหัว) ฟักทองอ่อน ยอดหรือดอกฟักทอง ยอดอีสึก (ขุนศึก) มังกรหยก ดอกสลิด (ดอกขจร) ฝัก/ยอด/ดอกแค ข้าวโพด ขนุนดิบ มะรุมเป็นต้น
    อาจปรุงเป็น ยำผัก ก้อยผัก ผักลวก ผักนึ่ง ผักต้ม แกงจืด แกงอ่อม ผัดด้วยน้ำ (ใช้น้ำแทนน้ำมันในการผัด) หรือเมนูอาหารอื่นๆ ที่มีทั่วไป เพียงแต่ใช้ผักฤทธิ์เย็นเป็นหลักในการปรุง งดหรือลดการปรุงที่ทำให้เกิดความร้อนมาก เช่น เผา ปิ้ง ย่าง อบ ผัดด้วยน้ำมัน ปรุงรสจัด เป็นต้น สำหรับคนที่รับ ประทานเห็ด และเต้าหู้ได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ บางวันอาจใช้ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดลม (เห็ดบด) เห็ดขอนขาว เห็ดหูหนู เหรือเต้าหู้แผ่น เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร
    การปรุงอาหารเพื่อถอนพิษร้อนให้ใช้ไฟ กลางๆ อย่าใช้ไฟแรง ตั้งไฟใช้เวลาแค่พอเริ่มสุกก็พอ อย่าตั้งไฟนานเกินไป อย่าอุ่นอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีก

    สำหรับมะรุม ทั้งใบ/ดอก/ฝัก/เมล็ด ควรปรุงผ่านไฟ เช่น ลวก ต้ม นึ่ง จะมีฤทธิ์เย็นพราะสารเมาเบื่อในมะรุมจะถูกความร้อนทำลาย
    มะรุมดิบทั้งใบ/ดอก/ฝัก/เมล็ด มีฤทธิ์เมาเบื่อ ซึ่งทางแพทย์แผนไทยจะใช้เทคนิคพิษดับพิษ ให้ทานปริมาณน้อยเพื่อให้ร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทนมากำจัดพิษต่างๆในร่างกาย ดังนั้น ถ้าเรากินมะรุมดิบในรูปอัดเม็ดหรือแคปซูล ควรกินปริมาณน้อยพอสบายจะเป็นประโยชน์ ไม่ควรกินติดต่อเกิน๓สัปดาห์ เว้น๑-๓สัปดาห์แล้วค่อยกินต่อ จึงปลอดภัย


    ลำดับที่๕ รับประทานต้มถั่วหรือธัญพืชฤทธิ์เย็น เช่น
    ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว ลูกเดือย หมุนเวียนชนิดในแต่ละวัน โดยแช่ถั่ว 4-12 ชั่วโมง นำถั่วที่แช่แล้ว 1 ส่วนเติมน้ำ 3 เท่า ต้มไฟอ่อนถึงปานกลาง ต้มแค่พอสุก (อย่าให้เปื่อย) อาจเติมเกลือหรือน้ำตาลเล็กน้อย แค่พอรับประทานง่าย เราอาจดื่มน้ำต้มถั่ว แกงจืดล้างคอแทนน้ำเปล่า (ถ้ามี) ปิดท้ายในมื้ออาหาร


    ที่ไปอบรมปิดท้ายเป็นน้ำต้มจืดผักฤทธิ์เย็น ซึ่งจืดจริงๆเลยนะ^^

    ควร งดหรือลดการรับประทานโปรตีนฤทธิ์ร้อน เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วทุกชนิดที่เอามาทอด เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดโคน (เห็ดปลวก) เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดขม เห็ดผึ้ง เป็นต้น รวมถึงโปรตีน ทั้งพืชและสัตว์ที่เอามาหมักดอง เช่น กะปิ น้ำปลา ปลาร้า ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว มิโสะ โยเกิร์ต เทมเป้ ปลาจ่อม ปลาเค็ม เนื้อเค็ม แหนม ไข่เค็ม เป็นต้น
    ควร งดหรือลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะไขมันมีพลังงานความร้อนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ รำข้าว จมูกข้าว งา กะทิ เนื้อมะพร้าว เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกก่อ เมล็ดกระบก เป็นต้น


    สำหรับ มื้อเบาๆ เช่น เช้าหรือเย็นหรือมื้อเสริม อาจกินน้ำสมุนไพร ผลไม้ หรือธัญพืช หรือเครื่องดื่มธัญพืชที่มีฤทธิ์เย็นแทน อาหารมือหนัก เช่น น้ำย่านาง บัวบก ใบเตย ว่านกาบหอย ว่านหางจระเข้ เฉาก๊วย เก๊กฮวย หญ้าปักกิ่ง ลูกสำรอง (หมากจอง) น้ำมะพร้าว ลูกเดือยต้ม หรือน้ำลูกเดือย ถั่วเขียวต้ม หรือน้ำถั่วเขียว ถั่วเหลืองต้ม หรือนมถั่วเหลือง ถั่วลันเตาต้ม
    ถั่วโชเล่ย์ขาวต้ม ถั่วขาวต้มและนมข้าวโพด เป็นต้น


    ส่วน มื้อเย็น หรือในช่วงที่กำลังรักษา ฟื้นฟูร่างกายที่เมื่อกินข้าวสวยแล้วรู้สึกไม่ดีต่อร่างกาย ควรใช้ข้าวต้มถอนพิษร้อน กิน พร้อมกับผัดผัก (ผัดด้วยน้ำแทนน้ำมัน) หรือผักลวก

    โอ่ะ!! โอ่ะ!! โอ๊ะ!! โอ้ย.. รอบนี้ตาลาย(tm-love)
    เชิญท่านผู้อ่านมาตาลายด้วยกันตามสบาย ขอบายไปพักสายตาซะหน่อย
    รอบหน้าเก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกันดีกว่าเนอะ
    catt9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2013
  9. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    lomdadbaimai
    สมาชิก
    สวัสดีค่ะ คุณ Toplus99 พี่ต้อย คุณพุงกลม ๆ คุณ ภิศรณ์ คุณ Rasri คุณ thamruksaudon และทุก ๆ ท่าน

    อย่างไรก็จะค่อย ๆ ไล่อ่านระหว่างที่รอท่านเจ้าบ้านกลับมานะคะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้มาพบกัน และในกระทู้นี้มีน้ำใจมากมายเกิดขึ้น มีการถามไถ่ มีการพยาามหาทางออกให้กับปัญหา และตักเตือนกัน สิ่งนี้ มิใ่ช่หาง่ายค่ะ

    สำหรับคุณ thamruksaudon อาการป่วยที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ บางทีอาจจะมีทางออกในสายที่ไม่ใช่หมอฝรั่งนะคะ ดิฉันลองผิดลองถูกมาเยอะค่ะ สุดท้า่ยนี้ก็ยังลงที่ว่า "ลองต่อไป" ค่ะ ไม่ก็ "รอให้หมดเวลา" แต่เราจะรอให้หมดเวลาเฉย ๆ คงไม่ได้นะคะ เราก็ต้องทำอะไรบ้างค่ะ เพราะบางทีโรคบางอย่างก็ทำให้เราเหนื่อยหน่ายกับชีวิตได้เหมือนกัน

    ในทางกลับกัน บางทีเราแข็งแรงดีนะคะ แต่จิตใจต่างหากที่พาเราอ่อนแอ หากหาสาเหตุเจอ การจะพบทางออกมิใช่เรื่องยากค่ะ

    ท้ายที่สุดนี้ ต้องขอกล่าวขอบคุณในน้ำใจดีงามของท่านเจ้าบ้านนะคะ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร สิ่งหนึ่งที่จะอยู่ในใจคือ "น้ำใจ" เอื้อเฟื้อ และความกรุณาอย่างมากของท่าน อันนำพาให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับเพื่อนสมาชิกที่มีน้ำใจยิ่งท่านอื่น ๆ ค่ะ
    สวัสดีค่ะ คุณ Toplus99 พี่ต้อย คุณพุงกลม ๆ คุณ ภิศรณ์ คุณ Rasri คุณ lomdadbaimai และกัลยาณมิตรทุก ๆ ท่านครับ

    ผมก็ค่อยๆ หาทางแก้ไขไปทีละนิดครับ ได้มากก็ดี แต่อย่าว่า น่าจะโรคกรรมนะครับ ทำใจได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ต้องทนนะครับ...ทุกวันใครว่าอะไร ก็พยายามทำตามเขาเขา ขอให้ทำแล้วสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน ไม่รบกวนใครก็ทำตามอัตภาพครับ...บางครั้งด็เหมือนไม่เชื่อเรื่องบุญกรรม แต่ทำอย่างไรใจมันก็ให้ทำบุญทำทานสร้างสมบารมีไปเท่าทีจะทำได้ตามกำลังเงิน และแรงกาย...หลายครั้งถ้อ และถอย แต่ก็เหมือนมีบุญมั่ง มาช่วยให้เราผ่านพ้นมาได้ครับ...

    พอดีมีแม่ชี โทรมาบอกเรื่องสมุนไพร รางจืด ที่ผมทำแจก คนนะครับ เมื่อก่อนหลังบ้านผมมีรางจืด ขึ้นเต็มไปหมด ผมรู้แต่ว่า แก้เมาเหล้าได้ ตอนหลังมาที่เป็นที่ชุมพรมั่ง ที่มีครัวหนึ่ง ยำแมงดาทะเลหรือไข่ ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ที่เป็นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์นะครับ ผมก็เลย คิดว่า เก็บใบรางจืดมาหันตากแดด ให้แห้งแล้วเอาไปจ้างร้านสมุนไพรเขาบดให้เป็นกิโล ไว้กินเองด้วย แจกคนอื่นๆด้วย คนละประมาณ 20 เม็ด บางทีไปวัดก็แจกคนแก่ กินแก้ปวดหลังปวดเอวครับ มีน้องภัทรอังคาร ที่ชลบุรี ผมส่งให้ไปกินแก้แผลภายใน คือผ่าตัดไส้ติง มาหลายเดือนแล้ว ก็ยังเจ็บแปลบๆอยู่ น้องเขาเหล่าว่า พอได้วันแรก ก็กินเลย 2 เม็ด ก่อนนอน ตื่นเช้าขึ้นมาเข้าน้องน้ำ พบว่า ผดผื่นที่ต้นคอ ที่น้องไปหาหมอรักษา แล้วไม่หาย จนหมดหวัง กับหายไปในคืนเดียวที่กินรางจืด ผมก็ได้แต่ดีใจด้วยครับ เลยไม่ได้ถามถึงเรื่องอาการเจ็บของแผลผ่าตัดฯ แต่ผมคิดว่า น่าจะดีขึ้น เพราะผมเองก็ผ่าตัดไสติงเหมือนกัน และก็เจ็บแปลบๆ เหมือนกันครับ รายหนึ่งเป็นลุงแก่ เป็นโรคท้องอืดท้องเฟ้อ ประมาณนั้น ไปโรงพยาบาล ไปสาธารณะสุขตำบล ไปคลินิค ก็ไม่หาย บังเอิญ ผมไปวัดผมได้ให้รางจืด ภรรยา ของลุงแก่คนนั้นไป 20 เม็ดเหมือนกัน ยายเล่าให้ฟังว่า คืนแรกแก่ไม่ยอมกิน แก่กลัวตาย ยายก็เลยกินเอง ตื่นเช้าขึ้นมา ลุงแก่เลยถามยายว่า กินแล้วไม่ไง ยายก็ตอบว่า ไม่เห็นเป็นอะไร คืนที่สอง ลุงเลยกิน ตื่นเช้ามา ลุงแก่ ถ่ายออกมาเป็นมูตรเป็นเลือด เหม็นมาก อยู่ประมาณ 3-4 วันมั่ง เสร็จจากนั้น ลุงแก่ก็ไปเลี้ยงควาย ได้ ถามหา รางจืด ว่ามีอีกไหม ผมก็ได้แต่ดีใจที่ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ รายล่าสุดเป็นเชื้อราที่ปอดเข้ากระแสเลือด ขึ้นตา ทำให้ตามองแถบจะไม่เห็น ผลเลือดต่ำ ผมก็เลยส่งผ่านทางแม่ชี ให้เขากินดู แต่ผมเน้นว่า ให้กินกับน้ำซาวข้าว และให้กินก่อนนอน ไม่ให้กินร่วมยาแผนปัจจุบัน ให้กินคนละเวลา พอดีก่อนนอนมียาปัจจุบันต้องกิน ก็เลยต้องกินตอนเช้า ตอนตื่นนอน ให้กินเลย แต่ กินแล้วสักพักจะหิว ต้องหาอะไรลองท้อง เดี๋ยวเป็นกะรเพาะอีก พึ่งโทรมาบอกข่าวว่า กินอยู่หลายเดือน ไปตรวจเลือด ตามที่หมอนัดแล้ว ผลเลือดดีขึ้น ตอนนี้หมอให้เลิกกินยาแก้เชื้อราในกระแสเลือด แล้ว ตอนนี้ผมก็เสียใจที่ไปได้ทำสมุนไพร แจกอีกครับ เพราะผมต้องบย้ายที่อยู่ใหม่ยังไม่แน่นอน เลยได้แต่เก็บพันธ์ไว้ เพาะต่อไป ถ้ามีบ้านที่มีบริเวณมากพอก็จะทำใหม่ครับ...

    ต้องขอโทษ คุณ pegaojung...ด้วยนะครับ...ที่เข้ามาแทรกเรื่อง ยาสมุนไพร

    พอแค่นี้ก่อนนะครับ กำลังจะเลิกงานแล้วครับ...ต้องทำงานก่อนครับ...
    สวัสดีทุกๆคนครับ
     
  10. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๗ การรับประทานอาหารปรับสมดุลร่างกาย(๓)
    กรณีที่มีภาวะเย็นเกินและร้อนเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน/ ภาวะเย็นเกินอย่างเดียว

    ว่าจะเสนอแค่เล็กน้อย ท่าทางก็คงจะไม่น้อยเหมือนเดิม
    และแล้วก็มาตาลายด้วยกันต่อเลยนะ ^_^


    กรณีที่มีภาวะเย็นเกินและร้อนเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน
    ก็ให้กินตามลำดับเช่นเดิม แต่กดน้ำร้อนใส่สมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือนำไปอุ่นให้ร้อนก่อนกิน
    ลดหรืองดผักสดฤทธิ์เย็น กินผัก ไปกินผักที่ผ่านความร้อน เช่นผักต้ม/นึ่ง/ลวก
    ถ้ายังมีภาวะเย็นเกินแทรกอีก ให้เพิ่มสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไปเพื่อถอนพิษเย็น ตามสภาพร่างกายที่รับประทานแล้วรู้สึกสบาย

    เรียกสูตรนี้ว่า สูตรปรับสมดุล คือ จะเพิ่มฤทธิ์ร้อนเข้าไป๓๐%ของที่ใส่ปกติ
    เช่นเคยใส่พริก/เกลือ ๑๐เม็ด/๑๐ ช้อนชาก็ลดลงเหลือ ๓เม็ด/๓ช้อนชา เป็นต้น


    กรณีที่มีภาวะเย็นเกินอย่างเดียว
    ใช้ลำดับการกินเช่นเดียวกับภาวะร้อนเกิน แต่ ให้งด หรือลดสิ่งที่มีฤทธิ์เย็น
    เพิ่มสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนในปริมาณที่ร่างกยรู้สึกเบากายและมีกำลังมากที่สุด


    เทคนิคโดยรวมในการปรับสมดุลด้วยสมุนไพรและอาหาร

    จากที่ อ.หมอเขียวศึกษาพบว่า คนส่วนใหญ่ มักป่วยด้วยภาวะร้อนเกิน จึงนิยมใช้ สูตรล้างพิษร้อน ในเบื้องต้นประมาณ ๓-๗วัน โดยทั่วไปจะดีขึ้น จากนั้นใช้สูตรปรับสมดุล ถ้าใช้สูตรปรับสมดุลแล้วเบากายมีกำลัง ก็ใช้ไปเรื่อยๆ

    แต่เมื่อนานเข้า มักจะเกิดภาวะร้อนเกิน คือ กำลังตก มีอาการไม่สบายแบบร้อนเกิน เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ปากเป็นแผลผื่นขึ้น ปวดบวมแดงร้อนตามส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ไปใช้สูตรล้างพิษร้อน เมื่อใช้สูตรล้างพิษร้อนนานเกิน

    ก็จะเกิดภาวะเย็นเกิน คือกำลังลง ไม่สบายเช่น หัวตื้อ ท้องอืด มือเท้าเย็น หนาวสั่น มึนชา เป็นต้น ก็กลับไปใช้สูตรปรับสมดุล
    ทำสลับไปมาเรื่อยสักพัก กิเลสเราก็อยากกินของมีพิษ ที่เราเคยติดเช่น อยากกินรสจัด อยากกินขนม


    จะกินอาหารที่มีพิษได้ ๒ กรณี คือ

    ๑.เมื่ออยากกินมากจนรู้สึกเครียดมากเกินไป ก็ให้กินพอควร ถ้าปล่อยให้เครียดมากจะมีผลเสียกับร่างกายมากกว่าพิษของอาหาร พอตั้งหลักได้ก็ไปใช้สูตรล้างพิษ+ปรับสมดุลใหม่ ทำวนเวียนไปเรื่อยๆ

    ๒.ต่อให้ไม่อยากกินอาหารที่เป็นพิษ ก็ฝึกกินบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย จากที่ร่างกายจะได้ฝึกขับพิษและอดทนกับพิษ ถ้าเราแข็งแรงดีไม่เจ็บป่วยก็กินอาหารพิษบ้าง ประมาณ๑-๒ครั้ง/สัปดาห์ โดยกินพอรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยพอแก้ไขได้

    มีเรื่องเล่า หลังกลับจากอบรม เราก็ตำส้มตำกินเองบ้าง ใส่พริก๑เม็ด+กระเทียม(ในค่ายอบรมไม่ใส่) กินเข้าไป ร้อนจากพริก+กระเทียม
    กว่าจะปรับให้เย็นลง ตั้ง๓-๔ ชั่วโมง เอิ๊กกกก


    มีอยู่วันนึง น้องที่รู้จักแวะมาบ้าน พาไปกินส้มตำ ต้มแซ่บเห็ดสามสหายรสแซ่บ
    ที่เคยไปกินกันบ่อยๆ เราน้ำตาไหลพรากๆ
    ปล๊าวว!! ไม่ใช่ซาบซึ้งกะที่น้องเลี้ยงอาหาร แต่ เผ็ดจนระบายออกมาเป็นน้ำตา เฮ้อออ..
    pig_cryy

    สำหรับผู้ป่วยหนักควรอดทนไม่กินสิ่งมีพิษให้นานที่สุด จนกว่าจะเกิดอาการเครียดเกินไป

    ไม่มีสูตรใดตายตัวสำหรับทุกคน และทุกท่านที่ต้องการมีสุขภาพดีก็ต้องปรับสมดุลไปธาตุ(ความร้อนในร่างกาย)ตามสภาพร่างกาย ณ ปัจจุบันนั้น


    ดังคำของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เล่มที่๑๑ สังคีติสูตร ข้อที่๒๙๓ กล่าวถึงที่ตั้งแห่งความเพียร ๕ อย่าง หนึ่งในนั้น ตรัสว่า “เป็นผู้มีโรคน้อย มีทุกข์น้อย ประกอบด้วยเตโชธาตุ (ความร้อนในร่างกาย) อันมีวิบาก(ผล)เสมอกัน ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นกลางๆควรแก่ความเพียร”

    การที่เราต้องหมุนเวียนกินถั่วหรืออาหารชนิดต่างๆ เพื่อปรับสมดุล ก็ตรงกับตรัสที่ว่า “สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี” ดังนั้นมนุษย์ผู้มีปัญญาจึงมีหน้าที่ ปรับเพื่อยึดอาศรัยความสมดุลในวันเวลานั้นๆชั่วคราวเท่านั้น จึงจะไม่ทุกข์

    หากเจอหน้ากัน อย่ามาถามเรื่องพระไตรปิฎกนะ ข้าน้อยด้อยปัญญา ที่เอามาลงเนี่ย ลอกของอ.หมอเขียวมาเด๊อค่า
    ว่าจะลงแค่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย มันกลายเป็นเกร็ดใหญ่ซะแล้ว อ่ะ!! ถ้าน้อยๆ รอเป็นรอบต่อๆไป
    จะน้อยหรือเปล่า เดาไม่ออกเลยนะค๊า ถ้าคนอ่านตาลาย คนพิมพ์ก็ตาลายไปก่อนแว้วว
    แต่ละครั้งพ่นสปรย์น้ำย่านางที่หน้าไปไม่น้อย อยู่หน้าจอคอมนานๆมันร้อนนะ
    หลายๆท่านควรหาเวลาผ่อนคลายสายตามั่งเน้ออ
    :z16
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  11. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    อนุโมทนาในกุศลที่คุณ thamruksaudon ที่ได้ทำด้วยค่ะ
    ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรงนะคะ
    มีเรื่องอะไรจะเล่าเป็นวิทยาทาน คนในครอบครัวนี้ ยินดีอยู่แล้วค่า
    แชร์ประสบการณ์ เล่ามาอีกเรื่อยๆนะคะ
    มีเรื่องมาเล่าหลายๆคน จะได้อบอุ่นดีค่า
    :VO
     
  12. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    เก็บตกข้อคิดจากแม่ครั่ง;k04


    งดกินยาขมซะวัน มาอ่านแนวคิดของแม่ครั่งซะหน่อย

    แม่ครั่งคือใคร ใจท่านคงคิดถาม นั้นเป็นนามของคุณแม่อ.หมอเขียว
    ตัวท่านเล็กนิดเดียว ข้องเกี่ยวกำเนิดเปิดสถานสวนป่านาบุญ


    คิดไปคิดมา สถานที่บุญแต่ละแห่ง สังเกตุดีๆ
    จะมีผู้หญิงตัวเล็กใจใหญ่อยู่เบื้องหลังเสมอ
    สถานที่แห่งนี้ก็เช่นกัน แม่ครั่งเป็นทั้งแรงกาย แรงใจและแรงปัจจัย
    สนับสนุนให้เกิดสถานที่ให้ผู้คนหลากหลายไปใช้ประโยชน์โดยไม่คิดเงิน


    แม่ครั่งเล่าว่า มีบางคนไปเจอ แม่ครั่งเดินอยู่ นึกว่าเป็นคนงาน
    ให้ช่วยหิ้วกระเป๋าให้ก็มี แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไร หิ้วไปส่งให้


    แม่ครั่งเล่าเรื่อง ก่อนที่จะเปิดศูนย์ จากเรื่องลำบากเป็นตลกฮามาก
    ขำเพลิน เลยเก็บรายละเอียด มาฝาก ครอบครัวtoplus99ได้นิดหน่อย


    -แม่ครั่งเก็บขยะของคนที่ไปอบรมทิ้งไว้ไม่เป็นที่ แม่ถือว่า เก็บบุญ

    -ความไม่ดี ความเห็นแก่ตัว เค้ามาทำให้เราเห็น มาเป็นครู
    นั่นก็ดี เราจะได้ไม่ทำตามแบบเค้า


    -จะรวยรึจน จุดจบทุกคนไม่พ้นที่เดียวกันหมด

    -การเก็บผัก ควรเก็บแต่เช้าก่อน ๖.๐๐น. แล้วห่อใบตองไว้
    ถ้าเอาเข้าตู้เย็น จะหมดคุณค่าวิตามิน

    (อันนี้ เราคนในเมือง ทำได้ยากเจงๆ พื้นที่น้อยนิด มีต้นกล้วยอยู่ต้นเดียวจะไปเบียดเบียนมันรึก็สงสาร ก็เลยลดๆการซื้อ ขยันออกไปซื้อหน่อย ดีเหมือนกัน จะได้คิดก่อนซื้อ)
    -มีคนมาล้อมด่าที่บ้าน--> แม่ครั่ง บอกว่า มันไม่เจ็บ เนื้อไม่หลุด ทนได้ทุกสถานการณ์
    (สถานการณ์ในช่วงก่อตั้งศูนย์)

    -แม่เล่าถึงโรงสีบางแห่ง (บางแห่งนะบางแห่ง ) ที่เค้าเก็บข้าวไว้ เค้ามีฉีดยาฆ่าหนอนแมลง ๗วันก็สีข้าวออกจำหน่าย
    -->คนซื้อข้าวกินอย่างเราๆ ก็ภาวนาให้เจอข้าวดีมีคุณภาพปราศจากยาฆ่าแมลงกันนะเออ

    วันนี้อารมณ์ดีมาแบบเบาๆ เราค้นหาใจตัวเองเจอแล้ว
    รอบต่อไป จะมาต่อยาขม ที่กินแล้วชื่นหัวใจต่อนะค๊า
    ;aa51

    ปิดท้าย อยากนำเสนอภาพ ดอกรางจืดที่บ้านที่ปีนรั้วไปเอาใบมันมาทำน้ำคลอโรฟิลด์ประจำ
    งามตามธรรมชาติ
    ;k06
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC14896.JPG
      SDC14896.JPG
      ขนาดไฟล์:
      947.6 KB
      เปิดดู:
      51
    • DSC_0297.JPG
      DSC_0297.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      62
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านคือใคร ??? :

    การที่พระอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติ ตรัสรู้ขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เป็นสิ่งที่ยากเหลือคณา เพราะกว่าที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีครบ ๓๐ ทัศ ให้เต็มบริบูรณ์นั้น อย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วในเวลาที่ว่างเว้นพระศาสนา ซึ่งบางครั้งยาวถึง ๑ อสงไขย สัตว์โลกที่ต้องเวียนว่ายายเกิดใจวัฏสงสาร ต้องมืดมนอลธกาลขาดที่พึ่ง ต้องอยู่ในอบายภูมิจำนวนมาก

    การ อุบัติขึ้น ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในระหว่างที่ว่างเว้นพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่าพุทธันดรนั้น นับว่าเป็นโชคมหาศาลของผู้ที่เกิดในยุคนั้น เพราะ พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมมาสงเคราะห์สัตว์โลก ให้ตั้งอยู่ในทาน ในศีล เมื่ละร่างกายไปแล้ว ย่อมสู่สุคติภูมิ มีสวรรค์เป็นต้น ให้บุคคลที่ตกยากแต่มีศรัทธาเต็มเปี่ยมได้เป็นมหาเศรษฐี ด้วยการออก จากนิโรธสมาบัติแล้วมาสงเคราะห์บิณฑบาต

    พระ ปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็นเอกควรแก่การได้รับ "ไทยทาน" ที่เขานำมาถวาย หรือจะเรียกว่า "อัครทักขิไณยบุคคล" ในยุคพุทธันดรอย่างแท้จริง เพราะยุคนั้นไม่มีใครเปรียบเสมอ สมดังที่ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...

    " ในโลกทั้งปวงเว้นจากเราเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอกับพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย "


    พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท

    สำหรับความปรารถนาของพระปัจเจกโพธิ สัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะมีบารมีเป็นปัญญาธิกะ ก็ยังต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่อาจต่ำกว่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ

    ๑. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปัญญา ธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป

    ๒. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าศรัทธา ธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปเล็กน้อย

    ๓. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าวิริยาธิกะ : บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปมากแต่ไม่ถึง ๓ อสงไขย


    ผู้ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้อง ปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ เพื่อเกิดอภินิหารของพระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือ

    ๑. ความเป็นมนุษย์

    ๒. ความ ถึงพร้อมด้วยเพศชาย

    ๓. การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจา, หรือพระอรหันตสาวก ท่านใดท่านหนึ่ง

    ๔. การกระทำอันยิ่งใหญ หรือ อธิการ

    ๕. ความเป็นผู้มีฉันทะ

    พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งหลายตลอดกาลตามประเภทแล้ว ด้วยความปรารถนานี้ และด้วยอภินิหารนี้ อย่างนี้แล้วเมื่อจะเกิดในโลก ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ หรือ สกุลพราหมณ์

    พระ ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ หรือ สกุลคหบดี สกุลใดสกุลหนึ่ง

    ส่วนพระอัครสาวก ย่อม เกิดขึ้นเฉพาะในสกุลกษัตริย์ และสกุลพราหณ์เท่านั้น เหมือนอย่างพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก พระองค์ไม่เกิดขึ้นในวัฏกัป คือ กัปเสื่อม ย่อมเกิดขึ้นในวิวัฏ ฏกัป คือ กัปเจริญ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เกิดขึ้นในกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

    พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และสอนผู้อื่นให้ รู้ตามไปด้วย แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรูเฉพาะตนเอง และไม่ สอนผู้อื่นให้รู้ตาม

    พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมแทงตลอด "อรรถรส" เท่านั้น ไม่แทงตลอดตาม "ธรรมรส" เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่อาจยกโลกุตรธรรมขึ้นสู่บัญญัติแล้ว แสดง (ผม เข้าใจว่าหมายถึง "ไม่นำธรรมะมาจัดระเบียบเพื่อสอน" ถ้าลุง. ศ เข้าใจไม่ตรงโปรดชี้แนะด้วยครับ) พระปัจเจพุทธเจ้าเหล่านั้น มีการตรัสรู้ธรรมเหมือน "คนใบ้เห็นความฝัน" และเหมือน "พรานป่าลิ้มรสข้าวในเมือง" ฉะนั้น

    พระ ปัจเจกพุทธเจ้าย่อมบรรลุธรรมในอิทธิฤทธิ์ สมาบัติ และปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลาย เป็นผู้ต่ำกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เหนือกว่าพระสาวกโดยคุณวิเศษ

    พระปัเจกพุทธเจ้าย่อมยัง บุคคลหล่าอื่นบรรพชา ให้ศึกษาอภิสมาจารด้วยอุเทศนี้ว่า พึงทำความขัดเกลาจิต ไม่พึงท้อถอย และเมื่อจะทำอุโบสถโดยเพียงกล่าวว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถ และจะทำอุโบสถย่อมประชุมกันที่รัตนมาลา โคนต้นไม้มัญชูกะ บนภูเขาคันธมาทน์" (มีต่อ)

    หมายเหตุ: ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อพระราชพรหมยานเคยบอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สอนธรรมเหมือน และสอนคนให้ไปนิพพานได้ แต่ไม่เป็น สาธารณะ

    -------------------------------------------

    ข้อกำหนด และ ปกิณณกะ : พระปัจเจกพุทธเจ้า

    ๑) พระปัจเจกพุทธลักษณะ :

    ... ในพระบาลีและอรรถกถาไม่ได้แสดงพระปัจเจกพุทธลักษณะไว้ชัดเจนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างไร ในอรรถกถาได้กล่าวไว้ว่าพราหมณ์ยุคนั้นมีคัมภีร์มหาปริสลักษณะว่าบุคคลผู้ นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระพุทธบิดา พระพุทะมารดา แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าลักษณะเช่นไรเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า... ใน อรรถกถาปัจเจกพุทธาปทาน และชาดกแสดงเพียงลักษณะของเพศบรรพชิตว่า ...

    ... "มีพระเกศาและพระมัสสุยาว ๒ องคุลี ครองผ้าสองชั้นที่ย้อมแล้ว คาดรัดประคตเช่นสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่ามีสีดังแผ่นครั่ง ห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง มีผ้าบังสกุล จีวรสีเมฆพาดอยู่เบื้องขาว มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้าย" ...

    ... และถ้าหากท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ : เมื่อท่านทรงบริขาร ๘ แล้วแลดูเหมือนพระเถระ ๑๐๐ พรรษา หรือ ๖๐ พรรษา


    ๒) พระรัศมีของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็มีรัศมีเหมือนกัน ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานท่านแสดงไว้ว่า

    " พระปัจเจกพุทธเจ้า มีรัศมีสุกสกาวแห่งทองสีแดงและทองชมพูนุท"

    ... ส่วนอรรถกถาประวัติของพระโสณโกฬิวิสะแสดงไว้ว่า

    " พระรัศมีที่สรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเช่นกับสีของ ผ้ากัมพลแดง"


    ๓) อายุ และ ระยะเวลาบำเพ็ญเพียร ของ พระปัจเจกพุทธเจ้า :

    อายุ ของพระปัจเจกโพธิสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณ มิได้กำหนดชัดเจน แต่ตามที่ปรากฏในอรรถกถา ท่านได้แสดงไว้น้อยที่สุด ๑๖ พรรษา มากที่ สุดมิได้แสดงไว้
    ระยะเวลาการบำเพ็ญเพียรของพระปัจเจกโพธิสัตว์ ที่ ปรากฏในอรรถกถาท่านแสดงไว้นานที่สุด ๗ พรรษา และมีพระปัจเจกโพธิ สัตว์ อยู่หลายองค์ที่ท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ โดยมิได้ออกบำเพ็ญเพียร เหมือนอย่างพระสัพพัญญูโพธิสัตว์


    ๔) เหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณ :

    พระ ปัจเจกโพธิสัตว์แต่ละองค์ได้ความสังเวชไม่เหมือนกัน แล้วบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ใน คัมภีร์อปทาน และขัคควิสาณสูตรได้กล่าวถึงเหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณของพระปัจเจก พุทธเจ้า ๔๑ พระองค์ไว้เป็นพิเศษ จะขอยกตัวอย่างมาแสดงสัก ๒ เรื่องตามลำดับ ดังนี้

    ธรรมที่บรรลุ : ๑. พระปัจเจกพุทธเจ้าในปัจฉิมภพ (พระชาติสุดท้าย) ก็ไม่มีใครๆ เป็นอาจารย์เช่นเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า๒. พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านแทงตลอดในอริยสัจ ๔ ด้วยอัตตุกกังสิกญาณ คือ ญาณที่รู้เฉพาะตนเอง แต่มิได้บรรลุพระสัพ พัญญุญาณ และ ทศพลญาณเหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ๕) พระปัจเจกพุทธเจ้ายังมีวาสนาอยู่ :

    วาสนา : คือ "การทำด้วยอำนาจความเคยชิน" เช่น การกล่าวว่า "จงมาซิคนถ่อย"... "จงไปซิคนถ่อย"... แม้ท่านละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีวาสนาอยู่

    ... ในอรรถกถา คำว่า "วาสนา" นี้ ท่านกล่าวว่า คือ อธิมุตติ ปานประหนึ่งสักว่าความสามารถ อันกิเลสที่เธออบรมมาตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ ติดอยู่ อันเป็นเหตุแห่งความประพฤติ เหมือนความประพฤติของคนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ในสันดาน แม้ของท่านผู้เว้นกิเลสได้แล้ว

    ... ก็ว่าด้วยการละกิเลสเครื่องกางกั้นไญยธรรมด้วยความสมบูรณ์แห่ง อภินิหาร เหตุแห่งความประพฤตินี้นั้น ไม่มีในสันดานของ พระผู้มีพระภาคเจ้าที่ละกิเลสได้แล้วแต่ ยังมีในสันดานของพระสาวก และ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังละกิเลสอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพระตถาคตเท่า นั้นทรงเห็น อนาวรญาณ (ญาณไม่มีเครื่องกั้น)


    ๖) อริยาบถที่บรรลุ :

    พระ ปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลายบรรลุโพธิญาณในอริยาบถต่างๆ กัน ยืนก็มี นั่งก็มี นอนก็มี มีแม้แต่นั่งประทับบนคอช้างแล้วบรรลุพระ ปัจเจกโพธิญาณ


    ๗) สถานที่สถิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    โดยปกติแล้วเมื่อพระปัจเจกโพธิสัตว์บรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะไปประทับอยู่ที่ภูเขา คันธมาทน์ แต่ใน อิสิคิลิสูตร พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์ บุตรของนางปทุมวดีอาศัยอยู่ในถ้าของภู เขาอิสิคิลิ ต่อมาพระราชาสร้าง บรรณศาลา ในพระราชอุทยานถวาย เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ท่านก็อยู่ในที่นั้นจนตราบปรินิพพาน

    ส่วน ภูเขา คันธมาทน์ ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ประจำนั้น อยู่เลยภูเขา ๗ ลูก ณ ภูเขา คันธมาทน์ มีเงื้อมเขาชื่อ นันท กะมูลกะเป็นสถานที่อยู่ของพระปัจเจก พุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เงื้อมเขานันทกะมูลกะแห่งภูเขาคันธมาทน์นี้มีถ้ำอยู่ ๓ ถ้ำ คือ

    ๑. มณีคูหา (ถ้ำแก้วมณี) ๒. สุวรรณคูหา (ถ้ำทองคำ) ๓. ชตคูหา (ถ้ำเงิน)

    บรรดาถ้ำทั้ง ๓ นั้น ที่ประตูคูหา มีต้นไม้ชื่อ "มัญชูสกะ"เป็น ต้นไม้สวรรค์ สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ต้นไม้นั้นจะเผล็ดดอกบานสะพรั่งทั่วไปในน้ำ และบนบกเป็นพิเศษ ในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามาถึง ข้างหน้าต้นไม้นั้นมีศาลา ประชุมอยู่หลังหนึ่ง ชื่อว่า"รัตน มาฬกะ" เป็นศาลาประชุมใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยแก้วมณีทั้งหลัง ที่นี่เป็นที่ประชุมสันนิบาตแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ภายในบริเวณศาลานี้มีลมพิเศษพัดประจำอยู่ ๖ ชนิด คือ

    ๑. สัมมัชนกวาต : มีหน้าที่สำหรับพัดกวาดปัดหยากเยื่อทิ้ง

    ๒. สมกรณวาต : มีหน้าที่พัดทรายแก้วที่บริเวณให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

    ๓. สิญจนวาต : มีหน้าที่พัดพาเอาละอองน้ำในสระอโนดาด มาประพรหมบริเวณศาลาให้ชุ่มฉ่ำเย็น

    ๔. สุคันธกรณวาต : มีหน้าที่พัดเอากลื่นหอมของต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมทั้งหมด มาจากภุเขาหิมวันต์

    ๕. โอจินกวาต : มีหน้าที่พัดดอกไม้ทั้งหลายมาโปรยลง

    ๖. สันถรกวาต : มีหน้าที่ปูลาดในที่ทั้งปวง

    ใน วันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และวันอุโบสถ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมานั่งประชุมกันในที่นี้ อาสนะทั้งหหลายจะปูลาดไว้เรียบร้อยเป็นประจำ นี่เป็นปกติในที่นี้

    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่ ได้เสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว ถ้าในเวลานั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ อยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็จะประชุมกันในทันทีแล้วต่างก็นั่งบนอาสนะที่ลาดไว้ แล้ว

    และครั้นนั่งแล้ว จะพากันเข้าสมาบัติหน่อยหนึ่ง แล้วจึงออกจากสมาบัติ แต่นั้นเพื่อที่จะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงอนุโมทนา พระสังฆเถระจะถามกรรมฐานกะพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่อย่างนี้ว่า "ท่าน บรรลุอย่างไร?" พระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาใหม่นั้น ก็จะกล่าวอุทานคาถา และพยากรณ์คาถาของตน

    -----------------------------------------


    ตัวอย่าง อุทานคาถา และพยากรณ์คาถา :

    พระปัจเจกโพธิสัตว์กุมาร ๕๐๐ องค์ บุตรของพระนางปทุมวดีได้เล่นในสระบัวในอุทยาน นั่งดอกบังคนละดอก เห็นความสิ้นและความเสื่อม ทำปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น ได้พยากรณ์คาถา ของท่านว่า...

    "ดอก บัว กอบัว เกิดขึ้นในสระ บานแล้วถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึง ก็เข้าถึงความร่วงโรย บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้เที่ยวไปเหมือนนอแรด"


    ๘) การทำพระอุโบสถ :

    ธรรมดาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทำอุโบสถที่ศาลาโรงแก้ว รัตนมาฬกะ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ในอรรถกถาบางแห่งกล่าวว่าแม้ที่ป่าอิสิ ตนทายวันก็ทำอุโบโสถ


    ๙) การสงเคราะห์โลก :

    ... พระสารีบุตรท่านกล่าวในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ว่า โลกัตถจริยา (การประพฤติเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก) เป็นจริยาส่วนเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะในพระปัจเจกพุทธเจ้าบาง ส่วน และเฉพาะในพระสาวกทั้งหลายบางส่วน...

    ... จริงอย่างนั้น การสงเคราะห์ต่อชาวโลกของพระปัจเจกพุทธเจ้าปรากฏในที่หลายแห่ง เช่นว่า เมื่อท่านออกจากนิโรธมาบัติแล้วย่อมตรวจดูศรัทธา แล้วจึงไปสงเคราะห์ ธรรมดา ผู้ที่ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมส่งผลเป็นเศรษฐี หรือเสนาบดีภายในวันนั้น แล้วยังให้คนถวายเกิดความโสมนัส โดยการ เหาะไปภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่ยังแลเห็นอีกด้วย

    ... ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานได้พรรณาว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงเป็น ใหญ่ คือ เป็นประธานเป็นเจ้าของ เพราะรับอาหารประมาณน้อย ของเหล่าทายกมากมายแล้วให้ได้บบรรลุถึงสวรรค์ และนิพพาน"


    ๑๐) ทรงสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์ :

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต ได้สงเคราะห์พระโพธิสัตว์หลายครั้งหลายหนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การแสดงธรรม หรือแม้กระทั่งทำ ทรายเสก และ ด้ายเสก นอกจากนั้นยังทรงพยากรณ์ พระโพธิสัตว์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีกด้วย ดังเรื่องตัวอย่างที่มาในชาดกนี้

    ... พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า : ได้ให้โอวาทพระพรหมทัตชักชวนให้ ทรงผนวช โดยตรัสถึงโทษของกาม คุณของบรรพชา แสดงถึงทุกข์ทั้งที่มีการ ก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ : เมื่อพระโพะสัตว์ทูลถามถึงอารมณ์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงประพฤติ ภิกขาจาริยวัตร พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นได้ตรัสบอกเรื่องราวการออกบวชของ ตนแก่พระโพธิสัตว์ ภายหลังพระโพธิสัตว์ได้ออกบวชเป็นฤาษี...

    ... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นคนยากจน : ได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ ท่านเสวยทันที ทรงทำอนุโมทนา แล้วได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขา นันทมูลกะ...พระ โพธิสัตว์ประคองอัญชลี แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ แล้วรำลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นตลอดอายุจนถึงแก่กรรม แล้วไปเกิดเป็นพระราชา

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ : ได้ พิจารณาเห็นสังขพราหมณ์จะเดินทางไปหาทรัพย์เพื่อจะให้ทาน จักมี อันตรายในสมุทร ถ้าสังขพราหมณ์เห็นท่านแล้วจักถวาย ร่ม และรองเท้าแก่ ท่าน เมื่อเรือแตกกลางมหาสมุทร สังขพราหมณ์ได้ที่พึ่งด้วยอานิสงส์ที่ ถวายรองเท้า

    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงได้อนุเคราะห์สังขพราหมณ์ ได้เหาะมา ณ ที่ใกล้สังขพราหมณ์ เดินเหยียบ ทรายร้อนเช่นกับถ่านเพลิง เพราะลมแรงแดดกล้า ตรงมายังสังขพราหมณ์

    สังข พราหมณ์ได้นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปที่โคนต้นไม้ แล้วพูนทรายขึ้น แล้วเอาผ้าห่มปูลาด นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วล้างเท้าด้วยน้ำที่อบกรองใสสะอาด ทาเท้าด้วยน้ำมันหอม แล้วสวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายร่มและรองเท้าด้วยวาจา

    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเพื่อจะ อนุเคราะห์สังขพราหมณ์จึงรับร่มและรองเท้า และเพื่อให้ความเลื่อมใสเจริญ ยิ่งขึ้น จึงเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ให้สังขพราหมณ์เห็น...

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง : ทราบความที่ดาบลพระโพธิสัตว์มีมานะ เพราะอาศัยชาติของตน ไม่สามารถจะยังฌานให้เกิดขึ้นได้ จึงไปข่มมานะดาบส โดยไปนั่งเหนือ กระดานหินของดาบส

    ดาบสขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านดบมือตวาดท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวกะท่าน ว่า :

    " พ่อคนดี เหตุไฉนพ่อจึงมีมานะ อาตมาบรรลุพระปัจเจกพุทธญาณแล้วนะใน กัปนี้เอง พ่อจักเป็นสัพพัญูญูพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอเวลาเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้า จักมีชื่อว่า "สิทธัตถะ"

    บอกนามตระกูล โคตรและอัครสาวกเป็นต้นแล้ว ได้ประทานโอวาทว่า :

    " พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย "

    ดาบสนั้นแม้พระ ปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง...มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร

    พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า :

    " เธอไม่รู้ความใหญ่หลวงแห่งชาติ และความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอสามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา " แล้วเหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าตนลงไปใน มณฑลชฏา ของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม

    พอท่านไปแล้วดาบสนั้นจึงสลดใจ สมาทานอุโบสถขข่มมานะ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น

    ... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๐๐ ของพระเจ้าพรหมทัต ได้ทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า "จักได้ราชสมบัติ สืบสันติวงศ์ในพระนครนี้หรือไม่" พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็ตรัสพยากรณ์ บอกว่า "จะได้ราชสมบัติในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ ที่พระนครตักสิลา ซึ่งไกลไปจากพระนครนี้ ๑๒๐ โยชน์ แต่ ถ้าจะไปทางตรง ๕๐ โยชน์ ต้องผ่านย่าน อมนุสสกันดาร มีฝูงยักษิณีเนรมิตบ้าน และศาลาไว้ในระหว่างทาง คอยหน่วงเ**่ยว เชื้อเชิญแก่ผู้ที่มาแล้วเล้วเล้าโลม ทำให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส แล้วพากันเคี้ยวกินพวกนั้นเสีย แต่ถ้าไม่ทำลาย อินทรีย์ทั้ง ๕ และดูพวกมันเลย คุมสติไว้ให้มั่นคงเดินไป จักได้ราชสมบัติในวันที่ ๗ แน่"

    พระโพธิสัตว์ จึงขอให้ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทำพระปริต รับทรายเสกด้วยพระปริต และด้ายเสกด้วยพระปริต เดินทางไปแล้วได้ราชสมบัติในภายหลัง

    **************************************
    กรุณาติดตามตอนต่อไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ๑๑) อจินไตยของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวในคัมภีร์องคุตรนิกาย ว่า อจินไตย ๔ อย่างนี้ไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความบ้า ได้รับความลำบากเปล่า อจินไตย ๔ อย่างนี้คือ

    ๑. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ๒. ฌานวิสัยแห่งผู้ได้ฌาน (ได้แก่ ฌานวิสัยในอภิญญา)

    ๓. วิบากแห่งกรรม

    ๔. โลกจินตา (ความคิดในเรื่องของโลก เช่น ใครสร้างแผ่นดิน ใครสร้างมหาสมุทร จักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นต้น)

    ... เรื่องจากคาถาธรรมบทต่อไปนี้ ก็เป็นอจินไตยของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    ท่าน สุขสามเณรเมื่อครั้งเกิดเป็นนายภัตตภติกะ ได้ถวายทานโดยไม่เหลือไว้ เลย แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้วอธิษฐานว่า :

    " ขอให้มหาชนนี้ จงยืนเห็นเราจนกระทั่งถึงภูเขาคันธมาทน์เถิด " แล้วได้ เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์

    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปภูเขาคันธมาทน์ แล้ว ได้แบ่งบิณฑบาตนั้นถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ พระ ปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ องค์ ได้รับเอาภัตรอย่างเพียงพอแก่ตนแล้ว

    ท่านกล่าว ว่า ใครๆ ไม่พึงคิดว่า บิณฑบาตเล็กน้อยจะพอเพียงได้อย่างไร นี่เป็น ปัจเจกพุทธวิสัย เป็นอจินไตย


    ๑๒) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... บุคคล ๖ จำพวกที่สามารถระลึกถึงบุพเพสันนิวาสได้ คือ :

    ๑. พวกเดียรถีย์ ระลึกได้เพียง ๔๐ กัป เพราะปัญญาน้อย

    ๒. พระสาวกปกติ ระลึก ได้ ๑,๐๐๐ กัป เพราะมีปัญญามาก

    ๓. พระมหาสาวก ๘๐ องค์ ระลึกได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป

    ๔. พระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์ ระลึกได้ ๑ อสงไขย กำไรแสนกัป

    ๕. พระปัจเจกพุทธเจ้า ระลึกได้ถึง ๒ อสงไขย กำไรแสนกัป เพราะท่านมีอภินิหารประมาณเพียงนี้

    ๖. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกได้ไม่มีกำหนด

    ... ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านได้อุปมาปุพเพนิวาสานุสติญาณไว้ว่า การเห็นชาติในอดีตต่างกันดังนี้ :

    ๑. ของเดียรถีย์ ย่อม ปรากฏเช่นกับแสงหิ่งห้อย , การระลึกชาติ ดุจคนตาบอดเดินไปด้วยไม้ เท้า

    ๒. ของพระสาวกปกติ ย่อมปรากฏเช่นกับแสงประทีป , การระลึกชาติ ดุจเดินไปตามสะพานด้วยไม้เท้า

    ๓. ของพระมหาสามวก ย่อมปรากฏเช่นแสงคบเพลิง , การระลึกชาติ ดุจ เดินไปตามสะพานด้วยลำแข้ง

    ๔. ของอัครสาวก ย่อมปรากฏเช่น กับรัศมีดาวประกายพรึก , การระชาติ ดุจเดินไปตามสะพานเกวียน

    ๕. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมปรากฏเช่นรัศมีพระจันทร์ , การระลึกชาติ ดุจเดินไปตามทางด้วยกำลังลำแข้ง

    ๖. ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมปรากฏเช่นกับพระอาทิตย์ในสรทกาล ประดับด้วยรัศมีพันดวง , การระลึกชาติ ดุจเดินไปตามทางเกวียนใหญ่


    ๑๓) ท่าสรงน้ำ:

    ... เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าจะล้างหน้าหรือสรงน้ำ ท่านจะไปกระทำกิจนั้นที่ สระอโนดาต สระ อโนดาตนั้นมีแผ่นศิลาเรียบประดับด้วย รัตนะอันน่ารื่นรมย์ใจ ไม่มีปลาและเต่า น้ำใสไร้มลทินเหมือนแก้วผลึก บังเกิดแต่กรรมทีเดียว เป็นท่าสำหรับอาบของเหล่าสัตว์ที่ใช้น้ำนั้น จัดแจงไว้อย่างดี ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนๆ สำหรับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพและฤาษีที่มีฤทธิ์ สรงสนาน ท่าหนึ่งสำหรับพวกเทวดาและยักษ์เป็นต้น


    ๑๔) สถานที่ปรินิพพาน :

    ... ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทาน ท่าแสดงไว้ว่าภูเขามหาปปาตะในหิมวันตประเทศ เป็น สถานที่ปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ในที่อื่นก็แสดงไว้ท่านก็ปรินิพพานในที่อื่นๆ ด้วย เช่น ในป่าชัฏ, ที่เดินจงกรมในพระอุทยานที่พระราชาจัดถวาย เป็นต้น

    อิริยาบถ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อปรินืพพาน มีอิริยาบถต่างๆ กันบางพระองค์ก็นั่ง ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์บุตรของนางปทุมวดีได้ยืนพิงกระดาน สำหรับยึดหน่วงในที่จงกรมปรินิพพาน

    -------------------------------


    ตามปกติบรรดาพวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่ ก็จะทราบเฉพาะพุทธประวัติพระพุทธเจ้าของพวกเรา และพุทธสวกที่สำคัญๆ เท่านั้น แต่เราทราบพุทธประวัติพระปัจเจกพุทธเจ้าน้อยมาก ผม จะขอยก ตัวอย่างมาให้บรรดาท่านทั้งหลายได้เจริญศรัทธา เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน เป็นแบบอย่าง และประกอบการเผยแพร่ธรรมะ ...บางส่วนทั้งในคำภีร์ชาดก และ คัมภีร์อาคตวงค์ ดังนี้ครับ

    พุทธ ประวัติพระปัจเจกพุทธเจ้า : ในคัมภีร์ชาดก

    ... ในคำภีร์ชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าของเรา ครั้งเมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติต่างๆ บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศอยู่ในจำนวนชาดก ๕๕๐ เรื่องที่ปรากฏในคัมภีร์ชาดกนั้น มีอยู่หลายเรื่องด้วยกันที่พระโพธิสัตว์นั้น ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ในฐานะที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรง สงเคราะห์พระโพธิสัตว์บ้าง หรือ พระโพธิสัตว์ทรงสงเคราะห์พระ ปัจเจกโพธิสัตว์ก็มี

    ๑) ทรี มุขชาดก (พระปัจเจกพุทธเจ้าทรีมุข) :

    ... พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นวาส ปงฺโกว กาม ด้งนี้

    ... ได้ยินว่า พระราชาทรงพระนามว่า มคธราช ครองราชสมบัติที่อยู่ในกรุง ราชคฤห์ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในพระครรภ์ของอัครมเหสี ของพระองค์ พระญาติทั้งหลายได้ถวายนามพระองค์ว่า " พรหมทัตกุมาร "

    ... ในวันที่พระราชกุมารประสูตรนั่นเอง ฝ่าย บุตรของปุโรหิตก็เกิด ใบหน้าของเด็กนั้นสวยงามมาก เพราะเหตุนั้นญาติของ เขาจึงได้ตั้งชื่อของเด็กนั้นว่า " ทรีมุขกุมาร "

    ... กุมารทั้ง ๒ นั้น เจริญเติบโตแล้ว ในราชตระกูลนั่นเอง ทั้งคู่นั้นเป็นสหายรักของกัน เวลามีชนมายุ ๑๖ ชันษา ได้ไปยังเมือง ตักกศิลาเรียน ศีลปะทุกอย่างแล้ว พากันเที่ยวไปในตามนิคม เป็นต้น ด้วยความตั้งใจว่า จักพากันศึกษาลัทธิทุกลัทธิ และจักรู้จารึตของท้องถิ่นด้วย

    ... ถึงเมืองพาราณสี พักอยู่ที่ศาลเจ้า รุ่ง เช้าพากันเข้าไปเมืองพา ราณสีเพื่อภิกษา คนในตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสีนั้น ตั้งใจว่าพวกเราจักเลี้ยงพราหมณ์ แล้วถวายเครื่องบูชา จึงหุงข้าวปายาสแล้วปูอาสนะไว้

    ... คนทั้งหลายเห็นคนทั้งสองคนนั้นกำลังเที่ยวภิกขาจาร เข้าใจว่าพราหมณ์มาแล้ว จึงให้เข้าไปในบ้าน ปูผ้าขาวไว้สำหรับพระมหาสัตว์ ปูผ้า กัมพลแดงไว้สำหรับทรีกุมาร

    ... ทรีมุขกุมารเห็นนิมิตนั้นแล้ว รู้ชัดว่า วันนี้สหายของเราจักเป็นพระเจ้าพาราณสี ส่วนเราจักเป็นเสนาบดี

    ... ทั้ง ๒ บริโภค ณ ที่นั้น แล้วรับเอาเครื่องบูชากล่าวมงคลแล้วออกไป ได้พากันไปถึงพระราชอุทยานนั้น ในจำนวนคนทั้ง ๒ นั้น พระมหาสัตว์บรรทม แล้วบนแผ่นศิลามลคล ส่วนทรีกุมารนั่งนวดพระบาทของพระมหาสัตว์นั้น วันนั้นเป็นวันที่ ๗ แห่งการสวรรคตของพระเจ้าพาราณสี ปุโรหิตถวายพระเพลิงแล้ว ได้เสี่ยงบุษยราชรถในวันที่ ๗ เพราะราชสมบัติไม่มีรัชทายาทกิจเกี่ยวกับบุษยราชรถ จักมีแจ้งชัดในมหาชนกชาดก

    ... บุษยรถออกจากพระนครไป มีจตุรงคเสนาห้อมล้อมพร้อมด้วยดุริยางค์หลายร้อย ประโคมขัน ถึงประตูราชอุทยาน

    ... ครั้งนั้น ทรีมุขกุมารได้ยินเสียงดุริยางค์ แล้วคิดว่าบุษยราชรถมาแล้ว เพื่อ สหายของเราวันนี้ สหายของเราจักเป็นพระราชา แล้วประทานตำแหน่งเสนาบดี แก่เรา เราจักประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เราจักออกบวช ดังนี้แล้ว จึงไม่ทูลเชิญพระโพธิสัตว์เลยไปที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วยืนอยู่ในที่กำบัง

    ... ปุโรหิตหยุดรถที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเข้าไปยังพระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์บรรทมบนแผ่นศิลามงคล ตรวจลักษณะที่เท้าลายพระบาท แล้วทราบว่า ป็นคนมีบุญสามารถครองราชสมบัติสำหรับมหาทวีแท้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวารได้ แต่คนเช่นนี้ คงเป็นคนมีปัญญาเครื่องทรงจำ จึงได้ประโคมดุริยางค์ทั้งหมดขึ้น

    ... พระโพธิสัตว์บรรทมตื่นแล้ว ทรงนำผ้าสาฏกออกจากพระพักตร์ ทรงทอดพระเนตรเห็นมหาชน แล้วทรงเอาผ้าสาฏกปิดพระพักตร์อีก บรรทมหน่อยหนึ่ง ระงับความกระวนกระวาย แล้วเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิบนแผ่นศิลา

    ... ปุโรหิตคุกเข่าลงแล้วทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ราชสมบัตินี้กำลังตกถึงพระองค์ : พ. " ราชสมบัติไม่มีรัชทายาทหรือ? " ... ปุ. " ไม่มีพระพุทธเจ้าข้า " ...พ. " ถ้าอย่างนั้น ก็ดีแล้ว จึงทรงรับไว้ "

    ... ประชาชนเหล่านั้น ได้พากันทำการอภิเษกพระโพธิสัตว์นั้นที่พระราชอุทธยานนั่นเอง พระองค์มิ ได้ทรงรำลึกถึง ทรีมุขกุมาร เพราะมียศมาก พระองค์ เสด็จขึ้นราชรถ มีบริวานห้อมล้อมเข้าสู่พระนคร ทรงทำการปทักษิณ แล้วประทับยืนที่ประตูพระราชนิเวศน์นั่นเอง ทรงพิจารณาถึงฐานันดรของอำมาตย์ทั้งหลายแล้วเสด็จสู่ปราสาท

    ... ขณะนั้น ทรีมุขกุมาร คิดว่า บัดนี้ พระราชอุทยานว่างแล้ว จึงมานั่งที่ศิลามงคล ลำดับนั้น ใบไม้เหลือง ได้ร่วงลงมาข้างหน้าของเขา เขาเริ่มตั้งความสิ้น และความเสื่อมไป ในใบไม้เหลืองนั้นนั่นเอง พิจารณาไตรลักษณ์ให้แผ่นดินกึกก้องไป พร้อมกับให้ พระปัจเจกโพธิญาณ เกิดขึ้น

    ... ในขณะนั้นนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ของท่านก็อันตรธานไป บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ก็ล่องลอยมาจากอากาศ สวมที่สรีระของท่าน ทันใดนั่นเอง ท่านก็เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ สมบูรณ์ด้วยอริยบถ เป็นเหมือนพระเถระผู้มีพรรษาร้อยพรรษา เหาะไปในอากาศด้วยฤทธิ์ ได้ไปยังเงื้อม นันทมูลกะ ในท้องถิ่นหิมพานต์

    ... ฝ่ายพระโพะสัตว์ก็เสวยราชสมบัติโดยธรรม แต่เพราะความมียศมาก จึงทรงมัวเมาด้วยยศ ไม่ทรงรำลึกถึง ทรีกุมาร เป็นเวลาถึง ๔๐ ปี แต่เมื่อเวลาเลย ๔๐ ปี ผ่านไปแล้ว พระองค์ก์ทรงรำลึกถึงเขา แล้วตรัส ว่า...

    " ฉันมีสหายอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า ทรีมุข เขาอยู่ที่ไหนหนอ? "

    ... ดังนี้แล้ว มีพระราชประสงค์จะพบพระสหายนั้น : จำเดิมแต่นั้น มา พระองค์ก็ตรัสถามหา ภายในเมืองบ้าง ท่ามกลางบริษัทบ้างว่า ทรีมุขกุมาร สหาย ของฉันอยู่ที่ไหน? ผู้ใดบอกที่อยู่ของเขาแก่ฉัน ฉันจะให้ยศสูงแก่ผู้นั้น เมื่อพระองค์ทรงระลึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ นั่นแหละ ปีอื่นๆ ได้ผ่านไปถึง ๑๐ ปี โดยเวลาผ่านไปถึง ๕๐ ปี

    ... แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทรีมุข ทรง รำลึกถึงอยู่ก็ทรงทราบว่า สหายรำลึกถึงเราอยู่แล แล้วทรงดำริว่า บัดนี้พระโพธิสัตว์นั้น ทรงพระชรา จำเริญด้วยพระ โอรสพระธิดา เราจักไปแสดงธรรมถวายให้พระองค์ทรงผนวช ดัง นี้แล้ว จึงได้เสด็จมาทางอากาศด้วยฤทธิ์ ลงที่พระราชอุทยาน นั่งบนแผ่นศิลาเหมือน พระพุทธรูปทองคำ ก็ปานกัน

    ---------------------------------


    ... เจ้าหน้าที่รักษาพระราชอุทยาน เห็นท่านแล้ว เข้าไปเฝ้าทูลถามว่า " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านมาจากไหน? " พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสตอบว่า " มาจากเงื้อมเขา นันทมูลกะ " ...

    จ. " ท่านเป็นใคร "

    พ. " อาตมาภาพ คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า " ชื่อว่า ทรีมุข โยม "

    จ. " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงรู้จักในหลวงของข้าพระองค์ทั้งหลายไหม? "

    พ. " รู้จักโยม เวลาเป็นคฤหัสถ์ พระองค์ทรงเป็นสหายของอาตมา "

    จ. " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในหลวงมีพระราชประสงค์จะพบพระองค์ ข้าพระองค์จักูลบอกว่า พระองค์เสด็จมา "

    พ. " เชิญโยม ไปทูลบอกเถิด "

    จ. รับพระบัญชาแล้ว รีบด่วนไปทีเดีว ทูลในหลวงถึงความที่พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่แผ่นศิลาแล้ว

    ... ในหลวงตรัสว่า " ได้ทราบว่า พระสหายของฉันมาแล้ว ฉันจักไปเยี่ยมท่าน " แล้วเสด็จขึ้นรถไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก ไหว้พระปัจเจกพุทะเจ้า ทำการปฏิสันถาร แล้วนั่ง ณ ที่สมควร

    ... ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงทำปฏิสันถารกะพระองค์พลางทูลคำมีอาทิว่า :

    " ขอถวายพระพร พระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงเสวยราชสมบัติโดยธรรมอยู่หรือ? ไม่ทรงลุอำนาจอคติหรือ? ไม่ทรงเบียดเบียนประชาสัตว์ เพื่อต้องการทรัพย์หรือ? ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้นอยู่หรือ? " ดังนี้แล้ว ทูลว่า :

    " ขอถวายพระพร พระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงชราภาพแล้ว บัดนี้ เป็นสมัยของพระองค์ที่จะทรงละกาม เสด็จออกผนวชแล้ว "

    ... เมื่อทรงแสดงธรรมถวายพระองค์จึงได้ทูลคาถาที่ ๑ ว่า :-

    " กามทั้งหลายเหมือนหล่ม กามทั้งหลายเหมือนพุ ก็อาตมาภาพได้ทูลภัยนี้ไว้ ว่า มีมูล ๓ ธุลีและควัน อาตมาก็ได้ถวายพระพรแล้ว ข้าแต่พระเจ้าพรหมทัตมหาบพิตร ขอพระองค์จงทรงละสิ่งเหล่านั้น เสด็จออกผนวชเถิด "

    ... พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสบอกความทีพระองค์ ทรงติดอยู่ ด้วยกิเลสทั้งหลาย จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า:-

    " ดูก่อนพราหณ์ โยมทั้งกำหนัด ทั้งยินดี ... ทั้งสยบอยู่ในกามทั้งหลาย ต้องการมีชีวิตอยู่ ... ไม่อาจละกามนั้นที่มีรูปสะพรึงกลัวได้ ... แต่โยมจักทำบุญไม่ใช่น้อย "

    ... เมื่อพระมหาสัตว์นั้นนั่นเอง ตรัสว่า โยมไม่อาจบวชได้ พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่ทรงทอดธุระ เมื่อจะถวายพระโอวาทให้ยิ่งขึ้น จึงตรัสคาถา ๒ คาถาไว้ว่า :-

    " ผู้ที่ถูกผู้มุ่งประโยชน์ อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ ... แต่ไม่ทำตามคำสอนเป็นคนโง่ สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งอื่น...จะเข้าถึงครรภ์สัตว์แล้ว เล่าๆ ... จะเข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ...เหล่าสัตว์ที่ยังไม่ปราศจากราคะในกามทั้ง หลาย ติดแล้วในกายของตนละยังไม่ได้...ซึ่งสิ่งที่ที่ไม่สะอาดของผู้สะอาด ทั้งหลาย ที่เต็มไปด้วยมูตร และคูถ "

    ... พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงทุกข์ ทั้งที่มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารเป็นมูลฐานแล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงแสดงถึงทุกข์ที่มีการ ออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน จึงคตรัสคาถาหนึ่งกับถึงคาถาไว้ว่า :-

    " สัตว์ทั้งหลายเลอะอุจจาระ เปื้อนเลือดออกมา...เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายถูกต้อง สิ่งใดๆ ด้วยกายอยู่ในขณะใด...ขณะนั้นเองก็สัมผัสผ่องทุกข์ล้วนๆ ที่ไม่มีความแช่มชื่นเลย...อาตมาภาพเห็นแล้ว จึงทูลถวายพระพร ไม่ได้ฟังจากผู้อื่นทูลถวายพระพร...แตอาตมาภาพระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมาเป็นจำนวนมาก "

    ... บัดนี้ พระศาสดาผู้ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง ครั้นตรัสว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ทรงสงเคราะห์พระราชาด้วย พระคาถาสุภาษิตอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสรู้กึ่งคาถาไว้ตอนท้ายว่า :-

    " พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ทรงยังพระราชาผู้ทรงมีพระปัญญา...ให้ทรงรู้พระองค์ด้วยคาถาทั้งหลาย ที่เป็นภาษิตมีเนื้อความวิจิตรพิสดาร "

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้า ครั้นทรงแสดงโทษในกามทั้งหลาย ทรงยังพระราชให้ทรง ถือเอาถ้อยคำของตนอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า :

    " ขอถวายพระพรหมมหาบพิตร บัดนี้ พระองค์จะทรงผนวชหรือไม่ทรงผนวชก็ตาม แต่ว่า อาตมาภาพได้แสดงโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการบวชถวายมหาบพิตรแล้ว ขอมหาบพิตรจงอย่าทรงประมาท " ดังนี้แล้ว ได้ทรงเหาะไปในอากาศ ทรงเหยียบกลีบเมฆเสด็จไปยังเงื้อมเขา นันทะมูลกะ นั่นเอง เหมือนพระยาหงส์ทองฉะนั้น

    ... พระมหาสัตว์ทรงประคองอัญชลีที่รุ่งโรจน์ รวมทั้ง ๑๐ นิ้วไว้บนเศียรนมัสการอยู่ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นพ้นทัศนวิสัยไปแล้ว จึงตรัสส่งให้หาพระราชบุตรพระองค์ใหญ่ คือเจ้าฟ้าใหญ่มาเฝ้า ทรงมอบราชสมบัติให้ แล้วเมื่อมหาชนกำลังร้องให้คร่ำครวญกันอยู่ ได้ทรงละกามทั้งหลาย เสด็จสู่ป่าหิมพานต์ ทรงสร้างบรรณศาลาผนวชเป็นฤาษี ไม่นานเลยก็ทรงยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น ในเวลาสิ้นพระชนมายุก็ได้ทรงถึงพรหมโลก

    ... พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาประกาศสัจจธรรม แล้วจึงประชุมชาดกไว้ ในเวลาจบสัจจธรรม คนทั้งหลายได้พระโสดาบันเป็นต้นมากมาย พระราชา ในครั้งนั้น ก็คือ เรา ตถาคต ฉะนี้แล

    (ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ / อรรถกถาทรีมุขชาดกที่ ๓ /ฉักกนิกาย)

    ------------------------------

    พระปัจเจกพุทธเจ้า : ในคำภีร์อนาคตวงศ์

    ... มีเรื่องของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ปรากฏในคัมภีร์อื่นที่ไม่ใช่ในพระไตรปิฏก แต่ก็มีพุทธศาสนิกชนรู้จักคัมภีร์นี้พอสมควร นั่นคือ พระอานคตวงศ์ ซึ่ง ในคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต ๑๐ พระองค์ ในคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึง อธิการ ในอดีตของ พระนรสี หสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้

    เรื่องพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... ดูก่อน พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้มีอายุ เมื่อศาสนาของ พระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า เสื่อมไปแล้ว ในกัปนั้น โตเทยยพราหมณ์ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนรสีหสัมมาสัมพุทธ เจ้า

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก แสงสว่างแห่งพระพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งว่า แสงสว่างแก้วมรณี กลางคืนเป็นเช่นกับแสงทอง ทรงมีต้นแคฝอยเป็นต้นไม้ตรัสรู้

    ... ด้วยพุทธานุภาพ มีข้าวสาลีหอมเกิดขึ้นตามปกติ มหาชนทุกจำพวกไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้ทำไร่ไถนา พากันเก็บเอาข้าวสารแห่งสาลี มาหุงต้มบริโภค มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นต้นหนึ่ง มีสิ่งของต่างๆ เกิดขึ้น เพราะอาศัยต้นกัลปพฤกษ์ คนเหล่านั้นไม่ต้องแต่งกาย ตามปกติคนเหล่านั้น มีผิวพรรณสีเหมือนทอง

    ... เบื้องพระเศียรของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะมีเศวตฉัตรแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ปรากฏแก่กล้า จัดว่าได้มหาสมบัติ ด้วยประการฉะนี้


    ... ดูก่อน พระธรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ เมื่อศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ล่วงไปแล้ว ศาสนาของเรา ก็จักมีในกาล ระหว่างกลางศาสนาทั้งสอง โตเทยพราหมณ์ได้เป็นพ่อค้านามว่า นันทมาณพ

    ... สมัยหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ หนึ่ง เที่ยวบิณบาตอยู่ในเวลานั้น นันทมาณพ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ถวาย ผ้ากัมพลผืนหนึ่ง และทอง ๑ แสน เป็นทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในเวลาถวายทานสิ้นสุดลง เขาได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า : -

    ..." ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ด้วยผลแห่งทานอันนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ได้พระสัพพัญญตญาณเถิด "

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้า รับเอาผ้าผืนนั้นมาห่มแล้ว เบื้อง ของพระปัจเจก พุทธเจ้าเหลือ ๑ ศอก เบื้องล่างจากพื้นเท้าเหลือประมาณ ๑ ศอก ยืนอยู่ด้วยพระบาททั้งคู่ นันทมาณพเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ตั้งความ ปรารถนาไว้ ๒ อย่างว่า :-

    ... " ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ด้วยผลแห่งการถวายผ้ากัมพลเป็นทานนี้ ขออำนาจของข้าพเจ้าจงแผ่ไปเบื้องบน ๑ โยชน์ ในเบื้องล่าง ๑ โยชน์เถิด "

    ... ในเวลาจยคำปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ออกจากบ้านไป ตรงกลางทางนางกุมารีรุ่นคน หนึ่ง พบพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินไป จึงเรียนถามท่านว่า :-

    ..." ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ใครถวายผ้าแก่พระคุณเจ้า? "

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า " ดูก่อนอุบาสิกา พ่อค้านามว่า นันทมาณพ ถวายผ้ากัมพลผืนหนึ่งเป็นทานแก่อาตมาภาพ "

    ... นางกุมารีเรียนถามว่า:-

    " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เขาตั้งความปรารถนาว่าอย่างไร? "

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า " ดุก่อนอุบาสิกา พ่อค้านามว่า นันทมาณพ ได้ตั้งความปรารถไว้ ๒ อย่าง คือ ปรารถนาพระสัพัญญตญาณ ๒ ปรารถนาสมบัติคือความเป็นพระราชา "

    ... กุมารี ฟังคำนั้นแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส ถือเอาผ้าผืนหนึ่งถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลาถวายทานเสร็จ นางกุมารีจึงตั้งความปรารถนาไว้ว่า :-

    " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยการถวายผ้เป็นทานนี้ ถ้าชายพ่อค้าจักได้สมบัติแห่งมหาราชาไซร้ ดิฉันจักเป็นอัครมเหสีเขา "

    ... สรุปว่า ใน กาลนั้น ปุถุชนทั้งสอง สร้างศาลาไว้หลังหนึ่งในสถานที่ถวายทานนั้น ให้ช่างจิตรกรรมสลักรูปพระปัจเจกพุทธเจ้า ณ เสาร์ศาลานั้น นางกุมารีรวบผมบนศรีษะ เอาน้ำมันทาเอาไฟจุดบูชา

    ... นันทมาณพ กระทำการบริจาคทานนั้น ถวายทาน รักษาศีล ดำรงอยู่ชั่วอายุ ณ ที่นั้น ในเวลาสิ้นอายุ จุติแล้วไปบังเกิดในภพบนดาวดึงส์ กับก้วยนางกุมารี นั้น ในเวลานั้น คนทั้งสองดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สิ้นเวลา ๓๖ ล้านปี โดยนับปีของมนุษย์

    ... คนทั้งสองจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น นันท มาณพ บังเกิดเป็น พระธรรมราชา ในนครทวาราวดี ฝ่ายกุมารี บังเกิดในมหหาสมบัติในตระกูลเศรษฐี ในพระนครนั้น

    ... บิดามารดา ได้นำนางกุมารีซึ่งมีอายุครบ ๑๖ ปี เข้าไปถวายแด่ พระธรรมราชา ญาติๆ ทั้งหลายได้ตั้งชื่อนางกุมารีว่า " มงคลเทวี "

    ... ก็พระนางมงคลเทวี ได้เป็นหัวหน้าหญิง ๑๖,๐๐๐ นางแล้ว ตก ว่าพระธรรมราชาทรงให้หญิงนางสนมทั้งหมด จัดสำรับอาหารเลี้ยงกันและกันแล้ว นางสนมทุกนางจะได้นิ้วทองบริโภคอาหารก็หามิได้ นางมลคลเทวีเป็นเจ้าแห่งทาน ให้ทานอย่างเดียว ในกาลก่อนจึงได้นิ้วทองในปัจจุบัน

    ... พระเจ้าธรรมราชา กับพระนางมงคลเทวี ครั้นถวายทานเสมอกันในชาติก่อน จุติแล้ว ปัจจุบันจึงได้มหาสมบัติ ด้วยอานุภาพแห่งทาน นันทมาณพ ได้เสวยมนุษยสัมบัติ และเทวสมบัติแล้วบังเกิดเป็น โตเทยยพราหมณ์แล้ว

    ... ดูก่อนพระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งทาน โดตเทยยพราหมณ์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ ในอานคต

    ... ดูก่อนพระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ ด้วยอาการอย่างนี้ สรรพสัตว์ หากยังไม่ได้บรรลุธรรม อันเลิศในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘ องค์เหล่านี้คือ

    ของ เรา ๑ , ของพระรามพุทธเจ้า ๑ , ของพระธรรมราชาพุทธเจ้า ๑ , ของพระธรรมสามีพุทธเจ้า ๑ , ของพระนารทพุทธเจ้า ๑ , ของพระรังสีมุนีพุทธเจ้า ๑ , ของพระ เทวเทพพุทธเจ้า

    ... ในอนาคต โตเทยยพราหมณ์ จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ ขอท่านทั้งหลายจงปรารถนาพบศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ พระองค์นั้นเถิด

    --------------------------------------


    เหตุแห่งการบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ ที่ปรากฏในคัมภีร์ชาดก :

    นอก จาก ขัคควิสาณสูตร ที่ปรากฏใน คัมภีร์สุตตนิบาต คัมภีร์อปทาน และ คัมภีร์จูฬนิทเทศแล้ว ในคัมภีร์ชาดก ก็ได้กล่าวถึงการบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณไว้เหมือนกัน จะได้นำมาแสดงโดยลำดับ

    ***********************************
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    กุมภการชาดก : คัมภีร์ชาดก

    ๑) พระกรกัณฆะปัจเจกพุทธเจ้า

    ... ในอดีตกาล เมื่อ พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลช่างหม้อ ในหมู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี เจริญวัยแล้วได้ครอบครองสมบัติ มีบุตรชาย ๑ คน บุตรหญิง ๑ คน เลี้ยงบุตภรรยาโดยอาศัยการทำหม้อ

    ... ในกาลครั้งนั้น พระราชาทรงพระนามว่า กรกัณฑะ ในทันตปุรนคร แคว้นกลิงคะมีพระราชบริพารมาก เมื่อเสด็จไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงใกล้ประตูพระราชอุทยานมีผลน่าเสวย เต็มไปด้วยผลเป็นพวง ประทับบนคอช้างต้นนั้นเอง ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกไปเก็บผลมะม่วงพวงหนึ่ง แล้วเสด็จเข้าไปพระราชอุทยาน ประทับนั่งบนศิลาอาสน์ พระราชทานแก่คนที่ควรพระราชทาน แล้วจึงเสวยผลมะม่วง

    ... ตั้งแต่เวลาที่พระราชาทรงเก็บผลมะม่วงแล้ว ตามธรรมดาคนที่เหลือทั้งหลาย ก็ต้องพากันเก็บเหมือนกัน ดังนั้น อำมาตย์บ้าง พราหมณ์ และคหบดีบ้าง จึงพากันเขย่าผลมะม่วงให้หล่น แล้วรับประทานกัน ผู้ที่มาหลังๆ ก็ขึ้นต้นใช้ค้อนฟาดทำให้กิ่งหัก ทะลายลงกินกัน แม้แต่ผลดิบๆ ก็ไม่เหลือ

    ... ฝ่ายพระราชาทรงกรีฑา ในราชอุทยานตลอดทั้งวันแล้ว ตอนเย็นเมื่อทรงประทับนั่งบนคอช้างต้นที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงนั้นจึงลงจากคอช้าง แล้วเสด็จไปที่โคนมะม่วง ทรงมองดูลำต้นพลาง ทรงดำริว่า :-

    " ต้นมะม่วงต้นนั้นเมื่อเช้านี้เอง เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม ทำความอิ่มตาอิ่มใจให้แก่ผู้ดูทั้งหลายยืนต้นอยู่ บัดนี้ เขาเก็บผลหมดแล้ว หักห้อยรุ่งริ่งยืนต้นอยู่ไม่งาม "

    ... เมื่อทรงมองดูต้นอื่นอีกได้ทรงเห็น ต้นมะม่วงต้นอื่นที่ไม่มีผลแล้ว ประทับยืนอยู่ที่ควงไม้นั่นเอง ทรงทำต้นมะม่วงมีผลให้เป็นอารมณ์ว่า :-

    " ต้นไม้ต้นนั้นยืนต้นสง่างามเหมือนภูเขาแก้วมณีโล้น เพราะตัวเองไม่มีผล ส่วนมะม่วงต้นนี้ถึงความย่อยยับอย่างนี้ เพราะ ออกผล แม้ท่ามกลางเรือนนี้ก็เช่นกันกับต้นมะม่วงที่ออกผล ส่วนการบรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไม่มีผล ผู้มีทรัพย์นั้นแหละมีภัย ส่วนผู้ที่ไม่มีทรัพย์ไม่มีภัย แม้เราก็ควรเป็นเหมือนต้นไม้ที่ ไม่มีผล "

    ... แล้วทรงกำหนดไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนายังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้นแล้ว ทรงรำลึกอยู่ว่า :-

    "บัดนี้ เราทำลายกระท่อม คือ ท้องของมารดาแล้ว"

    "การปฏิสนธิในภพทั้ง ๓ เราตัดขาดแล้ว"

    "ส้วม แหล่งอุจจาระ คือ สงสารเราล้างแล้ว"

    "กำแพงกระดูกเราพังแล้ว"

    "เรา จะไม่มีการปฏิสนธิอีก"

    ... ได้ทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับทั้งหมดประทับยืนอยู่แล้ว จึงอำมาตย์ทั้หลายได้ทูลพระองค์ว่า :-

    "ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จประทับยืนนานเกินไปแล้ว"

    พระราชา : "เรา ไม่ใช่พระราชา แต่เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า"

    อำมาตย์ : "ข้าแต่สมมุติเทพ ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เป็นเช่นกับด้วยพระองค์"

    พระราชา : "ถ้า เช่นนั้นเป็นอย่างไร"

    อำมาตย์ : "โกนผมโกนหนวด ปกปิดร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัตร์ มีส่วนเปรียบเทียบด้วยดวงจันทร์ที่พ้นจากพระราหู พำนักอยู่เงื้อมนันทมูลในป่าหิมพานต์ พระปัจเจกทั้งหลายเป็นเช่นนี้"

    ... ในขณะนั้น พระราชาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบเกศา ในทันทีนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็อันตรธานไป เพศสมณะก็ปรากฏขึ้น สมณบริขารทั้งหลายที่พระองค์ตรัสถึงอย่างนี้ว่า :-

    ... ไตรจีวร บาตร มีดโกน เข็ม รัดประคตพร้อมด้วยกระบอกกรองน้ำ ๘ อย่างเหล่านี้ เป็นบริขารของภิกษุผู้ประกอบความเพียรได้ปกปิดพระกายขอองพระองค์ทันที

    ... พระองค์ประทับที่อากาศประทานพระโอวาทแก่คนทั้งหลายแล้ว ได้เสด็จไปสู่เงื้อมนันทมูลนั่นแหละ

    ---------------------------------


    ๒) พระนัคคชิปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... ฝ่ายพระราชาทรงพระนามว่า นัคคชิ ในนครตัก ศิลา ที่แคว้นคันธาระ เสด็จไปท่ามกลางพระราชบัลลังก์ เบื้องบนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่ง ในมือแต่ละข้างประดับกำไลหยกข้างละอันนั่งบดของหอมอยู่ไม่ไกล ประทับนั่งทอดพระเนตร พลางดำริว่า :-

    "กำไลหยก เหล่านั้นไม่กระทบกัน ไม่มีเสียงดัง เพราะเป็นข้างละอัน คือ แยกกันอยู่"

    ... ภายหลังนางเอากำไลแขนจากข้างขวามาสวมไว้ข้างซ้ายรวมกัน แล้วเริ่มเอามือขวาดึงของหอมมาบด กำไลแก้วมณีคือหยกที่มือซ้ายมากระทบกำไลข้างที่ ๒ จึงมีเสียงดังขึ้น

    ... พระราชาทอดพระเนตรเห็นกำไรแขนทั้ง ๒ ข้างเหล่านั้นกระทบกันอยู่มีเสียงดัง จึงทรงดำริว่า :-

    "กำไล แขนนี้เวลาอยู่ข้างละอัน ไม่กระทบกัน แต่อาศัยข้างที่ ๒ กระทบกันก็มีเสียงดังฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แต่ละคนๆ ไม่กระทบกัน ก็ไม่ส่งเสียง แต่พอมี ๒, ๓ คนขึ้นไปก็กระทบกันทำการทะเลาะกัน ส่วนเราวิจารณ์ราษฏรในราชสมบัติ ๒ แห่ง ในกัสมิระ และคันธาระ เราควรเหมือนกำไลแขนข้างเดียว ไม่วิจารณ์คนอื่น วิจารณ์ตัวเองเท่านั้นอยู่"

    ... แล้วทรงทำการกระทบกันแห่งกำไรให้เป็นอารมณ์แล้วทั้งๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนา แล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิด...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


    ๓) พระนิมิราชปัจเจกพุทธเจ้า :

    ... ที่มิถิลานครในวิเทหรัฐ พระเจ้านิมิราช เสวยพระ กระยาหารเช้าแล้ว มีคณะอำมาตย์แวดล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรระหว่างถนน ทางสีหบัญชรที่เปิดไว้

    ... ครั้งนั้น เหยี่ยวตัวหนึ่งคาบเอาชื้นเนื้อจากเขียงที่ตลาดแล้วบินขึ้นฟ้าไป นกทั้งหลายมีแร้งเป็นต้น บินล้อมเหยี่ยวตัวนั้น ข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง ใช้จงอยปากจิกใช้ปีกตี ใช้เท้าเฉี่ยวไป เพราะเหตุแห่งอาหาร มันทนาการรังแกตนไม่ไหว จึงทิ้งก้อนเนื้อก้อนนั้นไป นกเหล่าอื่นก็พากันละเหยี่ยวตัวนี้ติดตามนกตัวนั้นไป ถึงนกตัวนั้นปล่อยแล้ว ตัวอื่นก็คาบไป นกทั้งหลายก็พากันรุมตีนกแม้ตัวนั้นเหมือนกัน

    ... พระราชาทรงเห็นนกเหล่านั้นแล้ว ทรงดำริว่า:-

    "นกตัวใดๆ คาบก้อนเนื้อ นกตัวนั้นๆ แหละมีความทุกข์ ส่วนนกตัวใดๆ ทิ้งสละก้อนเนื้อนั้นทิ้ง นกตัวนั้นๆ แหละมีความสุข"

    "แม้ กามคุณ ๕ เหล่านี้ ผู้ใดๆ ยึดถือไว้ ผู้นั้นๆ แหละมีความทุกข์ ส่วนผู้ใดไม่ยึดถือนั่นแหละมีความสุข เพราะว่ากามเหล่านี้ เป็นของสาธาณะสำหรับคนจำนวนมาก"

    "ก็แล เรามีหญิงหมื่นหกพันนาง เราควรจะละกามคุณทั้ง ๕ แล้วเป็นสุขเหมือนเหยี่ยวตัวที่ทิ้งก้อนเนื้อฉะนั้น"

    ... พระองค์ทรงมนสิการโดยแยบคายอยู่ทั้งๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนาแล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


    ๔) พระทุมมุขะปัจเจกพุทธเจ้า :

    ใน แคว้นอุตรปัญจาละในกปิลนคร พระราชาทรงพระนามว่า ทุมมุขะ เสวย พระกระยาหารเช้าแล้ว ทรงประดับเครื่องอลังการพร้อมสรรพ มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรพระลานหลวง ทางสีหบัญชรที่เปิดไว้

    ... ในขณะนั้น คนเลี้ยงวัวทั้งหลาย ต่างก็เปิดประตูคอกวัว พวกวัวตัวผู้ออกจากคอก แล้วก็ติดตามวัวตัวเมียตัวหนึ่งด้วยอำนาจกิเลส

    ... ในจำนวนวัวเหล่านั้น โคถึกใหญ่ตัวหนึ่งเขาคม เห็นวัวตัวผู้อื่นกำลังเดินมา มีความเห็นแก่ตัว คือหึงด้วยอำนาจกิเลสครอบงำ จึงใช้เขาแหลมขวิดที่หว่างขา ไส้ใหญ่ทั้งหลายของวัวตัวนั้น ก็ทะลักออกมาทางปากแผล มันถงความสิ้นชีวิต ณ ที่นั้นนั่นเอง

    ... พระราชาทรงเห็นเหตุการณนั้นแล้ว ทรงดำริว่า:-

    " สัตว์โลกทั้งหลาย ตั้งต้นแต่สัตว์เดียรรัจฉานไปถึงทุกข์ด้วยอำนาจกิเลส วัวผู้ตัวนี้อาศัยกิเลสถึงความสิ้นชีวิต สัตว์แม้เหล่าอื่นก็หวั่นไหวเพราะกิเลสทั้งหลายนั้นเอง เราควรประหารกิเลสที่เป็นเหตุให้สัตว์ทังหลายหวั่นไหว"

    ... พระองค์ประทับยืนอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสา แล้วยังพระโพธิญาณให้เกิดขึ้น...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


    ...อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์เหล่านั้น กำหนด เวลาภิกขาจารแล้ว ก็เสด็จออกจากเงื้อมนันทมูลกะ ทรงเคี้ยวไม้ชำระฟันนาคลดา ที่สระอโนดาต ทรงทำการชำระพระวรกายแล้ว ประทับยืนบนพื้นมโนศิลา ทรงนุ่งสบงแล้วถือเอา บาตรและจีวรเหาะขึ้นไปบนอากาศด้วยฤทธิ์ ทรงย่ำเมฆ ๕ สี ไปแล้ว เสด็จลง ณ ที่ไม่ไกลหมู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี ทรงหุ่มจีวรในที่สำราญแห่งหนึ่ง ทรงถือบาตรเสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน ใกล้ประตูเมืองเที่ยวบิณฑบาต ลุ ถึงประตูบ้านพระโพธิสัตว์

    ... พระโพธิสัตว์ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้วก็ดีใจ นิมนต์ให้ท่านเข้าไปในบ้าน ใหนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้วถวายทักขิโนทกอังคาส ด้วยของเคี้ยวของฉันอันปราณีต นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งไหว้พระสังฆเถระแล้วทูลถามว่า...

    -------------------------------------


    "ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ การบรรพชาของพระองค์ทั้งหลายงามเหลือเกิน อินทร์ทรีย์ของพระองค์ทั้งหลายผ่องใส ฉวีวรรณก็ผุดผ่อง พระองค์ทรงเห็นอารมณ์อะไรหนอ จึงทรงเข้าถึงการบรรพชาด้วยอกนาจภิกขาจารวัตร"

    ... และได้เข้าทูลถามพระเถระที่เหลือเหมือน ทูลถามพระสังฆเถระ

    ... พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์นั้น ได้ ตรัสบอก เรื่องการออกบวชของตนๆ แก่พระโพธิสัตว์นั้นโดยนัยมีอาทิว่า "อาตมาภาพเป็นพระราชาชื่อโน้น ในนครโน้น ในแคว้นโน้น แล้วตรัสคาถาองค์ละ ๑ คาถาว่า :-

    "อาตมาภาพเห็นต้นมะม่วง ที่งอกงาม ผลเขียวไปทั้งต้น ในระหว่างป่ามะม่วง... เมื่อกลับออกมา ได้เห็นมะม่วงนั้นหักย่อยยับ เพราะ ผล ของมันเป็นเหตุ... ครั้นเห็นแล้วอาตมาภาพจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

    "หญิงสาวคนหนึ่งสวมกำไลแขนหินหยกเกลี้ยงกลมคู่หนึ่ง ที่ นายช่างผู้ชำนาญเจียรนัยแล้ว ไม่มี เสียงดัง... แต่เพราะศัยกำไลแขนข้างทั้ง ๒ จึงมี เสียงดังขึ้น... อาตมาภาพได้เห็น เหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

    "นก จำนวนมากพากันบินตามรุมล้อม ตีจิกนกตัวหนึ่งที่กำลังนำก้อนเนื้อมา เพราะ อาหาร เป็นเหตุ... อาตมาภาพได้เห็นเหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

    "อาตมาภาพได้เห็นวัวตัวผู้ตัวหนึ่งท่ามกลางฝูง มีหนอก ขึ้นเปลี่ยว ประกอบด้วยสีสวยและมีกำลังมาก ได้เห็นมันขวิดวัวตัวหนึ่งตาย เพราะ กาม เป็นเหตุ... ครั้นได้เห็นเหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

    ... พระโพธิสัตว์ครั้นได้สดับคาถาแต่ละคาถา ได้ทำการสดุดีพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์ว่า :-

    "ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส อารมณ์นั้นเหมาะสมสำหรับเหล่าข้าพระองค์ทีเดียว"

    ... พระโพธิสัตวืสดับธรรมกคานั้น ที่ท่านทั้ง ๔ ทรงแสดงแล้ว เป็นผู้ไม่มีเยื่อใยในฆราวาส เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไปแล้ว รับปประทานอาหารเช้าแล้ว นั่งสำราญอยู่ ได้เรียกภรรยามาพูดว่า

    "พระ ปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์นี้ สละราชสมบัติออกผนวช ไม่มีกังวล ไม่มีห่วงใยให้กาลเวลาล่วงไปด้วยความสุข เกิดจากการบรรพชา ส่วนเราเลี้ยงชีพด้วยค่าจ้าง เราจะมีประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เธอจงสงเคราะห์คือเลี้ยงดูลูกอยู่บ้านเถิด" แล้วกล่าวคาถาว่า :-

    "พระ ราชาเหล่านี้คือ พระเจ้ากรกัณฑะของชาวกลิงคะ ๑ , พระเจ้านัดดชิของชาวคันธาระ ๑ ,

    พระเจ้านิมิราชของชาววิเทหะ ๑ , พระเจ้าทุมมุขะของชาวปัญจาละ ๑

    ทรงละแว่นแคว้นออกผนวช หาความห่วงใยมิได้

    พระราชาเหล่านี้ แม้ทุกพพระองค์ เสมอด้วยเทพเจ้า

    เสด็จมาพบกัน ย่อมสง่างามเหมือนไปลุกโชนฉะนั้น

    ดูก่อนนาง ผู้โชคดี แม้เราละกามทั้งหลายทิ้งแล้ว ดำรงอยู่ตาส่วนของตนเที่ยวไปคนเดียว"

    ... ภรรยานั้นครั้นได้ฟังถ้อยคำของ เขาแล้ว จึงพูดว่า

    "ข้าแต่นาย ตั้งแต่เวลาได้ฟังธรรมกถา ของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้ฉันเองใจก็ไม่สถิตอยู่ในบ้าน" แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า:-

    "เวลา นี้เท่านั้น เวลาอื่นนอกจากนี้จะไม่มีเลย ภายหลังคงไม่มีผู้พร่ำสอนฉัน... ข้าแต่ท่านผู้มีโชค ฉันเองก็จักพ้นจากมือชาย เที่ยวไปคนเดียว เหมือนนางนกพ้นจากข้อง ฉะนั้น"

    ... พระโพธิสัตว์ครั้นได้ฟังคำของนางแล้ว ได้นิ่งอยู่ ส่วนนางประสงค์จะลวงพระโพธิสัตว์แล้วบวชก่อน จึงกล่าวว่า

    "ข้าแต่นาย ฉันจักไปทำน้ำดื่ม ขอท่านจงดูลูกไว้"

    แล้ว จึงถือเอาหม้อน้ำที่ทำเป็นเหมือนเดินไปท่าน้ำ แล้วหนีไป ถึงสำนักของพวกดาบสที่ใกล้นครแล้วก็บวช

    ... พระโพธิสัตว์ทราบว่านางไม่มาจึงเลี้ยงเด็กเอง ต่อมาเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นหน่อยหนึ่ง สามารถรู้ดีรู้ชั่วแล้ว เพื่อจะทดลองเด็กเหล่านั้น

    วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เมื่อหุงข้าวสวย ได้หุงดิบไปหน่อย วันหนึ่งแปหน่อย วันหนึ่งไหม้ วันหนึ่ปรุงอาหารจืดไป วันหนึ่งเค็มไป เด็กทั้งหลายพุดว่า วันนี้ดิบ วันนี้แฉะ วันนี้ไหม้ วันนี้จืด วันนี้เค็มไป พระโพธิสัตว์พูดว่า

    "ลูกเอ๋ย วันนี้ข้าวดิบ" แล้วคิดว่า " บัดนี้ เด็กเหล่านี้รู้จักดิบ สุก จืดและเค็มจัดแล้ว จักสามารถเลี้ยงชีพตามธรรมดาของตน เราควรจะบวชละ"

    ต่อ มาท่านได้มอบเด็กเหล่านั้นให้พวกญาติพูดว่า

    "ดูก่อนพ่อและแม่ ขอจงเลี้ยงเด็กเหล่านี้ให้ดีเถิด"

    แล้วเมื่อพวกญาติกำลังโอดครวญ อยู่นั่นเองได้ออกจากพระนครไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใกล้ๆ พระนครนั่นเอง

    ... อยู่มาวันหนึ่ง นางปริพาชิกา คือ ภรรยาเก่า ได้เห็นท่านกำลังเที่ยวภิกขาจารในนครพาราณสี ไหว้แล้วจึงพุดว่า

    "ข้า แต่พระคุณเจ้า ท่านเห็นจะให้ลูกทั้งหลายพินาศไปแล้ว"

    พระมหาสัตว์ ตอบว่า "เราไม่ได้ให้ลูกพินาศ ออกบวชในเวลาที่พวกเขาสามารถรู้ดีรู้ชั่วแล้ว เธออย่าคิดถึงพวกเขา จงยินดีในการบวชเถิด" แล้วได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-

    "เด็กทั้งหลาย รู้จักดิบ รู้จักสุก รู้จักเค็มและจืด ฉันเห้นข้อนั้นแล้วจึงบวช... เธอจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาเถิด ฉันก้จะเที่ยวไปเพื่อภิกษา"

    ... พระโพธิสัตว์ตักเตือนปริพาชิกา ด้วยประการอย่างนี้แล้วก็ส่งตัวไป ฝ่ายปปริพาชิการับโอวาทไหว้พระมหาสัตว์แล้ว จึงไปสู่สถานที่ตามใจชอบ

    ได้ ทราบว่านอกจากวันนั้นแล้ว ทั้ง ๒ ท่านนั้น ก็ไม่ได้พบเห็นกันอีก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้ฌานและอภิญญาเกิดขึ้นแล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

    ... พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลายประชุมชาดกไว้ว่า

    - ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุ ๕๐๐ รูปดำรงอยู่แล้วใน อรหัตผล

    - ธิดา ในครั้งนั้นได้แก่ อุบลวรรณาเถรี ในบัดนี้

    - บุตร ได้แก่ พระราหุลเถระ

    - ปริพาชิกา ได้แก่ มารดา พระราหุลเถระ

    - ส่วนปริพาชก คือ เราตถาคต ฉะนั้นแล.

    **********************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    อาการป่วยที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์

    ===========================
    ก็ลองมาทําวิธี"เรียนการฝึกใจ" ดูสิคะ
    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสําเร็จได้ด้วยใจ

    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ
    _heart+love_
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    "แม่"

    ชายคนหนึ่งหยุดรถที่ร้านขายกระเช้าดอกไม้ เตรียมจะสั่งกระเช้าดอกไม้ทางโทรศัพท์ เพื่อให้ร้านโทรศัพท์ติดต่อกับร้านดอกไม้อีกเมืองหนึ่งให้จัดส่งดอกไม้ไปอวย พรวันเกิดแก่แม่ของเขา ที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยกิโลเมตร เมื่อเขาลงจากรถยนต์ เขาเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุราว ๕ ปี นั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าร้าน จึงเข้าไปถาม "ร้องไห้ทำไมจ๊ะหนู มีอะไรให้ช่วยไหม?"

    เด็กหญิงตอบทั้งน้ำตาว่า "หนูอยากจะซื้อดอกกุหลาบสีแดงไปให้แม่ ดอกกุหลาบราคาดอกละห้าบาท แต่หนูมีเงินบาทเดียวเท่านั้นเอง"

    ชายคนนั้นยิ้มแล้วบอกว่า ไม่เป็นไร ลุงจะซื้อใหหนูเอง แล้วเขาก็จ่ายเงินห้าสิบบาทซื้อดอกกุหลาบแดงสิบดอกให้แก่หนูน้อย แล้วถามว่า

    "แม่ของหนูอยู่ที่ไหน หนูจะพาลุงไปหาแม่ของหนูด้วยได้ไหมล่ะ"

    หนูน้อยตอบตกลง บอกว่าแม่ของเธออยู่ใกล้ร้านขายดอกไม้นี่นิดเดียวเอง เดินไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง

    เด็กหญิงพาชายใจดี ผู้มีน้ำใจไมตรีออกจากร้าน เดินผ่านเข้าไปในวัดที่อยู่ใกล้ร้าน เข้าไปถึงศาลาตั้งศพซึ่งเพิ่งจะเสียชีวิตมาไม่กี่วัน หนูน้อยหยิบดอกกุหลาบสีแดงเข้าไปกราบหน้าศพ ซึ่งมีรูปหญิงกลางคนตั้งอยู่ แล้วร้องไห้ใหญ่อีกครั้ง

    ต่อจากนั้น ชายใจดีเดินกลับมายังร้านดอกไม้แห่งเดิมด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาบอกยกเลิกการสั่งดอกไม้ทางโทรศัพท์ที่เตรียมส่งไปให้แม่ แต่ซื้อดอกไม้ช่อใหญ่แล้วขับรถ ใช้เวลาห้าชั่วโมงตรงไปหาแม่ของเขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่ร้อยกิโลเมตร ในคืนวันนั้นเอง

    เรียบเรียงจากโครงเรื่องของ
    Keith Rotbard editor@cyberstory.com
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    สมุนไพรไทยกินต้านหวัด...

    ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
    บ้านเราก็หลีกหนีไม่พ้นเช่นกัน
    สังเกตได้จากสภาวะอากาศที่แปรปรวนไม่ตรงตามฤดูกาล (คาดว่าปีนี้จะแย่กว่าเดิม)
    ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่า หลายคนมีอาการเจ็บป่วยง่าย
    โดยเฉพาะอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลหรือหวัดรุนแรง
    ยิ่งช่วงไหนระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
    โอกาสที่เชื้อโรคสารพัดจะฉวยโอกาสโจมตีก็มีมากเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้เราจึงควรรับประทานอาหารที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ
    ซึ่งมีอยู่ในสารอาหารจำพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์
    ไขมันประเภทโอเมก้า-3 โอเมก้า-6 และ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ
    เช่น วิตามินซี วิตามินบี เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม

    ทั้งนี้แหล่งของสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านหวัด
    ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะใน อาหารที่มีราคาแพง หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเท่านั้น
    แต่ผักพื้นบ้านไทยๆ ที่หาซื้อได้ง่ายตามตลาด
    ก็มีสรรพคุณในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัดเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น

    * กระเทียม มีสรรพคุณทางยาโดยเฉพาะการต้านเชื้อโรค
    เนื่องจากกระเทียมมีสารอัลลิซิน (allicin) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้
    มีกลิ่นฉุนจะเกิดขณะทุบหรือบดกระเทียม
    ส่วนกระเทียมโทนที่มีกลิ่นและรสเผ็ดร้อนกว่ากระเทียมธรรมดา
    จะให้ประสิทธิภาพมากกว่า
    จากการศึกษาพบว่า กระเทียมโทนมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนนิซิลลิน
    และเตตร้าซัยคลิน ที่เป็นยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ที่ใช้โดยทั่วไป
    นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคท้องเสีย
    แผลติดเชื้อ วัณโรค ไทฟอยด์ และกลากเกลื้อนอีกด้วย
    ซึ่งกระเทียมสดจัดว่ามีสรรพคุณรักษาอาการติดเชื้อได้ดีที่สุด
    เช่น น้ำคั้นหัวกระเทียมผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย
    เพื่อกลั้วคอการบรรเทาและรักษาทอนซิลอักเสบที่เริ่มเป็นหรือฆ่าเชื้อในปาก และลำคอ

    * ขิง มีสารประกอบที่ให้รสเผ็ดร้อนอย่างจินเจอรอล และโชกาออล
    ที่ช่วยบรรเทาหวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถนำมาปรุงผ่านความร้อน
    หรือรับประทานสดก็ได้ นอกจากนี้ขิงยังสามารถบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
    คลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย

    * มะขามป้อม ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม
    มะขามป้อมมีวิตามินซี 276 มก. เราสามารถนำเนื้อผลแห้ง
    หรือสดมารับประทานเพื่อขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ
    นอกจากนี้ถ้านำผลแห้งมาต้มดื่มจะช่วยแก้ไข้

    * กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีดิบให้มีวิตามินซีสูงที่สุด
    โดยเฉพาะกระหล่ำดาวที่ 1 ถ้วย มีวิตามินซีถึง 97 มก.
    แถมยังมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ได้
    โดยเราสามารถรับประทานแบบสดและปรุงสุก
    แต่ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีสดในปริมาณมากๆ
    เพราะมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen)
    ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์
    ทำให้ร่างกายขาดไอโอดีน แต่หากนำมาปรุงสุก กอยโตรเจนก็จะสลายไป

    * ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยม
    ในการบรรเทาและรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งเคยมีการศึกษาระบุถึง
    ประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด (Common cold) ต่อมทอนซินอักเสบ
    มีคุณสมบัติแก้ไข้ (antipyretic) และต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)
    และมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็นส่วนประกอบสำคัญ
    โดยสถาบันการแพทย์แผนไทยได้ระบุการทดลองให้ยาเม็ดสารสกัดฟ้าทะลายโจร
    ที่ควบคุมให้มีปริมาณของแอนโดกราโฟไลด์
    และดีออกซีแอนโดรกราไฟไลด์รวมกันไม่น้อยกว่า 5 มิลลิกรัม /เม็ด
    ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 เวลา ในผู้ที่เป็นไข้หวัด
    พบว่าความรุนแรงของทุกอาการไอ เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ
    อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับและเจ็บคอน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
    ซึ่งเรานำส่วนลำต้นหรือใบสด 1 กำมือ มาทุบและบดต้มกับน้ำจิบเรื่อยๆ

    * พริก ปริมาณวิตามินซีในพริกมากน้อยแตกต่างในแต่ละสายพันธุ์
    เช่น พริกชี้ฟ้า พริกหยวก ก็มีปริมาณวิตามินซีมากกว่าพริกขี้หนู เป็นต้น
    พริกมีสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดที่เรียกว่า Capsaicin
    ที่ช่วยบรรเทาให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น
    และช่วยให้โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังดีขึ้นได้
    นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างสารไนตริกออกไซด์
    ที่ช่วยขยายและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด
    ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

    ทั้งนี้เพื่อให้การใช้พืชผักสมุนไพรไทยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
    เราจำเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกชนิด ถูกส่วน ถูกขนาด ถูกวิธี และถูกอาการค่ะ

    วิตามินซีกับการต้านหวัด วิตามินซี จัดเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ
    และเป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ และจำเป็นต้องได้รับทุกวัน
    เพื่อช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
    ช่วยเสริมระบบการทำงานของเม็ดเลือดขาว
    ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
    ซึ่งเมื่อร่างกายขาดวิตามินซีอาจจะส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
    เคยมีการศึกษาสนับสนุนว่า วิตามินซีช่วยบรรเทาความรุนแรง
    ลดระยะเวลาของการเป็นหวัดและช่วยบรรเทาอาการแพ้ต่างๆ
    ได้โดยเฉลี่ยปริมาณวิตามินซีที่ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ต้องการคือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
    และผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ 75 มิลลิกรัมต่อวัน

    แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจนว่า
    วิตามินซีเสริมขนาดสูงสามารถป้องกันโรคหวัดได้
    แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดหรือได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ
    ซึ่งควรได้รับเพิ่มอีก 35 มิลลิกรัม เช่น

    * คนสูบบุหรี่
    * กำลังเตรียมเข้ารับการผ่าตัด หรือกำลังพักและฟื้นฟูหลังการผ่าตัด
    * ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
    * คนที่อยู่ในอากาศหนาวนานๆ
    * เด็กๆ ที่ขาดสารอาหาร
    * หญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงที่ให้นมบุตร

    อ้างอิง
    สมุนไพรเพื่อสุขภาพ—กรุงเทพฯ, 2546 หน้า 104
    100 สุดยอด สมุนไพรบำรุงสุขภาพ : วิมลรัตน์ วรรณพฤกษ์ –กรุงเทพฯ, 2551 หน้า 200


    สมุนไพรดอทคอม เว็บสุขภาพอันดับ1 Samunpai.com
    http://www.medplant.mahidol.ac.th
    พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist

    คัดลอกจาก...
    http://www.healthtoday.net/thailand/nut ... on_92.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  20. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๘ใช้หลักธรรมะ ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายความเครียด
    (หยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส);39


    จะบอกเล่าเรื่องยาเม็ดนี้ ก็ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเนื้อหาที่กว้างมาก และตัวข้าเจ้าเองก็ไม่ค่อยสันทัด รู้ลึกเรื่องนี้มากนัก เลยไม่รู้จะถ่ายทอดยังไง
    เอาแบบหลักกว้างมากๆเลยนะ เพราะเชื่อว่า ทุกท่านสามารถศึกษาธรรมะ
    แล้วนำมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้มากมายอยู่แล้ว


    ลด ละ เลิกและหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่ทำลายสุขภาพ อันได้แก่ ความเครียด ความเร่งรีบ ความกลัวความกังวล ความไม่โปร่งไม่โล่ง ไม่สบายใจ หงุดหงิด รำคาญใจ มุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท โลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตนเอง เป็นต้น
    เพราะอารมณ์ดังกล่าว จะทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีนออกจากต่อมหมวกไต ไปกระตุ้นเซลล์ทุกส่วนให้ผลิตพลังงานเกินสมดุลพอดีของร่างกาย ซึ่งก็จะไปเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะส่วนใดอ่อนแอก็จะแสดงอาการไม่สบายก่อน ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวเรื่อยๆ อวัยวะส่วนอื่นก็จะพากันเสื่อมและเจ็บป่วยตามกันไป

    ยกตัวอย่างจากที่ตัวเองเคยสังเกต คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มักจะเป็นคนที่ มีความเครียด เร่งรีบใจร้อน หงุดหงิดง่ายอยู่บ่อยๆ

    ตรงกันข้าม ถ้าเราสลายอารมณ์ดังกล่าวได้ จิตใจจะรู้สึกสงบสบาย เบิกบาน แจ่มใส มีความสุข สารเอ็นโดฟีน จะหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองที่ชื่อ ต่อมพิทูอิทารี่ ซึ่งมีฤทธิ์ระงับอาการปวดได้ดีกว่าฝิ่นถึง๒๐๐เท่า(แต่ไม่มีพิษเหมือนฝิ่น) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี

    และสารดังกล่าว ก็มีฤทธิ์ในการช่วยส่งพลังชีวิต และพลังงานที่เป็นประโยชน์ไปยังเซลล์ต่างๆในร่างกายทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง สามารถกำจัดเชื้อโรค และสิ่งเป็นพิษอออกจากร่างกายได้ จึงทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า ชีวิตมนุษย์จะมีความผาสุกที่สุดก็ต่อเมื่อ สามารถพึ่งตนเองในการขจัดสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษออกจากชีวิตได้ ธรรมะของพระพุทธองค์มีมากมายนับไม่ถ้วน
    ก็เลือกปรับใช้ให้เหมาสมกับตนเอง


    ก็จะยกตัวอย่างจากที่อ.หมอเขียวได้ทดลองฝึกฝนและพิสูจน์ตามคำสั่งสอน

    ความพ้นทุกข์จากขนม

    อ.หมอเขียวชอบกินขนมมาก คราวหนึ่ง เกิดโลภ กินมากติดกัน๓วัน เนื่องจากหลงติดในรสอร่อยของขนม
    มีอาการหนึบๆคล้ายเนื้อติดฟัน จากนั้นเกิดอาการปวดฟัน เหงือกอักเสบ
    ทั้งที่แปรงฟันหลังกินทุกครั้ง


    อาการไม่สบายดังกล่าว เกิดจากร่างกายย่อยขนมซึ่งมีฤทธิ์ร้อนมาก จากกะทิ น้ำตาล เกลือและสารอื่นๆที่มีในขนม
    พลังงานความร้อนกระจายมาเผาทำร้ายที่เหงือกและฟัน ร่างกายจึงมีกลไกส่งน้ำมาดับความร้อนที่เหงือกทำให้เหงือกขยายบวม จึงมีอาการหนึบคล้ายเนื้อติดฟัน ความร้อนเผาระบบประสาทจึงมีอาการปวดฟัน ถ้าความร้อนเผาต่อเนื่องนานๆ ฟันก็จะผุ

    ดังนั้นการป้องกันเหงือกอักเสบ/ปวดฟัน/ฟันผุ ที่แท้จริงก็คือ การลดหรืองดอาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด และอาหารที่ฤทธิ์ร้อนต่างๆ (รวมถึงอารมณ์ที่เป็นพิษด้วย)

    อ.หมอเขียวหยุดกินขนม มารักษาด้วยกินสมุนไพร+อาหารฤทธิ์เย็น+ทาที่ปวด อาการค่อยๆหาย
    จากนั้นเกิดอยากกินขนมอีก ก็เป็นเหมือนเดิม และ รักษาเหมือนเดิม ๓ รอบ
    จนรอบที่๔ เริ่มเข็ดกับอาการทุกข์ทรมานจากปวดฟัน จึงใช้ธรรมะเข้าช่วยแก้
    ปัญหา

    กิเลส/ความอยากมันสั่ง” อร่อย กินเหอะ” ธรรมะในใจก็ต่อสู้”อย่ากิน มันปวด” เกิดการต่อสู้กัน กิเลสเพิ่มขึ้นอย่างมากถ้ากินต้องทรมานเหมือนเดิม จึงอดทน ใช้ธรรมะบอกตัวเองว่า ปวดฟันเอาไหมๆๆๆ

    การพิจารณาไตร่ตรอง อย่ากินปวดฟันเอาไหม ก็คือการวิปัสสนา(ตัวที่มีฤทธิ์ล้าง ลด ดับพลังงานทุกข์ ความหลง ติด ยึด อยาก ในสิ่งที่เป็นทุกข์โทษภัยอย่างแท้จริง)
    เมื่อวิปัสสนาว่า ปวดฟันเอาไหมๆๆ ซ้ำๆหลายที ก็เกิดความมหัศจรรย์ในใจอย่างแรง “ปวดฟัน ไม่เอา โว๊ยยย”
    พร้อมกับเกิดอาการประหลาด โปร่ง โล่งสบาย ยินดีเต็มใจ สุขใจ ที่ไม่เอาโทษภัยใส่ตน ไม่ทุกข์ไม่อยากไม่ห่วงหาอาลัยในขนมอีกเลย


    เป็นการยกตัวอย่าง สภาพความพ้นทุกข์ อันเกิดจากที่เราล้าง/ดับ/ทำลายทุกข์ของกิเลสชุดที่แสดงอาการให้เราเห็นได้
    ซึ่งจะเป็นสมบัติแท้ของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่า พลังกิเลสติดขนมที่มีอยู่ในใจจะถูกทำลายไปสิ้น


    เราเคยเสพความอร่อยมาตั้งไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เกิดการสะสมพลังงานกิเลสเข้าไปในใจทุกครั้งที่เรารู้สึกชื่นชอบใจในรสอร่อย
    พลังงานดังกล่าวติดตามเราข้ามภพข้ามชาติ เมื่อปัจจัยเหมาะเราจะเห็นบางครั้งส่งมามากก็อยากมาก ส่งมาน้อยก็อยากน้อย ถ้าเราลด/ละ/ล้าง ทำลายกิเลสได้ พลังงานกิเลสก็จะลดน้อยลงไป เราจะเก่งและเร็วขึ้น

    โดยการนำขนมชนิดนั้นมากินแล้วมีความอร่อยน้อยลง นั่นคือ ตัวชี้วัด ความเจริญของศีล สมาธิ และปัญญาในจิตใจเรา
    จะเกิดอานิสงค์หลายประการ

    -จิตใจโล่งโปร่งสบาย
    -พิษภัยที่เราเคยติดจะไม่เข้าไปทำร้ายร่างกายเรา
    -เราจะกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้อย่างสบายใจ
    -ระบบประสาทจะฟื้นตัว
    -เราจะรู้รสตามความเป็นจริง
    -สามารถกำหนดปริมาณอาหารที่พอดีได้


    การพิจารณาโทษภัย พิจารณาข้อดีข้อเสีย พิจารณากรรม ควรทำแต่พอดี ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป

    ถ้าทำแล้วยังอยากขนมมากจนทนได้ยากลำบาก แสดงว่าเราปฏิบัติโต่งเคร่งเกินไป ถึงขั้นทรมานตน ยึดดี หลงดีมากเกินไป อย่างนั้นเราต้องวางอัตตาลงด้วยการผ่อนกินขนม/อาหารรสจัดบ้าง เท่าที่ผ่อนคลายสบายใจ แต่อย่าถึงขั้นทำให้ไม่สบายกาย ทำสลับกันไป ปฏิบัติด้วยความเป็นกลาง

    วันนี้โพสถ์ยากอีกแล้ว ต้องลงใหม่อีกอ่ะpig_cryy

    ก็อ่าน(รึปล่าว)กันตาลายอีกแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีมากมายที่เราสามารถ
    เลือกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม ก็ลองๆดูกันนะค๊า;k04

    PS:รูปมู๋สองตัว เอ้ยย มะหมาสองตัวลงมาโชว์ว่า กินทุกอย่างกินผักทุกชนิด(ยกเว้นพริกขี้หนู) ผลไม้ก้อชอบแย่งกิน
    ตอนนี้ไม่มีฝนหญ้าหน้าบ้านแห้งหายเลยไปดึงตะไคร้ที่ต้นยังน้อยๆอยู่
    โตไม่ทันตัวแสบกิน
    :z8
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...