จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    -ตราบใด ยังมีขันธ์ห้า อารมณืทั้งหลายย่อมมีขึ้น เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราอย่าไปยึดติดกับทุกสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น
    -ตราบใด ยังมีร่างกาย ปัจจัยในการหล่อเลี้ยงร่างกาย เรามีได้ แต่อย่ายึดติดกับทุกสรรพสิ่ง
    การยึดติดในสภาวะอารมณืและสิ่งของทั้งหลายนี่แล เป็นใยนำเราก่อเกิดภพชาติอย่างไม่มีจบสิ้น
    ไม่ว่าสภาวะอารมณืหรือสรรพสัตว์สรรพสิ่ง ล้วนตั้งอยู่บนกฏธรรมดาแต่อมตะนิรันดร์ที่ชื่อว่า กฏไตรลักษณืนั่นแล
    ว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ทั้งนี้อยู่ที่ความมุ่งมั่นที่จะขัดเกลาดวงจิตของท่าน
     
  2. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    กราบอนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ 127 และ 128 และครูผู้สอนทุกๆท่านค่ะ
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขออนุโมทนาบุญ กับ จิตบุญ ที่ 128 และ พระอาจารย์ชัชวาล ผู้ฝึกสอน ด้วยค่ะ สาธุ...

    และขออนุโมทนาบุญ กับ พระอาจารย์ ชัชวาล ในการเผยแผ่ การปฏิบัติกรรมฐาน จิตเกาะพระ ต่อพุทธศาสนิกชน โดยทั่วไป มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ สาธุ
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ได้อะไรจากการปฏิบัติธรรม ๑oประการ
    ๑.ได้ตัด สิ่งร้อยรัดออกจากจิตใจ มโนวิญญาณไม่ให้กลับมาอีก
    ๒.สลัดมืด กิเลสเครื่องเศร้าหมองออกจากใจ ภัยมโนโง่วิญญาณนั้น
    ๓.จืดมิจฉา ความเห็นที่ผิดธรรม ผิดวินัยของกาย ใจ ไม่สละสมอีก
    ๔.ละมายาโลกธรรม๘ เจ้าเห่ล์อุบาทว์ของคนทั่วไปนั้น
    ๕.ฆ่าตระหนี่ คือผีประจําใจหลอกจิตไว้ให้หลง ติดหวงแหน
    ๖.หนีทางผิด จําผิด คิดผิด เห็นผิด ไม่ข้องแวะ เกี่ยวข้องอีก
    ๗.ปิดผูกขาด กาม กาย พยาบาท อภินิเวศ วางเด็ดขาดทางใจ
    ๘.เลิกทาสโยคะ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา ปล่อยออกไป ไม่มีเหลือ
    ๙.สละทับถม กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เอาออกไปอย่างห่างพ้น
    ๑o.ไม่งมหมักดอง กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เลิกล้าง อย่างสะอาดดี
    ได้ตัดสัญโยนช์ ๑o ฯลฯ อาสวะ ๔ โดยไม่มียามกําเริบ กอง-กลุ่ม-ก้อน-กิเลสเหล่านี้เป็นภัยของจิต พิษมโน โง่วิญญาณ เผาผลาญใจ ตลอดอายุไขยจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องละเลิกไม่ให้มีอยู่ในจิตใจของเรา แม้แต่ขณะเดียวก็ตาม ภายในสังโยนช์-อาสวะนี้มันมีอยู่ภายในจิตใจของหมู่สัตว์ โดยจิตใจทุกขณะส่วนมากต้องรับใช้สรรพกิเลสกลุ่มใหญ่เหล่านี้ เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามที่จะต้องรักษาจิตทุกขณะด้วยการมีสติ และการปฏิบัติก็จะสามารถเอาชนะกิเลสเหล่านี้ได้ นี่ก็คือ "การได้จากการปฏิบัติธรรม" จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ได้ประโยนช์และขอให้ท่านจงเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต (หลวงพ่อทองใบ ปภัสฺสโร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาสาธุ กับพระแมว จบ.128
    และพระอาจารย์ชัชวาลด้วยนะครับ
    จิตยกรายวันเลยนะครับ ครูเพ็ญ
    ตอนนี้ถือได้ว่าพระอาจารย์ชัชวาลเป็นหลักสำหรับการปฎิบัติจิตเกาะพระ ฝ่ายสงฆ์ทีเดียว
    ขออนุโมทนาสาธุกับครูเพ็ญและผู้ใจบุญที่มีจิตศรัทธาช่วยกันทำโรงทานกับพระอาจารย์ชัชวาลด้วยนะครับ

    และขอให้ผู้เจริญทั้งหลายร่วมโมทนา แต่สิ่งที่ดีๆนะครับ
    ธรรมอะไรไม่ดี ไม่งาม ก็อย่านำสติหรือจิตไปแปะเปื้อน ขอให้ก้าวข้ามไป
    และขอให้สำรวมจิตเพียงอย่างเดียว เดี๋ยวทุกอย่าง(คำพูดและการกระทำ) ก็จะดีขึ้นมาเอง นะครับ
    สาธุๆๆ
     
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๒๘ พระอาจารย์
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะขององค์หลวงตา "มหาบัว ญาณสัมปันโน" ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้
    "ภาคปฏิบัติเท่านั้นจะตัดสินศาสนาพุทธได้นะ เพียงภาคปริยัติตัดไม่ได้ว่างี่เลย ยันได้เลย...
    ถ้าศาสนามีทั้งปริยัติมีทั้งปฏิบัติแล้ว ปฏิเวธไม่ต้องถาม...อันนี้มีแต่ภาคปริยัติเรียนจําได้เฉยๆกิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกจากการเรียนนะ ต้องถลอกปอกเปิกหรือขาดสะบั้นไปด้วยการปฏิบัติต่างหาก" ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ไม่มีวันที่จะจบสิ้น ที่จะถาม-พูดเกี่ยวกับการปฏิบัติ และก็มีมากมายกับการที่เราได้สงสัยในการปฏิบัติ แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทําให้เราถึงจุดหมาย นั้นก็คือ การกวาดสิ่งที่สงสัยนั้นออก ด้วยการทําความเพียร ระลึกรู้อยู่เสมอ นั้นก็คือ สติ ตามดู ตามรู้อยู่เสมอ และสิ่งที่สงสัยเหล่านั้น ก็จะหมดหายไป เหลือแต่ความสุข ความวาง และปล่อยว่าง และ"ธรรม" ก็คือ "ธรรมชาติ"ที่อยู่กับเราแต่เราไม่ได้รู้ได้เห็นเพราะเราไม่เคยเห็นความสําคัญของ จิต ใจ และกายที่เรามีอยู่ เราไม่เคยเรียนรู้ทุกข์ พอมีทุกข์ เราก็วิ่งหาแต่สิ่งที่จะดับทุกข์ ก็จะดับได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าเรามาเรียนรู้ที่กายและใจ เราก็จะเข้าถึงซึ้งเหตุ และปัจจัยที่ทําให้เกิดทุกข์ และธรรมะนี้ซึ้งผู้เขียนได้นํามาจากการได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์และได้นํามาปฏิบัติและก็ได้เข้าใจในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ จึงขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นจากทุกข์ด้วยกันทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลูกขอกราบหลวงตามหาบัวด้วยเศียรเกล้า สาธุๆๆ
    ธรรมะอันนี้ถูกต้องเลยครับ
    ทั้ง 3 ธรรมตัวนี้ จะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้เลย ก็จริงอยู่
    แต่ถ้าพูดถึงการบรรลุธรรมจริงๆต้องมาจากการปฎิบัติครับ
    ไม่ใช่..จากการท่องจำมาจากตำราเพียงอย่างเดียว
    เพราะถ้าผู้ใดทำแบบนั้น ก็เท่ากับเรา(สติ)กำลังนำจิตหรือเราไปเรียนแทนจิตตนเองเสียแล้ว
    ธรรมอันใดที่ข้าพเจ้าได้แสดงไปแล้วนั้น ไม่ถูกจริตกับผู้ใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
    เพราะข้าพเจ้าก็คิดเสมอๆว่า ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีขันธ์๕ ถือว่ายังเลวอยู่มาก
    และจะพยายามเจริญสติภาวนาจนกว่าจะดับขันธ์นี้ไป
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิทานนะ นิทาน​

    พระเชน 2 รูป เป้นเพื่อนกัน ต่างก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม นานถึง 10 ปีไม่เคยเจอหน้ากันเลย วันหนึ่งมาพบกันและได้สนทนาธรรมกัน

    พระเชนองค์ที่ 1 : ท่าน.. เราห่างกันมานานถึง 10 ปี ท่านไปปฏิบัติธรรมได้อะไรมาบ้าง? เล่าสู่กันฟังบ้าง

    พระเชนองค์ที่ 2 : ผมปฏิบัติธรรมได้อภิญญา อย่างแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขวางหน้านี้ ผมสามารถเดินข้ามไปบนผิวน้ำได้ แล้วท่านล่ะ?

    พระเชนองค์ที่ 1 : โห!!! ทำไมท่านไปเสียเวลามากมายนานถึง 10 ปีขนาดนั้น กะไอ้แค่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ท่านไปจ่ายเงินแค่ 3 บาท ลงเรือข้ามฟากก็แล้วเรื่องแล้ว สำหรับการปฏิบัติธรรมของผมเป็นอย่างนี้ (ว่าแล้วก็กำมือ ยกนิ้วกลางชี้ขึ้นมานิ้วหนึ่ง โดยไม่พูดอะไร)

    พระเชนองค์ที่ 2 : ***... ด่ากรูเหรอ เฮี่ย

    นิทานเรื่องนี้ก็เลยจบ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [๑๒๐] บุคคลเปรียบด้วยห้วงน้ำ ๔ ชนิด มีปรากฏอยู่ในโลก
    ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    บุคคลมี ๔ จำพวก เป็นไฉน ?
    คนตื้น เงาลึก ๑
    คนลึก เงาตื้น ๑
    คนตื้น เงาตื้น ๑
    คนลึก เงาลึก ๑

    ๑. คนตื้น เงาลึก เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลัง แลตรง
    เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร น่าเลื่อมใส
    บุคคลนั้น ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า คนตื้น เงาลึก ห้วงน้ำตื้นเงาลึกนั้น แม้ฉันใด บุคคล
    นี้ก็มีอุปไมย ฉันนั้น.

    ๒. คนลึก เงาตื้น เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลัง แลตรง
    เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ไม่น่าเสื่อมใส
    บุคคลนั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคล
    อย่างนี้ชื่อว่า คนลึก เงาตื้น ห้วงน้ำลึกเงาตื้นนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มี
    อุปไมย ฉันนั้น.

    ๓. คนตื้น เงาตื้น เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลัง แลตรง
    เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ไม่น่าเลื่อมใส
    บุคคลนั้นไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า คนตื้น เงาตื้น ห้วงน้ำตื้นเงาตื้นนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้
    ก็มีอุปไมย ฉันนั้น.

    ๔. คนลึก เงาลึก เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลัง แลตรง
    เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร น่าเลื่อมใส
    บุคคลนั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคล
    อย่างนี้ชื่อว่า คนลึก เงาลึก ห้วงน้ำลึกเงาลึกนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มี
    อุปไมย ฉันนั้น.
    บุคคลเปรียบด้วยห้วงน้ำ ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ใน
    โลก


    http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=7900292
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้เจริญทั้งหลาย ได้โปรดพิจารณาธรรม

    ผู้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
    จะประกาศให้คนอื่นได้รับรู้ หรือไม่ประกาศ ก็ไม่ทำให้ภูมิธรรมนั้นเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงแต่อย่างใด จะพูดให้คนอื่นรู้ หรือไม่พูดก็มีความบริสุทธิ์เท่าเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภูมิธรรมนั้น ๆ ในสมัยครั้งพุทธกาลก็มีพระปิณโฑลภารทวาชชอบพูดให้พระองค์อื่นได้รู้ในการบรรลุธรรมของตัวเองอยู่เสมอ แม้พระพุทธเจ้าจะประทับในที่แห่งนั้นอยู่ก็ตาม ชอบพูดว่าท่านผู้ใดมีความสงสัยในหมวดธรรมอะไรให้ถามข้าพเจ้าได้ แต่ไม่ได้ประกาศให้ฆราวาสได้รู้ จนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศในการบรรลือสีหนาทนั้นเอง ถ้าผู้เกิดความเข้าใจผิดว่าตัวเองได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็ไม่ถือว่าพูดอวดอุตริแต่อย่างใด ถ้าพูดไปด้วยความเจตนา ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่มีคุณธรรมอะไร นั้นเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเห็นพระในขณะนั้นทันที การดูพระผู้เป็นพระอรหันต์ และการดูพระผู้ยังเป็นปุถุชนนั้นดูได้ยาก มีการเปรียบเทียบดังนี้

    น้ำลึกเงาลึก และน้ำลึกเงาตื้น น้ำตื้นเงาลึก และน้ำตื้นเงาตื้น ดังที่จะอธิบายต่อไป

    ๑. น้ำลึก หมายถึง ใจที่มีคุณธรรม เงาลึก หมายถึงกิริยามรรยาทดี มีความสำรวมกายวาจาที่เรียบร้อยเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ได้พบเห็น เกิดความเคารพ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา

    ๒. น้ำลึก หมายถึง ใจที่มีคุณธรรม เงาตื้น หมายถึงกิริยามรรยาทการแสดงออกไม่ดี ไม่มีการสำรวมกายวาจา จะทำ จะพูดอะไร ก็ทำก็พูดตามใจตัวเอง จึงทำให้ผู้อื่นขาดความเคารพเชื่อถือ

    ๓. น้ำตื้น หมายถึง ใจยังไม่เกิดคุณธรรม เงาลึก หมายถึงผู้มีความสำรวมดี มีกิริยามรรยาทที่น่าเคารพเลื่อมใส ทำให้ผู้ได้พบเห็นเกิดความศรัทธา ความเชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม

    ๔. น้ำตื้น หมายถึง ใจไม่มีคุณธรรม เงาตื้น หมายถึง กิริยามรรยาทการแสดงออกไม่มีความสำรวม พูดทำในสิ่งใดไม่มีความระวัง แสดงความคะนองทางกายทางวาจาเป็นนิสัย


    ปล.จงดื่มแต่..รสธรรมะที่ผุดมาจากภายในจิตตนเองด้วยเถิด
    หวาน+เย็น=ชื่นใจ
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สัจจะ แปลว่า จริง. ถูก. แท้. มงคล. ประเสริฐ. นิพพาน. หมายความว่าสัจจะนี้

    เป็นของจริงของแท้ไม่แปรผัน ไม่เป็นอื่น ไม่ปลอม เมื่อนำเอาศัพท์ทั้งหมดมาต่อกันเข้า จึง

    ได้รูปเป็น. อริยสัจจะ แปลว่า ของจริงอันประเสริฐ ของจริงแห่งพระอริยเจ้าของจริงอัน

    ปราศจากข้าศึก ของจิงแท้ไม่แปรผัน ไม่เ็ป็นอื่นของจริงอันเป็นยานพาหนะ สำหรับนำ

    บุคคลผู้เข้าถึงไปสู่นิพพาน. ถาม. คำว่า ของจริงอันไปจากข้าศึก นั้น เมื่อฟังดูแล้ว

    คล้ายๆกับว่า บุคคลผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมทุกคนจะต้องมีศัตรูติดตามมาอยู่ทุกฝิก้าว ดังนั้น

    หรือ หรืออย่างไร ขออธิบาย. ตอบ. จริงอย่างนั้น เพราะคนเราผู้เกิดมาในสากลโลกนี้

    ย่อมมีทั้งข้าศึกภายนอกและข้าศึกภายใน เข้ามาประชิดติดกายนครนี้อยู่เสมอๆ แม้แต่จะยืน

    เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิดอยู่ก็ตาม ก็ยังมีข้าศึกติดตามมาอยู่มิได้ว่างเว้นเลย จะอยู่

    ที่ใหนๆ ก็ล้วนแต่มีข้าศึกทั้งนั้น ถ้าผู้ใดเข้าถึงอริยสัจแล้ว ผู้นั้นจะไม่มีข้าศึก. ถาม. ข้าศึก

    ภายนอกนั้นก็จะมีนายแพทย์ มีหมอ มียารักษา มียูกมียาหลายร้อยหลายพันอย่าง ไว้ป้อง

    กันรักษาเช่นกัน. แต่ข้าศึกภายในเป็นอย่างไร จะเอาอะไรเป็นอาวุธป้องกันเล่า?

    ตอบ. ข้าศึกภายในได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ข้าศึกทั้ง ๓ เหล่านี้แหละ

    สำคัญมาก ทำสัตวโลกให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ทุกมุมโลก ทุกมุมเมือง และทุกๆคน

    ทุกๆวัน อาวุธสำคัญสำหรับป้องกันและต่อสู้ข้าศึกเหล่านี้ ได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประ

    การ ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานผู้นั้นเชื่อว่าได้บำเพ็ญโพธิปักขิยธรรม ผู้ใดบำเพ็ญโพธิปัก

    ขิยธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าได้บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ

    เป็นอาวุธอันคมกล้า สมารถประหัดประหารข้าศึกภายในคือกิเลสได้ทุกๆอย่าง ทั้งกิเลส

    อย่างหยาบที่จะลว่งออกมาทางกาย วาจา ทั้งกิเลสอย่างกลาง คือปริยุฏฐานกิเลส กิเลส

    ที่ตั้งรุมล้อมอยู่ภายใน ได้แก่ นิวรณ์ิทั้ง ๕ ทั้งกิเลสอย่างละเอียด คืออนุสัยไตรสิกขานี้อัน

    บุคคลเจริญเต็มที่ ปฏิบัติเต็มที่แล้ว สามารถตัดกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง ให้เด็ดขาด

    ไปจากขันสันดานได้ จนกระทั่งถึงได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อใครถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล

    เป็นอเสกบุคคลแล้ว เมื่อนั้นก็จะสิ้นภพสิ้นชาติ ไม่กลับมาเวียนว้ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก

    ต่อไป เป็นอันว่าทั้งข้าศึกภายใน ทั้งข้าศึกภายนอก ก็พินาศไปหมดสิ้นไม่มีเหลือเลยแม้

    แต่น้อย. ธรรมะทั้งหมดนี้คัดมาจากหนังสือวิปัสสนาญาณโสภณ ขอฝากไว้กับผู้อ่านเป็น

    ธรรมทานค่ะขออนุโมทนากับผู้อ่านทุกท่านค่ะ.




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2013
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    น้ำกับทิฐิ
    นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ
    เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ
    เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว
    ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน
    และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด
    แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจังและเคร่งครัดกับชีวิต
    แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล
    และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

    เนื่องจากทิฐิไม่ใช่คนร่ำรวย
    ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย
    จนกระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว
    ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน
    แล้วเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง

    เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง
    แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

    ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่างๆ ชมนั่นแลนี่
    และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย
    การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ
    หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
    แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา
    ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า

    "นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"

    สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา
    แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย

    จนกระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง
    และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน
    จนกระทั่งอาหารและน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด
    ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง

    แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้
    ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน
    แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเผ้ากล่าวคำภาวนา
    ขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย

    "ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร
    ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี"

    แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา
    ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า

    "โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"

    ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือของให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า

    "นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"

    แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ
    ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาบจากชายแปลกหน้าคนนั้น
    ชายคนนั้นจึงเดินจากไป

    ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
    คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ

    "นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน

    "นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ

    ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว
    แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า
    ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป

    ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง
    มาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที

    "เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด"
    ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก

    "นี่ คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าว
    พร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ
    แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
    ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า

    "ข้าไม่เอาของๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"

    หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน
    ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
    แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว

    จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ
    แล้วในตอนนั้นเอง เสียงๆ หนนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า

    "ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย
    หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง
    เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"

    เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันทีเธอทั้งหลาย...

    เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง
    แล้วมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยสายตาและหัวใจที่ไร้อคติ
    หากเธอปิดกั้นหัวใจและสายตาของเธอไว้
    เธอก็อาจพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
    ซึ่งบางครั้งสิ่งดีๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาเธออีกแล้ว

    หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกเธอทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน
    แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
    จงอย่าลืมว่า ศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้น
    ด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดีๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก
    แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน
    แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง
    และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
    แต่เธอทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน

    ดังนั้นขอให้เธอเปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่นๆ
    แม้เธอจะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น
    เธออาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง
    ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิตของเธอ
    ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากเธอจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ
    ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน
    นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"

    ที่มา หนังสือนิทานสีขาว
    โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    https://www.youtube.com/watch?v=-w2dnIwDDsg
    มาฟังเรื่องราวสมองแห่งพุทธะกันบ้าง
    ในเมื่อบางคนพอจะเข้าใจ คำว่า จิตแห่งพุทธะ
    เพราะคนเราจะหนีไม่พ้นคำว่ากายกับจิต หรือรูปกับนาม
    และสองสิ่งนี้ต้องทำงานร่วมกัน
    ปัญญาทางธรรมจึงแตกต่างที่บางคนบอกว่า..ปัญญาทางโลกมากนัก
    เพราะฉะนั้น
    ภาษาจิตบางอย่าง มิอาจจะอธิบายให้เข้าใจได้ในภาษาสมมุติ

    แต่ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ โดยไม่ต้องไปถามใครๆ คือ นำจิตมาเดินมรรค
    หรือศีล สมาธิ ปัญญา
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jSdSWQQX9bw]อาลัยสายลม // ♯♪♪...♥♥♪★♯ - YouTube[/ame]
    เปลี่ยนบรรยากาศ
    ความรักเป็นดั่งสายลม..ที่ไร้ตัวตน..คว้าไม่ได้..อิอิ

     
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    การปฏิบัติธรรม จุดมุ่งหมาย คือ การสละออก กับไฟใหญ่ 3 กอง ในโลภะ โทสะ โมหะ ภายในจิตตน

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในชีวิตคฤหัสถ์ฆราวาส
    สำรวจตนดูว่า ยังแสวงหาปัจจัยภายนอก เพื่อมาบำรุง ส่งเสริม สุมเชื้อในไฟใหญ่เหล่านี้อยู่หรือไม่

    ความทวนกระแสกิเลส ในความเป็นโลก ในเหตุแห่งทุกข์
    ตัณหา ความอยากได้อยากมี อยากเป็น
    ความสันโดษ พอเพียง ภายในจิตใจตน บังเกิดผลมากน้อยเพียงใด

    พระพุทธองค์ ก่อนจะได้บรรลุพระสัมมาสัมมาโพธิญาณ
    ท่านยินดีสละสมบัติ พอใจสละบ่วง สละโลก เพื่อมุ่งหาสันติวรบท สุขแท้นิรันด์

    ตัณหา คือ ความอยากพึงพอใจ ในรูป ในเสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ ตามที่ตนปรารถนา

    ในโลกวัตถุนิยม เห็นผู้อื่นมีก็อยากจะมีตามเขา บ้าน รถ มือถือ ไอแปด ไอเก้า
    เห็นผิดไปในผู้อื่นเข้าใจว่าสวยหล่อหุ่นดูดี ก็อยากจะสวยหล่อให้หุ่นดูดีอย่างเขา ทั้งปัจจัยอาภรณ์
    ทนได้ที่จะยอมเจ็บ ทนได้ที่จะยอมจ่าย เพื่อให้ได้มา ด้วยแรงทะยานแห่งตัณหา
    บ้างก็ กู้หนี้ ยืมสิน บัตรเครดิต ต่างๆ สารพัด
    เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ก็ยังดี ที่ไม่ไปประกอบการทุจริต

    เมื่อถึงยามสิ้นเดือนใบทวงมาถึง ก็ต้องไปจ่ายหนี้ที่ยืมผู้อื่นเขามา
    บ้างก็อาจจะชักหน้าไม่ถึงหลัง สงสัยจะช็อต
    ผ่อนที่อยู่อาศัย ผ่อนรถ ผ่อนที่ดิน ผ่อนเทคโนโลยีต่างๆ

    เหล่านี้ คือ การแสวงหาปัจจัยภายนอก มาเพื่อบำรุงบำเรอสุมเชื้อไฟ
    ความสันโดษ พอเพียง ในสิ่งที่อยากได้ อยากมีอยากเป็น เป็นไปตามกำลังแห่งตนหรือไม่

    เมื่อไม่ได้มา ในสิ่งที่ตนต้องการ จึงต้องแสวงปัจจัยภายนอก อันเกินกำลังแห่งตน
    หรือเมื่อได้มาแล้ว อยากให้คงอยู่ถาวร ในรูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ ธรรมารมณ์
    หรือเมื่อได้มาแล้ว ก็ยังไม่พอใจ ยังถูกกิเลสผลักดันแสวงหา เพื่อจะให้ได้มา ในสิ่งที่ต้องการยิ่งขึ้นไปอีก

    ดังนั้น ความเป็นหนี้ จึงเป็นทุกข์ในโลก
    ความพึงพอใจความเพลินต้องการ ในการบริโภคกามคุณ ในรูปสัญญา ในสัททสัญญา เป็นต้น
    ทั้งกระแสวัตถุนิยม เหล่านี้เป็นเหตุให้ทุกข์ในโลก

    ลองสำรวจดูสิว่า เรายังพร้อมที่จะตายผ่อนส่ง อยู่หรือไม่
    ผลของการปฏิบัติธรรม ผลของการทวนกระแสลงมาที่จิต
    ความสันโดษพอเพียง ยินดีตามกำลังฐานะ บังเกิดผลมากน้อยเพียงใด
    นั่นคือ ผลแห่งโลภะ โทสะ โมหะ ลดลงไปได้ มากน้อยเพียงใดเช่นกัน

    เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็จะเพียรพยายามข้าม กฏ ไปเลย

    <embed src="http://www.youtube.com/v/4UlZyuFiGks?hl=th_TH&amp;version=3&ttauutoplay=1" type="application/x-shockwave-flash" width="0" height="0" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=YEGtpncC_5Y]นึกเสียว่าสงสาร - YouTube[/ame]
    ถามว่ารักแค่ไหน นับเม็ดทรายทั้งทะเลก็รู้
    ลมหายใจที่มีอยู่ คือความคิดถึงจากฉัน
    กิ๊วววๆๆๆ 
    ฟังไป ฝึกแยกกาย แยกจิตไปด้วย
    วัดผลการปฎิบัติจะต้องวัดกันที่ภาคสนาม มิใช่ภาคทฤษฎีเพียงอย่างเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2013
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <IMG src='http://ohonline.in.th/home/wp-content/uploads/2012/03/บุญเราไม่เคยสร้าง-ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า......png' width=650>​
     
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับธรรมทานด้วยครับ
    ท่านสุญญกล่าวตักเตือนได้ถูกต้องยิ่งแล้ว

    "ดังนั้น ความเป็นหนี้ จึงเป็นทุกข์ในโลก"
    หลายๆท่านภายหลังการปฎิบัติธรรมมาจนกระทั่งสามารถละวางกิเลสหยาบ-กลาง-ละเอียดลงให้เบาบางลงได้
    และก็มีความเข้าใจ"ทุกข์-สมุทหัย-นิโรธ-มรรค"ได้ดีขึ้นในระดับนึง(สุดแล้วแต่วาระจิตของแต่ละท่านๆ)
    แต่หลายๆท่านก็ยังไม่อาจที่จะเข้าสู่โหมดแห่ง"การถือสำรวมหรือสันโดษ"ได้ สืบเนืองจาก"ความเป็นหนี้"
    ทั้งหนี้สิน หนี้ชีวิต หนี้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เหตุเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้นเมื่อครั้งยัง"หลงมัวเมา"ในกระแสโลกอยู่
    มาวันนี้..จึงยังคงที่จะต้องชดใช้กรรมเก่าที่ตนเองได้กระทำมาอยู่นั่นเอง จนกว่า"หนี้"มันจะหมดไปหรือเบาบางลง..
    หรือคอยจนกระทั่งลูกเต้าโตหรือบ่วงต่างๆในชีวิต มันอยู่ในเงื่อนไขที่มีความพร้อมมูลกว่าที่เป็นอยู่
    จึงเป็นเหตุให้ยังไม่สามารถที่จะไปเข้าโหมด"ถือสำรวม/สันโดษ"ได้ ทั้งๆที่ท่านๆเหล่านั้นก็มีความปรารถนาที่จะทำเช่นกัน
    (แม้นดูจะเป็นข้อแก้ตัวอยู่นะ แต่มันก็คือข้อเท็จจริง!)

    ปล.ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนปสก.กันยามเช้านะครับ.. :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...