มีพุทธภูมิที่สร้างบารมีใกล้เต็มแต่ละพุทธภูมิก่อน เช่นเหลือแค่ชาตเดียว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Nirvana_99, 27 ธันวาคม 2012.

  1. Nirvana_99

    Nirvana_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +237
    มีพุทธภูมิที่สร้างบารมีใกล้เต็มเช่นเหลืออีกชาติเดียว แต่ละพุทธภูมิ แถมไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าหรือไม่ครับ

    อยากรู้ว่ามีเยอะหรือไม่ครับ ที่บำเพ็ญมาใกล้เต็มแล้ว เหลืออีกแค่ชาติเดียวแต่ก็ละเสียก่อน

    คือสงสัยนะครับว่าท่านเหล่านั้น ทำไมบำเพ็ญบารมีมากมายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012
  2. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอ็งสับสนในแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์(แลบันไดสิบขั้นสู่การตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์) และ พุทธเกษตรเสียแล้วล่ะพ่อหนุ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2012
  3. Nattanit

    Nattanit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +28
    ไม่มีหรอกครับถ้าเหลืออีกแค่ชาติเดียวจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแปลว่าต้องได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วอย่างแน่นอนและไม่มีทางลาพุทธภูมิล้านเปอร์เซนต์ ดูอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันสมัยท่านเป็นสุเมธดาบสท่านต้องเกิดอีกตั้ง 4อสงไขยแสนมหากัปกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนี่เหลือแคชาติเดียวแต่ไม่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นไปไม่ได้เลยครับเพราะจะแน่ใจว่าได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนก็ต่อเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเท่านั้น
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,363
    ผู้ถามอาจจะถามด้วยความไม่รู้หรือถามด้วยความสงสัย ก็เข้าใจครับ สิ่งที่ถามนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ครับ ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับขั้น ผลแห่งการสั่งสมสร้างบารมีย่อมให้ผลเป็นลำดับขั้นด้วยเช่นกันครับ และที่ท่านอื่นๆตอบมานั้น ชัดเจนถูกต้องดีแล้วครับสาธุครับ
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    รู้อะไรไหม?พ่อหนุ่ม ไม่มีพุทธเกษตร(หรือเอ็งอยากจะเรียกพุทธภูมิล่ะ) ให้ลุถึงในอนาคต ชนิดที่เอ็งต้องบำเพ็ญอีกหลายชาติภพ หรอกนะ จริงๆๆเหล่า พุทธเกษตรหรือแดนบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ก็คือที่นี่ เดี๋ยวนี้ เอ็งเข้าใจไหม?ล่ะ ถ้าเอ็งปฏิบัติธรรมอย่างถูกตรงแล้วที่ไหนๆๆก็จะเป็นแดนบริสุทธิ์แห่ง พระพุทธเจ้าทั้งปวงได้ทั้งนั้น เอ็งไม่จำเป็นต้องรอให้สั่งสมบุญบารมีจนมากเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาดอก หรือรอให้ตายแล้วค่อยเข้าถึงแดนบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มองดูสิ มองดูโลกใบนี้ด้วยสายตาแห่งความเข้าใจและเบิกบาน เอ็งจะพบว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ และ บริสุทธิ์อยู่แล้วโดยปฐม เมื่อเราได้มีเวลาที่จะได้เฝ้าดูแลสิ่งต่างๆๆ แบละ ชื่นชมยินดี กับมันทั้งข้างนอกและข้างใน เพียงแค่เรียนรู้ที่จะบ่มเพาะพลังอำนาจของสติ และ สมาธิ เอ็งก็จะสามารถปลดปล่อยความทุกข์และความกังวลออกไปได้ เหล่านี้เกิดขึ้นในขณะหนึ่งและก็ผ่านไป ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องกับเวลา ณ ตรงนี้อีก แลนั้นแหละคือนิพพาน

    พระนิพพานนั้นก็อยู่ในใจของเรา นี่เอง(เช่นเดียวกับสังสาระ) คำว่าพุทธะ หมายถึง ผู้ตื่น และจิตที่ตื่นแล้วต่อสิ่งที่เป็นจริงที่อยู่ข้างหน้า นั้นแหละคือพุทธะ เราไม่อาจจะหาพุทธะได้ที่อื่นอีก และ ที่ใดมีพุทธะ ที่นั้นก็มีแดนบริสุทธิ์แห่งพุทธะ แลนี่หาใช่เรื่องเหนือวิสัยอะไรไม่ แลความมุ่งหวังว่าสักวันหนึ่งที่เราจะได้ลุถึงแดนบริสุทธิ์นั้นไม่ใช่ของจริง
    คิดดูเถิดว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเลื่อนสิ่งดี ๆ เหล่านี้ออกไป เหตุใดเอ็งจึงต้องการจะผลักมันออกไปอีกล่ะ ทั้งๆๆที่เอ็งสามารถมีมันได้ทันทีที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอเพียงแต่เอ็งมีจิตใต้สำนึกที่สะอาดและบริสุทธิ์เท่านั้น แลจงสำนึกตื้นตันในทุกสิ่งที่เอ็งมี จงบ่มเพาะความรู้สึกชื่นชมยินดีขึ้นมา และ จงกล่าวขอบคุณในทุกๆๆสิ่งที่ภาวะของการดำรงอยู่ได้มอบให้กับเอ็ง โดยเริ่มจากการขอบคุณลมหายใจและปัจจุบันขณะ ทุกๆๆครั้งที่หายใจเข้า หายใจออก เอ็งย่อมตระหนักชัดถึงการมีชีวิต ถึงความเบิกบานดั่งดอกไม้บาน ความสดชื่นดั่งน้ำค้าง แต่ก็แกร่งดั่งหินผา หนักแน่นดั่งธรณี และเบาบางอิสระเสรียิ่ง บางสิ่งที่ผ่อนคลายยิ่งได้อุบัติขึ้นกับเอ็ง สงบ เบา ตื่นตัว และ รับรู้ถึงสิ่งที่เป็นจริงได้มากขึ้น เห็นพุทธะสถิตอยู่แล้วในทุกหนแห่ง ปรากฏรูปรอยเด่นชัด ในความเงียบงัน และ เมื่อนั้นเอ็งย่อมได้ยินได้ฟังถึงเสียงการเทศนาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ถ้านี่ไม่ใช่แดนบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าแล้วจะเรียกอะไรดีล่ะ
    เป็นไปได้ที่เราจะเป็นอิสระจากความทะยานอยากและสัมผัสพระนิพพานในขณะนี้ ถ้าเอ็งรูัสึกมั่นคงรู้สึกมีสติ เอ็งจะรู้ทันทีว่า เอ็งมีทุกๆๆสิ่งอยู่แล้ว นั้นแหละ คือบทเรียนของความพอ ลองนั่งลงนิ่งๆๆปิดตาและถามตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข จะพบว่ามีมากมายมากจนเกินพอเสียด้วยซ้ำ มากกว่าเรื่องแย่ๆๆ มากมายหลายเท่า แต่เราไม่รู้เอง สิ่งนี้บ่งบอกว่า บางทีความสุขอาจจะไม่ได้มาจากการได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะความอยากย่อมไม่มีวันพอ ดั้งนั้นความสุขจึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะเป็นธรรมชาติพื้นฐานของเราอยู่แล้ว และเพื่อที่จะพบกับความสุข ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาอะไรมาเพิ่มอีก แม้แต่แดนบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ก็เพราะความสุขที่แท้นั้นนอกจากจะเป็นเรื่องของที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว ยังเป็นเรื่องที่ปราศจากเงื่อนไขใดๆเพื่อที่จะมีมันด้วย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Q5kteKBfQ0I"]Happiness is here and now - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2012
  6. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    ทุกๆๆ ครั้งที่ได้อ่านข้อความของท่านอ. ดั่งกับได้น้ำทิพย์ชะโลมใจจริงๆๆครับ ข้อความเหล่านี้มันมักจะไม่เข้าไปแค่ที่สมอง แต่มันลึกๆๆลงไปในใจ เป็นบางสิ่งที่พูดอกมาเป็นคำพูดไม่ได้
     
  7. Nirvana_99

    Nirvana_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +237
    ท่าน อ.

    ผมไม่เห็นด้วยกับที่ท่านพิมพ์มา เพราะโลกนี้คือทุกข์ ที่ๆเราอยู่มันมีแต่ทุกข์ เพราะเราไม่หลุดพ้นเราจึงเวียนว่ายอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ โลกนี้ไม่มีความสุขจริง ไม่ควรหลงไม่ควรยึดติด ไม่ควรคิดว่ามันสุข น่าอยู่

    แม้แต่ความหิวก็คือทุกข์ เป็นโรคอย่างหนึ่ง ที่ที่เราอยู่ตอนนี้ไม่ควรอยู่ครับ เราจึงควรฝึกจิตใจตามหลักธรรมคำสอนของพุทธองค์เพื่อพ้นวัฎสงสารครับ

    สำหรับเรื่องพุทธภูมิ ผมสงสัยเพราะเจอเคสหนึ่งเท่านั้นเลยลองถามดูครับ
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ความสุขในแบบที่ลุงผู้ต่างจากความสุขในแบบที่พ่อหนุ่มเข้าใจ ไม่ใช่ความสุขทำนองว่าฉันได้กินอาหารอร่อยๆๆ ได้ฟังเสียงเพราะๆๆ ได้เป็นรูปที่น่ามอง สุขจากการเข้าญาณ อะไรทำนองนี้นะ พวกนี้เป็นสุขปลอมๆๆเป็นสุขที่บางครั้งก็มีบางครั้งก็ไม่มี เป็นสุขอันเกิดขึ้นจากความเป็นทาสของเวทนา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเพราะลุงพูดถึงเรื่องการเป็นอิสระจากสิ่งนี้ และ มันไม่ใช่การบิดเบือนสิ่งต่างๆๆ แล้วบอกว่าโอ๊ย..ฉันกำลังคิดบวก ไม่มีปัญหาอะไรหรอกสบายใจได้ โอ๊ยมันไม่ใช่อย่างงั้น นี่มันคือความขี้ขลาดเป็นการเอาหัวมุดทรายของนกกระจอกเทศเมื่อพบศัตรู นอกจากศัตรูจะไม่หายไปจริงๆๆแล้ว มันยังตกเป็นเหยื่ออย่างง่ายๆๆ ลุงกำลังพูดถึงความสุขแบบจริงๆๆ ความสุขที่ทุกๆๆคนสามารถมีได้ และไม่ต้องมีเงื่อนไขให้ได้มาซึ่งความสุข เข้าใจไหมล่ะ เป็นเรื่องทางใจทางจิตวิญญาณล้วนๆๆ นี่ที่พูดถึงนี่

    เอาละทำไม?คนทั่วๆๆไปถึงสนใจพุทธภูมิ ไม่ต้องพุทธภูมิหรอก สัมคมในอุดมคติทุกรูปแบบสิ่งนี้มีอยู่ในทุกๆๆที่คอมมิวนิสต์บอกฉันจะสร้างโลกใหม่ที่ไม่มีชนชั้นมีแต่ความเท่าเทียม ประชาธิปไตยพูดว่า ฉันจะสร้างโลกที่สวยงามที่ซึ่งทุกคนได้รับการปกป้องในศักดิ์ศรีขั้นพื้นฐาน มีเสรีภาพ ภารดรภาพ ทุนนิยมพูดว่าฉันจะสร้างโลกแห่งความมั่งคั่งที่ซึ่งทุกๆๆคนจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ชาวคริสต์มีสวนอีเดนที่ซึ่งพวกเขาจะได้กลับไปและได้ได้พ้นไปจากโลกอันปวดร้าว อันน่าขุ่นเครือง ที่จิตวิญญานได้ตกต่ำจากบาปกำเนิด ชาวพุทธก็มีพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าที่ซึ่งทุกๆๆคนจะไปอยู่ที่นั้นหลังความตายและไปบำเพ็ญบารมีที่นั้นเพื่อเข้าไปถึงนิพพาน

    เห็นอะไรไหม?
    ก็เพราะโลกนี้มันช่างขื่นขมและปวดร้าว เสียจริง โอ๊ยมีความทุกข์ทุกรูปแบบ ความทุกข์จากความหิว ความพลัดพราก จากสังขารที่เสื่อมไปตามเวลา ดังนั้น ฉันจึ่งอยากที่จะหาโลกใบใหม่ ที่ดูดีกว่านี้ ที่ถ้าฉันได้เข้าถึง ฉันก็จะพบแต่ความสุขที่เป็นนิรันดร์ ฉันจะไม่ทุกข์เพราะความหิว เพราะความตาย เพราะการต้องจากลาคนที่รัก แต่นี่คืออะไรกันล่ะ นี่คือการหนีจากความจริงไม่ใช่หรือ เป็นการหนีจากตัวเอง หนีจากสิ่งที่ตัวเองเป็น ไปยังโลกแห่งความฝัน แฟนตาซี ยิ่งมีถ้อยคำในคัมภีร์ที่ดูดีดูลึกซึ้งดูสูงส่ง เราก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องมีโลกแบบนั้น มีสภาวะอันสูงส่งบางอย่างมี่ไม่อาจะบรรยายได้ ดั่งนั้นสำหรับคนเหล่านี้ความทุกข์จึ่งไม่ได้สอนให้พวกเขามีปัญญาเลย แต่กลับสอนให้พวกเขามีเล่ห์เลี่ยม กลโกงมากขึ้น เฉยเมยและ นี่แหละทำให้ผู้คนสร้างอุดมคติบางอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นปฏิกริยาปกป้องตัวเอง และตรงนี้สร้างช่องว่างขึ้น ช่องว่างระหว่างสิ่งที่ฉันกำลังประสบอยู่ กับสิ่งที่ฉันต้องการอยากที่จะให้เป็น และภายในระยะห่างนั้นก็คือความขัดแย้ง และนี่แหละคือบ่อเกิดแห่งความปวดร้าว ความทุกข์โศก ฉันมีภาพโลกแห่งความสุขภาพของสิ่งที่ฉันอยากจะเห็นอยากจะให้เป็น เช่นภาพของโลกที่ไม่มีความหิว ไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บ ความเสื่อม จากนั้นฉันก็เอามันมาเป็นแบบอย่างในการสะท้องผ่านมองโลก และเมื่อโลกไม่เป็นเช่นนั้น ฉันก็เรียกสิ่งที่โลกใบนี้เป็นว่าเป็นปัญหา ที่ฉันต้องเข้าไปจัดการ ไปเปลี่ยนแปลงมัน หากเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ต้องสละทิ้ง ต้องหนีไปยังที่อื่นที่โลกใหม่ เอ็งเข้าใจไหม?ล่ะพ่อหนุ่ม มันเป็นกลลวงของการยึดติดในความเป็นฉัน ฉันที่ต้องการบางสิ่งเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ บางสิ่งที่ดูสบายหูสบายตามีคำอธิบาย และมอบความรู้สึกสุขให้ พุทธเกษตรก็เลยเป็นโลกยูโทเปียในความฝัน เป็นครรถ์มารดา ที่ผู้คนที่อ้างตนว่าตนอยากจะไปให้ถึงหรือมุดกลับเข้าไปอีก เป็นการหลบซ่อนหลังเมฆทะมึน พูดได้ว่าไร้ซึ่งความกล้า ขาดกลัวอย่างหมดท่าต่อชีวิต เป็นการฆ่าตัวตายอย่างจงใจ แม้ว่าในภายในยังคงมีการต่อสู้ดิ้นรนขัดแย้งก็ตามที แต่การวิ่งหนีไปยังความฝัน เหล่านี้มันใช่ความจริงที่ไหนกันล่ะ

    เอ็งเห็นประเด็นไหม? ว่าความทุกข์โศก ไม่ได้เกิดจาก การที่โลกใบนี้มีความหิว มีความเสื่อมมีความตาย มีการพรากจากสิ่งทีี่รัก มีการได้มาซึ่งสิ่งที่ไม่พอใจ แต่อยู่ที่การมองและตัดสินโลก อยู่ที่เราสร้างคติบางอย่างที่เป็นแฟชั่นของเราขึ้นมาเพื่อตัดสินโลก และโลกดันมักไม่เป็นไปตามที่แฟชั่นนั้นคาดหวังให้เป็นหรือให้คงอยู่ไปอย่างงั้น เพราะโลกใบนี้นั้นปราศจากความแน่นอนมันเปลี่ยนแปลงเสมอๆ นี่คือสัจจะ ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกไม่พึ่งพอใจและบีบคั้นที่เราเรียกว่าความทุกข์จึ่งเกิดขึ้น แล ความทุกข์ระทมจึ่งเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง

    พระสูตรกล่าวว่า อบายภูมิทั้งสามก็ดำรงอยู่ในจิตของเรานี่เอง ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะศึกษาพุทธศาสนา ความทุกข์เกิดจากความไม่รู้ และ ความไม่รู้
    นั้นก็คือการไม่รู้จักตนเอง และ มีแต่การรู้ตนเองเท่านั้นที่จะยุติความทุกข์ได้ เต๋าเต็กเก็ง บทที่สามสิบสามกล่าวว่า "ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นคือผู้รอบรู้ แต่ผู้ที่เข้าใจตนเองคือผู้รู้แจ้ง " แต่กระนั้นปัญหาก็คือผู้คนไม่เคยอยากจะรู้จักตนเอง พวกเขากลัว เพราะพวกเขามีภาพลักษณ์เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งพวกเขากลัวว่าถ้าเขารู้จักตนเองแล้ว เขาจะไม่เป็นเช่นในภาพลักษณ์นั้น และเมื่อไม่รู้จักตนเอง ดั้งนั้นจึ่งมีการสร้างความลวงขึ้น ความลวงที่ว่ากาลเวลาจะสามารถเยี่ยวยารักษา และ เปลี่ยนแปลงมันได้ ดั้งนั้นผู้คนจึ่งพูดว่า สักวันหนึ่งฉันจะยุติโลกบ้าๆๆ ใบนี้ ฉันจะยุติความทุกข์ ความวิปลาสสับสน เมื่อฉันแกร่งพอ เมื่อฉันฝึกฝนตัวเองจนฉันกลายเป็นซูเปอร์แมน กลายเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุททธเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นนั้นนี่ ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็แค่ความต้องการที่จะหนีจากปัญหาหนีจากปัจจุบันขณะ ไปยังอนาคต ท่านศานติเทวะ กล่าวไว้ในโพธิสัตตวจรรยาวตาร ว่า "มนุษย์เราล้วนต้องการหนีจากความทุกข์ แต่ทำไม?กันนะพวกเขาถึงมักจะวิ่งเข้าหามัน ในขณะที่เขาต้องการความสุขแต่ทำไม?กันจึงมักบดขยี้มันราวกับศัตรู"

    ปัญหาทุกรูปแบบ และความวุ่นวายทุกรูปแบบ ก่อกำเนิดมาจากการยึดเอาตัวฉันเป็นศูนย์กลาง และเพราะการไม่รู้จักตัวเอง จึ่งไม่รู้ความจริงว่าฉันนั้นเป็นภาพมายา เมื่อมีฉันก็มีสิ่งที่ฉันอยากให้เป็น ไม่อยากให้เป็น เกิดขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนนั้นแหละคือความทุกข์ เกี่ยวกับเรื่องตัวตน สามารถวิเคราะห์ได้ผ่านคำสอนเรื่องขันธ์5 แต่ถ้าจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการยึดติดในขันธ์ทั้ง5จนทุกข์ได้อย่างไรก็จะพบได้ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็คือเรื่องอิทัปปัจจยตาทั้งคู่ แต่ถ้าจะพูดให้ร่วมสมัยขึ้น(แต่จะไม่อธิบายไปถึงการเวียนว่ายในภพทั้งหก)ก็จะได้ว่า

    เราอาจจะมีคำถามว่า ความคิดหรือจิตนี้คืออะไร? ถ้าเราหยั่งเห็นจริงๆๆเราจะพบว่า ไอ้สิ่งที่ถามว่าจิตคืออะไร? นั้นแหละคือจิต เมื่อปราศจากการนึก ปราศจากประสบการณ์ ก็ไม่มีจิต ดังนั้นจิตก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ แต่กระนั้นถ้าเราลองปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็จะเห็นว่า ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตนั้นย่อมไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่หรือไม่มีตัวตนดำรงอยู่(สังเกตจากการเกิดดับเกิดดับของมันและเราจะพบว่าธรรมชาติจริงๆๆคือว่าง) ในชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ที่สำคัญๆๆ จะถูกสมองบันทึกไว้ จัดลำดับก่อนหลัง และสิ่งนี้เองที่สร้างตัวฉันขึ้น ฉันผู้มีประสบการณ์ว่าเป็นคนนั้นนี้ คนที่เคยไปเที่ยวฮ่องกง เคยทำนั้นนี่ และเราก็ยึดติดราวกับ ว่าฉันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริงตายตัว มีฉัน จากนั้นความเป็นฉันนี้ ต้องการการสืบต่อดังนั้นมันจึ่งคิด และ ความคิดก็พลักดันให้เกิดการกระทำบางอย่างขึ้นเพื่อให้ได้ผลอะไรบางอย่างในอนาคต เพื่อหล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ของความเป็นฉันให้ยิ่งมั่นคงขึ้น เช่น เรารู้จักความสนุกเพลิดเพลินบางอย่าง ดังนั้นเราจึ่งต้องการมันอีก และเราก็ยังรู้จักความทุกข์ระทมปวดร้าวด้วย ดังนั้นฉันจึ่งแสวงหาประสบการณ์นั้นอีก เพื่อก่อให่เกิดความเพลิดเพลินเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่การทำเช่นนี้ฉันก็ได้บ่มเพาะเอาความปวดร้าวเอาไว้ด้วย หรือฉันเคยลิ้มรสอาหารชนิดหนึ่งที่ฉันชอบมัน ดังนั้นฉันจึ่งคิดถึงมัน และ แสวงหามันเพื่อที่จะได้กินได้ลิ้มรสมันอีก แต่ถ้าฉันไม่ได้ลิ้มรสเล่า ถ้ามันไม่มีรสชาติเหมือนเดิมเล่า อะไร?จากเกิดขึ้น แล้วถ้าฉันได้มันมา จากนี้ฉันก็ยังคงแสวงหามันเพิ่มขึ้นอีกไม่ใช่หรือ เพราะความอยากของมนุษย์ย่อมไม่รู้จักพอ ตลอดจนความพึงพอใจที่เราได้มาอีกครั้งจากประสบการณ์ ย่อมช่วยตรึงภาพความเพลิดเพลินไว้ในความเป็นฉันได้มั่นคงขึ้น? จากประสบการณ์ที่เพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา(และที่เราพยายามจะแสวงหาให้เพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา)นี่แหละคือตัวเคลื่อนกงล้อแห่งเกิดและตายแห่งสังสารวัฏข้ามภพข้ามชาติเวียนว่ายตายเกิดอยู่ทุกๆๆขณะ นี้ และสิ่งนี้ก็เป็นโรคระบาดมายังความต้องการที่จะพ้นทุกข์ของผู้คน แบบรู้ไม่เท่าทัน

    รู้อะไร?ไหม พ่อหนุ่มผู้คนบนโลกใบนี้ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถามตัวเองว่า ความทุกข์ที่อยู่ตรงนี้จะจบลงได้ไหม? จบลงที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ได้ไหม? เพราะอนาคตไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง อดีตก็เช่นกัน เมื่ออนาคตมาถึงมันก็เป็นปัจจุบันขณะ ส่วนอดีตนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงมันจบลงไปแล้ว มีแต่ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่เอ็งมีอยู่จริงๆๆ ดังนั้นคำถามจึงไม่ใช่เราจะไปถึงพุทธเกษตรหรือแดนบริสุทธิ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้อย่างไรในอนาคต แต่อยู่ที่เราจะนำเอาพุทธเกษตรหรือแดนบริสุทธิ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ให้มาอยู่ที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ได้อย่างไร? นั้นก็คือความทุกข์จะจบลงตรงนี้ได้ไหม? เราจะรู้จักตนเองอย่างฉับพลันตรงนี้ได้ไหม? เพราะเรารู้แล้วว่าการไม่รู้จักตนเองนั้นคือบ่อเกิดของความทุกข์ ไม่ใช่ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะโลกนั้นเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ดอก โลกมันก็แค่เป็นอย่างที่มันเป็น

    เอาล่ะ ลองมาฟังนิทานสักเรื่อง
    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลุงไม่รู้นะว่ามันนานแค่ไหน? ก็มีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าสงสัยว่า ในขณะที่ดินแดนอันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆๆ เต็มไปด้วยสิ่งที่สวยงาม ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอบายภูมิ ไม่มีความเสื่อม ไม่มีความตาย ไม่มีการพลัดพราก ไม่มีคนบาป แต่ทำไมดินแดนพุทธเกษตรของพระองค์พระศายกมุนี จึ่งเป็นไปในทางตรงกันข้ามพระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า "นี่ท่าน สำหรับตถาคตแล้วไม่มีที่ซึ่งไม่บริสุทธิ์หรอกนะ แต่เอาเถอะ ตถาคตจักบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะว่าก็เพราะ แดนพุทธเกษตรของตถาคตนั้นมีสิ่งเหล่านี้ อันเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในแดนบริสุทธิ์อื่นใด ดังนั้นจึ่งเป็นสถานที่เดียวที่มีอริยสัจ มีการหลุดพ้น มีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดได้มากมายเท่าเมล็ดทรายในคงคามหานที อันเป็นสิ่งที่ไม่มีในพุทธเกษตรอื่น เธอรู้หรือไม่ว่าความทุกข์นั้นมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกนะ แต่เป็นบทเรียนแรกที่ชาวพุทธจะต้องศึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา และจากการตระหนักถึงความทุกข์นี่เอง เธอจึ่งจะสามารถก่อกำเนิดความเมตตา กรุณา ความมุ่งมาดที่จะดำเนินไปบนธรรมวิถีได้"

    ผู้คนบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ก็คือขอทาน เป็นขอทานที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นมีทรัพย์สมบัติ มหาศาลอยู่ในบ้านของตัวเอง อยู่ในที่ที่ตัวเองนอนทับอยู่ทุกๆๆวัน เขาจึ่งวิ่งวุ่นไปนั้นนี่ ไปอดีต ไปอนาคต ไปซ้ายขาวหน้าหลังบนล่าง เพื่อหาความมั่งคั่ง ทั้งๆๆที่ความมั่งคั่งนั้นอยู่ใต้จมูก เข้าใจไหมล่ะ พระพุทธองค์เคยตรัสว่า "เมื่อใจบริสุทธิ์ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์พร้อมกัน" คนที่ไร้ปัญญาไม่เข้าใจในนัยยะนี้ ก็พากันดิ้นรนจะไปเกิดที่แดนบริสุทธิ์แห่งพระพุทธเจ้าในชาติหน้า โดยไม่รู้จักว่าแดนบริสุทธิ์นั้นมีอยู่พร้อมแล้วในตัวของตัวเอง ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงปรารถนาไปเกิดทางทิศนู้นทิศนี้ชาตินู้นชาตินี้ แต่สำหรับคนที่มีปัญญาแล้วที่ไหนๆก็เหมือนกันทั้งนั้น ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสเอาไว้ว่า "เขาจะไปเกิดที่ไหนไม่สำคัญเขาคงมีความสุขและบันเทิงรื่นเริงอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อใจบริสุทธิ์จากบาป แดนสุขาวดีก็จักอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้"

    ในพุทธประวัติเล่าว่าเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ พระองค์กล่าวว่า บัดนี้ตถาคตรู้แล้วว่าทุกๆๆสรรพสิ่งคือพุทธะ อยู่แล้วอย่างที่มันเป็น และเพราะไม่เข้าใจในสิ่งนี้จิตวิญญาณจึ่งเร่ร่อนเวียนว่ายภพแล้วภพเล่า กล่าวก็คือ พระองค์ได้ตระหนักว่า ธรรมญาณ(ชาวเถรวาทเรียกตถาคตโพธิสัทธา)ซึ่งไม่มีวันเกิดไม่มีวันตาย หรือดับ ที่พระองค์ทรงแสวงหานั้น แท้ที่จริงเป็นสิ่งที่พระองค์มีอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพชีวิต แลความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมทำให้เข้าใจถึงการเวียนว่ายตายเกิด และ หักวงจรของการเวียนว่ายเสียได้ ดังนั้นการหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายจึงอยู่ที่การปฏิบัติตนเอง ให้พบสภาวะแห่งธรรมญาณ อันเป็นธรรมชาติแท้ที่ไม่เกิดดับ ไม่มีไปไม่มีมา ไม่มีดีไม่มีชั่ว ไม่มีสกปรกหรือสะอาด เพราะโดยพื้นฐานแล้วว่างเปล่า ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ไร้สาระ พุทธะอิสระแล้วจากกรรมทั้งปวง อิสระแล้วจากเหตุและผล การที่จะพูดว่าท่านได้บรรลุบางสิ่งนั้นก็เท่ากับเป็นการกล่าวร้ายท่าน ก็อะไรล่ะที่ท่านบรรลุ ? เหล่านี้ล้วนมีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แลนี้คือ ความหมายแฝงในพระสูตร เมื่อเราอ่านและพบว่าพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าท่านนั้นท่านนี้ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตได้ พระสูตรแรกๆๆที่พูดถึง เรื่องนี้ก็คือสัทธรรมปุณฑริกสูตร ในบทที่สาม พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพระอรหันต์สาวกจะบรรลุธรรมกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ในอนาคต ไม่เพียงแค่นั้นพระองค์ยังตรัสว่า ในกาลข้างหน้าทุกๆๆสรรพชีวิตจะบรรลุธรรมกลายมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เว้นแม้แต่พระเทวทัต กล่าวกันว่าทุกๆๆสรรพชีวิตที่ได้ยินพุทธพยากรณ์นี้ ต่างก็ตื่นเต้นยินดี ต่างมีความมั่นใจมากขึ้น สิ่งนี้ก็มีความหมายว่า ทุกๆๆสรรพชีวิตนั้นมีศักยภาพแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แม้แต่คนบาปเช่นพระเทวทัต ก็ยังไม่ได้ถูกถอนทำลายเสียสิ้นซึ่งศักยภาพนั้น เป็นการสร้างเสริมความมั่นใจ อีกประการก็คือคำสอนนี้มีขึ้นเพื่อชี้ความจริงที่ว่า ไม่มีการเข้าถึงสัจจะในลักษณะที่หยุดนิ่ง แต่ต้องเป็นสัจจะในลักษณะที่เลื่อนไหล ต่อเนื่องไปตลอดทุกๆๆขณะ ก่อนหน้านั้น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพยากรณ์ เหล่าพุทธสาวกต่างก็คิดว่าเราบรรลุอรหันต์ผลแล้วเราสิ้นสุดการเดินทางแล้ว พวกท่านไม่เคยคิดว่าท่านจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ การสอนเช่นนี้ก็เพื่อปลดความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิเช่นนี้ เป็นการชี้ว่าหลังแผ่นป้ายที่เขียนว่านี่คือเส้นชัยของชีวิต มีข้อความใหม่ว่า "นี่คือจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของการเดินทาง อีกครั้ง" และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆๆไม่มีที่สิ้นสุด เพราะชีวิตก็คือการเดินทาง ทุกๆๆสิ่งที่อุบัติขึ้นคือการเรียนรู้ คือสัจจะ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับตัวบทของชีวิต ไม่มีฉันผู้กำลังลิ้มรสปรากฏการณ์มีแต่ฉันผู้เป้นหนึ่งเดียวกับปรากฏกาณณ์นั้นๆๆ ที่ซึ่งทุกๆๆก้าวล้วนเป็นเป้าหมาย เป็นรางวัลในตัวของมันเอง

    ลุงไม่รู้ว่าเอ็งเข้าใจในสิ่งที่ลุงพุดหรือไม่ เอ็งจะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์พูด นี้ก็ต่อเมื่อเอ็งเรียนรู้ที่จะ มีสติตระหนักรู้ว่า อะไร?กำลังเกิดขึ้นจริงๆๆในแต่ละขณะ ในแต่ล่ะสัมพัทธภาพที่เกิดขึ้น โดยปราศจากการตัดสินวิพากษณ์แบ่งแยกออกเป็นทุกข์ สุข ดี ชั่ว ชอบ ไม่ชอบ
    ของเธอเอง ในโลหิตสูตร ท่านโพธิธรรมกล่าวว่า "เพื่อที่จะค้นหาพุทธะ เธอต้องสังเกตธรรมชาติผู้ที่สังเกตเห็นธรรมชาติแท้จริงของตนคือ
    พุทธะ ถ้าเธอไม่สามารถเห็นธรรมชาติแท้ของเธอได้ การอ้อนวอนหาพุทธะ, การท่องบ่นพระสูตรใดๆ การสักการะบูชา การรักษาศีล เหล่านี้ ล้วนเปล่าประโยชน์"

    แลนี่แหละคือ การเผชิญหน้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆๆ เช่น ความหิว เมื่อความหิวเกิดขึ้นนั้นก็คือความจริงที่เกิดขึ้น ความตายอุบัติขึ้นนั้นก็
    คือความจริงที่เกิดขึ้น ความป่วยไข้เกิดขึ้นนั้นก็คือความจริงที่เกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้นนั้นก็คือความจริงที่เกิดขึ้น ความเบิกบานความชื่นชมยินดีเกิดขึ้นนั้นก็คือความจริงที่เกิดขึ้น กล่าวก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั้นก็คือสิ่งที่เป็นจริง เป็นสัจจะ ด้วยกันทั้งนั้น และเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลมีชีวตชีวาอันเราควรที่จะยอมรับมัน และเมื่อเราเฝ้าดูไปเรื่อยๆๆ แสงสว่างแห่งความเข้าใจจักอุบัติขึ้น เอ็งจะเห็นว่า อ้อ.....สิ่งต่างๆๆอุบัติขึ้นก็เพราะมีเหตุมีปัจจัยให้เกิดขึ้น เมื่อไม่มีเหตุมีปัจจัยเพียงพอมันก็ไม่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพียงผล ของการปรุงแต่ง เป็นห่วงโซ่ของเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอยู่ ทุกสิ่งที่เห็นล้วนเป็นดังเช่นความฝัน เป็นมายา แล ภาพลวงตา และ นี่คือการเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่งของชีวิต แลจากนั้นการละวางจักอุบัติขึ้นด้วยตัวมันเอง ในทุกๆๆขณะที่กระแสของชีวิตได้เคลื่อนผ่านไป นี่แหละคืออิสรภาพ คือการยุติลงของความทุกข์ และเปิดประตูสู่ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันที่จริงสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันกับการเห็นธรรมชาติเดิมแท้ของตน และใครก็ตามที่เห็นธรรมชาติแท้ของตน เขาก็คือ พุทธะ ส่วนผู้ที่ไม่เคยเห็นธรรมชาติของตน เขาก็เป็นได้แค่ปุถุชน กระนั้นธรรมชาติแห่งปุถุชน ก็คือ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ และ นอกไปจากธรรมชาตินี้แล้ว ก็มิได้มีพุทธะ ที่ไหนอีก เพราะพุทธะก็คือธรรมชาติของเราเอง มันมิได้มีพุทธะที่ไหนอีกที่ภายนอกธรรมชาตินี้และมันก็ไม่มีธรรมชาติใดภายนอกพุทธะ

    เอาล่ะ พูดไปพูดมามันก็ชักจะยาวแล้ว แต่ก็สรุปได้สั้นๆๆว่า จงมีอิสรภาพในการเป็นตัวของตัวเอง นี่ไม่ใช่การทำอะไรก็ได้ตามใจนะ แต่เป็นการทำสิ่งซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของตน เหมือนนกที่อยู่บนฟ้า ปลาที่อยู่ในน้ำ ไม่อยู่ผิดที่ผิดทางนั้นแหละ และ จะไม่ทุกข์ เพราะความทุกข์ก็คือเสียงเตือนว่าเรากำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง กำลังทำในสิ่งที่สวนทางกับธรรมชาติแท้แห่งตน นี่สั้นๆๆแค่นี้ "จงมีอิสรภาพในการเป็นตัวของตัวเอง นั้นแหละการลุถึงแดนบริสุทธิ์แห่งพุทธองค์" แค่นี้แหละที่พูดมาซะยาวนะ ก็ถ้าเห็นว่าตรงไหนมีประโยชน์ก็เก็บไปใช้เถิด ตรงไหนไม่มีประโยชน์ก็ลืมๆๆมันไปซะนาหนุ่มนะ ถือซะว่าฟังลุงแก่ๆๆบ่นผ่านๆๆ ก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มกราคม 2013
  9. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    โลกทั้งสองคือ โลกียะ กับ โลกุตระ(พุทธภูมิ) มีอยู่ด้วยกันใน"จิต"ทุกดวง...วาระจิตขณะใดไปรับเอาสิ่งใด
    "มาปรุง"แล้วทำให้เศร้าหมอง เป็นทุกข์... ขณะจิตนั้น ก็ตกอยู่ในโลกียะภูมิ...

    หากขณะจิตใดตกอยู่ในความว่าง สงบ เบาสบาย เมื่อได้รับเอาสิ่งใดแล้ว "ไม่ปรุง"...จึงไม่เศร้าหมอง ไม่เป็นทุกข์...ขณะจิตนั้น ก็ตกอยู่ โลกุตระภูมิ (พุทธภูมิ) ...

    อจิตตะ...
     
  10. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    โลกคือทุกข์แน่หรือครับท่าน ธรรมพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสอนและเชื่อตรงกันในทุกนิกายคือเรื่องไตรลักษณ์
    สภาวะต่างๆ ต่างก็เป็นอนิจจัง ที่มันทุกข์ก็เพราะว่ามันไม่สามารถดำรงสภาวะของมันไว้ได้
    การตั้งจิตให้ยึดเหนี่ยวและยึดมั่นในสภาวะต่างหาก ที่นำมาซึ่งทุกข์

    การกล่าวว่า โลกคือทุกข์
    ถามจริง ๆ เถอะ สำหรับท่าน ท่านคิดว่าโลกนี้มันมีอยู่ และทุกข์นี้มันมีอยู่
    หรือโลกกับทุกข์มันมีอยู่เพียงเมื่อท่านเอาจิตไปจับไปถือมันแค่นั้น
    เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่อะไรต่าง ๆ มันเกิดขึ้น
    ตามเหตุและปัจจัย เมื่อปัญญาเกิด เมื่อความยึดมั่นถือมั่นคลาย ทุกข์ก็คลายไปเอง

    พุทธศาสนาในนิกายมหายานหลายนิกาย รวมถึงท่านพุทธทาส บอกว่าให้มองธรรมให้เป็นตถตา หรือมองแบบที่มันเป็น ไม่ต้องปรุง ไม่ต้องแต่ง
    เมื่อมองทุกอย่างตามสภาวะ ความยึดมั่นถือมั่นก็จะคลาย ปัญญาก็จะเกิด
    สิ่งที่เถรวาทเราเน้นในสายตาของมหายานก็คือการเข้าสู่บุคคลสุญญตา เพื่ออรหัตตผล
    ในมหายานมองเรื่องการเข้าสู่บุคคลลสุญญตา และธรรมสุญญตาอีกต่อหนึ่ง เพื่อเข้าถึงมหาปัญญา และมหากรุณา ตามขั้นตอนในโพธิสัตว์ภูมิทั้ง 10
    หากพระโพธิสัตว์ยังไม่คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูได้นั้น ก็จะยังไม่สามารถช่วยสัตว์โลกได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์ได้

    แท้จริงโลกมันไม่ทุกข์ หากแต่เราเอาจิตไปยึดเหนี่ยวในสิ่งที่มันเป็นอนิจจัง
    การเข้าสู่นิพพานแท้จริง ไม่ใช่การก้าวล่วงไปอีกโลก อีกภูมิหนึ่ง อีกดินแดนหนึ่ง
    หากแต่เป็นการตื่นขึ้นของตัวท่าน ตื่นจากภาพมายาที่ท่านรับรู้

    การเรียนรู้จักโลกทั้งโลก ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ใครรู้เท่าทันโลก

    นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ ณ ปัจจุบันขณะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  11. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอางี้ ลุงจะเล่าให้ฟังอีกสักเรื่อง แต่เรื่องนี้เป็นจริงมากแค่ไหนลุงไม่รู้นะ เรื่องมันมีอยู่ว่า ในคาเฟ่แห่งหนึ่ง ในแดนสุขาวดี มีชายสามคนเป็นเพื่อนซี้กัน เขาทั้งสามกำลังนั่งรอบริกร นำเอาเหล้าองุ่นมาเสริฟ์ เมื่อบริกรหนุ่มนำเหล้าองุ่นมาเสริฟ์ ข้างๆๆ ขวดเหล้าองุ่น มีคำเตือนระบุว่า เหล้าองุ่นแห่งแคนสุขาวดีนี้ก็มีรสชาติ เหมือนรสชาติของชีวิต นั้นแหละ


    และแล้วในบรรดาชายทั้งสามชายคนแรกก็ชิมมันก่อน อ้อลืมบอกไปว่าชายคนนี้ในสมัยที่ยังไม่ตายเขาเป็นศ.ทางจริยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงล่ะ ส่วนชายคนที่สองก็เป็นศ.ทางปรัชญาอินเดียที่มีชื่อเสียงมาก่อนที่เขาจะตาย หนังสือปรัชญาอินเดียที่ดังๆๆที่ใช้เรียนใช้สอนกันตามมหาวิทยาลัยชั้นนำนะชายคนนี้ เขียนมาทั้งนั้น ส่วยชายคนที่สามไม่ได้เป็นศ.กับเขาหรอกสมัยเป็นมนุษย์ แต่เป็นนักบวชนิกายชอน(หรือเซน)ในเกาหลี

    กลับมาที่ชายคนแรก เมื่อชายคนแรกชิม เขากลับพบว่ารสชาติมันเปรี้ยว จริงๆๆเหมือนน้ำมะนาวเลย ก็เพราะเหล้าองุ่นนี้มันสะท้อนรสชาติของชีวิตนี่ สำหรับนักจริยธรรม ยุคสมัยปัจจุบัน คือยุคที่ศีลธรรมเสื่อมโทรม ผู้คนก็ใจร้ายขึ้น ไร้ความเคารพความเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนในอดีต พูดง่ายว่าห่วยแตกนั้นแหละ ดั้งนั้นมันจึ่งต้องแก้ไขต้องปรับปรุง ต้องมีกฏมีระเบียบ มีวินัย มีการปฏิวัติ โยนของที่มีอยู่ทิ้งเอาของเก่ากลับมา หรือสร้างใหม่ให้ดีขึ้น

    ส่วนชายคนที่สอง เขาไม่ดื่มเขาพูดว่า โอ๊ยขมจะตาย ผมไม่ดื่มหรอก ก็ชายคนนี้เป็นศ.ทางปรัชญาอินเดียนี่ ดั้งนั้นเขาจึ่งมองโลกผ่านมุมมองของอินเดีย คือโลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นบ่อเกิดของภาพลวงตา กับดักของตัญหา มีอวิชชาที่เป็นตัวสร้างกงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ดั้งนั้นจึ่งควรที่จะสละโลกใบนี้ โลกแห่งตัญหาและกับดักทิ้งซะ เพื่อแสวงหาสภาวะที่บริสุทธิ์

    ส่วนชายคนที่สามไม่พูด พร่ำอะไร เขายกเอาเหล้าองุ่นทั้งแก้วซดเข้าไปคำแล้วร่ายรำ ก็ทำไมล่ะ ก็ชายคนนี้เป็นพระซอน(เซน)มาก่อน เขารู้ดีว่า เหล้าองุ่นที่สื่อถึงรสชาติของชีวิตนั้นไม่รื่นรมณ์ แน่ๆๆ ก็ดูสิเพื่อนของเขาอีกสองคนต่างก็หน้าไม่พอใจ คนแรกชิมก็ไม่พอใจ คนที่สองยังไม่ชิมก็รู้ว่ามันขมรสชาติไม่โสภา แต่ก็นะ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก เพียงแค่เรียนรู้ที่จะร่วมมือสอดประสานไปกับธรรมชาติของชีวิต ไม่ว่ามันจะเปรี้ยว จะขม หอมหวาน เผ็ดร้อน หรืออย่างไร ไม่ว่ากระแสของชีวิตจะเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนเพียงใด แต่เราเพียงแค่ต้องใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับมัน ด้วยความเข้าใจ ตรงนั้นสิ่งต่างๆๆแม้เป็นลบก็จะสามารถเปลี่ยนมาเป็นบวกได้อย่างแท้จริง เพราะรสชาติของชีวิตไม่ว่าเราจะรับรู้ว่าเป็นรสชาติอะไร นั้นก็เป็นเพียงการปรุงแต่งทางความคิดทางมุมมอง ของจิตที่ไม่เคยรู้จักพอใจและชื่นชมยินดีกับสิ่งใด สิ่งนี้แลที่ก่อให้เกิดอนุสัย(นิสัยเดิม)ในทางที่ว่า ความสุขเป็นสิ่งอันจะบรรลุถึงได้ในอนาคต เมื่อเราบรรลุเป้าหมายบางอย่างเงื่อนไขบางอย่าง อะไรคือ อนุสัย กล่าวได้ว่าอนุสัยนั้นเป็นองค์รวมของสิ่งที่เป็นทั้งนิสัย และ พลังแห่งพฤติกรรม และสิ่งนี้แหละที่มีพลังในการผลักดันขับเคลื่อนชีวิตเรา ถ้าเราบ่มเพาะอนุสัยเช่นนี้ เราย่อมไม่อาจจะสามารถมีความสุขได้อย่างแท้จริงเลยในปัจจุบันขณะ เพราะมันแต่วิ่งไล่ภาพลวงตาของความสุขที่อยู่ในอนาคต ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะหยุด ทั้งประเด็น ความคิด ความรู้สึก ที่จะวิ่งไล่อะไรบางอย่าง แล้วมามีสติอยู่ที่ตรงนี้ รวมไปถึงการหยุดความคิดที่จะเข้ามาแทรกแซง บงการและเปลี่ยนแปลงโลกตามอำเภอใจ และ หันมาชื่นชมยินดีกับทุกๆๆรสชาติของชีวิต อย่างมีอิสระ บริสุทธิ์และไร้เดียงสา นั้นแหละคือบทเรียนในการตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิต อันควรสังวรไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ธันวาคม 2012
  12. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,551
    การเอาหลักธรรมที่ตนเองต่างเข้าใจว่าถูกต้องมาเถียงกัน มันใช่รึ การปรุงแต่งภายในใจมันทำให้เกิดทุกข์จริงหรือไม่
     
  13. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    จะสื่ออะไรครับ
     
  14. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500
    ลึกซึ้ง... เหลือเกินครับลุงเทพฯ ขอขอบพระคุณในธรรมทานเป็นอย่างยิ่ง
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปครับ สาธุ
     
  15. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    ถ้าเดินไปตามทางแห่งศาสนาพุทธ ก้เป็นได้แค่สาวก แค่นั้น พุทธภูมิต้องค้นหาเองด้วยประสพการณ์ตัวเอง ทิ้งพุทธให้หมด ทิ้งทุกกศาสนาให้หมด เมื่อเริ่มทิ้ง พุทธพยากรณ์ก็อยู่ไม่ไกล
     
  16. bristol345

    bristol345 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +91
    มีครับ ท่านผู้นั้นก็คือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลกนี้นั่นเอง เนื่องจากทรงเป็นพระองค์แรก
    ไม่มีต้นแบบใด ๆ จึงไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เพราะถ้ามีองค์ก่อนๆ พระองค์ก็จะไม่ใช่พระองค์แรกนั่นเอง

    ไม่มีครับ เป็นไปไม่ได้ พระโพธิสัตว์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
    1 อนิตยโพธิสัตว์ + ยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดเลย จึงยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นหรือไม่
    2 นิตยโพธิสัตว์ + ได้รับการพยากรณ์แล้วว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
    ถ้าใช้คำว่าบารมีใกล้เต็มแล้ว จะต้องเป็นระดับนิตยโพธิสัตว์ ซึ่งจะต้องได้เป็นแน่นอน
    อย่าลืมนะครับ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว พยากรณ์แล้วจะเป็นจริงเสมอ เป็นหนึ่งไม่มีสองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2013
  17. อนันตภพ

    อนันตภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +2,969
    พุทธภูมิ ไม่ใช่ นิพพาน ทั้ง 2 คำนี้เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งเพื่อสื่อความหมายเท่านั้น

    "สติ ณ ปัจจุบันขณะ" คือแนวทางปฎิบัติที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะไว้ เมื่อเดินตามแนวทางนี้ จะเกิดภูมิปัญญาสะสม เมื่อถึงจุดหนึ่งจะตระหนักรู้ได้ด้วยตนเองว่า อะไรคือ นิพพาน และจะไปถึงได้อย่างไร ซึ่งเมื่อตระหนักรู้แล้วก็ไม่สามารถสื่อให้ผู้อื่นรู้ตามได้ เปรียบเหมือนผู้ที่มองเห็นสีแดง ไม่มีทางสื่อให้คนตาบอดเข้าใจได้ว่าสีแดงเป็นอย่างไร ฉันใดก็ฉันนั้น

    ดังนั้น คำว่า "นิพพาน" จึงกล่าวได้ว่าเป็นทั้งอัตตาและอนัตตา ขึ้นกับมุมมองของผู้พูด

    ส่วน "พุทธภูมิ" มีอยู่ในทุกหนแห่งรอบตัวเรา เมื่อคุณรักษาบาดแผลให้สุนัขขี้เรื้อนข้างถนน คุณธรรมแห่งจิตของคุณในขณะนั้นอยู่ในภาวะของจิตแห่งพระโพธิสัตว์ จุดที่คุณอยู่ นั่นแหละ คือ พุทธภูมิ เมื่อคุณสร้างคุณธรรมแห่งจิตเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอบเขตแห่ง"พุทธภูมิ"ก็จะขยายออกไป บารมีหรือความสำเร็จของคุณก็จะเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด เมื่อถึงพร้อมในทุกด้าน คือได้บารมี30ทัศ ครบบริบูรณ์ รอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง เป็นสัพพัญญู ก็จะตระหนักรู้ได้ด้วยตนเองว่า อะไรคือ นิพพาน และจะไปถึงได้อย่างไร เช่นกัน

    และเพราะความรอบรู้ รวมทั้งบารมีที่สร้างสมมาเพียงพอนี่แหละ ทำให้สามารถสั่งสอนเวไนยสัตว์จำนวนมากให้ "ตระหนักรู้ได้ด้วยตนเองว่า อะไรคือ นิพพาน และจะไปถึงได้อย่างไร " จึงทำให้เวไนยสัตว์จำนวนมากสามารถหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้

    ขอคารวะคุณธรรมของท่านเทพอภิบาล และท่านthaiboy74 แนวทางถูกแล้ว ชอบแล้ว ขออนุโมทนาครับ

    สำหรับท่านอื่นๆขอชื่นชมในความพยายามและขวนขวายใฝ่รู้ครับ
     
  18. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    อย่าเพิ่งมั่นใจไปครับ
    ไม่มีบารมีใดที่สำเร็จได้เพียงทำเฉยๆ แล้วบังเอิญเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าทำบารมีเพื่ออะไร เป็นไปเพื่อสิ่งไหน จะสำเร็จไปในทางใดล่ะ
    เกินความสามารถที่จะตอบได้ครับ ข้อนี้ แต่เชื่อว่าสำเร็จอีกอย่างแล้วเปลี่ยนมาเป็นธาตุ เป็นภาค
     
  19. bristol345

    bristol345 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอยืนยันว่าถูกต้องแล้วครับ
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301



    อ่านข้อความ ของ ท่าน ส ศิวรักษ์ เทพอภิบาลก็ทำให้บรรลุไม่กี่นาทีนี้เอง คนเราบางทีงมโข่ง ความจริงแล้วสุขทุกข์สวรรค์นรก อยู่ที่ทัศนคติการมองโลกนั้นเองและมีความสุขกับชีวิต บางทีการที่เราห่วงคนอื่น หรือดีมากเกินไปก็ทำให้ชีวิตทุกข์ เหมือนญาติบางคนที่ดิฉันรู้จักชอบกินแต่อาหารไม่มีประโยชน์ ดื่ม เหล้าเบียร์ เวลาเราถามเขาว่า กินแบบนี้เดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก คำตอบที่ได้ยินคือ ไม่สนตายก็ตาย ขอให้ใช้ชีวิตให้มีความสุขพอ ถึงเวลาตายมันก็หมดความรู้สึก คนพวกนี้ก็ยังนับว่ามองโลกในแง่ดีกว่า พวกเราหลายๆคนที่ต้องฝืนตัวเองทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติ มนุษย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บางคนก็มีธรรมชาติที่ชอบทำความดี รักษาศีลห้า มาตั้งแต่เกิดแล้ว เลยเอาเป็นว่า ใครสบายใจทำแบบไหน ยังไงก็ทำแบบที่ตัวเองชอบ หรือ รักที่จะทำดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...