ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อย่าเสี่ยงจะดีกว่า...

    เรื่อง"คนจะเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน" และภัยพิบัติหลังกึ่งพุทธกาลนี้ เป็นพุทธทำนายจากศิลาจารึกที่ประเทศอินเดีย ที่พระอริยะสงฆ์หลายรูปได้ยืนยันแล้วว่าเป็นของจริง หากท่านไม่เชื่อก็ไม่ควรกล่าวคำปรามาสเช่นนี้ เพราะจะทำให้ท่านต้องตกนรกหมกไหม้ไปอย่างยาวนานหลายล้านปีมนุษย์

    เพราะคุณความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยะสงฆ์นั้น มีมากมายจนประมาณมิได้ ใครก็ตามที่ไปกล่าวล่วงเกินด้วยประการใดๆ ย่อมจะได้รับผลกรรมอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน รวมทั้งผู้ที่กล่าวให้คำ"อนุโมทนา"กับผู้ที่กล่าวคำปรามาสนั้น ก็จะได้รับผลกรรมร่วมกันไปด้วย ผมจึงบอกว่าอย่าเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเลยครับ มันไม่คุ้มค่ากันจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  2. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    วันนี้ 25ธันวาคม 2555 เวลา 16.59น....มีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย...แต่ยังไม่หมดวัน รอเวล24.00น ย่างสู่ 26ธ.ค.2555...รอดูต่อไป...
     
  3. phirus

    phirus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +318
    ผมไปอ่านเจอมาครับ ไม่รู้ท่านๆๆทั้งหลายได้อ่านกันหรือยังครับ

    ทฤษฏีความไม่เชื่อ 10 อย่างของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมในพระไตรปิฏกในหมวดกาลามสูตรเรื่องอย่าให้เชื่อใครหรือสิ่งต่างๆใน 10 อย่างนี้ เพื่อที่จะให้พุทธศษสนิกชนได้คิดเป็นไม่เชื่อใครง่ายๆ

    1. มา อนุสสเวนะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการฟังตามกันมา

    2. มา ปรัมปรายะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการถือสืบทอดกันมา

    3. มา อิติกิรายะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการเล่าลือ

    4. มา ปิฎิกสัมปทาเนนะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการอ้างตำรา

    5. มา ตักกเหตุ

    ({)อย่าเชื่อด้วยเพราะเป็นตรรกะ(ข้อเท็จจริง)

    6. มา นยเหตุ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการอนุมาน

    7. มา อาการปริวิตักเกนะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยการตรองเอาตามเหตุแนวเหตุผล

    8. มา ทิฎฐินิชฌานักขันติยา

    ({)อย่าเชื่อด้วยเพราะเข้าได้กับทฤษฎีของตน

    9. มา ภัพพรูปตายะ

    ({)อย่าเชื่อด้วยเพราะเห็นรูปลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ

    10. มา สมโณโน ครูติ

    ({)อย่าเชื่อด้วยเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา


    :cool::cool::cool::cool:
     
  4. zixma99

    zixma99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,175
    ที่เห็นๆ มีแต่คนปรามาส คนที่ออกข่าวเท็จๆ มาบอกกล่าว ครับไม่มีใครหรอกครับที่ปรามาส พระอริยสงฆ์ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรอกครับ
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อ้าว...ผมก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าผมเอาข้อมูลมาจากพุทธทำนาย ซึ่งเป็นคำทำนายของพระพุทธเจ้า และเอาข้อมูลมาจากพระอริยะสงฆ์ รวมทั้งผู้ทรงศีลทรงธรรมอีกหลายๆท่าน มาบอกกล่าวกันให้ทราบโดยทั่วกัน ถ้าคุณบอกว่าผมออกข่าวเท็จๆ ก็แสดงว่าคุณคิดว่าข้อมูลของพุทธทำนายและพระอริยะสงฆ์ รวมทั้งผู้ทรงศีลทรงธรรมอีกหลายๆท่าน เป็นเท็จด้วยซิ แล้วคนที่บอกว่าคำทำนายของพระพุทธเจ้าและพระอริยะสงฆ์เป็นเท็จ จะไม่เป็นการกล่าวคำปรามาสไปได้อย่างไร

    เรื่องกฏแห่งกรรมนั้น ใครทำกรรมอย่างไร ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "กฏแห่งกรรม" ไม่เคยยกเว้นให้ผู้ใด!!

    [​IMG]
    พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกริยา


    ไปมาแล้ว ก็กลับไปใหม่ได้ นี่เป็นคำเตือนมิใช่คำขู่

    ที่ผมจำเป็นต้องเตือน เพราะคุณเฌ กำลังชักจูงสมาชิก

    เว็บพลังจิต อีกหลายๆ ท่าน ให้ลงนรกตามไปกับคุณเฌ

    ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมจึงขออนุญาตนำเรื่อง

    วิบากกรรมของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้มาเป็นเครื่องเตือนใจ

    ให้สมาชิกท่านอื่นๆ ที่กำลังจะคล้อยตาม เห็นดีเห็นงามไปกับการทำผิด

    ครั้งยิ่งใหญ่ของคุณเฌ จะได้รู้ว่ากฏแห่งกรรมนั้นมันน่ากลัวเพียงใด

    [​IMG]

    วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่เกี่ยวกับเรื่องของวจีกรรม

    กรรมที่ต้องกระทำทุกรกิริยา

    ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทราบว่าพระกัสสปะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้กล่าวว่า "การตรัสรู้ของสมณะโล้น จักมีมาแต่ที่ไหน"

    ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน ด้วยเศษกรรมยังเหลืออยู่ แม้ในภพสุดท้ายก่อนจะได้ตรัสรู้ พระองค์ยังต้องหลงเดินทางผิด บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระองค์เองด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นวัตรของเดียรถีย์ มีการอดอาหาร เป็นต้น จนสรีระผอมเหลือแต่กระดูก ได้รับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากความเพียรเป็นเวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ

    กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวตู่

    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนักเลงสุราชื่อ มุนาลิ ได้กล่าวตู่ พระนันทะ สาวกของพระสัพพาภิภู ปัจเจกพุทธเจ้าว่า "เป็นสมณะทุศีล"

    ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าจึงต้องถูกกล่าวตู่โดยนาง จิญจมาณวิกา

    เรื่องมีว่าเหล่าเดียรถีย์เกิดความริษยา ที่เห็นพระพุทธเจ้ามีบุคลลเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ลาภสักการะของพวกตนน้อยลง จึงหาทางทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการใช้นางจิญจมาณวิกา สาวิกาของพวกตน เป็นผู้ดำเนินการตามอุบาย กล่าวคือในตอนเย็น ขณะที่เหล่าชนกำลังเดินทางกลับเข้าเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางออกไป ตอนเช้าขณะเหล่าชนเดินทางออกจากเมือง ก็ให้นางเดินสวนทางกลับเข้ามา

    ทำเช่นนี้เป็นประจำ จนชาวเมืองเกิดความสงสัย ถามว่านางออกไปนอกเมืองทุกเวลาเย็นด้วยเหตุอันใด นางตอบว่า เราออกไปตามความประสงค์ของพระสมณะโคดมผู้เป็นศาสดาของพวกท่าน และพำนักอยู่ในพระคันธกุฏีในพระเชตวัน เวลาล่วงมาหลายเดือน นางจิญจมาณวิกาจึงนำท่อนไม้มาผูกติดเอว สวมเสื้อคลุมทับไว้

    ทำประหนึ่งว่าตนกำลังมีครรภ์เดินเข้าไปหาพระพุทธเจ้าในพระเชตวันวิหาร ท่ามกลางบริษัทที่กำลังพระธรรมเทศนา กล่าววาจาตู่พระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้ที่ทำให้นางตั้งครรภ์ พระพุทธเจ้ามิได้โต้ตอบแต่ประการใด ทำให้ชนบางกลุ่มในที่นั้นเกิดความสงสัย คิดว่าหากไม่เป็นความจริง นางคงมิกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้ามหาชนเป็นอันมากแน่นอน

    พระอินทร์ทราบความ จึงแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่นางผูกเอวไว้ขาดออก ท่อนไม้หลุดลงมาทับเท้าของนางจนหลังเท้าแตก เหล่าชนในพระเชตวันวิหารเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พากันขับไล่นางออกไป เมื่อพ้นประตูวิหาร นางก็ถูกเปลวเพลิงนรกฉุดลงไปสู่อเวจีมหานรก

    กรรมที่ทำให้ถูกกล่าวหา

    ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อ สุตวา บวชเป็นดาบสสั่งสอนศิษย์ในป่าหิมพานต์ ต่อมามีดาบสผู้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มายังสำนักของตน ด้วยความริษยาที่เห็นว่ามีวิชาความรู้มากว่าตน จึงกล่าวหาดาบสนี้ว่า "ดาบสนี้หลอกลวง ดาบสนี้บริโภคกาม" และยังแนะให้ศิษย์ของตนกระทำตาม

    ด้วยวิบากแห่งกรรมที่กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่เป็นจริง พระโพธิสัตว์และเหล่าศิษย์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวก จึงถูกกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่านางสุนทรี

    เรื่องมีว่า เหล่าเดียรถีย์ยังคิดที่จะทำลายพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้า ต่อมา จึงใช้ให้นางสุนทรี สาวิกาของพวกตนอีกคนหนึ่งไปดำเนินการ ตามวิธีเช่นเดียวกับนางจิญจมาณวิกา จากนั้นได้ว่าจ้างเหล่าโจรให้ฆ่านาง นำศพไปหมกไว้ใกล้พระเชตวันวิหาร แล้วส่งคนของตนไปร้องเรียนต่อพระราชาว่า สาวิกาผู้หนึ่งของพวกตนหายไป พระราชาจึงมีรับสั่งให้ค้นหา พบศพหมกอยู่ใกล้พระเชตวันวิหาร เหล่าเดียถีย์จึงนำศพวางบนแคร่หาม ออกเดินประกาศไปทั่วพระนครว่า "เหล่าศากยะสมณะร่วมกันฆ่านาง" พระอานนท์ทูลความให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า อีก ๗ วัน เรื่องนี้จะปรากฏความจริง

    ฝ่ายพระราชา แม้จะมีหลักฐานปรากฏเช่นนั้นก็ยังไม่แน่พระทัย รับสั่งให้เจ้าพักงานออกทำการสืบสวนหาความจริง เจ้าพนักงานไปพบกับเหล่าโจรซึ่งกำลังเมามาย ต่างก็อวดตัวว่าเป็นคนฆ่านางสุนทรี จึงคุมตัวไปเฝ้าพระราชา ทรงสอบถามจนได้ความจริงว่า เหล่าเดียรถีย์เป็นผู้ว่าจ้างพวกตน พระราชามีรับสั่งให้จับเหล่าเดียรถีย์คุมตัวไปเดินประจานไปทั่วพระนคร พร้อมทั้งให้ร้องประกาศว่า "พวกตนเป็นผู้สั่งให้ฆ่านาง มิใช่เป็นการกระทำของเหล่าศากยสมณะ" จากนั้นจึงนำตัวไปลงโทษสถานหนักทั้งหมด

    ชื่อว่า กรรม แม้จะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม เมื่อถึงวาระที่กรรมนั้นให้ผล แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในไตรภพ ก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้ด้วยประการฉะนี้

    ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๓ อรรถกถาพุทธวรรค พุทธาปทาน, ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓

    ที่มา http://www.gumara.com/node/228<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
    คนที่ทำมาหากินบนความหวาดกลัวของผู้อื่น หลอกลวงคนที่เขามีทุกข์อยู่แล้วต่างหาก
    บุคคลเช่นนี้สมควรรับกรรมหนัก ความจริงคุณเกษมเป็นคนที่น่าเชื่อถือนะ แต่บุคคลที่คุณยกมาอ้างอิงบางคนไม่น่าเชื่อถือเลย ทำให้คุณเกษมพลอยไม่น่าเชื่อถือไปด้วย ขอขมาหากถือว่าเป็นการล่วงเกิน อยากให้คุณเกษมได้ไตร่ตรองบ้างสักนิด ไม่ว่าใครเขาจะว่าอย่างไรก็เชื่อเป็นตุเป็นตะไปเสียหมด
     
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    การปฏิบัติตนต่อการถูกติชม พระรัตนตรัย
    จากพรหมชาลสูตร สุปิยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ กล่าวติเตียน พระรัตนตรัย ในขณะเดียวกัน พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์กล่าวชมพระรัตนตรัย ภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้ไปสนทนากัน พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่อง จึงได้ตรัสว่า
    คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม ติเตียนพระสงฆ์ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่สมควรอาฆาต โทมนัสน้อยใจ แค้นใจคนเหล่านั้น ถ้าเธอทั้งหลายขุ่นเคืองหรือโทมนัสน้อยใจ อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงติเตียนเรา พระธรรม พระสงฆ์ในคำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ไขให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั้นไม่จริง ไม่แท้ ไม่มีในเราทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา พระธรรม พระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ดีใจ กระเหิมใจในคำชมนั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั้นจริง นั้นแท้ มีในเราทั้งหลาย หาได้ในเราทั้งหลาย

    จุลศีล
    เมื่อปุถุชนกล่าวคำชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั้น มีประมาณน้อยนัก ยังต่ำนักเป็นเพียงศีล เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
    1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย เอ็นดู กรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
    2. ละการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่
    3. ละกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน
    4. ละการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก
    5. ละคำส่อเสียดเพื่อให้คนแตกร้าวกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน

    6. ละคำหยาบ กล่าวแต่คำไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ
    7. ละคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ อิงธรรม อิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร
    8. เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูติคาม
    9. ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดการฉันในเวลาวิกาล
    10. เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล

    11. เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ และตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐาน แห่งการแต่งตัว
    12. เว้นขาดการนั่ง นอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่
    13. เว้นขาดจากการรับทองและเงิน
    14. เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ
    15. เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ

    16. เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี
    17. เว้นขาดจากการรับทาสีและทาษ
    18. เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ
    19. เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร
    20. เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า ลา

    21. เว้นขาดจากการรับไร่มาและที่ดิน
    22. เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้
    23. เว้นขาดจากการซื้อการขาย
    24. เว้นขาดจากการโกงด้วย ตาชั่ง ของปลอม เครื่องตวงวัด
    25. เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง
    26. เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และการกรรโชก

    มัชฌิมศีล
    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
    1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพีชคาม และภูติคาม คือพีชเกิดแต่เง่า เกิดแต่ลำต้น เกิดแต่ผล เกิดแต่ยอด เกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า
    2. เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประเทืองผิว ของหอม อามิษ
    3. เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่การกุศล คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพ
    4. เว้นขาดจากการเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือ เล่นหมากรุก เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง เล่นกำทาย เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ
    5. เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาด (ที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย ที่ทำด้วยขนแกะสีขาว ที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ ที่ยัดนุ่น ขนแกะมีขนตั้ง ขนแกะมีขนข้างเดียว ทองและเงินแกมไหม ไหมขลิบทองและเงิน ขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน หลังช้าง หลังม้า ในรถ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่อ อชินะอันมีขนอ่อนนุ่ม ทำด้วยหนังชะมดมีเพดาน มีหมอนข้าง)

    6. เว้นขาดจากการประดับตบแต่งร่างกายอันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว คือ อบตัว ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอม นวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว ผัดหน้า ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้า ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย
    7. เว้นขาดจากดิรัจฉานกถา คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข่าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ
    8. เว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมนี้ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านปฏิบัติผิดข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรกล่าวก่อนท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสียมิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย
    9. เว้นขาดจาการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ คือรับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี และกุมาร
    10. เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและพูดเลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ

    มหาศีล
    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
    1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยดิรัจฉานวิชา คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาด ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ซัดรำบูชาไฟ ซัดข้าวสารบูชาไฟ เติมเนยบูชาไฟ เติมน้ำมันบูชาไฟ เสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอทายเสียงนก เสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์
    2. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยดิรัจฉานวิชา คือทายลักษณะแก้วมณี ไม้พลอง ผ้า ศาสตรา ดาบ ศร ธนู อาวุธ สตรี บุรุษ กุมารี ทาส ทาสี ช้าง ม้า กระบือ โคอสุภะ โค แพะ แกะ ไก่ นกกระทา เหี้ย ตุ่น เต่า มฤค
    3. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพ

    4. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยดิรัจฉานวิชา คือพยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส สุริยคราส นักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง เดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง เดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต ดาวหาง แผ่นดินไหว ฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก จักขึ้น จักมัวหมอง จักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหว ฟ้าร้อง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรตกมัวหมอง กระจ่าง จักมีผลเป็นอย่างนี้

    5 เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยดิรัจฉานวิชา คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี ฝนแล้ง มีภักษาหารได้ง่าย ภักษาหาได้ยาก ความเกษม ภัย เกิดโรค ความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์โลกายตศาสตร์
    6. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยดิรัจฉานวิชา คือให้ฤกษ์ อาวาหมงคล วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง เก็บทรัพย์ จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ให้คางแข็ง ให้มือสั่น ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก ทรงหญิงสาว ทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ
    7. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยดิรัจฉานวิชา คือ ทำพิธีบนบาน แก้บน ร่ายมนต์ขับผี สวดมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยา (สำรอก ถ่ายโทษเบื้องบน ถ่ายโทษเบื้องล่าง แก้ปวดศีรษะ) หุงน้ำมันหยอดหู ปรุง (ยาตา ยานัตถ์ ยาทากัด ยาทาสมาน) ป้ายตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ธันวาคม 2012
  9. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทิฏฐิ 62
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน
    ปุพพันตกัปปิถาทิฏฐิ 18 ลัทธิที่ปรารภขันธ์ส่วนอดีต 18 อย่าง
    มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวถึงขันธ์ส่วนอดีต แสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ ดังนี้
    สัสสตทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา และโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ
    ปุพเพนิวาสานุสสติ สมณพราหมณ์บางคน บรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ ได้หนึ่งชาติบ้าง..... หลายแสนชาติบ้าง เขากล่าวว่าอัตตา และโลกเที่ยง คงที่ ส่วนสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติ เกิด นี้เป็นฐานะที่ 1
    ในฐานะที่ 2 และ 3 สมณพราหมณ์บางคน บรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ วัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง..... สี่สิบบ้าง เขากล่าวว่าอัตตา และโลกเที่ยง คงที่ ส่วนสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติ เกิด
    ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์บางคน เป็นนักตรึก นักค้นคิด กล่าวตามที่ตนตรึกได้ ค้นคิดได้ ว่า อัตตา และโลกเที่ยง คงที่ ส่วนสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไปจุติ เกิด
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้ยึดไว้แล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษ เวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น
    เอกัจจสัสติกทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ
    บางครั้ง โดยระยะกาลช้านาน เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ เหล่าสัตว์ย่อมเกิดในอาภัสสรพรหม เหล่าสัตว์นั้นได้สำเร็จทางใจ..... สถิตอยู่ในภพนั้น บางครั้งสิ้นกาลยาวนาน เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฎว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ที่จุติขึ้นจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุ หรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมอันว่างเปล่า สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ..... สถิตอยู่ในภพนั้น เกิดความกระสันความดิ้นรน ว่าแม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง บรรดาสัตว์เหล่านั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็นสัตว์เหล่านี้เรานิรมิต แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดว่า ท่านผู้นี้แลเป็นพรหม..... พวกเรา อันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว บรรดาสัตว์เหล่านั้น ผู้ใดเกิดก่อนผู้นั้นอายุยืนกว่า มีศักดิ์มากกว่า
    สัตว์เหล่านี้ได้บวชเป็นบรรพชิต แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ จึงได้กล่าวว่า ท่านผู้ใดเป็นพรหม..... พระพรหมผู้ใดนิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้นั้นเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผัน ส่วนพวกเราเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ นี้เป็นฐานที่ 1
    ในฐานะที่ 2 เทวดาพวกหนึ่ง หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ สติย่อมหลงลืม เมื่อจุติจากชั้นนั้นแล้ว มาเป็นอย่างนี้ จึงออกบวชเป็นบรรพชิต แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ จึงกล่าวว่า พวกเทวดาที่ไม่หมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ สติย่อมไม่หลงลืม จึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน ไม่แปรผัน ส่วนพวกตนเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อยยังต้องจุติ นี้เป็นฐานะที่ 2
    ในฐานะที่ 3 เทวดาพวกหนึ่งมักเพ่งโทษกันและกัน มุ่งร้ายกัน พากันจุติจากชั้นที่ตนอยู่ แล้วมาเป็นอย่างนี้ จึงออกบวชเป็นบรรพชิต แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ จึงเกิดความเห็นเช่นเดียวกับฐานะที่ 2
    ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์บางคนเป็นนักตรึก นักคิดค้น กล่าวตามที่ตนตรึกได้ คิดค้นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผัน ส่วนที่เรียกว่าจิต หรือใจ หรือวิญญาณนี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง.....
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า..... เพราะไม่ถือมั่นตถาคตจึงหลุดพ้น
    อันตานันติกทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิว่าโลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ
    สมณพราหมณ์บางคน บรรลุเจโตสมาธิ ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด กลมโดยรอบ นี้เป็นฐานะที่ 1
    ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์บางคน บรรลุเจโตสมาธิ มีความสำคัญในโลกว่าไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ พวกที่ว่าโลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบนั้นเท็จ นี้เป็นฐานะที่ 2
    ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์บางคน บรรลุเจโตสมาธิ มีความสำคัญในโลกว่า ด้านบน ด้านล่าง มีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ พวกที่ว่าในฐานะที่ 1 และในฐานะที่ 2 นั้นเท็จ นี้เป็นฐานะที่ 3
    ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์บางคน เป็นนักตรึก นักค้นคิด กล่าวตามที่ตนตรึกได้ ค้นคิดได้ว่า โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ พวกที่ว่าในฐานะที่ 1,2 และ 3 นั้นเท็จ
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    อมราวิเขปิกทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ
    สมณพราหมณ์บางคน ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ถ้าตนพยากรณ์ไปก็จะเป็นเท็จ จึงไม่กล้าพยากรณ์ เพราะเกลียดการกล่าวเท็จ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ นี้เป็นฐานะที่ 1
    ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์บางคน ไม่รู้ตามความเป็นจริง..... เกรงว่าพยากรณ์ไปแล้วจะเป็นอุปาทาน จึงกล่าววาจาดิ้นได้.....
    ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์บางคน ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เกรงว่าเมื่อถูกซักไซ้แล้วตอบไม่ได้ จึงกล่าววาจาดิ้นได้.....
    ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์บางคนเป็นคนเขลา งมงาย เมื่อถูกถามว่าอย่างไร ตนมีความเห็นว่าเป็นอย่างไร ก็จะตอบไปตามนั้น จึงกล่าววาจาดิ้นได้.....
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ 2 มีทิฏฐิว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ
    พวกเทวดาชื่อว่าอสัญญีสัตว์มีอยู่ เมื่อจุติจากชั้นนั้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา มาเป็นอย่างนี้ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต บรรลุเจโตสมาธิ ย่อมระลึกถึงความเกิดขึ้นแห่งสัญญาได้ เบื้องหน้าแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขากล่าวว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ เพราะตนเมื่อก่อนไม่มี เดี๋ยวนี้ตนมี นี้เป็นฐานะที่ 1
    ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์บางคน เป็นนักตรึก นักคิดค้น เขากล่าวตามที่ตรึกได้ค้นคิดได้ว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวถึงขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการนี้
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    อปรันตกัปปิกทิฏฐิ 44 ลัทธิที่ปรารภขันธ์ส่วนอนาคตและปัจจุบัน 44 อย่าง
    สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต.. กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการ
    สัญญีทิฏฐิ 16 มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ คือ อัตตามีรูป ไม่มีรูป ทั้งที่มีรูปทั้งที่ไม่มีรูป ทั้งที่มีรูปก็ไม่ใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ ที่มีที่สุด ที่ไม่มีที่สุด ทั้งที่มีที่สุดทั้งที่ไม่มีที่สุด ทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ที่มีสัญญาต่างกัน ที่มีสัญญาย่อมเยา ที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ที่มีสุขอย่างเดียว ที่มีทุกข์อย่างเดียว ที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ ที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืนมีสัญญา

    Tweet

    ฐิตา:



    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า.....
    อสัญญีทิฏฐิ 8 มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ คือ อัตตาที่มีรูป ที่ไม่มีรูป ทั้งที่มีรูปทั้งที่ไม่มีรูป ทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ที่มีที่สุด ที่ไม่มีที่สุด ทั้งที่มีที่สุดทั้งที่ไม่มีที่สุด ทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืนไม่มีสัญญา
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ 8 มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ 8 ประการ คือ อัตตาที่มีรูป..... ทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืนมีสัญญา
    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    อุทเฉททิฏฐิ 7 มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ ด้วยเหตุ 7 ประการ คือ
    สมณพราหมณ์บางคนมีวาทะว่า เพราะอัตตานี้มีรูป สำเร็จด้วยมหาภูตรูป 4 มีมารดา บิดา เป็นแดนเกิด เพราะกายแตกย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์ เป็นกามาพจร บริโภคกวฬิงดาราหาร เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูปสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบครัน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ มีอารมณ์ว่าอากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญา เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึง อากิญจายตนะ เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะกายแตก อัตตานั้นย่อมขาดสูญ



    เรื่องนี้ตถาคตย่อมรู้ชัด.....
    ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 มีทิฏฐิว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
    สมณพราหมณ์บางคนกล่าวว่า เพราะอัตตานี้อิ่มเอิบ พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ 5 จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ยังมีเหตุอื่นอีก เพราะเหตุว่ากามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส คับใจ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาณ มีวิตก วิจาร มีปิติ และสุขเกิด แต่วิเวกอยู่ จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ปฐมฌาณยังหยาบ เพราะอัตตานี้บรรลุทุติยฌาณ..... จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ทุติยฌาณยังหยาบ เพราะอัตตานี้บรรลุตติยฌาณ..... จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน
    สมณพราหมณ์พวกอื่นกล่าวว่า ตติยฌาณยังหยาบ เพราะอัตตานี้บรรลุจตุตถฌาณ..... จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวถึงขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการนี้
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวถึงขันธ์ส่วนอดีตก็ดี ส่วนอนาคตก็ดี ทั้งส่วนอดีต ทั้งส่วนอนาคตก็ดี กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี



    เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัด.....
    ธรรมเหล่านี้แลลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์..... กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์..... กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการ ก็เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก ถูกต้อง ๆ แล้วด้วยผัสสายตนะทั้ง 6 ย่อมเสวยเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส เมื่อใดภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณและโทษแห่งผัสสายตนะทั้ง 6 กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากผัสสายตนะเหล่านั้น เมื่อนั้น ภิกษุนี้ย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้ทั้งหมด ก็สมณพราหมณ์พวกใด กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้เป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายนี้ปกคลุมไว้



    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของคถาคตดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระอานนท์ได้กราบทูลว่า น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ ธรรมชาละก็ได้ พรหมชาละก็ได้
    ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ หมื่นโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้ว แล
     
  10. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    คนที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้านั้นไม่ดีเลยเพราะ คติของท่านที่จะเข้าถึงเบื้องหน้าต่อเมื่อชีพวายเพราะกายแตกคือ ทุกขคติ วินิบาต นรก เท่านั้น
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ก็อย่างที่ผมได้แจ้งให้ทราบกันไปแล้วว่า วัตถุประสงค์ของกระทู้นี้คือการแจ้งข่าวเตือนภัย โดยที่ผมจะทำหน้าที่รวบรวมคำทำนายเรื่องของภัยพิบัติ จากทุกๆแหล่งที่ผมพอจะหามาได้ แล้วทำมาแจ้งแตือนเพื่อนๆให้ได้ทราบ โดยผมจะถือเอาพุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติในกึ่งพุทธกาลนี้เป็นหลัก ส่วนคำทำนายของท่านอื่นๆนั้นผมจะนำมาเป็นส่วนประกอบ เพื่อความชัดเจนในรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่มีในพุทธทำนาย ส่วนเนื้อหาใดที่ไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสพยากรณ์เอาไว้ ผมก็จะไม่นำมาโพสต์ในกระทู้นี้ครับ

    ดังนั้นคำกล่าวหาของคุณ อธิฎฐาน ที่บอกว่าผมเชื่อเป็นตุเป็นตะไปเสียหมด จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะผมจะตรวจสอบเนื้อหาแล้วว่าใกล้เคียงและไม่ขัดแย้งกับพุทธทำนาย รวมทั้งตรวจสอบแล้วว่าเป็นข้อมูลที่มาจากผู้ทรงศีลทรงธรรมอันบริสุทธิ์จริงๆ เพราะฉนั้นใครก็ตามก็กล่าวคำปรามาสกับผู้ทรงศีลทรงธรรมเหล่านี้ ก็จะเกิดเวรกรรมกับตัวผู้กล่าววจีกรรมปรามาสผู้ทรงศีลทรงธรรมเหล่านี้ รวมทั้งผู้ที่ให้การสนับสนุนยินดีกับการกระทำของผู้ที่ปรามาสผู้ทรงศีลทรงธรรม ก็จะพลอยได้รับผลกรรมไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ขอให้กระทู้นี้ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้ได้หลีกพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงเถิด อย่าได้เป็นต้นเหตุให้ใครหลายๆคน ต้องพากันตกนรกหมกไหม้เลย เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้มีจิตเมตตา ได้มาแจ้งข่าวเตือนภัยให้ได้รับทราบ ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเราทั้งสิ้น หากเราไม่เชื่อก็ไม่ควรใช้ถ้อยคำหยาบคาย เยาะเย้ย ถากถาง เสียดสี ประชดประชัน แต่ควรนำคำเตือนนั้นมาวิเคราะห์ พิจารณาร่วมกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ว่าโลกเราทุกวันนี้ภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ ทุกขณะแล้วจริงหรือไม่...
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เช่นเดียวกับครับ คนที่กล่าวคำปรามาสในพุทธทำนายของพระพุทธเจ้านั้นไม่ดีเลย เพราะคติของท่านที่จะเข้าถึงเบื้องหน้าต่อเมื่อชีพวายเพราะกายแตกคือ ทุกขคติ วินิบาต นรก เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พุทธทำนายของพระพุทธเจ้า !!!

    คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้

    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ไกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทพากเพียรพยาบาลว่า

    " ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลกโลกหมุนไป ไกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕,๐๐๐ ปี เมื่อโลกไปไกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒๕๐๐ ปี) มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หิน ถูกสาปให้หลับก็กลับคื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อไกล้กึ่งศาสนาของอาตมา ก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟัน กันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มี อำนาจภัยจากฟ้า

    ทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมจากสัตว์ป่าอำมหิต ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

    เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ ลูกไฟจะตกจากฟ้า เป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำสงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ

    ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยมเชื่อถือถ้วยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอย่อมได้รับการเชื่อถือ ในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดแม่ แม่จะพลัดจากลูก โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่งผีเสื้อแสนหนึ่งมาปล่อยแสนหนึ่งมาปล่อยไข้เป็นไฟผลาญ

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ตรงกับ พ.ศ ๒๕๕๕ ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ตรงกับ พ.ศ ๒๕๕๖ ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ตรงกับ พ.ศ.๒๕๖๐ ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหงอิจฉา พยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ใน ศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมาจะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญ ภาวนาดังนี้

    " หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิ โหคะหะคะเน "

    ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศรีษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์ ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์โลกเป็นล้นพ้นที่มีอายุขัยอยู่ได้ไกล้ยุคกึ่งยุคลลาย

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้น ระยะปี ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไปเพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญ ไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุงบำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะอยู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งจะเกิดภายในความอุปภัมถ์ของพระมหาเถระ

    โพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น "ยุคศิวิไล" พระมหาเถระโพธิสัตว์ จะเกิด ในสมัย ของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้ เที่ยงแท้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทผู้ใดรู้แล้วเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไปนับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามกาลเวลาผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่งยำเกรงบิดา มารดา รู้จักบุญคุณท่านผู้มีคุณหนึ่งให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

    " พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นโมสัพพราชา ขัตติโย อิติ ปารมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคตา อิติ โพธิ มนุปปัตโต อิติปิโส จ เต นโม "

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ควาหมายของ-ปีมะโรง-พ-ศ-๒๕๕๕-๒๕๐๗-คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน.406336/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  14. tuinipon

    tuinipon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +84
    ข้อมูลแบบไหนผมไม่เกี่ยง อย่ามัวกังวลเลยครับว่าข้อมูลจะจริงหรือเท็จ คนที่เข้ามาในเว็บพลังจิต ควรมีข้อมูลหลายๆ ประเภทไว้ตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยตนเองครับ
     
  15. เจ้าหญิงแพร

    เจ้าหญิงแพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +390
    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ตรงกับ พ.ศ ๒๕๕๕ ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน (ขอเพิ่มเติมให้อีกนิด ในการนับจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่วันประกาศพระศาสนาหรือเปล่า? แล้วใครเป็นคนโยงปี พ.ศ. ปีมะโรง? ทำให้เวลาคลาดเคลื่อนไปสักหน่อย แต่ถ้าครบรอบวันประกาศพระศาสนาในปี พ.ศ.2556 แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้ยุติการนำคำพยากรณ์นี้มาเผยแพร่ด้วยนะเจ้าค่ะ เพราะพุทธพยากรณ์จริงต้องไม่มีพลาด ไม่มีเลื่อน และไม่มีเคลื่อน)
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พุทธศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า เิริ่มนับตั้งแต่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนาครับ แต่การนับปีพุทธศักราช เริ่มนับจากปีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เวลาจึงไม่ตรงกับพุทธทำนายครับ อีกทั้งปีพุทธศักราชก็คลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความเป็นจริงด้วย จึงต้องนับปีนักษัตรเป็นหลักครับ

    การไม่ให้นำพุทธพยากรณ์นี้มาเผยแพร่อีก ถ้าไม่เกิดตรงตามที่ได้วิเคราะห์เอาไว้ ตัวผมรับปากได้ครับ แต่สำหรับท่านอื่นๆ นั้นก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของแต่ละท่าน ผมไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามเขานะครับ และปีมะโรงในพุทธทำนาย เิริ่มนับจากเดือนเมษายน พ.ศ.2555 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2556 นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  17. khun ae

    khun ae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +159
    ผมขอให้กำลังใจแด่ผู้ให้ข้อมูลนะครับ เพราะมีประโยชน์ต่อผู้ที่รับฟังแล้วพิจารณาครับ หากมีข้อมูลเพิ่มโปรดลงเพิ่มด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
  18. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    มองคนอื่น ค้นหาความดี....มองตัวเรานี้ ค้นหาข้อบกพร่อง.....สามัคคีกันไว้ ยังไงก็อยู่บนโลกใบเดียวกัน ยกย้ายหนีจากกันไม่ได้หรอก
     
  19. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555


    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อครั้งพุทธกาลว่า...

    คนจะเปลี่ยนสภาพจากเดินเป็นคลาน...

    พูดถึง คนธรรมดาอย่างเราใครจะไปรู้ใช่มั๊ย... ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

    แต่มาวันนี้ เมื่อถึงกาลที่พระองค์ทรงตรัสไว้ ก็เริ่มจะมีพระที่มีญาณ รวมถึงผลวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เข้ามาอธิบาย ในเวลานี้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลก จนไม่สามารถที่จะเดินได้ แล้วต้องอยู่ในสภาพเหมือนคลาน

    เราล่ะ...รู้สึกปิติ ที่ได้ประจักษ์แก่ตัวเองถึงความแม่นยำใน พระญาณแห่งององค์พุทธะ


    ส่วนที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

    "โพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น "ยุคศิวิไล"
    ระหว่างปีจอปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้ เที่ยงแท้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป


    น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว ในปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้น ก็ว่ากันว่า ยุคที่ว่านี้ ผู้คนจะเข้าถึงนิพพานได้โดยง่าย

    ก็ในขณะนี้ เวลานี้ การที่ใครสักคนหนึ่งจะคิดถึงเรื่อง นิพพาน นั้น แทบจะเป็นเหมือนจินตนาการที่ไม่อาจจะเป็นไปได้ หรือไม่มีความหวังเอาซะเลย

    โอว.... เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและฉงนฉงาย

    เมื่อเวลานั้นมาถึง... ก็จะได้เห็นใน...พระมหาอัจฉริยะภาพในการโปรดสรรพสัตว์ของพุทธวงศ์เลยทีเดียว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  20. tam220t

    tam220t ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +537
    ผมขอถามข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับพุทธทำนายที่ยกมาผมก็ได้อ่านจากหลายๆทางมาหลายปีมากแล้วแต่มีข้อมูลบางอย่างที่ยังขาดไปคือ
    1.ที่บอกว่าคณะธรรมทูตอัญเชิญมา มีรายชื่อคณะธรรมทูตไหมครับ มีหลักฐานของการมีอยู่จริงของคณะธรรมทูตคณะนี้หรือไม่ หรือพอหาท่านที่อยู่ในคณะนั้นสักรูปในปัจจุบันนี้ได้ไหมครับ
    2.ถ้าศิลาจารึกนี้มีจริงที่อินเดียผู้อื่นก็คงต้องอ่านเจอได้ พระในยุคยี่สิบปีมานี้ที่ไปถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ย่อมมีมากมาย มีท่านไหนที่ยืนยันการมีอยู่จริงของศิลาจารึกนั้นได้บ้างไหมครับ
    3.หรือมีพระอริยะในปัจจุบันท่านใดที่ได้ทราบการมีอยู่ของพุทธทำนายฉบับนี้และท่านยืนยันว่าเป็นของจริงหรือไม่ครับ
    ตัวผมเองไม่มีทางปรามาสพระรัตนไตรอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่า เราจะสามารถเชื่อถือเอกสารใดต้องทราบที่มาของเอกสารได้อย่างชัดเจนก็เท่านั้นเองครับ และผมเองก็ขอท่านที่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับการยืนยันความมีอยู่จริงของศิลาจารึกหลักนี้ที่อินเดีย ช่วยยืนยันให้ด้วยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าผมจะได้เอาไปยืนยันกับใครๆได้สักทีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...