อย่างมงายในวิทยาศาสตร์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 18 ธันวาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณเปลี่ยนจากท้าผมสาบานมาท้าผมทำความดี เช่น การรักษาศีล ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่ปองร้ายเขา เห็นชอบตามธรรมะ
    เชื่อกฏแห่งกรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แบบนี้เข้าหลักธรรมของศาสนาพุทธครับ
    ศาสนาไม่สอนคนให้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบรรดาลให้ผลในทางที่ดีหรือไม่ดี ไม่ได้สอนให้นับถือบูชายักษ์ครับ
     
  2. สมภารสิน

    สมภารสิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +57
    อะไร ของคุณโยมล่ะ พี่สมภารก็บอกไปแล้วว่า เป็นพวกเดียวกัน
    พี่สมภารเป็นพวกคนที่ ถูก
    ไม่ใช่เป็นพวก คนพาล สันดานหยาบ
    ผิดไม่ยอมรับ ผิด
    หลักฐานอะไร ก็เห็นอยู่ว่า เต็มกระทู้ที่โต้เถียงกันไปหมด
    พี่สมภารก็อ่านมาตั้งแต่ต้น
    นั้น พอใครไม่เห็นด้วยกับน้อง
    ก็ว่าเขาพวกเดียวกัน
    ก็ใช่ไง พี่ก็บอกตั้งแต่วันแรกแล้วว่า พี่เลือกข้างไปแล้ว
    นู้น มีอีกสามสิบสี่สิบคนที่เขากดไม่เห็นด้วย
    เขาก็น่าจะเลือกข้างเหมือนกัน แล้วน้องจะเอายังไง
    ไม่พอใจ ที่คนไม่กดอวยให้น้องอย่างงั้นหรือ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  3. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    อัตตา ของเจ้าของกระทู้ นี่จัดมาก ท่านพุทธทาสที่คุณใช้เป็นรูปแทนตัวไม่สอนอะไรคุณเลยหรือ ตัวกูของกูไง ปล่อยวางหน่อยก็ดีนะคุณชีวิตคุณจะได้มีความสุขกว่านี้ อะไรยอมได้ก็ยอมไปเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  4. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    มีสิค่ะ ยกตัวอย่าง คุณใส่ร้ายเขาว่า เขาใส่ร้ายคุณว่าคุณอ้างว่าตัวเองบรรลุธรรม
    เมื่อวานนี้
    ฉันถามหน่อยว่าเขากล่าวหาคุณว่างี้หรอค่ะ เขาแค่บอกคุณซงแทฮาว่าจริงสิ
    ถ้าจริงไปเอามาให้ผมดูหน่อย เขาไม่ได้ใส่ร้ายคุณเหมือนที่คุณอ้างเลย
    คนที่อาจจะใส่ร้ายคุณคือคุณซงแทฮาไม่ใช่หรือค่ะ
    ดิฉันพูดถูกไหม?
    คุณกล่าวหาว่าเขาลบกระทู้ทิ้ง ซึ่งก็ไม่จริง ถ้าเขาลบเขาคงจะลบคำด่าคุณไปแล้ว
    นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆๆน้อยๆๆ จากอีกนับสิบกว่าเรื่องที่คุณบิดเบือนข้อมูล
    อย่าหาว่าฉันพูดลอยๆๆล่ะ ฉันเบื่อที่จะเถียงกับคุณ เบื่อที่จะต้องไปยกกระทู้มาหักหน้าคุณ ทำร้ายน้ำใจกันเปล่าๆๆ
    คุณไม่กล้าสาบาน เพราะคุณโกหก คุณกลัว คุณก็เฉไฉไปว่าคุณไม่ได้นับถือยักษ์
    งั้น พระสยามเทวาธิราชล่ะ ฉันเห็นเขาท้าคุณด้วยนี่ค่ะ ทำไมคุณไม่พูดถึง
    คุณไม่กล้าพูดว่า เทพกระจอกๆๆ คุณไม่นับถือใช่ไหม?
    คุณบอกสาบานแบบเด็กๆๆ คุณไม่กล้าเพราะคุณไปใส่ร้ายว่าเขาเรียกหลวงพ่อเกษมว่าไอ้เกษม
    เขาท้าสาบานว่าเขาไม่เคยเรียกไม่เคยลบแก้ไขว่าให้กลายเป็นพระเกษม
    ฉันพูดถูกไหมค่ะ
    ฉันอ่านตั้งแต่วันแรก ฉันรู้ ฉันถึงได้ตำหนิเขาว่าไม่ควรพูดคำหยาบคายใส่คุณ
    แต่ถ้าคุณคิดดีๆๆๆ คุณจะรู้ว่าสาเหตุมันมาจากคุณไม่พูดความจริง เฉไฉไปมา
    บิดเบือนข้อมูล ไขสือ
    ถูกไหมค่ะ คุณใส่ร้ายเขาเขาโมโหเขาก็ด่าคุณ
    ขนาดฉันไม่ใช่คู่กรณี คุณยังจะมาใส่ร้ายฉันบิดเบือนข้อมูลเลย
    เช่นเขาไม่ใช่เฮียของฉัน ฉันไม่รู้จักเขา คุณเป็นผู้ชายที่งี่เง่ามาก
    คุณหาว่าฉันใส่ความคุณ พูดพล่อยๆๆ ฉันพูดพล่อยๆๆ
    หรือค่ะ ก็เห็นอยู่ว่าใครๆๆ เขาก็ไม่เห็นด้วยกับคุณสักคน
    นอกจากบางคนที่เขาไม่สนใจเรื่องคนเถียงกัน
    หวังว่าคุณคงจะจบได้แล้ว
    ไม่พอใจ ก็อย่ามาลงที่ฉัน ฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกคุณ
    อย่าทำตัวเป็นเด็กๆๆ คุณเป็นผู้ชาย
    คุณมาหาเรื่องฉัน ที่เป็นผู้หญิงเพราะฉันไม่เห็นด้วย
    ฉันทนไม่ได้ที่คุณใส่ความคนอื่น
    คุณไม่ละอายใจบ้างหรือ
    หวังว่าคุณคงไม่ตอบฉันมาอีก
    ฉันเบื่อคุณ
    อย่าให้ฉัน ต้องเกลียดขี้หน้าผู้ชายอย่างคุณเลยค่ะ
    อย่าให้ฉันต้องหมดความรู้สึกดีๆๆ ที่มีให้เพื่อนสมาชิกอย่างคุณเลยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  5. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    ก็ แค่ผู้ชายห่วยๆๆ คนหนึ่งนั้นแหละค่ะ
    คุณผีแพง ก็อย่าไปสนใจพูดคุยด้วยเลย
    บอกแล้ว ว่าจขกท.ร้ายลึก
    อีมะลิคนนี้เกลียดนักคนหาเรื่องผู้หญิง
     
  6. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    หือ??? ผมแค่อยากจะถาม จขกท ว่าพอจะทราบมั้ยว่าในพระไตรปิฏก มีอธิบายเรื่องที่ผมถามไปนี้แบบละเอียดมั้ย แล้วจขกท พอสามารถที่จะหามาได้ผมอ่านได้มั้ย ผมแค่ต้องการคำตอบว่า มี ไม่มี หรือ ไม่รู้ ไม่สามารถหาได้ สั้นๆอะไรประมาณนี้ครับ หรือจะตอบให้ดูดีว่าไม่ใช่สาระ เป็นโลกียะธรรม ไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์ รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็ได้นะครับ

    เพราะเหมือนที่ตอบจะไม่ตรงนะครับ ตอนแรกก็อุตส่าอ่านข้อความที่ตอบมา นึกว่า จขกท เขียนตอบเอง

    เพราะบางเรื่องในพระไตรปิฏก ยังมีกล่าวอธิบายโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นกัปป์ อสงไขย ก็มีอธิบายไว้เข้าใจเปรียบเทียบรู้ที่มาที่ไปได้

    ขนาดความกว้างของจักรวาลก็ยังมีอธิบายว่ามีความกว้างกี่โยชน์

    อย่างหน่วยมาตรวัดก็ยังมีเรื่อง ปรมาณู แล้วก็ยังมีอธิบายถึงขนาดที่แตกต่างกันไปไว้เปรียบเทียบ

    อย่างการกำเนิดจักรวาล ก็ยังมีอธิบายเป็นเหตุเป็นผล เป็นปัจจัย ว่าเพราะอะไรทำไม จาก พรหม(จำไม่ได้ละว่าชั้นไหน) มากินง้วนดิน ทำให้กายค่อยๆหยาบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากไม่มีเพศ เป็นมีเพศขึ้นมา อย่างเป็นเหตุเป็นผลอธิบายถึงความเป็นไปทีละขั้นได้

    การกำเนิดในครรภ์มารดาก็ยังมีอธิบายโดยละเอียด จาก กลละ แล้วก็ค่อยเติบโตมาเรื่อย

    ข้างบนเป็น ตย ย่อๆที่ ผมอยากจะถาม จขกท ครับว่า มีในพระไตรปิฏกมั้ยครับที่ อธิบายถึงความเป็นไปและอาการต่างๆของอภิญญาหรืออิทธิฤทธิ์ ว่าจากการที่กำหนดจิตหรือน้อมจิตไป แล้วจิตหรืออะไรบางอย่างมันไปทำปฏิกริยากับร่างกาย กายเนื้อเรา ให้สามารถที่จะ เหาะได้ ดำดิน หายตัว ตาทิพย์ หูทิพย์ ไรแบบนี้เป็นต้น ว่าเพราะสาเหตุปัจจัยอะไร จากหูและตาปกติถึงได้ยินและเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ จากร่างกายเหมือนคนทั่วไปทำไมถึงลอยตัวได้ หายตัวได้ แยกร่างได้ ดำดินได้ ให้เข้าใจๆก็คือหลักการทำงาน
    ถ้าถามเป็นคำถามทั่วไปก็คล้ายๆถามว่า หลอดไฟสว่างได้ไง>เพราะส่วนประกอบต่างๆใส้หลอด บลาๆ และก็เพราะมีไฟฟ้า >แล้วไฟฟ้าคืออะไร>ทำให้เกิดขึ้นยังไง>ทำงานยังไง
    (ไม่ก็กลับไปอ่านข้อความแรกที่ผมถามก็ได้ครับ)
     
  7. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ขอบคุณนะครับ ว่าแต่มีเพิ่มเติมกว่านี้มั้ยครับ เพราะก็ยังเหมือนไม่เข้าใจละเอียดอยู่ดี
    :cool::cool::cool:
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    http://palungjit.org/threads/อภิญญา-๖-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.345571/

    หลวงตาเทศน์เรื่อง "อภิญญา" อ่านและพิจารณาเพิ่มเติมน่าจะเข้าใจดีขึ้นครับ
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมตอบสั้นๆ ว่า มีครับ หรือจะให้ตอบแบบดูดี ผมขอตอบว่า ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ
     
  10. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า คำว่า ตอบสั้นๆว่ามีครับ นั้นอยู่ตรงไหน ถ้าผมลองคาดเดาดูก็คงเป็นข้อความที่เขียนไว้หน้า 2 อันที่ผม QUOTE ขอบคุณ

    ส่วนข้อความอันนี้ที่คุณ จขกม QUOTE ไว้ผมเขียนไว้เพื่อตอบข้อความยาวๆของคุณตอนแรกที่ copy มาวางเยอะยาวๆ ของ เสถียร โพธินันทะ ครับ

    แล้วก็อย่าเอามาคิดปนกับข้อความในหน้า 2 ที่เอามาลงที่หลังครับ (ที่ผมตอบขอบคุณ)
    ผมก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร จขกท อาจจะหลังที่พรึ่งนึกได้มาทีหลัง แถมก็ลงแบบลอยๆ แทนที่จะ QUOTE ข้อความไว้ว่าข้อความนี้เอามาลงเพิ่มเติมสำหรับคำถามของผม ??
    หรือไม่ก็แก้ข้อความไอ้ที่ยาวๆของ เสถียร โพธินันทะ อะไรนั้นไปเลย


    แล้วการที่ผมโผส QUOTE ไว้ 2 อันก็คิดว่าควรแล้ว เพราะผมอ่านหลายหน้าก่อนจะโผส(เป็นการเรียงลำดับเหตุการณ์ที่คุณโผสไว้)

    เพราะถ้าผมถามหาคำตอบอีก คุณก็จะบอกว่า ได้ลงไว้แล้ว ให้ผมไปอ่านดูหน้า 2 (ผมก็จะเหมือนกับว่า ไม่ได้หัดดู สักแต่โผสไป)

    ในทางกลับกันถ้าผมไปอ่านหน้า 2 แล้วตอบของคุณ โดยไม่ได้ถามอีกรอบ ก็จะเหมือนผมยอมรับในคำตอบของคุณ ที่ copy ยาวเป็นแถบของ เสถียร โพธินันทะ ไปโดยปริยาย

    แต่ก็ไม่เป็นไรถ้าคุณบอกว่ามี ผมก็ขอเป็นคำในพระไตรปิฏก เพิ่มเติมจากอันที่ผมได้ตอบขอบคุณไป(ที่โผสหน้า2) ก็ช่วยเอามาลงก็ได้ครับ ถ้ามันไม่ใช่สาระจะมีอยู่ในพระไตรปิฏกไปเพื่ออะไร ?
    พวกที่คำสอนของพระสงฆ์ หาใน google แปปๆก็เจอครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ลหุปริวตฺตํ จิตฺตํ จิตนี้นะเป็นไปอย่างรวดเร็วเชียว ชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ถึง นี่แสดงว่ามันไม่ถูกจำกัดด้วยเทศะ

    คราวนี้ถ้าหากว่ากาย กายเราจำกัดด้วย เทศะ เรานั่งเก้าอี้ตัวนี้ใครจะมานั่งซ้อนเราไม่ได้ จะมานั่งตรงที่เรานั่งไม่ได้ นอกจากนั่งซ้อนบนตักเราน่ะซิ นั่งได้ แต่จะมานั่งตรงที่เรานั่งสัมผัสอยู่แล้วไม่ได้ นี่แปลว่า กายน่ะมันเทอะทะ มันจำกัด มันเกะกะรุงรัง เป็นของหนัก แต่ไอ้ใจนี่น่ะคนร้อยคน พันคน พุ่งใจไปในจุดเดียวกันไม่เกะกะ ไม่เชื่อท่านทั้งหลายลองส่งกระแสจิตไปที่พระพุทธรูปองค์นี้ซิ จะเห็นว่าไม่มีเนื้อที่เกะกะใจเราเลย ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันกี่แสนโกฏิดวง ส่งกระแสจิตพุ่งมาที่พระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านรับกระแสจิตทุกคนไว้หมด

    ถ้าหากว่าคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปจะไปนั่งเก้าอื้ตัวเดียวกัน นั่งกันไม่ได้แล้ว เกะกะแล้ว ต้องนั่งซ้อนบนตักแล้ว จะมานั่งบนที่เขานั่งก่อนไม่ได้แล้ว นี่แหละจึงแสดงให้เห็นว่า ใจนี้ไม่มีอำนาจเทศะจำกัด แต่ว่าถูกจำกัดด้วยกาละ

    เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากจะไปสวรรค์ทางกาย ไม่มีทาง เพราะจะต้องไปตายกลางทางไปไม่ถึงหรอก มันไกล ก็ไปได้ทางเดียวคือทางใจ ทางใจจะไปอย่างไรล่ะ

    ก็ต้องใช้เครื่องอุปกรณ์เหมือนหนึ่งเราจะขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องอาศัยเครื่องบินเป็นอุปกรณ์ เครื่องบินก็ต้องอาศัยนักบิน อาศัยน้ำมันเป็นอุปกรณ์ มันถึงบินได้ ไม่ใช่ว่ามีเครื่องบินเปล่า ๆ แล้วเราจะบินได้เมื่อไรเล่า

    เราขับเครื่องบินก็ไม่เป็น ขับเครื่องบินเป็นไม่มีน้ำมัน เครื่องบินมันก็ไม่บินให้ เพราะฉะนั้นการไปเที่ยวโลกสวรรค์ก็เหมือนกัน ต้องมีอุปกรณ์ นอกจากมีใจแล้วต้องอุปกรณ์ของใจสำหรับพาเราไปเที่ยว

    อุปกรณ์ในที่นี้ก็คือว่า การฝึกจิตตามวิธีของฌาน เราฝึกจิตตามวิธีของฌานจนกระทั่งเกิดอภิญญา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เรื่องของฌานเป็นเรื่องของจิตกรีฑา คือเป็นกีฬาเครื่องเล่นของจิตเหมือนกับ

    เรามองดูเขาเล่นกรีฑาทางโลก บางคนก็กระโดดสูงตั้งสองสามเมตร เรากระโดดได้ไหม ให้เรากระโดดสูงตัง ๒ - ๓ เมตร เรากระโดดได้ไหม เรากระโดดไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ฝึกใช่ไหม บางคนว่ายน้ำ ว่ายเร็ว เพียง ๕ นาทีนี่ มีความเร็วเป็นระยะตั้ง ๕ เส้น ๖ เส้น

    นี่ถ้าเรามาว่ายบ้าง เราไปไม่ไหว เพราะเราไม่ใช่นักกีฬาว่ายน้ำนี่ บางคนขว้างจานได้ไปที่ตั้งไกล ๆ ขว้างตั้งห่างกันตั้ง ๒ เส้น ๓ เส้น เราขว้างเองไม่ถึง แค่เส้นหนึ่งก็ไม่ถึงแล้วสุดกำลังของเรา เพราะอะไร เราไม่ใช่นักขว้างจาน เราไม่ได้ฝึกในทางขว้างจาน

    บางคนวิ่ง วิ่งทน วิ่งมาราธอน เขาอาจจะวิ่งรอบสนามหลวงตั้งสามรอบ ของเราล่ะ แค่ครึ่งรอบก็แย่แล้ว อย่าว่าแต่สามรอบเลยไปไม่ไหว บางคนไต่เส้นลวดเท่านิ้วหัวแม่มือ เขาเดินสองขาไต่สบายข้ามตึกหลังหนึ่งไปยังตึกอีกหลังหนึ่ง ตึกสูงลิ่ว ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น

    เอาเส้นลวดขึงจากตึกฟากนี้ไปตึกฟากโน้น แล้วก็เดินไต่ไป มิหนำซ้ำก็ยังปล่อยมืออีก ไม่มีเครื่องอุปกรณ์ ทำไมเขาไม่พลัดตกลงมา เราเองเดินท้องร่องสวน ต้นหมากต้นหนึ่งยังตกโครมลงไปในท้องร่อง ทำไมเป็นอย่างนั้น

    นี่แสดงว่าเป็นเพราะการฝึก คนฝึกกับคนไม่ฝึก มันมีความสามารถต่างกันฉันใด ผู้ที่ฝึกจิตเล่นจิตกรีฑาบ่อย ๆ จนกระทั่งมีวสีความเชี่ยวชาญในฌานมาก ๆ แล้ว ผู้นั้นก็อาจจะทำสิ่งซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ มองเห็นเป็นเรื่องเหลือวิสัยไป คือว่ามีทิพยจักษุ มีทิพยโสต อาจจะติดต่อโลกทิพย์กายทิพย์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น เราจงมีความไว้วางใจเถิดว่า สวรรค์มีจริงแน่ ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ความจริงว่า สวรรค์มีไม่ใช่ว่าไม่มี ก็เมื่อสวรรค์มีจริงแล้ว สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ คือนรก ทำไมจักมีไม่ได้"

    -โพสต์ยาวๆ ของท่านเสถียร โพธินันทะ ตอนแรกผมจะตัดแค่ตอนนี้ แต่ผมเห็นว่าเนื้อหาอย่างอื่นก็น่าสนใจเลยคัดลอกมาทั้งหมดครับ ที่ผมตอบว่ามี ผมเข้าใจผิด ไม่เกี่ยวกับบทความของท่านเสถียร โพธินันทะครับ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ว่าด้วยการแสดงฤทธิ์

    [๑๒๐๘] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มี
    พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงทราบอยู่หรือว่า พระองค์ทรงเข้าถึงพรหม
    โลกด้วยพระฤทธิ์ พร้อมทั้งพระกายอันสำเร็จแต่ใจ?
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เราทราบอยู่ อานนท์ ว่าเราเข้าถึงพรหมโลกด้วยฤทธิ์
    พร้อมทั้งกายอันสำเร็จแต่ใจ.
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคทรงทราบอยู่หรือว่า พระองค์ทรงเข้าถึง
    พรหมโลกด้วยพระฤทธิ์ พร้อมทั้งพระกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้?
    พ. เราทราบอยู่ อานนท์ ว่าเราเข้าถึงพรหมโลกด้วยฤทธิ์ พร้อมทั้งกายอันประกอบ
    ด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้.

    [๑๒๐๙] อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระองค์ทรง
    เข้าถึงพรหมโลกด้วยพระฤทธิ์ พร้อมทั้งพระกายอันสำเร็จด้วยใจ และทรงทราบว่า พระองค์ทรง
    เข้าถึงพรหมโลกด้วยพระฤทธิ์ พร้อมทั้งพระกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้
    เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ ทั้งไม่เคยมีมาแล้ว.
    พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตทั้งหลายเป็นผู้อัศจรรย์ และประกอบด้วยธรรมอันน่า
    อัศจรรย์ เป็นผู้ไม่เคยมีมา และประกอบด้วยธรรมอันไม่เคยมีมา.

    [๑๒๑๐] ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตตั้งกายไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย
    ก้าวลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาในกายอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่าปกติ
    ควรแก่การงานกว่าปกติ และผุดผ่องกว่าปกติ.

    [๑๒๑๑] ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนก้อนเหล็กที่เผาไฟอยู่วันยังค่ำ ย่อมเบากว่าปกติ
    อ่อนกว่าปกติ ควรแก่การงานกว่าปกติ และผุดผ่องกว่าปกติ ฉันใด สมัยใด ตถาคต
    ตั้งกายลงไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้าวลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาในกายอยู่ สมัยนั้น
    กายของตถาคตย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่าปกติ ควรแก่การงานกว่าปกติ
    และผุดผ่องกว่าปกติฉันนั้นเหมือนกัน.

    [๑๒๑๒] ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตตั้งกายลงไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย
    ก้าวลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาในกายอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคต ย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้น
    สู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ตถาคตนั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายคน คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้
    หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.
    [๑๒๑๓] ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย ซึ่งเป็นเชื้อธาตุที่เบา ย่อม
    ลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันใด สมัยใด ตถาคตตั้งกายลงไว้ในจิต
    หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้าวลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมลอย
    จากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันนั้นเหมือนกัน ฯลฯ

    [๑๒๑๔] ดูกรอานนท์ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้
    โดยไม่ยากเลย ตถาคตนั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้
    หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.

    จบ สูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙ หน้าที่ ๒๙๔/๔๖๙
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    จัมมขันธกะ
    เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร
    [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนคร
    ราชคฤห์. ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสวยราชสมบัติเป็นอิสราธิบดี ใน
    หมู่บ้านแปดหมื่นตำบล ก็สมัยนั้น ในเมืองจัมปา มีเศรษฐีบุตรชื่อโสณโกฬิวิสโคตร เป็น
    สุขุมาลชาติ ที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขามีขนงอกขึ้น คราวหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
    มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ราษฎรในตำบลแปดหมื่นนั้นประชุมกันแล้วทรงส่งทูตไปใน
    สำนักเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะ ดุจมีพระราชกรณียกิจสักอย่างหนึ่ง ด้วยพระบรมราชโองการว่า
    เจ้าโสณะจงมา เราปรารถนาให้เจ้าโสณะมา จึงมารดาบิดาของเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้พูด
    ตักเตือนเศรษฐีบุตรนั้นว่า พ่อโสณะ พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเท้าทั้งสอง
    ของเจ้า ระวังหน่อยพ่อโสณะ เจ้าอย่าเหยียดเท้าทั้งสองไปทางที่พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ จง
    นั่งขัดสมาธิตรงพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อเจ้านั่งแล้ว พระเจ้าอยู่หัว จักทอดพระเนตรเท้า
    ทั้งสองได้ ครั้งนั้น ชนบริวารทั้งหลายได้นำเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะไปด้วยคานหาม ลำดับนั้น
    เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราชถวายบังคมแล้วนั่งขัดสมาธิ
    ตรงพระพักตร์ของท้าวเธอ ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นโลมชาติที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขา แล้ว
    ทรงอนุศาสน์ประชาราษฎรในตำบลแปดหมื่นนั้น ในประโยชน์ปัจจุบัน ทรงส่งไปด้วยพระบรม-
    ราโชวาทว่า ดูกรพนาย เจ้าทั้งหลายอันเราสั่งสอนแล้วในประโยชน์ปัจจุบัน เจ้าทั้งหลาย จงไป
    เฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคของเราพระองค์นั้นจักทรงสั่งสอนเจ้าทั้งหลาย ในประโยชน์
    ภายหน้า ครั้งนั้น พวกเขาพากันไปทางภูเขาคิชฌกูฏ.

    พระสาคตเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
    ก็สมัยนั้น ท่านพระสาคตะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค จึงพวกเขาพากันเข้าไปหา
    ท่านพระสาคตะ แล้วได้กราบเรียนว่า ท่านขอรับ ประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนี้ เข้ามาในที่นี้
    เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขอประทานโอกาสขอรับ ขอพวกข้าพเจ้าพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ท่านพระสาคตะบอกว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงอยู่ ณ ที่นี้สักครู่หนึ่งก่อน จนกว่าอาตมาจะ
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ดังนี้ และเมื่อพวกเขากำลังเพ่งมองอยู่ข้างหน้า ท่าน
    พระสาคตะดำลงไปในแผ่นหินอัฒจันทร์ผุดขึ้นตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูล
    คำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนี้พากันเข้ามา ณ ที่นี้
    เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้ พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรสาคตะ ถ้ากระนั้นเธอจงปูลาดอาสนะ ณ ร่มเงาหลังวิหาร ท่าน
    พระสาคตะทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า ทราบเกล้าฯ แล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วถือตั่งดำลงไปตรง
    พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค เมื่อประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนั้นกำลังเพ่งมองอยู่ตรงหน้า
    จึงผุดขึ้นลากแผ่นหินอัฒจันทร์แล้วปูลาดอาสนะในร่มเงาหลังพระวิหาร.

    เสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้า
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหาร แล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์
    ที่จัดไว้ ณ ร่มเงาหลังพระวิหาร จึงประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    แล้วถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และพวกเขาพากันสนใจแต่ท่านพระสาคตะเท่านั้น หาได้
    สนใจต่อพระผู้มีพระภาค ไม่ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขา
    ด้วยพระทัยแล้ว จึงตรัสเรียกท่านพระสาคตะมารับสั่งว่า ดูกรสาคต ถ้ากระนั้น เธอจงแสดง
    อิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ ให้ยิ่งขึ้นไปอีก
    ท่านพระสาคตะทูลรับสนองพระพุทธาณัติว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า แล้วเหาะขึ้นสู่
    เวหาส เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง สำเร็จการนอนบ้าง บังหวนควันบ้าง โพลงไฟบ้าง
    หายตัวบ้าง ในอากาศกลางหาว ครั้นแสดงอิทธิปฏิหาริย์อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์หลายอย่าง
    ในอากาศกลางหาว แล้วลงมาซบศีรษะลงที่พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูล
    พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
    ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
    ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก ดังนี้ จึงประชาชนตำบลแปดหมื่นนั้นพูดสรรเสริญว่า ชาวเราผู้เจริญ
    อัศจรรย์นัก ประหลาดแท้ เพียงแต่พระสาวกยังมีฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้
    พระศาสดาต้องอัศจรรย์แน่ ดังนี้ แล้วพากันสนใจต่อพระผู้มีพระภาคเท่านั้น หาสนใจต่อท่าน
    พระสาคตะไม่

    ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจ
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขาด้วยพระทัย แล้ว
    ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถาโทษ ความต่ำทราม
    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกบรรพชา เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า
    พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรง
    ประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย
    นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่ง
    นั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้า
    ที่สะอาด ปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว
    ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว
    ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของ
    พระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า
    ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
    เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป
    ในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค
    พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำพวกข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็น
    อุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๒/๒๗๘
     
  14. kt984

    kt984 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +51
    บทสวดมนบทหนึ่งที่ผมท่องเป็นประจำครับ


    สัพเพ สัตตา
    สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

    อะเวรา โหนตุ
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

    อัพพะยาปัชฌา โหนตุ
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    อะนีฆา โหนตุ
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ
     
  15. หลงลงลาย

    หลงลงลาย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ไสยศาส วิชามนดำ มันมีอยู่จริง พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามีจริง แต่ไม่ควรไปศึกษามัน เพราะมันทำแล้วจะเปนบาปติดตัวเรา และวิทยาศาสก็ไม่สามารถพิสูจได้ด้วย แต่วิทยาศาสทำให้เห็นความจริง
     
  16. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    หลวงเจ้ แกบอกว่าพระเก่งๆ อ่ะเหาะเหินเดินอากาศได้ เพราะหลวงเจ้แกยังปฎิบัติไม่ถึง เลยไม่สามารถอธิบายได้ว่า พระเขาเดินเหินอากาศได้จริงหรือเปล่า เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ได้ เพราะยังไม่มีใครสร้างแบบแผนการทดลองมาใช้ทดสอบหรือเครื่องมือทดสอบยังไม่พร้อม ก็เหมือนเมื่อก่อนที่เรายังไม่เคยเห็นตัวเชื้อโรค แบคทีเรีย เราก็เลยเรียกว่าปีศาจ หรือผี จนมีเลนส์ขยาย เลยได้มีความรู้เพิ่มเติมขึ้น แต่อะไรที่ยังไม่น่าเชื่อถือ เราก็บอกว่าไม่มีไว้ก่อนก็ไม่ผิด
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ? หลักทั่ว ๆ ไปของวิทยาศาสตร์นี้ อาจารย์คิดว่าพระสงฆ์ปัจจุบันควรจะรู้หรือไม่
    แน่นอนซิ ในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่การเข้าใจหลักธรรมะแล้ว ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะอิทัปปัจจยตานั่นมันเป็นกฎวิทยาศาสตร์

    ? ส่วนไหนของวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น
    กฎของวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเหตุผล เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี กฎอิทัปปัจจยตามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์อยู่อย่างเต็มที่ แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มสนใจเรื่องต้นเหตุของความทุกข์ ต้นเหตุของวิกฤตการณ์กันอย่างเต็มที่ พบแล้วก็กำจัด หรือควบคุมตามแต่กรณี เรื่องร้าย ๆ ในจิตใจของมนุษย์ก็จะลดลง

    ? อาจารย์เห็นข้อจำกัด หรือว่าเห็นขอบเขตของวิทยาศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ตรงไหน
    ต้องพูดว่ายังไม่มีขอบเขต ยังไปได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด จะทำของแปลกของใหม่ออกมาได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด หลักก็คือ(หัวเราะ) อาศัยสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยถูกต้อง ก็ได้ผลออกมาอย่างถูกต้อง

    ? ผมถามใหม่ หมายความว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้มีจุดอ่อนอะไรบ้าง

    ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ คือไม่เอามาใช้ในทางที่จะดับทุกข์ เอาไปใช้ในฝ่ายที่ส่งเสริมความทุกข์ ส่งเสริมกิเลส เป็นอุปกรณ์ส่งเสริมกิเลส

    ? มันมีข้อต่างกันไหมครับระหว่างวิทยาศาสตร์อย่างนั้นกับวิทยาศาสตร์แบบดับทุกข์ เพราะว่าวิทยาศาสตร์แบบดับทุกข์มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง วิทยาศาสตร์แบบนั้นมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วมันใช้เป็นสาธารณะได้
    มันเป็นเรื่องจะหาประโยชน์ของคนที่จะใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ถ้าเขาเอาความคิดอย่างนั้นมาทุ่มเทในเรื่องธรรมะ จะชักชวนกันมาแต่ในเรื่องอย่างนี้ มันก็จะสนใจในเรื่องดับทุกข์ได้มากขึ้น เดี๋ยวนี้บุคคลแต่ละคนมันถูกจูงถูกดึงไปโดยไม่รู้สึกตัว ให้ไปเมามายในเรื่องปัจจัยของกิเลส นั่นแหละคือผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ อยากมีอะไรให้แปลก ให้สวย ให้อร่อย ให้วิจิตรพิสดารยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันเป็นผลของการประพฤติถูกต้องตามหลักของวิทยาศาสตร์ ในการให้เกิดของใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย แปลกออกมาเรื่อย แล้วมันก็น่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นจนคนหลงใหล อย่างปรากฏว่าไอ้นาฬิการุ่นใหม่ที่มีวันที่ เขาคำนวณให้มันมีวันที่ตรงในตัวมันเอง ทั้งที่บางเดือนมี ๒๘ วัน บางเดือนมี ๓๑ วัน โดยเราไม่ต้องไปแตะต้อง (หัวเราะ) มันน่าอัศจรรย์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เสียหัวคิดไปตั้งเท่าไหร่ ๆ ถ้ามันเอาหัวเหล่านี้มาใช้ในเรื่องเกี่ยวกับความดับทุกข์ทางจิตทางใจกันบ้าง รวมกันแล้วมันเสียหัวไปทางที่ส่งเสริมเหตุปัจจัยที่ส่งเสริมกิเลส

    อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส
    พระประชา ปสนฺนธมฺโม สัมภาษณ์
    ตะวันตกและวิทยาศาสตร์
    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/bio/tell_chapter6-10.html
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
    พุทธศาสตร์-วิทยาศาสตร์
    Luangta.Com -

    ตอนเช้าตามธรรมดาจิตชอบสงบ ตั้งแต่เราภาวนาอยู่ก็เหมือนกันตอนเช้ามันชอบสงบไม่ชอบคิด อันนี้เกี่ยวกับเรื่องขันธ์ คงเป็นอย่างนั้น ตอนเช้าไม่อยากคิดอะไร นี่เรามาใช้งานนี้ต้องได้คิดเห็นได้ชัดเจน อย่างเช่นต้นเสาเป็นต้น อันนี้ก็เป็นธาตุอันหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนละเอียดของมันที่เรียกว่าปรมาณูที่อยู่ในนั้น มันไม่ได้ดับได้สูญไปไหน จะเรียกว่าอะไร เหล่านี้เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นส่วนประกอบมันสลายของมันไป จะเรียกว่าสาระหรือจะเรียกว่าปรมาณูอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าที่อยู่ในนั้นจะเรียกว่าอะไร มันไม่ใช่ไตรลักษณ์ว่าอย่างนั้นเลย ดูว่าสมเด็จฯ ท่านพูดว่ามันไม่มีสภาพที่เปลี่ยนอะไรไป มันไม่เปลี่ยนเขากับมันก็เปลี่ยน นั่นเห็นไหมล่ะ แต่สาระนั้นก็อยู่ในสิ่งที่ว่าเป็นไตรลักษณ์นั้นมันไม่เปลี่ยน เขากับมันก็เข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่นั้น ไม่ยังงั้นมันอยู่กับเขาได้ยังไง

    จะละเอียดขนาดไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมุติ สมมุติกับไตรลักษณ์ก็เป็นอันเดียวกันไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียด เราก็ไปเรียกเสียว่าจิต จิตถ้าพูดถึงว่าสาระหรือปรมาณูก็ได้ถ้าเราจะเทียบ ทีนี้เมื่อมีสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่นี้จะไม่ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ได้ยังไง ผู้พิจารณาไม่ถือจิตว่าเป็นไตรลักษณ์เท่านั้นต้องตายอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรติดแล้วก็ไปติดอันนั้น เมื่อพิจารณาก็ต้องพิจารณาตรงนั้นว่าเป็นไตรลักษณ์ ไม่งั้นมันก็ถือ ไม่งั้นมันก็หลง จนกระทั่งสิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาตินั้นสลายไปหมดแล้ว อันนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรที่นี่ ไม่พูดว่าจิตเป็นไตรลักษณ์เพราะเลยแล้ว สิ่งเข้าไปเกี่ยวข้องหมดปัญหากันแล้ว

    แต่เมื่อมีสิ่งเกี่ยวข้อง กิเลสอย่างละเอียดที่ว่าอวิชชาเป็นต้นเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้ จะเรียกจิตโดยสมบูรณ์ไม่ได้ จะว่าไม่ใช่ไตรลักษณ์ได้ยังไง มันก็เป็นไตรลักษณ์เพราะสิ่งนั้นพาให้เป็น เมื่อสิ่งนั้นหมดไปแล้วจากจิต จิตหมดปัญหาไม่เรียกว่าไตรลักษณ์ และไม่หลงไม่ยึด อันนี้ที่ว่ามันสิงอยู่ในธาตุ ว่าเป็นสาระหรือปรมาณูก็เป็นทำนองเดียวกัน จะเป็นอะไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นก็คลุกเคล้ากันอยู่กับมัน มันไม่อยู่ในวงสมมุติด้วยกันจะไปไหน มันก็อยู่ในวงสมมุติด้วยกัน เมื่ออยู่ในวงสมมุติแล้วกับไตรลักษณ์ก็แยกกันไม่ออก

    ละเอียดขนาดไหนก็ตามเถอะขึ้นชื่อว่าสมมุติ ปรมาณูอะไรก็ตาม ความหมายก็เป็นอันเดียวกัน เป็นไตรลักษณ์ เพราะไตรลักษณ์ก็คือสมมุติ อันนั้นก็คือสมมุติ ส่วนวิมุตติไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ เพราะฉะนั้นจึงไม่เรียกว่าไตรลักษณ์ พูดภาคปฏิบัติกันก็ว่าอย่างนั้น ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนี่ เห็นประจักษ์ ๆ อยู่ภายในจิตตั้งแต่หยาบ ๆ ไปโดยลำดับ จนกระทั่งละเอียด ละเอียดสุด จนไม่มีคำว่าละเอียดอะไรมันก็ไม่มีแล้วอย่างนั้น มันถึงจะหมดปัญหา นี่พุทธศาสตร์

    วิทยาศาสตร์เข้าไปแก้เหตุทางด้านวัตถุ ไม่มีวัตถุแยกไม่ได้วิทยาศาสตร์ จิตศาสตร์แยกตั้งแต่วัตถุเข้าไปจนกระทั่งถึงนามธรรม ไม่มีวัตถุก็แยกได้ กับพุทธศาสตร์จึงต่างกันมาก วิทยาศาสตร์เอาวัตถุเป็นที่ตั้ง ไม่มีวัตถุเป็นที่ตั้งเอาไปแยกได้ยังไง ส่วนธรรมนี้แยกได้ทั้งวัตถุทั้งนามธรรม ประจักษ์ไปโดยลำดับเช่นเดียวกับที่เทียบกันตะกี้นี้

    สิ่งที่กล่าวเหล่านี้อยู่กับใคร เสื่อมสูญไปไหน มันก็มีอยู่ในธาตุในขันธ์ในจิตของเราทุกคน ที่เกี่ยวกับการจะแยกจะแยะกันออก ให้หมดความกังวลผูกพันต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นำมาแห่งทุกข์น้อยใหญ่ เมื่อหมดแล้วไม่มีปัญหา ขันธ์นี้จิตไม่ไปสำคัญมั่นหมายเขา เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรของเขา

    การปฏิบัติเพื่อความรู้จริงเห็นจริง จะต้องดำเนินตามที่เคยได้อธิบายมาแล้วนั้น เพราะเป็นทางที่ตรงแน่วต่อความจริงทั้งหลาย แต่สิ่งที่เราไม่ปรารถนา สิ่งที่เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นข้าศึกนั้นกลับมาเป็นมิตรโดยความสำคัญของตน กลายมาเป็นคุณโดยความสำคัญของตน แล้วจะเหยียบย่ำทำลายเจตนาและการดำเนินของเราไปในขณะเดียวกัน ๆ นั้นโดยไม่รู้สึกตัว อันนี้สำคัญมากนะ

    ที่ว่าปรมาณูเห็นไหมล่ะ มันแทรกอยู่กับจิตนั่นแหละ มันละเอียดขนาดนั้นแหละ แทรกๆ แต่ก็ไม่พ้นสิ่งที่ละเอียดกว่ากัน สามารถที่จะรู้เท่าทันกันได้ก็คือสติปัญญา สติปัญญานี้เข้าขั้นละเอียดแล้วท่านก็เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา หรือปัญญาญาณอะไรไปโน่น ญาณํ อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ถ้าเหมือนกันท่านจะแยกทำไม ก็คือมีต่างกันนิด ๆ ไปโดยลำดับ คือละเอียดไป ๆ ต่างกันไปนิด ๆ หากว่าเป็นอันเดียวเหมือนไม่มีการเปลี่ยนสภาพ อันนี้ก็ไม่ว่า ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ท่านก็ไม่พูด

    นี่เพราะความละเอียดแหลมคมของพระพุทธเจ้านั่นเอง อะไรที่แยกไปนิดๆ บอกไว้หมดเลย ก็อย่างมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ใครจะไปแยกได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ เราอ่านอ่านกันอย่างนั้นแหละ มรรคกับผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี่คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแยกแล้ว ผู้ที่จะรู้ตามนี้ได้ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นถึงได้เคยกล่าวเสมอว่า เท่าที่พระพุทธเจ้าแยกออกเป็น นิพพาน ๑ นั้นก็เพราะความเป็นศาสดา ทรงแสดงไว้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หากว่าไม่ทรงแสดงไว้อย่างนั้นจะถูกติงหรือถูกสาวกทูลถาม องค์ใดองค์หนึ่งจะต้องทูลถามแน่ ๆ ว่าส่วนอันหนึ่งที่นอกจากมรรค ๔ ผล ๔ ไปนั้นพระองค์ไม่เห็นแสดงไว้ มันคืออะไร นั่นแหละที่ว่านิพพาน ๑ ชื่อว่า จริมรรคจิต คือจิตวิ่งผ่านแย็บเดียวเท่านั้นก็เป็นนิพพาน ๑ ขึ้นมา ขณะจิตที่เป็น จริมรรค นั่นท่านเรียกว่าเป็นมรรค ๔ ผล ๔ กำลังทำงานต่อกันอยู่ยังไม่ยุติ พอขณะนั้นสิ้นลงไป ดับลงไปพับ ทางนี้ก็สมบูรณ์เป็นนิพพาน ๑ ขึ้นมา หมดกิริยา จึงเรียกว่านิพพาน ๑ นั่นพระองค์ก็แสดงไว้

    จะแสดงไว้เท่าไรก็ตามถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ไม่มีใครรู้ เรียนก็เรียนไปอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด เพราะเป็นความจำ พอความจริงเข้าถึงใจตัวเองปั๊บเท่านั้นก็วิ่งถึงกันเลย นี่ที่ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนสาวกองค์สุดท้าย ไม่มีคำว่ายิ่งหย่อนกว่ากันในภูมิแห่งความบริสุทธิ์ คือธรรมชาตินั้นหากรู้เอง ท่านจึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ที่ท่านแสดงไว้มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ท่านแสดงไว้ตามความจริงให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้พิจารณา แต่เวลาเข้าไปถึงจริงๆ แล้ว เป็นพระอรหันต์เท่านั้นเองที่จะเข้าถึงและที่จะรู้ ความจำได้หมายรู้จากการเรียนไม่มีทางรู้ได้ในความจริงอันนั้น

    มรรคที่กล่าวนี้กล่าวมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้ คิดเป็นกาลเป็นเวลาว่านมว่านาน ทั้งที่ความจริงจริง ๆ ก็อยู่กับจิตนี้ เวลายังรู้ไม่ได้มันก็ปิดอยู่ที่จิตนี้ สิ่งที่ปิดมันปิดอยู่ที่นี่ เวลาเปิดก้นออกก็เปิดที่จิต มีกาลมีสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหน ถ้าว่าที่ก็ที่จิต เวลาก็ขณะที่มันผ่านไปมันรู้กัน มันอยู่ที่นี่ มันไปอยู่เวลานอก ๆ สองพันสามพันปีเดือนโน่นที่ไหน มันอยู่ที่นี่

    ท่านจึงสอนลงอย่างทันสมัย สวากขาตธรรม ๆ ตรัสไว้ชอบ ๆ เอาตรงนี้นะ ๆ ให้เอาตรงนี้ให้แก้ตรงนี้ มืดอยู่ตรงนี้แก้ตรงนี้ให้มันเปิดขึ้น อาโลโก อุทปาทิ ท่านว่าสว่างโร่ขึ้นมา สว่างที่ตรงนี้ ญาณํ อุทปาทิ ซึ้งเข้าไป ความรู้อันนี้ซึ้งเข้าไป นี่ละเรียกว่า ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ ก็หมายถึงกิริยาของจิตที่วิ่งด้วยความเฉลียวฉลาดแหลมคมรวดเร็วของตน แย็บ ๆ วิชชานี้ก็คล่องไปแล้ว ถ้าจะพูดว่าหยาบก็หยาบ ที่ว่าวิชชานี้ อาโลโกนี้แสดงจ้าไปหมด นี่ก็เป็นความหยาบใช้ตามกิริยา อยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ อกาลิโกๆ ทั้งกิเลสทั้งธรรมเป็นอกาลิโกเหมือนกัน กิเลสไม่ได้นิยมว่ามืดว่าแจ้งว่าเดือนนั้นเดือนนี้ สถานที่นั่นที่นี่ที่ไหน มันติดแนบอยู่กับจิต มืดอยู่ที่นี่ เวลาเปิดก็เปิดที่นี่ รู้ก็รู้ขึ้นที่นี่ มีกลางวันกลางคืนที่ไหน สำคัญอยู่ที่การกระทำ
     
  19. Hyena_

    Hyena_ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +5
    จริงๆแล้วการตั้งกระทู้ขึ้นมาแล้วมีคนเข้ามาถกเถียงกัน
    มองอีกด้านนึงก็ดีนะครับ เหมือนกับการสอนธรรมะแบบนึง
    ใน web broad เพื่อเป็นการฝึกตามดูอารมณ์ของตนเอง
    ว่าเราอ่านแล้วจิตเราเป็นกลางหรืออยากเอาอารมณ์ของเรา
    เข้าไปร่วมด้วย อนุโมทนา กับผู้สอนธรรมะทุกท่านครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การเผยแพร่ธรรมะบนอินเตอร์เน็ต เผยแพร่ได้ มีทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และไม่ได้ประโยชน์
    ที่ได้ประโยชน์คือเผยแพร่ธรรมะได้เร็ว มีผู้ที่ได้ประโยชน์ก็ดีไป
    ผู้ไม่ได้ประโยชน์ก็เหมือนเติมยาพิษเข้าไปในใจเขา เมื่อใจไม่ยอมรับคอยแต่ปิดคอยแต่กั้น
    มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ใจจะยิ่งร้อนเหมือนคนถูกไฟเผา
    ผู้เผยแพร่ก็เหมือนสร้างบาปกรรมให้กับเขา แต่ถ้าไม่เผยแพร่ธรรมะผู้ที่จะได้ประโยชน์ก็จะเสียโอกาส
    ทำได้ก็แค่วางเฉย ปล่อยไปตามแต่บุญกรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...