ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. fishblue2

    fishblue2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +319
    อยากให้อธิบายเกี่ยวกับ เชื้อนาค เชื้อครุฑ เชื้อยักษ์ เชื้อเทวดา
     
  2. fishblue2

    fishblue2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +319
    ที่เขาพูดถึงคลื่นเสียงที่สามารถทำลายโสตประสาท ถึงขนาดทำให้เส้นเลือดแตกในสมองนั้น เป็นคลื่นเสียงแบบไหนกันพอจะมีคนที่ให้ความกระจ่างได้บ้างไหมคะ ตัวดิฉันเองเคยนอนหลับไปพอรู้สึกตัว มีเสียงอะไรสักอย่างนึง คล้ายๆจะเป็นเสียงจ้งหรีดแต่ไม่ใช่ มันดัง วิ้งๆๆ ข้างหูตลอด และดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเสียงมันกดประสาท จนทำให้มีอาการเหมือน คนที่ลืมร่างกายตัวเอง เหมือน
    วิญญาญจะออกจากร่าง อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก มันรู้สึกตัวตลอดแต่ พยายามจะขยับตัวให้ได้ จนท้อใจ พยายามตั้ง นะโมฯ ในใจแต่ก็ไม่ได้ผล จนคิดว่าต้องตายแน่ๆ ก็เลยปล่อย คิดว่าอะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป นึกว่าคงต้องตายแน่ๆ เลย ในขณะนั้น เสียงที่ได้ยินไม่ไม่ได้หยุดดังเลย มันยิ่งดังอยู่อย่างนั้น เสียงมันบีบรัด หัวใจ มาก แต่พอบอกจิตตัวเองให้ปล่อย สักพักก็เริ่มมีแรง เรื่องนี้เกิดนานแล้วได้ สัก10ปีได้ และเมื่อไม่นานนี้ ก็เป็นอีก เรื่องนี้ ดิฉันเป็นจริงๆไม่ได้โกหกใดๆเลย ไม่ได้ปรุงแต่ง และไม่ได้คิดไปเอง บอกใครก็ไม่กล้ากลัวเค้าหาว่าเราบ้า พอมีใครช่วยตอบได้บ้าง จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยคะ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ปากีสถานลั่นไม่กลัวบิน ลาดิน! ประกาศพร้อมทำสงครามกับอัลกออิดะห์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">20 กันยายน 2550 20:20 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="5">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อุซามะห์ บิน ลาดิน</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเอฟพี – กองทัพปากีสถานไม่หวั่นหลังบิน ลาดินเตรียมประกาศทำสงครามล้างแค้นผู้นำปากีสถานผ่านวิดีโอชุดใหม่ที่คาดว่าจะมีการนำออกเผยแพร่ภายใน 72 ชั่วโมง ยืนยันพร้อมเดินหน้าสู้กับกลุ่มอัลกออิดะห์ต่อไปอย่างถึงที่สุด

    พลตรีวาฮิด อาร์ชัด โฆษกกองทัพปากีสถาน กล่าวว่า ปากีสถานจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายในการเดินหน้าสู้รบกับกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ

    “หากมีใครบางคนขู่ที่จะโจมตีปากีสถาน ก็เป็นเพียงความเห็นของคนๆ นั้น ประเทศทั้งประเทศอยู่ข้างหลังเรา และกองทัพปากีสถานก็เป็นสถาบันหนึ่งของชาติ” โฆษกองทัพปากีสถานกล่าว

    อินเทลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์อิสลามเว็บหนึ่ง ระบุว่า อุซามะห์ บิน ลาดิน แกนนำหมายเลข 1 ของเครือข่ายอัลกออิดะห์ เตรียมที่จะประกาศสงครามกับประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ และกองทัพของปากีสถานในวิดีโอชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการนำออกเผยแพร่ภายใน 72 ชั่วโมงนี้

    ปากีสถานต้องประสบกับเหตุความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน หลังกองทัพได้เปิดฉากโจมตีมัสยิดแดง และสังหารกลุ่มหัวรุนแรงซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์กว่า 100 รายเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ปากีสถานออกมาระบุว่า เหตุระเบิดฆ่าตัวตายซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาล้วนพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ของกองทัพ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือของกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลกออิดะห์ และกลุ่มชนเผ่าที่สนับสนุนกลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถาน
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นที่ 1)เป็นที่ประทับของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 คือ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ท้าวธตรัฐมหาราช ทำหน้าที่ปกครอง คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
    ท้าววิรุฬหก ปกครอง ครุฑ
    ท้าววิรูปักษ์มหาราช ปกครองเหล่านาคทั้งหลาย
    ท้าวเวสสุวรรณมหาราช ปกครองยักษ์

    ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ เป็นเทวดา 4 เหล่าของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เหมือนกองทัพ 4 ภาคในเมืองมนุษย์ เมื่อเทวดา 4 เหล่านี้หมดอายุขัยลง มาเกิดในเมืองมนุษย์ พวกนักปฎิบัติธรรมที่มีญานหยั่งรู้ภพชาติเดิม ของมนุษย์คนนั้นๆ ว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเคยเกิดเป็น ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ มาก่อนก็มักจะเรียกคนๆ น้นว่ามีเชื้อสายนาค เชื้อสายครุฑ เชื้อสายยักษ์ เชื้อสายคนธรรพ์ ซึ่งรวมเรียกว่าเป็นเชื้อสายเทวดา ของชั้นจาตุมหาราชิกานั่นเองครับ

    ที่มาของภาพ http://www.dmc.tv/print/guide/page12.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เดซิเบลเอ dB(A) คือ สเกลของเครื่องวัดเสียงที่สร้างเลียนแบบลักษณะการทำงานของหูมนุษย์ โดยจะกรองเอาความถี่ต่ำ และความถี่สูงของเสียงที่เกินกว่ามนุษย์จะได้ยินออกไป

    เสียงที่เป็นอันตราย องค์การอนามัยโลกกำหนดว่า เสียงที่เป็นอันตราย หมายถึง เสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบลเอที่ทุกความถี่ ส่วนใหญ่พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมมีระดับเสียงที่ดังเกินมากกว่า 85 เดซิเบลเอ เป็นจำนวนมากซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทางกายและจิตใจ

    เสียงรบกวน หมายถึง ระดับเสียงที่ผู้ฟังไม่ต้องการจะได้ยินเพราะสามารถกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกได้แม้จะไม่เกินเกณฑ์ ที่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นเสียงรบกวนที่มีผลต่อผู้ฟังได้ การใช้ความรู้สึกทำวัดได้ยากว่า เป็นเสียงรบกวนหรือไม่เช่น เสียงดนตรีที่ดังมาก ในสถานที่เต้นรำ ไม่ทำให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวรู้สึกว่าถูกรบกวน แต่ในสถานที่ต้องการความสงบ เช่น ห้องสมุดเสียงพูดคุยตามปกติที่มีความดัง ประมาณ 60 เดซิเบลเอ ก็ถือว่าเป็นเสียงรบกวนได้

    ผลเสียของเสียงที่มีต่อสภาพร่างกายและจิตใจ

    1. ทำให้เกิดความรำคาญ รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ เกิดความเครียดทางประสาท
    2. รบกวนต่อการพักผ่อนนอนหลับ และการติดต่อสื่อสาร
    3. ทำให้ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และถ้าเสียงดังมากอาจทำให้ทำงานผิดพลาด หรือเชื่องช้าจนเกิดอุบัติเหตุได้
    4. มีผลต่อสุขภาพร่างกาย ความเครียด อาจก่อให้เกิดอาการป่วยทางกาย เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิตสูง
    5. การได้รับฟังเสียงดังเกินกว่ากำหนดเป็นระยะนานเกินไปอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน ซึ่งอาจเป็นอย่างชั่วคราวหรือถาวรก็ได้

    ที่มา http://dpc3.ddc.moph.go.th/in_tranet/enoc/modify.htm

    หมายเหตุ

    อาการตามที่คุณ fishblue เล่ามานั้นผมขอแนะนำให้เข้าไปถาม อ.อาชวิน (The Third Eyes) ตามกระทู้ข้างล่างนี้ครับ เพราะท่านสามารถตรวจสุขภาพร่างกายด้วยตาที่สาม(ตาทิพย์)ได้ครับ

    ประวัติศาสตร์ไทย..ส่วนที่ขาดหายไป ([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
    The Third Eyes
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สัจจะมาเตือน ****

    เวลากลางวัน
    คนกำลังจะลงเล่นน้ำทะเล...ที่ชายหาด
    ฉับพลัน...ไม่ห่างจากฝั่งมากนัก
    ผิวน้ำทะเล....ยุบตัวลง และม้วนตัวเป็นคลื่นสูงเท่ายอดมะพร้าว อย่างรวดเร็ว
    คลื่นยักษ์...พุ่งโถมซัดเข้าหาฝั่งทันที

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
    ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐
     
  7. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ลงวันที่ไว้เลยเหรอครับ
    แต่ช่วงนี้คงงดไปทะเลอยู่แล้ว
    เห็นว่ากันว่า อาจเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9 ริกเตอร์เร็วๆนี้ด้วยนี่แถวๆอินโด
    หรือใครที่มีโปรแกรมจะไปจะลองทบทวนอีกทีดีใหมครับ
     
  8. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    ปัญหา...เขื่อนเมืองกาญแตก...น้ำท่วม กทม....สูงเท่าใด


    1. พื้นที่ที่คาดว่า...น้ำจะท่วม (บางส่วนไม่ท่วม)...จากจังหวัดกาญจณบุรี...ราชบุรี...นครปฐม...กรุงเทพและปริมณฆล...ประมาณ...20,593 ตารางกิโลเมตร

    2. ปริมาณน้ำใน...เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนศรีนครินทร์....รวมกันประมาณ...22,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (21กย. 2550)

    3. หากปล่อยน้ำหมดเขื่อนทั้งสองเขื่อน (แผ่นดินไหวจนเขื่อนแตก) คิดปริมาณน้ำที่พุ่งมาทาง กทม. มีประมาณ 30% ของน้ำทั้งหมด และน้ำท่วมเต็มพื้นที่ 20,593 ตารางกิโลเมตร

    คาดว่า...จะทำให้เกิดน้ำท่วมความสูงเฉลี่ย... 320 เมตร

    เมื่อน้ำไหลลงสู่ทะเล...พร้อมซากปรักหักพัง ก็จะค่อยๆลดระดับลงไปเรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  9. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ไอ๊หยา ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193

    ท่านสนั่นให้ตัวเลขสูงอย่างนี้ น้องๆ คงร้อง"ไอ๊หยา"ไปตามๆ กัน ผมคิดว่าความสูงของน้ำคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะปริมาณน้ำต้องแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง ท่วมจังหวัดข้างเคียงก่อนด้วย กว่าจะมาถึงกรุงเทพ คงเหลือความสูงของน้ำประมาณ 10-20 เมตรครับ
     
  11. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    555...คิดไว้แล้วเหมือนกันพี่เกษม

    แต่เป็นอะไรที่อยาก...เตือนภัย....จริงๆครับ...กับ 2 เขื่อนนี้

    เขื่อนทนได้ 7 ริคเตอร์...เท่านั้น...ตัวเลขนี้ที่เวป USGS พอหาได้....555

    เอาเป็นว่า...โดนจังๆ 7 ริคเตอร์...นั้นอาจลำบากหน่อย...อาจทำให้แค่เขื่อนร้าว...แต่เมื่อเขื่อนร้าวแล้ว...อะไรๆก็เกิดขึ้นได้นะ

    ท่านที่ทำงานอยู่ กทม. หากมีแผ่นดินไหวจนรู้สึกได้ (ระดับพื้นดิน) ให้รีบตรวจสอบศูนย์กลางแผ่นดินไหวทันที อย่ามัวแต่ตกกะใจอยู่นะ...น้ำ...อาจกำลังมาก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  12. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ...22,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (21กย. 2550) หากปล่อยน้ำหมดเขื่อนทั้งสองเขื่อน (แผ่นดินไหวจนเขื่อนแตก) คิดปริมาณน้ำที่พุ่งมาทาง กทม. มีประมาณ 30% ของน้ำทั้งหมด(6,600 ล้านลูกบาศก์เมตร) และน้ำท่วมเต็มพื้นที่ 20,593 ตารางกิโลเมตร น้ำจะท่วมสูงโดยเฉลี่ย เพียง 0.33 เมตรครับ แต่ในบางพื้นที่อาจท่วมสูงถึง 3 เมตรโดยที่ในบางพื่นที่อาจไม่มีน้ำท่วมขังเลย

    อย่างก็ตามความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่น้ำท่วมขังครับ แต่ความน่ากลัวอยู่ตรงที่กระแสน้ำที่รุนแรงและเชี่ยวกรากจะทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำให้พังทลายหายไปกับกระแสน้ำนี้ผู้คนอาจจะตายกันเป็นพันเป็นหมื่นคนได้ครับถ้าหนีไม่ทัน
     
  13. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649

    ขอบคุณท่านทศพรครับ...ที่แก้ไขให้

    ต้องขออภัยทุกท่าน...ลืมแปลงหน่วย...ครับ


    แก้ไข...ระดับน้ำสูงประมาณ 0.33 - 1 เมตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2007
  14. fishblue2

    fishblue2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +319
    คุณเกษม
    ต้องขอขอบพระคุณคุณเกษมมากเลยคะที่ยินดีตอบคำถามของดิฉัน ดิฉันชอบอ่านข้อความของคุณมากเลยและวันนี้ ดิฉันก็ ได้หนังสือ พุทธทำนายมากะว่าจะลงมืออ่านสักหน่อย ขอบคุณคะ
     
  15. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ย้อนควันหลง เมื่อ เหตุการณ์ เครื่องบินไถลตก และเกิดเหตุโศกนาศกรรม ที่ผ่านมา
    [​IMG]
    วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 18:49 น.

    ย้อนนาทีแห่งชีวิตในซากเครื่องบิน
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=message-normal style="HEIGHT: 10px" vAlign=top align=middle>ภาพข่าวเศษซากเครื่องบินสายการบินวัน ทู โก เที่ยวบิน OG269 กระจัดกระจายข้างรันเวย์ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จากแรงระเบิดและไฟลุก หลังไถลออกนอกรันเวย์กระแทกเนินดินและโขดหิน เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา นำพาความเศร้าสลดแก่ผู้รับทราบเหตุการณ์
    แต่สำหรับ รัตนา เปรมเจริญ ช่างผมประจำร้าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  16. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    ได้รับ forward mail มาค่ะ
    มหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 500 ปี-จะเกิดในช่วง 11-29 ตุลาคม 2550

    > >> เมื่อคืนวันที่ 26 กันยายน 2549
    > >>ผมได้มีโอกาสไปร่วมพิธีกรรมการทำบุ?สืบดวงชะตา ที่ วัดแก้วฟ้า
    > >>ซอยบางกรวยจังหวัดนนทบุรี
    > >>หลังจากเสร็จพิธีได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งจากชมรมวิถีธรรม-
    > >>วิถีไท ได้มาเล่าให้ฟังถึงมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศไทย
    > >>โดยท่านบอกว่าได้เห็นจากการ นั่งสมาธิ
    > >>อาจารย์บอกว่าก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม
    > >>สึนามิที่ภูเก็ต พายุเฮอริเคนที่อเมริกา
    > >>และได้เตือนให้หลายคนระวังตัวล่วงหน้า
    > >>
    > >>สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้อาจารย์บอกว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ
    > >>500 ปี โดย เหตุการณ์นี้จะเกิดในช่วง 11-29 ตุลาคม 2550
    > >>และมีรายละเอียดของเหตุการณ์ดังนี้
    > >> ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร
    > >>อาจจะมีคลื่นยักษ์ แผ่นดิน ถล่ม และวาตะภัย
    > >>ที่จะร้ายแรงพอๆกันกับแหลมตะลุมพุก
    > >> ภาคตะวันตก ราชบุรี สุพรรณบุรี กา?จนบุรี จะมีน้ำป่าไหลหลาก
    > >>มีน้ำท่วมฉับพลัน
    > >> ภาคตะวันออก สระแก้ว ปราจีณบุรี จะมีน้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินถล่ม
    > >> ภาคกลาง กรุงเทพ อุทัยธานี ชัยนาท จะมีน้ำท่วมฉับพลัน
    > >>แผ่นดินถล่ม
    > >> ภาคอิสาน ศรีเชียงใหม่ หนองคาย จะมีน้ำล้นจากแม่น้ำโขง
    > >>ท่วมฉับพลันและรุนแรง
    > >> ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย อาจเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
    > >> กทม. อาจเกิด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ให้หลีกเลี่ยงอาคารสูง
    > >>ทางด่วน และ ในช่วงที่มีเหตุการณ์ อย่านำรถมาวิ่งบนถนน
    > >>เพราะจะทำให้รถติดไม่สามารถไปไหนได้เลย
    > >> วันที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ 11 13 14 18(น้ำท่วมอย่างรุนแรง) 21
    > >>23 และ 29 ต.ค. 50
    > >> นี่คือสิ่งที่อาจารย์เล่าให้ฟัง เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่จะพิจารณา
    > >>พร้อมกันนี้อาจารย์ได้ให้บทสวดมนต์ ที่ได้จากการเข้าฝันของหลวงปู่ทวดมาด้วย
    > >> ขอให้ทุกท่านร่วมกันสวดมนต์ เพื่อให้เหตุ การณ์ต่างๆ
    > >>ลดความรุนแรงลง ซึ่งผมได้แนบบทสวดมนต์มาพร้อมกับอีเมลล์นี้ด้วย
    > >> สำหรับท่านที่เชื่อในเรื่องนี้กรุณา
    > >>ส่งเมลล์ต่อไปยังบุคคลอื่นๆด้วยเพื่อที่จะสามารถเตรียมตัว
    > >>ระวังตัวได้ล่วงหน้า
    > >> ในวันจันทร์ที่ 3 ต.ค.50 เวลา ทุ่มตรง จะมีการสวดทำบุ?อีกครั้ง
    > >>และหลังจากพิธีกรรมทาง ศาสนา อาจารย์ จะแถลงรายละเอียดอีกครั้ง
    > >>เพราะเชื่อว่ายิ่งใกล้เหตุการณ์ ก็จะเห็น รายละเอียดได้ชัดเจนขึ้น

    > >> ภูมิปกณ์

    พิจารณาเอานะค่ะ
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ผู้ที่ต้องตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?
    โดย คุณดังตฤณ

    [​IMG]

    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด

    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่างไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน

    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระพุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ (ไม่ได้สูบฮวบเดียวจมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม)

    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง (ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด)

    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมา จึงร่วมตายเกือบพร้อมเพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมาร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด

    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้! นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • air01.jpg
      air01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.7 KB
      เปิดดู:
      942
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    [​IMG] ขอบคุณคุณเกษมมากนะครับ อยากทราบเรื่องนี้มานานแล้วครับ
    อนุโมทนาครับ
    [​IMG]
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    น้ำมันดิบโลกทะลุระดับ84ดอลล์ อ้างเหตุ'พายุ'ยิ่งเร่งซัปพลายตึงตัว <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">21 กันยายน 2550 21:56 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table><table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานทะลุระดับ 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันพฤหัสบดี(20) นับเป็นวันทำการวันที่ 7 ต่อเนื่องกันแล้วที่ราคามีการขยับขึ้นสร้างสถิติใหม่ๆ โดยมีความกังวลใจเรื่องพายุซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นในอ่าวเม็กซิโก จนบริษัทต่างๆ ปิดดำเนินการขุดเจาะเป็นจำนวนมาก กลายเป็นปัจจัยเพิ่มขึ้นมาเสริมเติมความวิตกที่มีอยู่แล้วในเรื่องซัปพลายตึงตัว

    สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิด ไลต์สวีตครูด เพื่อการส่งมอบเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวหลักที่ซื้อขายกันในตลาดไนเม็กซ์ของนิวยอร์ก ปิดวันพฤหัสบดีโดยพุ่งขึ้น 1.39 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 83.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยที่ระหว่างการซื้อขายช่วงหนึ่งได้ไต่ไปถึง 84.10 ดอลลาร์ สร้างสถิติใหม่ในด้านราคาสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

    สำหรับในลอนดอน ราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ เพื่อการส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ปิดเพิ่มขึ้น 62 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 79.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายระหว่างวัน ขึ้นทำนิวไฮตลอดกาลที่ระดับ 79.28 ดอลลาร์

    ราคาน้ำมันดิบของนิวยอร์กพุ่งทำสถิติใหม่ต่อเนื่องมาตลอดสัปดาห์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดเล่นกับปัจจัยความกังวลว่าซัปพลายน้ำมันจะมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหลังจากกระทรวงพลังงานอเมริกาแจ้งปริมาณน้ำมันที่เก็บอยู่ตามคลังทั่วประเทศประจำสัปดาห์ แล้วตัวเลขออกมาว่า น้ำมันดิบเหลือน้อยลงกว่าคาดหมาย อีกทั้งเป็นการลดต่ำสัปดาห์ที่ 4 ต่อเนื่องกันแล้ว

    ยิ่งกว่านั้น ปัจจัยล่าสุดที่เข้ามาช่วยส่งราคาให้พุ่งแรงก็คือ พายุโซนร้อนที่กำลังก่อตัวในอ่าวเม็กซิโก ตามรายงานของสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรแร่ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ พวกบริษัทขุดเจาะผลิตน้ำมันและก๊าซในอ่าวเม็กซิโก ได้เริ่มอพยพเคลื่อนย้ายฐานขุดเจาะที่ทำท่าจะอยู่ในเส้นทางของพายุกันแล้ว

    สำนักงานแห่งนี้บอกว่า คำนวณคร่าวๆ การผลิตน้ำมันได้ปิดตัวลงราว 27.7% ของการผลิตในอ่าวเม็กซิโก คิดเป็นน้ำมันที่ลดลงไปเท่ากับ 360,100 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่การผลิตก๊าซธรรมชาติก็ลดน้อยลง 16.7%

    "การที่พวกบริษัทพลังงานกำลังปิดการผลิตในอ่าวเม็กซิโก และการที่ประธานเบอร์นันกีของเฟด ใช้คำพูดมองแง่ดีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ คือปัจจัยสนับสนุนให้ราคาล่วงหน้าน้ำมันดิบพุ่งทำสถิติระลอกล่าสุดนี้" เป็นความเห็นของ ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์แห่ง อาลารอน เทรดดิ้ง ในชิคาโก

    ถึงแม้เบอร์นันกีพูดในวันพฤหัสบดีโดยคาดหมายว่า สินเชื่อเคหะของสหรัฐฯยังจะเจอปัญหาหยุดพักการชำระหนี้กันเพิ่มขึ้นอีก แต่สิ่งที่ตลาดน้ำมันให้ความสนใจมากกว่า คือตอนที่เขาบอกว่า เฟดมุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสินเชื่อตึงตัว หลังจากที่ได้ลดดอกเบี้ยอย่างแรงไปแล้วในวันอังคาร

    นอกจากนั้นค่าเงินดอลลาร์ยังได้ตกฮวบสร้างสถิติต่ำสุดใหม่ๆ เมื่อเทียบกับเงินยูโรในวันพฤหัสบดี โดยอยู่ในระดับ 1 ยูโรแลกได้เกิน 1.40 ดอลลาร์แล้ว ตลอดจนมีค่าพอๆ กับดอลลาร์แคนาดา เนื่องจากเทรดเดอร์เก็งกันว่า เฟดอาจจะมีการลดดอกเบี้ยกันต่อๆ ไปอีก

    ราคาน้ำมันได้ทะยานขึ้นมาถึงราวหนึ่งในสามแล้วเฉพาะในปีนี้ โดยได้แรงขับดันจากความวิตกเรื่องพลังงานอาจขาดแคลนในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ, ความเสี่ยงที่การผลิตและการขนส่งจากพวกประเทศผู้ผลิตจะเกิดการติดขัด, การอ่อนตัวลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินอ้างอิงของราคาน้ำมัน, และการที่นักลงทุนซึ่งเจ็บจากตลาดการเงินอื่นๆ หันมาหาตลาดน้ำมันซึ่งยังกำไรดี กันมากขึ้น

    อย่างไรก็ดี เมื่อถึงช่วงการซื้อขายของตลาดแถบเอเชีย ราคาน้ำมันดิบก็ได้ไหลกลับลงมา เนื่องจากเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรกัน โดยที่ในช่วงบ่ายๆ ของสิงคโปร์วานนี้ สัญญาไลต์สวีตครูด เพื่อการส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเลื่อนขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะหน้า แทนที่สัญญาเดือนตุลาคมซึ่งหมดอายุลงในวันพฤหัสบดี มีราคาอยู่ที่ 81.43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำลงกว่าวันก่อนหน้า 35 เซ็นต์ ส่วนเบรนต์ก็ตกลงมา 28 เซ็นต์ อยู่ที่ 78.81 ดอลลาร์

    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    รัสเซียหวนกลับเข้ามาในเอเชียอาคเนย์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย แอนดรูว์ ไซมอน</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">21 กันยายน 2550 21:52 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> Russian revival for Southeast Asia
    By Andrew Symon
    10/09/2007

    สิงคโปร์ – ข่าวที่ว่ารัสเซียตกลงขายอาวุธให้อินโดนีเซียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ดูเหมือนจะดึงสงครามเย็น ให้ย้อนยุคกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้น ตลอดปี 1950s 1960s และ 1970s มอสโคว์พยายามมีอิทธิพลเหนือเอเชียอาคเนย์ โดยใช้งบฯ เศรษฐกิจและการทหาร

    แต่สัญญางวดใหม่นี้ไม่ค่อยติดกลิ่นอุดมการณ์ มีแรงขับทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า แต่ก็พอจะชี้ให้เห็นว่า รัสเซียกำลังขยายอิทธิพลแข่งกับจีนและสหรัฐ กลายเป็นศึก 3 เส้าขึ้นมา

    นับตั้งแต่ที่นิกิต้า ครูสชอฟ ผู้นำโซเวียตเดินทางมาเยือนอินโดนีเซียในปี 1960 มาครั้งนี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ก็เป็นผู้นำรัสเซียคนแรกที่ไปเยือนจาการ์ต้า เพื่อไปเป็นสักขีพยานการลงนามในความตกลงร่วมมือ และสัญญาขายอาวุธกับประธานาธิบดีสุสิโล บัมบัง ยุทโธโยโน่ ฝ่ายอินโดนีเซีย

    ในนั้นเป็นสัญญาขายเรือดำน้ำ รถถัง เฮลิคอปเตอร์ คิดเป็นมูลค่า US$1.2 พันล้านเหรียญ ในการนี้มอสโคว์ได้อะลุ้มอล่วยให้สินเชื่อกับทางจาการ์ต้าด้วย นอกจากนี้ ก็มีข้อตกลงร่วมมือกันในทางการเงิน การลงทุน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการก่อการร้าย

    ปูตินกล่าวว่า รัสเซียสนใจที่จะขยายความร่วมมือออกไปสู่ภาคการพลังงาน เหมืองแร่ การบิน เทเลคอม และด้านเทคนิคอื่น ๆ กับอินโดนีเซียเสมอ นอกจากนี้ ก็มีการลงนามในสัญญาอีกหลายฉบับระหว่างรัฐวิสาหกิจจากทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้ง LUKoil ของรัสเซียกับ Pertamina ของอินโดนีเซีย ตอนนี้ยังไม่ชัดว่า ในสัญญาเหล่านี้จะเริ่มกันที่ด้านนิวเคลียร์บ้างหรือเปล่า (อินโดนีเซียประกาศความตั้งใจของตนว่า จะสร้างโรงงานปั่นกระแสไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์ ขนาด 4,000 เมกกะวัตต์ ให้ได้ภายในปี 2017)

    บริษัทเหมืองแร่ AnTam รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย ลงนามร่วมเป็นหุ้นส่วนกับ Rusal ของฝ่ายรัสเซีย เพื่อพัฒนาเหมืองบ๊อกไซต์* และสร้างโรงถลุงอลูมิเนียมขึ้นที่คิริมันตันตะวันตก ข่าวนี้มาพร้อม ๆ กับที่ทั่วทั้งย่าน (รวมทั้งยักษ์ใหญ่อย่างเช่น BHP Billiton และ Rio Tinto ของออสเตรเลีย) พยายามแข่งกันเปิดเหมืองบ๊อกไซต์กันยกใหญ่
    (*เป็นสินแร่ (หิน) ที่มีส่วนประกอบใหญ่ ๆ เป็นอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของแร่อลูมิเนียม)

    แต่สิ่งที่เผยให้เห็นการรุกครั้งใหญ่ทางการทูตของมอสโคว์ เพื่อกลับมาผูกสายป่านเก่าในเซ้าท์อีสเอเชีย ไม่เฉพาะข้อตกลงทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากรวมไปถึงข้อตกลงขายอาวุธด้วย ตอนนี้รัสเซียกำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 10 ประเทศในเอเชียอาคเนย์เป็นการใหญ่ และหวังจะเข้ามาร่วมในการประชุมสุดยอดของกลุ่มเอเชียบูรพา (East Asia Summit –ที่ประชุมร่วมประจำปีระหว่างประมุขของอาเซียน กับจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2005)

    นอกจากนี้ รัสเซียยังประสงค์ที่นั่งถาวรในกลุ่มเอเชียบูรพา และเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation) ที่เพิ่งจัดประชุมขึ้นที่ซิดนีย์เมื่อสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านไป และประธานาธิบดีปูตินที่ไปร่วมด้วยก็บอกว่า ประเทศของเขาจะจัดประชุดสุดยอดของทั้ง 2 กลุ่มนี้ ที่นครวลาดิวอสต็อกค์ ในปี 2012 คาดว่าในอนาคต อิทธิพลทางการเมืองของมอสโคว์น่าจะมาจากการมีแหล่งสำรองพลังงาน แร่ธาตุ และอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ คอยป้อนให้ทั้งเอเชียอาคเนย์และเอเชียบูรพา

    คืนสู่ลานตบเท้าเก่า ๆ

    ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า รัสเซียกำลังกลับมาแล้ว นับตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1950s กระทั่งสหภาพโซเวียตต้องล่มสลายไปในปี 1991 การปรากฏตัวของรัสเซียในเอเชียอาคเนย์ยังเจิดจ้ามาตลอด แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจที่ต้องแบกรับสงครามเย็นพังพินทุไปในบ้าน กว่า 10 ปีมานี้ รัสเซียก็ไม่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และขาดความต้องการทะยานอยากทางยุทธศาสตร์ ที่จะมาอ้าขาผวาปีกในย่านนี้อีก

    แต่มาบัดนี้ รัฐบาลของปูตินคิดจะหวนกลับมาประกาศศักดาทางสากล และหันหน้ามาสนใจสนามตบเท้าเก่า ๆ ในย่านนี้อีก เพราะตอนนี้ตัวเอารายได้จากน้ำมันและก๊าซ มาปรับปรุงระบบเศรษฐกิจจนกล้าแข็งขึ้นแล้ว

    จากกลางทศวรรษที่ 1950s อินโดนีเซียเป็นสนามรบ ที่สำคัญยิ่งระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต 2 อภิมหาอำนาจที่กำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการกำหนดทิศทางกลุ่มประเทศโลกที่ 3 ในช่วงนั้น ถึงขนาดมีที่ปรึกษาทางทหารรัสเซีย เข้ามาประจำการในอินโดนีเซียถึง 1,000 คน ทั้งนี้ยังไม่นับที่ปรึกษาทางเทคนิคพลเรือน และเจ้าหน้าที่ทางการทูต ซึ่งมักเป็นสายให้กับหน่วยงานลับเคจีบีอีกเป็นโขยง จนกระทั่งเพียงเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็ยังมีตัวเลขเงินกู้จากสหภาพโซเวียตและจากประเทศบริวารในยุโรปตะวันออกเดิมอีกบางแห่ง ปรากฏอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลอินโดนีเซียอยู่

    ส่วนที่อื่น ๆ ในเอเชียอาคเนย์ เราก็ยังพบเห็นร่องรอยความช่วยเหลือเดิมจากสหภาพโซเวียต เช่นในกัมพูชา มีการตั้งชื่อถนนตามโซเวียต และสถาบันเทคโนโลยี ที่แต่เดิมใช้ชื่อ ‘สถาบันมิตรภาพเขมร-โซเวียต ว่าด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง’ เป็นอาคารขนาด 30,000 ตารางเมตร ก็ออกทุน ออกแบบ และติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดจากโซเวียต (สร้างเสร็จในปี 1964) ส่วนในลาว สัญลักษณ์ฆ้อน-เคียวยังคงติดตั้งประดับอยู่บนยอดตึกต่าง ๆ มากมายในกรุงเวียงจันทน์

    แต่ที่สถานที่ ๆ โซเวียตเคยปรากฏตัวจนรู้สึกได้มากเป็นพิเศษ ก็คืออินโดนีเซีย จากสภาพภูมิยุทธศาสตร์* ว่าด้วยขนาดของประเทศ และการที่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Partai Komunis Indonesia -PKI) เป็นพรรคคอมฯ ถูกกฎหมาย ที่มีจำนวนสมาชิกภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทำให้โซเวียตพยายามเป็นพิเศษเพื่อเข้าไปใช้ประโยชน์จากนโยบายเปิดรับโซเวียต รวมทั้งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีซูการ์โนในช่วงนั้น
    (*strategic geography คือเขตภูมิศาสตร์หนึ่ง ๆ ที่ทรงความสำคัญต่อความมั่นคงและความเจริญของชาตินั้น ๆ)

    ความทรงจำแห่งยุคสมัยนั้นยังจับต้องกันได้ในเขตใจกลางกรุงจาการ์ต้า ซึ่งรวมไปถึงพิพิธภัณฑสถานการทหารแห่งชาติ ‘สาทตรี มันทารา’ ที่เครื่องบินมิก ขีปนาวุธ และรถถังจากรัสเซีย จัดตั้งจังก้าตามประเพณีเก่า ท้าบรรดาผู้ที่เข้าไปเยี่ยมชม อ่านจากป้ายบรรยาย แสดงให้เราทราบว่าอาวุธเหล่านี้เพิ่มถูกส่งกลับมาจากการส่งไปรุกรานตีมอร์ ตะวันออก (ตีมอร์ เลสเต้) ในปี 1975 ในที่สุด สงครามในครั้งนั้นเป็นโมฆะ และเนเธอร์แลนด์ (ดัช) ยอมรับให้มีการออกเสียงลงประชามติ เพื่อกำหนดอนาคตของดินแดนแห่งนั้น

    ความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซีย ยังเสริมมัดกล้าม (บ้านเราเรียกว่าเสริมเขี้ยวเล็บ) ให้นโยบาย ‘เผชิญหน้า’ (Konfrontasi) ของประธานาธืบดีซูการ์โน่ ไปก๋ากั่นกับมาเลเซีย ที่เคยเป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน แต่ (พอได้เอกราช) ก็ตัดสินใจผนวกซาราวักและบอร์เนียวเข้ากับตัว เพื่อก่อตั้งเป็นสมาพันธ์รัฐแห่งมาเลเซีย (ดังที่เราเห็นในตอนนี้) การที่อินโดนีเซียได้รับฝูงบินทิ้งระเบิดพิสัยปานกลางจากรัสเซียนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุให้ออสเตรเลีย รีบจัดซื้อฝูงบิน F-111 แบบประจัญบาน-ทิ้งระเบิดจากสหรัฐ ที่ตอนนั้นเครื่องบินรุ่นนี้สุดยอดแล้ว และพวกมันก็ยังเป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศออสเตรเลียมาจนกระทั่งบัดนี้

    ในทางเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือและที่ปรึกษาจากโซเวียต มีส่วนสนับสนุนการก่อสร้างโรงงานเหล็กกล้า ‘กรากาตัว’ ในชวาตะวันตก และโรงถลุงอลูมิเนียม รวมทั้งเขื่อน ‘อาซาหัน’ ในสุมาตราเหนืออีกด้วย แต่น่าเสียดาย โครงการที่ทะเยอทะยานพวกนี้จำนวนมาก ที่เปรียบเสมือนเป็นหน่ออ่อนของวิธีวางแผนจากส่วนกลางอย่างโซเวียต พอย้ายกิ่งมาลงดินที่อินโดนีเซียแล้วปลูกไม่ขึ้น พอต่อมางบฯช่วยเหลือถูกตัด ถ้าไม่ทรุด ก็ล้มเลิกไป

    จีนผงาด (อีกแล้วครับท่าน)

    สิ่งที่ทำให้มอสโคว์และเอเชียอาคเนย์ต้องยุ่งขิง มาตั้งแต่สมัยนั้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็คือท่าทีของจีน นับตั้งแต่การแตกหักทางอุดมการณ์ระหว่างมอสโคว์-ปักกิ่ง ในช่วงต้นของปี 1960s สหภาพโซเวียตก็พบว่าตนต้องเอาหัวขวิดกับจีนของเหมาเจ๋อตุง มาตั้งแต่บัดนั้นในทันที เฉพาะในอินโดนีเซีย อิทธิพลของปักกิ่งใน PKI (ตอนนั้นเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก รองจากโซเวียตและจีน*) กลายเป็นกระแสครอบงำขึ้นมาทันที มอสโคว์ต้องข่มอารมณ์ตัวอย่างหนัก
    (*สมาชิกพรรค 2 ล้านคน แนวร่วมกรรมกร-ชาวนาอีกราว 9 ล้านคน)

    ช่วงต้นปี 1965 สหรัฐส่งทหารบกจำนวนมากไปเวียดนาม แล้วเหล่ข้ามไหล่จับตาไปที่อินโดนีเซีย ที่ประธานาธิบดีซูการ์โนพาเอียงไปทางซ้าย ทาง PKI และทางปักกิ่ง แต่ภัยคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียก็ถูกโค่นไปในเดือนกันยายน 1965 โดยการรัฐประหารของนายพลซูฮาร์โต้ (ยศตอนนั้นเป็นพลโท) ที่ตอบโต้การรัฐประหารของทหารบกปีกซ้ายและทหารอากาศ แต่จากปากคำของพวกที่ร่วมในการทำรัฐประหารของฝ่ายซ้ายก็บอกว่า พวกเขาต้องการสกัดกั้นการที่บรรดานายพลที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกจะเข้ามายึดครองประเทศต่างหาก อย่างไรก็ดี ซูฮาร์โต้ก็ได้กลายเป็นประธานาธิบดี (ในปีถัดมา)

    แต่ผลพวงของเหตุการณ์เดือนกันยายน 1965 นั้นเด่นชัด บารมีของประธานาธิบดีซูการ์โน่ถูกเหยียบย่ำ พวก PKI ที่ถูกหาว่าเป็นต้นตอของการรัฐประหาร ถูกหมายหัวไปทั่วประเทศ สมาชิกพรรคถูกฆ่าไปเป็นพัน ๆ* รากฐานและอิทธิพลของพรรคถูกทำลายลงจนย่อยยับ ซูฮาร์โต้นำรัฐบาล ‘ระเบียบใหม่’ ของตนไปเข้าพวกกับตะวันตก ฐานะของโซเวียตบนเกาะแก่งเหล่านั้นจืดจางลงไป และทางการเครมลินก็หันไปทุ่มความพยายามของตนในเวียดนาม และส่วนอื่น ๆ ในอินโดจีน เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า
    (*รายงานข่าวส่วนใหญ่ในตอนนั้นประเมินว่า 5 แสนคน แต่มีบางชิ้นระบุว่าที่จริงมีมากกว่า 2 ล้านคน)

    พอสหภาพโซเวียตล่มสลายลงไปในปี 1991 จีนก็ค่อย ๆ (แต่หลัง ๆ มานี้ไม่ค่อย) มีอิทธิพลต่อย่านนี้มากขึ้นเป็นลำดับ บดทับมอสโคว์ลงไป แต่พอหลังยุคสงครามเย็นยุติลง อิทธิพลรัสเซียก็ค่อย ๆ หวนกลับมาอีก คู่คี่กับอิทธิพลของสหรัฐที่จับมือเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับญี่ปุ่น นอกจากจะมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระดับทวิภาคีกับจีนไปโดยถ้วนทั่วแล้ว ประเทศอาเซียนทั้ง 10 ก็ยังอำนวยสะดวกให้อิทธิพลของจีนในย่านนี้มากขึ้นอีก โดยจัดตั้งการประชุม ‘อาเซียน+3’ ที่รวมเอาจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เข้ามาด้วย

    ในระหว่างสงครามเย็น ผลประโยชน์ของรัสเซียในเอเชียอาคเนย์เน้นหนักอยู่ที่การเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และต่อต้านอิทธิพลของลัทธิทุนนิยมเป็นหลัก ในทุกที่ ๆ จะรบได้ โดยเฉพาะกับสหรัฐ แต่ตอนที่ระเบียบใหม่ของทุนนิยมกำลังผงาดอยู่เช่นในทุกวันนี้ มอสโคว์ฟื้นกลับมาค่อนข้างช้า (ช้าไปต๋อย) ข้อตกลงก่อตั้งเขตการค้าเสรีเข้ามาตีกินเงินช่วยเหลือและอาวุธ และต้องพยายามสู้รบเพื่อยึดสันเขา (uphill struggle บ้านเราใช้คำว่า ‘เข็นครกขึ้นเขา’) กับอิทธิพลของสหรัฐและจีน การสู้รบในศึก 3 เส้า ในหมู่มหาอำนาจเก่าในยุคสงครามเย็นเช่นนี้เห็นได้ว่า กำลังดำเนินไปในเอเชียอาคเนย์อย่างยิ่งยวด และในปีต่อ ๆ ไปจะยิ่งเข้มข้นด้วยการทูตเพื่อความมั่นคงและเพื่อเศรษฐกิจ ขึ้นอีกร้อยเท่าพันทวี

    Andrew Symon is a Singapore-based analyst and journalist. He was based in Jakarta from 1992-97.
     

แชร์หน้านี้

Loading...