รักษาโรคด้วยตนเอง โดยใช้พลังแสง(โพสต์แรกนะคะ)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 6 ธันวาคม 2012.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อาจารย์คมสันต์ : สวดมนต์ไปถึงไหนแล้วจ๊ะ

    นักเรียนไทย : ก็สวดทุกวันเลยค่ะ ได้เดือนกว่าๆ เเล้ว ^ ^ ค่ะ

    อาจารย์คมสันต์ : ดีจ๊ะให้จดบันทึกไว้และคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของชีวิตจ๊ะ

    นักเรียนไทย : สาธุ !

    อาจารย์คมสันต์ : บุญรักษาจ๊ะ

    นักเรียนไทย : ค่ะ

    อาจารย์คมสันต์ : ลองแบมือ ออกมาสองข้างอยูุ่ห่างจอสักสองคืบ

    นักเรียนไทย : ค่ะ

    อาจารย์คมสันต์ : ลุงจะลองส่งพลังไปให้จ๊ะ แล้วบอกลุงสิว่ารู้สึกอย่างไร พร้อมเมื่อไรบอกลุงมาจ๊ะ

    นักเรียนไทย : พร้อมเเล้วค่ะ . เริ่มเลยค่ะ

    อาจารย์คมสันต์ : ลุงส่งบุญมาให้พร้อมกับข้อความนี้จ๊ะ ๑ ๒ ๓ มาแล้วจ๊ะ

    นักเรียนไทย : หนูรู้สึกคล้ายๆ มีอะไรไหลๆ หรือเคลื่อนที่อยู่ในมื่อ

    อาจารย์คมสันต์ : ดีจ๊ะ

    05:20
    นักเรียนไทย : เเละก็มีหนูมีจุด เเดงๆ ขึ้นมาเต็มเลยค่ะ สาธุ ค่ะ !!

    อาจารย์คมสันต์ : จ๊ะ พลังบุญจ๊ะ

    นักเรียนไทย : ค่ะ

    สิ้นสุดการสนทนา
    ลองส่งพลังไปให้เด็กนักเรียนที่เมืองไทยครับ
    ไปทางเฟสบุ๊ค ครับ


    ข้อความด้านบน เป็นบทสนทนาระหว่างท่านอาจารย์คมสันต์
    กับลูกศิษย์ของติง ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    วันนี้ ได้คุยกับลูกศิษย์ เพราะว่าเป็นวันจันทร์แล้ว
    ลูกศิษย์บอกว่า จุดแดงที่อยู่ในมือนั้นคงอยู่ถึง 15 นาที แล้วจึงค่อยๆเลือนหายไป
    น่าอัศจรรย์มากค่ะ
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    เพิ่มเติมจากอาจารย์คมสันต์ค่ะ

    พลังแสงแห่งอภิญญาฌานบารมีนั้นเปรียบเหมือนมีแก้ววิเศษสารพัดนึก
    จะสำเร็จผลได้ตามทีจิตปราถนาคนที่มีพื้นฐานทางจิตที่ดีพลังจะวิ่งได้เร็วมาก
    และจะเข้าต่อเติมในสิ่งที่บกพร่องในกายและจิตของเรา
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    แปลกจังค่ะ
    ติงมีเรื่องกังวลใจเล็กน้อยว่าตนเองเป็นหูดหรือเปล่า
    คือที่นิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย มีตุ่มที่ดูอย่างไร ก็คิดว่าเป็นหูดแน่นอนค่ะ
    ที่กังวลเพราะเกรงว่า
    1. เขาจะโตขึ้น
    2. จำนวนตุ่มจะมากขึ้น
    แต่เมื่อวานติงเอาเล็บแกะๆ ที่ตุ่มนั้น
    ไม่น่าเชื่อว่าผิวหนังแข็งๆหลุดติดมือออกมา
    ยอมรับว่าดีใจมากค่ะ เฮ้อ! กังวลมาตั้งนาน
    (ไม่ทราบว่าที่หาย หายเพราะรับพลังหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ดีใจค่ะ)
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    หูด เรื่องเล็กๆแต่เจ็บเหลือใจ -=Byหมอแมว=-
    posted on 27 May 2008 20:49 by mor-maew in HealthVariety

    หูด คงไม่มีใครไม่รู้จักกระมัง
    หูดที่จริงเป็นส่วนของผิวหนังที่ติดเชื้อและเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางผิดปกติ มันอยู่ตามที่ต่างๆในร่างกาย หน้า มือ เท้า
    การติดต่อก็เกิดจากเชื้อโรคที่อาจจะปนเปื้อนตามที่ต่างๆ จากการสัมผัสโดยตรงหรือถูกทิ่มแทงเล็กๆน้อยๆก็ได้ โดยกว่าจะปรากฎขึ้นมาอาจจะใช้เวลานานตั้งแต่1เดือนถึงครึ่งปีเลยทีเดียว (ไม่ได้เกี่ยวกับไปจับคางคกแบบที่บางคนเชื่อ)

    หูดที่เจอบ่อยๆมีอยู่สองกลุ่ม
    หูดมือ ชอบขึ้นรอบๆนิ้วและเล็บ จะนูนเป็นตุ่มขึ้นมา
    หูดเท้า ขึ้นที่เท้าในตำแหน่งที่มีการกดทับ ถ้าเทียบง่ายๆก็ขึ้นใกล้เคียงกับตาปลา แต่จะมีการกระจายเป็นกลุ่มๆได้ และจะมีลักษณะเป็นก้อนเม็ดแข็งโตเข้าไปในเท้า ไม่ยื่นเป็นตุ่มขึ้นมา

    เรื่องของเรื่องที่ผมอยากบอกอย่างไม่อ้อมค้อมในบทนี้คือ
    1. หูดมันหายเองได้
    2. มันอาจไม่ใช่หูด

    เมื่อหลายเดือนก่อน ผมตรวจคนไข้ที่เป็นหูดพร้อมกันสามคน ได้เห็นได้ยินความเชื่อความเข้าใจของคนที่เป็นหลายอย่างอยู่เหมือนกัน
    คนแรก เป็นที่มือ เปิดดูประวัติพบว่าเคยเป็นมาแล้วหลายครั้งที่มือ และเคยมาผ่าหูดแล้วหลายครั้ง...
    เธอไม่พอใจทางหมอมากที่ผ่าออกไม่หมดและปล่อยให้เป็นหูดขึ้นมาอีกหลายครั้ง
    เมื่อสอบทานประวัติไปแล้วพบว่า เธอยังทำงานแบบเดิมๆและมีแผลที่มือบ่อย และเมื่อมีหูดอันใหม่ขึ้นมาก็ไม่รีบจัดการด้วยวิธีง่ายๆจนรอเป็นอันใหญ่ก่อนแล้วมาหาหมอ

    พูดถึงตรงนี้ก็จะบอกถึงการรักษาไปเลย
    การรักษาแบ่งเป็น
    1. ทำเองก็ได้ง่ายจัง
    ก. ทำให้ขาดอากาศ เป็นวิธีพื้นบ้าน(ฝรั่ง) ที่ใช้ในการกำจัดหูด โดยใช้เทปกาว(แน่นๆ)แปะแนบหูดไว้กับผิวหนัง ไม่ให้อากาศเข้าได้เป็นเวลา1สัปดาห์ แล้วแกะออกชั่วโมงนึงก่อนจะแปะต่อไปอีก1สัปดาห์ เวลาแปะให้เหลือที่ให้อากาศเข้าได้น้อยที่สุด ทำอย่างนี้เชื่อกันว่าจะทำให้เชื้อและเนื้อขาดอากาศจนฝ่อตายหายเหี่ยวไป อาจจะใช้มีดตัดเฉือนส่วนนูนออกเพื่อให้แปะเทปได้ง่ายๆก็ได้
    หรือถ้าใครไม่ต้องการใช้เทปอันใหญ่เกะกะ อาจใช้ปิโตรเลียมเจลป้ายในปลาสเตอร์ยาแล้วปะบนหูดก็พอได้
    ข. ซื้อกรดกัดหูดมาทา ... ก่อนทาก็กรุณาเฉือนหัวออกบางๆ(อย่าให้เลือดไหล) เอาวาสลิน ปิโตรเลียมเจล (หรืออะไรคล้ายๆกัน)ป้ายที่รอบๆที่เป็นเนื้อปกติ จากนั้นก็"อ่านข้างขวดยา"ว่าทำยังไงต่อ เพราะแต่ละยี่ห้อมีความเข้มข้นไม่เท่ากัน

    ค.หักเอากิ่งของต้นไม้ที่เรียกว่าพญาไร้ใบมา แล้วเอาส่วนที่เป็นน้ำยางของมันมาจี้หูดแทนการใช้ยาในข้อ ข.

    ทำเองก็ได้ไม่ใช้ความสามารถพิเศษอะไรเลยครับ สะดวกไม่เสียเวลาด้วย

    2. ให้หมอทำ
    ก. จี้เย็น ใช้ไนโตรเจนเหลวจี้เนื้อหูด ให้เนื้อหูดแตกระเบิดออกแล้วเชื้อก็จะโดนทำลายไปในที่สุด
    ข. จี้ร้อน ใช้ดาบเลเซอร์เผามันให้เหี้ยน
    ค. ผ่าตัด ฉีดยาชา ผ่ามันออก .... เป็นวิธีที่ทั้งหมอและคนไข้ไม่ชอบมากที่สุด เพราะว่า เจ็บทั้งขณะผ่าและหลังผ่าไปหลายวัน

    คุยจบเรื่องการรักษาก็คงรู้ว่าผมต้องการสื่อว่า หากต้องการจะหาย ควรจะระมัดระวังไม่เอาส่วนที่ดีๆไปสัมผัสโดนส่วนที่เป็นหูด(เพราะมันจะติดต่อกันได้) รวมทั้งควรจะจัดการด้วยตนเองบ้างก่อนที่จะกลายเป็นหูดยักษ์

    รายที่สองและสาม เป็นหูดที่ฝ่าเท้า มีหัวใหญ่ตรงกลาง หัวเล็กๆรอบๆ รวมกันสิบกว่าหัว ก็แนะนำทั้งคู่ไปพร้อมๆกันว่า แค่รักษาความสะอาดไม่ให้เป็นเพิ่มก็พอ จากนั้นรอไปอีก5-6เดือนมันก็ควรจะหายไปจนเกือบทั้งหมดแล้ว หรือไม่เช่นนั้นถ้าหากเจ็บก็ใช้รองเท้านุ่มๆไปก่อน ไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัด เพราะว่าหนังเท้าคนเราหนา ถ้าผ่านอกจากจะเจ็บแล้วยังเจ็บหลังผ่าไปอีกนานด้วย
    ปรากฎว่าทั้งสองคน แม้จะได้ยินแล้วก็ยังบอกว่า ผ่าดีกว่า

    วันผ่าจริง ผู้โชคร้ายคนแรกเดินเข้ามาในห้องผ่าตัดเล็ก ผมก็เตือนว่าเวลาเดินยาจะเจ็บมาก... จากนั้นเดินยาเข้าไปเล็กน้อยแล้วก็ฉากหลบจากเท้าที่สะบัดขึ้นมาในทันทีที่เดินยา เพราะว่าเจ็บมาก!
    ฉีดยาชาเสร็จก็เริ่มขุดรากถอนโคนทีละจุด ซึ่งก็ลึกราวๆหัวละ5mm ขึ้นไป ถอนไปได้5-6จุด ผมก็บอกว่าจะพอแล้ว เหลือหัวเล็กๆไว้จะดีกว่าเพราะแต่ละจุดที่ทำลงไปนั้นเลือดโชกชุ่ม... คนไข้ก็ยืนยันจะผ่าที่เหลือเล็กๆให้หมด(หมอไม่อยากผ่า ก็ยังอยาก ให้เหตุผลว่าอยากทำครั้งเดียว ถึงจะเป๋ไปเป็นสัปดาห์ก็เอา) ก็เลยผ่าไปท่ามกลางเสียงร้อง จะฉีดยาชาเพิ่มก็เจ็บกว่าผ่า.....ในที่สุดก็ผ่าเสร็จที่เวลา1ชั่วโมงครึ่ง นานกว่าผ่าคลอดเด็กซะอีก
    พอเดินออกมาคนไข้อีกคนที่รออยู่ มีคำแรกที่ถามผมเลยว่า.... หมอ ถ้าไม่อยากผ่าจะรอก่อนต้องทำอย่างไรบ้าง...(สงสัยได้ยินเสียงร้องตอนฉีดยาชาของคนแรก)
    การผ่าอะไรก็ตามที่ฝ่ามือฝ่าเท้า การฉีดยาเข้าที่บริเวณฝ่ามือเท้าโดยตรง เป็นอะไรที่เจ็บมากครับ

    ดังนั้นสำหรับโรคหายได้เองอย่างหูด ผมเองก็ไม่อยากผ่า ... มักแนะนำให้คนไข้ดูแลความสะอาดเองดีๆ อย่าไปทำให้ติดที่อื่น
    ตื่นเช้ามาก็อย่าไปเอามือที่ยังไม่ได้ล้างไปป้ายหน้า ถ้าจะลูบหน้า ก็ขอให้ทำหลังการล้างมือ
    จะทำงานอะไรที่เกี่ยวกับอาหารทะเล(เช่นกุ้ง) งานไม้ ... ก็ระวังการทิ่มตำเล็กๆพอเจ็บๆคันๆ
    ในสถานที่แต่งตัวรวม เช่นที่เปลี่ยนเสื้อผ้า.. ก็ระวังการเดินเท้าเปล่าในขณะที่เท้ามีแผลถลอกเล็กๆ
    ไม่งั้นพอติดขึ้นมาจะลำบากครับ..
    ่านจบแล้ว พิมพ์เสร็จ ลองไปล้างมือกันดีไหมครับ
    เพราะคนที่ใช้เครื่องก่อนหน้าคุณอาจเป็นหูดที่นิ้ว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน (อิ_อิ)

    ที่มา: หูด เรื่องเล็กๆแต่เจ็บเหลือใจ -=Byหมอแมว=- | หมอแมว
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    วิธีรักษาหูด

    รักษาหูดกันอย่างไร



    บันทึก ในวันนี้มีจุดประสงค์ให้ ผู้อ่านได้รู้และเข้าใจ วิธีการรักษาหูดว่าทำกันอย่างไร เพราะบางคนกลัวไม่กล้าไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาหูด เพราะนึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และ เพื่อให้เป็นความรู้พื้นฐานก่อนการรักษา หรือ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสมหลังการรักษาครับ

    เมื่อ ได้ดูว่าเป็นหูดแน่นอนแล้ว ก่อนทำการรักษา แพทย์หรือเจ้าหน้าที่มักประเมินว่ามีหูดในร่างกายมากน้อยแค่ไหน เป็นที่ไหนบ้างกี่แห่ง บางคนอาย เลยให้แพทย์ดูแลรักษา เฉพาะหูดที่มือเท่านั้น ปรากฎว่าพอรักษาหูดได้ไม่กี่เดือนก็กลับมาให้แพทย์รักษาอีก เพราะหูดสามารถติดต่อจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกส่วนอื่นของร่างกายได้ครับ



    การ รักษาหูดทำได้หลายวิธี การรักษาหูดด้วยตนเอง หรือ การให้แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ช่วยรักษาเช่น การจี้ทำลายตัวหูด เฉือนหรือตัดหูดออกโดยตรง






    * การจี้ทำลายตัวหูดด้วยวิธีการต่างๆ

    วิธีการนี้ ส่วนใหญ่เป็นการ จี้ทำลายตัวหูดด้วยวิธีการต่างๆ

    * การจี้ด้วยไฟฟ้า: ก่อนรักษา จะฉีดยาชาที่ผิวหนังรอบๆ หูด หรือ ที่ผิวหนังบริเวณหูด หลังจากยาชาออกฤทธิ์แล้ว หูดจะโดนจี้ด้วยไฟฟ้าทีละน้อย หูดเมื่อโดนไฟฟ้าจี้ จะเป็นเนื้อไหม้ดำๆ (นึกภาพเราย่างเนื้อแล้วเนื้อไหม้ เป็นเนื้อดำๆ) บริเวณเนื้อที่ดำๆ นี้จะถูกขูดออกเป็นระยะๆ ถ้าหูดยังหลงเหลือ ก็จะถูกจี้ไปเรื่อยๆ จนหมดก้อนหูด ถ้ารักษาได้ครบถ้วน ไม่มีตัวหูดหลงเหลือ หูดบริเวณดังกล่าวก็ไม่กลับมาเป็นอีก ก็ทำให้หายขาดได้ หลังการรักษาอาจมีการเจ็บปวดที่แผลได้บ้างเพราะยาชาหมดฤทธิ์ และ ให้ระวังบริเวณผิวหนังที่จี้หูดออกไปจะมีการติดเชื้อภายหลังได้ คงต้องรักษาความสะอาดบริเวณดังกล่าวด้วยประมาณหนึ่งสัปดาห์ครับ
    * การจี้บริเวณหูดด้วยความเย็น: เป็นการจี้ด้วยไนโตรเจนเหลว ตอนถูกจี้มักเจ็บที่ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมากบ้างน้อยบ้าง หลังจากรักษาแล้วสองหรือสามวัน ผิวหนังบริเวณที่เป็นหูดจะหลุดออก ทำให้ตัวหูดหลุดออกไปด้วย
    * การใช้เลเซอร์ยิงทำลายตัวหูด: ก่อนรักษา จะฉีดยาชาที่ผิวหนังรอบๆ หูด หรือ ที่ผิวหนังบริเวณหูด หลังจากยาชาออกฤทธิ์แล้ว หูดจะโดนจี้ด้วยเลเซอร์ กระบวนการคล้ายกับการจี้หูดด้วยไฟฟ้าครับ



    * การเฉือนหรือตัดหูดออกโดยตรง

    วิธี การนี้ส่วนใหญ่อาศัยแพทย์ช่วยเฉือนหรือตัดตัวหูดออก หลังจากฉีดยาชาแล้ว ถ้าเป็นวิธีเฉือนก็ไม่ต้องเย็บปิด แต่ถ้าเป็นการตัดหูดออกโดยตรง ก็ต้องเย็บปิดและนัดมาตัดไหมภายหลังครับ



    * การซื้อยาน้ำกัดหูดมาทา หยอด แต้ม

    ส่วน ใหญ่จะแนะนำให้ทำหลังจากอาบน้ำ อาจจะแช่ส่วนที่เป็นหูดในน้ำ ประมาณสิบห้านาทีก่อนทายา ถ้าแช่น้ำให้ซับบริเวณที่เป็นหูดก่อนทายา ให้หยดหรือทายาที่หูดแล้วทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาที โดยทำวันละประมาณสองครั้ง ข้อควรระวังคือไม่ควรหยดหรือทายาเกินตำแหน่งที่เป็นหูด ถ้าเป็นไปได้ให้ทาวาสลินที่ บริเวณผิวหนังที่เป็นเนื้อดีรอบๆ ตัวหูดก่อนทาหรือหยดยา พอหยอดหรือทายาครบเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำ แนะนำว่าในครั้งแรกให้ทาทิ้งไว้ไม่นานนัก แล้วค่อยเพิ่มเวลา

    ผลของการรักษาหูดด้วยตนเอง ขึ้นอยู่กับความพอเหมาะของการรักษาเป็นสำคัญ



    ส่วน การรักษาหูดพื้นบ้านที่ได้ยินกันเนืองๆ เช่น การใช้ธูปจี้ การใช้มีดเฉือนออก หรือ ใช้กรดกัดโดยตรง ยังพอมีได้ยินว่ายังปฏิบัติกันพอประปราย ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะทำให้ผู้ที่เป็นหูดเจ็บปวดไม่มากก็น้อย

    ข้อมูลดีจาก

    ห.ม.อ.สุ.ข.
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    การบริหารแก้ปวดประจำเดือน


    การบริหาร

    1.ยืนตรงแล้วแยกเท้าออกกว้างให้อยู่ในแนวเดียวกับไหล่ แล้วก้มลงไปข้างหน้า (ขาตรงไม่งอหัวเข่า) ปลายนิ้วมือทั้งสองแตะลงบนปลายนิ้วเท้าแล้วกลับสู่ท่าเดิม แล้วเริ่มต้นใหม่

    2.ยืนตรงเหมือนข้อ 1 ชูแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ(แบมือ ฝ่ามือหันไปข้างหน้า) แล้วค่อย ๆ เอนตัวไปข้างหลัง(เข่าตรง) โดยทำมุมประมาณ 45 องศา กับแนวดิ่ง แล้วกลับสู่ท่าเดิม (ยืนตรงชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ) แล้วเริ่มต้นใหม่

    หมายเหตุ: ทั้งสองวิธีข้างต้นนี้ให้ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที
    3.นอนหงาย ถูฝ่ามือทั้งสองให้ร้อน เอาฝ่ามือทั้งสองแตะลงบนหน้าท้อง (ใต้สะดือลงไป) แล้วถูไปทั่ว ๆ ประมาณร้อยครั้ง (ถ้ามีเวลาปฏิบัติยิ่งมากยิ่งดี) หลังจากนั้นใช้มือจับกล้ามเนื้อบริเวณท้อง (ให้จับในแนวดิ่ง) แล้วดึงกล้ามเนื้อขึ้น ทำประมาณ 36 ครั้ง (บริเวณรอบ ๆ ท้อง)
    การบริหารทั้งสามวิธีข้างต้นจะทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณท้อง, มดลูก ไหลเวียนดีขึ้นทำให้หายปวดได้

    ที่มา: การบริหารแก้ปวดประจำเดือน
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กลัวอะไรแปลกๆ



    ความ กลัวเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การกลัวอะไรแปลก ๆ เช่น กลัวในสิ่งธรรมดาที่คนทั่วไปเขาไม่กลัวกัน อย่างบางคนกลัวผักผลไม้ กลัวอาหาร สัตว์ สิ่งของบางอย่าง หรือสถานที่บางแห่ง ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้เขาเป็นอะไร และรักษาได้หรือไม่?

    เกี่ยว กับเรื่องนี้ นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน จิตแพทย์ รพ.จิตเวชนครพนมราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ภาวะดังกล่าวเรียกว่า “โรคกลัว” หรือ “โฟเบีย” (phobia) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรควิตกกังวล แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

    1. โซเชี่ยล โฟเบีย (Social phobia) หรือ “กลัวสังคม” เวลา เผชิญหน้าผู้คนจำนวนมากในสังคมจะเกิดอาการกลัว ใจสั่น หน้ามืด อย่างตอนเด็ก ๆ เวลาออกไปหน้าชั้นเรียนแล้วขาสั่น ใจเต้นแรง พอโตขึ้นมาก็ยังเป็นอยู่น่าจะเข้าข่ายโรคกลัว

    2. สเปซิฟิค โฟเบีย (Specific phobia) เป็นการ “กลัวเฉพาะบางอย่าง” เช่น กลัวเงาะ กลัวปลาทู กลัวเข็มฉีดยา กลัวเลือด กลุ่มนี้ถ้าไม่เจอสิ่งกระตุ้นจะไม่รู้สึกอะไร

    “โรค กลัว” จะต่างจาก “ความกลัว” โดย “ความกลัว” หรือ “เฟียร์” (fear) มักจะเป็นลักษณะที่คน ส่วนใหญ่กลัวอะไรคล้าย ๆ กัน เช่น กลัวสอบตก กลัวงูกัด แต่ถ้าเป็นโรคกลัว เขาจะกลัวมากแบบไม่สมเหตุสมผล กลัวอย่างที่คนทั่ว ๆ ไปไม่กลัว ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยเองก็ทราบว่าไม่น่าจะกลัวขนาดนั้น อย่างเช่น กลัวงู สวนสัตว์ก็จะไม่ไปใกล้เลย ต้องหลีกเลี่ยง หรือเห็นงูในทีวีก็จะมีอาการใจสั่น รีบปิดทีวี มีความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นอย่างมาก

    คนที่เป็นโรคกลัว มักจะมีอาการหลัก คือ พฤติกรรมพยายามหลีกหนีสิ่งที่กลัว รู้สึกทรมานที่จะต้องเผชิญ และมีอาการทางกาย เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว เป็นลม ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียน ตาลาย

    โรคกลัว มัก จะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่โดยมากมักจะมีประสบการณ์ไม่ดีในวัยเด็กต่อสิ่งที่กลัว เช่น กลัวที่แคบ ในวัยเด็กอาจจะถูกจับขัง พอโตขึ้นมาไปอยู่ในที่แคบ ๆ ก็เลยกลัว หรือบางคนถูกฉีดยาตั้งแต่เด็ก มีประสบการณ์ที่ไม่ดี เห็นเข็ม เห็นเลือด พอโตขึ้นมาก็จะมีอาการต่อสิ่งเหล่านี้มากกว่าคนอื่น อย่างบางคนกลัวปลาทู อาจเป็นไปได้ว่าก้างติดคอในวัยเด็ก มีประสบการณ์ไม่ดี คือ ถ้าจะบอกว่าใครเป็นโรคกลัวหรือไม่ ต้องเอาปลาทูมาวางไว้ต่อหน้า หากใจสั่น หัวใจเต้นแรง ไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน รู้สึกทรมานมาก แบบนี้จึงจะเข้าข่าย

    โรค กลัวรักษาได้แต่อาจจะต้องใช้เวลา โดยการรักษาขึ้นอยู่กับว่าตัวคนไข้ทุกข์ทรมานกับการหลีกหนีหรือไม่ เช่น กลัวที่แคบแต่จำเป็นต้องขึ้นลิฟต์ทุกวัน แน่นอนว่าเขาจะต้องทุกข์ทรมาน แบบนี้ก็ควรมารักษา ซึ่งการรักษาจะมีหลักสำคัญคือ พฤติกรรมบำบัด และการใช้ยา

    พฤติกรรมบำบัด เช่น กลัวปลาทู ช่วงแรกก็จะให้คนไข้จินตนาการก่อนว่ามีปลาทูวางอยู่ตรงหน้า แล้วให้เขานึกดูว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง หรือคนที่กลัวที่แคบให้หลับตาจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในลิฟต์ อยู่ในที่แคบ ๆ แล้วดูว่ามีอาการกลัว ใจสั่นหรือไม่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที-1 ชม. ดูว่าคนไข้สามารถทำให้ตัวเองไม่กลัวได้หรือไม่ ถ้าทำได้วันต่อไปก็เพิ่มจำนวนชั่วโมงมากขึ้น จากนั้นค่อย ๆ ฝึกคนไข้ให้เคยชินกับสิ่งที่กลัว เช่น พาขึ้นลิฟต์ ให้คนไข้ได้ฝึกว่ามันไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ส่วนการใช้ยาก็มีส่วนช่วยกรณีใจสั่นมาก ๆ โดยกระบวนการรักษาทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน-1 ปี คนไข้จะดีขึ้น

    ทั้ง นี้มีหลายคนไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษา ส่วนหนึ่งอาจคิดว่าไม่ใช่โรครุนแรง ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหว ถึงขั้นควบคุมอารมณ์ ควบคุมสติไม่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบตามมา อย่างบางคนต้องออกสังคม ทำงานเกี่ยวกับสังคม แต่ถ้าเป็นโรคกลัวสังคม ก็อาจจะเกิดผลกระทบตามมา เช่น วิตกกังวลอย่างรุนแรง หรือบางคนถึงขั้นซึมเศร้า ทำงานทำการไม่ได้ เพราะกลัวมาก ก็จำเป็นที่จะต้องมาพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษา

    ประสบการณ์ ที่เคยเจอ เช่น นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาคนไข้ ต้องเผชิญเข็มฉีดยา และเลือดอยู่บ่อย ๆ พอให้เจาะเลือดทีไรหน้ามืดเป็นลมทุกที ทำให้เรียนลำบาก กรณีเช่นนี้ก็จะให้ฝึกจินตนาการ ฝึกความเคยชิน และการเผชิญหน้า โดยเอาเข็มมาวางไว้ให้ดู รวมทั้งให้ยาช่วยก็จะทำให้เขาผ่อนคลายและหายกลัวได้

    สิ่งสำคัญใน การรักษาขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วยว่าจะให้กำลังใจตัวเองหรือไม่ บางคนยิ่งกลัวยิ่งหลีกหนี การรักษาก็จะไม่ดีและไม่ได้ผล แต่ถ้าคนไข้พยายามให้กำลังใจตัวเอง พยายามต่อสู้ว่า สิ่งที่เขากลัวไม่ได้ทำอันตรายให้เขาเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ฝึกไปเรื่อย ๆ ให้เกิดความชิน เขาก็จะหาย สิ่งสำคัญคือต้องสู้

    ควรจะไปพบ จิตแพทย์เมื่อใด? นพ.กิตต์กวี กล่าวว่า ถ้าถึงขั้นต้องพยายามหลีกหนีสิ่งที่กลัว ทรมานที่จะต้องเผชิญ จนส่งผล กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์

    ท้ายนี้อยากฝากว่าความ กลัวเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่ถ้าต้องหลีกหนีชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานจากความกลัว ขอให้มาพบจิตแพทย์ เพราะโรคกลัวสามารถรักษาได้ หรือถ้าเห็นคนใกล้ชิดมีลักษณะแบบนี้ก็สามารถแนะนำให้มาพบจิตแพทย์ได้เช่น กัน.


    ข้อมูล และ ภาพจาก

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=532&contentId=144467
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ลมพิษ หมายถึง อาการผิวหนังขึ้นเป็นวงนูนแดง คัน มักเกิดขึ้นฉับพลันเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้ฝุ่นหรือขนสัตว์ เป็นต้น
    ส่วนใหญ่มักมีอาการอยู่ไม่นานก็ทุเลาไปได้ หรือหลังกินยาแก้แพ้ก็มักจะหายขาดไปได้ แต่บางคนอาจเป็นลมพิษขึ้นทุกวันอย่างต่อเนื่องกัน ถ้าเป็นนานเกิน ๒ เดือน ก็เรียกว่า ลมพิษชนิดเรื้อรัง ซึ่งจำเป็นต้องไปพบแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและให้ยาบรรเทา

    ชื่อภาษาไทย ลมพิษ
    ชื่อภาษาอังกฤษ Urticaria, Hives
    สาเหตุ

    ลมพิษ เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่แพ้ จะสร้างสารแพ้ที่เรียกว่า ฮิสตามีน (histamine) ออกมาจากเซลล์ในชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว มีพลาสมา (น้ำเลือด) ซึมออกมาในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นผื่นนูนแดง มักมีสาเหตุจากการแพ้อาหาร* (เช่น อาหารทะเล กุ้ง ปลา ไข่ เนื้อสัตว์ ถั่ว มะเขือเทศ ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เป็นต้น สารที่ผสมในอาหาร (เช่น ผงชูรส สารกันบูด สีผสมอาหาร) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยา (เช่น แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ เพนิซิลลิน ซัลฟา เป็นต้น) เซรุ่ม วัคซีน พิษแมลงสัตว์ กัดต่อย (เช่น ผึ้ง ต่อ มด ยุง เป็นต้น) ฝุ่นละอองเกสร ขนสัตว์ นุ่น (ที่นอน หมอน) ไหม หรือสารเคมี (เช่น เครื่องสำอาง สเปรย์ สารพิษฆ่าแมลง เป็นต้น)

    บางรายที่เป็นโรคติดเชื้อ เช่น ทอนซิลอักเสบ หูอักเสบ ท้องเดิน ไซนัสอักเสบ ไตอักเสบ โรคเชื้อรา โรคพยาธิ เป็นต้น ก็อาจมีอาการของลมพิษเกิดขึ้นได้
    แต่บางรายก็อาจตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน

    ในรายที่เป็นลมพิษเรื้อรัง (เป็นติดต่อกันนานเกิน ๒ เดือน) ส่วนมากจะไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนน้อยที่อาจพบว่ามีสาเหตุ ซึ่งนอกจากจะเกิดจากสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว (โดยเฉพาะแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์) แล้ว ยังอาจมีสาเหตุจากการแพ้ความร้อน ความเย็น (น้ำเย็น น้ำแข็ง อากาศเย็น ห้องปรับอากาศ) แสงแดด เหงื่อ (เช่น หลังจากออกกำลังกาย) น้ำ แรงดัน แรงกด หรือการขีดข่วนที่เกิดกับผิวหนัง การยกน้ำหนัก โรคติดเชื้อเรื้อรัง (เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ โรคพยาธิลำไส้ ตัวจี๊ด หูน้ำหนวก)

    บางรายอาจเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น เอสแอลอี มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้เป็นส่วนน้อย นอกจากนี้ ความเครียด ความวิตกกังวล และอารมณ์ของผู้ป่วย ก็อาจเป็นสาเหตุของลมพิษเรื้อรังได้ รวมทั้งทำให้อาการลมพิษกำเริบในรายที่เกิดจากสาเหตุ อื่นๆ

    อาการ
    มักเกิดขึ้นฉับพลัน ด้วยอาการขึ้นเป็นวงนูนแดง มีขนาดและรูปร่างต่างๆ กัน เช่น วงกลม วงรี วงหยัก เนื้อภายในวงจะนูนและสีซีดกว่าขอบเล็กน้อย ทำให้เห็นเป็นขอบแดงๆ คล้ายเอาลิปสติกผู้หญิงมาขีดเป็นวงไว้ ผู้ป่วยจะรู้สึกคันมาก พอเกาตรงไหน ก็จะมีผื่นแดงขึ้นตรงนั้น บางรายอาจมีไข้ขึ้นเล็กน้อย หรือรู้สึกร้อนผ่าวตามผิวกาย
    ลมพิษอาจเกิดขึ้นที่หน้า แขนขา ลำตัว หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็ได้ มักขึ้นกระจายตัวไม่เหมือนกันทั้ง ๒ ข้างของร่างกาย วงนูนแดงจะเป็นอยู่ประมาณ ๓-๔ ชั่วโมง ก็จะยุบหายไปเอง แต่อาจเกิดขึ้นใหม่ในตำแหน่งเดิม หรือตำแหน่งใหม่ได้อีกภายในวันเดียวกันหรือวันต่อมา หรือในเดือนต่อๆ มาก็ได้ บางรายอาจขึ้นติดต่อกันเป็นวันๆ ก็ได้ แต่ส่วนมากมักจะยุบหายได้เองภายใน ๑-๗ วัน

    ในรายที่เป็นลมพิษชนิดรุนแรง ที่เรียกว่าลมพิษ ยักษ์ หรือแองจิโอเอดิมา (angioedema/angioneurotic edema) จะมีอาการบวมของเนื้อเยื่อชั้นลึกของผิวหนัง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑-๓ นิ้ว หรือมากกว่า กดไม่บุ๋ม มักขึ้นที่ริมฝีปาก หนังตา หู ลิ้น หน้า มือ แขน หรือส่วนอื่นๆ มักเป็นอยู่ไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง ก็จะยุบหายไปเอง แต่ถ้ามีอาการบวมของกล่องเสียงร่วมด้วย อาจทำให้หายใจลำบาก ตัวเขียว เป็นอันตรายได้ อาจเกิดจากการแพ้อาหาร หรือแพ้ยา ยาที่ทำให้เกิดลมพิษชนิดรุนแรงที่พบบ่อย ได้แก่ แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ใช้แก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ) ยาลดความดันกลุ่มต้านเอซ (เช่น อีนาราพริน)
    ในรายที่เป็นเรื้อรัง มักมีลมพิษขึ้นเป็นๆ หายๆ ติดต่อกันแทบทุกวันเป็นเวลานานกว่า ๒ เดือน และอาจเป็นอยู่เป็นปีๆ กว่าจะหายขาดไปได้เอง

    การแยกโรค
    อาการผื่นคันตามผิวหนัง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ที่พบบ่อยได้แก่ ผื่นคันจากการแพ้ กับโรคเชื้อรา (กลาก เกลื้อน)
    ผื่นคันจากการแพ้ มีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือตุ่มนูนเล็กๆ คัน อาจขึ้นตรงบริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า พร้อมกันทั้ง ๒ ข้าง หรือขึ้นตามบริเวณ ที่แพ้สิ่งสัมผัส เช่น มือ (แพ้ปูน ผงซักฟอก) รอบเอว (แพ้เข็มขัด) ข้อมือ (แพ้สายนาฬิกา) เป็นต้น

    กลาก มีลักษณะเป็นวงมีขอบเขตชัดเจน ขอบนูนเล็กน้อยและมีสีแดง มักมีตุ่มน้ำใสเล็กๆ หรือขุยขาวๆ อยู่รอบๆ วง วงนี้จะค่อยๆ ลุกลามขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ มักขึ้นตามผิวหนังเพียงแห่งเดียว เช่น ที่ใบหน้า แขนขา ขาหนีบ มือ เท้า เป็นต้น
    เกลื้อน ลักษณะเป็นดวงกลมเล็กๆ ขนาด ๔-๕ มิลลิเมตร จำนวนหลายดวง กระจายทั่วไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น หน้า ซอกคอ แผ่นหลัง เป็นต้น ผื่นมักแยกกันอยู่เป็นดวงๆ บางครั้งอาจแผ่มาต่อกันเป็นแผ่นขนาดใหญ่ มีสีได้หลายสี เช่น สีขาว น้ำตาลจางๆ จนถึงน้ำตาลแดง

    การวินิจฉัย
    แพทย์จะวินิจฉัยจากลักษณะอาการที่ขึ้นเป็นวงนูนแดง คัน กระจายทั่วทั้ง ๒ ข้างของร่างกาย
    ในรายที่เป็นเรื้อรัง แพทย์อาจทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ เอกซเรย์ เป็นต้น บางครั้งอาจทำการทดสอบผิวหนัง (skin test) ว่าแพ้สารอะไร

    การดูแลตนเอง
    เมื่อมีอาการเป็นลมพิษเกิดขึ้นฉับพลัน ควรปฏิบัติดังนี้
    กินยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีน ครึ่ง ถึง ๑ เม็ด ซ้ำได้ทุก ๖ ชั่วโมง
    ประคบด้วยน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง หรือทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) หรือใช้ใบพลูสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าทาบ่อยๆ (ถ้าแพ้เหล้าควร หลีกเลี่ยง)
    หาสาเหตุที่แพ้ เช่น ยา อาหาร เหล้า เบียร์ แมลง ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ เป็นต้น แล้วหลีกเลี่ยงเสีย
    ถ้าไม่ทุเลา มีอาการหายใจลำบาก หรือเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ควรไปพบแพทย์

    การรักษา
    แพทย์จะให้ยาแก้แพ้ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ถ้าใช้คลอร์เฟนิรามีนไม่ได้ผล ก็จะให้ยาแก้แพ้ที่มีชื่อว่า ไฮดรอกไซซีน (hydroxyzine) ๑ เม็ดทุก ๖-๘ ชั่วโมง
    ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์อาจใช้ยาแก้แพ้ฉีดเข้ากล้าม

    ในรายที่เป็นเรื้อรัง ถ้าตรวจพบสาเหตุก็จะให้การรักษาตามสาเหตุ (เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ หูน้ำหนวก) หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะตรวจไม่พบสาเหตุชัดเจน แพทย์ก็จะให้ยาแก้แพ้บรรเทา ได้แก่ ไฮดรอกไซซีน ซึ่งอาจต้องให้กินทุกวัน หรือวันเว้นวัน ไปเรื่อยๆ บางครั้งอาจนานเป็นแรมปี จนกว่าจะหาย ขาด
    ในรายที่ใช้ยาแก้แพ้อย่างเดียวไม่ได้ผล แพทย์มักจะให้ยาต้านเอช๒ (H2 antagonist) ได้แก่ รานิทิดีน (ranitidine) ร่วมด้วย ปกติยาชนิดนี้ใช้รักษาโรคกระเพาะ แต่ถ้านำมากินร่วมกับยาแก้แพ้ ก็มีฤทธิ์เสริมยาแก้แพ้ ทำให้รักษาโรคลมพิษได้ผลดี

    ภาวะแทรกซ้อน
    ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน นอกจากมีอาการคันมาก อาจเกาจนเป็นรอยข่วน หรือติดเชื้ออักเสบ
    ในรายที่เป็นลมพิษยักษ์ อาจทำให้กล่องเสียงบวม หายใจลำบาก ถ้าแก้ไขไม่ทัน ก็อาจมีอันตรายได้
    ผู้ที่เป็นลมพิษ อาจแพ้ยาได้ง่าย จึงต้องระมัดระวัง ในการใช้ยาต่าง

    การดำเนินโรค
    ส่วนใหญ่เป็นอยู่เพียงไม่กี่วันก็มักจะหายได้ และมักจะตอบสนองต่อยาแก้แพ้ได้ดี ส่วนน้อยที่อาจเป็นๆ หายๆ บ่อย หรืออาจเป็นเรื้อรัง เป็นแรมปี บางคนอาจนาน ๓-๕ ปีกว่าจะหายขาด

    การป้องกัน
    ถ้าทราบว่าแพ้อะไร ก็ควรหลีกเลี่ยง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินและยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้ลมพิษกำเริบได้

    ความชุก
    โรคนี้พบได้บ่อยในคนทุกวัย แต่จะพบมากในช่วงอายุ ๒๐-๔๐ ปี และในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้

    * อาการแพ้ที่เกิดจากอาหาร เรียกว่า แพ้อาหาร (food allergy) พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ (เช่น หวัดภูมิแพ้ หืด ลมพิษ ผื่นคัน) หรือมีพ่อแม่เป็นโรคแพ้อาหาร เกิดจากการแพ้สารโปรตีนในอาหาร ส่วนใหญ่ได้แก่ นมวัว ไข่ ปลา กุ้ง หอย ปู ข้าวสาลี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอลด์
    อาการแพ้อาหารอาจเริ่มตั้งแต่วัยทารก โดยหลังกินอาหารที่แพ้จะมีอาการลมพิษ ผื่นคัน หรือผิวหนังบวมคัน อาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการคัดจมูก หอบหืด เป็นลม ถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock)

    ทารกที่เป็นโรคนี้ อาการลมพิษผื่นคันจะลดลงเมื่ออายุประมาณ ๑ ขวบ และมักจะหายดีเมื่ออายุประมาณ ๑๐ ขวบ แต่อาจมีอาการของหวัดภูมิแพ้หรือโรคหืดมากขึ้น

    ในผู้ใหญ่ที่แพ้อาหาร มักมีอาการลมพิษ ผื่นคัน บวมคันตามหนังตา รอบปาก บางรายอาจเป็นหวัดภูมิแพ้หรือโรคหืด ในรายที่เป็นรุนแรง แม้กินอาหารที่แพ้ (เช่น กุ้ง หอย ปู ถั่วลิสง) แต่เพียงเล็กน้อยหรือเจือปนอยู่ในอาหารอื่นโดยบังเอิญ ก็อาจมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ลมพิษยักษ์ (angioedema) ซึ่งอาจมีอาการบวมของกล่องเสียง (เกิดอาการหายใจลำบาก ตัวเขียว) หรือถึงขั้นช็อกจากการแพ้เป็นอันตรายได้


    ผู้เขียน: นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

    ข้อมูลจาก หมอชาวบ้น
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    "สาวร้อยผัว" เคล็ดลับความงามสองพันปี

    "สาวร้อยผัว" เคล็ดลับความงามสองพันปี

    การใช้ "สมุนไพร" กำลังนิยมไปทั่วโลกไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น เหตุผลหนึ่งคือ คนทุกวันนี้เกรงกลัวอันตรายจากสารเคมี และระมัดระวังรักษาสุขภาพมากขึ้น วิถีชีวิตการดำรงอยู่ทั้งหลายจึงพยายามเข้าหาธรรมชาติให้มากที่สุด ซึ่งรวมไปถึงอาหารการกิน และเรื่องของ "ความงาม" ด้วย

    เมื่อความต้องการใช้สมุนไพรของผู้บริโภคมีเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ตลาดผลิตภัณฑ์ทางด้านสมุนไพรก็เปิดกว้างมากขึ้นตาม และยังมีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดเสียจนจำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างไรก็ตาม เรื่องของสมุนไพรที่นิยมกันมากรองจากใช้ทำยาและอาหาร คือ ผลิตภัณฑ์ทางด้านความสวยความงาม "สาวร้อยผัว" เป็นสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม

    ชื่อ "สาวร้อยผัว" คนอาจจะไม่รู้จัก แถมยังฟังน่ากลัวเข้าไปอีก แต่ถ้าบอกชื่อ "รากสามสิบ" หรือ "สามร้อยราก" คนต้องอ๋อ..

    เพราะเป็นสมุนไพรที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละภาค เช่น คนภาคกลางเรียก "รากสามสิบ" หรือ "สามร้อยราก" คนภาคอีสานเรียก "ผักชีช้าง" ใช้รับประทานเป็นผักได้ โดยยอดอ่อน ผลอ่อนรับประทานสดๆ และยังนำมาต้มหรือแกงอ่อมก็ได้เช่นกันทำให้มีกลิ่นหอมคล้ายผักชีลาว

    สำหรับคนภาคเหนือเรียกสมุนไพรชนิดนี้ ว่า "ม้าสามต๋อน" ใช้เป็นยาดอง ยาบำรุง สำหรับเพศชาย เพราะกินแล้วทำให้คึกคักเหมือนม้า 3 ตัวรวมกัน ส่วนที่ภาคใต้เรียก "ผักหนาม" เพราะลำต้นมีตุ่มๆคล้ายหนาม ใช้รับประทานเป็นผักกับน้ำพริกเช่นเดียวกับทางภาคอีสาน

    นอกจากเรื่องของการนำมารับประทานแล้ว รากของสมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถนำมาทุบหรือขูดกับน้ำ ทำเป็นน้ำสบู่ซักเสื้อผ้าได้อีกด้วย อีกทางหนึ่งยังมีประโยชน์สามารถใช้เป็นไม้ประดับจัดแจกัน เพราะมีใบ กิ่งก้าน ดอก ดูแล้วสวยงามมาก

    "เภสัชกรหญิง สุภาภรณ์ ปิติพร" หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย อธิบายถึงสาวร้อยผัวให้ฟัง ว่า สมุนไพรสาวร้อยผัว หรือ ม้าสามต๋อน ถูกลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา หมอยาโบราณส่วนใหญ่จะรู้ว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี จึงมีชื่อว่า "สาวร้อยผัว" กล่าวคือไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ ความหมายคล้ายๆ สาวสองพันปีที่ยังดูสาวเสมอ ไม่ใช่กินแล้วสามารถมีผัวได้ร้อยคนอะไรทำนองนั้น

    วิธีใช้ โดยใช้รากมาต้มกิน หรือนำรากไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง

    เภสัชกรหญิงสุภาภรณ์บอกว่า ชื่อสาวร้อยผัวในปัจจุบันแทบไม่มีใครรู้จักแล้ว ยกเว้นลูกหลานหมอยาบางคนที่เคยได้ยินปู่และพ่อ ซึ่งเป็นหมอยาพูดถึงอยู่บ้าง เช่น หลานหมอยาที่จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่อ "พิทักษ์ ตีเหล็ก" ปัจจุบันเป็นพนักงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นหลานของหมอยาชื่อ "นายอ่ำ ตีเหล็ก"

    และอีกผู้หนึ่งเป็นหมอยาที่มีคุณต่อการพัฒนาสมุนไพรของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรอย่างมาก ชื่อ "นายส่วน สีมะพริก" ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "สาวร้อยผัว" เช่นกัน

    "สาวร้อยผัว" เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรของผู้หญิงโดยตรง "ที่น่าแปลกใจคือ ในอินเดียมีการเรียกสมุนไพรชนิดนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ศตาวรี (Shatavaree) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายถึงผู้หญิงที่มีร้อยสามี (Satavari -this is an Indian word meaning "a woman who has a hundred husbands")"

    ซึ่งรากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวท เป็นคัมภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในอินเดียใช้รากสามสิบทำเป็นของหวานเช่นเดียวกับเมืองไทย คือ "รากสามสิบแช่อิ่ม"

    ในตำราอายุรเวทใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับเป็นยาบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว (female rejuvenation) นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ของผู้หญิง เช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะหมดอารมณ์ทางเพศ ภาวะหมดประจำเดือน (menopause) บำรุงน้ำนม บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง (habitual abortion)

    สมุนไพรชนิดนี้ยังใช้สำหรับผู้ชายได้ด้วย โดยในอินเดียใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชาย ซึ่งคงคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สมุนไพร "ม้าสามต๋อน" เป็นยาดอง เพื่อเพิ่มพลังทางเพศ อินเดียยังใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาอื่นๆ อีกมาก เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในอินเดียชนิดหนึ่ง

    มีสถิติในปี ค.ศ.1999-2000 อินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ถึง 8,460 ตัน เป็นอันดับสองรองจาก มะขามป้อม ที่ใช้อยู่ที่ 15,147 ตัน ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำของรากสามสิบจากอินเดีย ไปจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น dietary supplement กล่าวคือสามารถขายได้ทั่วไปอย่างอิสระไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

    "สาวร้อยผัว" เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ แก้การอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ

    ในการศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง พบว่าการใช้ในขนาดสูง 2 กรัม ต่อกิโลกรัม ด้วยการกินไม่พบพิษ และการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมแล้ว ให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน 4 และ 32 สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม

    การศึกษาที่กล่าวข้างต้นเป็นการศึกษาในห้องทดลอง ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ดังนั้น การนำมาใช้เป็นยากับคนจึงต้องมีการทดลองกันอีกต่อไป ส่วนที่มีการทดลองทางคลีนิค (การใช้ในคนจริงๆ) คือการใช้ในการรักษาโรคกระเพาะ โดยการให้รับประทานผงแห้งของราก พบว่าได้ผลดีในการรักษาแผลที่กระเพาะและลำไส้เล็ก การที่กรดเกิน (acid dyspepsia)

    เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้หายไปจากสังคมไทยเสียนาน ดังนั้น การที่จะนำกลับมาใช้เป็นยาอีกครั้งควรระมัดระวัง เพราะเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน จึงห้ามใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น ผู้ป่วยโรค uterine fribrosis หรือ fibrocystic breast

    ประเทศไทยถือว่าเป็นแหล่งผลิตสมุนไพรที่ใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีสมุนไพรอยู่หลากหลายชนิด "สาวร้อยผัว" ก็เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรไทยที่น่าจะนำกลับมาฟื้นฟูใช้ในสังคมอีกครั้ง เพราะนอกเหนือจากคุณประโยชน์สารพัดข้อดังที่กล่าวมาแล้ว

    ข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ข้าวโพด.......ไม่ธรรมดาคุณค่านับอนันต์


    “ข้าวโพด” เป็นธัญพืชที่สำคัญมากชนิดหนึ่งของโลก

    เป็นอาหารที่มีประโยชน์มากทั้งคนและสัตว์ “ข้าวโพด”มีถิ่นกำเนิดแถบประเทศตะวันตก

    เป็นที่นิยมบริโภคกันในแถบทวีปอเมริกากลางและใต้

    สำหรับในประเทศไทย”ข้าวโพด”เป็นที่รู้จักและรับประทานกันมาช้านานแล้ว

    “ข้าวโพด”มีคุณค่าทางอาหารมากมาย ประกอบไปด้วยสารอาหาร ดังนี้

    - คาร์โบไฮเดรต “ข้าวโพด”มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพดหนัก 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่

    - ไขมัน เมล็ดข้าวโพดมีไขมันอยู่ร้อยละ 4 มีฤทธิ์ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตสูง

    - โปรตีน โปรตีนในข้าวโพดเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ เพราะจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือไลซีนและทริบโตฟาน ควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ

    - วิตามิน อุดมด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 รวมไปถึงเกลือแร่ด้วยค่ะ

    ประโยชน์ของข้าวโพด นอกจากจะรับประทานฝักสดๆแล้ว ข้าวโพดฝักอ่อน มักจะนำมาบรรจุกระป๋องซึ่งเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่นำมูลค่าส่งออกให้ประเทศค่ะ

    น้ำมันข้าวโพดนิยมนำมาทำขนมหรือน้ำมันสลัด ตลอดจนใช้ทอดอาหารต่างๆได้เป็นอย่างดี

    นอกจากประโยชน์ในรูปของอาหารแล้ว ข้าวโพดยังมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมเครื่องอุปโภคหลายชนิด เช่น ทำสบู่, น้ำมันใส่ผม, น้ำหอม, กระดาษ, ผ้า

    ตลอดจนฝัก, ใบ, ลำต้น ยังนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่าง อาทิ ปุ๋ย, วัตถุฉนวนไฟฟ้า ซังข้าวโพดแห้งยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มได้

    สรรพคุณทางยาฝอยข้าวโพด ที่เก็บขณะที่เมล็ดข้าวโพดกำลังเป็นน้ำนม มีสารแอลคาลอยดืที่ระเหยได้ กรดเมซีนิก และน้ำตาล ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง และใช้แก้ขัดเบาในผุ้ป่วยโรคหนองใน
    วิธีใช้ ใช้ฝอยข้าวโพด 4 กรัม ต้มกับน้ำ 1 แก้ว เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลือครึ่งแก้ว ใช้ดิ่มแทนน้ำชา
    ซังข้าวโพด ตำราไทยใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษซางสำหรับเด็ก
    น้ำมันข้าวโพด ใช้เป็นตัวทำละลายในยาฉีด
    แป้งข้าวโพด ใช้ผสมทำยาพื้น base ในยาเหน็บ และใช้เป็นยาแก้พิษสำหรับผู้ที่ดิ่มยาที่มีไอโอดีน โดยการกลืนแป้งลงไป



    ข้อมูลจาก พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist
    หนังสือ สมุนไพรในสวนครัว รศ. ดร. วันดี กฤษณพันธ์ และคณะ
     
  12. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    สีปัสสาวะบอกสุขภาพ












    เพื่อรับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู


    ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

    หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

    ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล

    มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

    ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง

    ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

    ปัสสาวะมีสีขุ่น

    ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

    ปัสสาวะมีสีส้ม

    อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

    ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน

    ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

    เข้าห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย


    ที่มา: http://www.oknation.net/blog/ION/2008/12/12/entry-1
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    แมงลัก

    คุณค่าทางโภชนาการ

    แมงลักมีโปรตีน 3.8 กรัมต่อน้ำหนักใบสด 100 กรัม ซึ่งสูงกว่ากะเพราและโหระพา ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย รายงานว่า แมงลัก 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 590.56 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล สูงกว่ากะเพราและโหระพา และให้แคลเซียม 140 มิลลิกรัม ส่วนกรมส่งเสริมการเกษตรระบุว่า ใบแมงลักให้พลังงาน 0.032 กิโลแคลอรี่ วิตามินเอ 9,164 หน่วยสากล และวิตามินบี2 ประมาณ 0.14 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่ากะเพราและโหระพา แต่แร่ธาตุอื่นๆ มีสูงกว่า เช่น มีไขมันสูงถึง 0.8 กรัม แป้งมากถึง 11.1 กรัม แคลเซียม 350 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 86 มิลลิกรัม เหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.30 มิลลิกรัม และวิตามินซี 78 มิลลิกรัม



    ในปัจจุบันนี้คนไทยส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหากับการบริโภคอาหารผิดหลักโภชนาการ เกิดภาวะโรคอ้วนตามมา แต่ผู้หญิงจะมีความวิตกกังวลมากกว่าผู้ชาย เพราะบุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

    ในปัจจุบันมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ ซึ่งมีสรรพคุณดูดซึมอาหารที่รับประทานเข้าไป และเพิ่มการขับถ่ายอีกด้วย ดังนั้นคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และมีอาการท้องผูกเป็นประจำจึงควรใช้วิธีนี้

    สำหรับสมุนไพรที่มีสรรพคุณดังกล่าวนั้น มีหลายตัว แต่ในที่นี้จะแนะนำสมุนไพรชื่อ แมงลัก ซึ่งท่านก็คงรู้จักกันดี

    แมงลัก มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นว่า มังลัก (ภาคกลาง) ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ)

    ส่วนที่ใช้เป็นยา คือ เม็ดแมงลักแก่ โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เม็ดแมงลักประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ และสารประกอบอื่น ๆ เช่น Camphene, ucillage, myrcene oil, D-Glucose เป็นต้น บริเวณเปลือกนอกของผลสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวได้ 45 เท่า และได้มีการวิจัยพบว่า เม็ดแมงลักมีสรรถคุณเป็นยาระบาย เพิ่มกากอาหารได้ และเมือกยังสามารถช่วยหล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น จึงได้มีการนำเม็ดแมงลักมารับประทานก่อนอาหาร หรือบางท่านก็รับประทานแทนอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารว่าง จึงสามารถใช้ลดความอ้วนได้ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน เมื่อท่านจะลองใช้เม็ดแมงลัก สามารถเตรียมได้ โดยใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ถ้าใช้เป็นยาระบายให้ทานก่อนนอน ถ้าเป็นยาลดความอ้วนให้ทานก่อนอาหาร หรือทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ เพราะอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้

    นอกจากนั้นการรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง หรือถ้ารับประทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังไม่พองเต็มที่ก็จะมีการดูดน้ำจากกระเพาะอาหารได้ ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้มากขึ้น

    ที่มา :www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    คุณ! พุงโตเกินไปหรือไม่?


    โรคอ้วนลงพุง...อันตรายแค่ไหน




    โรค อ้วนลงพุง ไม่ใช่แค่ความอ้วนธรรมดา แต่เป็นภาวะอ้วนที่มีไขมันสะสมบริเวณช่วงเอว หรือช่องท้องปริมาณมาก ๆ และก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Metabolic syndrome ถือเป็นกลุ่มความผิดปกติที่ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ด้วย ดังนั้นภาวะอ้วนลงพุง จึงนับว่าเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้

    ไขมันที่พุงอันตรายกว่าไขมันส่วนอื่นของร่างกายอย่างนั้นหรือ?

    โดย ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไขมันตรงส่วนใด หากมีมากเกินไปก็ถือว่าไม่ดีทั้งนั้น แต่ไขมันที่สะสมในช่องท้องหรือบริเวณพุงจะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระ ส่งผลให้ในกระแสเลือดมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยกรดไขมันชนิดนี้จะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง และอาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งตีบและอุดตันได้

    พบ ว่าในคนอ้วนลงพุงจะมีระดับฮอร์โมน Adiponectin ในกระแสเลือดลดลง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบในเซลล์ไขมันเท่านั้น ระดับ Adiponectin ในเลือดที่ต่ำจะสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเป็นตัวทำนายการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย นอกจากนี้ เชื่อว่าความอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการสะสมไขมันในเนื้อตับ เพราะกรดไขมันอิสระที่ออกมาจากไขมันบริเวณพุงจะเข้าสู่ตับโดยตรงได้มากกว่า ไขมันบริเวณสะโพก ซึ่งกรดไขมันที่สะสมภายในตับ หากเกิดในช่วงที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนเกินที่สารต้านอนุมูลอิสระสามารถ รับมือไหว จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับตามมาอีกด้วย ดังนั้น คนที่อ้วนลงพุงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคตับมากกว่าคนที่มีไขมันสะสมที่สะโพก

    คุณ! พุงโตเกินไปหรือไม่?

    รอบ เอวเป็นตัวบ่งชี้ภาวะอ้วนที่ง่ายและชัดเจน โดยไม่ต้องใช้การคำนวณสำหรับคนเอเชีย ในปัจจุบันการวินิจฉัยว่าใครจัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วนลงพุงบ้างจะใช้เกณฑ์ดัง นี้

    เส้นรอบเอวของผู้ชายตั้งแต่ 36 นิ้วขึ้นไป และสำหรับผู้หญิงตั้งแต่ 32 นิ้วขึ้นไป
    มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มก./ดล.
    มีระดับ HDL คอเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือน้อยกว่า 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

    ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
    ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่า 100 มก./ดล.

    ขอบคุณบทความจาก :ข่าวการเงิน ตลาด รถยนต์ พร็อพเพอร์ตี้ ไอซีที ท่องเที่ยว ไอซีที ต่างประเทศ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    มะละกอ

    ผลดีต่อสุขภาพมะละกอมีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และเกลือโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหาร ธาตุโพแทสเซียม วิตามินเอ ซี และโฟเลต แต่ร้อยละ 92 ของพลังงานจากมะละกอสุกมาจากคาร์โบไฮเดรต ผู้ที่ควบคุมอาหารแป้งและน้ำตาลจึงไม่ควรกินมะละกอมากเกินไป





    สีแดงอมส้มที่พบในมะละกอสุกแสดงว่า มะละกอสุกมีสารไลโคพีนซึ่งเป็นสารช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    มะละกอสุกอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี สารฟลาโวนอยด์ สารโฟเลต กรดแพนโทเทนิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร สารอาหารเหล่านี้บำรุงสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด และป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่อีก ด้วย นอกจากนี้มะละกอมีเอนไซม์ปาเปน สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทางการกีฬา

    นอกจากนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินสบรุ๊ค ประเทศออสเตรีย พบว่ามะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระ สูงสุดเมื่อสุกงอม เนื่องจากคลอโรฟิลล์สีเขียวเปลี่ยนเป็นสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างเยี่ยมยอดอีกชนิดหนึ่ง เรียก NCCs (nonfluorescing chlorophyll catabolytes) สะสมบริเวณเปลือกผลและใต้ผิวเปลือก เวลาปอกมะละกอสุกจึงไม่ควรกรีดริ้วบริเวณใต้เปลือกเพราะจะสูญเสียคุณค่าอาหารนี้ไป


    ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
    มะละกออาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจที่มีสาเหตุจากโรคเบาหวานได้ดี มะละกอมีวิตามินซี วิตามินอีและวิตามินเอ (ในรูปของสารแคโรทีนอยด์) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล เชื่อว่าวิตามินซีและอีช่วยการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสซึ่งหยุดการเกิดอนุมูลอิสระของคอเลสเตอรอล

    เส้นใยอาหารในมะละกอช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนกรดโฟลิกใช้เปลี่ยนกรดอะมิโฮโมซิสเทอีนเป็นกรดอะมิโนซิสเทอีนที่ไม่มีพิษภัยอะไร ถ้ามีโฮโมซิสเทอีนอยู่มากกรดอะมิโนนี้จะทำลายผนังหลอดเลือด เกิดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองอุดตันได้

    ช่วยระบบทางเดินอาหารสารอาหารในมะละกอช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ เส้นใยอาหารจากมะละกอสามารถจับกับสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่และพาส่งออกทำให้เกิดการสัมผัสกับเซลล์ลำไส้ใหญ่น้อยที่สุด และสารโฟเลต บีตาแคโรทีน วิตามินซีและอี ที่พบในมะละกอ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยลดการถูกทำลายของสารพันธุกรรมในเซลล์ดังกล่าวด้วยอนุมูลอิสระ

    ฤทธิ์ต้านอักเสบมะละกอมีเอนไซม์ปาเปนและไคโมปาเปนช่วยย่อยโปรตีน เอนไซม์เหล่านี้สามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ งานวิจัยจากประเทศมาเลเซียพบว่า สารสกัดจากเปลือกผลมะละกอดิบเร่งอัตราเร็วของการสมานแผลในหนูทดลองได้เร็วกว่าการใช้ยาทา Solcoseryl ถึง 1 สัปดาห์

    บีตาแคโรทีน วิตามินซีและอีในมะละกอก็มีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาตอยด์จะได้ประโยชน์จากการกินมะละกอเพื่อลดอาการของโรคดังกล่าว ปัจจุบันมีการใช้เอนไซม์จากมะละกอดังกล่าวผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม การอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัดแล้ว

    ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน
    ร่างกายมนุษย์สามารถเปลี่ยนบีตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอและซีได้ เนื่องจากร่างกายต้องการวิตามินทั้งสองเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำหน้าที่ได้ราบรื่น จึงพบว่าการกินมะละกอ เป็นประจำอาจลดความถี่การเกิดไข้หวัดและการติดเชื้อในช่องหูได้

    การป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมงานวิจัยตีพิมพ์ในต่างประเทศกล่าวว่าการกินผลไม้ 3 ครั้งต่อวันอาจลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อันเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทยกินมะละกอ ทั้งดิบหรือสุกอยู่เป็นปกติ ดังนั้นเราจึงมีความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าวลดลงในยามชรา

    ป้องกันโรคถุงลมปอดโป่งพองและมะเร็งปอด
    งานวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกาพบว่า สารก่อมะเร็งจากบุหรี่ (benzo(a)pyrene) ทำให้เกิดการขาดวิตามินเอในสัตว์ทดลองที่ได้รับอาหารปกติ และเกิดอาการถุงลมปอดโป่งพอง แต่สัตว์ที่ได้รับวิตามินเอปริมาณมากแต่ได้รับสารดังกล่าวไม่พบว่ามีอาการถุงลมปอดโป่งพอง

    ผู้วิจัยจึงเชื่อว่าผู้ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่เป็นนิตย์ควรป้องกันตนเองโดยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูงเป็นประจำ และมะละกอสุกก็เป็นหนึ่งในอาหารดังกล่าว

    เมล็ดมะละกอใช้รักษามะเร็ง
    ที่ประเทศอินเดียกล่าวสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ ว่าเมล็ดมะละกอใช้รักษาโรคมะเร็งได้ งานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นรายงานเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2550 นี้ว่า เมล็ดมะละกอมีเอนไซม์ไมโรซิเนส และสารเบนซิลกลูโคซิโนเลตในปริมาณมาก

    สารเบนซิลกลูซิโนเลตนี้ส่วนใหญ่พบในพืชวงศ์คะน้า มีฤทธิ์ขับไล่สัตว์กินพืชในธรรมชาติ แต่มนุษย์ย่อยสารนี้โดยใช้เอนไซม์ไมโรซิเนส ได้สารต้านมะเร็ง งานวิจัยยังพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารซูเปอร์ออกไซด์ และมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งแบบอะป๊อปโทซิส จะเห็นว่าเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้จริงตามภูมิปัญญาการแพทย์อินเดีย แต่ต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะมีการพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบันได้ต่อไป

    จากมะละกอมาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมะละกอ นอกจากกินเป็นผลไม้ได้อร่อยแล้ว ยังนำไปทำเป็นน้ำมะละกอ หรือชามะละกอได้ น้ำมะละกอ สุกช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการทำงานของลำไส้ ทำความสะอาดไต และยังเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดีอีกด้วย ส่วนชามะละกอดิบช่วยล้างระบบดูดซึมสารอาหาร คือ ล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ซึ่งเกาะตัวที่ผนังลำไส้ ที่ขัดขวางการดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย

    ปัจจุบันมีน้ำมะละกอหมักจำหน่ายแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น ที่ทำเป็นผงบดแห้งก็มี แต่ประเทศไทยปลูกมะละกอได้ผลตลอดปีเรามาทำน้ำมะละกอสดดื่มกันเองดีกว่า

    น้ำมะละกอสุกเลือกมะละกอที่สุกกำลังดี เนื้อไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป เนื้อเนียน รสหวาน นำมะละกอสุกหั่นเอาแต่เนื้อครึ่งถ้วย น้ำเย็นจัด 1 ถ้วย ผง อบเชย 1/8 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ปั่นมะละกอกับน้ำเย็นจัด เกลือ น้ำมะนาวเข้าด้วยกัน รินใส่แก้ว โรยด้วยผงอบเชย ดื่มเย็นๆ ทันที

    ชามะละกอจากผลมะละกอดิบใช้มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งผล ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพิ่มดอกเก๊กฮวย ใบเตย หรือรากเตยไปด้วยถ้ามี

    ดอกเก๊กฮวยและใบเตยมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ส่วนรากเตยช่วยฟื้นฟูตับอ่อนให้มีกำลัง
    ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟัก นำชิ้นมะละกอใส่หม้อ เติมน้ำ 3-4 ลิตร ตั้งไฟ (ใส่ดอกเก๊กฮวย หรือใบเตย หรือรากเตยตามชอบ) เมื่อน้ำเดือดสักพักหนึ่งยกหม้อลง ตักมะละกอ และดอกเก๊กฮวยออก ให้เหลือแต่น้ำ นำน้ำดังกล่าวไปชงชา ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ หลัง 5 นาทีกรองเอากากชาออก ทิ้งไว้ให้เย็นดื่มได้ทันที หรือบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน

    สูตรโบราณจากประเทศอินเดียที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันให้เคี้ยวเมล็ดจากผลสุกสิบเมล็ดพร้อมกลืน ช่วยกระตุ้นระบบน้ำดี ย่อยไขมัน ล้างระบบทางเดินอาหาร และช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ

    มะละกอเสริมความงามผิวพรรณเอนไซม์ปาเปนที่พบในมะละกอ ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย ทั้งด้านเภสัชกรรม โรงผลิตเบียร์ โรงงานเครื่องหนัง อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา เอนไซม์ปาเปนถูกใช้ในเครื่องสำอางได้เนื่องจากเอนไซม์ดังกล่าวสามารถย่อยสลายคอลลาเจนได้ ช่วยเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว จึงใช้ทดแทนสารสังเคราะห์ แอลฟาไฮดรอกซีแอซิด (alphahydroxy acids; AHA) ได้ และมีคุณสมบัติช่วยย่อยโมเลกุลของโปรตีนด้วย

    ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องนำเข้าเอนไซม์ปาเปนจากต่างประเทศ
    ปัจจุบันสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้สนับสนุนภาคเอกชนไทยผลิตเอนไซม์ปาเปนจากมะละกอดิบ
    พัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา ทดแทนกรดผลไม้ที่มีค่าความเป็นกรดสูง พร้อมลดการนำเข้าจากต่างประเทศปีละกว่า 60 ล้านบาท

    สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือมีปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้า สามารถทำมาสก์มะละกอสุกใช้เอง เพื่อผิวหน้าที่อ่อนนุ่มได้ตามสูตรข้างล่างนี้ค่ะ

    สูตรที่ 1 ใช้มะละกอสุกปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ สัก 2-3 ชิ้น บดขยี้ด้วยช้อนจนละเอียด แล้วนำมะละกอ ดังกล่าวบดมาทาให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาทิ้งไว้สัก 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้สัปดาห์ละครั้ง ผิวที่แห้งจะเริ่มชุ่มชื้น นุ่มนวล กระชับขึ้น เป็นสูตรโบราณจากประเทศอินเดียใช้ลบริ้วรอยได้ดี

    สูตรที่ 2 เหมือนสูตรข้างบน แต่เมื่อบดเนื้อมะละกอ แล้วให้ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติปริมาณพอข้นให้เข้ากัน ทิ้งส่วนผสมไว้สัก 5 นาที นำมาพอกหน้าและคอ แขน มือ ทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วทาครีมบำรุงทันที ผิวจะนุ่ม และใสขึ้นเรื่อยๆ ใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจะลบริ้วรอยได้
    มะละกอ...ผลไม้ธรรมดาๆ แต่มากไปด้วยคุณค่า บรรพบุรุษคนไทยนี่ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ ที่ปลูกมะละกอไว้กินกันแทบทุกบ้านเลย ประกอบอาหารได้ทั้งคาวหวาน แถมใช้บำรุงความงามได้อีก
    อย่าลืมลองสูตรมาสก์พอกหน้ากันนะคะ ของดีของไทยยุคเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ

    ข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    หญ้าแห้วหมู

    ชื่อวิทย์ Cyperus rotundus Linn.
    ชื่อวงศ์ CYPERACEAE
    ชื่ออื่น หญ้ากกดอกขาว หญ้าขนหมู

    หัว

    รสเผ็ด หอมปร่า บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น อืดเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงทารกในครรภ์ ขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ ขับความเย็น ระงับปวด แก้หวัดลม หวัดหนาว แก้ปวดท้องเนื่องจากเสพกามกิจมาก ปวดเมื่อยขา หลังคลอด แน่นหน้าอก บวมลม ใช้หมักทำให้เกิดแป้งข้าวหมาก แป้งเหล้าได้ดี ใช้ร่วมกับเถาสะค้าน กระวาน ดีปลี ผสม ทำแป้งเหล้า นำมากลั่นได้เหล้ายาบำรุงกำลัง

    ความลับของหัวหญ้าแห้วหมู

    ๑. แก้ไข้ได้ดี ทั้งต้นทั้งหัว ล้างสะอาดต้มน้ำดื่ม

    ๒. แก้โรคบิด เอาหัวแห้วหมู บดกับขิงแก่ปั้นเป็นลูกยาลูกกลอน ผสม น้ำผึ้งแท้

    ๓. แก้ปัสสาวะขัด หัวหญ้าแห้วหมูสดๆ ล้างให้สะอาด ตากแห้งบด ละเอียดปั้นลูกกลอนกิน แก้ปัสสาวะขัดดีมาก

    ๔. แก้ผื่นคัน หัวแห้วหมูบดละเอียด ผสมน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย ทา ที่เป็นบ่อยๆ จะทุเลาลง จนหายไปในที่สุด

    ๕. รักษาแผลสด ใช้ต้นและใบหญ้าแห้วหมู โขลกใส่น้ำปูนใสเล็กน้อยเอามาพอกแปะกดที่แผลเลือดจะหยุดไหล

    ๖. บำรุงธาตุ ใช้หัวแห้วหมู ๑ ฝ่ามือ ต้มเอาน้ำดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขาวเปอร์เซียร์ใช้หัวแห้วหมู ๖-๘ หัวบดกับขิงแก่ ๔-๕ แว่น ผสมกับน้ำผึ้ง กินเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ ปวดท้อง

    ๗. ยาอายุวัฒนะ ใช้หัวหญ้าแห้วหมูล้างน้ำให้สะอาด เคี้ยวกินหรือ ทุบให้แหลกและไปคั่วไฟ ชงกินต่างน้ำชา จะทำให้หายปวดเมื่อย ฟันแน่นแย็งแรง ไม่ชรา ดวงตาสว่างไสวดี แม้อายุจะมาก หรือไข้หัว แห้วหมูแห้ง ๔ ส่วน พริกไทย ๑ ส่วน ลูกแป้ง ๑ ส่วน โขลกละเอียดปั้น น้ำผึ้งเม็ดเท่าพุทรา กินวันละ ๒ เม็ด เช้าและก่อนนอน

    ๘. ลดไขมัน เอาหัวแห้วหมูทั้งหัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนกินต่างน้ำชา

    ๙. ระงับอาการหอบหืด เพราะมีฤทธิ์ต้านการทำงานของสาร ฮิสตามิน

    ๑๐. ลดความดันโลหิต ยาชงหัวแห้วหมู ทำให้ ความดันโลหิตลดลง ใช้หัวแห้วหมู ๑ ส่วน กับน้ำร้อน ๑๐ ส่วน จะได้ผลดีที่สุด

    ๑๑ แก้อาเจียน

    ๑๒. ลดอาการปวดเกร็งในลำไส้

    ๑๓. แก้นิ่วกรดในทางเดินปัสสาวะ หัวแห้วหมูมีสารชนิดหนึ่ง สามารถละลายก้อนนิ่วกรด ที่เกิดจากการกินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก เกินไป

    ๑๔. บำรุงหัวใจ ถ้ากินน้อยเป็นยาบำรุงหัวใจ ถ้ากินมากเกินไป จะบีบหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้น

    ๙. ระงับอาการหอบหืด เพราะมีฤทธิ์ต้านการทำงานของสาร ฮิสตามิน

    ๑๐. ลดความดันโลหิต ยาชงหัวแห้วหมู ทำให้ ความดันโลหิตลดลง ใช้หัวแห้วหมู ๑ ส่วน กับน้ำร้อน ๑๐ ส่วน จะได้ผลดีที่สุด

    ๑๑ แก้อาเจียน

    ๑๒. ลดอาการปวดเกร็งในลำไส้

    ๑๓. แก้นิ่วกรดในทางเดินปัสสาวะ หัวแห้วหมูมีสารชนิดหนึ่ง สามารถละลายก้อนนิ่วกรด ที่เกิดจากการกินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก เกินไป

    ๑๔. บำรุงหัวใจ ถ้ากินน้อยเป็นยาบำรุงหัวใจ ถ้ากินมากเกินไป จะบีบหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้น

    ๑๕. ระงับเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันหอมระเหย ที่มีอยู่ในหัวแห้วหมู สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ สแต๊ฟ ได้แต่เพียงอย่างเดียว ( เชื้อนี้ทำให้เกิดฝีเจ็บคอและท้องเสีย)

    ๑๖. ระงับเชื้อรา หัวหญ้าแห้วหมูนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะได้สาร ที่ต้านเชื้อราได้

    ๑๗. ปวดท้องเพราะมากในกามกิจ แห้วหมู หญ้าเปลือกหอย ใบบัวบก อย่างละครึ่งตำลึง ตำแหลก เอาน้ำชงเหล้า รับประทาน ใช้กาก พอกที่สะดือ

    ยาลดความอ้วน

    ๑. บอระเพ็ด ๔ บาท
    ๒. มะตูมอ่อนแห้ง ๔ บาท
    ๓. หัวกระชาย ๕ บาท
    ๔. หัวแห้วหมู ๕ บาท
    ๕. เหงือกปลาหมอ ๑๐ บาท
    ๖. พริกไทยอ่อน ๑๐ บาท

    วิธีทำ

    บดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง ปั้นลูกกลอนขนาดเม็ดพุทรา

    วันละ ๑ เม็ด ก่อนนอนทุกคืน

    ลดความอ้วน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ

    ข้อมูล จากสารศิลปยาไทย(๒๓)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  17. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กฎของการรักษาสุขภาพเส้นผม






    เป็นใครก็ไม่อยากให้เส้นผมสวย ๆ บนศีรษะหลุดร่วงโรยลาไป ยิ่งถ้าร่วงจนผมบางแล้วเลยเถิดกลายเป็นคนหัวล้านนี่ยิ่งไม่พึงประสงค์

    ปัญหา ข้างต้นสามารถป้องกันและชะลอการหลุดร่วงของเส้นผมก่อนวัยอันควรได้ด้วย ข้อปฏิบัติใกล้ๆ ตัว ที่ทำได้ไม่ยากเลยสักข้อ โดยกฎของการรักษาสุขภาพเส้นผมมีอยู่ว่า...


    เลือกรับประทานอาหาร ให้ครบทุกหมวดหมู่ เลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมากขั้นตอนจนเสียคุณค่าทางอาหารไป ที่สำคัญต้องไม่ละเลยอาหารที่จำเป็นต่อเส้นผม นั่นคือ เกลือแร่ อย่าง เหล็ก ไอโอดีน สังกะสี แมกนีเซียม เซเลเนียม ที่มีอยู่ในอาหารทะเล รวมทั้งวิตามินบี ที่มีในเนื้อ ตับ ถั่ว และมันฝรั่ง ส่วนไขมันก็ต้องบริโภคบ้าง อาทิ ไข่แดง และน้ำมันตับปลา รวมถึงเนยธรรมชาติ


    เลี่ยงปัจจัยที่มีผลต่อฮอร์โมน เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิว กรณีจำเป็นต้องใช้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ขณะที่บางกรณีอาจเลี่ยงได้ยากสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์ หญิงหลังคลอดบุตร หรือหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งแพทย์มักแก้ปัญหาผมร่วงอันเนื่องมาจากภาวะต่าง ๆ ดังที่กล่าวด้วยยาปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล

    หลีกเลี่ยงเส้นผมจากสาร เคมีที่เข้มข้นจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีย้อมผม แชมพู มอยเจอไรเซอร์ ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม และเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผม เช่น แสงแดดแรง ๆ การเป่าร้อน รีดผมด้วยความร้อน การทำซาวน์น่า หากอยากบำรุงเส้นผมควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ ป้องกันเส้นผมจากแสงแดดด้วยหมวกหรือร่ม

    ทำ ความสะอาดเส้นผมทันทีหลังถูกคลอรีนหรือเกลือ โดย หลังจากว่ายน้ำหรือเล่นน้ำในสระว่ายน้ำหรือในทะเล ต้องรีบสระผมให้สะอาด เพื่อชะล้างคลอรีนจากน้ำในสระหรือเกลือธรรมชาติความเข้มข้นสูงในน้ำทะเล

    เลิก สูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในบุหรี่กระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย ขวางออกซิเจนและสารอาหารที่จะไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาทิ ชา กาแฟ ที่ส่งผลให้เส้นเลือดหดตัว

    สุด ท้าย เอาชนะความเครียด อันเป็นปัจจัยที่ทำให้รากผมอ่อนแอและผมร่วงก่อนวัย ทำได้หลายรูปแบบ เช่น หันเข้าทางธรรม ฝึกสมาธิ หรือเล่นกีฬา หางานอดิเรกทำเพลิน ๆ

    ดูแลเส้นผมด้วยกฎเหล็กที่แนะนำ รับรองเส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ๆ แน่.

    ขอขอบคุณ ข้อมูลดีๆจาก

    takecareDD@gmail.com
     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ความคิดเห็นของข้าพเจ้านี้ ไม่ใช่เป็นการขัดคอหรือคัดค้าน เพียงแต่จะเสริมเพิ่มเติมให้กับ ผู้ที่ไม่รู้ จะได้รู้ จะได้เข้าใจว่า
    ความเจ็บป่วย ด้วยโรคภัยต่างๆ ควรได้รับการรักษาจากผู้ที่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนไทย หรือแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าไม่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ย่อมไม่สามารถรักษาโรคภัยที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้
    แสงในร่างกายมนุษย์นั้นมีอยู่จริง แต่แสงที่จะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้นั้น จะสามารถรักษาหรือป้องกันได้เพียงบางโรคเท่านั้น ไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค แสงที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์สามารถป้องกันโรคได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างหลายประการ และที่สำคัญ ต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์ ถ้าไม่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ก็ไม่มีทางจะรักษาหรือป้องกันโรคภัยได้ เหมือนกับหรือคล้ายกับ ลัทธิหนึ่งที่ปัจจุบันถูกปิดไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กินผักตามฤดู

    อย่าง ที่รู้ ๆ กันอยู่นะคะว่า ผักสีเขียว ๆ จะช่วยให้เราผิวพรรณผ่องใส และระบบการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ยิ่งถ้าเราได้รับประทานผักสด ๆ ด้วยแล้ว จะยิ่งได้วิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่

    เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของผักอย่างนี้แล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยข้อมูลจาก รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มาเล่าสู่กันฟังแล้วล่ะค่ะว่า ถ้าจะเลือกผักตามฤดูกาลเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษ ในแต่ละเดือนเราควรเลือกผักประเภทไหนที่เหมาะสม

    เดือนมกราคม แครอท กระหล่ำดอก ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี และปวยเล้ง

    คุณค่าทางสารอาหาร : ผักกาดเขียวและปวยเล้งจะมีแคลเซียมสูง และมีเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา และเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ส่วนแครอตจะให้สารเบต้าแคโรทีน กรรมวิธีการปรุงเราสามารถหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาผัดหรือใส่ลงในซุปได้

    เดือนกุมภาพันธ์ มะเขือเทศ ผักโขม แตงกวา

    คุณค่าทางสารอาหาร : เม็ดแตงกวาและเปลือกจะให้ใยอาหาร ผักโขมมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนมะเขือเทศจะให้สารแคโรตินอยด์ ที่ช่วยต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือต้านอนุมูลอิสระ (ภาวะชะลอความเสื่อมของร่างกาย) เราสามารถนำมาซอยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อใส่ในน้ำซุป หรือผัดลงในข้าว หรือในไข่เจียวก็ได้ทั้งนั้น

    เดือนมีนาคม ผักกวางตุ้ง เห็ดฟาง ถั่วฝักยาว หอมใหญ่ คะน้า

    คุณค่าทางสารอาหาร : ผักคะน้าจะมีแคลเซียมสูง แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าขม ดังนั้น ถ้าเราหั่นใบเป็นชิ้นฝอย ๆ และลอกก้านคะน้าให้เหลือเพียงสีขาวใส ๆ แล้วนำมาผัดโดยเพิ่มแครอตผสมเข้าไปในข้าว จะทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยถูกปากยิ่งขึ้นค่ะ นอกจากนั้นคะน้ายังอุดมไปด้วยสารอาหารเบต้าแคโรทีนด้วย ส่วนถั่วฝักยาวควรล้างให้สะอาด ๆ แล้วรับประทานสด ๆ เพื่อจะได้ปริมาณวิตามินซีอย่างเต็มที่

    เดือนเมษายน หอมใหญ่ ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง

    คุณค่าทางสารอาหาร : หอมใหญ่มีสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย เราสามารถซอยหอมใหญ่แล้วนำมาผัดกับข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดนั้นมีรสชาติหวานขึ้น ส่วนเห็ดฟางก็นำมาใส่ลงในแกงจืดเปลี่ยนรสชาติของอาหาร ทำให้ไม่น่าเบื่อ

    เดือนพฤษภาคม ถั่วพู หอมใหญ่ มะละกอดิบ

    คุณค่าทางสารอาหาร : มะละกอดิบเอามาทำส้มตำ เท่ากับได้รับประทานผักสด ๆ ซึ่งจะได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นนะคะ สำหรับถั่วพู นำมาหั่นฝอยผสมไก่หรือหมูสับทอด เป็นทางเลือกที่หลากหลายในการเพิ่มแร่ธาตุแคลเซียมและใยอาหาร

    เดือนมิถุนายน ดอกกุยฉ่าย คะน้า เห็ด

    คุณค่าทางสารอาหาร : ดอกกุยช่ายจะอุดมไปด้วยโฟเลต ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้างสารพันธุกรรม และช่วยไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางชนิดหนึ่ง ส่วนเห็ดจะให้โปรตีน และคะน้าจะมีแคลเซียมสูง

    เดือนกรกฎาคม ยอดตำลึง ผักบุ้งไทย

    คุณค่าทางสารอาหาร : ผักบุ้งหรือผักที่มีสีเขียวเข้มจะให้สารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนผักตำลึงจะให้สารเบต้าแคโรทีนเช่นกัน มีเมนูที่ทำง่าย ๆ ได้คุณค่า เช่น ใส่ลงไปในไข่เจียว หรือต้มจืดรับประทานก็ได้ค่ะ

    เดือนสิงหาคม ผักกระเฉด หัวปลี ข้าวโพด

    คุณค่าทางสารอาหาร : หัวปลีจะมีใยอาหารค่อนข้างมาก ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ส่วนข้าวโพดซึ่งจัดเป็นธัญพืชจะมีเบต้าแคโรทีนสูง ผักกระเฉดจะช่วยเรื่องขับถ่าย และเป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน แต่ระวังในการเลือกซื้อด้วยนะคะ เพราะเดี๋ยวนี้มีการใส่สารที่เป็นอันตรายทำให้ผักดูสดใหม่อยู่เสมอ

    เดือนกันยายน ผักกระเฉด กวางตุ้ง บวบ

    คุณค่าทางสารอาหาร : กวางตุ้งอุดมไปด้วยแคลเซียม และเบต้าแคโรทีน ส่วนบวบจะให้ใยอาหารค่อนข้างสูง

    เดือนตุลาคม มะระ ถั่วพู สายบัว ผักกระเฉด

    คุณค่าทางสารอาหาร : มะระเป็นผักสมุนไพรที่ให้วิตามินซีสูง (ถ้ารับประทานดิบ ๆ) เราสามารถทำเป็นเมนูแกงจืดหรือตุ๋นก็ได้ โดยคว้านไส้ในออกแล้วสอดหมูบดลงไป ส่วนผักกระเฉดและสายบัวควรล้างให้สะอาด ๆ ก่อนนำไปบริโภค

    เดือนพฤศจิกายน ผักกาดขาว สายบัว

    คุณค่าทางสารอาหาร : ผักกาดขาวมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนสายบัวให้ใยอาหารช่วยในเรื่องขับถ่าย

    เดือนธันวาคม ถั่วแขก ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี

    คุณค่าทางสารอาหาร : กะหล่ำปลีหรือกะหล่ำดอกสดเป็นแหล่งของวิตามินซีอย่างดี เราสามารถนำมาผัด หรือต้มโดยใส่หมู หรือรับประทานสด ๆ ก็ได้ ส่วนถั่วลันเตาเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง และมีใยอาหารสูง


    เป็น อย่างไรบ้างคะสำหรับผักตามฤดูกาลต่าง ๆ ที่แนะนำ คราวหน้าคุณๆ คงจะมีโอกาสได้เลือกผักเขียวๆ ตามใจชอบ แถมยังปลอดสารพิษด้วย ทีนี้ครอบครัวของคุณก็จะก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายสุขภาพกันแล้วล่ะค่ะ


    ที่มา ... MomyPedia
     
  20. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อาการแพ้อาหารแท้จริงเป็นอย่างไร




    แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)

    นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เรียบเรียง
    คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
    แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance) ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ส่วน การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน
    ทั้งนี้การแพ้อาหารจริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้









    กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
    ปฏิกิริยาการแพ้นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell) ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้ เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
    ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์ เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้
    ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
    ส่วนของสารอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหารที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย
    ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหารมีผลต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อนเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้ เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้ หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้ หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน

    การแพ้อาหารที่พบบ่อย

    ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้ คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้
    ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการแพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย
    การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
    การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหารเชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้านทานและระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย
    หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์ ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์ แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ
    การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่นเลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้
    แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้ แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้ และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน

    แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
    การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร
    บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้วคุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกันแน่ ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่
    บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้ เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู) ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้ เรียกว่าเกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)


    การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว
    การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency) ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด
    การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือการมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ในอาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก
    สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือป้องกันเชื้อรา หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดมเข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้
    บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา
    นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้ เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้ วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย

    การรักษาการแพ้อาหาร

    การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่ หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น

    ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้ แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ
    คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น
    ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด

    ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
     

แชร์หน้านี้

Loading...