เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448

    ขอปันผลกำไรมาถึง ครอบครัวtoplus99 บ้างนะคะ

    เพราะแรงกระทู้ของอ.ทำให้เกิดแรงกระตุ้นมีแรงขับดัน

    ไปดัดนิสัยสลายพิษในร่างกายช่วงต้นเดือนหน้ากับหมอเขียวเต็มคอร์ส

    ส่วนการสลายพิษในจิตพี่ต้อยกำลังใช้พลังเต็มขีดดันจนพี่ต้อยจะเป็นลมแว้วว^_^
     
  2. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004

    การเข้าคอร์สสลายพิษได้ผลประการใด ลองถ่ายภาพผลการขูดเลือดพิษมาให้พวกเราดูหน่อยนะครับ บางภาพบางตอนก็ยังดี

    กลับมาแล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ..

    อยากรู้เหมือนกันว่าสุขภาพ ร่างกาย ผลออกมามันจะเป็นเช่นไร เห็นผลชัดจริงหรือเปล่า?...ถือซะว่าเป็นธรรมทานนะครับ รอลุ้นด้วยคน
     
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอคุณครับท่านที่ให้กำลังใจ ..อย่าแปลกใจไปเลยว่าทำไม บางทีอ่านแล้ว งงๆ

    ก็ขนาดคนเขียนอ่านเอง บางทียังงงเองเลย..toplus99ก็คนเพี้ยน มันก็งี้แหละจ้ะ

    เรื่องบางเรื่อง บางทีมันเรียบเรียงลำบ๊าก.. ลำบาก ยากเอาเรื่องเหมือนกัน

    นั่งคุยกันธรรมดานี่ เล่าสู่กันฟังได้สบายๆเลย

    แต่พอจะเขียน ดันไม่รู้จะเริ่มหัว ลงท้ายแบบไหนดี เหนื่อยใจตัวเองเหมือนกัน

    แต่เอาเฮอะ เล่าให้ฟังรู้เรื่องได้แค่นี้ ก็เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันเน๊อะ!

    เขียนเล่าให้เข้าใจได้แค่นี้ ก็นับว่าบุญของคนเล่าถมไปแล้ว

    ก็ตั้งใจแล้วนะ แต่คนเขียนมันก็ดั๊น งง ..ซะเองนี่สิ ..เอิ๊ก เอิ้กๆ

    (ผมอยากให้คุณหรืออีกหลายท่าน ลองนึกเรื่องอะไรขึ้นมาซักเรื่อง ที่มีประสบการณ์เรื่องราว เอาแบบตื่นเต้นๆ ในชีวิตหน่อย

    แล้วลองเขียนเล่าให้ตัวเองหรือคนอื่นดูมั่งนะ แล้วบางทีคุณอาจจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่า..

    เรื่องของตัวเองแท๊แท้...ทำไมเวลามันเขียนขึ้นมา บางทีก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเลย...เรื่องของตัวเองนะนี่...ลองดูๆ

    เรื่องเขียนเชิงวิชาการ ใครก็ทำได้เพราะมันมีรูปแบบชัดเจน แต่พอกลั่นเขียน

    ออกมาจากความรู้สึกประสบการณ์เป็นตัวหนังสือยาวๆนี่ ...ยากเอาเรื่องแฮะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2012
  4. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    จะกลับมารายงานผลให้คนในครอบครัวtoplus99ด้วยความยินดีค่า

    เหตุที่ต้องไปร่ำเรียนถึงถิ่นต้นตำรับแดนไกล นอกจากเพื่อตัวเองแล้ว

    ก็เพื่อกระจายประโยชน์ให้คนอื่นด้วยค่ะ ^_^
     
  5. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    คุณ pegaojung คะ โชคดีในการเดินทางนะคะ หวังว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีค่ะ

    ท่านเจ้าบ้านขา ฝึกเขียนไว้นะคะ เผื่อจะได้เผยแพร่เป็นธรรมทานในรูปแบบ "รวมเล่ม" ค่ะ หากเป็นเช่นนั้น ขอโอกาสดิฉันอ่านต้นฉบับนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2012
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ถ้าฝึกเขียนได้แบบมืออาชีพสำเร็จเมื่อไหร่ แล้วค่อยรวมเล่ม
    จะจัดส่งต้นฉบับที่พริ้นกระดาษ A4 สดๆหมึกหมาดๆ ไปให้พร้อมตัวยิงและลวดเย็บกระดาษ เอาแบบไปเย็บเองกับมือให้เรียบร้อยเลยครับดีมั๊ย

    จะได้ภูมิใจว่าของดิฉัน นี่มันชุดต้นฉบับ...เลยนะจ๊ะcatt13pig_ballet
    แต่ก็คงอีกนาน... จนลืมกันไปข้างแหละ ฮิๆ
     
  7. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448

    อ่ะจ๊ากกก!!! อาจ๊านน จากที่กำลังจะหลับกลับสะดุ้งตาตื่น

    ฝากความหวังกันหยั่งนี้ มีปาดเหงื่อล่ะค่าาา

    เอาน่ะ ไหนๆก้ออยู่ในครอบครัวนี้มานานนักจักต้องเอาพุงกลมๆไปตักความรู้

    มาเล่าสู่พี่น้องผองเพื่อนให้จงได้ โอ๊บโอ๊บ!! อ่ะ!! ฮึบ ฮึบ!!

    อย่าเพิ่งปูเสื่อก่อนเด๊อค่าเด๊อ จะนำเสนอกลางเดือนหน้าโน่นแน่ะจ้า^_^
     
  8. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    ท่านเจ้าของกระทู้ จะไปฟื้นฟู อบรมจิต ฟิตซ้อมวิทยายุทธทางธรรม ประมาณ 2 สัปดาห์ ขออนุโมทนาบุญค่ะ

    สมาชิกกระทู้คนนี้ เลยลอกเลียนแบบอย่างบ้างในฐานะผู้น้อย ไปสัก 1 สัปดาห์หล่ะกันค่ะ จาไปถือศีล 8 แต่ไม่ได้ปลีกวิเวก วิเว๋โว๋ หรอกนะคะ ไปเป็นหมู่คณะ เป็นการประชุมสัมมนาเชิงปฏิธรรม ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมใจเรื่องอาหารเย็นว่าจะทนไหวไหมหนอ
    -อาหารมื้อเย็นหนอ
    -อินเทอร์เน็ตหนอ เว็บพลังจิตหนอ ดูกำหนดการแล้วตีห้า-สามทุ่มครึ่งเลยหนอ จากทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น/นั่งสมาธิ
    แต่อย่างไรก็ต้องพยายามหนอ:VO
     
  9. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    การขออโหสิกรรมเจ้ากรรม นายเวร อย่างง่ายๆและได้ผลดี....!!!!
    โดยธูปพยากรณ์หนึ่งเดียวในโลก....

    การ อโหสิกรรม และขอขมากรรมเจ้ากรรมนายเวรเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเทพ เช่น พระภูมิ เจ้าที่ เทวดา พ่อเกิด-แม่เกิดของเรา ท่านโปรดมากถ้าเรานั่งสมาธิหรือวิปัสสนากรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา เพราะหากเราหมั่นทำให้เขาบ่อยหรือเป็นประจำพวกเขาจะได้บุญมาก นอกจากอโหสิกรรมให้เราแล้ว เขาจะมาเป็นผู้ปกป้องรักษาคุ้มครองนำเราไปในทางที่ดี ที่ชอบ อีกต่างหาก

    เจ้า กรรมนายเวรที่เป็นภูต เป็นผี ที่มิได้ผุดได้เกิดก็ชอบมาก เพราะการบำเพ็ญภาวนาบุญเหล่านี้ จะส่งบุญให้เขาได้มาก และตรงกว่า ซึ่งจะทำให้เขาพ้นทุกข์เวทนาได้เร็ว ซึ่งก็จะอโหสิกรรมแก่เราโดยเร็ว เพราะบุญจากการปฏิบัติบูชานั้นมีกำลังยิ่งนัก

    ส่วนเจ้ากรรมนายเวรที่เป็น สัตว์ ก็จะอโหสิกรรมให้เราได้ด้วย การอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้เขาจากการเจริญสมาธิ ปฏิบัติธรรม สร้างบุญ สร้างทานทุกอย่าง และรวมทั้งการบำเพ็ญภาวนาด้วยเช่นกัน
    เจ้ากรรมนายเวร นั้นบางทีเขาก็เกิดเป็นมนุษย์แล้ว อาจอยู่ในชาติภพปัจจุบันเดียวกับเรานี้ก็มี หรืออาจเป็นเพื่อน เป็นคู่คิด ผู้ร่วมงานของเรา เป็นญาติพี่น้องของเราก็ได้ แต่จิตที่เคยจองเวรกับเรายังคงจองเวรต่อเรา ก็เพราะกรรมทำให้เป็นไป ซึ่งจะรูปแบบต่างๆนาๆ จนกว่าเราหรือจะขออโหสิกรรมต่อกัน หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ ตัวเราเองหรือเขาเองอาจถือศีลบำเพ็ญบุญภาวนาหรือทำบุญแล้วแผ่เมตตา ว่าจะขออโหสิกรรม ขอถอนความอาฆาตจองเวรกับสรรพคนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งเราและเขาก็จะหมดเวรต่อกันและกัน

    การทำการ อโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรนั้นทำได้หลายหลากวิธี แต่ที่สำคัญควรทำเป็นประจำสม่ำเสมออย่าทำๆหยุดๆ เพราะการกระทำที่ต่อเนื่องนั้นจะแสดงถึงเจตนาที่ตั้งใจในการขออโหสิกรรมซึ่ง จะทำให้ผลของการขออโหสิกรรมเกิดผลได้โดยเร็ว และจะทางให้เราหลุดพ้นจากหนี้กรรม หรือบ่วงกรรมนั้นเอง
    อย่างที่บอกแต่ ต้นแล้วว่าการทำบุญอโหสิกรรมทำได้หลายหลากมีทั้งวิธีที่ไม่ ลำบากเช่นการปล่อยนกปล่อยปลา ถวายสังฆทาน ซื้อโลงศพเป็นต้น แต่ถ้าคุณไม่มีเงินต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญสะเดาะเคราะห์ก็คงไม่ใช่วิธี ที่บริสุทธิ์หนัก เพราะเป็นการสร้างหนี้ใหม่ให้เกิดขึ้นมาอีกแม้ว่าจะเป็นหนี้สินเงินทองไม่ ใช้หนี้ที่เป็นหนี้กรรมก็ตาม แต่กระจะนำความทุกข์มาสู่คุณได้อีกในภายหลัง

    ดังนั้น วิธีที่ได้ผลแรงและดีที่สุดคือการ "สวดมนต์เจริญสมาธิรักษาศีล" เพราะเป็นวิธีที่ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ต้องเสียเงินเสียทอง อีกทั้งยังปฏิบัติได้ทุกวันด้วย
    แต่สำหรับบางท่านที่มีกรรมหนักควรทำควบ คู่ไปกับวิธีอื่นๆด้วย โดยการขออโหสิกรรมมีวิธีในการขออโหสิกรรม หลายวิธีดังนี้
    ๑.ถือศีล๕ หรือศีล๘ โดยอาจถือปฏิบัติเคร่งครัดโดยกำหนดถือ ๓ วัน ๗ วันต่อเดือน หรือทุก ๓ เดือนเป็นต้น
    ๒.กินเจ หรือเลิกรับประทานเนื้อสัตว์เป็นบางประชนิด
    ๓.นั่ง สมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน ตามแต่โอกาส
    ๔.สวดมนต์ภาวนา กรวดน้ำ แผ่เมตตา เจริญภาวนา เป็นประจำ
    ๕.ปล่อยนก ปล่อยปลา ตักบาตรพระ
    ๖.ถวายสังฆทาน ถวายเทียน ของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ
    ๗.การถือบวช หรือเว้นจากการเบียดเบียดผู้อื่น เป็นต้น


    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการบอก บุญให้ผู้ไม่รู้ทราบ หรือท่านที่ปฏิบัติมาดีโดยตลอดอยู่แล้วได้ยึดถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทนหรือสิ่งอื่นประการใด หากแม้ว่าบุญใดกุศลใดที่ข้าพเจ้าพึ่งมีพึ่งใด ก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายขอให้ได้รับโดยทั่วถึงกัน ทุกผู้ทุกคนเถิด ขออนุโมทนา สาธุ....


    ด้วยรักและปารถนาดีอย่างจริงใจ...
    ธูปพยากรณ์หนึ่งเดียวในโลก...
    Master Antiga Ariyachawul...
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้ารู้จักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายกันอย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมเลี้ยงจิตใจให้เป็นสุขสงบเย็นด้วยแล้ว การเกิดนั้นจะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทรมานติดคุกตะรางในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตายทุกๆ ชาติทีเดียว ถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบตามทางธรรมบ้างแล้ว แม้คนรวยที่อยู่ตึกก็มีความสุขสู้คนจนที่อยู่กระท่อมซอมซ่อไม่ได้

    ความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง ความสุขวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้ เพราะพระธรรมบังคับไว้อย่างตายตัว ทำอย่างไรจึงจะได้รับความสุขครบถ้วนตามนั้นทุกวัยๆ ไป เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมาชาติหนึ่ง และจะป่วยการที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

    อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าคนเราจะอยู่ในวัยไหน หรือประกอบอาชีพการงานอะไร ทุกคนและทุกวัยจะต้องมีความรู้ธรรมะไว้เป็นน้ำดับไฟ อันจะเกิดขึ้นจากการประกอบการงานนั้นๆ เป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นแล้วการอยู่เป็นคนก็กลายเป็นการทนอยู่ในนรกหมกไหม้ชนิดหนึ่งนั่นเอง ไม่มีเวลาสร่างซา จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป ไม่เคยประสบของดีที่พึงจะได้จากการเกิดมาเป็นคน

    แท้จริง การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันคืน ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส เราก็มีความสุขเย็น แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้ และเกรียมไปได้ในที่สุด แม้ไม่ถึงอย่างนั้นก็จะตกอยู่ในลักษณะของคนอยากน้ำ คอแห้งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะหาน้ำอะไรมาดับความกระหายของตนได้

    ชีวิตของคนเรานี้เป็นยักษ์ที่โหดร้ายอยู่ในตัวชีวิตนั้นเอง มันจะถามเราว่า เกิดมาทำไม? ถ้าเราตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เสียเลย มันก็จะกินเรา ถ้าตอบผิดๆ ถูกๆ มันจะตบหน้าเรา และขี่คอเราไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าตอบถูกจริงๆ แม้เพียงคำเดียวเท่านั้น ยักษ์นั้นเองจะปักคอตัวมันตายต่อหน้าเรา ไม่มีอะไรมารบกวนเราให้มีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป

    พระธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราตอบปัญหาของยักษ์ได้ พระธรรมเท่านั้นที่จักหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สดชื่นช่วยให้คนทุกคน ทั้งวัยเด็ก หนุ่มสาว และแก่เฒ่ามีความสุขสงบเย็น ได้สมตามวัยของตนๆ พระธรรมจะช่วยดับไฟให้ทุกคราวที่เกิดขึ้นในการประกอบกิจทุกชนิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ในทุ่งนาป่าสวน ในย่านตลาดร้านโรงเรือน อาคารสถานที่ราชการ ตลอดจนปราสาทราชฐาน ทั้งในมนุษย์โลกและเทวโลก

    พระพุทธเจ้าก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยพระธรรม จึงดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แม้ตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงเคารพใครหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ยังทรงเคารพพระธรรมอย่างเคร่งครัด เมื่อพระพุทธเจ้าเองยังทรงเป็นถึงเช่นนี้แล้ว จะนับประสาอะไรกับพวกเราทั้งหลาย บรรดาที่กำลังทูนกงจักรไว้บนศีรษะ เพราะสำคัญเห็นเป็นดอกบัว ที่จะไม่ต้องอาศัยพระธรรม

    เราทั้งหลายจงมีความสนใจและหันหน้าเข้าหาพระธรรมกันเถิด พระธรรมเป็นของสิ่งเดียวที่สามารถดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ให้สิ้นไปจากบุคคลทุกคน ทุกวัย ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอาชีพการงาน และทุกๆ สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าโลกนี้จะแปรผันไปอย่างไร โลกนี้จะพลิกหัวหกก้นขวิดอย่างไร พระธรรมอย่างเดียวยังคงเป็นที่พึ่งได้อยู่นั่นเอง และเป็นที่พึ่งได้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    เมื่อความจริงมีอยู่อย่างนี้ ขอเราทั้งหลายจงพยายามเสาะแสวงหาธรรมะมาเลี้ยงใจ เหมือนกับที่แสวงหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงกายกันจงทุกๆ คนเถิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะมีความประเสริฐสุด สมตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ทุกๆ ประการ ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว ก็จะเหมือนไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

    สาส์นนี้จากเพื่อนพุทธบริษัทถึงเพื่อนพุทธบริษัทด้วยกัน จงช่วยกันส่งให้อ่านให้ฟังต่อๆ กันไปเถิด จักก่อให้เกิดการกระทำชนิดที่เป็นความสะอาด สว่าง และสงบแก่ตัวเรา แก่บ้านเมืองของเรา และแก่โลกทั้งปวง ด้วยอำนาจของพระธรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย.

    จากธารน้ำไหล เขาพุทธทอง
    วันทำบุญตายาย ๕ ก.ย. ๒๔๙๗
     
  11. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,389
    ค่าพลัง:
    +19,712


    เขียนได้ฮาดีครับ 555 ผมก็มีเล่า ๆ บ้างที่กระทู้หลวงปู่ใหญ่ ห้องประสบการณ์พระเครื่อง คนอ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็เล่า ๆ ไปก่อนค่อยมาถามไถ่ทีหลัง 5555 การเล่าเรื่องไม่ง่ายจริง ๆ นะครับ เพราะคำเดียวกัน เรื่องเดียวกัน คนพูดคนเล่าคนละคนก็เข้าใจได้ต่างกันแล้วล่ะครับอันนี้ยืนยันเพราะเจอกับตัวเอง เพราะผมก็ประเภทพูดให้คนอื่นเข้าใจยากเช่นกัน

    ขอบคุณครับ
     
  12. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    ก็เพราะเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยากพิมพ์อยากเขียน อยากเล่า แต่ไม่เก่งเรียงความ ก็เลยได้แต่โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  13. surapong chot

    surapong chot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,212
    ผมขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับที่มีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะกับคุณtoplus99 ครับ ที่จะไปปฏิบัติธรรมปลีกวิเวก ผมขออนุโมทนาบุญในการไปฯนะครับ...ขอให้สมหวัง ดังที่ได้ตั้งใจ ผมเองอยากมีเวลา ไปปฏิบัติธรรมกับคุณ toplus99 ดอนก็ได้แต่อยากนะครับ...รอเวลา คงมีสักวัน ครับ...ขอบคุณ ทุกๆท่านในกระทู้นี้ในคำสนทนากัน นะครับ...
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    พุงกลมๆไปตักความรู้

    -----------------------------------------------------------
    พูดเสียนึกภาพออกเลย พี่ต้อยเอา"ใจ"ช่วยเป็นสองเท่าเลย ขอให้โชคดีและปลอดภัยนะคะ({):cool:
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (พุทฺธสโร) : หลวงพ่อเดิม

    พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (พุทฺธสโร) : หลวงพ่อเดิม
    ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๓ - ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๙๔
    วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    --------------------
    ต้นตระกูลของหลวงพ่อเดิม
    ต้นตระกูลของหลวงพ่อเดิม เป็นชาวนา อยู่ในหมู่บ้านหนองโพ ต้นรากเดิม โยมบิดาของท่านได้ถือกำเนิดที่บ้านเนินมะกอก (อยู่เลยหมู่บ้านหนองโพไปประมาณสองสถานี) ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับโยมมารดาของหลวงพ่อเดิม ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองโพและย้ายมาประกอบการอาชีพอยู่ที่บ้านโพ โยมบิดาของท่าน ชื่อ เนียม ส่วนโยมมารดาชื่อ ภู่ ในระยะที่โยมบิดามารดาของท่านประกอบอาชีพอยู่นั้นตรงกับสมัยหลวงตาชมเป็น เจ้าอาวาสวัดหนองโพ นามสกุลของหลวงพ่อคือ ภู่มณี

    หลวงพ่อเดิมถือกำเนิด
    ในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ วันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๒ ตรงกับวันที่๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๓ ฟ้าก็ได้ส่งให้หลวงพ่อมาจุติในโลกมนุษย์เพื่อยังความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ พุทธศาสนิกชนคู่วัดหนองโพ และจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อท่านถือกำเนิดมาเป็นลูกผู้ชายของตระกูล ย่อมเป็นที่ยินดีปรีดาของโยมบิดามารดา เป็นที่ยิ่ง จึงขนานนามท่านว่า “เดิม”

    สำหรับนามของท่านนี้มีนัยสันนิษฐานได้สองทางซึ่งจะยกมากล่าวได้คือ
    ก. ประการแรก ด้วยท่านเป็นบุตรชายคนหัวปีของโยมบิดามารดา สมใจที่ตั้งไว้จึงมีจิตนิยมยกย่องว่า เป็นประเดิม แต่ครั้นจะตั้งชื่อว่า “ประเดิม” ก็จะยาวไป จึงตั้งเสียว่า “เดิม” ซึ่งชาวบ้านเชื่อประการนี้มากที่สุด

    ข. ประการที่สอง มีเรื่องเล่ากันว่าท่านเคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นบุตรชายของโยมมารดาบิดาท่าน แต่หากเสียชีวิตเสียแต่เมื่อยังเด็ก โยมมารดาบิดาเสียใจมาก ก่อนจะนำไปฝังได้นำเอามีดมากรีดที่ฝ่าเท้า ไว้เป็นตำหนิเพื่อว่าถ้ากลับมาเกิดอีกจะได้จำได้ ซึ่งเมื่อเกิดมาก็มีรอยอย่างนี้จริงๆ สำหรับประการหลังนี้ ขัดข้อเท็จจริง เพราะบิดามารดานั้นรักบุตรและธิดามากแม้เมื่อมีชีวิตอยู่และตายแล้ว ดังนั้นการจะเอามีดคมๆ มากรีดมาเฉือนเท้าของลูกนั้นเป็นไปได้ยาก และคำเล่าลืออันนี้คงจะเป็นเพราะรอยเท้าของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นได้ เลยกลายเป็นเรื่องเล่าให้เขวไปอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นได้

    พี่น้องร่วมท้องของหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพี่น้องร่วมท้องดังลำดับได้คือ
    ๑. นางทองคำ คงหาญ ๒. นางพู ทองหนุน ๓. นายดวน ภู่มณี ๔. นางพันธ์ จันทร์เจริญ ๕. นางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น

    ชีวิตเมื่อเยาว์วัยของหลวงพ่อเดิม
    เนื่องจากหลวงพ่อเดิมเกิดในตระกูลชาวนาน เมื่อเยาวัยท่านก็ได้รับการนำเข้าไปหาพระหาวัด โดยการศึกษาของชาวนาหนองโพในตอนนั้นมีศูนย์กลางคือวัดหนองโพ เมื่อพ่อแม่ต้องการให้ลูกของตัวมีความรู้ก็นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปถวายเจ้า อาวาส น้อมถวายบุตรแห่งตนเข้าเรียนในสำนักโดยกล่าวคำปวารณาว่า “ขอฝากลูกของกระผม หรือดิฉัน ไว้ในปกครองดูแล จะดุด่าว่าตี สั่งสอนอย่างไร ก็แล้วแต่ขรัวเจ้าจะเห็นสมควร” ระยะที่จะนำบุตรมาฝากวัดก็อยู่ในฤดูแล้ง คือระหว่าง เดือน ๙ เดือน ๑๐ และเดือน ๑๑ เพราะว่าระยะนั้นว่างจากงานไร่นา เด็กจะได้ไม่เอาเวลาว่างไปเที่ยวเกะกะเกเรเข้าพวกพ้อง

    การศึกษาในสมัยนั้นจากบันทึกกล่าวไว้ว่า กระดานชะนวนหายาก พ่อแม่จึงหาไม้กระดานใสให้เรียบแล้วทำกรอบให้ถือถนัดมือ ลมไฟให้ดำ และเอาเขม่าดินหม้อทาให้ดำ และใช้ดินสอพองอย่างชนิดผสมคล้ายๆชอล์คในปัจจุบันเขียนลงไป เมื่อเวลาพระให้เขียนแล้วอ่าน เมื่อเขียนเต็มแล้วก็เอาน้ำลายลบเวลาลบถ้าสีดำที่ทาไว้ลอก ก็ต้องหาดินหม้อผสมกันแล้วทาทับตากให้แห้งจึงนำเอามาเขียนต่อ การเรียนเขียนอ่านมักจะทำเวลากลางวันเป็นส่วนใหญ่ โดยมีพระบ้าง ฆราวาสบ้าง ช่วยกันสอนให้เขียนอ่าน

    ตกเย็นถึงกลางคืนหลังจากกลับบ้านไปกินข้าวกินปลาแล้ว พระทำวัตรเย็นเสร็จก็พากันมาวัดต่อการเรียนกับพระที่วัด สิ่งที่สอนกลางคืนก็คือ การสวดมนต์บทต่างๆ อันเป็นพระพุทธมนต์ เช่น พระอิติปิโสถวายพรพระ และพระคาถาต่างๆ วิธีการเรียนก็คือเข้าไปหาพระตามกุฎิแล้วขอเรียน โดยท่านจะสอนให้วันละท่อนสองท่อนแล้วแต่สติปัญญาของเด็กแต่ละคน ใครหน่วนก้านดีก็ต่อมากหน่อย ใครท่าทางปัญญาทึบก็สอนน้อยหน่อย ท่องต่อหน้าท่านแล้วก็กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่เมื่อได้เวลาก็มาหาท่านแล้วท่องตอนที่สอนให้ไปท่องให้ คล่องไม่ผิดอักขระวิธีแล้ว ก็ต่อท่อนต่อไปให้ ถ้าท่องไม่ได้ก็ต้องท่องให้ได้ หรือไม่ก็ต้องกินไม้เรียวแทน เรียกว่าใครไม่เอาใจใส่ก็มีแนวโน้มไม้เรียวไปอวดพ่อแม่แน่ แต่สิ่งที่ดีก็คือจะได้รับการอบรมจากพระให้มีจิตใจสะอาด ไม่ข่มเหงใคร ให้รู้จักศีล รู้จักธรรม บางครั้งท่านก็เล่านิทานธรรมะให้ฟัง เช่น เรื่องในนิทานชาดกต่างๆ สนุกสนาน จนลืมนอนก็มี

    การสอนนั้นบางองค์ก็ใจดี เด็กๆ ชอบเรียน บางองค์ก็ดุเพราะวิชาอาคมแข็งเรียกว่าร้อนวิชาเด็กก็มักจะกลัว แต่พ่อแม่ชอบว่าพระดุดี กำหราบจอมแก่นแทนพ่อแม่ได้ และมักจะสอนดี มีคนมาฝากลูกหลานเข้าเรียนกันมากจนรับไม่ไหว การสอนหนังสือไทยสอนจนอ่านออกเขียนได้ตามความจำเป็นในการดำรงชีวิต จึงให้หัดหนังสือขอม(หนังสือใหญ่) คือหัดเขียน หัดอ่านหนังสือขอม อันเป็นภาษาที่จารึกพระเวทย์วิทยาดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ท่องสูตร สนธิ การเรียกนาม เรียกสูตร มูลกัจจาย์เป็นช่วงๆ ไป พอถึงหน้าทำนาทำไร่ คือ เดือน ๖ เป็นต้นไป ก็เรียกลูกกลับจากวัด มาช่วยงานในไร่ในนา เพราะลูกชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานตั้งแต่ตัวเล็กๆ เพราะพ่อแม่ก็ต้องทำมาหากินควบไปด้วย เรียกว่าช่วยกันทำช่วยกันกิน เป็นอยู่อย่างนี้ทำให้การศึกษาไม่ติดต่อเหมือนปัจจุบันนี้ เรียนบ้างหยุดบ้าง พอจะเรียนได้ก็ลืมเสียกลับมาเรียนใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่เรียกว่ายากลำบากเหลือ เกินในการหาความรู้ บางคนเรียนมาถึงอายุ ๑๕-๑๖ ปี พ่อแม่ก็ให้บวชเณรเป็นระยะเพื่อเรียนวิชา ที่บวชแล้วเรียนเรื่อยไปถึงบวชพระก็มี

    เมื่อได้บวชเป็นพระในวัดก็แบ่งออกเป็นสองแผนก คือ พระองค์ไหนบวชใหม่แล้วมีปัญญาดีชอบทางอักษรศาสตร์ ก็จะเล่าเรียนบาลี การแปรพระธรรมบท และอักขระเลขยันต์ คาถาอาคม ตลอดจนการปลุกเสก วิปัสสนากรรมฐาน พระเวทย์วิทยามนต์ การแพทย์แผนโบราณ เรียกว่าเรียนเพื่อเป็นพระอาจารย์เขา มีทั้งลบผง เสกผง และอุปเทห์ต่างๆ ตามคำภีร์โบราณ ซึ่งการเรียนอย่างนี้ส่งผลให้เกิดพระอาจารย์เจ้าที่มีอาคมขลังมามากต่อมา แล้ว ประเภทนี้โดยมากบวชแล้วไม่ยอมสึกตลอดชีวิต

    อีกแผนกหนึ่งบวชแล้วปัญญาไม่ดี หรือไม่ประสงค์จะเรียนทางวิชาอักษรศาสตร์ ก็เรียนทางการช่างต่างๆ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างปั้น การช่างฝีมือสารพัด เรียกว่าเมื่อครบพรรษาแล้วสึกออกมาก็มีความรู้ติดตัวออกมาประกอบอาชีพได้ สารพัด ประเภทหลังนี้มักจะบวชชั่วคราวเพียงพรรษาเดียว หรือสองพรรษา แล้วก็สึกไปทำมาหากิน ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น คือ การให้ศึกษาของวัดหนองโพต่อบุตรหลานของบ้างหนองโพ แต่หลวงพ่อเดิมมิได้ไปศึกษาดังเช่นเขาอื่น เพราะเป็นบุตรคนหัวปีของพ่อแม่ จึงไม่ค่อยจะได้เข้าวัดเรียนหนังสืออาจจะเรียนบ้าง แต่เนื่องจากความลำบากในการเรียนที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อเลยไม่ยอมเข้าเรียนก็เป็นได้
    ชีวิตในวัยรุ่นของหลวงพ่อเดิม
    เมื่อกล่าวถึงชีวิตในเยาว์วัยของหลวงพ่อเดิมแล้ว ก็จะขอว่าถึงชีวิตในวัยรุ่นของหลวงพ่อ ดังปรากฏในบันทึกว่า

    ๑. ชอบเลี้ยงสัตว์ เมื่อท่านอยู่ในวัยรุ่นท่านชำนาญในเรื่องนกเขามาก เรียกว่าดูลักษณะและฟังเสียงได้คล่อง เข้าใจว่าเรียนมาจากนายพรานดักนกในหมู่บ้าน ท่านชอบดักนก และต่อนกเขามาก มีนกต่อเสียงดีหลายตัว ทำการต่อนกเขามาเลี้ยง มีบางครั้งท่านเห็นใครมีนกดีก็เอาของไปแลกกับเขา ถ้าชอบใจแล้วเป็นไม่บ่น รักสัตว์ทุกชนิดมาแต่รุ่นหนุ่ม จึงติดมาถึงเมื่อบวชแล้วก็รักสัตว์และเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานก่ไปแลกนกเขา เรื่องรักสัตว์นี้ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าครั้งหนึ่งโยมบิดาได้ซื้อตุ้มหูระย้าให้ข้างหนึ่งให้ใส่ หู ท่านได้นำตุ้มหูไปแลกนกเขา ความรู้ไปถึงหูโยมบิดามารดา จึงถูกว่ากล่าวเอาบ้าง ท่านก็ลงทุนไปเหลาเพลาเกวียนขายเพื่อรวบรวมเงินมาคืนให้โยมบิดามารดาจบครบ ไม่ยอมเสียนกเขา

    ๒. ลักษณะพิเศษประจำตัว (ผ้าขาวม้าโพกศรีษะ) ปกติหลวงพ่อเดิมเมื่อรุ่นหนุ่มจะไปไหน มักจะเอาผ้าขาวม้าโพกศรีษะอยู่เสมอ เรื่องนี้เล่าว่า โบราณเขาว่า คนผมหยิก หน้ากร้อ คอสั้น ฟันขาว มักจะไม่มีใครคบ แต่หลวงพ่อเองแม้จะมีผมบนศรีษะหยิก แต่ท่านกลับมีผิวขาว สูงโปร่ง หน้ายาว ศรีษะนูนอันผิดกับตำรา แต่เมื่อท่านมีผมหยิกท่านจึงเอาผ้าโพกเสียเพื่อไม่ให้ถูกล้อเลียน อาจจะเป็นปมด้อยของท่านท่านอาจจะคิดไปว่าคนคงจะไม่ชอบจึงตัดปัญหาเสียด้วย การปิดบังศรีษะ)

    ๓. ไม่มีนิสัยติดโลกีย์ ในวัยหนุ่มสาวนั้นหนุ่มสาวในหมู่บ้านหนองโพมักจะไปร่วมงานต่างๆ เช่น ช่วยบ้านสาวปั่นด้าย ทอผ้า ช่วยทำนา ช่วยทำงานรอบกองไฟในเวลากลางคืน หมายตาสาวๆ ไว้เพื่อเป็นคู่หมั้นคู่หมายต่อๆ ไป เรียกว่า มีโอกาสก็เกี้ยวพาราศีกันตามทำนอง อยู่ในศีลธรรมอันดี ซึ่งสมัยโบราณเขารักษาประเพณีอันดีงามไว้ ผิดกับสมัยนี้มาก แต่ในจำนวนนั้นไม่มีหลวงพ่อเดิมอยู่ด้วย เพราะท่านไม่ชอบ คืออาจะเป็นกุศลประจำตัวของท่านที่จะได้บวชเรียนทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธ ศาสนา เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไม่ได้เป็นหลวงพ่อเดิมให้เราได้พึ่งบารมี ก็ได้ ในระหว่างที่หนุ่มสาวเขานั่งคุยกัน ช่วยกันทำงานนั้น หลวงพ่อจะทำบ้างก็คือ มักจะแอบเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาก้อนดินบ้าง คันยิงกระสุนบ้าง หรือท่อนไม้บ้าง มาปาใส่กองไฟ เพื่อให้เขาตกใจเอะอะกันพอเขาวุ่นวายท่านก็ชอบใจแอบไปหัวเราะคนเดียวใครๆ เขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือท่านเขาก็ให้อภัย เพราะรู้ว่าท่านชอบสนุกและไม่มีเจตนาจะทำให้ใครแตกกับใครหรือหันมารักท่าน

    ๔. ไม่เคยศึกษามาก่อนเลยในวัยรุ่น เป็นการแน่นอนว่าเมื่อท่านยังอยู่ในวัยรุ่นนั้น ท่านมิได้เล่าเรียนมาก่อนเลย แต่หากเรียนทีหลังทั้งนั้น(เมื่อบวชแล้ว) ท่านศึกษาเอาจากประสพการณ์ทั้งทางด้านช่างด้านการเลี้ยงสัตว์ ด้านการทำของต่างๆที่จำเป็น เรียกว่าแม้จะไม่เรียนหนังสือแต่ก็หาประสพการณ์เอาไว้หลายด้าน

    สรุปแล้วหลวงพ่อเดิมท่านออกจะแปลกกว่าคนอื่น ในรุ่นเดียวกันคือไม่ติดในกิเลสความรักของหนุ่มสาว ในวัยอันสมควร ไม่ยินดียินร้าย จึงเป็นสาเหตุให้ท่านบวชได้นานจนตลอดชีวิต โดยมิได้เคยมีความรักหรือรู้จักความรักมาก่อนเลยในชีวิต เรียกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก่อนจะเข้าอุปสมบท มีบุญเก่ามาเกื้อหนุนให้ท่านได้ดำเนินตามรอยพระพุทธบาทจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน
    สู่ความเป็นพระพุทธบุตร
    เมื่อท่านอายุครบบวชแล้ว โยมบิดามารดาได้สอบถามความสมัครใจของท่านในการจะอุปสมบทท่านไม่ขัดข้อง โยมบิดามารดาจึงจัดเตรียมอัฐบริขารการอุปสมบท นำไปอุปสมบทหลวงพ่อเข้าเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา ท่านได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๓ ค่ำ เดื อน ๑๑ ปีมะโรง โทศก ตรงกับวันที่ ๓๑ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยมี

    ๑. หลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม (วัดใน) เป็นอุปัชฌาย์
    ๒. หลวงพ่อเงิน(พระครูพยุหานุศาสก์)วัดพระปรางค์เหลือง ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอยุพหะคีรี (ครูสวด)
    ๓. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ตำบลสระทะเล อำเภอพยุหะคีรี (คู่สวด) ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาก็คือ “พุทธสโร”

    เมื่อุปสมบทแล้วได้เดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดหนองโพ เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามทางที่พระนวกะ จะพึ่งได้รับ ความยิ่งยงแห่งพระอุปัชฌาย์และคู่สวดของทาง
    ๑. หลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม (วัดใน) เป็นพระเถระที่มีความคงขลังเป็นที่เคารพนับถือ ของชาวจังหวัดนครสวรรค์ เชี่ยวชาญพระเวทย์วิทยาการ การวิปัสสนากรรมฐาน อิทธิปฏิหารย์มากมาย หลวงพ่อเดิมไปศึกษากับทางหลายอย่าง (โดยเฉพาะ นะ ปัดตลอด)

    ๒. หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง เป็นเจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรี เป็นผู้มีความยิ่งยงในพุทธาคมเป็นอันมากเป็นลูกศิษย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อ เฒ่า ( รอด) วัดหนองโพ เชี่ยวชาญทางด้านอาคม ทางวิปัสสนา มีวิชาที่ยอดเยี่ยมเป็นเอกคือ น้ำมนต์จินดามณีสารพัดนึก ใครได้รดน้ำมนต์จากท่านแล้วจะมีโชคชัย เคราะห์ร้ายหายดี ปราถนาทุกประการได้ดั้งประสงค์ เมื่อคราวล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จประภาสหัวเมืองเหนือ ได้แวะที่วัดพระปรางค์เหลือง และโปรดให้รดน้ำมนต์ถวาย ดังมีพระราชหัตถ์จดหมายเหตุประภาสต้น เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๔๔๙

    ๓. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เป็นพระเถระที่เป็นอมตะ อาคมขลัง วาจาสิทธิ์ เป็นที่ยำเกรงดีทางวิปัสสนา และน้ำมนต์ ตลอดจนมหาอุตม์ ไม่เคยออกของมงคลเป็นรูปท่านนอกจากพระเครื่องบ้างเป็นครั้ง ว่ากันว่าเมื่อท่านมรณะภาพไปแล้ว รูปหล่อก็ถ่ายรูปไม่ติด และมีการแห่รูปของท่านไปดูงิ้วในงานประจำปีนครสวรรค์เป็นประจำ มีเกร็ดว่า ทางกรรมการวัดทำเหรียญของท่านไปให้หลวงพ่อเดิมปลุกเศกเพื่อให้เกิดความขลัง เอาใส่ห่อผ้าขาววางไว้บนพานนำไปถวายท่านหลวงพ่อเดิมรับมาแล้วไม่ได้แก้ห่อ ออกยกขึ้นเหนือศรีษะของท่าน แล้วส่งคืนกำชับว่า ” ของดีแล้วไม่ต้องปลุกเสก ดีอยู่ที่ตัว” ทั้งที่กรรมการวัดก็ได้บอกท่านเลยว่าเป็นของหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล กรรมการวัดไม่เชื่อเอากลับไปลองยิงปรากฏว่าปืนด้านหมด
    การศึกษาหาความรู้ของหลวงพ่อเดิม
    ดังได้กล่าวไว้แต่ต้นไว้แล้วว่าตั้งแต่วัยเด็กมาจนกระทั่งรุ่นหนุ่ม หลวงพ่อมิเคยได้รับการศึกษาเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อนจนกระทั่งได้บวชเรียน และนำมาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองโพ ท่านจึงมาเรียนเป็นล่ำเป็นสัน ท่าในมีความมานะพยายามเล่าเรียนศึกษาดังได้เล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า

    ๑. เล่าเรียนคัมภีร์พระธรรมวินัย และท่องคัมภีร์พระธรรมวินัย ๑๐ ผูก อันเป็นหลักสำคัญของพระนวกะ ในสมัยนั้นจะต้องเรียน เป็นรากฐานการศึกษาต่อไปในการเป็นนักเทศนา แตกฉานในภาษาบาลีอันเป็นแกนไปสู่การกระทำวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ท่านเล่าเรียนวิชาการนี้กับหลวงตาชม เจ้าอาวาสวัดหนองโพ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเฒ่ารอด หลวงตาชมชื่นชอบความมานะพยายามของหลวงพ่อเดิมมาก ได้ทุ่มเทพลังการอบรมวิชาความรู้ที่มีอยู่ให้หลวงพ่อเดิม อย่างหมดไส้หมดพุง และยังแนะนำสถานศึกษาที่จะเพิ่มเติมให้อีกด้วย รวมเวลาเรียน ๗ พรรษา นับแต่บวชพรรษาแรก

    ๒. เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และคาถาอาคมเบื้องต้น นอกจากจะศึกษากับหลวงตาชมแล้วหลวงพ่อยังได้ไปมอบตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ พันธ์ ชูพันธ์ ซึ่งเป็นฆราวาส เป็นลูกศิษย์สายตรงของหลวงพ่อเฒ่าดังกล่าวแล้วเบื้องต้นอาจารย์พันธ์ เชี่ยวชาญมากทางปริยัติในสมัยนั้นในละแวกใกล้เคียง หาตัวจับยาก เมื่อหลวงพ่อได้รับการศึกษาจากอาจารย์พันธ์(ฆราวาส) เป็นบันไดก้าวแรก และก็ทำให้หลวงพ่อเดิมแตกฉานยิ่งขึ้นแต่เป็นที่น่าเสียด้ายว่า เมื่อหลวงพ่อเดิมได้เล่าเรียนได้ไม่นานนัก อาจารย์พันธ์ก็ถึงแก่กรรมหลวงพ่อจึงคงเล่าเรียนกับหลวงตาชม จนในที่สุดก็ได้รับการแนะนำให้ไปเรียนกับ

    ๓. หลวงพ่อมี วัดบ้านบน ต.ม่วงหัก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ท่านได้เล่าเรียนต่อทางพระปริยัติต่อกับหลวงพ่อมี ได้รับการถ่ายทอดจนก้าวหน้าแตกฉานออกไปอีกจนสิ้น ความรู้ของหลวงพ่อมีท่านก็ไม่ละความพยายาม ได้เสาะแสวงหาสำนักเรียนต่อ หลังจากเรียนกับอาจารย์มี ๒ พรรษา ได้ย้ายต่อไป

    ๔. อาจารย์แย้ม (ฆราวาส) วัดสระทะเล ได้เข้าเรียนพระปริยัติขั้นสูงต่อไปกับอาจารย์แย้ม (ฆราวาส) ซึ่งหลวงพ่อได้ตั้งอกตั้งใจเรียนจนเข้าใจแจ่มแจ้ง สามารถแปลเข้าสอบเปรียญในสนามหลวงได้ทีเดียว แต่ท่านกลับหลีกเลี่ยงการแปลธรรมในสนามหลวง ท่านได้เรียนเพื่อศึกษาหาความรู้เท่านั้นมิได้หวังเปรียญ หรือเป็นมหาแต่อย่างใด เมื่อเรียนพระปริยัติได้สมบูรณ์แล้ว ท่านรับการแนะนำให้ไปเรียนการเทศนา เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ท่านได้เรียนมาให้ญาติโยมสาธุชน พ่อแม่ พี่ป้า น้าอา ได้สดับท่านได้ไปศึกษาวิชาการเป็นนักเทศน์กับ

    ๕. พระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทอง เมื่อได้รับมอบตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทองแล้วก็ได้รับการสั่งสอนถึงการเทศน์ การอ่านใบลานเทศน์และทำนองเทศน์อันเป็นอักขระภาษาบาลี เป็นหลักสำคัญเนื่องจากท่านมีรากฐานความมั่นคงอยู่แล้วทำให้ง่ายแก่การเรียน ท่านเล่าเรียนอย่างเอาใจใส่จนหมดความรู้ของหลวงพ่อนุ่ม ท่านจึงเดินทางกลับสู่วัดหนองโพตามเดิม

    ๖. หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เมื่อหลวงพ่อเรียนปริยัติแล้ว ได้ไปศึกษาหาความรู้ทางวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล อันเป็นพระคู่สวดของท่าน ได้รับการถ่ายทอดวิชาการทางวิปัสสนาคาถาอาคม การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ตามที่หลวงพ่อเทศ ถนัดทุกประการ จะเรียนอะไรบ้างนั้น หลวงพ่อมีได้บอกไว้ละเอียด คงรู้แต่เพียงว่าท่านเรียนกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล

    ๗. หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ทางวิปัสสนากรรมฐานและการเจริญกษิน และที่แน่นอนคือ ” วิชาน้ำมนต์จินดามณีสารพันนึก” เพราะน้ำมนต์ของหลวงพ่อเดิมต่อมาก็คล้ายกับหลวงพ่อเงินวัดพระปรางค์เหลือง

    ๘. หลวงพ่อวัดเขาห่อ อ.ชนแดน บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ไม่ทราบชื่อหลวงพ่อแน่นอนแต่ท่านได้ศึกษาวิชาด้วย วิชาใดไม่ปรากฏ เพียงแต่ท่านพูดถึงอยู่เสมอ

    ๙. หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว ได้ยินมาจากบางที่ว่าท่านไปเรียนวิชามีดหมอกับหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว เพราะต่อมาท่านชำนาญในเรื่องมีดหมอและมีชื่อเสียงมาก พอท่านเรียนสำเร็จหลวงพ่อขำก็มรณะภาพขาดทายาทสืบต่อไประยะหนึ่ง ต่อมาหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้วจึงตามมาเรียนกับหลวงพ่อเดิม และกลับไปทำมีดหมอที่วัดเขาแก้ว

    การเรียนวิชาของหลวงพ่อนับแต่ปริยัติ คาถาอาคม วิปัสสนา และการทำของขลัง สรุปรวมแล้วกินเวลาถึง ๑๒ ปี นับแต่บวชมาทำให้ท่านมีความรู้มากมาย เป็นที่เคารพรักของชาวหนองโพทุกคน ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่มักจะคิดกันว่า หลวงพ่อเฒ่ารอด กับชาติมาเกิดเพื่อดูแลวัดของท่าน
    ปฏิปทา วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเดิม
    เมื่อได้กล่าวถึงการเล่าเรียนของท่านแล้ว จะได้กล่าวถึงองค์ท่านต่อไปอีก เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพพจน์ของหลวงพ่อเดิมได้ถนัด หลวงพ่อเดิม ท่านเป็นพระที่รูปร่างสูงใหญ่ผิวค่อนข้างขาว ศรีษะของท่านยาวและเป็นสง่าไม่ว่าท่านจะนั่ง ยืน เดิน ดูแล้วน่าเลื่อมใส่ เจรจาพาทีมีแต่คำหวานหู ไม่แช่งด่าใคร เมตตา ปราณี แววตาของท่านฉายแววสันติ และเปี่ยมด้วยความกรุณา ต่อสัตว์ผู้ยากทุกตัวตน ลักษณะพิเศษของท่านคือ นั่งยืดตัว ลำตัวตรง ไม่ค้อมเอียงไปด้านใด หรือหลังค่อม ยิ้มแย้มแจ่มใส่เป็นนิจไม่เคยเห็นท่านหน้าบึ้งเลยแม้ว่าจะมีอารมณ์โกรธ ขอให้ดูภาพถ่ายของท่านประกอบ ต่อไปจะว่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านต่อไป

    ๑. มานะ อดทน พากเพียร เรื่องนี้จะเห็นได้จากการเล่าเรียนของท่านในพรรษาต้นๆ ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวมาแล้ว ว่าหลวงพ่อเดิมไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พึ่งจะเริ่มเรียนเอาเมื่อบวช คนที่ไม่มีรากฐานมาก่อนเลยตั้งแต่เด็ก แม้แต่เณรก็มิได้บวชเพื่อเล่าเรียนเสียก่อน ท่านจึงใช้ความวิริยะ อุตสาหะ พากเพียรมาก เมื่อเรียนพระคำภีร์กับหลวงตาชมและเรียนพระปริยัติกับอาจารย์พันธ์ (ฆราวาส) ท่านหมั่นท่องจำตามคำสอนของพระอาจารย์ หนักเอาเบาสู่ ไม่ให้เป็นที่อิดหนาละอาใจต่อผู้สั่งสอน สอนอะไรก็จดจำเอาไว้ คิดไปค้นไป ไม่เข้าใจถาม ถามแล้วก็ไม่ถามอีกพยายามจดจำ ซึ่งท่านเคยพูดให้ลูกหลานของท่านฟังว่า ” ท่านมีนิสัยทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ ไม่สำเร็จเป็นไม่ละ คิดอะไรไม่ได้ก็ต้องคิดไปจนคิดได้ เห็นอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ความก็คิดค้นดัดแปลงแก้ไขไปจนกระทั่งสำเร็จเป็น รูปเป็นร่าง” ซึ่งความอดทนของหลวงพ่อทำให้หลวงพ่อได้รับความรู้ความชำนาญจากอาจารย์ผู้สอน ซึ่งถ้าท่านไม่ความอดทนแล้ว ท่านคงจะเลิกเรียนกลางคันเป็นแน่ หลักฐานพิสูจน์ความมานะพยายามของท่านคือ ระยะเวลา ๗ ปี แห่งความพากเพียรเรียนหนังสือของท่านแล้ว

    ๒. เป็นพระธรรมกถึกเอก เมื่อท่านได้เล่าเรียนมา ๗ พรรษาแล้วชำนาญในพระธรรมวินัย จึงเริ่มเป็นนักเทศน์ ทั้งเทศน์เดี่ยวและปุจฉาวิสัชนา ฝีปากของท่านในการเทศน์ว่ากันว่าเป็นเยี่ยม ไปเทศน์ที่ใดญาติโยมมาฟังกันแน่น ทั้งเข้าใจง่ายทั้งสนุกไม่ชวนเบื่อ เนื่องจากหลวงพ่อมีพระอาจารย์ดี ไม่ว่าจะเป็นเทศน์มหาชาติ เทศน์ชาดก หรืออะไรก็ตาม ท่านได้รับนิมนต์ไม่ว่างเว้น พอกลับมาถึงวัดเจ้าภาพก็มาคอยอยู่แล้ว ถวายของเพื่อให้รับนิมนต์ เรียกว่าไม่ได้อยู่ติดวัด ใครๆ ก็อยากฟังหลวงพ่อเทศน์ หาพระธรรมกถึกมาเทียบหลวงพ่อยากในสมัยนั้น ท่านเทศนาสั่งสอนเขามากเข้าๆ ในที่สุดบารมีเก่าของท่านก็ส่งตามมาส่งเสริม

    ๓. เทศน์สั่งสอนเขา สอนตัวเราบ้าง วันหนึ่งจะเป็นด้วยกุศลของท่านที่จะส่งให้ท่านเป็นพระอาจารย์ที่เป็นที่ เคารพบูชา ของคนทั้งประเทศก็เป็นได้ บุญเก่าของท่านตามมา ท่านได้หยุดรับนิมนต์เทศน์เสียเฉยๆ ทำให้ญาติโยมที่มานิมนต์ท่านผิดหวัง แต่ท่านก็ได้จัดพระที่วัดหนองโพไปเทศน์แทนท่านทุกคราวไป เมื่อท่านเลิกเทศน์แล้ว มีลูกศิษย์ลูกหามาถามท่านว่าทำไมไม่เทศน์เหมือนเก่าเล่าขอรับ ท่านตอบเป็นปริศนาว่า “สอนคนอื่นให้เขาทำดีมามากมแล้ว ต้องหันมาสอนตัวเองเสียบ้าง” หลังจากนั้นท่านจึงได้เดินทางรอนแรมไปศึกษาวิชากับพระอาจารย์ที่เคยอุปสทบ ทท่าน เช่น หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลืองหลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม เป็นต้น ทางวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อสอนตัวเอง คือทำให้ท่านมีความลุ่มลึกในพระธรรมวินัย และญาณอันแก่กล้าตามแนวทางที่พระเถราจารย์เจ้าแต่โบราณาได้ใช้ให้เป็น ประโยชน์สืบต่อมา เพราะถ้าท่านเป็นนักเทศน์อยู่แล้ว เราท่านอาจจะไม่ได้รู้จักหลวงพ่อเดิมเหมือนที่เราได้รู้จักท่านอยู่เดี่ยว นี้ก็เป็นได้

    ๔. สันโดษ ไม่ลุ่มหลงในลาภยศ สรรเสริญ เมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสนั้นท่านก็เป็นไปตามธรรมดา ไม่มุ่งหวังในยศศักดิ์ ครองจีวรเก่าคร่ำคร่า ไม่ชอบครองจีวรใหม่ จะครองต่อเมื่อมีญาติโยมมาถวายเพื่อให้ญาติโยมเหล่านั้นได้ชื่นใจในกุศลที่ ตั้งใจถวาย พอลับหลังแล้วท่านก็ถอดเก็บเอาไว้ เมื่อมีพระในวัดหรือวัดอื่นที่ขาดแคลนท่านก็ให้ต่อไป จีวรของท่านบางครั้งถึงกับประชุนก็มี ลาภสักการะของถวาย ของทานต่างๆ ที่เขาถวายมา ท่านก็ไม่แยแส ใครมาขอก็ให้ไป ของนั้นจะมีค่ามากหรือน้อยไม่สำคัญ ใครขอเป็นให้ อาทิ นาฬิกา ตะเกียงลาน ปั้นน้ำชา กระโถน ถ้วยชามลายครามของกินของใช้ต่างๆ หมอนปัก หมองอิง มาถึงวัดใครมาขอก็ให้ แต่มีกฏว่าขอแล้วต้องเอาไปเลย เพราะถ้าทิ้งไว้กับท่านแล้วมีคนมาขอต่อท่านก็ให้ไป เมื่อมีเจ้าของที่ขอท่านแล้วกลับมา ของท่านก็บอกว่าให้คนอื่นไปแล้วก็นึกว่าจะไม่เอา เมื่อท่านแจกไม่มีใครจะทัดท่านเพราะเกรงใจ

    จากคำบอกเล่าของท่านพระครูนิพันธ์ธรรมคุต เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเดิมท่านแจกของเขาไปจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ท่านจึงได้ขอเอาไว้บ้างไม่ใช้เพื่อท่านเอง แต่เพื่อจะเหลือของไว้เป็นอนุสรณ์ของหลวงพ่อบ้าง เป็นตู้ไม้สักแกลายแบบเก่าหนึ่งตู้ภายในบรรจุของที่มีผู้ถวายเขียนไว้ที่ตู้ ว่า ต้นทานของท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ อยู่ที่กุฏิของท่านเดี๋ยวนี้ ถ้าท่านไม่ขอคงจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว

    อีกอย่างหนึ่งที่ท่านพระครูนิพันธ์ธรรมคุต ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังเพิ่มเติมก็มี ว่ามีคุณหลวงทางกรุงเทพ ถวายโต๊ะหมู่ไม้ชิงชันประดับมุกไฟอย่างดีหนึ่งชุด พร้อมนาฬิกาปารีสประดับมุกเหมือนกัน หลวงพ่อรับถวายไว้ยังไม่มีใครมาขอ

    วันหนึ่งท่านพระครูจึงคลานเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วเอ่ยปากว่า “หลวงพ่อขอรับ ผมขอโต๊ะหมู่และนาฬิกาเป็นสมบัติของวัดหนองโพ” หลวงพ่อเดิมท่านถอยหายใจมีสีหน้าแช่มชื่นกล่าวตอบ “อ้ายพ่อคุณเอ๋ย อยากให้ขอมานานแล้ว” ถ้าช้าไปวัดอื่นที่เขายากจนมาขอก่อนก็จะให้เขาไปของที่กล่าวมานี้ปัจจุบันไป ดูได้ที่วัดหนองโพ ให้เห็นเท็จและจริง

    แม้แต่เงินทองที่เขามาถวายท่านหรือมาเช่าวัตถุมงคลท่านก็ไม่ใส่ใจ ท่านมีหน้าที่อย่างเดียว คือแจกและปลุกเสก เงินทองที่เขาถวายก็เอาใส่ตู้ไว้ ท่านไม่หยิบไม่ต้อง ไม่เกี่ยว กรรมการวัดจัดการเอาเองท่านพระครูเจ้าอาวาสกล่าวว่า วันหนึ่งๆ มีรายได้เข้าในตู้ประมาณไม่ต่ำกว่าหมื่นกว่าบาททุกวัน เมื่อท่านจะต้องการเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ สร้างถาวรวัตถุท่านจะขอจากกรรมการวัดไปมอบให้วัดนั้นๆ หรือไม่ท่านก็ไปเป็นประธานแล้วทำวัตถุมงคลออกเช่าจำหน่ายจ่ายแจก ที่วัดนั้นๆ เอาเงินมาสร้างถาวรวัตถุต่างๆ นายธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวไว้อย่างเหมาะสมที่สุดว่า “เงินทองกระทบเพียงแต่นัยน์ตาของหลวงพ่อเท่านั้นมิได้กระเทือนเข้าไปถึงข้าง ใน (จิตวางเฉยไม่ยินดี)”

    ๕. ยศศักดิ์ไม่ยินดี เรื่องนี้หลวงพ่อมีความสมถะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ยังคงเหมือนก่อนที่เคยเป็นมา แม้แต่เมื่อทางราชการได้เห็นคุณงามความดีของท่าน ได้ช่วยกิจการพระพุทธศาสนา มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ท่านมีสมณศักดิ์เป็นที่ “พระครูนิวาสธรรมขันธ์” เจ้าอาวาสวัดหนองโพและ เจ้าคณะอำเภอหยุหคีรี แทนที่พระครูพยุหานุศาสก์(สิทธิ์) ซึ่งมรณภาพลง ท่านก็วางเฉย ลูกศิษย์ลูกหาต้องเป็นธุระไปรับพัดยศ และแห่แหนไปให้ท่านถึงวัด ซึ่งท่านก็วางเฉยไม่ยินดียินร้าย เมื่อได้มาก็เอาไว้เป็นที่ชื่มชมของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ส่วนหลวงพ่อคงยินดีแต่จะให้เรียกท่านว่า “ท่านอธิการเดิม” “หลวงพ่อเดิม” หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ พระครูเดิม เท่านั้น ท่านถือว่าสมณศักดิ์เป็นของทางโลกกีดขวางทางสงบ “พระครูนิวาสธรรมขันธ์” นั้นคือพัดยศ แต่ท่านก็คือหลวงพ่อเดิม แม้แต่ในเหรียญรุ่นแรกที่ท่านอนุญาตให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ก็ระบุเพียง “หลวงพ่อพระครูเดิม วัดหนองโพ” ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงรู้จักท่านในนามของ “หลวงพ่อเดิม” มากกว่ายศของท่าน คือท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์

    ๖. มีความเป็นอยู่เรียบง่ายไม่ชอบความสบาย จำเดิมแต่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองโพต่อจากหลวงตาชม ท่านไม่ชอบอยู่กุฏิ ท่านชอบอยู่ที่ศาลาเล็กของท่านโปร่งทั้งสี่ด้านมีเพียงเสื่อลำแพนกั้นกันลม กันฝนเท่านั้น สมบัติมีค่าของท่านไม่มี เพราะมีแจกให้เขาหมด มีคนศรัทธาปลูกกุฏิให้ท่านก็ไม่อยู่ท่านบ่ายเบี่ยง เมื่อสร้างศาลาการเปรียญก็มาอยูศาลาการเปรียญ ในที่สุดท่านก็กลับไปศาลาเล็กของท่านอีกไม่อยู่กุฏิ จนในที่สุดพรรษาหลังๆ ที่ท่านชราภาพมากแล้ว ลูกศิษย์ขอร้องงรบเร้าท่านจึงใจอ่อน ด้วยลูกศิษย์ใช้วิธีขออนุญาติรื้อศาลาเล็กของท่านไปเป็นศาลาข้างเมรุเผาศพ เสีย เพื่อให้ประโยชน์แก่บรรดาญาติผู้ตายในการทำฌาปนกิจ แล้วช่วยกันนิมนต์ท่านไปอยู่กุฏิที่ปลูกให้จนมรณะภาพ อันที่จริงท่านบอกว่าท่านไม่ค่อยได้อยู่วัดเพราะต้องไปช่วยเขาก่อสร้าง มากกว่า และอีกประการหนึ่งท่านพอใจในความเป็นอยู่ง่ายๆ ดังพุทธพจน์ที่ว่า “บุตรตถาคถต้องเป็นคนเลี้ยงง่าย”

    ๗. พุทโธวาทเตือนตนจนชั่วชีวิต เรื่องนี้ยืนยันได้หลายคนที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดปรนนิบัติหลวงพ่อเดิม จะเห็นว่าตอนเช้าเวลาประมาณตีสี่ตีห้า อันเป็นเวลาสงบงัดเงียบ ท่านจะตื่นขึ้นมาทำวิปัสสนา และก่อนนั้นท่านจะอ่านหนังสือใบลานสั้นๆ อยู่เล่มหนึ่ง ที่ว่าเป็นเล่มนั้นมิใช้เล่มหนังสือปัจจุบัน แต่หากว่าเป็นการเอาใบลานมาตัดแล้วจารย์อักษรลงไป ท่านอ่านอยู่อย่างนั้นตั้งแต่หนุ่มๆ จนกระทั่งถึงพรรษาสุดท้าย นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้สอบถามจากคนรุ่นก่อนตัวเขาเอง หลังจากที่ได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อนอนอยู่ปลายเท้าหลวงพ่อ และตื่นมาเห็นหลวงพ่ออ่านหนังสือใบลานสั้นๆ อยู่ก็ได้ความตรงกันว่า ไม่ว่าหลวงพ่อจะอยู่วัดหรือเข้าป่าไปตัดไม้ ไปธุดงค์ หรือไปกิจนิมนต์ที่ใดก็ตาม

    ท่านจะติดหนังสือนี้ไปตลอดเวลาคู่ชีวิตท่าน แต่ไม่มีใครกล้าขอท่านดูเพราะเกรงใจ จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพแล้วรดน้ำศพของท่าน นายธนิต อยู่โพธิ์ได้ขึ้นไปค้นดู พบหนังสือนี้เข้าจึงนำมาเปิดดูโดยขอขมาลาโทษดวงวิญญาณของท่าน จึงได้ความจริงว่าหนังสือที่หลวงพ่ออ่านทุกเมื่อเชื่อวัน จนตลอดชีวิตนั้นคือ คัมภีร์ปริศนาธรรมสำนวนเก่าทั้งปุจฉาและวิสัชนาเกี่ยวกับคำสอนอันลุ่มลึกของ องค์พระชินสีห์มีอยู่ ๖๒ ลาน (จารย์ลงในใบลานสั้น ๖๒ ใบ) คือ มูลกันมัฏฐานและวัปัสนา อีกคัมภีร์หนึ่งคือพะรอธิธรรมภายใน มีอยู่ ๑๖ ลาน จึงแจ่มแจ้งว่าหลวงพ่อท่านสอนตัวท่านเองด้วยพุทโธวาท จนตลอดชีวิตสมดังที่ท่านกล่าวกับศิษย์ก่อนจะเลิกเป็นพระธรรมกถึกเอกว่า “สอนคนอื่นมากมาย ต้องสอนตัวเองเสียทีหนึ่ง และมิใช่ว่าสอนเพียงวันสองวันแต่หากตลอดชีวิตของท่านเลยทีเดียว”

    เมื่อสรุปความจากปฏิปทาของหลวงพ่อเดิมที่กล่าวมาทำให้เห็นว่า หลวงพ่อเป็นผู้มีความเพียรเป็นเลิศ บำเพ็ญเพียรจนหน่ายกิเลศ ไม่ติดในลาภสักการะ โลกธรรมแปด เป็นผู้สำรวมระวังในศีลาจารวัตรจนตลอดชีวิต เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์โดยแท้จริง เป็นผู้ให้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่เป็นผู้ที่ชอบรับ ถึงรับมาให้ต่อเขาไปหมด เงินทองท่านไม่ยินดี ลาภยศสรรเสริญไม่อยู่ติด ความเป็นอยู่เรียบง่าย เมตตาเพื่อนมนุษย์ผู้ตกยาก จึงทำให้พระกิตติคุณของท่านขจรขจายมาถึงปัจจุบันนี้
    เนื่องจากคุณงามความดีของหลวงพ่อเดิมเป็นที่เลื่องลือมาก ทางการจึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ “พระครูนิวาสธรรมขันธ์” เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ท่านมิได้ไปรับพัดยศเอง คงให้ลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือ เช่นนายอำเภอ และกรรมการวัดไปรับมา เมื่อมาถึงสถานีรถไฟมีการแห่แหนสัญญาบัตรพัดยศ ด้วยขบวนช้างม้า ตลอดจนพ่อค้าประชาชน และลูกศิษย์ลูกหาที่พากันชื่นชมยิรดี หลวงพ่อท่านรับพัดเก็บไว้ในที่อันสมควรแล้ว จึงให้ศิษย์ทั้งหลายรดน้ำท่านเป็นการแสดงมุทิตาจิต และแจกของที่ระลึกให้ทั่วกัน และย้ำให้ลูกศิษบ์ลูกหาทราบทั่วกันว่า ท่านยินดีที่ได้มาแสดงมุทิตาจิตกัน แต่สำหรับท่านแล้วคือ พระครูเดิม หรือหลวงพ่อเดิม หรือหลวงปู่เดิม ของลูกศิษย์เหมือนเดิมที่เคยมา พระครูนิวาสธรรมขันธ์ นั้นคือ สัญญาบัตรพัดยศเท่านั้น และหลวงพ่อเองก็ดำเนินชีวิตตามธรรมดาของท่านไป โดยมิได้ใยดีในลาภยศแต่ประการใด

    ต่อมาท่านพระครูพยุหานุศาสก์ (สิทธิ์) เจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรีมรณภาพลง ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอว่างลง ทางการได้ประชุมเจ้าคณะสงฆ์ประจำจังหวัดเพื่อเสาะหาพระครูสัญญาบัตรที่เหมาะ สมเข้าดำรงตำแหน่งแทน มติของที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ให้ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ เจ้าอาวาสวัดหนองโพผู้เชี่ยวชาญในพระเวทย์และมีพระกิตติคุณเป็นที่เลื่อมใส ของบรรดาผู้คนทั้งในและนอกจังหวัดเป็นเจ้าคณะอำเภอพยุหคีรีต่อไป เมื่อท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอแล้วก็ได้สร้างความเจริญเป็นเอนกประการ

    ท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอมาไม่นานนัก พระอุปัชฌาย์ในเขตพยุหะคีรีไม่เพียงพอกับจำนวนกุลบุตรที่จะอุปสมบท และหลวงพ่อเดิมมีอายุพรรษาและความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง ทำให้ทางคณะสงฆ์มอบตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ให้กับหลวงพ่อ เพื่อทำการอุปสมบทกุลบุตร นับแต่ท่านได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านก็ได้รับนิมนต์ไปนั่งอุปัชฌาย์ไม่เว้นว่าง ทำให้หลวงพ่อเหน็ดเหนื่อยเป็นอันมาก และให้การอุปสมบทตั้งแต่พ่อมาจนถึงลูกก็มี ด้วยท่านอายุพรรษากาลมาก มาได้รับการยกเป็นกิติศักดิ์เมื่อมีอายุได้ ๙๐ ปี เพราะท่านชราภาพ

    ล่วงรู้วาระสุดท้าย
    ทุกคนก็พยายามประคับประคองหลวงพ่อเพื่อให้หลวงพ่ออยู่เป็นมิ่งขวัญให้นานที่ สุดถึง ๑๐๐ ปีได้ยิ่งดีใหญ่ แต่หลวงพ่อก็ยังแข็งแรงดีไม่มีวี่แววจะเจ็บป่วยแต่อย่างใด ทุกคนก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงพ่อจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้

    ต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อมีอายุได้ ๙๒ ปี พอดี วันหนึ่งหลวงพ่อได้เรียกกรรมการวัดตลอดจนถึงญาติโยมที่ใกล้ชิด ของท่านมาประชุมพร้อมกัน เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้วหลวงพ่อได้กล่าวขึ้นในที่ประชุมปรารภถึงมรณ สัญญาณท่าน ซึ่งทำให้ทุกคนตะลึง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าหลวงพ่อจะมรณภาพเร็วถึงปานฉะนี้ หลวงพ่อมีคำขอร้องต่อผู้ที่มาร่วมประชุมว่า

    ๑. ขอมอบภารกิจในการบริหารกิจการของวัดหนองโพ ตามที่หลวงพ่อได้กระทำมา (เป็นการปลงบริขาร) ให้กับหลวงพ่อ (ต่อมาได้เป็นท่านพระครูนิพันธ์ธรรมคุต) เจ้าอาวาสวัดหนองโพในปัจจุบัน ให้ดูแลรักษาแทนทานให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้ชาวบ้านช่วยกันอุปถัมย์หลวงพ่อน้อยช่วยกิจการวัดตามเคยที่ช่วยท่านมา เพื่อให้เกิดความประสานสามัคคีระหว่างวัดและชาวบ้าน

    ๒. หลวงพ่อจะมรณภาพในไม่ช้านี้แล้ว อย่าเสียใจในมรณะกรรมของท่าน เพราะเป็นกฎแห่งกรรม ขอให้ช่วยกันต่อโลงศพให้หลวงพ่อเพื่อจะได้ไม่เป็นธุระรบกวน หรือยุ่งยากจัดหาเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว คนข้างหลังจะได้ไม่เดือดร้อน เพราะการเตรียมล่วงหน้าเป็นการไม่ประมาทในการทั้งปวง ดังพระดำรัสแห่งพระบรมศาสดา

    ๓. ให้ช่วยกันสร้างเมรุเพื่อพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ ตามกำลังศรัทธาของญาติโยม เวลาท่านมรณภาพแล้วจะได้สะดวก ไม่ต้องมาทำทีหลังให้เป็นการเร่งรีบและเหน็ดเหนื่อย โดยใช้เหตุสำหรับข้อสามนี้กรรมการวัดคิดว่า หลวงพ่อคงจะไม่มรณภาพในเวลาอันใกล้ จึงมิได้สั่งจัดทำเสียพร้อมกับโลงศพ จนหลวงพ่อแสดงอาการว่าจะมรณภาพแน่แล้วจึงสิ่งทำเมรุนั้นจึงเสร็จ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว
    มรณสัญญาณมาถึงหลวงพ่อเดิม
    จากเดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเดือนเมษายน งานสงกรานต์สรงน้ำหลวงพ่อผ่านไปแล้ว หลวงพ่อก็ยังแข็งแรง และยังคงไปเป็นประธานสร้างพระอุโบสถวัดอินทรารามดังกล่าวแล้ว ท่านเคยพูดแย้มๆ ว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายในชีวิตของหลวงพ่อ เพื่อสนองคุณพระอุปัชฌาย์ ล่วงมาถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ หลวงพ่อกลับมาจากการเป็นประธานในการก่อสร้างพระอุโบสถวัดอินทรารามถึงวัด หนองโพ ท่านก็มีอาการโรคลมปัจจุบันเข้าแทรกทำให้หลวงพ่อถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อลุกไป ไหนมาไหนไม่ได้ และมีอาการโรคชราเข้าแทรกด้วย ลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมได้จัดหาหมอทั้งแผนโบราณมารักษาอาการของท่าน ผู้คนอื่นทราบข่าวหลวงพ่อเดิมอาพาธหนักก็พากันมาเยี่ยมท่านมีอาการทรงกับ ทรุดอยู่ตลอดเวลาไม่ดีขึ้น จนกระทั่ง

    หลวงพ่อเดิมมรณภาพ
    ถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ตรงกับวันอังคาร แรม ๒ ค่ำ เดือน ๖๖ อาการของหลวงพ่อทรุดหนักลงตั้งแต่ตอนเช้า ญาติโยมเข้าพยาบาลอยู่ใกล้ชิด มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นคือ วันนั้นช้างของหลวงพ่อที่ทำงานอยู่ในป่าได้ดิ้นรนไม่ยอมทำงาน ทั้งๆ ที่ควาญช้างก็บังคับอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้มัยทำงาน แต่มันกลับหันหลังมุ่งหน้าเดินจะมาวัดหนองโพ ควาญช้างซึ่งทราบอาการของหลวงพ่อดีก็ปรึกษากันแล้วเลิกงาน ช้างก็พากันเดินดุ่มมาวัดหนองโพอย่างรีบร้อน มาถึงวัดก็ตอนที่หลวงพ่ออาพาธหนักหมดทางเยียวยารักษาแล้ว มันหงอยเหงาอย่างเห็นได้ชัดไม่ยอมกินหญ้ากินอะไรทั้งนั้น คงวงเวียนอยู่ใกล้ๆ กับกุฏิที่หลวงพ่อนอนป่วยอยู่ไม่ได้ส่งเสียงร้องให้ได้ยินถึงหลวงพ่อ เหมือนมันจะรู้วาระมรณะภาพของหลวงพ่อว่า หลวงพ่อชุบเลี้ยงมันมาดุจบิดานั้นกำลังจะจากมันไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับมาอีกในเวลาอันใกล้นี้

    อภินิหารครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อเดิม
    ในวันนั้นหลวงพ่อเดิมมีอาการเพียบหนัก แต่สติของหลวงพ่อเดิมยังดีอยู่ คงหลับตานอนอยู่กับที่พร้อมกับเจริญภาวนาเป็นลำดับ สลับกับการลืมตาถามเวลาว่าเวลาเท่าใดแล้วเป็นระยะๆ ไป ไม่แสดงอาการกระสับกระสายให้เห็นเลย คงมีความอดทนอย่างเยียมยอดสมกับเป็นนักปฏิบัติธรรมอย่างเยี่ยม เป็นเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. หลวงพ่อลืมตาแล้วถามเวลาเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้หลวงพ่อถามว่าน้ำในสระทั้งสองลูกมีระดับเป็นอย่างไร พอกินกันไหม เพราะหลวงพ่อไม่ได้ออกไปตรวจตรา จึงเป็นห่วง ด้วยน้ำในสระนั้นคือเส้นโลหิตใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้านหนองโพด้วย เป็นที่ดอนกันดารน้ำ หลวงพ่อพยายามขยายสระให้กว้างขึ้นเป็นลำดับเพื่อเก็บกักน้ำ ผู้ดูแลท่านจึงตอบว่าแห้งขอดลงไปแล้วเพราะฝนไม่ตกมาเป็นระยะนานแล้งมาก ถ้าฝนไม่ตกลงมาในวันสองวันนี้น่ากลัวจะอดน้ำกันแน่นอน เมื่อหลวงพ่อได้ยินดังนั้นก็ไม่กล่าวว่าอะไร สองมือของท่านประคองขึ้นไว้บนหน้าอกของท่าน นัยน์ตาของท่านหลับสนิทมองเห็นทรวงอกของท่านสะท้อนขึ้นลงแผ่วๆ ในลักษณะการเข้าสมาธิเป็นลำดับ ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเป็นที่เล่าสืบกันมาถึงทุก วันนี้

    กล่าวคือฟ้าที่สว่างไม่มีเค้าแห่งเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย กลับมืดครึ้มลงเป็นลำดับด้วยเมฆฝนที่ตั้งเค้า พร้อมกับสายลมกระโชกแรงขึ้น และฝนก็พร่างพรมลงจากฟากฟ้าดุจเทพมนต์ ตกหนักมากตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นไม่มีใครคิดเหนือความคาดหมายว่าฟ้า ที่สว่างๆ ไม่มีวี่แววฝนนั้นจะมีเมฆฝนและฝนตกลงมาก่อนเลย ฝนตกลงมาจนกระทั่งน้ำไหลลงไปในสระได้ครึ่งสระทั้งสองลูกเป็นระยะเวลาประมาณ ๓๐ นาที ฝนจึงเริ่มขาดเม็ดลง พร้อมกันนั้นลมหายใจของหลวงพ่อก็ขาดหายไปพร้อมกับสายฝนเป็นอัศจรรย์ อันเป็นสิ่งที่แสดงว่าหลวงพ่อได้บันดาลให้ฝนตกลงมาเพื่อต่อชีวิตชาวหนองโพ ไม่ให้อดน้ำ โดยอาศัยบารมีศีลอันบริสุทธิ์ของท่าน และอำนาจฌาณสมาบัติอันสูงส่งของหลวงพ่อเป็นอภินิหารครั้งสุดท้าย ที่หลวงพ่อแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดถึงบารมีของท่าน ด้วยเมตตาบารมีที่ท่านมีต่อสัตว์ผู้ยากคือชาวหนองโพที่จะอดน้ำกันเดือดร้อน นี่แหละเมตตาธรรมของท่านแม้ชีวิตท่านจวนจะดับสูญแล้วยังอุตส่าห์เป็นห่วง เป็นใยในผู้ที่อาศัยบารมีท่าน ร่มโพธิ์ใหญ่ในวัดหนองโพล้มลงแล้ว ร่มโพธิ์ที่เคยให้ร่มเงากับศานุศิษย์ได้ถูกพายุแห่งการเวลาพัดกระโชกจนถึง การล่มสลาย เป็นที่น่าเสียดาย

    เมื่อผู้ใกล้ชิดจับชีพจรดูจนแน่ใจว่าหลวงพ่อมรณภาพจึงแจ้งข่าว กับผู้อยู่ข้างนอกและต่อกันออกไปจนถึงในหมู่บ้าน วงปี่พาทย์ประจำวัดประโคมขึ้นพร้อมกัน กลองเภรีประจำวัดลั่นตูมขึ้นรัวกระหน่ำ ช้างของหลวงพ่อส่งเสียงร้องกันลั่น ราวแผ่นดินจะถล่นทะลาย น้ำตาไหลพรากทุกตัว ต่างเดินมาเอางวงจับหน้ากุฏิของหลวงพ่อเหนี่ยวไว้ร้องระรัวอาลัย ในมรณะกรรมของหลวงพ่อที่เคยดูแลมันมาแต่น้อยคุ้มใหญ่

    ขณะนั้นชาวบ้านกำลังง่วงอยู่กับงานในหมู่บ้าน และละแวกใกล้เคียง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกลองเภรีดังรัวขึ้น และมีเสียงบอกกันต่อๆไปว่า หลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว เท่านั้นเองทุกคนทิ้งงานทุกอย่าง เหมือนนัดกันไว้พากันรีบมาที่วัดหนองโพ เพื่อแสดงความไว้อาลัยในการมรณภาพของหลวงพ่อ ที่เป็นหญิงก็ร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร ที่เป็นชายใจแข็งก็ได้แต่ตาแดงๆ แต่ในส่วนลึกของหัวใจอาลัยหลวงพ่อยิ่งนัก ทางคณะกรรมการได้จัดศพหลวงพ่อไว้ในกุฏิเพื่อจะจัดพิธีอาบน้ำศพขึ้นในวันรุ่น ขึ้น ชาวบ้านก็ได้แต่เข้าไปกราบศพของหลวงพ่อ คณะกรรมการได้จัดกุฏิของหลวงพ่อได้จัดกุฏิของหลวงพ่อให้เข้ารูป พร้อมทั้งค้นดูของหลวงพ่อมีอะไรเป็นของมีค่า ที่จะเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของวัดต่อไป จากการค้นตรวจสอบทั่วทุกตารางนิ้ว ไม่ปรากฏว่ามีของมีค่าหรือเงินทองอยู่แม้แต่สลึก ในย่ามของหลวงพ่อก็ไม่มี มีอยู่สิ่งเดียวที่นายธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวว่ามีค่าที่สุดของหลวงพ่อก็คือคัมภีร์ใบลานเก่าๆ เล่มเล็กๆ ที่หลวงพ่อใช้อ่านสอนตัวเองอยู่จนตลอดชีวิต จากการนี้เองทำให้ทุกคนประจักษ์ความจริงว่า หลวงพ่อเป็นพระแท้ เป็นพระที่เป็นผู้ให้ไม่สะสม ไม่ติดในลาภสักการะและโลกธรรมแปด เป็นพระพุทธบุตรที่ซื่อตรงต่อคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา และดำเนินตามทางมรรคผลนิพพาน ที่องค์พระบรมครูวางไว้ทุกประการ
    จีวรไม่พอครองศพหลวงพ่อเดิม
    วันรุ่งขึ้นคณะกรรมการได้จัดพิธีอาบน้ำศพหลวงพ่อเดิมขึ้น เมื่อเริ่มพิธีผู้คนหลั่งใหลมาจากทั่วสารทิศ มีทั้งผู้แทนจังหวัดนครสวรรค์ นายเกษม บุญศรี ตลอดพ่อค้า คหบดีชาวกรุงเทพฯ และชาวบ้านใกล้เคียง เมื่อรดน้ำศพแล้วต่างพากันแย่งชิงฉีกจีวรที่ครองศพหลวงพ่ออยู่ คณะกรรมการสุดจะโต้แย้งเพราะผู้คนมากมายก็ได้แต่ขอเวลาเปลี่ยนจีวรหลวงพ่อ ใหม่ กี่ชุดๆ ก็ไม่พอเพราะคนรุมฉีกทิ้งกันเพื่อเอาไปเป็นที่ระลึก จนในที่สุดเห็นว่าจีวรจะไม่พอครององค์หลวงพ่อจึงได้ประกาศห้ามฉีก จึงสามารถรักษาจีวรให้ครองติดศพหลวงพ่อได้ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อหลวงพ่อแม้ยามที่มรณภาพไปแล้ว

    น้ำอาบศพเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
    ในตอนรดน้ำศพหลวงพ่อเดิมนั้น พวกหนุ่มๆ และคนแก่ ที่นับถือองค์หลวงพ่อได้พากันไปอยู่ใต้ถุนศาลาอาบน้ำศพหลวงพ่อ พร้อมทั้งเอาขัน เอาแก้ว หรือบางคนก็แหงนหน้ารองน้ำอาบศพหลวงพ่อ ต่างน้ำมนต์กลืนกินเข้าไปอย่างไม่รังเกียจด้วยศรัทธาสูงสุด ข้างบนก็ฉีกทิ้งจีวรหลวงพ่อให้ชุลมุน ข้างล่างก็รองน้ำศพให้วุ่นหมด ลานวัดคนเดินกันเกลื่อนแทบจะหลีกกันไม่พ้น เหมือนหลวงพ่อจะแสดงปาฏิหารย์คนที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อกลุ่มหนึ่ง เมื่อเดินออกมานอกวัด ก็เจอกับอริอีกกลุ่มหนึ่งพอดี ได้เข้าตะลุมบอนกันเป็นพักใหญ่ กลุ่มที่กินน้ำอาบศพหลวงพ่อไม่เป็นอะไรเลยเป็นแต่หัวร้างข้างโน บวม ปูด ส่วนอริหัวร้างข้างแตกกันเป็นระนาว พอข่าวแพร่ คนก็ไปกินน้ำอาบศพหลวงพ่อกันอีก ท่านผู้อ่านก็ลองวาดภาพดูก็แล้วกันครับว่าเป็นอย่างไร นี่แหละครับบารมีหลวงพ่อต้องมีเวรยามรักษาศพหลวงพ่อ

    หลังจากรดน้ำศพก็ได้มีการตั้งศพหลวงพ่อสวดพระอภิธรรม มีเจ้าภาพจองกันยาวยืดจนครบร้อยวันในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๙๔ และได้เก็บศพของหลวงพ่อไว้เพื่อรอพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในตอนนี้ได้มีผู้ศรัทธาในหลวงพ่อต้องการได้อัฐิของหลวงพ่อเดิม ได้พยายามลอบเข้าไปเพื่อจะดึงอัฐิของหลวงพ่อก่อนที่ยังมิได้พระราชทานเพลิง ด้วยความเลื่อมใสถือเป็นเครื่องรางของขลัง กรรมการวัดรู้เข้าก็ต้องจัดเวรยามดูแล เพราะไม่เช่นนั้นกว่าจะพระราชทานเพลิงศพแล้วสรีระของหลวงพ่อคงไม่เหลืออยู่ แน่ เป็นที่น่าเศร้าสลดใจของผู้ที่จะได้รู้ข่าวจึงได้ป้องกันไว้ก่อนจะสายไป ครั้นจะห้ามเสียเลยก็จะเป็นการทำลายน้ำใจผู้ศรัทธาจึงหาทางอื่นที่นุ่มนวล คือเฝ้าระวังกันเอา

    อัฐิเถ้าอังคารคนแย่งกันทั้งยังร้อนระอุ
    ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ มีมหรสพทุกชนิด ที่ลูกศิษย์ลูกหาพากันมาแสดง เพื่อเป็นการไว้อาลัยหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไฟพระราชทานมาถึงแล้ว ประธานในพิธีได้จุดไฟพระราชทานต่อจากนั้น ก็เป็นขบวนของชาวบ้านร้านตลาด ตั้งแต่บ่ายยันค่ำคนไม่ลดน้อยลงไปเลย ใส่ไฟแล้วก็ไม่ไปไหนคงซุ่มอยู่แถวนั้น เมื่อไฟพระราชทานได้เผาสรีระของหลวงพ่อมอดไหม้ไปแล้วท่ามกลางฝนที่โปรยปราย ลงมา เป็นละอองเบาๆก่อความเย็นให้แก่ผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดกัน กรรมการวัดได้ขึ้นเก็บอัฐิและเถ้าอังคารส่วนหนึ่ง เพื่อนำไปบรรจุในเจดีย์เพื่อเป็นที่เคารพ.
    .*****************************************************
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    หลวงปู่ฤาษีลิงขาว (ช่อ อภินันโท) กับ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค องค์บูรพาจารย์





    พระครูสุวรรณสิทธิการย์ หรือ
    หลวงปู่ฤาษีลิงขาว (ช่อ อภินันโท) วัดช่องลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    หลวงปู่ฤาษีลิงข่าว (ช่อ อภินันโท) วัดฤกษ์บุญมี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    เป็นองค์เดียวกัน

    เกิดพ.ศ. 2461 ปีมะเมีย ณ บ้านสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี บิดาชื่อ เชื่อม มารดา ชื่อ เล็ก ร่มวงษ์

    เริ่มพบหลวงปู่ปาน
    เมื่อ วัยเด็กได้ติดตามมารดาที่ไปช่วยทำครัว ณ วัดบางนมโค เพื่อจัดงานประจำปี และมักจะเล่นกับเด็กที่วัดบางนมโคเด็กชายช่อมีผิวขาว น่ารัก ฉลาด เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านจึงบอกโยมมารดาท่าน (โยมเล็ก) เพื่อขอให้เด็กชายช่อมาอยู่ที่วัดบางนมโคเพื่อเรียนหนังสือ

    หลวงปู่ปานได้มอบเด็กชายช่อให้อยู่ในความดูแลของ หลวงพ่อเล็ก เด็กชายช่อเป็นเด็กฉลาด และใฝ่รู้ จึงได้ร่ำเรียนสรรพวิชาต่างๆ ทั้งกรรมฐาน อักขระวิธี เลข ยันต์ ตำราต่างๆ จากทั้งหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อเล็ก และสิ่งหนึ่งที่ชำนาญคือ แพทย์แผนโบราณยาและสมุนไพรต่างๆ สมุฎฐานของโรค รากฐานของพืชสมุนไพรทุกชนิด เด็กชายช่อสามารถจดจำได้หมด

    อุปสมบท
    เมื่อ อายุครบเกณฑ์บวช หลวงปู่ปานได้รับเป็นธุระเรื่องบวชให้ทั้งหมด เด็กชายช่อจึงได้อุปสมบทบวชในบวรพุทธศานา เมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. 2481 โดยมี
    พระครูพิทักษ์ธรรมคุณ วัดช่องลม เป็นอุปัชฌาย์
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค เป็นคู่สวด ได้รับฉายาว่า อภินันโท

    ขณะนั้นหลวงปู่ปานได้มาเป็นประธานการสร้างอุโบสถ วัดสาลี และ ศาลาการเปรียญ วัดช่องลม จ.สุพรรณบุรี

    หลวง ปู่ช่อบวชอยู่ที่วัดช่องลม และจำพรรษาอยู่ 3 พรรษาก่อนลาสิกขาออกมาเป็นแพทย์แผนโบราณช่วงหนึ่งก่อนจะอุปสมบทใหม่ และเป็นหลวงปู่ฤาษีลิงขาว (ช่อ อภินันโท) วัดฤกษ์บุญมี จ.สุพรรณบุรี อย่างที่เรารู้จักกัน

    หลวงปู่ช่อได้เรียนวิชาความรู้จากหลวงปู่ปานและหลวงพ่อเล็กมามาก เนื่องจากเป็นคนฉลาด และอยู่กับท่านทั้งสองมาเป็นเวลานาน คือตั้งแต่เล็กอยู่ที่วัดบางนมโค มิใช่เป็น การไปเรียนสั้นๆเพียงบางวิชา จึงถือว่าท่านสืบทอดตำหรับวิชาจากหลวงปู่ปานแบบสมบูรณ์ และท่านได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ลูกหลานมาโดยตลอด มีความเมตตาสูงยิ่ง

    การเป่ายันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ช่อ
    พิธีเป่ายันต์เกราะเพชร นั้นหลวงปู่ช่อ จะจัดขึ้นปีละครั้งตอนงานบุญประจำปี มีผู้ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะมีประสพการกันมากเรื่องการรู้สึกคันตามร่างกาย และผู้ที่มีครรภ์ที่ได้เข้าพิธีไปแล้วเมื่อคลอดออกมาแล้วปรากฎเป็นรอยยันต์ สีแดงบน กระหม่อมของบุตรให้เห็น คนอยู่ในเหตุการณ์รับรู้เรื่องนี้มากมาย

    หมายเหตุ:
    หลวง ปู่ช่อ เมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายช่อ เมื่อท่านมายังวัดบางนมโคท่านมักจะมาเล่นกับเพื่อนกลุ่มเดียวกัน โดยมีคนหนึ่งนั้นชือ เด็กชายเวก (ต่อมาคือพระครูพิศาลวุฒิธรรม หรือพระมหาเวก วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพฯ) โดยเด็กชายเวกเป็นน้องชายของมหาวีระ หรือหลวงปู่ฤาษีลิงดำ เด็กจากบ้านสาลีเหมือนกัน

    ที่ ในท่านชื่อมีคำว่าลิงขาวเนื่องจาก หลวงปู่ปานท่านมักจะเรียกเด็ก ๆ ว่าไอ้ลิงเพราะเด็ก ๆ ซุกซน ท่านมักจะเรียกตามรูปร่างลักษณะ เด็กว่าผิวขาวเรียกไอ้ลิงขาว ผิวดำเรียกไอ้ลิงดำ และยังมีลิงอ้วน ลิงเล็ก ลิงเตี้ย เป็นต้น
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก น่าจะใช้ หลวงปู่บุญศรี วัดใหม่สุทธาวาส

    ร่างกายท่านไม่เน่าเปื่อย
    ----------------------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2012
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    พุงกลมๆไปตักความรู้

    แม่ต้อยเป็นพี่ใหญ่เค๊า..ยังมาย้ำอีกเนอะ
    ล่อเขียนซะตัวเบอเริ่มเชียว..

    หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยแทนด้วยนะครับ

    ที่แม่ต้อยว่า...คุณอวบเกินไปมั๊ง! เลยต้องเอาใจช่วยเป็นพิเศษ 2 เท่า
    เมื่อเทียบกับคนหุ่นเพียวๆ

    เจตนาคงไม่ใช่อย่างนั่นแน่ๆ เชื่อเถอะ แม่ต้อยเขาน่ารัก ใจดีสุดๆ
    เคยใจร้ายกับใครที่ไหน..!

    คือ Toplus99 อยากให้เฮา รักๆกันให้มากหนะครับ
    เลยต้องมาประสานความเข้าใจกันเข้าไว้..กลัวน้อยใจกันระหว่างพี่-น้อง

    ****
    จุ๊...จุ๊ Zuu..Zuu
    "นี่ๆ..แม่ต้อย..สบายใจได้ เพราะผมเคลียร์ให้แล้ว!
    ...ผมทำดีแล้ว?...และไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดใช่ใหม?"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2012
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    5555 ขอบพระคุณค่ะ แท้จริงแล้วหมายถึงที่น้องแตนจะไปเรียนน่ะค่ะ ตัวจริงเธอสะโอดสะองค่ะ ต้องให้น้องเอารูปมาลงเสียแล้ว น้องแตนอยู่ไหนเอ่ยcatt3
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    อานิสงส์ถวายข้าวพระพุทธรูป

    ผู้ถาม “กระผมไม่กล้าถวายข้าวพระข้าวเจ้า ถวายผลไม้แทนได้ไหมครับ...”

    หลวงพ่อ “ถ้าบังเอิญชาตินี้ไปนิพพานไม่ได้ ชาติหน้ามีแต่ลูกไม้กิน”

    ผู้ถาม “อย่างนั้นถวายข้าวด้วยดีกว่าครับ แต่บางทียังถวายไม่เสร็จเลย แมวกินเสียก่อนแล้ว อย่างนี้จะว่ายังไงครับหลวงพ่อ”

    หลวงพ่อ “อ๋อ...นี่เป็นลูกศิษย์พระ ลูกศิษย์พระมีทั้งแมว มีทั้งหนู มีทั้งมด มีทั้งจิ้งจก นั่นลูกศิษย์ของท่านนะ”

    ผู้ถาม “อ้อ...ต้องให้โอกาสเขาบ้างนะ”

    หลวงพ่อ “ใช่ เรานี่ไปแย่งเขากินนะ แต่ความจริงการถวายข้าวพระ จะเป็นอาหารหรือว่าเป็นลูกไม้ก็ตาม พระพุทธรูปท่านไม่ได้ฉัน แต่เป็นการบูชาความดีของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นกรรมฐานเขาเรียก “พุทธานุสสติกรรมฐาน” สูงมาก ไม่ใช่ต่ำ ถ้าเวลาเราถวายบางทีเราควบทั้งสามอย่างเลย ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เขาว่า

    “อิมัง สูปะพยัญชนะ สัมปันนัง” แล้วก็ลงท้ายด้วย “พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ” ใช่ไหม ที่ลงตอนท้ายนี่เป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ถือว่าเป็นกรรมฐาน และถือว่าเป็นฌานด้วย เพราะจิตเราห่วงอยู่เสมอว่า วันพรุ่งนี้เราจะเอาอะไรถวาย ตัวคิดตัวนี้เป็นฌานก็ทรงตัว อันนี้เป็นการปฏิบัติกรรมฐานในพุทธานุสสติกรรมฐานโดยไม่รู้สึกตัว

    ฉะนั้น ทุกคนทุก ๆ วัน ควรจะถวายข้าวพระ และก็กับข้าวมาก ๆ อย่าใช้ถ้วยเล็ก ๆ นะ ถ้วยโต ๆ มีกับประเภทไหนที่เราชอบใจมากก็บอก นี่เอาถวายพระพุทธ กันคนอื่นไว้”

    ผู้ถาม “ทีนี้ญาติโยมเอาถ้วยตะไลเล็ก ๆ ถวายล่ะครับ”

    หลวงพ่อ “อันนี้ไม่เป็นไร อยู่ที่จิตใจ จิตตั้งใจจะถวาย ตัวที่นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์ ตัวนี้สำคัญเป็นฌาน”

    ผู้ถาม “คือคงคิดว่า องค์หล่อท่านเล็ก ๆ ก็เลยถวายถ้วยเล็ก ๆ ถ้าถ้วยใหญ่กลัวจะตกใจ ดีไม่ดีหล่นไปในขันน้ำว่ายไม่ได้ตาย เดี๋ยวพระพุทธรูปตาย เลยต้องเอาถ้วยเล็ก ๆ”

    หลวงพ่อ “เล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่นึกอยู่เสมอว่า ตอนเช้าเราจะถวายข้าวพระพุทธรูป ตัวนี้สำคัญมาก การนึกถึงพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เมื่อถึงเวลา จิตมันคิดก็เป็นฌาน “ฌานัง” แปลว่า การเพ่ง ตัวเพ่งตัวนี้ตั้งใจ

    ถ้านึกถึงพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย เป็นธัมมานุสสติด้วย สังฆานุสสติด้วย ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ ตายแล้วตกนรกไม่เป็น”

    ผู้ถาม “ถวายข้าวพระพุทธรูป กับถวายข้าวพระสงฆ์ อย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากันคะ”

    หลวงพ่อ “การถวายข้าวพระพุทธรูป ถ้าเป็นเจตนาเพื่อเป็นพุทธบูชาจริง ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจถวายพระสงฆ์และตั้งใจถวายจริง ๆ เป็นวัตถุทานด้วย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐานด้วย

    แต่อย่าลืมว่าถวายแก่พระพุทธเจ้ามีอานิสงส์มากกว่าถวายพระสงฆ์เยอะ แต่ว่าเวลานี้ถ้าไม่ถวายพระสงฆ์ เกิดไปชาติหน้าอดข้าว เดี๋ยวหนูเกิดไปชาติหน้า ถ้าพูดเขาไม่ให้กินต้องนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวเขาก็ให้กิน”

    ผู้ถาม (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ “ถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ ยังไม่ถือเป็นทาน เราจะมีทรัพย์สิน มีเสื้อสวม มีผ้านุ่ง มีบ้านอยู่ นั่นเป็นอานิสงส์ของทานการให้ ถ้าเราบูชาพระพุทธเจ้าจัดเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ นึกถึงความดีของท่าน ไม่ถือว่าเป็นทาน อานิสงส์ได้คนละอย่าง

    “พุทธบูชา มหาเตชะวันโต” การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เทวดาหรือพรหมนี่เขาไม่ดูเครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างออกจากกาย

    “ธัมมบูชา มหาปัญโญ” การบูชาพระธรรม มีปัญญามาก คือใคร่ครวญในพระธรรมจนเกิดปัญญา จ ิตเป็นสมาธิ

    “สังฆบูชา มหาโภคะวโห” สงเคราะห์พระสงฆ์ เกิดไปรวยมาก เพราะเราใช้วัตถุเป็นเครื่องหมาย อานิสงส์ต่างกัน แต่ต้องทำ 3 อย่าง ไม่งั้นหลวงพ่ออด”

    ผู้ถาม (หัวเราะ) “หลังเพลก็ถวายได้ใช่ไหมคะ”

    หลวงพ่อ “ได้ถือเป็นการบูชานะ ไม่ใช่ถวายทาน ไม่จำกัดเวลานะ”

    ผู้ถาม “จัดอาหารไปเลี้ยงพระที่วัด และได้จัดอาหารถวายพระพุทธรูป ลาแล้วก็เอาให้ลูกกิน รวมทั้งครอบครัวด้วย เอามากินที่บ้าน จะมีบาปหรือไม่คะ..”

    หลวงพ่อ “ชักสงสัยนะ ความจริงถวายพระพุทธรูปแล้ว อย่าเอามาดีกว่า เวลาที่วางไปแล้วเรากล่าวเป็นสังฆทานนี่ ใช่ไหม...ทีหลังถวายพระพุทธรูปที่บ้านดีกว่าไม่มีเรื่องดี หรือว่าถ้าถวายพระพุทธรูปแล้ว ก็เก็บถวายพระในตอนเพลจะได้อานิสงส์อีก”

    ผู้ถาม “ที่บ้านหนูทำบุญบ้าน นิมนต์พระ 9 องค์ แล้วถวายข้าวพระพุทธด้วย เสร็จแล้วก็เอามาทาน จะได้ไหมคะ”

    หลวงพ่อ “สาธุ...ทีหลังอย่าทำก็แล้วกันนะ”

    ผู้ถาม “ต้องชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมคะ.....”

    หลวงพ่อ “พระยายมท่านตอบว่า “หมิ่นไป” ท่านบอกว่า “ควรจะถวายพระเอาไปวัด”

    ผู้ถาม “แล้วในเวลาเพลแล้วเล่าคะ”

    หลวงพ่อ “เพลแล้วก็เป็นเรื่องของพระไป ถ้าถวายพระแล้วท่านไม่เอา ก็ใช้ได้เลย”

    ผู้ถาม “เอาหญ้าที่วัดไปทำยาที่บ้านเป็นไรไหมคะ”

    หลวงพ่อ “ไม่เป็นไร เจ้าของพระศาสนาบอกเองนะ พระก็สงเคราะห์คนได้เหมือนกัน”

    ผู้ถาม “ถ้าชำระหนี้สงฆ์แทนคนอื่นได้ไหมคะ คือพี่ชายหนูบวชแล้วพอสึกก็เอาของวัดมาบ้าน”

    หลวงพ่อ “ตอนที่ชำระให้เขารู้ไหม”

    ผู้ถาม “ก็ไม่ทราบค่ะ คือหนูจ่ายแทนแล้วไปบอกเขาได้ไหมคะ”

    หลวงพ่อ “ได้เลย...ต้องให้เขารู้ด้วยนะ”

    ผู้ถาม “กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ ลูกมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับของใส่บาตรหลายประการ วันหนึ่งแม่ทำกับข้าวเสร็จก็ใส่บาตร แต่ไม่บอกลูก ลูกก็เลยกินก่อนพระ วันที่สองแม่แบ่งไว้ถวายพระ ลูกไม่รู้นึกว่าแบ่งให้หนู หนูก็เลยกินไปอีก แม่เจี๊ยวจ๊าวเป็นการใหญ่หาว่ากินก่อนพระ ก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา อยากจะขอโทษ แม่จะให้อภัยหรือเปล่าเจ้าคะ เพราะไม่รู้และไม่เจตนา”

    หลวงพ่อ “ไม่เจตนามันกินยังไงนะ ต้องหลับกิน ไม่เจตนา เราก็หาของมาแทนซิ ไม่มีอะไร พระท่านไม่ได้ว่า แม่จะได้ไม่สะดุดใจ กินอะไรเข้าไปบ้างจำได้ไหม ไปซื้อของอย่างนั้นมาให้แม่เพื่อถวายพระ หมดเรื่องกัน แม่จะได้ถวายพระต่อไป”

    ======================================
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,285
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, pegaojung+
    ===================
    ทราบแล้วเปลี่ยน ครอบครัว"toplus99" รักกันจริงค่ะ พรหมวิหาร๔ ครบค่ะ:cool::z4
     

แชร์หน้านี้

Loading...