เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,867
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    Wittayapon

    ======================================
    เอ เรือลํานี้แวะมารับใครเอ่ย สงสัยจะเป็นคุณน้อง pegaojung
    ====================
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,867
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    lomdadbaimai hello10ยินดีี่ที่ได้รู้จักค่ะ พี่มีน้องคนที่สามแล้วนะรวมทั้งคุณ จากกระทู้ท่านอาจารย์นี่ ขอบพระคุณค่ะ
     
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004

    แม่ต้อย Supatorn กลายเป็นพี่สาวเจ้าเสน่ห์ไปซะแล้วหรือนี่!
    ได้น้องสาวพ่วง มาเป็นตับเชียว

    ขอให้รักฉันท์พี่-น้องนี้ จงช่วยเป็นเครื่องนำทางชักพากัน ให้ถึงซึ่งความดีงามของจิต นำทางสู่เส้นทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป กันทั้งคณะพี่น้องนะจ๊ะ แล้วค่อยพบเจอกันที่ปลายทางฝัน

    ดูแลน้องๆให้ดีด้วยนะพี่ใหญ่..ต้อย
    wel lcome_pink;aa5
     
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ...มาเดินเรื่องกันต่อดีกว่า.. พักนานแล้ว


    เสียงแว่วดังเข้ามาเขตป่าช้า ในช่วงเวลาพลบค่ำที่ห่างออกมาจากหมู่บ้านกันดารแห่งหนึ่งพอประมาณ เสียงร้องนั้นดังแบบเจ็บปวดเหลือประมาณ ของผู้หญิงคนหนึ่งแว่วผ่านสายลม เป็นระยะๆ


    “โอ๊ะ..โอ๊ย.. โอ๊ย เจ็บจ้า เจ็บม๊าก โอย เจ็บจริงๆเลย “

    เสียงร้อง นี่ดังแว่วเข้าหูภิกษุหนุ่มที่มาปักกลด**ธุดงค์ รูปหนึ่งเข้า
    ก็ให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้านนี่หนอ? สักพักเสียงนั้นก็เงียบหายไป
    จากนั้นต่อมาก็มีเสียงร้องดังแบบเจ็บปวดในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นอีก แต่คราวนี้เสียงร้องเปลี่ยนเป็นเสียงของผู้หญิงอีกคน
    พระภิกษุหนุ่มในวัยที่ผ่านพรรษาได้เพียงปีเดียว ก็ต้องข่มความสงสัยนี้ไว้ก่อน เพราะตนเองก็เพิ่งมีประสบการณ์ออกธุดงค์ได้ไม่นาน อาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ออกปลีกวิเวกในการเสาะแสวงหาหนทาง ศึกษาพระธรรม ขัดเกลากิเลสตามแนวทางของพระธุดงค์
    เวลานี่ก็พลบค่ำแล้ว การที่จะออกจากกลดที่ตั้งปาวณาไว้ เที่ยวอยากรู้อยากเห็นในหมู่บ้านแดนต่างถิ่น ที่ตนไม่เคยมักคุ้นก็อาจเป็นอันตราย ไม่ปลอดภัยนักต่อหนทางการออกธุดงค์ และเป็นการฝืนกฎครูบาอาจารย์ที่ท่านอบรมสั่งสอนต่อๆกันมา

    **ความหมาย
    ธุดงค์ คือวัตร หรือแนวทางการปฏิบัติจำนวน 13 ข้อ ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ให้แก่พระสงฆ์สำหรับเลือกนำไปปฏิบัติ เพื่อมุ่งให้เป็นแนวปฏิบัติเพิ่มเติมของพระสงฆ์ที่ตั้งใจสมาทานความเพียรเพื่อมุ่งขัดเกลาทางจิตเพื่อกำจัดกิเลส โดยธุดงค์นี้เป็นเพียงวัตร หรือแนวทางการประพฤติ ที่ไม่ใช่ศีลของพระสงฆ์ พระสงฆ์จึงเลือกปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ[1] และการปฏิบัติธุดงค์ ไม่ได้จำกัดเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น
    ธุดงค์ ในภาษาไทย ใช้เรียกพระภิกษุแบกกลดเดินไปตามทางหรือเข้าป่าไปว่า เดินธุดงค์ หรือ ออกธุดงค์ เรียกภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนั้นว่า พระธุดงค์ ธุดงค์ในภาษาไทยนี้จึงมีความหมายเฉพาะตัวตามประเพณีของพระวัดป่าของประเทศไทย[7] ซึ่งต่างจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอยู่เป็นอย่างมาก เพราะธุดงค์ตามคัมภีร์นั้น ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเดินเที่ยวไปทั่ว, ไม่จำเป็นต้องอยู่ป่า, ไม่มีการใช้กลด, ไม่รับเงินเด็ดขาด เป็นต้น.
    ธุดงควัตร
    ธุดงควัตร หมายถึงกิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเป็นข้อสมาทานละเว้น และข้อสมาทานปฏิบัติ คือ
    1. ปังสุกูลิกังคะ ละเว้นใช้ผ้าที่ประณีตเหมือนที่คหบดีใช้ (พระป่านิยมใช้ผ้าท่อนเก่า) สมาทานถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้ว (ข้อนี้ตามคัมภีร์เมื่อเทียบกับวัดป่าไม่ต่างกัน)

    2. เตจีวริตังคะ ละเว้นการมีผ้าครอบครองและใช้สอยผ้าเกิน 3 ผืน (วัดป่าสมาทานการใช้สอยผ้าไตรจีวร ในความหมายว่าผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าคลุมด้วย (ในทางปฏิบัติจะใช้ผ้าคลุมนุ่งเมื่อซักตากผ้านุ่งและผ้าห่มชั่วคราว) คือ ผ้าที่เป็นผืน ๆ ที่ไม่ได้ตัดเป็นชุด ตามหลักผ้าใช้นุ่งห่มเพื่อกันความร้อนความเย็นและปกปิดร่างกายกันความน่าอายเท่านั้น

    3. ปิณฑปาติกังคะ ละเว้นรับอดิเรกลาภ (คือรับนิมนต์ไปฉันที่ได้มานอกจากบิณฑบาตรเช่นไปฉันที่บ้านที่โยมจัดไว้ต้อนรับ) สมาทาน เที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ (ข้อนี้ตามคัมภีร์เมื่อเทียบกับวัดป่าไม่ต่างกัน)

    4. สปทานจาริปังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) เที่ยวจาริก (ภิกขาจาร) (เพื่อมิให้ผูกพันกับญาติโยม) สมาทานบิณฑบาตรตามลำดับ ลำดับบ้าน ไม่เลือกบ้านที่จะรับบิณฑบาต เดินแสวงหาบิณฑบาตไปตามลำดับ. ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นบิณฑบาตซ้ำที่เดิม ถืออย่างเบาย้ายสายบิณฑบาตทุกวัน อย่างหนักออกเดินทางย้ายที่เที่ยวบิณฑบาตไม่ต่ำกว่าที่เดิมไม่เกินโยชน์ (16 กิโลเมตร) สมาทานบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ลำดับอายุพรรษา ไม่เดินแซง (แย่งอาหาร) ซึ่งไม่ผิดจากพระไตรปิฎก-อรรถกถาแต่อย่างใด สามารถทำได้เช่นกัน.

    5. เอกาสนิกังคะ ละเว้นอาสนะที่สอง สมาทานอาสนะเดียว (ฉันมื้อเดียว). ปกติมักถือการนั่งฉันเมื่อเคลื่อนก้นจากฐานอาสนะที่นั่งเป็นอันยุติการฉันหรือรับประทานอาหารในวันนั้น ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ จะกำหนดเวลาฉันในแต่ละวัน เช่นกำหนดฉันเวลา 9 นาฬิกา ก็จะฉันในเวลานั้นทุกวัน (จะไม่ฉันก่อนเวลานั้น หรือ หลังเวลานั้น เช่นเวลา 8 นาฬิกา หรือ 10 นาฬิกา) จะไม่เปลี่ยนเวลาฉันตามความอยากฉัน หรือ ไม่อยากฉันตามอารมณ์ แต่ฉันตามสัจจะตามเวลาที่อธิษฐานไว้

    6. ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร. ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ จะต้องคนอาหารรวมกันด้วย ซึ่งแม้จะไม่มีในข้อธุดงค์ตามคัมภีร์แต่ก็ทำได้ไม่ผิดอะไร.

    7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ละเว้นการรับประทานอาหารเหลือ สมาทานเมื่อเริ่มลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม. ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นฉันเหลือให้เป็นเดน (ฉันเหลือเนื่องจากไม่ประมาณในการบริโภค) ซึ่งก็ทำได้ไม่ผิด ทั้งยังเป็นมรรยาทที่ดีงามและพบตัวอย่างของพระสมัยพุทธกาลที่ทำเช่นนี้ด้วย. (อติริตต อาหารอันเป็นเดน)

    8. **อารัญญิกังคะ ละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน สมาทานการอยู่ในป่าไกล 500 ชั่วคันธนู หรือ ราว 1 กิโลเมตร โดยจะต้องให้ตะวันขึ้นในป่า หากตัวอยู่ในบ้านตอนตะวันขึ้น เป็นอันธุดงค์แตก สมาทานถืออยู่ในป่า (วน - กลุ่มต้นไม้, อรัญญ - ป่าไกลบ้าน)

    9. รุกขมูลิกังคะ ละเว้นนอนในที่มีที่มุงที่บัง (เช่นบ้าน ถ้ำ กุฏิ) สมาทานอยู่โคนไม้ แต่ท่านอนุญาตให้ทำซุ้มจีวรได้ ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะต่างออกไปเล็กน้อย คือ จะใช้การปักกลดแทน ประเพณีนี้ไม่ทราบที่มาแน่ชัดนัก แต่ถ้าไม่เอาด้ามกลดปักดินก็ทำได้เพราะถึงอย่างไรกลดก็ไม่ใช่กุฏิ (ปักกลด คือการกางร่มกลด (ร่มที่พระใช้ขณะเดินทาง) ใต้ต้นไม้ เป็นวิธีการของพระสายวัดป่าไทยโดยเฉพาะแต่เดิมครั้งพุทธกาลไม่มีมาก่อน กลดมี 2 ลักษณะคือผูกเชือกแล้วแขวนกลด และใช้ด้ามกลดปักพื้น (มักทำพระอาบัติปาจิตตีย์กันบ่อยด้วยปฐวิขณนสิกขาบท เพราะจงใจขุดดินทั้งที่รู้ตัว) บางรูปวางกับพื้น เรียกว่ากางโลงศพเพราะได้แต่อิริยาบถนอนในกลดเท่านั้น ลุกมานั่งสมาธิไม่ได้ (แต่สามารถถือวางพาดบ่าก็ลุกนั่งได้) โดยปกติจะครอบคลุมด้วยผ้ามุงทรงกระบอกเพื่อกันยุง ในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใส่รองเท้าเมื่อเดินลุยในน้ำ ไม่ทรงอนุญาตให้ใส่ที่อื่น เนื่องจากเดินลุยน้ำเรามองไม่เห็นว่าในน้ำมีอะไรจึงต้องใส่รองเท้า แต่บนพื้นเรามองเห็นอยู่จะพลาดเหยียบหนามก็เพราะขาดสติ (ทรงอนุญาตให้ใส่รองเท้าในวัด หรือป่า เป็นต้นได้ แต่ห้ามใส่เข้าในเขตหมู่บ้าน[8]) อีกทั้งทรงอนุญาตให้ใช้ร่มเมื่อเข้าไปในใต้ต้นไม้เพื่อป้องกันการร่วงหล่นใส่ของกิ่งไม้แต่ในเบื้องต้นยังไม่อนุญาตให้กางนอกต้นไม้เพื่อใช้กันแดดกันฝน ในคัมภีร์ท่านไม่ได้อนุญาตให้กางร่มกลดไว้ แต่หากเอาตามอัพโภกาสิกังคธุดงค์แล้วก็ทรงอนุญาตให้ทำซุ้มจีวรได้ (สันนิษฐานว่าคงเป็นผ้ามุ้งหูเดียวที่ผูกแขวนใต้ต้นไม้เพราะข้อธุดงค์รุกขมูลที่กำหนดไว้ให้อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่น่าจะเป็นการเอาไม้มาพาดแล้วคลุมด้วยผ้าคล้ายเต็นท์ เพราะเต็นท์จะอยู่นอกใต้ต้นไม้ได้) อย่างไรก็ตามการใช้กลดก็ไม่ผิด เพราะก็อยู่โคนไม้ไม่ใช่กุฏิเหมือนกัน).

    10. อัพโภกาสิกังคะ ละเว้นการเข้าในที่มีที่มุงที่บังและใต้ต้นไม้ สมาทานอยู่กลางแจ้ง คือการไม่เข้าไปพักในร่มไม้หรือชายคาหลังคาใด ๆ หรือแม้การกางร่มกลดเพื่อกันแดดกันฝนก็ไม่ได้ห้ามทั้งซุ้มจีวรและการใช้มุงใด ๆ.วัดป่าบางทีก็ถือการไม่ใช่อาสนะใด ๆ เลยเช่น เก้าอี้ เตียง ผ้าปูหรือ แม้แต่ผูกเปล รวมทั้งไม่นอนบนต้นไม้ โดยถือหลักการไม่อิงอาศัยสิ่งใดเกินจำเป็น แม้แต่รองเท้าก็ตาม
    11. โสสานิกังคะ ละเว้นการอยูในสถานที่ไม่เปลี่ยว สมาทานอยู่ป่าช้า ในคัมภึร์หมายถึงป่าช้าเผาศพ ซึ่งต้องเคยมีการเผาศพมาก่อนอย่างน้อยครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ป่าช้าฝังผี ข้อนี้ก็เหมือนกับ 2 ข้อ ก่อน ตรงที่ถ้าไม่ได้อยู่ในป่าช้าตอนตะวันขึ้นธุดงค์ก็แตกเช่นกัน.วัดป่ามักถือการไม่อยู่ในป่าช้าใกล้ ๆกับที่มีมนุษย์อยู่ในบริเวณใกล้ๆกับสถานที่ตนอยู่ เพราะการอยู่ในป่าช้าก็เพื่อการทดสอบจิตใจต่อการกลัวในความมืดและความเงียบ โดยการอยู่ในที่เปลี่ยวในป่าช้าห่างไกลผู้คนและหมายถึงป่าทั้งที่ฝังและเผา (สน สงัด สุสาน มีปกติสงัดดี)
    12. ยถาสันถติกังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) ในเสนาสนะ สมาทานอยู่ในที่ตามมีตามได้ เสนาสนคาหาปกะจัดให้อย่างไรก็อยู่ตามนั้น. ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นการนอนซ้ำที่เดิม (เพื่อไม่หวงแหนในติดในสถานที่) โดย
    1. ถืออย่างเบาคือนอนย้ายที่ในอาวาสทุกวัน
    2. ถืออย่างหนักคือออกเดินทางย้ายที่นอนทุกวัน
    3. ถ้านอกอาวาส ถ้าหลายรูปให้พรรษาที่สูงกว่าเลือกให้และให้พรรษาสูงกว่าเลือกก่อน (ข้อนี้เป็นสมาจาริกศีล ไม่ใช่ธุดงค์) และ
    4. อยู่บนกุฏิวิหารให้ทำให้สะอาด ถ้าตามโคนไม้ไม่กวาดหรือทำอะไรเพราะใบไม้มีประโยชน์เช่นทำให้เท้าไม่ เปื้อนก่อนเข้าอาสนะ และสัตว์หรือคนเข้ามาย่อมได้ยินเสียง.
    13. เนสัชชิกังคะ สมาทานถืออิริยาบถนั่ง-อิริยาบถยืน-อิริยาบถเดินเพียง 3 อิริยาบถไม่อยู่ในอิริยาบถนอน ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นการหลับด้วย ซึ่งก็ทำได้ไม่ผิด (มักเรียกการประพฤตินี้ว่าเนสัชชิก)

    ไว้ยามเมื่ออรุณเช้าแล้ว ค่อยไปสอบถามเรื่องราวอีกทีดูจะสมควรกว่า..
    พิจารณาดังนี้ ค่ำคืนนั้นท่านจึงตัดความกังวลสงสัยออกไป แล้วเข้าทำวัตรสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมฝึกฝนอบบรมจิต แผ่เมตตา กรวดน้ำให้เหล่าสรรพสัตว์ทั่วทั้งโลก ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระธุดงค์ศิษย์ตถาคตเจ้า อยู่ภายในกลดตามปกติ

    ยามสายของอีกวันถัดมา หลังจากที่ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้ออกบิณฑบาตและ รับอาหาร ฉันมือเช้ากรวดน้ำอุทิศกุศลผลบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงของผู้ชายที่ร้องแบบเจ็บปวดโหยหวน ก็ดังขึ้นมาอีกในลักษณะเดียวกับเมื่อคืนที่ผ่านมาในทิศทางเดียวกันในอีกฝั่งของป่าช้าหมู่บ้าน
    เอ๊ะ! เสียงอะไรกันแน่ คราวนี้มันต้องให้รู้กันไปเลยว่ามันเหตุใดกันแน่?

    “โอ๊ย... โอ่ย โอ้ย อุย อุย เจ็บครับ พอๆ ยะ..ยะ หยุดๆก่อน ครับเสียงใครกัน เกิดอะไรขึ้นหนอ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2012
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ..# เรื่องการทำกัวซา และโรคมะเร็ง ตามแนวทัศนะคติของ topls99
    (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)

    ภิกษุหนุ่มจึงออกลุยเดินฝ่าผ่านป่าช้ามุ่งตรงไปยังทิศทางของตำแหน่งเสียงร้องนั้น
    ภาพปรากฏแก่สานตาภิกษุหนุ่มที่เห็นนั่นคือ มีชาวบ้าน จำนวน 5-6 คน นั่งอยู่บนเสื่อกกที่ปูอยู่ใกล้ๆกับกลดพระธุดงค์ชรารูปหนึ่ง


    โดยที่ในมือของพระธุดงค์รูปนั้นมี ไม้หวายเส้นขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดพอๆกับนิ้วมือเรา ความยาวของไม้หวายประมาณครึ่งเมตรเศษ
    ข้างกายพระชรารูปนั้น ก็มีจาน วางใส่ชุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนขันธ์5 กับเงินค่าครูอีกไม่กี่บาท และตรงหน้าของภิกษุชรามีชายวัยกลางคน นั่งพนมมือ

    สวมกางเกงขาสั้น นั่งร้องปากครวญ ..อูยๆ อยู่ด้วย

    เมื่อการปรากฏกายของพระหนุ่มขึ้น พระชรารูปนั่นก็ต้องหยุดพักพิธีกรรมบางอย่างไว้ชั่วคราวก่อน เป็นการน้อมรับไหว้ทักทายปราศรัยแนะนำตัวกันตามธรรมเนียมระหว่างสงฆ์ด้วยกันซะก่อน

    จากนั้นภิกษุหนุ่มรูปนั้นจึงได้คลายความสงสัยทั้งหลายในเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาหมดสิ้น ว่าแท้จริงแล้วที่คือพิธีกรรมถอดถอนคุณไสย รักษาตัวของชาวบ้านโดยมีพระธุดงค์ชรารูปนี้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมรักษาให้คนในหมู่บ้านนี้นั่นเอง
    และอุปกรณ์ที่สำคัญของานนี้ที่แปลกออกไปจากเครื่องมือของพิธีกรรมถอดถอนคุณไสยออกจากร่างผู้ป่วย นั่นคือหวายลงอักขระขอมโบราณ
    เสร็จสิ้นการทักทายปราศรัย ท่านจึงเริ่มประกอบพิธีกรรมต่ออีกครั้ง โดยพระหลวงตารูปนั่น นั่งบริกรรมคาถาพึมพรำๆ พร้อมกับไม้หงายเส้นเล็กในมือก็ค่อยๆเคาะตี ลงไปที่บริเวณต้นขาของชายชาวบ้านแบบเบาๆต่อเนื่อง เสียงดังแต๊บๆ ถี่รัวเรื่อยๆ


    แต่ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังแข่งขัน ขึ้นมา นั่นก็คือเสียงของคนที่โดนตีด้วยหวาย
    ร้องคราง อู๊ย อูย ๆ ทำปากบิด ปากเบี้ยวตาจังหวะการเคาะตีของหลวงตารูปนั้น ค่อยบิดขากระเถิบหลบหนีเรื่อยๆราวกับเจ็บปวดเต็มปะดา


    “อูย..เจ็บมากเลยเลยครับหลวงตา..มันเจ็บแทงลึกเข้าไปในหัวใจเลยล่ะ” เสียงหนุ่มชาวบ้านครวญ
    ทนเอาหน่อยนะโยม ไม่งั้นก็ไม่หาย ธรรมดาแหละของนี้เขาทำมาแรง มันจะคอยกุมหัวใจ กินเลือด กินอวัยวะภายในเราเสียหายหมด ปล่อยไว้โยมก็จะเจ็บเรื้อรัง แล้วก็อาจตายอีกไม่กี่ปีนี่แหละ”

    จากนั้น หลวงตาก็เคาะตีลงที่เนื้อหน้าขาของโยมคนดังกล้าว
    และสิ่งที่ปรากฏกับสายตาของชาวบ้านและภิกษุรูปนั้นคือ

    บริเวณผิวหนังที่ตีเคาะลงไป มีผื่นหนาสีดำปูดนูนขึ้นอย่างน่ากลัว ขนาดใหญ่กว้างประมาณขนาดเท่าฝ่ามือ สิ่งที่ปรากฏต่อมาแก่สายตาทุกคนนั่นคือปลายเหล็กแหลม ตะปูสนิมดำเขลอะค่อยๆผุดแทรกโผล่ออกมาจากผิวหนัง จนขึ้นมาหมดทั้งดอกตะปู รูปร่างดำหงิกงอ น่าขยะแขยงยิ่งนัก นี่มันตะปูเสกด้วยอาคมทำร้ายกันมุ่งหมายถึงชีวิตเชียวนะนี่..

     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ..# เรื่องการทำกัวซา และโรคมะเร็ง ตามแนวทัศนะคติของ topls99
    (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)


    “โอ้! ไม้หวายเคาะเรียกตะปูโลงผีขึ้นมาจากผิวหนังได้เลยเหรอครับพระอาจารย์” ผู้เล่าถามพระอาจารย์

    “ใช่...หลวงตารูปนั่นท่านเก่งมากเลยนะ ข้าก็เลยขอฝากตัวเรียนเพื่อวิชานี้มาจากท่าน คาถาและวิธีการนี้ถ่ายทอดมาจากฤษีลึกลับทั้ง 4 ตน (ถ้าผู้เล่าจำมาไม่ผิด) ได้มาแนะนำบอกหลวงตาในระหว่างธุดงค์ ไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง โดยบอกคาถาวิเศษนี้คนละตัวอักขระ สลับกันไปมา”

    “แล้วมันทำอะไรได้บ้างครับ แล้วไม้หวายกับคาถาที่ว่านี่มีว่าอย่างไงครับ”

    “ก็มีเอาไว้ตีไล่โรค ไล่ผีที่เป็นประเภทภูตพรายในตัว ทำให้เกิดอาการปวดหัว ปวดหลัง หรือเจ็บเสียวแปล๊บๆ ในผิวเนื้อ ผิวหนัง
    แทรกกินในเยื่อกระดูกเราได้ คาถามันมีไม่มาก ว่างี้ “…… ……. ……. ……”
    ( โทษทีครับท่านทั้งหลาย ระบบสมองของผู้เล่าไม่ค่อยดีจำไม่ได้ อักระภาษามันฟังแปลกๆ ) ของภูตพรายบางอย่างที่เรารับเข้ามาจะโดยอาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ในช่วงดวงตก หรือความตั้งใจเล่นงานของพวกเหล่านักเล่นไสยศาสตร์ พวกพรายโรคเหล่านี้มันจะอาศัยกิน เลือดน้ำเหลือง น้ำกระดูกไขข้อ ไขเอ็น ที่มักมีอาการเจ็บเรื้อรัง หมอปัจจุบันหาสาเหตุไม่ได้ และและต่อไปก็รุกลาม จะเป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ต่อไปได้”

    “พระอาจารย์ ผมเองก็รู้สึกว่าในตัวผมมันมีอะไรแปลกๆอยู่เหมือนกัน มันชอบเจ็บเสียว แปล๊บๆ จั๊กจี้ๆ บริเวณปลายชายโครงกระดูกล่างสุดนี้แหละ เจ็บมานานแล้ว เดี๋ยวมาๆหายๆเป็นระยะๆนานแล้วครับ พระอาจารย์ช่วยเคลียร์ให้ผมหน่อยนะครับ”

    “ได้สิ ศิษย์อย่างเอ็งนี่ ต้องเคลียร์ให้สาสมเชียว”

    “ ขอเคลียร์แบบปกติได้มั๊ยครับ คือคำว่าแบบสาสม ฟังดูนี่มันแปลกๆง่ะ”

    “ มาอย่าช้าร่ำไร ข้ายิ่งเวลามีน้อยอยู่ด้วย นอนลง เปิดเสื้อโชว์พุง”

    ผู้เขียนจึงนอนลงโชว์กล้ามเนื้อหน้าท้องโชว์ ที่เคยเป็นซิกส์แพ็คสวยงามพอๆกับของพี่อ๋อม อัครพันธ์เลยเชียว เพียงแต่นานปีเข้า มันดันไหลมารวมกันเป็นก้อนเดียวซะงั้น
    ตอนนี้ก็มานอนอวดกาย จ้องมองจิ้งจกไต่ฝาผนังกลางห้องเล่นๆในห้องปลอดคน (อาย..ซิกแพ็คชาวประชา..อะดิ๊)
    พระอาจารย์หันไปหยิบไม้หวายเล็กๆ ยาวประมาณครึ่งเมตร ขึ้นมาพนมมือบริกรรมคาถามุบมิบๆ

    (โถ..นี่เหรอไม้ที่เขาเล่าลือว่า ตีแล้วเจ็บนักหนา ไม่เท่าไรหรอกว๊า! สำออยกันเองมั๊ง พวกนั้นมันไม่รู้จักคำว่า “อดทน”กันเองต่างหากเล่า)
     
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ..# เรื่องการทำกัวซา และโรคมะเร็ง ตามแนวทัศนะคติของ topls99
    (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)


    (โถ..นี่เหรอไม้ที่เขาเล่าลือว่า ตีแล้วเจ็บนักหนา ไม่เท่าไรหรอกว๊า! สำออยกันเองมั๊ง พวกนั้นมันไม่รู้จักคำว่า “อดทน”กันเองต่างหากเล่า)

    จังหวะทีเผลอนั่นเอง เสียงไม้หวายก็กระทบที่แขนผู้เล่า เสียงดังแป๊ะๆ เล่นเอาสะดุ้งเฮือกเพราะความตกใจ

    อ๊ะ! พระอาจารย์ท่านมาตีที่แขนผมทำไม..ม่ายเจ็บ ม่ายเจ็บ!.. ผมอยากให้รักษาอาการเจ็บเหน็บที่แถบชายโครงกระดูกฝั่งซ้ายมือนี้ต่างหากครับ”

    “ข้ารู้! ว่าเอ็งมีบางอย่างเกาะอยู่ที่ชายโครง แต่ที่ตีแขนเอ็งนี่อยากให้เอ็งจำว่า ความแรงที่ข้าตีเคาะว่าน้ำหนัก มันไม่ได้แรงเลยประมาณนี้นะ”

    “เดี๋ยวเอ็งก็รู้ว่า เจ็บ ปวดเข้าไปในหัวใจมันเป็นอย่างไง”

    “ นี่..เอ็งโดนของเขามานี่ เกือบ 6-7 ปีแล้วนะ”

    “เอ๊า!... เหรอครับ โดนมาได้ยังไง!แล้วเขาจะทำผมทำไม ก็ผมเป็นคนดีออกจะตาย”
    ผู้เขียนอวดชมตัวเอง กับพระอาจารย์อย่างหน้าด้านๆ ที่น้อยคนนักจะสามารถกระทำ

    “เขาจะเอาไปทำสามีนาสิ ไม่น่าเชื่อว่า ไอ้แนวพันธุ์เอ็งนี่ ยังจะมีใครเขาอยากได้นะ ฮ่าๆ”

    จากนั้นเสียงดังแป๊ะๆๆ จากไม้หวายกระทบเนื้อบริเวณชายโครงด้านซ้ายก็ดังขึ้น
    สะดุ้งตกใจวาบ
    “อู๊ยๆ อูย” ทำไมมันเจ็บนักวะ! เกิดมาจากท้องพ่อ ท้องแม่ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าเจ็บสุดๆมันเป็นอย่างไง

    มันช่างเจ็บได้จิตได้ใจดีเหลือเกิน ตีปล๊าบ...ความเจ็บมันวิ่งแปล๊บเข้ากระทบขั้วหัวใจเลยทีเดียวล่ะท่านเอ๋ย!

    อยากกู่ก้อง บอกฟ้าดินให้รู้ว่า...เจ็บกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วจ้า..

    นึกถึงเรื่องนี้ย้อนหลังไปหลายปี ก่อนที่จะมาโดนหวายอาคมเส้นเล็กครั้งนั้นแล้ว ภาพในอดีตก่อนที่จะมาโดนหวาย

    เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ก็ไล่เรียงเหตุการณ์ไปถึงเมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง...

    วันหนึ่งของงานเลี้ยงภายในแผนก ฉลองผลงานได้เกินเป้าหมายของบริษัท
    ทางผู้บริหารจึงตอบแทนพนักงานหัวหน้างานและทีมStaffโดยให้งบพิเศษมาเพื่อจัดเลี้ยงโดยเหมาร้านบรรยากาศสวนอาหารแห่งหนึ่งเอาไว้

    ช่วงที่งานเลี้ยงเคล้าเสียงเพลงกระหึ่มดำเนินไปอย่างสนุกสนานนั่นเอง

    ในช่วงที่ผู้เขียนยังใช้ชีวิตแบบหัวหกก้นขวิดอยู่นั้น ก็สูบบุหรี่กินเหล้าไปตามประสา ช่วงหยุดพักอยู่ด้านนอกร้าน ออกมารวมกับบรรดาขี้ยาทั้งหลาย ก็คว้าบุหรี่เตรียมไฟแช๊ค ขึ้นมาหมายนำขึ้นมาจุดสูบ

    แต่ก็มีสตรีนางหนึ่งโผล่ขึ้นมาใกล้วงเพื่อนๆทีมหัวหน้างาน
    “หัวหน้าๆ มาหนูต่อบุหรี่ให้ วันนี้หนูอยากเอาใจ”

    “ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง” สตรีนางนั้นเป็นลูกน้องในบังคับบัญชาของผู้เขียนเองแหละ แต่นางก็หาได้ยอมไม่ ยังคะยั้นคะยอจะขอต่อบุหรี่ให้อยู่นั่นจนรู้สึกรำคาญ

    “เอาตามใจ”
    ดีเหมือนกันแฮะ มีลูกน้องผู้หญิงมาเอาใจต่อหน้าเพื่อนฝูง..อ่ะโก้ดีไหมเพื่อน อิจฉาดิ๊ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนหัวหน้างานด้วยกัน

    แต่เอ๊ะ แค่ต่อบุหรี่ทำไมมันต้องหายไปนานจัง สักพักใหญ่เธอก็นำบุหรี่ที่ต่อติดไฟเรียบร้อยมาให้ จากนั้นจึงเริ่มสูบบุหรี่ตามวิสัยขี้ยาทั่วไป

    “เฮ้ย!รถชาดบุหรี่ที่ว่านี้ทำไมมันเปลี่ยนไป มันเหม็นหืน เหม็นเขียวสาบๆ ขื่นๆฝืดคอชอบกล ดูภายนอกมันก็ปรกติดีนี่หว่า

    ทิ้งดีไหมนี่ ...เอ หรือเพราะเราดื่มเหล้าเข้าไปเลยทำให้ประสาทลิ้นการรับรสชาติเราเพี้ยนไปเองหว่า..อย่าทิ้งเลยเสียดาย"

    ก็เลยฝืนดูดบุหรี่มวนรสประหลาดนั้นไปจนหมด แบบผะอืดผอมเต็มที (พระอาจารย์ท่านว่ามันมีมนต์ดลจิตให้เราทิ้งไม่ได้อยู่เหมือนกัน)

    โดยไม่รู้ว่านั่นคือที่มาของภัยร้ายจากมนต์ดำไสยศาสตร์ที่มาจากเด็กสาวชาวจังหวัดสกลนคร ที่เหมือนมากับความหวังดี

    ที่ตอนหลังได้พยายามมาทำตัวมาใกล้ชิดสนิทสนมด้วย แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกด้านเสน่หาแต่อย่างใด (เพราะผู้เล่าหล่อเลือกได้)

    แต่จากนั้นอีกประมาณสองสัปดาห์ ถัดมาก็เริ่มรู้สึกว่าสมองมึนๆงงๆ
    ความคิดความอ่านแย่ลงมาก อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย อาการตัวร้อนวูบวาบๆ ที่สำคัญคือ มีอาการปวดหลังอย่างมาก


    เหมือนถูกจับมัด กดหัวขดหัวแนบชิดกับหัวเข่าทิ้งไว้อยู่ตลอดเวลา ทรมานเหลือเกินจนแทบลุกขึ้นไปทำงานไม่ได้
    แผ่นหลังร้อนฉ่าอยู่โดยตลอดอาการปวดหลังนี้เป็นอยู่นาน 3-4 วัน อาการจึงค่อยทุเลาลงเอง

    โดยที่ไม่ได้กินยารักษาแต่อย่างใด จะปรากฏอาการนี้ทุกครั้งถ้าหากยืนนาน หรือพักผ่อนน้อย จากนั้นก็มีอาการเจ็บเสียวๆที่บริเวณชายโครงด้านซ้ายมือเป็นช่วงๆในบางวัน

    โดยไม่ได้นึกเฉลียวใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอีกประมาณ 2 ปีหลังจากที่ย้ายที่ทำงานใหม่แล้วฝ่ายผู้หญิงลูกน้องคนดังกล่าวก็ได้ข่าวว่าได้หนีงาน ลาออกไปแล้วพร้อมเชิดเงินแชร์และเงินหยิบยืมอีกหลายรายไปหลายหมื่นบาท ท่ามกลางเสียงแช่งชักหักกระดูกของเพื่อนร่วมงาน...เวรกรรมหนอ

    นึกถึงเหตุการณ์นั้นจนมาถึงวันที่โดยหวายอาคมหวดกลางชายโครงที่แสนเจ็บปวดแล้วให้เจ็บใจนักไม่น่าเสียรู้เลยตรู
    และที่เจ็บช้ำไปยิ่งกว่ารสไม้หวายก็คือคำว่า

    “...ไม่น่าเชื่อว่า ไอ้แนวพันธุ์เอ็งนี่ ยังจะมีใครเขาอยากได้อีกนะ ฮ่าๆ” จากพระอาจารย์นี่สิมันเจ็บแสบแปล๊บ เสียดแทงหัวใจเสียจริงๆ

    เอ้า...ฮิ้วๆ!
     
  8. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    ขอบพระคุณค่ะ ที่รับเป็นน้องสาว รู้สึกอบอุ่นใจค่ะ

    ยินดีที่ได้พบพี่ supatorn นะคะ

    ต้องขอบคุณท่าน toplus นะเจ้าคะ นอกจากจะได้อ่านเรื่องราวดี ๆ ยังได้พี่สาวเพิ่มด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2012
  9. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    แต่กาลก่อนเนิ่นนานผ่านเลยมา
    พระครูบาอาจารย์ท่านพร่ำสอน
    แต่ก็มัวหลงระเริงเหลิงอาวรณ์
    เกาะแต่ขอนที่ผุพังตามเวลา...

    กำลังเกาะลูกมะพร้าวลอยน้ำตามไปเจ้าค่ะ;aa2
     
  10. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    ขอขอบคุณด้วยคน ตามนั้นเลยค่ะ

    และวันนี้มีโอกาสไปกราบพระ 9 วัด ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ขอน้อมนำความสุขใจมาฝากคุณ ๆ ค่ะ
    ;aa57
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อดีตที่ผ่านมา เจ้าหลงสิ่งใด
    ตายังมืดใช่ไหม ผ่านมาเยอะ
    มีสิ่งใดพอกพูนในจิตเจ้า เขลามานาน
    วันเป็นเพียงวันวาน มิใช่ปัจจุบัน

    ณ วันนี้เจ้าพบเจอแสงสว่างแห่งสุขแท้
    จงตั้งจิตให้แน่วแน่ และตั้งใจ ใส่ความเพียร

    เรือลำนี้ยินดีต้อยรับ มา.. ไปด้วยกัน
    แต่ต้องเอาจริงนะ ไม่งั้นเปลืองพื้นที่ในเรือสำหรับคนเอาจริง


    ... จบ.๑๑ ...
     
  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขยันจริงๆนะ พ่อคุณครูวิทย์ ให้รู้ซะมั่งห้องนี่ใครหญ่ายยยย...

    มาทำเป็นดุ..กล้วจริงเลย กล้วจริง..

    พวกเราอย่ากลัวนะ!

    แค่เราเอาจริง ทำจริง ตั้งใจปฏิบัติจริง...แค่นี้

    ครูที่ไหนก็มาว่าเราไม่ได้หรอก จริงมั๊ย?

    กลัวที่ไหน พวกเราลุย..แซงได้เป็นแซง
    อย่าได้หวั่น..ขอบอก
     
  13. *พอส*

    *พอส* Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +98
    “...ไม่น่าเชื่อว่า ไอ้แนวพันธุ์เอ็งนี่ ยังจะมีใครเขาอยากได้อีกนะ ฮ่าๆ”
    แสดงว่าแนวคุณพี่ดีจริงๆ:cool:
     
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    วันนี้ชักสนุกแฮะ..

    นี่ก็มาอีกรายแล้ว แนวเสียดแสบ ตามแนวท่านพระอาจารย์เด๊ะ!

    อ่านแล้ว...มันเจ็บแปล๊บ!

    ฉันนี่มันออกแนว.. อ๋อม อัคพันธ์ ซิคแพ็คโปรตีนล้วนๆ เชียวนา
    ..ขอบอก
     
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อิอิอิ ก้ากกกกกกกก

    ผมเนี่ยยอมท่านพี่จิงๆเลย ทั้งหล่อ ทั้งคารมดี
    แบบนี้สิน่า แฟนคลับตรึม 55555

    ไม่ต้องกัวผมด๊อกกก ผมไม่มีไรเล้ยยย
    แซงไปเถอะครับ ตามสบาย ไม่ว่ากันด๊อกกก

    เราก้อจะอยู่กับเราตรงนี้แหละท่านทั้งหลายเอ้ยยยยย อิอิ


    ท่านพี่กับ น้าหมู โคราชานี่ คารมคมคายพอๆกันเลยเด้อออออ ชอบบๆๆๆๆๆ


    เอ้ามา ... กินหมึกย่างรอท่านฉายหนังต่อ ฮิ้วววววว
     
  16. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ว๊าววว อ่านแล้วได้กำลังใจจากอาจารย์toplus99ขึ้นมาเพียบ
    เหมือนได้แอบหลังผู้ปกครองเวลาถูกครูดุ เอิ๊กๆๆ:d

    ข้าเจ้าก็ขอลอยน้ำตามไปมิให้เป็นภาระผู้ใด ต้วมเตี้ยมกระดุ๊กกระดิ๊กมุ่งสู่จุดหมายปลายทางตามลายแทงที่คุณครูวาดไว้:VO
     
  17. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ช่วยกันแหย่แกเยอะๆครับ ท่านพี่ toplus99 เนี่ย
    ยิ่งแหย่ ยิ่งมัน ยิ่งเสียดยิ่งจะขับดันคารมคมๆมาให้เราได้ซีดซ้าดดดด อิอิอิ

    ปล.ซิคแพคจิงเร้ออออ นึกว่าจะวันแพคแบบผ้มมมม อิอิ
    หลบดีกว่า แกล้งมากๆ เดี๋ยวไม่ยอมฉายหนัง อิอิ
     
  18. crane

    crane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +780
    ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องธุดงควัตร และเรื่องเล่านะครับ
     
  19. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    สวัสดียามเช้าตรู่ค่ะ
    ก๊อก ก๊อก แวะมาทักทายกันตามประสา
    :z2
     
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อ..# เรื่องการทำกัวซา และโรคมะเร็ง ตามแนวทัศนะคติของ toplus99
    (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)


    เรื่องราวของการโดนหวายอาคมกับอ๋อม อรรคพันธ์ เอ๊ย toplus99 ยังไม่จบ
    ผลจากรอยของการตีเคาะหวายจะปรากฏเป็นรอยแผ่นผื่นสีคล้ำเขียวเป็นวงความหนานูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติประมาณครึ่งเซ็น ความกว้างประมาณเกือบ 3นิ้ว คล้ายผื่นของคนที่แพ้พิษพืช พิษแมลงแบบนั้นเลย

    ท่านก็เคาะเรียกตัวพรายขึ้นมา เพื่อให้หนีออกจากร่างกายเราไป และบางส่วนที่ยังค้างดื้อแพ่งไม่ยอมออก ก็จะเจอกับเส้นเหล็กเล็กๆตีเคาะสำทับอีกที

    จากนั้นพระอาจารย์ท่านหยุดตี พร้อมกับเอาน้ำหมากในปากท่านมาป้ายเป็นวงๆรอบรอยช้ำเขียวแดงนั้นไว้ เพื่อไม่ให้เชื้อพรายกระจายตัวออกมาแผลงฤทธิ์กวนตัวให้เจ็บแปลบแบบอย่างเก่า
    +++++
    ผีพราย
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก
    ผีพราย ส่วนใหญ่มีถิ่นที่อยู่อยู่ในน้ำมากกว่าบนบก พราย เชื่อกันว่าเป็นจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กสุด (ลำดับของดวงจิตวิญญาณที่สามารถปรากฏให้รับรู้ได้ คือ พราย ภูติ ผี ปีศาจ)ส่วนใหญ่มักมีที่มาจากการหมักหมมของซากพืชหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆดวงจิตวิญญาณนี้มักแสดงตน(มีลักษณะเป็นดวงไฟเรืองแสง)เพื่อหาสถานะที่อยู่โดยเข้าทดแทนในบางส่วนของร่างมนุษย์ สัตว์ซึ่งถือว่าดีกว่าสถานะเดิม(สิงสู่)ด้วยการหลอกล่อให้ยอมรับ ลุ่มหลง

    ผีพรายส่วนมากจึงมักปรากฏร่างเป็นผู้หญิง นางไม้ บางทีก็จัดเข้าพวกผีพรายได้เช่นกัน เช่น พรายตะเคียน พรายตานี เป็นต้น หรือแม้แต่ผีทะเล หรือผีน้ำ ก็จัดเป็นพรายด้วยเช่นกัน เช่น พรายทะเล พรายน้ำ แต่ว่าพรายน้ำที่เป็นฟองผุดๆ ขึ้นจากน้ำนั้น เป็นคนละอย่างกัน
    นอกจากนี้ ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ยังปรากฏผีพรายด้วย คือโหงพราย แต่ในเรื่องขุนช้างขุนแผน คาดว่าน่าจะเป็นผีผู้ชายมากกว่า เวลาที่ปรากฏ ผีพรายมักปรากฏตัวตอนเวลาหกโมงเช้า เที่ยงวัน หกโมงเย็น และเที่ยงคืน ผีพรายมักอยู่ในคลองหรือแม่น้ำ ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ผีพรายมีลักษณะเป็นผู้หญิงใส่เสื้อสีขาว เมื่อจับเหยื่อได้จะเอาร่างเหยื่อสิ่งไร้วิญญาณแทนร่างตน
    ====

    “เอาล่ะพอแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งเอาออกหมดเลย ข้ากรึงบริเวณกักเก็บเอาไว้ ให้เอ็งเล่น!”

    “จะเก็บเอาไว้ทำไม เก็บเอาทำไมให้ปวดใจครับ?”

    “เออ..เอาน่า ไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวก็รู้เองแหละ” หึ! ดุจังถามหน่อยก็ไม่ได้

    ภายหลังก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งที่ญาติๆ สนิทคุ้นเคยกับท่าน พามารักษาตัวที่วัดแห่งนี้ เพราะมีอาการเจ็บปวดท้องมากบ่อยๆ บางครั้งมีอาการเหมือนขาดความเป็นตัวเองแปลกๆ หมอเอกซเรย์ตรวจดูอย่างละเอียด ก็ไม่พบความผิดปกติแต่ใดๆ ผู้ป่วยก็ได้แต่ต้องทนต่อความเจ็บปวดนั้นเรื่อยมา

    ในรายที่หนักๆจริงๆท่านจะขอให้ทำชุดขันธ์ห้า พร้อมเงินค่าบูชาครูอีกประมาณ สิบกว่าบาท เพื่อเป็นหุ่นตัวแทนรับเคราะห์ รับโรคไว้แทน มิเช่นนั้นตัวภูตพรายนี้ ก็จะย้อนกลับไปเล่นงาน ผู้รักษาเอง อันนี้มาเข้าใจด้วยตัวเองในภายหลัง

    ผลจากการเรียกไล่พราย อาถรรพ์ไสยศาสตร์ที่ถูกแฝงซ่อนในร่างกาย ด้วยการเรียกมาตีด้วยหวายครั้งนั้นดูน่ากลัวดีพิลึก เพราะบริเวณหน้าท้องของหญิงคนดังกล่าว ปรากฏเป็นรอยผื่นหนานูนแข็งแดงเขียวช้ำเลือดดำ ผุดปูดหนาเกือบ1นิ้ววงกว้างเท่าๆจานใบขนาดย่อมๆ บนหน้าท้อง ปากก็ร้องเหมือนมีอีกดวงวิญญาณเข้าแฝง

    “โอย กลัวแล้วเจ็บหรือเกิน ”

    “งั้นก็ออกไปซะ มาอยู่ทำไมกับร่างคนเขา ออกไปซะเดี๋ยวจะให้ร่างนี้ ปฏิบัติธรรมกรวดน้ำทำบุญไปให้...ไปออกไป”

    “ฉันรักเขา ฉันรักเขา...ฉันจะอยู่กับเขา โอยเจ็บ”

    อายุปานนี้แล้วทำไมยังมาร้องรักใคร แบบไหนกัน ท่านก็ตีเคาะไปเบาๆเท่านั้น แล้วทำไมความเจ็บปวดนั้นมากมายเหลือเกิน รู้ล่ะว่ามันประมาณไหน ขอบอกว่ามันเจ็บมากจริงๆ ถ้าไม่ใช้จุดที่มีพรายฝังตัวอยู่จะรู้สึกว่าการถูกหวายตีไม่เจ็บปวดอะไรเลย แม้จุดนั้นอยู่ใกล้ๆกันก็ตาม

    ท่านก็ค่อยๆเคาะเรียกตีไปที่รอยปื้นหนา บนหน้าท้องของหญิงชราไปเรื่อยๆจนแผ่นผิวหนังหนา นูนใหญ่คล้ายกับกระเพาะหมูยัดลงไปในท้องคน แล้วรอยกระเพราะหมูค่อยๆยุบตัวลงไปเรื่อยๆ จนผิวหนังบริเวณนั้น ค่อยๆหดตัวเล็กลงจนเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ ท่านจึงหยุดตี พร้อมกับนำด้านด้ามจับมาวนกำกับ จำกัดกระชับวงพื้นที่ไม่ให้พิษพราย กระจายตัวออกไปไหนได้อีก

    “เอานะตีรักษา แค่นี้ก่อน มากว่านี้คนป่วยจะรับไม่ไหว เว้นช่วงอีก2-3วันค่อยมาเอาออกอีกที ตกลงรับปากว่าต้องบวชพราห์ม รักษาศีล อุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วยนะ หากไม่บวช ฉันก็ช่วยโยมไม่ได้แล้วนะ”

    ผลจากร่องรอย จากการตีด้วยหวายนั้น น่าแปลกมากว่า ถึงจะปรากฏรอยเขียวช้ำม่วง วงใหญ่ดูน่ากลัวเพียงใด แต่เมื่อเราเอามือไปกดจับสัมผัสบริเวณรอยทีถูกหวายลง กลับจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใดๆทั้งสิ้น ผิดกับรอยช้ำจากแผลช้ำประเภทอื่นๆทั่วไป น่าฉงนนัก!

    แต่มีกฎข้อห้ามอยู่อย่างคือห้ามนำยาหม่อง หรือยาประคบใดๆมาทาทับรักษาทั้งสิ้น แล้วในอีก 2-3วัน รอยนั้นก็จะเลือนจางหายไปเองในที่สุด


    สำคัญอีกอย่างคือท่านจะทำพิธีนี้ให้เฉพาะบุคคลที่ญาติพี่น้อง คนในครอบครัวมารับรองรับรู้การักษาด้วยความเต็มใจศรัทธา และต้องสนิทคุ้นเคยกันมาก่อนเท่านั้น ไม่ได้ทำพิธีกรรมนี้ให้กับบุคคลทั่วๆไป ด้วยเกรงว่าหากคนในครอบครัวไม่เข้าใจ เห็นร่องรอยเขียวช้ำน่ากล้วก็จะเกิดปัญหายุ่งยากวุ่นวายตามมาอีก ว่าทำอะไรโง่ งมงายมากระทำรุนแรงกันอย่างนี้
    พูดง่ายว่าหากญาติๆไม่มาขอร้องให้ช่วยรักษา ก็ไม่มีทางรักษาด้วยวิธีนี้กันง่ายซะล่ะ...

    เพราะท่านเองก็ต้องใช้พลังจิตค่อนข้างมากและใช้เวลาพอสมควร ปกติท่านก็ทำงานหนักและมีกิจนิมนต์เดินทางโดยตลอด จนแทบไม่ได้พักผ่อนอยู่แล้ว

    และสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หากท่านเห็นว่าคนป่วยมีผลวิบากกรรมหนัก ก็ให้ผู้ป่วยพยายามบวชพราห์มรักษาศีล สวดมนต์ปฏิบัติธรรม เพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร

    ท่านว่าคนที่โดนของพวกนี้มา ล้วนแล้วแต่เคยมีผลจากวิบากกรรมเกี่ยวข้องกันมาทั้งสิ้น ไม่มีใครเลยที่จะดีงามบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกรรมที่เคยได้กระทำต่อกันมาก่อน ภายหลังจึงต้องทำการขอขมาลาโทษ และอุทิศบุญกุศลเพื่อให้กรรมนั้นเบาบางลงหรืออโหสิกรรมกันในที่สุด

    “ข้าก็มีเมตตานะ แต่ข้าก็มีอย่างจำกัดเหมือนกัน แม้พระพุทธเจ้าท่านเองก็เลือกโปรดเมตตาแต่ละบุคคลเหมือนกัน
    หากไม่ยอมรักษาศีล สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง แล้วจะเอาต้นทุนบุญกุศลไหนมาช่วยตัวได้ เมื่อกรรมมันมาถึงแล้ว ก็ยังไม่คิดจะช่วยตัวเหลือเองเลย อ้างเหตุผลไม่ว่างมีกิจธุระจำเป็นสารพัด บางทีรับปากว่าจะยอมถือศีลบวช 3- 5วัน แล้วมาบิดพลิ้วภายหลัง อ้ายคนประเภทนี้ต่อไปจะรับกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรหนักเป็น2 เท่าเชียว โทษฐานผิดสัจจะ

    ข้าจะไปช่วยทำไมล่ะ ใครว่าเก่งก็ไปให้คนนั้นช่วยรักษาก็แล้วกัน
    อย่าแหลมหน้ามาให้ข้าช่วยเชียว เหนื่อยฟรีเปล่าๆ ข้าเบื่อพวกดื้อกิเลสหนา”
     

แชร์หน้านี้

Loading...