พุทธานุสสติถึงสมาบัติแปด โดยพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ทรมาน, 22 สิงหาคม 2007.

  1. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]ที่มา http://suknirun.buddhi.sm/ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เริ่มต้น[/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC][/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC][/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]พุทธานุสสติถึงสมาบัติ[/FONT]

    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]วันนี้จะได้พูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานต่อ เมื่อวานนี้ได้พูดถึงการเจริญกรรมฐานด้านพุทธานุสสติกรรมฐาน จากระบบปฏิบัติตามแบบที่พิจารณาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใคร่ควรความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสั่งสอนตามแบบนี้ที่ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานย่อมมีกำลังแค่อุปจารสมาธิ แต่สำหรับพระอาจารย์สอนที่มีความฉลาด ท่านสอนต่อๆกันมา คือสามารถดัดแปลงเอาพุทธานุสติกรรมฐานให้เป็นฌานสมาบัติจนกระทั่งเข้าถึงฌาน ๔ ได้วันนี้ก็จะได้อธิบายการเจริญพระกรรมฐานในด้านพุทธานุสสติกรรมฐานจากอารมณ์อุปจารสมาธิมาเป็นฌาน ๔ การเจริญกรรมฐานถ้ามีความเข้าใจ กรรมทานทุกกองก็ทำเป็นฌาน ๔ ได้เหมือนกันหมด แล้วก็ต่อเป็นสมาบัติ ๘ ก็ได้[/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]การเจริญพุทธานุสสติกรมฐานให้เป็นฌาน ท่านก็ใช้คำภาวนาเป็นพื้นฐาน คือ ใคร่ควรตามความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตามแบบที่กล่าวมาล้าถ้าต้องการให้เป็นฌานอย่างยิ่ง ก็งดการพิจารณานั้นเสีย จิตน้อมยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าที่เชื่อว่าจิตน้อมยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้านี่ เราไม่ได้ถือเนื้อถือหนัง ถือรูปร่างของท่านเป็นสำคัญ เนื้อหนังรูปร่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามิได้ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความเป็นพระพุทธเจ้ามาจากการบรรลุธรรมะพิเศษไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ในตอนที่จะเข้าสู่พระปรินิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ว่า[/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]อานันทะ ดูกรอานท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนเธอทั้งหมดนี่จะเป็นศาสดาสอนเธอ ศาสดานี่แปลว่าครู นี่เราจะเห็นได้ว่าความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรมคำสอนนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]เรามาเปลี่ยนแปลงจากการพิจารณาความดี เอาจิตเข้ามาพิจารณาจุดเล็ก คือแทนที่จะเป็นการใคร่ควร กลับมาภาวนา นึกว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ เราจะผูกใจของเราให้จับอยู่เฉพาะความดีของพระพุทธเจ้าเท่านั้นท่านจึงสอนให้ใช้คำภาวนาแทนที่จะพิจารณา แต่ว่าเราก็ไม่ทิ้งคำพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ให้จิตเข้าถึงความดีของพระองค์ เป็นการสร้างธรรมปีติ ความมั่นใจในความดีก่อน[/FONT]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2007
  2. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    เมื่อเราพิจารณาความดีใคร่ควรความดีของพระองค์แล้ว เมื่อใจสบายก็จับอารมณ์เป็นสมาธิพิเศษ คือใช้อานาปานสติกับพุทธานุสสติควบกันไป โดยใช้คำภาวนาว่าพุทโธ นี่ง่ายดี ความจริงการภาวนาในด้านพุทธานุสสติกรรมฐานนี่ว่าได้หลายอย่าง อิติปิโสเบื้องต้นทั้งหมด ๙ ข้อ เราว่าได้ทุกข้อ จะว่าข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ก็เชื่อว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานทั้งนั้น แต่ว่าการที่ท่านตัดเอาใช้คำว่าพุทโธ เพราะเป็นการสะดวกแก่บุคคลผู้ฝึกในตอนแรก
    ในตอนต้นให้พิจารณาลมหายใจเข้าออกพร้อมคำภาวนา เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท เวลาหายใจออกนึกว่าโธ อันดับแรกจับเอาแค่จมูกก่อน หายใจเข้าก็นึกว่าพุท หายใจออกก็นึกว่าโธ แค่นี้ให้จิตสบาย พอจิตมีความสบาย มีกำลังเป็นสมาธิสูงขึ้น จิตจะรู้ลมกระทบสัมผัสภายใน หายใจเข้าลมจะกระทบจมูก กระทบหน้าออก กระทบศูนย์เหนือสะดือ หายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือจมูก
    ถ้าปรากฏว่าลมกระทบ ๓ ฐานมีความรู้สึกแบบสบาย หรือมีจิตใจละเอียดไปยิ่งกว่านั้น รู้สึกลมไหลลงไปตั้งแต่ต้นยันท้อง ไหลจากท้องมายังจมูก ออกทางจมูกอย่างนี้ก็ยังดีใหญ่ ที่จะมีความรู้สึกอย่างนี้ต้องปล่อยลมหายใจเข้าออกตามธรรมดา อย่าหายใจแรงๆ ยาวๆ หรือบังคับให้หนักๆ อันนี้ไม่ได้ ต้องปล่อยลมหายใจไปตามกฎธรรมดา ที่เราจะรู้ได้ก็อาศัยสติสัมปชัญญะของเรามันดีหรือมันเลวเท่านั้น ถ้าสติสัมปชัญญะของเราดี จิตเป็นสมาธิมากก็มารับสัมผัสได้สามฐาน ถ้ามีอารมณ์ละเอียดไปกว่านั้นก็รู้ลมไหลเหมือนกับน้ำไหลเข้าน้ำไหลออก
    ถ้ารู้ลมได้ ๓ ฐานก็ดี หรือรู้ลมไหลออกไหลเข้าตลอดเวลา อย่างนี้ชื่อว่าจิตเป็นฌาน เรียกว่าปฐมฌาน พร้อมกันก็ทรงภาวนาไว้ด้วย
    ถ้าภาวนาไปภาวนาไป รู้สึกว่าลมหายใจเบาลง เบาน้อยลง จิตใจมีความชุ่มชื่น คำภาวนาหายไปหยุดภาวนาไปเฉยๆ แต่มีใจสบาย หายใจอ่อนลง มีความชุ่มชื่นมากกว่าจิตทรงมากกว่า อย่างนี้เป็นฌานที่ ๒
    ถ้าต่อไปความชุ่มชื่นหายไป มีแต่อาการเครียด จิตใจสบาย ลมหายใจเบาลงได้ยินเสียงภายนอกน้อยลงไป เบาลงไปมาก จิตใจทรงตัวดิ่ง มีอาการไม่อยากเคลื่อน มีร่างกายคล้ายกับมีอาการทรงตัวเหมือนหลักปักแน่นๆ หรือว่าใครเขามัดตัวตรึงไว้เฉยๆ
     
  3. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    ไม่อยากเคลื่อน ใจสบาย แนบนิ่ง นิ่งสนิท คำภาวนานั้นมีแค่ตั้งแต่แต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือปฐมฌานเท่านั้น
    ต่อไปเริ่มต้นเราจับคำภาวนา แล้วก็ต่อมาปรากฏว่าจิตมีอารมณ์สว่างสดใสมีจิตใจชุ่มชื่น มีอารมทรงตัวปกติไม่เคลื่อนไหวไปไหน ทรงตัวแบบสบาย มีความโพลงอยู่ในใจ เป็นความสว่างมาก แต่ว่าไม่ปรากฏลมหายใจหูไม่ได้ยินเสียงภายนอก แม้จะเอาปืนใหญ่หรือเอาพลุมาจุดใกล้ๆ ก็มาได้ยินอย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ ๔
    ถ้าจะถามตอบกันของแบบฉบับของการเจริญสมาธิ ไอ้เรื่องยุงกินริ้นกัดนั่นมันไม่กวนใจเราตั้งแต่อุปจารสมาธิ พอจิผ่านปิติ เข้าถึงสุข มันจะมีความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ไอ้เรื่องเสียงที่เราได้ยินก็เหมือนกัน มันก็ไม่กวนใจ ใจเราก็มีความสบาย ร่างกายก็ไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่มีอะไรทั้งหมด มันสุขจริงๆ มีแต่จิตใจชุมชื่น ยุงกินริ้นกัดหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่ายุ่งมันกินหรือเปล่า แต่ว่าส่วนมากยุ่งไม่กวน แต่บางท่านก็กวนเหมือนกัน บางทีนั่งพอเลิกแล้วเป็นตุ่มหมดทั้งตัวปรากฏว่ายุ่งกัด แต่เวลาขณะที่ปฏิบัติทรงจิตเป็นสมาธิไม่รู้สึกว่ายุงกัด นี่ความจริงเรื่องการสัมผัสกับอาการภายนอก แต่จิตไม่จอมรับสัมผัสจากประสาทเริ่มมีตั้งแต่ตอนสุข เพราะคำว่าสุขนี่มันต้องไม่มีคำว่าทุกข์มันสุขจริงๆ หาตัวทุกข์ไม่ได้ ถ้าเมื่อยมันก็ไม่สุข ถ้ารู้ว่ายุงกินแล้วคันหรือเจ็บมันก็ไม่สุข มันเป็นทุกข์ นี่คำว่าสุขตัวนี้ก็ตัดอาการเหล่านี้ไปทั้งหมด
    ความจริงเรื่องเสียงก็ดี ที่เราจะรำคาญภายนอก หรือยุงกินริ้นกัดก็ดี มันตัดกันแค่สุขยังไม่ถึงปฐมฌาน แต่ว่าอาการของความสุขและปฐมฌานนี่มันใกล้เคียงกันมาก เขาบอกว่าห่างกันแค่เส้นผมผ่า ๘ เท่านั้น ขอบรรดาทุกท่านจำไว้ด้วย ถ้าว่าใครเขาถามละก็ตอบเขาแบบนี้ ถามว่ายุงกินไหม บอกบางองค์กินบางองค์ก็ไม่กิน ถามว่าทำไมยุงกินหรือไม่กิน กัดหรือไม่กัดไม่เหมือนกัน บางองค์ก็ถูกกวนบางองค์ก็ไม่ถูกกวน ก็ตอบว่าถ้าองค์ใดหรือท่านใดมีพรหมวิหารสี่ ครบถ้วน มีจิตทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ท่านผู้นั้นยุงไม่กินริ้นไม่กัด ถ้าบกพร่องในพรหมวิหาร ๔ มันกัดแน่ นี่ตอบเขาอย่างนี้ แล้วก็ตอบตัวของเราเองเสียด้วย
     
  4. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    นี่เป็นอาการของฌาน ๔ ตามปกติ เมื่อถึงฌาน ๔ แล้วก็ต้องพยายามทรงฌานทรงสมาธิจะเป็นอันดับไหนก็ตาม ให้มันมีการคล่องตัวที่เรียกว่า วสี จะเป็นฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ อะไรก็ตาม ให้มันคล่องจริงๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรจิตเป็นสมาธิทันที เดินไปเดินมาเหนื่อย ๆ นั่งปั๊บจิตจับปุ๊บเป็นสมาธิทันที ทำงานมาเหนื่อย หาบน้ำหาบท่ามาอย่างหนักทำงานหนักวางของปั๊บนั่งปุ๊บจิตจับเป็นสมาธิทันทีทรงตัวได้ทันที นี่ต้องหัดให้คล่องอย่างนี้จึงได้ว่าเป็นผู้ทรงฌานหรือผู้ได้ฌาน ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันส่งเดชไป อารมณ์มันจะใช้อะไรไม่ได้ ถ้าทำกันส่งเดชได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาไม่ถือว่าได้ แต่ก็ยังดีตายเป็นเทวดาได้แต่เป็นพรหมไม่ได้ ถ้าจิตเราสามารถทรงฌานได้ทุกขณะจิตก็จะเป็นพรหมได้แน่นอนเพราะเวลาที่ป่วยไข้ไม่สบายเกิดทุกขเวทนามาก เราก็เอาจิตจับฌานทันที ทุกขเวทนามันก็คลายตัว ดีไม่ดีไม่รู้สึกตัวเพราะจิตและประสาทมันไม่ยอมรับรู้ซึ่งกันและกัน มันแยกจากกันเด็ดขาด
    หากว่าเราจะทรงฌานด้านพุทธานุสสติกรรมฐานเข้าถึงฌานที่๘ เราจะทำอย่างไร
    แบบท่านบอกไว้ว่า พุทธานุสสติกรรมฐานและอนุสสติทั้งหมด เว้นไว้แต่อานาปานสติ จะเข้าถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น ท่านว่าไว้อย่างนั้น เราก็ดัดแปลงให้เข้าถึงฌาน ๘ เสียให้หมดมันจะเป็นยังไงไป ทำเป็นเสียอย่างเดียวมันก็ทำได้ เข้าใจแล้วมันก็ทำได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้จำกัด ถ้าเราจะทรงฌาน ๘ ทำยังไง
    แทนที่เราจะภาวนาเฉยๆ เราก็จับภาพพระพุทธรูป กำหนดภาพไว้ ลืมตาดูภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ที่เราต้องการ เรามีความเลื่อมใสพอใจอยู่ เวลาจับลมหายใจเข้าออกภาวนาว่าพุทโธ ก็นึกเห็นภาพขององค์สมเด็จพระบรมครูจะเป็นพระพุทธรูปก็ได้ให้ปรากฏอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนั่งคอยให้ภาพลอยมาแบบนี้ใช้ไม่ได้ ภาวนาไปแล้วก็นึกถึงภาพไปด้วย จะนึกอยู่ในอกให้เห็นอยู่ในอกหรือเห็นภายนอกก็ได้ไม่จำกัด
    ถ้านึกถึงภาพนั้นตามภาพเดิม อย่างนี้เรียกว่าอุคหสมาธิหรืออุคหนิมิต
    ถ้าภาพเดิมนั้นขยายไปเปลี่ยนแปลงไปชักจะใหญ่ขึ้น จะสูงขึ้นจะเล็กลง แล้วก็มีสีสันวรรณะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ จากสีเดิมกลายเป็นสีจางไปนิดหน่อย
     
  5. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    จางลงไปจางลงไป แต่เรารู้สึกอารมณ์จิตนึกเห็นชัด นึกเห็นนะ ไม่ใช่ภาพลอยมา อารมณ์จิตนึกเห็นชัดจนกระทั่งปรากฏเป็นแก้วใส อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นอุปจารสมาธิตอนกลาง
    ตอนนี้แก้วใสที่กลายเป็นแก้วประกายพรึก แพรวพราวไปหมดทั้งองค์ จิตใจสามารถจะบังคับให้ภาพนั้นเล็กก็ได้ จะให้ใหญ่ก็ได้สูงก็ได้ตำก็ได้ ตั้งอยู่ข้างหน้าก็ได้ข้างหลังก็ได้ตามใจนึก นึกอย่างไร ภาพนั้นปรากฏไปตามนั้น มีความใสสะอาดสุกใส เป็นกรณีพิเศษ อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ท่านกล่าวว่าเป็นปฐมฌาน
    การจับภาพนี่จับให้สนิท ให้คิดอยู่เมื่อไรได้เมื่อนั้น เดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระนั่งอยู่ นึกเห็นเมื่อไรเห็นได้เมิ่นั้นทันที นี่อย่างนี้เป็นกสิณด้วย เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานด้วย
    ถ้าการเห็นภาพแบบนั้นปรากฏว่าคำภาวนาว่าพุทโธหายไป ภาพใสขึ้นผิดกว่าเดิม อันนี้เป็นฌานที่ ๒ แต่มีจิตชุ่มชื่น อาการของจิตมันเหมือนกัน
    ภาพใสสะอาดขึ้น มีการทรงตัวมากขึ้น มีความแจ่มใสมากขึ้น ความชุ่มชื่นหายไปมีอาการเครียด จิตทรงตัวแนบนิ่งสนิท แล้วก็ลมหายใจน้อย ได้ยินเสียงภายนอกเบาอันนี้เป็นฌานที่ ๓
    การเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเป็นกรณีพิเศษ สว่างไสวคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด หรือว่าคล้ายกับกระจกเหงาที่สะท้อนสงแดงดวงใหญ่ ใจไม่ยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่น เป็นอุเบกขารมณ์ทรงสบาย เห็นแนบนิ่งสนิท จะนั่งนานเท่าไรก็เห็นได้ตามความปรารถนา หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็นฌานที่ ๔ ก็ยังเป็นรูปฌานอยู่
    ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะทำเป็นอรูปฌาน จะทำอย่างไร เราจะทำถึงฌาน ๘ กันนี่ นี่เป็นวิธีแนะนำปฏิบัติตามผลแห่งการปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เกาะตำราเสียจนแจ แล้วไปไหนไม่พ้น เขาทำแบบนี้
    จับภาพพระพุทธเจ้าองค์นั้นแหละ ที่เป็นประกายพรึกอยู่ เพ่งจับจุดให้จิตจับดีเมื่อจิตทรงอารมณ์ดีแล้วก็เพิกภาพนั้นให้หายไป คำว่าเพิกเป็นภาษาโบราณ คือนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป จับอากาสานัญจายนะแทน คือพิจารณาอากาศว่า อากาศนี้หาที่สุดมิได้มันเวิ้งว้างว่างเล่า ไม่มีจุดจบ จับอากาศเป็นอารมอย่างนี้ เรียกว่าอากาสานัญจายตนะจิตทรงอยู่ในด้านของฌาน๔ จับอากาศ ความหวั่น การเคลื่อนไหวของอากาศว่า
     
  6. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    ว่างมากโลกนี้หาอะไรไม่ได้ หานิมิตเครื่องหมายอะไรไม่ได้เลย หาจุดจบไม่ได้ จนกระทั่งจิตทรงอารมณ์ทรงตัวดีแล้ว อย่างนี้จัดเป็นรูปฌานที่ ๑ ถ้าจะเรียกกันว่าฌานก็เป็นฌานที่ ๕ สมาบัติที่ ๕
    เมื่อจับอารมณ์ของอากาศได้แบบสบายๆ ใจสบาย นึกขึ้นมาว่าอากาศมั่นเวิ้งว้างทุกอย่างมันว่างเปล่างเป็นอากาศไปหมด โลกทั้งโลกไม่มีอะไรทั่งตัว คนเกิดมาแล้วก็ตายสัตว์เกิดมาแล้วก็ตาย ต้นไม้เกิดมาแล้วก็ตาย ภูเขาไม่ช้ามันก็พัง บ้านเรือนโรงก็พัง ผลที่สุดมันก็ว่างไปหมดอย่งนี้เรียกว่าจิตเข้าถึงอากาศได้เป็นอย่างดี เป็นอากาศสานัญจายตนะ
    ทีนี้ก็มาเป็นวิญญาณนัญจายตนะ นึกถึงวิญญาณ คือจิต สภาวะของจิต ที่มีอารมณ์ คิดเป็นปกติ มันก็ไม่มีอากาศทรงตัวมันหาที่สุดไม่ได้ มันไม่มีอะไรทรงอยู่แน่นอน เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็คิดอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็คิดอย่างโน้น ขึ้นชื่อว่าเอาจิตมีอารมณ์เกาะว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา นี่มันไม่ใช่มีอะไรจริง ความจริงจิตมีสภาพไม่นิ่ง จิตมีสภาพไม่แน่นนอน เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ชอบอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ต้องการอย่างโน้น จึงถือว่าอารมณ์ของจิตหาที่สุดไม่ได้ นี่เราไม่มีความต้องการอย่างนี้จนกราทั่งอารมณ์จิตของเรานี่มีความแนบแน่นสนิท ไม่มีความผูกพันอะไรในด้านร่างกายก็ดี ในวัตถุก็ดีไม่เอา แล้วก็ไม่สนใจ ต้องการอย่างเดียวอากาศ คือความว่างเปล่าปราศจาก แม้แต่จิต ถ้าถือว่าขณะใดยังมีขันธ์ ๕ ยังมีภาพอยู่ ยังมีจิตเป็นเครื่องเกาะ มันมีความทุกข์อย่างนี้ ถ้าจิตมันทรงตัวอยู่ได้ตลอดเวลา นึกขึ้นมาเมื่อไร อารมณ์ว่างไม่เกาะอะไร ทั้งหมด มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน สภาวะทั้งหลายในโลกไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย มันไม่มีอะไรทรงตัว มีอารมณ์ว่างหาที่สุดมิได้ ถ้าเราเกาะโลกอยู่เพียงใด ก็เชื่อว่าเราเป็นผู้มีทุกข์
    นี่ อาการอย่างนี้คล้ายคลึงวิปัสสนาญาณมาก อย่างนี้เรียกว่าได้วิญญาณัญจายตนะฌาน นี่เป็นอารมณ์ เราพูดกันถึงอารมณ์ ถ้าไปอ่านตามแบบบางทีจะค้านกัน เมื่อเราได้วิญญาณัญจายตนะแล้ว ก็ชื่อว่าได้สมาบัติที่ ๖ อย่าลืมนะว่า เราต้องจับภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณก่อน ต่อมาเราก็เพิกให้หายไป คือเอากสิณนำให้จิตจับเป็นอารมณ์ ทรงตัวก่อนนั้นเอง เพราะกสิณเป็นของหยาบ ภาพพระพุทธรูปเป็นของหยาบ จับได้ทรงตัวแล้วจงนึกว่าขอภาพนี้จงหายไป
     
  7. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    นี้ก็มาพิจารณาฌานที่ ๗ สมาบัตที่ ๗ คือ อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเหลือเลยนี่มันพังหมดมันสลายตัวหมด ตึกรางบ้านช่องเขาสร้างขึ้นมาอย่างดีก็พัง กำแพงเมืองใหญ่อย่างกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองไทย กำแพงเมืองฝรั่ง เขาสร้างแข็งแรงมากที่สุดมันก็พังภูเขามันก็มีอาการผุ เขาเอาดินมาทำลูกรังมันก็ผุมันก็จมหายไปหมด คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี เรือนโรงก็ดี นี่เมื่อถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อากิญจัญญายตนะ นี่เขาแปลว่าหาอะไรเหลือไม่ได้ จิตใจว่างจากอารมณ์ เลยไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด อะไรเล่าที่เป็นสาระสำหรับเราไม่มีแม้แต่ร่างกายของเรานี้ไม่ช้ามันก็พัง การทรงร่างกายอยู่อย่างนี้มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมีร่างกายอีก ถ้าอารมอย่างนี้มันทรงตัวได้ดีแล้ว ก็ชื่อว่าเราได้อากิญจัญญายตนะฌานเป็นสมาบัติที่ ๗
    นี้มาสมาบัติที่ ๘ จับภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ทรงอารมร์แจ่มใสให้ใจสบายเป็นอุเบกขารมณ์ อรูปฌานนี่ก็ทรงฌาน ๔ นั่นเอง แต่มาจับเป็นอรูป อารมณ์มันเท่ากัน มาจับแนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เรามีสัญญาความรู้สึก ทำตนเหมือนคนไม่มีสัญญาเพราะเห็นว่าร่างกายไม่มีสาระ ร่างกายไม่มีแก่สาร ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ วัตถุทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีอะไรเป็นที่อาศัยจริงจัง ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ทีนี่เวลาร่างกายมันจะหิว มันมีอาหารกินก็กิน ไม่มีกินก็ทำสบาย รู้สึกว่าหิวทำเหมือนว่าไม่หิว มันหนาวมันไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องปกปิดก็นอนมันเฉยๆมันหนาวก็หนาวไป ทำเหมือนว่าเป็นคนไม่หนาว ไม่ร้อน ใครเขาด่าว่าอะไรก็ทำเหมือนว่าไม่มีคน ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีสัญญาก็เหมือนกะคนที่มีสัญญา คือความจำมันมีอยู่แต่ทำเหมือนกะคนที่ไม่มีความจำทำแบบนี้แล้วจิตเป็นทุกข์ จิตมันเป็นสุขถือว่ามันเป็นเรื่อธรรมดา หนาวก็หนาวไป ช่างหัวมันไม่สนใจ ร้อนก็ร้อนไป มันอยากหิว หิวก็หิวไปไม่มีจะกินก็แล้วไป มีกินก็กิน ไม่มีกินก็ไม่กิน มันอยากจะแก่ก็แก่ไป มันจะตายเมื่อไรก็ช่างหัวมัน ขันธ์ห้า คือ มีร่างกาย เราจึงมีร้อน มีหนาว มีสุขมีทุกข์ มีหิว มีกระหาย มีปวดอุจจาระปัสสาวะ ขันธ์ ๕ มันไม่ดี เราไม่ตั้งใจจะคบเลยไม่ต้องกายจำอะไรทั้งหมด ไม่สนใจอะไรกับมันเลยทั้งหมด อย่างนี้เรียกว่าเป็นสมาบัติ ที่ ๘ นี่อาการมันใกล้วิปัสสนาญาณเต็มที่ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงกล่าวว่า
     
  8. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]คนที่ได้สมาบัติ ๘แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณพระโบราณาจารย์สมัยโบราณท่านบอกว่าเพียงแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์
    หากว่าเราได้สมาบัติ ๘ แบบนี้แล้ว ใช้สมาบัติ ๘ เป็นพื้นฐาน พิจารณาวิปัสสนาญาณใดด้านสังโยชน์ ๑๐ คือมีสักกายทิฏฐิเป็นต้น หรือว่าพิจารณาอริยสัจ ๔ วิปัสสนาญาณ ๙ หรือพิจารณาขันธ์ห้าก็ตามประเดี๋ยวเดี่ยวมันก็เป็นพระโสดาสกิทาคาอนาคา พอเข้าถึงพระอนาคามี เราก็ได้ปฏิสัมภิทาญาณ มีกำลังครอบงำวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมดรำด้ไปหมดเลย ไม่ต้องฝึกกันเหมือนสมัยเป็นฌานโลกีย์ อะไรก็ตามที่พระวิชชา๓ ทำได้เราก็ทำได้ พระอภิญญา๖ ทำได้เราก็ทำได้ การรู้ภาษาคนภาษาสัตว์ ไม่ต้องเรียนรู้หมด เข้าใจหมดทุกอย่าง มีความฉลาดในการย่อข้อความ เขาพูดมาสั้นๆ เราขยายไปให้ยาวให้ได้ความชัด เราทำได้อย่างดีอย่างนี้เรียกว่าปฏิสัมภิทาญาณ
    เอาละบรรดาทุกท่านวันนี้เราพูดถึงพุทธานุสสติกรรมฐานถึงจุดนี้ สมาบัติ ๘ ซึ่งท่านทั้งหลายไม่เคยฟังมาก่อน แต่ว่าผมทำมาก่อน ผมทำได้ ที่พูดให้ฟังนี่ผมทำได้ แต่ว่าทำตามอาจารย์สอนไม่ใช่ผมสร้างขึ้นเอง ความจริงความรู้นี้องค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงแนะนำไว้ แต่ว่าไม่มีใครนำมาสอนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเลยนะ มีใครมาสอนกันผมก็ไม่รู้ ที่ผมรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะอาจารย์รุ่นก่อนท่านมีความฉลาด สามารถดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ไม่ใช่ดัดแปลงหรอก เอามารวมกัน เอาอนุสสติ คือพุทธานุสสติ อานาปานสติ กสิณเข้ามารวมกันหมดเป็นจุดเดียวกันเมื่อได้เข้าถึงฌาน ๔ แล้ว ก็จับเอาภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณยืนโรงแล้วก็เพิก จับอรูปฌาน นี่ความฉลาดของการเจริญพระกรรมฐานมีคุณแบบนี้
    เอาละสำหรับวันนี้การพูดสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
    [/FONT]​
    [FONT=Cordia New, CordiaUPC]******[/FONT]​
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    กราบนมัสการธรรมหลวงพ่อครับ...

    ตัวหนังสือเล็กไปหน่อยนะครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...