จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ 64,65,66 ด้วยครับ และขออนุโมทนาบุญกับครูจิตบุญทุกๆ ดวงจิตครับ
     
  2. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้<wbr>น จะต้องทำทางใจ ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว จะทำการกุศลสักเท่าไร ก็ถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้ นิพพานนี้จะต้องถึงด้วยข้อปฏิบั<wbr>ติทางใจเท่านั้น ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

    ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ สมาธิเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นที่<wbr>ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรค แต่จะขาดสมาธิไม่ได้ถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิดๆ นึกๆ เอา ฟุ้งซ่านไปต่างๆ ปราศจากหลักฐานสำคัญ

    สมาธิเปรียบเหมือนตะปู ปัญญาเปรียบเหมือนค้อนที่ตอกตะปู ถ้าตะปูเอียงไปค้อนก็ตีผิดๆ ถูกๆ ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดานนี้ฉันใ<wbr>ด ใจเราจะบรรจุธรรมชั้นสูงทะลุโลก<wbr>ได้จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน แล้วจึงเกิดญาณ ญาณนี้จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้<wbr>น

    ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คน<wbr>ทั้งหลาย แต่ไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์

    ท่านพ่อลี ธัมมธโร

    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  3. savesafe

    savesafe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +442
    ขอโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่๖๑,๖๒,๖๓,๖๔,๖๕,๖๖ และครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ดีแล้วค่ะพี่สุ ขอให้พี่สุจงมีแต่ความสุขกายสุขใจนะคะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีแต่เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เป็นสิ่งไม่ควรยึด ถ้าต้องการออกจากทุกข์อย่างถาวรขอให้นำจิตมาบำเพ็ญนะคะ ทางเดียวที่จะทำให้ดวงจิตของเราพบสุขที่แท้จริงได้คือการละออกจากกระแสกรรมกระแสโลกอันได้แก่กิเลส 3 กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง และหนึ่งกองย่อยคือ รัก โดยมีศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานคอยเกื้อหนุนให้ธรรมะเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

    เพ็ญตอบการบ้านพี่สุไปแล้วนะคะ และจัดครูให้แล้วสี่ท่าน ขอให้พี่สุเริ่มต้นใหม่กับคุณครูทั้งสี่ท่านนะคะ ส่วนเพ็ญก็ยังคงตามดูจิตของพี่สุและลูกศิษย์ทุกคนอยู่เสมอ ใครติดขัดอะไรตรงไหนเพ็ญก็พร้อมจะเข้าไปช่วยอย่างเต็มใจและเต็มที่เพราะงานนี้เราทำเพื่อช่วยท่านพ่อคือสมเด็จพ่อองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรายอมสละขันธ์ห้าเพื่อทำงานรับใช้ท่านด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ

    พี่ภู คนนี้เป็นคนสุดท้ายของรุ่นนี้จริง ๆ นะจะบอกให้ สาธุ ท่านพ่อเจ้าขาปิดคอสเจ้าค่ะปิดคอส สาธุ
     
  5. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    กราบแทบเท้า ท่านพ่อลี..
    และขอโมทนาสาธุกับคุณหมอด้วยครับ..

    นี้แล..จึงคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงจะต้องทำจิตเกาะพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืน..
    ซึ่งเป็นการทรงฌานแบบต่อเนื่องตลอดเวลานาที ทั้งยามหลับและยามตื่น..

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  6. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อยู่ๆก็นึกอยากอ่านธรรมะจากครูลูกพลังจังเลย พอว่างแสดงซักหน่อยไหมครับครู
    (อ้าวครูมาpostอยู่ข้างบนซะแล้ว )
     
  7. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ฝัน​


            หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยกล่าวไว้ในเรื่องของความฝัน  ที่มีผู้เรียนถามท่านว่า "พระอริยเจ้าฝันไหม"  ท่านได้ตอบสั้นๆไว้ว่า

    " ก็ฝันเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ ไม่ใช่หรือ "

            ผู้ที่มีความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕ อย่างดีงาม  ย่อมตีความหมายหรือคำตอบนั้นได้อย่างถูกต้อง

    เรามาพิจารณาความฝันกันเถอะ  เพื่อให้เข้าใจปฏิจจสมุปบาทและขันธ์ ๕ ในภายภาคหน้ากัน

            จิตนั้นทำงานอยู่แม้ในขณะหลับไหล  ดังมีพุทธพจน์ของพระองค์ท่านได้กล่าวยืนยันไว้ว่า จิตนั้นเกิดดับ..เกิดดับๆ  ทั้งขณะตื่น  และหลับ ไว้ดังนี้

    พุทธพจน์​


            "ภิกษุทั้งหลาย   การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่าร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน  (webmaster - ขยายความว่า  ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตาม แต่ก็  )ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน(อัตตา)  เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้  ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่(ขยายความว่า  แสดงให้เห็นว่าคงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง อย่างไรเสียก็แสดงให้เห็นว่าอยู่ได้)เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง  ๓ - ๔ - ๕  ปีบ้าง  ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง  ๑๐๐ ปีบ้าง  เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน   (ขยายความว่า  จิตนั้น เกิดแล้วดับ...เกิดแล้วดับๆ  อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับ  ไป เช่นการฝัน   แต่กลับไม่เห็นว่า เกิดแต่เหตุปัจจัยจึงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา  จึงไปยึดว่ามีตัวมีตน ในลักษณาการดังเจตภูต   ซึ่งยิ่งเป็นการหลงผิดที่ร้ายกว่า การหลงผิดไปยึดถือว่ากาย เป็นตัวตนจึงเป็นเราหรือของเราอย่างแท้จริง   เพราะย่อมยังให้ไม่เข้าใจในความเป็นเหตุปัจจัย และพระไตรลักษณ์  จึงไม่เจริญก้าวหน้าในธรรมได้)"

    (อัสสุตวตาสูตร)​


            นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนี้ก็กล่าวกันว่า สมองนั้นทำงานตลอด ๒๔ ชม.ไม่เคยหยุด แม้ในขณะหลับที่ยังสามารถวัดคลื่นสมองได้เป็นเครื่องพิสูจน์,   สมองนั้นเป็นหทัยวัตถุอย่างหนึ่ง คือเป็นเหตุอันหนึ่ง ที่มาเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้นของจิต  จิตจึงไม่เคยหลับไหลเป็นไปดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ตั้งแต่ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อน  ดังนั้นถ้าโยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะพบว่า บางครั้งความคิด ความนึก ความจำ สามารถผุดขึ้นมาเองได้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ ผุดขึ้นมาดุจฟองอากาศที่เกิดขึ้นมาแต่โคลนตมที่หมักหมมอยู่ใต้ท้องธาร  ซึ่งเมื่อหมักหมมจนได้ที่  จึงย่อมทำให้เกิดอาการผุดลอยหรือผุดนึกขึ้นมาได้เอง ดุจฟองอากาศที่เกิดผุดลอยขึ้นมาแต่การหมักหมม อันย่อมไม่สามารถไปบังคับไม่ให้เกิดไม่ได้นั่นเอง เป็นสภาวธรรมของชีวิตอย่างหนึ่ง ๑    หรือจากการถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นจากการผัสสะกับอายตนะภายนอกสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้น เช่น ไปเห็น ได้กลิ่น หรือดูหนัง เหตุการณ์ต่างๆ ฯลฯ. เมื่อเร็วๆนี้  ซึ่งหมายถึงได้เกิดขึ้นในระยะนั้นๆ เช่นภายในเร็วๆนั้นจนถึงภายใน2-3วัน ๑    ฝันจึงมีทั้งในพระอริยเจ้าและปุถุชน   แต่ความฝันของทั้งสองนั้น ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน  ซึ่งจะอธิบายเปรียบเทียบด้วยกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาท

    ในพระอริยเจ้านั้น  ความฝันของท่านเกิดแต่ฝ่ายสัญญา ที่ย่อมปราศจากกิเลสมาร้อยรัดหรือพัวพัน  กระบวนธรรมจิตของท่าน จึงเป็นไปดังนี้

    [สัญญา(ความจำ)แต่นอนเนื่องอยู่ ]  ดังนั้นเมื่อ ฝันคือธรรมารมณ์ที่ผุดขึ้นมา  ใจ  มโนวิญญาณ  ผัสสะ สัญญา(ความจำและเข้าใจในธรรมมารมณ์หรือฝันนั้นๆแต่หมดจด  ย่อมทำงานขึ้นแม้ในขณะหลับ)  เวทนา จึงย่อมเกิดความรู้สึกเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขเวทนาบ้างเป็นธรรมดา แต่ย่อมไม่ประกอบด้วยความเร่าร้อนผาลน จนเหงื่อแตกโทรมกาย  สัญญา  สังขารขันธ์ เป็นความคิด ความนึก ธรรมารมณ์ หรือความฝันนั่นเอง

    ส่วนในปุถุชนนั้น สัญญาที่นอนเนื่องอยู่ ดังสัญญาดังข้างต้น   และในสภาพของอาสวะกิเลส กล่าวคือ สัญญาความจำแต่แฝงด้วยกิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวนั่นเอง   ดังนั้นการฝันของปุถุชนจึงมีทั้งแบบดังข้างต้นของพระอริยเจ้าอันเป็นวิสัยของสังขารขันธ์   และแบบของปุถุชนที่ประกอบด้วยอาสวะกิเลส ดังที่จะแสดงความเป็นไปด้วยกระบวนธรรมของจิตดังต่อไปนี้ คือ

    [อาสวะกิเลส(ความจำเจือกิเลส)แต่นอนเนื่องอยู่ ]  ดังนั้นเมื่อ ฝันคือธรรมารมณ์ผุดหรือถูกกระตุ้นขึ้นมา  ใจ  มโนวิญญาณ  ผัสสะ สัญญา(ความจำและเข้าใจในธรรมมารมณ์นั้นที่ย่อมเจือกิเลส จึงทำงานขึ้นแม้ในขณะหลับ)  เวทนามีอามิส จึงเกิดความรู้สึกเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขเวทนา ที่ย่อมประกอบด้วยอามิสคือกิเลสอยู่ในที ขึ้นบ้างเป็นธรรมดา  ตัณหา ....ดำเนินไปในวงจรปฏิจจสมุปบาท แม้แต่ในฝัน....อุปาทาน  ภพ  ชาติ  ชรา คือวนเวียนแปรปรวนด้วยการปรุงแต่งต่างๆนาๆในความฝันนั้นแล  จนเร่าร้อนทุลนทุราย นอนเหงื่อแตกโทรมกาย........ฯ

            ดูเอาเถอะ แม้ในขณะหลับ จิตยังไม่ยอมหลับนอนไปด้วย  ยังเฝ้ามาเวียนวนรังควาน ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์หรือสังสารวัฏ

            ซึ่งถ้าพิจาณาโดยแยบคายแล้ว ก็จักเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ด้วยเหตุอันใดปุถุชน จึงไม่สามารถเหนือกรรมได้ดังพระอริยเจ้า

    ที่มา: เวปอะไรก็ไม่รู้ จำบ่ได้..555

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนากับจิตบุญ ที่ ๖๔,๖๕,๖๖ และครูจิตบุญทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้เกิดดวงจิตที่สว่างสไวเช่นเช่นนี้อีกมากมาย จิตเช่นนี้ย่อมยังประโยชน์ตนแลประโยชน์ท่านด้วยความไม่ประมาท
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ถูกต้องๆๆๆๆๆ นะคร้าบบบบบบบ

    แผ่เมตตานี่แหละยอดที่สุดแล้ว ไม่ต้องเสีย ให้อย่างเดียว เดี๋ยวดีเองครับ

    แผ่ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งเวลาทรงฌาณสูงๆนี่แผ่เลยครับ แรงสสสสสส

    เอาใจช่วยนะครับคุณวัฒ ....ใจเย็นๆ ให้ไป เดี๋ยวดีเอง ไม่ต้องคาดหวัง สบายๆ


    เรือลำนี้จะไม่จม ..... ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.๑๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  10. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    สาธุ สาธุ สาธุ โมทนาสาธุการกับจิตบุญทั้ง 3 ท่านและครูจิตบุญทุกท่านคะ
    คุณแม่ชีเลี่ยน(ภูเก็ต) ศิษย์พระอาจารย์ชัชวาล พี่เอ๊ง จิตบุญ 64
    แม่อุไร(คุณแม่ของครูดัช) ศิษย์พี่เพ็ญ ครูดัช จิตบุญ 65
    คุณดาว ศิษย์ครูวิทย์ จิตบุญ 66

    ขอให้ทุกท่านสุขกายสบายจิต เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้น...สาธุ
     
  11. pseudo-venus

    pseudo-venus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +59
    สวัสดีค่ะ
    ดาว ศิทย์ครูวิทย์ ขอรายงานตัวค่ะ


    เมื่อวานตอนบ่ายๆครูวิทย์บอกว่าให้เข้ามาดูในกระทู้แล้วให้โทรกลับ ทีแรกนึกว่าครูวิทย์มีเรื่องจะสนทนาธรรมด้วย แต่พอมาเห็นประกาศชื่อตัวเองก็งงๆเหมือนกันค่ะ...เอ๊ะ เราจิตยกแล้วหรือนี่ !?!?...
    จากนั้นอารมณ์ก็ งงๆ ดีใจ ตื่นเต้น โล่งใจ คละเคล้ากันไป...แต่ตอนนี้ตั้งสติได้แล้วค่ะ

    ต้องขอกราบขอบพระคุณครูวิทย์ มาก มาก มาก สำหรับความเมตตา กำลังใจ และความอดทนที่มีให้ดาวเสมอมา ตลอดกว่าสองเดือนที่ฝึกกับครูวิทย์ก็มีครบรสค่ะ ทั้ง comedy action drama อาการดราม่าก็จะหนักหน่อย เพราะเป็นสาวเจ้าน้ำตาค่ะ
    มีหลายครั้งที่เบื่อและท้อ แต่ครูวิทย์ก็ดึงกลับมาได้
    ปกติแล้วดาวจะเป็นคนไม่มั่นใจ ช่างฝัน ฟุ้งซ่าน ชอบส่งจิตออกนอก จนถึงวันนี้ดาวนิ่งขึ้น มีสติอยู่กับตัวมากขึ้นแล้วค่ะ ทำตามที่ครูบอกว่าให้ รู้ แล้ว วาง

    ขอกราบขอบพระคุณ ครูพี่หนูด้วยนะคะ วันที่ไปอบรมจิตเกาะพระ (25 ส.ค. 55) ได้กำลังใจกลับบ้านมากมาย เลยมีแรงฮึดสู้ต่อ
    ขอกราบขอบพระคุณครูเพ็ญค่ะ ที่เตือนสติ แม้ว่าเพิ่งได้มาอ่านเจอวันนี้ (เพราะไม่ได้เข้ามาอ่านกระทู้เลยเกือบสองเดือน)
    ขอกราบขอบพระคุณท่านพ่อภูที่ทำให้มีกระทู้นี้ และครูทุกๆท่านที่ได้ post ธรรมะดีๆให้ได้อ่านกันค่ะ

    ดาวต้องขอโทษครูวิทย์ด้วยนะคะที่เคยไร้สาระ เวิ่นเว้อ ง้องแง้งใส่ครู
    หากดาวเคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อครูทุกท่าน ขอครูทุกๆท่านได้โปรดให้อภัยดาวด้วยนะคะ

    หลังจากนี้ก็จะใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทค่ะ จะมีสติให้มาก ตามดู รู้ แล้ว วาง
    เรื่องทางธรรมดาวยังต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะรู้ตัวดีค่ะ ที่จิตยกได้ เพราะได้บารมีท่านพ่อสมเด็จองค์ปฐมและครูหลายท่านช่วยไว้

    ตอนนี้ดาวก็มีกำลังใจที่จะกลับไปทุ่มเทและสะสางงานทางโลกต่อแล้วค่ะ (เรื่องเรียนค่ะ)
    ส่วนทางธรรมก็ยินดีช่วยเต็มที่ค่ะ

    จบการบ้านฉบับที่ 42
    ขอบพระคุณมากค่ะ


    いろいろおせわになりました。
    ウィットせんせい、ほんとうにどうもありがとうございました。

    ダーオ

    :z11
     
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เรา...สาวจัทน์ กั้งโกบ(เขียนถูกมั้ยเนียะ) จนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ใฝ่ฝันอยากไปอยู่ทางเหนือ ด้วยใจรักมิใช่ด้วยเหตุอื่น สงสัยต้องเบนหัวเรือซะแร๊วววว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194

    ...การให้อภัยตนเอง...

    การที่คนเราทำอะไรผิดพลาดลงไป แล้วเกิดความเสียใจขึ้นมา
    หากไม่ให้อภัยตนเอง ก็จะเกิดโทษในจิตใจเพราะความเศร้าเสียใจนั้นอยู่ร่ำไป
    ความคิดในอดีตที่เกี่ยวกับความผิดพลาดของตนเอง ก็ย่อมผุดขึ้นมาทางใจ ปรุงแต่งจิตใจ
    ตอกย้ำให้เศร้ากับเรื่องเก่าๆ อยู่อย่างนั้น อย่างนี้มีโทษมาก

    ดังนั้น “ การให้อภัย ” นั้น จึงเป็นธรรมที่กำจัดความเศร้าเสียใจ กลัดกลุ้มรำคาญใจ ไม่สบายใจได้ และเป็นการยุติบาปใหม่ที่จะเกิดขึ้นด้วย

    ผู้ที่ให้อภัยคนอื่น ก็ชื่อว่า กำจัดเสียซึ่งโทสะแห่งตนในผู้อื่น
    ส่วนผู้ที่ให้อภัยตนเอง ก็ได้ชื่อว่า กำจัดโทสะแห่งตนในตนด้วย
    จึงรู้ในโทษของสิ่งที่ทำไปแล้วและจะไม่ทำร้ายคนอื่นและตนเองอย่างนั้นอีก


    แต่คราวนี้กิเลสก็แยบยลยิ่งนัก พอทำอะไรๆ ไม่ดีขึ้นมา ก็รีบให้อภัยตนเองเลยเพราะมีข้ออ้างว่า ใครๆ ก็ทำผิดได้ทั้งนั้น แต่แล้วก็ทำแล้วทำอีก
    อย่างนี้เขาเรียกว่า “ เอาใจกิเลส ” “ ไม่ใช่กำจัดกิเลส ” การให้อภัยอย่างนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะละกิเลสเครื่องเศร้าหมองของตน
    แต่เป็นการอุปการะให้กิเลสคล่องตัวขึ้น เหมือนแม่ผู้เลี้ยงลูกด้วยความรักใคร่แต่ไม่ประกอบปัญญา ดังนั้น อะไรๆ ก็เฝ้าเอาอกเอาใจลูกไม่ให้ขัดเคือง จะผิดจะถูกก็ไม่ใช่กล่าวตักเตือนเพราะกลัวลูกเสียใจ พึงเห็นการให้อภัยตนเองโดยไม่คิดจะเข็ดหลาบไม่เห็นโทษแห่งตนนั้น เหมือนดั่งมารดาผู้เอาใจบุตร ผิดถูกอะไรๆก็ไม่ว่ากล่าวตักเตือน เพราะกลัวว่าลูกจะไม่สบายใจ
    การให้อภัยตนเองในประการที่กล่าวมาก็เป็นเช่นนั้น จิตใจย่อมไม่เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตนเองให้ถูกต้อง ทำผิดแล้วผิดอีก แล้วก็ให้อภัยตนเองอยู่ร่ำไป อย่างนี้เรียกว่า เอาใจกิเลส
    ทำให้กิเลสคล่องตัวมากขึ้น กลายเป็นโทษเหมือนมารดาผู้เอาใจลูกจนเคยตัว กลายเป็นการทำร้ายลูกไป

    แม้แต่การกล่าวขออภัยต่อผู้อื่น แต่ไม่ปรับปรุงตนเอง ทำผิดบ่อยๆ แล้วมาขออภัยครั้งแล้วครั้งเล่า
    อย่างนี้ก็หาความสำคัญในนัยแห่งการขออภัยไม่ได้เลย
    คราวต่อมานั้นผู้ให้อภัย เขาย่อมไม่เห็นคุณค่าแห่งการขออภัยของเราแม้สักน้อย เพราะเห็นว่าจะเป็นปัจจัยให้เรานั้นเกิดความเคยตัวขึ้นมาได้

    ดังนั้น การจะให้อภัยตัวเองจึงต้องเป็นการงานของปัญญาอย่างแท้จริง เห็นโทษในสิ่งที่ทำไปแล้ว
    เห็นคุณแห่งการกำจัดเสียซึ่งความเร่าร้อนเป็นทุกข์ของใจที่กำลังแบกรับความทุกข์อยู่เพราะไม่ฉลาด

    หากปัญญาขึ้นมาทำการงานแล้ว การอภัยนั้นย่อมปรากฏคุณค่าเพราะมีปัญญารู้ถึงโทษในสิ่งที่พูดและสิ่งที่ทำลงไป
    ย่อมไม่วิ่งเข้าหาโทษนั้นๆอีก ย่อมเพียรละ เพียรเว้น เพียรที่จะห่างไกล อย่างนี้ใครๆก็ย่อมทราบดีว่า เป็นคุณค่าอย่างแท้จริง

    หากแต่ว่า บุคคลใดกิเลสฉลาดมากกว่า กิเลสก็จะขึ้นมาทำอาการราวกับเป็นปัญญาเสียเอง
    ตรงนี้เราไม่ทันเขาหรอก พอทำอะไรไม่ดีขึ้นมา เราก็กล่าวยกโทษให้ตนเองทันทีว่า “ ไม่เป็นไรหรอก เราทำไม่ดีแค่นี้เอง ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น
    เราไม่ควรที่จะเดือดร้อนใจในบาปนี้หรอก เป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวเราค่อยว่ากันใหม่ ตั้งต้นใหม่ในคราวต่อไป”
    ครั้งแล้วครั้งเล่าก็กลับไปทำไม่ดี พูดไม่ดีอย่างนั้นๆ อีกร่ำไป

    อาการอย่างนี้ ไม่ใช่การทำงานของปัญญา แต่เป็นอาการของกิเลสที่ขึ้นมา “ขอลัดคิว” ผ่านทาง
    เขาก็จะคล่องตัวขึ้น เราก็จะกลายเป็นคนเหมือนไม่มีกำลังใจ ไม่มีสัจจะต่อตนเอง
    แม้การให้อภัยตนเองในคราวนั้นๆ ก็ไม่ใช่ของแท้ หาความภาคภูมิใจอะไรไม่ได้
    ทั้งยังทำให้เกิดความรู้สึกลึกๆ ว่า เราเป็นไปอย่างนี่เสียทุกทีเลย
    ดังนั้นความกลัดกลุ้มอย่างใหม่ก็เกิดขึ้น พึงทราบว่า การให้อภัยอย่างนี้ไม่สามารถกำจัดความกลัดกลุ้มรำคาญของตนได้ และไม่ใช่การงานของปัญญาเลย

    ดังนั้นสมควรรู้โทษในสิ่งที่เป็นโทษ รู้ประโยชน์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์
    ธรรมใดควรละ ธรรมใดควรเจริญ ธรรมใดควรใส่ใจ ธรรมใดไม่ควรใส่ใจ
    ผู้รู้อย่างนี้ชื่อว่า เป็นวิสัยของผู้มีปัญญา



    คัดจาก หนังสือ ๖๐ คำถามที่ต้องการคำตอบ เล่มที่ ๒ โดย คนเดินทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2012
  14. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ไปไหนกันหมดคะ เงียบจัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ของผมเจองานทางโลก เล่นงานงอมแงม เดินไปไหนก็มีแต่เครื่องจักรเสีย
     
  16. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,086
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ขออนุโมทนากับจิตบุญทุก ๆ ท่าน ตั้งแต่ท่านแรก จนถึงรุ่นปัจจุบัน (๖๔, ๖๕, ๖๖)
    รวมทั้งคุณครูจิตบุญทุก ๆ ท่าน ด้วยครับ
     
  17. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233


    ของท่านก้ออีกไม่ไกลนะครับ

    พยายามนะครับ เร่งความเพียร ทำจิตนิ่งๆ ว่างๆ สบายๆ

    ผมเอาใจช่วยนะครับ ... สู้ๆๆ

    วิทย์ จบ.๑๑ "เรือลำนี้จะไม่จม"
     
  18. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    555 คุณลินดาเจ้าขา จิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระหนีเข้าไปอยู่ในอีเมลกันหมดแล้ว เก็บเรียบไปแล้ว

    ส่วนจิตเกาะพระที่เข้ามาใหม่ให้ส่งการบ้านเรียนบนกระทู้เลยค่ะ เพราะครูเต็มแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงว่าท่านส่งการบ้านบนกระทู้แล้วจะไม่มีครูมาตอบ บนกระทู้จะมีครูโคจรเข้ามาตอบและให้ธรรมะอยู่เนือง ๆ ค่ะ



     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แหม๊! ผมชอบเรือลำนี้จัง มันจะจมได้อย่างไงหล่ะ! เพราะว่าเรือลำนี้ยิ่งว่าเรือเทวดา หรือว่า เรือโนอาห์แต่เป็นเรือ "พระนิพพาน" พี่ภูหมายถึง ครูจิตบุญจะเป็นผู้นำพาพวกเรา(ดวงจิต)ออกจากหรือไม่ให้จมอยู่กองกิเลสตนเองอีกต่อไป เพราะดวงจิตพวกเรานั้นจมกองอยู่กับกิเลสของตนเองกันมาช้านานมากแล้ว วันนี้ว่าจะๆไม่โพสต์แล้วนะ รู้สึกคันปาก...
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอาของดีมาฝาก...สติอย่าห่างจิต จิตอย่าห่างฌาน แต่ถ้าสติห่างจิต จิตห่างฌานนั้น ก็หมายความว่าพระไม่ได้อยู่ภายในจิตของเราแล้ว นอกจากพระหาย ปัญญาก็หายตามไปด้วย ขอให้สติมั่นคง จิตมั่นคงเข้าไว้ เคยประพฤติ ปฎิบัติอย่างไรก็ให้ทำอย่างนั้นไปจนกว่าจะละขันธ์ ๕ ถึงจะมีสิ่งต่างๆเข้ามากระทบทุกวันก็ตาม เพราะข้างนอกจิตของตนเองนั้น มันมีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ทุกข์ มีแต่ของไม่จริงคือเราไม่สามารถไปจับยึดเอามาเป็นสมบัติของเราไม่ได้สักอย่าง ขอให้จิตบุญจงอยู่แต่ของจริงๆ ก็คือ ไม่เก่งจริงจงอย่าพยายามส่งจิตออกนอก ถึงเก่งจริง แต่ก็ออกได้ไม่นานนัก เดี๋ยวก็จะเข้าไปดังเดิม เพราะที่อยู่ของเรา ที่อยู่ของจิตเดิมแท้ก็คือ ความสงบ ความสงัดเท่านั้น จิตถึงจะอยู่แบบมีความสุข แต่ความว่างยิ่งกว่าความสุขใด ที่สายตาปุถุชนกำลังมองหากันอยู่ ณ เวลานี้ และมันจะมีจริงๆไหม๊ เห็นมีแต่สิ่งสมมุติเท่านั้นแล ถึงจิตไม่เห็นพระ ขอให้อยู่กับลมหายใจของตนไป เอ่อว่าเรายังไม่ตายนี่หนา แต่ถ้าไม่มีลมเมื่อไหร่ จิตบุญทั้งหลายได้โปรดจงนึกกันเสียแต่เนิ่นๆว่า ทางพระนิพพานนั้นไปทางไหน พวกท่านจงซ้อมให้ดี อย่าได้นำจิตใสไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งสมมุติกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนจิตกัน...พวกเราไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จิตไม่เห็นพระก็จะไม่เกิดปิติ ถ้าจิตไม่เกิดปิติ แล้วจิตมันจะทรงฌานกันได้ไหม๊ นี่กำลังพูดถึงผู้ปฎิบัติใหม่ที่จิตยังเกาะพระไม่แนบแน่น ทำจิตเกาะพระนั้นอย่าเกาะแบบคนโง่ๆในขณะที่ระลึกถึงพระอยู่นั้น ขอให้ระลึกหรือนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า หรือพระอริยเจ้าของท่าน อย่าเอาแค่มองพระปูน พระอิฐ พระสัมฤทธิ์ แค่เห็นสีทองๆเท่านั้น ในขณะที่ส่งตามองพระ ขอให้จิตมองทะลุเข้าไปอีกมิติหนึ่ง เช่นให้พวกเรานึกกันสิว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหนกัน มองพระ คิดถึงพระ ระลึกถึงพระให้ได้ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่มองเฉยๆแล้ว หวังจิตยกไวๆหรือไปพระนิพพานกันไวๆมันคงไม่ง่ายๆเช่นนั้น แต่ถ้าใครมีความอยากผุดออกมาที่ดวงจิตก็หมายความว่า จิตของท่านก้าวช้าไปหนึ่งก้าวแล้ว ว่าจะพร่ำนิดเดียวเอง...เจริญในธรรมทุกๆท่านด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กันยายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...