จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ๊ อนุโมทนาบุญกับจิตบุญที่ 58 แล้วจ้าาาาา:cool:
     
  2. A-colyte

    A-colyte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +630
    ขอแสดงความยินดีและ อนุโมทนากับ คุณต้อม จิตบุญ ดวงที่ ๕๘ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ สาธุ​
     
  3. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403


    โมทนาสาธุการกับจิตบุญ 56,57,58 ทั้ง 3 ท่าน
    ขอให้ทุกท่านเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้น
    โมทนาบุญกับครูวิทย์และครูจิตบุญทุกท่านขอให้ทุกท่านมากด้วยปัญญาและบารมียิ่งๆขึ้น สาธุคะ
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิตบุญน้องใหม่.. โปรดอ่าน

    ถึงท่านจิตบุญใหม่ทุกท่าน
    สำหรับจิตบุญน้องใหม่ที่ยังไม่หายงงๆ ก็ให้ตามไปอ่านกระทู้ตามลิ้งค์ต่อไปนี้
    เพื่อจะได้ตรวจสอบกำลังใจตนเองนะครับ..

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-140#post6364178

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-140#post6365370

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-140#post6366198

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-141#post6366212

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-141#post6366220

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-141#post6366284

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-141#post6366487

    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-142#post6369791


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  5. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนาบุญกับพี่ภูอย่างสูง

    ที่นำพุทธประวัติฉบับการ์ตูนมาให้ดู ดูทีไรน้ำตาไหลทุกครั้งไป
     
  6. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ภาพพระที่ข้าพเจ้าได้จับเรื่อยมา ภาพพระเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามลำดับที่ได้แสดง
    ซึ่งเภาพสุดท้ายแว๊ปข้ามาในจิตเมื่อวานนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled111.JPG
      untitled111.JPG
      ขนาดไฟล์:
      39.8 KB
      เปิดดู:
      68
    • _paragraph_1_2111.jpg
      _paragraph_1_2111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.6 KB
      เปิดดู:
      75
    • Untitled-1.jpg
      Untitled-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.4 KB
      เปิดดู:
      80
    • 280o0mf.jpg
      280o0mf.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.6 KB
      เปิดดู:
      60
    • somdejE.jpg
      somdejE.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.1 KB
      เปิดดู:
      60
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีรับมือกับความโกรธสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเบื้องต้น

    พี่เพ็ญคัดลอกคำตอบบางส่วนมาจากในอีเมลค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องต้น

    .................................

    ทีนี้เปลี่ยนวิธีรับมือกับความโกรธใหม่นะคะ ความโกรธก็คือธรรมชาติฝ่ายอกุศลที่มีหมักหมมอยู่ในจิตมาช้านาน คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเมื่อเกิดโกรธแล้วจะจัดการกับมันอย่างไร ก็ได้แต่พยายามระงับหรือข่มซึ่งไม่ถูกวิธีในทางธรรมคือการละค่ะ

    วิธีแก้ไขโกรธในทางธรรมก็คือเจริญพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทีนี้ก่อนที่ท่านจะเจริญพรหมวิหารสี่ได้ท่านจะต้องมี "อภัย" นำหน้าเสมอ อภัยให้กับทุกคน อภัยให้กับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งโดยเจตนาก็ดีหรือไม่เจตนาก็ดี แล้วจึงเสริมต่อด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    พี่เพ็ญขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุทิตาที่แปลว่ามีใจพลอยยินดีไปกับผู้อื่นเมื่อเขาได้ดีโดยไม่คิดริษยา ทีนี้การจะมีมุทิตาได้ผู้ปฏิบัติจะต้องหัดมองหาความดีของผู้อื่นก่อน เอาความดีของเขามาลบล้างความรู้สึกไม่ดีในใจเรา เมื่อใจเราไปมองเห็นความดีของเขาขึ้นมาบ้าง ใจของเราก็จะปล่อยวางจากเรื่องโกรธได้มากขึ้น เมื่อปล่อยวางโกรธได้บ่อยขึ้น ใจของเราก็จะมีอุเบกขาตามไปโดยปริยาย

    ที่กล่าวมานี้เป็นการเจริญพรหมวิหารสี่ในข้อมุทิตาสำหรับคนที่ติดโกรธ ถ้าเรายังมีโกรธอยู่เราต้องยอมรับว่าจิตของเรายังเลวอยู่ เพราะฉะนั้นจงค้นหาความเลวในใจตนแล้วสยบมันด้วยพรหมวิหารสี่ แต่ไม่ใช่ให้เอาธรรมะไปข่มโกรธนะ

    ธรรมะในที่นี้หมายถึงธรรมชาติ คือจิตต้องมองเห็นสภาวะที่เกิดขึ้นและดับไปตามสภาพความเป็นจริง ยอมรับในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและมีอยู่ มองให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่นั้นมันเป็นธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมดาที่มีอยู่ดาษดื่นในโลกนี้

    รัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในจิตที่ยังไม่ได้รับการอบรม การเรียนธรรมะก็คือการเรียนรู้ธรรมชาติที่มีอยู่ในกายในจิตของเรา เรียนรู้และยอมรับมันว่ามันมีอยู่จริง มีสภาพไม่คงที่ไม่ทรงรูปและแปรปรวนอยู่เสมอ ถ้าเราจะไปยึดเอาอารมณ์เหล่านั้นมาเป็นของเรา(จิต) เรา(จิต)ก็จะมีแต่ทุกข์ และสุดท้ายอารมณ์เหล่านั้นก็ไม่ได้มีตัวตนอะไรเลย ล้วนแต่เป็นปรุงแต่งในขันธ์ห้าไปตามจิตที่เคยสะสมกุศลและอกุศลไว้เท่านั้นเอง

    ต่อไปอย่าข่มอารมณ์โกรธ ถ้ามีใครมาทำให้ไม่พอใจให้มีสติดูอยู่แต่ในอารมณ์ใจของเราอย่างเดียว ดูอาการเร่าร้อนเผาผลาญของมันที่แผดเผาอยู่ในอกของเรา ดูบ่อย ๆ เป็นการจูงจิตให้เห็นกิเลสที่สะสมหมักหมมคั่งค้างอยู่ในจิตตน เมื่อจิตเห็นแล้วว่าโกรธมีอาการเป็นโทษอย่างไร ต่อไปจิตจะค่อยละออกจากโกรธได้โดยจิตเอง

    ถ้าเจอโกรธอีกให้ตั้งสติทำตามที่พี่เพ็ญแนะนำนะคะ เมื่อจิตวางคลายจากโกรธแล้วก็ให้มีสติอยู่กับพระ นึกถึงภาพพระเป็นการช่วยน้อมนำเอาพุทธานุสสติมาชำระล้างจิตใจที่ขุ่นมัวให้ใสอยู่เนือง ๆ จะช่วยให้จิตจับภาพพระได้ง่ายขึ้นค่ะ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  8. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ใจ เป็นสภาวะเดิม ชื่อว่ามโน ,จิตตะก็ว่าได้ ,ภูตะก็ว่าได้ หรือพรหมะก็ใช่ใจอันเป็น ของเดิมนี้แล เป็นธรรมชาติผ่องใส มีปกติผ่อง มีรัศมี มีความใสสว่าง แต่เศร้าหมองแล้วเพราะอารมณ์ และสรรพกิเลสที่จรเข้ามา อริยสาวกของพระตถาคตเจ้า ได้สดับแล้ว ย่อมทำจิตแยกใจ ของตนปล่อยวางความคิดให้หลุดพ้นจากอารมภ์ และกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามานั้นได้ ให้ใจใสเป็นประดุจน้ำนิ่งบริสุทธิ์สะอาด หลุดพ้นตะกอนที่ขุ่นมัว เป็นพุทโธที่รอคอยเราๆท่านๆอยู่ฝั่งอมตะนิพพาน ใจคือพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่ตาย เมื่อแยกตัวออกจากอารมภ์แล้ว ใจก็อยู่เหนือสังขารโลก พ้นสิ่งที่เกิดดับไม่ต้องอาศัยอะไรอยู่ เหมือนฟ้าไม่ต้องอาศัยดินอยู่ รู้แล้ววาง วางแล้วว่าง ว่างแล้วอยู่ อยู่แล้วพุทธะ

    ท่านพระคุณเจ้า ดาบส สุมโน
    อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    จิตคุณละเอียด แล้วนะครับ ทรงฌาณสี่แล้ว

    ขอให้ทรงแบบนี้ให้ได้ตลอดนะครับ เอาให้ตลอด 24 ชม

    เดินจิตถูกแล้วนะครับ ดีมาก คุณวางกำลังใจดีครับ

    ขอให้เจริญในธรรม เกาะพระให้แนบแน่นนะครับ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การวางกำลังใจสำหรับผู้ปฎิบัติ
    โดยเฉพาะจิตบุญใหม่

    การวิปัสสนาที่ถูกต้อง
    สำหรับผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระ และจิตบุญใหม่

    การวิปัสสนา หรือการพิจารณาธรรม หรือวิเคราะห์ด้วยปัญญากันสดๆ
    แต่จะวิปัสสนาตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไรนั้นขอบอกว่า
    อะไรก็ได้ ตั้งแต่เราตื่นนอนไปจนกระทั่งหัวถึงหมอนและหลับไปโดยไม่รู้ตัว
    เพราะบางคนขนาดหัวถึงหมอนแลเวก็ยังมิวายจะคิด จะฟุ้งซ่าน
    เพราะสืบเนื่องมาจากจิตไม่นิ่งเพียงอย่างเดียวนี้เอง

    สรุปแล้วให้เราทำวิปัสสนากันสดๆ เหมือนนักข่าวรายงานข่าวสดอะไรประมาณนั้น
    นักข่าวเจออะไรผิดปกติไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
    นักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรมก็เหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรเป็นตัวการันตี(รับประกัน)
    ได้เลยว่า ผู้ปฎิบัติธรรมนั้น บรรลุธรรมแล้ว ตรงไหน ตอนไหน อย่างไร
    ดูคนอย่าไปดูแค่เปลือกนอก หรือภายนอกหรือเครื่องที่กำลังสวมใส่
    เพราะอริยบุคคลนั้น เขาวัดกันข้างใน คือ "จิต"
    เพราะคนส่วนใหญ่ชอบไปดูภายนอก เพราะสืบเนื่องมาจากจิตของผู้นึกคิดนั้น
    ยังหยาบอยู่ หรือยังละเอียดไม่มากพอที่จะไปดูให้ลึกถึงภายในจิตของผู้ปฎิบัติ
    แต่ถ้าพวกเราพอจะมีความสังเกตที่ดี พวกเราก็จะทราบได้เอง เช่น จริยา อาการ
    ของผู้ที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ลักษณะเด่นของเขาก็คือ ความเมตตาจะต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเลย
    ไม่ใช่เมตตาเฉพาะแต่ลูกหลาน หรือญาติของตนเท่านั้น คือจะต้องรักและเมตตาต่อคนอื่นๆ
    เท่าเทียม/เสมอตนเอง หรือญาติๆตนเอง หรือผู้ที่เห็นต่างจากตนเอง(แค่ทำใจเข้าอุเบกขาญาณ)
    ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบ โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติถึงแล้ว(บรรลุธรรม) ท่านก็ต้องเข้าใจคนเหล่านั้นทุกอย่าง
    เพราะลักษณะของจิตอรหันต์ เป็นจิตที่ตั้งอยู่เหนือขันธ์๕ หรือเหนือโลกแล้ว
    ไม่ว่าสิ่งที่มากระทบจะเป็นเรื่องดี หรือไม่ดี ก็ไม่มีผลต่อจิตอรหันต์ที่กล่าวมาแล้ว
    แต่ถ้าจิตอริยบุคคลในเบื้องต้น(พระโสดาบันและสกิทานามี) หรือจิตอนาคามี(ยังไม่ถึงซึ่งอรหันต์)
    ก็ย่อมมีอินทรีย์ต่างกันไป หรือ มีสติปัญญาต่างกันไป
    เพราะฉะนั้นแล้ว สังเกตได้ง่ายนิดเดียวว่า จิตบรรลุธรรม ความเป็นจิตอรหันต์นั้น
    สิ่งที่มากระทบนั้นจะไม่มีผลต่อภายในกาย(เนื้อตัวไม่สั่น ไม่กลัวตาย ตายตอนนี้ก็ได้ ตายได้ทุกเวลา)
    โดยเฉพาะจิต(จิตไม่หวั่นไหวแม้นกระทั่งความตายมายืนรอต่อหน้า)
    นอกความเมตตา ก็ต้องดูลักษณะทั่วๆไปก็คือ กิเลสต่างๆ เช่น ท่านสะสมทรัพย์(ทางโลก)
    ที่มิใช่อริยทรัพย์ หรือทรัพย์ภายใน คือบุญ บารมี ไหม๊?
    ดูการกระทำสำรวมไหม๊? ทั้งการกระทำและคำพูดจะต้องไม่ผิดศีล
    เป็นไปตามมรรคมีองค์แปดข้อที่๓(สัมมาวาจา) ไหม๊?
    ขอให้พวกเราดูกันง่ายๆ โดยที่ไม่จำเป็นที่จะไปบอกใครก็ได้

    อย่าลืมนะ สติ ศีล สมาธิ ปัญญา ภูมิธรรม ภูมิปัญญา
    และความเป็นอริยบุคคลก็มี๔(อย่างละเอียดเป็น๘) ไม่ว่าฝ่ายไหน
    ไม่ว่าฝ่ายอริยบุคคลฝ่ายสงฆ์ หรือฝ่ายฆราวาส ไม่ต่างกัน
    แต่างตรงที่ศีล ต่างที่เครื่องที่กำลังสวมใส่
    และจงอย่าเข้าใจผิดว่า ที่ห่มผ้าเหลืองนั้นเป็นพระอริยบุคคลไปเสียหมด
    แต่คนภายในเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รู้ หรือผู้ที่ภูมิธรรม ภูมิปัญญาที่สูงกว่าเท่านั้น
    พอจะดูกันออก หลอกกันไม่ได้ เพราะด้วยปัญญาของคนเรานี้เอง
    เพราะพระที่ห่มเหลืองนั้นที่จิตยังไม่ได้พระโดาบัน เขาเรียกว่า สมมุติสงฆ์
    พอเข้าใจกันนะ

    แล้วจิตบุญทั้งหลาย ที่กระทู้นี้ประกาศยกจิตของท่านไปแล้ว
    จงได้โปรดมาดูจิต(ของแท้)ของตนเองกันให้ดีๆ ว่าจิตท่านเป็นไปตามที่กล่าวมาแล้วกันไหม?
    แต่ถ้ายังไม่ใช่จิตบุญตัวจริง(จิตอรหันต์)ตามที่กล่าวไปแล้วนั้น
    ท่านจงเข้าใจว่านั่น นิพพานสมมุติแล้ว
    นิพพานของจริง ก็คือ จิตบุญจะต้องไม่สั่นไหว ไม่สั่นคลอนเวลามีอะไรมากกระทบจิต
    พวกเราโดยเฉพาะจิตบุญ
    โดยเฉพาะจิตบุญใหม่ๆ จะต้องหมั่นตรวจสอบจิตของตนเป็นหลัก
    ที่นี่เพียงแค่ออกใบประกาศนียบัตรให้กับกับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ที่ทำสำเร็จแล้ว
    คือผ่านเกณฑ์มาตราฐานเท่านั้น จึงออกรับรองจิตชั่วคราวให้
    เพื่อความมั่นใจในผลของการปฎิบัติของตนเอง
    แต่สิ่งที่จิตบุญใหม่ๆ ควรพึงกระทำต่อไปนี้ก็คือ สิ่งที่มากระทบจิต(ในปัจจุบันเท่านั้น)
    เมื่อกระทบจิตของตนนั้น เรารู้สึกอะไรไหม? แต่ถ้ายังรู้สึกนิดๆ เช่นถูกใครพูดเหน็บแนม
    หรือพูดถูกใจดำ ขอให้นำสติตามดูจิตว่า จิตรู้สึกอะไรไหม๊? (เอาแค่นี้ก็พอ)
    เพราะจิตบุญนั้น ไม่ค่อยมีปัญหากับสิ่งกระมากนัก เพราะจิตข้างในนั้นผ่านวิปัสสนากันมาแล้ว
    แต่ถ้าท่านรู้ช้า หรือตามไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นให้เข้าใจได้เลยว่า สติน้อย

    เมื่อสติน้อย ปัญญาก็น้อยตาม หรือเราเรียกกันว่า "อินทรีย์อ่อน"
    ส่วนการแก้ไขอินทรีย์อ่อนก็คือ สร้างสติให้มากๆ ปัญญาก็จะมีมากตามเอง
    ขอให้พวกเรามั่นใจในเรื่องการเดินมรรคาให้ถูกต้อง
    และเดินมรรคานั้น จะต้องผ่านทีละด่าน ก็คือ
    ศีลผ่านยัง? สมาธิผ่านยัง? ปัญญาผ่านยัง?
    หลัก/หังใจการปฎิบัติไม่ต้องไปทำอะไรมากให้มันมากความนัก
    เอาเนื้อๆ เอาแต่แก่น

    ลิงมันยังไม่กินเปลือกกล้วยเลย มันเลือกกินแต่เนื้อกล้วยล้วนๆ
    แล้วทำไมผู้ปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่ มักเลือกทำแต่เปลือก แก่นก็เลยไม่รู้จัก
    พวกเราก็คิดเอากันเองว่า พวกเราโง่หรือฉลาดกว่ากว่าลิง

    ***จำไว้นะ โดยเฉพาะจิตบุญใหม่ๆ
    ให้นำดาบไปฟันกิเลส(ตนเอง) มิใช่ให้เอาดาบไปเที่ยวฟันกับกิเลส(คนอื่น)
    พอมีสิ่งใดๆมากระทบจิต ให้ใช้ปัญญาพิจารณาธรรมทันที
    ในขณะพิจารณาธรรมอยู่นั้น สติตามทันจิตไหม๊?
    แต่ถ้าสติตามทันจิต จิตก็ตามทันกิเลส
    พอจิตตามทันกิเลส กิเลสหรือสิ่งที่มากระทบนั้น
    ก็ทำอะไรจิตไม่ได้ หลักใจใหญ่ความก็มีเพียงเท่านี้เอง
    อย่าเข้าใจไปไกลกันนัก มากมาย มากเรื่อง มากความ มันจะวุ่นวายไปกันใหญ่
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ่อ! เหมือนของพี่ภูเลย
    ก๊อปปี้พี่ภูป่ะเนี๊ย?
    การเห็นของจิต เมื่อจิตนิ่งมากไปตามลำดับก็จะเป็นเหมือนกับคุณนี่แหล่ะ
    จิตหยาบจะเห็นของหยาบ(ภายนอกเท่านั้น เหมือนตาเราดูเปล่า)
    แต่ถ้าจิตละเอียดมาก ก็จะเห็นของละเอียดเช่นกัน
    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราก็อย่าไปเข้าใจผิดๆว่า คนที่ได้มโนยิทธิ หรือได้อภิญญา
    หรือต่อให้ได้สมาบัติ๘(ฌาน๘) ก็ตาม
    แต่ถ้าจิตไม่ผ่านวิปัสสนาญาณ จิตก็ยังอยู่ในขั้นสมถสมาธิ
    แต่ถ้าท่านผ่านแล้ว ท่านก็ถึงธรรมกันได้(บรรลุธรรม)
    อย่าเพิ่งไปดูภาษสมมุติกันนัก ขอให้ดูเจาะลึกลงไปที่กลางใจของจิตผู้ปฎิบัติของท่านเอง
    การปฎิบัติธรรมเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง คือผู้ปฎิบัติถึงตรงไหนก็จะรู้เอง
    เพราะยิ่งท่านได้จิตเป็นสมาธิ หรือฌานแล้ว ก็แปว่าว่าท่านนั้น
    เป็นผู้ที่ปัญญาเป็นของตนเองแล้ว
    แต่อย่าลืมนะ คำว่าปัญญา(ทางธรรมนั้น จะมาหลังสมธิเสมอ)
    แต่ถ้าถามว่าท่านมีปัญญาไหม? ท่านจงไปถามตนเองว่า
    ตอนนี้มีสติสัมปชัญญะไหม๊? แค่ขณิกสมาธิหรือสมาธิทั่วไปนี้ยังถือใช้ไม่ได้

    ตัวอย่าง
    อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ
    1.)อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
    2.)ทิพพโสต มีหูทิพย์
    3.)เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
    4.)ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
    5.)ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
    6.)อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
    ***อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล
    ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล

    อภิญญา - วิกิพีเดีย

    เพราะฉะนั้นท่านอย่าได้ไปสงสัย ที่ท่านกำลังสนทนากับใคร
    คนๆที่อยู่ตรงหน้าท่านนั้น คือใคร
    พี่ภูบอกไปแล้วนะว่า อย่าดูคนที่เปลือก หรือภายนอก หรือการแต่งกาย
    อย่าดูว่าคนนั้นเขารวย เขามีตำแหน่ง/การงานใหญ่โต มียศ มีเกียรติมาก
    เขาเป็นนายกรมต. ยันภารโรง อย่าไปดูให้เมื่อย

    ขอให้พวกเราดูคน ดูลึกๆให้ถึงแก่น หรือภายในจิตใจของผู้นั้น
    ใครดูเปลือกก็เห็นแต่เปลือก ใครดูแก่น(จิต)ก็ได้ของจริงไป


    เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจกับคนที่ท่านกำลังสนทนาโดยเฉพาะสนทนาธรรม
    กับจิตผู้ปฎิบัติยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล(พระโสดาบันขึ้นไป) เขาถึงจะเก็ตเรื่องธรรมะ
    เพราะถ้าไปคุยจิตที่ต่ำกว่าพระโสดาบัน หรือศีล๕ ไม่ครบ พวกเขาเหล่านั้น
    จิตยังหยาบอยู่ คำว่า จิตหยาบ แปลว่า ไม่ใช่คนนั้นเขาเลวนะ
    อย่าเข้าใจผิด แต่ถ้าเขารักษาศีลหยาบสักหน่อยนึงนะ+ทำภาวนา=
    จิตเขาจะค่อยๆละเอียดไปทีละนิด
    ทำไมผมรู้ลึกซึ้งหล่ะ ก็ผ่านมาหมดแล้ว
    เมื่อก่อนจิตผมโคตรๆหยาบเลย ที่ละเอียดได้ทุกวันนี้ก็คือ เห็นทุกข์ไง๊
    ถ้าไม่เห็นทุกข์หรอ ป่านนี้สวดมนต์ก็ไม่เอา ศีลก็ไม่รักษา
    บอกไปแล้วไง๊เล่าว่า จิตมันหยาบ มันจะไปมองเห็นอะไรที่ละเอียด
    เป็นไปไม่ได้หรอก
    ตอนนี้รู้ทั้งรู้ แต่ทำไมไม่ไปโปรดกับเพื่อนที่ยังดริ๊งกันหนุกหนาน
    จีบหญิง เหล่หญิง มีกิ๊ก โดยเฉพาะในหมู่แวดวงข้าราชการทหาร ตำรวจ
    ที่ไม่บอกก็เพราะว่า ยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนว่า
    เวลาไปโปรดใครก็ต้องดูจังหวะเขาด้วย โปรดเฉพาะคนที่โปรดได้เท่านั้น
    ถ้าอย่างนั้นจะมีคำว่า บัวสี่เหล่าหรอ...
    เหมือนกับคนทางโลก
    กล่าว ลูกจะไปขอสตังค์กับคุณพอ คุณแม่ก็ต้องดูอารมณ์ของท่านก่อน
    เหมือนลูกน้องก็ต้องดูอารมณ์ของเจ้านายก่อน เมื่อคืนนี้กลับบ้านดึกโดนภรรยาด่ามาหรือเปล่า
    เพราะลูกน้องจะโดนหางเลขไปด้วย แต่ถ้าเป็นหวยก็ดี นี่มันไม่ใช่หวยนะคุณ
     
  12. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ natthapatpun [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา

    กับจิตบุญดวงที่ ๕๖
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๕๗
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]


    </td> </tr> </tbody></table>

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ natthapatpun [​IMG]
    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา

    กับจิตบุญดวงที่ ๕๘
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    [​IMG]
    ขอโมทนา สาธุ กับคุณแป้ง Buddy O จิตบุญดวงที่๕๖
    ขอโมทนา สาธุ กับคุณน้ำฝน Adler จิตบุญดวงที่๕๗
    ขอโมทนา สาธุ กับคุณต้อม Tom tana จิตบุญดวงที่๕๘
    ที่สามารถปฏิบัติจนยกจิตขึ้นเป็นจิตบุญได้ในครั้งนี้ด้วยนะครับ

    ผมขอแผ่เมตตาและยกผลบุญบารมีที่ได้กระทำมาทุกภพทุกชาติ
    ให้กับจิตบุญทั้งสามท่าน ทั้งหมดทั้งสิ้น
    และให้กับครูจิตบุญทุกท่านที่ได้ช่วยกันสอน ช่วยกันดัน ช่วยกันส่ง
    จนลูกศิษย์ทั้งสามท่านสามารถยกจิตกันได้ในที่สุด
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป โชคดีมีชัยประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม
    คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ เทอญฯ สาธุ

    ด้วยจิตคารวะ

    นิวเวป จบ.๑๔

    </td> </tr> </tbody></table>
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุๆ สักล้านๆครั้งกับคุณต้อม
    ขอขอบพระคุณทั้งศิษย์ ทั้งครู ที่ช่วยกันปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ
    พากันยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานกัน เอาจิตให้รอดก่อน
    แต่ร่างกายช่างมัน เพราะกายคนเรานี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นสมบัติของโลก
    ไม่มีใครนำเอาไปกันได้สักคน ตายกันทุกคน เมื่อตายก็อยู่ที่โลกนี้ไป

    สำหรับภารกิจของครูทุกท่านในที่นี้
    ครูทุกท่านมาทำหน้าที่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของท่านพ่อ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    **โดยเฉพาะผู้ที่ชอบฝันถึงพระพระพุทธเจ้าบ่อยๆ
    บางท่านคงจะเคยฝันถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำบ่อยๆ
    ขอให้ท่านรับรู้ไว้ว่า ท่านกำลังมาโปรดหรือมาขนดวงจิตของลูกหลานของท่านกลับบ้านเก่า
    คือพระนิพพาน
    แต่ถ้าท่านมาโปรดในนิมิต หรือในฝัน ท่านอย่าได้ละเลย
    ท่านกำลังจะบอกกับเราว่าให้พากันรักษาศีลและหมั่นทำภาวนา
    ท่านมีเมตตาสูงมากๆ ขนาดท่านไปสบาย ไปอยู่พระนิพพาน
    จิตท่านไม่ได้เป็นห่วง แต่ท่านไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาจมกองทุกข์
    หลงคำว่า สมมุติบนโลกนี้ หรือจิตที่กำลังตกอยู่วังวนของกิเลส
    และก็พากันเดินหลงทางดั่งทุกวันนี้กัน
    แต่ถ้าพวกเรามีสติกันมากๆ แล้วก็จะทราบได้เอง
    แต่เมื่อท่านมาโปรดถึงในจิต แต่หากผู้ใดยังเฉยอยู่
    ท่านก็จะไปโปรดลูกหลานคนอื่นของท่านต่อไป...

    ที่ท่านมีพระเมตตามาโปรดลูกหลานของท่านโดยเฉพาะ
    ท่านพ่อสื่อมาว่า ท่านจะตามเก็บให้หมด แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า
    ใครจะไปก่อน ไปหลัง แต่เราจะตามเก็บเฉพาะท่านที่พร้อมก่อน
    เราจะไม่ไปบังคับผู้ใดให้มากระทำ
    ผู้ที่พร้อมหมายถึง ศีลพร้อม(รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์)
    แต่ถ้าผ่านเรื่องศีล ทุกท่านก็สามารถมาปฎิบัติจิตเกาะพระกันได้
    เพราะช่วงที่สองนี้จะเป็นเรื่องของการภาวนา(สร้างสติเพื่อทำให้จิตนิ่ง)
    เพราะถ้าสติมีไม่มากพอ จิตก็นิ่งยาก ถ้าจิตนิ่งยาก จิตก็จะเกิดสมาธิ เกิดปัญญายาก
    และโอกาสจะไปชำระล้างกิเลสขนาดกลางไปจนถึงกิเลสละเอียด จึงทำได้ยาก
    เพราะจิตคนเราจะละเอียดได้นั้น จิตจะต้องผ่านขั้นตอนการเจริญสติภาวนา
    (ทำสมาธิ หรือทรงฌานตลอดเวลา)
    แต่ในเบื้องต้นสติพวกเรามีไม่มากกันแล้ว การปฎิบัติที่จะเข้าถึงกระแสจิตตนเองก็ยาก
    และก็อย่าเพิ่งไปพูดถึงกระแสธรรม หรือมีดวงตาเห็นนั้น ก็ยากตามไปด้วย
    เหมือนปุถุชน หรือจิตยังไม่ได้พระโสดาบันนั้น ที่เขาพูดกันว่า สำหรับคำว่า พระนิพพานนั้น
    จึงไกลสำหรับพวกเรา แต่มันก็เป็นจริงตามนั้น
    เพราะคนที่จะไปพระนิพพานกันได้ คืออย่างน้อยจิตจะต้องเป็นพระโสดาบันในเบื้องต้นก่อน
    แต่ถ้าถามว่าทำอย่างไรให้เป็นพระโสดาบัน อันนี้ไม่ยาก ถ้าสนใจเป็นจริงๆ
    เพราะโสดาบันนี้ถึงจะมีสิทธิ์ไปได้ถึงพระนิพพาน อันนี้โดยไม่ยาก
    เพราะอย่างน้อยๆ จิตเข้าเขตโคตรภูญาณแล้ว(จิตระหว่างโลกีย์กับโลกุตตระ)
    เพราะจิตพระโสดาบันนั้น ท่านทรงอารมณ์พระนิพพานเป็นหลักกันปรกติ
    ผู้ที่จะไปพระนิพพาน จิตจะต้องผ่านพระโสดาบันทุกคนก่อน

    แต่เรื่องศีลนั้นเป็นเรื่องภายนอก จำเป็นต้องมาก่อน แล้วค่อยมาทำภาวนา
    เหมือนก่อนจะทานข้าว เราจะต้องล้างมือก่อน


    ***ขอให้พวกเราทุกท่าน จงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางใจสูงสุดของพวกเรากันเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2012
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    Wittayapon<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6623375", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ภูทยานฌาน2<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6623798", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    สรุปว่าใครเป็นจิตบุญ ๒ กันแน่น๊า
    สงสัยครูวิทย์สติงงเหมือนพี่เพ็ญป่าวคะ 555555555

    ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^

    ปล.พี่ภูห้ามโทร.มานะ หนูจาไปนอนเลี๊ยววววว
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ​


    ชื่อกระทู้ก็บ่งบอกอะไรกับท่านกันอยู่แล้ว
    จิตมิได้เพียงแค่พร้อมรับภัยพิบัติเท่านั้น
    แต่จิตพร้อมรับมือกิเลส โดยเฉพาะกิเลสของตนเอง
    เมื่อจิตบุญทุกท่านได้เดินผ่านมรรคา หรือจิตได้ผ่านวิปัสสนาญาณแล้ว
    ก็ย่อมมีปัญญาเป็นของตนเองแล้ว แต่บางท่านอาจจะดูงง ก็ไม่เป็นไร
    เพราะเป็นเรื่องปกติ เป็นช่วงปรับตัวยังไม่ชิน นานๆไปเดี๋ยวจิตจะบอกกับท่านเอง
    แต่ถ้าท่านไม่รู้ ก็แสดงว่าอินทรีย์ยังอ่อน หรือสติอ่อน ปัญญายิ่งกว่าอ่อน
    จงไปไตร่ตรองเอาเอง เพราะจิตมีปัญญากันแล้ว

    ผู้เจริญทั้งหลาย เป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม หรือจิตบุญทั้งหลาย
    พวกท่านจงอย่าพากันสนใจเปลือก หรือนามอันสมมุติ(ภาษทางโลก) เช่น...
    คำว่า "จิตบุญ" หรือ "จิตอรหันต์"
    แต่ถามว่าอะไรของเธอคือ อรหันต์? ตอบว่า "จิต" มิใช่กาย
    แต่จิตบุญทั้งหลายท่านจะต้องตอบตนเองและผู้อื่น ให้ได้
    เพราะถือว่าจิตเกิดปัญญาแล้ว แต่ถ้าไม่มีปัญญา
    จิตท่านก็จะไม่ผ่านคำว่า วิปัสสนาญาณ

    พวกเราพากันปฎิบัติจิตเกาะพระ แค่ทำให้จิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌาน
    และแถมพาจิตเดินมรรคา ซึ่งเป็นทางที่จะนำไปสู่พระนิพพาน
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติไปไม่ถึงพระนิพพาน อาจจะถึงแค่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคานามี
    แค่นี้ก็นับว่า เป็นบุญอย่างใหญ่หลวง จิตพ้นอบายภูมิแล้ว
    แต่ถ้าจิตไม่ยกก็ไม่เป็นไร เพราะท่านยังไปปฎิบัติต่อข้างบนได้
    แต่ถ้าใครได้จิตระดับอนาคามี ก็จบกิจข้างบนนั้นได้ คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    แต่ถ้าจิตบุญท่านใดไปยึดติด คำว่า จิตอรหันต์ หรือกำลังดีใจหรือกำลังอายนั้น
    แสดงว่าท่านเป็นจิตปลอม เพราะของจริงเขาไม่พูดกัน ไม่อวดกัน
    เพราะถ้าอวดกัน ก็แสดงว่า จิตยังมีความโลภ มียินดีอยู่ คือยังชอบให้คนยกหาง
    พอเข้าใจกันนะ
    แต่ถ้าจิตบุญจริงๆแล้ว ท่านจะพอใจเสียทั้งหมด ถึงไม่ถึงฉันไม่รู้
    รู้แค่ว่า ฉันไม่ทุกข์ร้อนกับใคร ใครจะเป็น ใครจะตาย ใครจะเกิด ก็ช่างเขา
    ขอให้จิตของเราเองนั้น เข้าถึงความสงบ ความว่าง ความเป็นกลาง หรือความเมตตาสูง
    กก็เพียงพอแล้ว ขอให้จิตบุญใหม่ๆจงได้โปรดเข้าใจเสียใหม่
    เพราะจิตบุญ ก็คือ จิตที่ตั้งอยู่เหนือขันธ์๕แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องทางโลก
    จิตบุญไม่เข้าไปยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งที่ทุกคนเข้าใจว่า หรือเรียกว่า "รูปนามสมมุติ"
    เพราะจิตบุญทราบเป็นอย่างดี แต่ถ้าจิตบุญยังใหม่อยู่ คือกายกับธาตุรู้
    หรือธาตุอินทรีย์ยังอ่อนอยู่ อันนี้แก้ไม่ยาก แก็โดยสร้างสติให้มากๆ พอจิตนิ่งเดี๋ยวรู้เอง
    ทำไมเราถึงรู้เอง เพราะเมื่อท่านมีสติมาก ปัญยาก็มากตาม เดี๋ยวสติตามดูจิตทัน
    ท่านก็จะทราบเองว่า เรารู้ธรรมนี้ได้อย่างไร เพียงแต่จิตบุญจะต้องคอยพยายามทำจิตให้นิ่ง
    หรือจิตทรงฌานยิ่งดีใหญ่
    เพราะธรรมะของพระพุทธองค์นั้นเป็นของละเอียด เพราะฉะนั้นถ้าหากใครอยากจะเข้าใจธรรมะ
    ได้อย่างลึกซึ้ง เราเองจักต้องทำจิตตนเองให้นิ่งมาก จิตถึงจะละเอียดได้
    เมื่อจิตคนเราละเอียดเท่านั้นเอง เราก็จะเข้าถึงธรรมะได้ง่าย แล้วเราจะถึงบางอ้อ...

    สรุปว่า...
    จิตบุญ(ต้อง)สำรวมจิตเพียงอย่างเดียว
    จิตบุญ(ต้อง)สนใจจิตของตนเพียงอย่างเดียว
    เพราะผู้ที่ไม่ได้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ก็จะไม่มีทางล่วงรู้ความลับนี้ไปได้
    เพราะจิตเกาะพระ เป็นปัจจัตตัง
    จิตเกาะพระ เป็นของสาธารณะ ใครก็เข้ามาเรียนรู้กันได้
    แต่จะต้องมีผู้สอนคอยแนะนำอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นบอกได้คำเดียวว่า "ยากส์"

    สรุปของสรุปก็คือ...
    จิตบุญพร้อม แต่จิตยังไม่เป็นบุญ พร้อมหรือยัง?
    จิตบุญไม่สนใจ คำว่า จิตอรหันต์ อันนั้นแค่เปลือกเฉยๆ
    จิตผู้ปฎิบัติขอให้เน้น ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็พอ
    ไม่ทุกข์ก็พอใจแล้ว
    จิตบุญอย่าไปบ้าเอายศ/บั้ง/ตำแหน่ง/สายสพาย/เกือกแก้วแหลมเปี๊ยบ/หรือวิมาน(เรือนแก้วเรือนนิพพาน) ข้างบนกันนะ
    แต่ถ้าใครสนใจ อันนั้นจิตบุญของปลอม....ฮ่าๆ

    *ท่านเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยๆกันไหมว่า...
    ผู้ที่รอดชีวิตนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีศีล มีธรรม(ประจำใจ)
    แต่ถ้ามีศีลเพียงอย่างเดียว ก็เสี่ยงกันเอง
    แต่มิได้หมายความว่า ผู้ที่มีศีลมีธรรม หรือจิตบุญจะไม่มีตาย
    ตายครับ ตายแน่นอน ตายกันทุกคน อันนี้ทุกท่านก็ทราบเป็นอย่างดี
    แต่ถามว่าตายแล้วไปไหน กายตายแต่จิตไม่ตาย
    นี่คือปัญาหา....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    5555...ฮ่าๆ
    อันไหนจริง อันไหนปลอม ฮ่าๆ
    ไม่เป็นไรหรอก แค่นามสมมุติ ใครจะนำไปใช้ก็ตามใจ
    เพราะว่าครูวิทย์ส่งจิตมาหาผมบ่อย หรือสัญญาตกกระป๋องเหมือนใครบางคน...ฮ่าๆ
    มีพ่อคนเดียวกันไม่เป็นไร...

    ว่าแต่ว่า โทรหาครูเพ็ญดีก่า สงสัยอยากนอนดึกเดี๋ยวผมจะโทรหา
    เดี๋ยวจะถึงหูคุณLinda2009 โอมมมๆๆๆ...ครูเพ็ญ จงง่วงๆ
    ฮ่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2012
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    เข้ามากราบขอบพระคุณในเมตตาของคุณครูเพ็ญ และอาจารย์ใหญ่ภูค่ะ
    พอใจจะตั้งหน้าตั้งตาฝึกจิตเกาะพระต่อไป..ถึงแม้จะเพิ่งเริ่ม..ก็รู้ว่าได้ประโยชน์มาก ๆ
    ในชีวิตเรา..สิ่งที่เราหวังอยากได้ อยากเจอสิ่งดี ๆ เราน่าจะได้พานพบแล้วค่ะ
    สาธุ อนุโมทนาบุญในสิ่งที่ท่านได้ทำ..

    รู้สึกสัมผัสได้ว่าท่านคือผู้เสียสละยิ่งใหญ่..
    ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ..
    ปรารถนาให้ทุก ๆ คนหลุดพ้นจากทุกข์..

    เห็นครู อาจารย์ ทุกท่าน เขียนบทธรรมะได้อย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา แล้วก็ปลื้มค่ะ .. อ่านแล้วก็นึกว่าท่านเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน ๆ กัน เขียนเหมือนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่จะให้ธรรมะ..สว่าง ๆ แก่ลูกศิษย์ท่านเอาเสียเลย..

    ;aa22
    dencee​

     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    :cool:ยิ่งอ่าน ยิ่งศึกษา ยิ่งเห็นความชัดเจนของความโกธรของตัวเองค่ะ คุณครูเพ็ญ...
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี
    ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
    เพราะแท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธการที่มัดตรึงเหนียวแน่น
    ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์อยู่ร่ำไป
    ถูกต้องแล้วนันทะ ไม่มีความสุขเสมอด้วยความสงบที่หาได้ในตัวเรานี้เอง
    ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสดงหาความสุขจากที่อื่น
    เขาจะไม่พบกับความสุขที่แท้จริงเลย
    เมื่อเธอปล่อยวางมองดูโลกเป็นของว่างเปล่าเสียแล้ว
    จิตก็ว่าง ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ดั่งนี้



    *คุณพี่พอใจ(pporjai)ครับ*
    ผมนั้นยังไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหรอก
    ตราบใดที่ดวงจิตของคุณพอใจและคุณพี่สุภาทรยังไปไม่ถึง "พระนิพพาน"
    แต่ถ้าอยากให้ครูที่นี่หายเหน็ดเหนื่อย
    ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณพี่ทั้งสองปฎิบัติจิตเกาะพระให้สำเร็จไวๆ
    (แลกกันนะครับ)
     
  20. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ลินดาจะไม่เข้าเน็ตหลายวัน ครูเพ็ญ อย่านอนดึกมากนะคะ ...จงนอนๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...