จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่านะ กับช้าก่อนเนี๊ยมันเหมือนกันไหม๊
    วันนี้ผมอ่านในเมล์สะดุ้งโหยงเลย
    มันเหมือนผมโดนรุกฆาต แถมเอาเรือ2ลำ มากดดันอีก
    (รุกฆาต=จิต41ดวงจิต)(เรือ2ลำ=ขันธ์5 หรือกายหยาบ+กายละเอียด)
    เฉลย: สัญญาณเบื้องบน+สัญญาใจ=ระหว่างพี่ภู+ครูเพ็ญ
    เอ๊ายิ่งพูดก็ยิ่งงงเอง ฮ่าๆ คุณลูกพลังช่วยผมที
    พอๆพูดที่นี่มากไม่ได้ เพราะคุณลูกพลังประกาศไปแล้วว่า
    กระทู้นี้รับคนจิตไม่ตก เอ๊ยไม่ใช่สิ กระทู้สาธารณะ
    จิตตกก็รับ จิตไม่ตกก็รับ เดี๋ยวที่นี่จัดให้
    รู้หรือยังว่า ทำไมกระทู้นี้ถึงได้ชื่อว่า จิตพร้อม? ภัยพิบัติ
    เพราะว่าที่นี่ฝึกยกจิตไงหล่ะ ยกไปไหน
    ก็ยกขึ้นเหนือขันธ์5 หรือเหนือโลก หมายความว่า จิตยกหนีกายหยาบไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
    เข้าใจกันบ่ เก็ตกันไหม? หรือยังมีใครยังไม่เก็ต
    แต่ถ้าใครทำจิตเกาะพระสำเร็จ(จิตยก)แล้ว จึงจะมีสิทธิ์เข้าใจ

    สรุปแล้ว
    ภัยพิบัติ กิเลส หรือเจ้ากรรมนายเวร ทำอะไรไม่ได้มากหรอก
    อย่างมากก็แค่ทำลายกายหยาบของเราทิ้งไปก็เท่านั้นเอง
    แต่ทำอะไรจิตไม่ได้หรอก
    อย่าไปหลงกายกันอีกนะ เพราะถือว่าฝึกจิตกันมาดีแล้ว
    จิตบุญพอจะเก็ต พอจะเข้าใจกันมากแล้ว

    อย่าไปพูดบ่อยดิ่ จิตบุญครบ 41 ดวงเนี๊ย!
    มันของแสลงใจผม อย่างไรบอกไม่ถูกง่ะ
    ฮ่าๆคุณลูกพลัง กับคุณวิทย์ยิ้มใหญ่เลย
    ใครเล่นหมากรุกเก่งมั่ง ช่วยสอนผมทีนะ
    เพราะตอนนี้ผมโดน(ครูเพ็ญ)ฆาต แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
    อ๋อ! นึกออกแล้ว มีท่านเดียวที่จะช่วยผมได้ ....(ไม่บอก)

    จิตบำเพ็ญเร่งได้นะ แต่ขอร้องครูเพ็ญ(จิต)อย่าเร่งหนีขันธ์5สิ
    เราตกลงและพูดกันรู้เรื่องไปแล้วนะ ครูบอกว่าสองปีไง๊

    ครูเพ็ญผมนึกออกแร๊ะ ว่าจะจ้างใครดีหน๋อ มาเป็นพรีเซนเตอร์
    ของจิตเกาะพระ อ๋อ ผมทราบแล้วว่าใคร
    อาจารย์หมอนามอุษาวดีนี่เอง
    โลกมนุษย์นี่นะ ความรู้สึกช้า เพราะจริงๆแล้วเบื้องบนท่านทราบดี
    ถึงว่าให้นำตัวมาพิพากษา เอ๊ย มายกจิตกันสดๆบนกระทู้นี้เลย
    ตอนแรกๆผมก็นึกว่า คนต่อไปก็คือ แอ่นอีแอ๊น คุณLinda2009
    และคุณwarin100 ที่ไหนได้ จิตท่านกลัวไม้หน้าสาม ไม่เบสบอล(เอาทุกอย่าง)
    ปรากฎว่าจิตท่านหนีวิปัสสนาผ่านไปได้ ก็เลยรอดหวุดหวิด
    คนต่อไปนึกว่าคุณปลื้ม เอ๊า ปรากฎว่าท่านก็ยกหนีกันอีก
    แล้วคราวนี้ใครจะยกจิตกันสดๆอีกแหล่ะ คราวนี้
    สงสัยอาจารย์หมอคนเดียวแน่ๆเลย ที่เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับจิตเกาะพระของเรา

    ขอโทษทีนะครับ ที่มาขั้นจิตกำลังบำเพ็ญ
    ขอให้ท่านอยู่กับ จิตในจิต ธรรมในธรรม ของท่านต่อไป
    (อย่าเลี้ยว ถอดพวงมาลัยแบบคุณwatjojoj นั่นถูกต้องที่ซู๊ดดดด)
    จิตยกก่อนค่อยว่ากัน อ่านกระทู้ไป ก็มีสติกันไปนะ อย่าลืม...

    *สตินะ..สติ
    *ทำไปๆ
    *กลาง วาง ว่าง เบา สบาย เย็น โปร่ง ใส โล่ง กลวง
    *อย่าอยาก
    (ว่าเมื่อไหร่จิตตนเองจะยกซะที)
    คิดเมื่อไหร่ก็จะช้าไปอีก ยืดเวลายกไปเรื่อย
    หยุดยากเมื่อไหร่ จะยกทันที เพราะจิตยก ปราศจากกิเลสละเอียด ระวังกันให้ดี
    ขยันทำความรู้สึกนี้กันไว้ โดยเฉพาะจิตบำเพ็ญ หรือจิตใกล้จะยก

    *หมั่นสมานทานศีล(ตรวจทานศีลให้ครบบริบูรณ์ทุกวัน)
    *แก้กรรมเก่าให้ถูกต้อง เช่น หมั่นขอขมาพระรัตนตรัย ผู้มีพระคุณ
    กรรมหนักๆ (เคยบอกไปแล้ว)
    *หมั่นอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตนเองด้วย
    โดยไม่มีประมาณ อันนี้ก็ช่วยให้จิตเบาใสได้เยอะเลย

    สำคัญทุกอย่าง โปรดอย่ามองข้าม

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2012
  2. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    ได้ติดตามอ่านกระทู้มาบ่อยครั้ง พักหลังนี่อ่านต่อเนื่องมากขึ้น ขอโมทนาบุญกับคุณภู คุณเพ็ญ และท่านอื่นๆที่นำธรรมะมาแบ่งปันเป็นธรรมทาน ทำให้ดิฉันได้รับประโยชน์อย่างมาก วันนี้มาขออนุญาต คัดลอก how to การปฏิบัติจิตเกาะพระ ของท่านจิตบุญ คุณเอิ้น คุณเมิล คุณผึ้ง คุณลูกหว้า คุณหมออุษาวดีและ คุณลูกพลัง และธรรมทานจากคุณภู คุณเพ็ญ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติ และส่งต่อให้เพื่อนที่สนใจค่ะ


    ป.ล. พี่ส่งการบ้านหลังไมค์ให้คุณเพ็ญทางเมล์ค่ะ
     
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    หว๋าย พี่ภู อย่าไปบอกใครจิว่าจิตหนู((จะ))ละขันธ์ห้าอ่ะ
    เดี๋ยวคนก็แห่กันมาตรึม มาเร่งยกจิตกันเป็นแถวเป็นเทือกก่อนครูตาย
    เดี๋ยวลูกค้าเยอะ หนูก็ไปไหนไม่ได้กันพอดี ฮ่าๆ
    ไม่เป็นไรน๊าชาวจิตเกาะพระ ถ้าจิตพี่เพ็ญละขันธ์ห้าไปก่อน
    ก่อนไปพี่เพ็ญจะรวบรวมคู่มือจิตเกาะพระทิ้งไว้ให้
    ยังไงก็ยังพอมีคู่มือฝึกต่อไป
    แต่อย่าลืมกันนะว่าพวกเรายังมีครูเก่ง ๆ ที่มีเมตตาไม่มีประมาณอีกหลายท่าน
    ท่านสามารถฝึกต่อกับครูท่านอื่นต่อไปได้เลยค่ะ
    เอ๊ะ ยังไง มาเหมือนจะลา...
    แต่จิตสบายจริง ๆ นะ โปร่ง โล่ง สบายดีมากเลย
    เฮ้อ เบาหวิ๋ว หวิ๋ว หวิ๋ว หวิ๋ว
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "พระพุทธเจ้าแท้ ธรรมแท้ อยู่ที่ใจ
    การอุปัฎฐากใจตัวเอง คือการอุปัฎฐากพระพุทธเจ้า
    การเฝ้าดูใจตัวเองด้วยสติปัญญา
    คือการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง"


    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สาธุครับ เพราะการบ้านคุณหมอ ช่วยนำทางในการปฏิบัติได้อย่างดีเลยครับ
     
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    พอใจมาแล้วค่ะ คุณพี่ต้อย มาขอคำแนะนำ ยังไม่เข้าใจคำว่าส่งการบ้านให้พี่เพ็ญนะคะ ขอโทษด้วยค่ะที่ไม่เข้าใจความหมาย
     
  7. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    เหอะๆๆ พิมมาตั้งเยอะ หายโม๊ดดด...อย่านึกว่าจะยอมแพ้ ไปพิมเมล์ก็ด๊ายยยยย
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    วันนี้จะไปกด ATM ใต้ตึก มีคนยืนกดอยู่ ก็ยืนรออยู่ห่างๆ

    มีเจ้าหน้าที่ ที่ทำงานเดินมาอย่างรีบร้อน ไปยืนต่อแถว เข้าใจว่าคงไม่สังเกตว่ามีคนรออยู่ก่อน

    ก็ปล่อยให้เขาไปกด พอกดเสร็จ หันมาเห็นเรายืนอยู่ที่เดิม คงรู้แล้วว่าแซงคิวเรา รีบยกมือไหว้ ตัวอ่อนเชียว

    ก็รับไหว้ ยิ้มให้ เขาคงตกใจ แต่เราไม่รู้สึกกระทบตลอดรายการ


    พอจะกด ATM เครื่องไม่ยอมดูดบัตร ก็เลยเดินไปกดตู้หน้าธนาคาร เครื่องไม่ยอมดูดบัตรอีก ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ เช็คให้ ปรากฏแถบแม่เหล็กเสีย ไตรลักษณ์ของแถบแม่เหล็กแสดงตัว อิอิ

    เงินก็ถอนไม่ได้ ไม่มีสมุดบัญชีอยู่กับตัว ต้องเอาสมุดบัญชีมาถอน และแจ้งขอบัตรใหม่ เดินกลับมาที่ทำงานอีก มาเอารถ กลับไปเอา สมุดบัญชี

    มาธนาคารใหม่ มาถอนเงิน แจ้งจะทำบัตร ATM ใหม่ ต้องไปติดต่ออีก counter ก่อนไป พนักงานพยายามแนะนำให้ซื้อกองทุนออกใหม่


    ไปติดต่ออีก counter ระหว่างรอบัตร ใหม่ มีพนักงานอีกคนพยายามมาขายประกัน รู้สึกจ่ายเบี้ย 10 ปีแล้วรอรับผลตอบแทน

    รู้สึกว่าเราคงไปก่อน เลยถามถ้าเกิดตายก่อนละ พนักงานงงๆ แต่ก็พยายามอธิบาย พยายามให้ซื้อวันนี้ให้ได้ ไม่รู้สึกกระทบ เข้าใจ เขาคงโดนบังคับให้ทำยอด


    รีบกลับมา เพราะนัดพาคนที่ทำงานไปเลี้ยง ปรากฏว่าร้านอาหารที่ไป ปิดร้านไปแล้ว กลายเป็นร้านอี่นที่ไม่ใช่ร้านอาหารมาแทนที่ ร้านนี้อยู่มาเป็น 20-30 ปี ในที่สุดก็แสดงไตรลักษณ์

    เลยพาไปอีกร้าน อาหาร รสชาติดี ทุกจาน แต่อร่อยไม่เข้าถึงใจ
    เห็นคนอื่นๆ ทำท่ามีความสุข ก็รู้สึกยินดีด้วยที่เขามีความสุข


    เย็นไปซื้อของ คนขายไม่ค่อยมี service mind จะรีบๆขายให้เสร็จไป ทำท่าไม่พอใจ แต่เราก็ซื้อจนเสร็จ

    ดูจิตตัวเอง รู้สึกอุเบกขามาก ไม่โมโหเขา และไม่รู้สึกอะไร ถ้าเขาจะได้รับผลอะไร ที่มาโกรธเรา รู้สึกสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


    ไปเดินออกกำลัง ผมร่วงลงมา ผมนี้อยู่กับเรามาระยะหนึ่ง เดี๋ยวก็เป็นอนัตตา
    พอผมร่วง ก็นึกถึงกายนี้ละ เดี๋ยวก็จากกันไป forever
    ไม่รู้สึกอะไร ความตายเป็นเรื่องธรรมดา


    ตอนกินอาหารเย็น ซึ่งรสดีมาก แต่ไม่เข้าถึงใจ ก็รู้สึกขึ้นมา ถ้าเราไม่เอา ทั้งสุข และทุกข์ มันก็วาง ว่าง
    ทีนี้สุขจริงๆ สุขแบบอิ่มๆ ไม่อยากได้อะไร ;aa7
     
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พิมมาตั้งเยอะ หายโม๊ดดด...
    เจอกันบ่อยค่ะ
    พิมพ์ใน e-mail แล้ว copy มา paste ลงใน post จะปลอดภัยกว่าค่ะ
    ขอโทษนะคะใช้ไทยคำอังกฤษคำ บางคำก็นึกไม่ออกว่าจะใช้ศัพท์ไทยว่าอะไร
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอพูดหน่อยเดียว..
    ผมเคยบอกไปแล้วว่า
    คุณหมอ หรืออาจารย์หมอท่านนี้ กลายเป็นพรีเซนเตอร์
    จิตเกาะพระไปแล้ว
    และนี่ผมกำลังจะบอกว่ากับพวกเราว่า...ลักษณะหรืออาการของคนที่จิตยกแล้วนั้น เป็นเช่นไร...
    คือ จิตอยู่เหนือขันธ์5 หรือ จิตอยู่เหนือโลก หรืออาการ อารมณ์นั้นจะผิดกับมนุษย์ทั่วๆไป
    ที่คนส่วนใหญ่ก็มักยังตกอยู่ภายใต้อำนาจมืดของกิเลสทั้งปวงกันอยู่
    และยากที่จะหลุดพ้นกันด้วย

    และยังมีอีกหลายท่าน ที่ยังไม่เข้าใจ คำว่า "จิตอยู่เหนือขันธ์5"
    แต่จะเข้าใจก็ต่อเมื่อ จิตยกแล้ว

    ขอโทษนะครับที่ยกเคสของคุณหมอมาเพื่อธรรมาทานให้กับพวกเรา
    พวกเราก็อย่าไปดูคนแค่ภายนอก หรือเห็นว่าคุณอุษาวดีท่านเป็นหมอนะ
    แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว เขาจะไม่ดูคนที่ภายนอก(เปลือก)
    แต่เขาจะดูลึกเข้าไปที่ข้างในมากมากกว่า ก็คือ จิต(นี่คือ แก่น) จำไว้นะพวกเรา
    อย่าไปดูคนตรงนั้น คือภายนอก เพราะว่ามัน ก็คือ เปลือก
    เปลือก ก็คือ ไม่ใช่แก่น ไม่ใช่จิตวิญญาณ หรือการปฎิบัติธรรม
    นอกนั้นจะถือว่าเป็นได้แค่เปลือก ได้แก่
    สวย-หล่อ รวย-จน สูง-ต่ำ ดำ-ขาว การศึกษาสูง-ต่ำ หรือยศฐาบรรดาศักดิ์-ปุถุชน เป็นต้น

    บ้าทำบุญนี่ก็เป็นเปลือกเหมือนกัน ได้แก่...
    อย่าเอาแต่อามิสบูชา หรืออย่าเอาแต่กราบไหว้บูชาพระ
    (ยกเว้นผู้ปฎิบัติใหม่ จำเป็น เพราะยังต้องการกำลังใจ)
    เพราะกำลังบุญที่ท่านกำลังกระทำกันอยู่นั้น ไปได้แค่สวรรค์
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติต้องการไปพระนิพพาน จะต้องพากันปฎิบัติธรรม(เท่านั้น)
    หรือนำจิตเดินสายอริยมรรคเท่านั้น(มรรคมีองค์๘) หรือย่อแบบสั้นๆก็คือ
    ศีล สมาธิ ปัญญา

    อย่าบ้าฟังเทศน์/ฟังธรรมเพียงอย่างเดียว(ยกเว้นผู้ปฎิบัติใหม่ จำเป็น)
    แต่สำหรับผู้ปฎิบัติเก่า เมื่อฟังเสร็จแล้วก็ขอให้น้อมนำจิตตนเองมาปฎิบัติกันด้วย
    แต่สำหรับท่านที่จิตยังหยาบอยู่ ฟังบ่อยๆก็จะดีมาก คือจิตจะค่อยๆละเอียดไปเรื่อยๆ

    อย่าบ้าแต่ทำสมาธิ ทำฌานกัน แต่ขอให้นำฌานที่ได้นั้นไปพิจารณาธรรม(วิปัสสนา)
    หรือไปวิ่งชนกับกิเลสแบบครูเพ็ญได้กล่าวไปแล้ว
    ต่อไปจะยก คำว่า "วิปัสสนา" ความหมายลึกๆแล้วแปลว่าอะไร
    คนที่รู้แล้วก็ขอให้ผ่านไป แต่จะบอกกับผู้ที่ยังเข้าไปไม่ถึงแก่น(ไม่ลึกซึ้ง)

    สรุปแล้วจิตของคุณหมอท่านยกแล้ว
    ก็จะมีลักษณะหรืออาการอย่างนี้ เช่น
    จิตอยู่เหนือขันธ์5 จิตอยู่เหนือโลก(มนุษย์) จิตที่ได้รับการฝึกฝนหรือพัฒนาจิตให้สูงกว่าจิตปุถุชน
    แต่ก่อนจิตของคุณหมอจะทำได้อย่างนี้(เนียน) จิตจะต้องสอบผ่านกับสิ่งที่มากระทบจิตใจตนเองมากแค่ไหน
    เพื่อผู้ปฎิบัติจะเข้าถึงกระแสจิตของตนเองได้นั้น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเราจะต้องเจริญสติภาวนาให้มาก(สร้างสติ)
    เช่น จิตในจิต(จิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌาน)
    ธรรมในธรรม(เมื่อจิตเป็นพุทธะ หรือจิตถึงธรรม ต่อไปเมื่อมีสิ่งใดมากระทบจิต จิตก็ทำวิปัสสนาเอง
    หรือจะมองเห็นสิ่งที่มากระทบจิตนั้น เป็นธรรมะไปหมด)
    เมื่อจิตเข้ามาถึงธรรมกันแล้ว ต่อไปจิตก็จะไปสัมผัสกับพระพุทธเจ้ากันได้อย่างไร
    ผมจะไม่ขอกล่าว ณ.ที่นี้ แต่อยากให้ผู้ปฎิบัติได้มาพิสูจน์ด้วยตนเองจะดีกว่าผมพูด
    ก็เพราะเหตุผลเดียว ก็คือ ปัจจัตตัง

    เมื่อผู้ปฎิบัติมาถึงตรงนี้กันแล้ว คำว่า

    " ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระ...ตถาคต "


    อันนี้ผมว่าผู้ปฎิบัติธรรม หรือผู้ที่ปฎิบัติจิตเกาะพระที่ทำสำเร็จแล้ว(จิตยก) ส่วนใหญ่ก็จะทราบกันดี

    ถามว่า คนเราปกติจะทำได้กันไหม๊? ดังที่กล่าวไปแล้วในเบื้องต้น
    ขอบอกได้ คำเดียวว่า ทำไม่ได้
    ไม่ว่าใครหรือผมเองก็เช่นเดียวกัน ก็ทำไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ได้ฝึกจิตหรือยกจิต

    แค่การให้อภัยกันง่ายๆ (บางคน)ก็ยังทำกันได้ยาก
    อาจจะทำได้ อย่างมากก็แค่ชั่วคราว เพราะไม่มีใครฝืนจิตใจของตนเองนานๆได้หรอก
    เช่น ให้อภัยตามคนอื่น(พ่อแม่ หรือเพื่อนๆ) ที่เขาบังคับให้เราต้องให้อภัยกับคนๆนั้น ที่เราไม่ชอบ เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 สิงหาคม 2012
  11. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972


    คุณหมอ อุษาฯ ไม่เป็นไรค่ะ จะพูดภาษาอะไรก็เป็นอันว่า เราเข้าใจ

    ต้องบอกว่า ขอแทนตัวเองว่า ปุ๋มก็แล้วกันนะคะ ถือว่าทุกท่านเป็นคนคุ้นเคยก็แล้วกัน

    คุณหมอ ทำได้ดีจังค่ะ ของปุ๋มมันยังเป็น เจอกระทบ มันจะดีดปังออกมา แต่ก่อน ออกอาการท่าทาง พร้อม วาจา มาด้วยกันเป็นduo (เหมือนละครลิงเลย คิดแล้วอาย ทำไปด๊าย) หลังจากฝึกมาพอสมควร มันก็ยังเป็นคู่ดูโอ แต่มันเห็น เห็นตั้งแต่เขาโยนมา วิ่งเป็นสโลว์โมชั่น ตึ้ด ตึ้ด....ปัง แบบนี้ ระยะต่อมา มันก็เห็น แต่ เปลี่ยนเป็น มาแล้ว บางอันก็หลบทัน บางอันหลบไม่ทันก็ รับแบบนุ่มนวลลลล

    บางคน มันจะ แช่อยู่ในใจ ขุ่น นานหน่อย แต่ หลังจากนั้น มันก็สลัดได้เกือบหมด

    โยนมาปุ้บ สลัดปั้บ เลยกลายเป็น มะกี้เถียงกันอยู่ฉอดๆๆ คุยจบ จบเลย ไม่จำแล้ว

    แต่มันก็ไม่แน่นอน ขอบอกว่า คุณหมอ เจ๋งอ่ะ (ขอใช้ภาษาวัยสะรุ่นนะคะ)

    หนูจะพยายามทำให้ได้นะคะ เพราะ

    ถ้าเป็นหนู มาแซงนะ ถึงจะเงียบ แต่มันคาใจ แต่บางคนเขาขอโทษ พร้อมทั้งเจตนาเขาไม่รู้ อันนี้ ไม่มีอะไร แต่อาจจะมีจิตแรก อุ้ย แซงฉันเรอะ แต่ ทีหลังก็ เออ ไม่เป็นไรไม่เห็น คล้ายๆเหตุการณ์แบบนี้ แต่ใน เคเอฟซี มีคนเขามาทีหลัง แต่มาแซงเรา ทำเป็นมาหยิบเมนู พอพนักงานถาม แกก็สั่งเลย เอ่า...แบบนี้..เลยหันบอกลูกสาว ว่า

    ลูก ทีหลังหนูอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะ พูดไปแล้ว ก็ อุ้ย จะไปยุ่งกะเขาทำไม ใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น คนเรามันไม่เหมือนกัน

    แฮ่ ... พูดมาซะยาว สรุป หนูยังไม่ทันมันนะคะเนี่ยย...จะพยายามค่ะ พี่ๆครูๆทั้งหลาย

    ว่าแต่ จิตดวงที่เท่านั่น ดวงที่้ท่านี่่ มันคืออะไรคะ
    ขอบคุณค่ะ

    ปล. วันนี้ หนูตามดูกะอาการกระทบทั้งวันเลย แต่ก่อน ไม่เห็นเยอะขนาดนี้ อันนี้ผุดมาต่อเนื่องเลยค่ะ

    คุณlinda เราจะคล้ายๆกัน เพียงแต่ว่า เราเป็นคนที่สงสัยอะไรต้องพิสูจน์ เขาว่าอะไรเป็นไง ยังไม่เชื่อ อะไรเฮี้ยน ก็ต้องเอามาพิสูจน์นะ

    ออกแนวฮาร์ดคอร์ จนเจอดีแหละ ๕๕๕ สนุกดี ออกมาวีนเหวี่ยง หลายท่าทาง บ่อยๆจนเดี๋ยวนี้ สงสัยจะเริ่มคุ้นเคย เลยไม่ค่อยเจอ เจอแต่เจ้าหนี้

    มาทวง ดึงแข้งดึงขา มีไม่เยอะนักหรอกค่ะ ห้าหกคน มายืนราบล้อมรอบเตียง อบอุ่นดีพิลึกค่ะ

    โม้ๆๆๆ ไปแล้วค่ะ วันนี้ได้ความรู้ใหม่สองอย่าง ต้องขอขอบคุณพี่ๆ พี่ภู พี่เพ็ญ คุณลินดา น้อง ธรรมณี คุณหมออุษาฯ ฯลฯ และท่านอื่นๆที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาต
    นำพวกเราเข้าสู่วิชาการ(บ้าง)
    แต่ถ้าผู้ใดรู้แล้ว ก็ถือว่าทบทวน+กำไร

    แต่ที่นี่!
    เน้นแก่นธรรม(ศีล+ภาวนา)
    เน้นปฎิบัติจิตเกาะพระ(สติ+จิต)
    แต่ถ้านักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรมท่านใด ทำมาหลายกอง หลายปีแล้ว
    รู้สึกว่าผลการปฎิบัติของตนเองไม่ค่อยจะมีความเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร
    ได้โปรดแวะเข้ามา(ลอง)ทำจิตเกาะพระ เผื่อหูตาจะได้สว่างกันมั่ง
    เผื่อจะถูกจริต เผื่อจะทำให้ผลของการปฎิบัติธรรมได้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

    แต่ถ้าไม่ถูกจริตก็ไม่เป็น อย่างน้อยที่สุด
    ท่านจะได้สติมากขึ้น หรือความรู้สึกตัวมากขึ้น
    และได้โปรดอย่าเชื่อ หรือไม่เชื่อ กับคำโฆษณา หรือจากบุคคลอื่น
    โดยที่ยังไม่ได้ลงมือปฎิบัติด้วยตนเองเลย

    เพราะฉะนั้น
    ผู้เจริญทั้งหลาย เจริญเฉพาะในด้านจิตวิญญาณ
    ผู้มีสติปัญญาเลิศล้ำ อย่าปิดกั้น และให้โอกาสตนเองด้วยเถิด

    ขอขอบพระคุณอย่างสูง
    มิสเตอร์ภู จบ.๒​
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วิปัสสนา​

    ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะเป็นไปตามลำดับขั้น ดังต่อไปนี้
    ได้รู้ได้เห็นธรรมชาติรวมทั้งความเป็นไปต่าง ๆ ของรูป/นาม หรือกาย/ใจ มากขึ้นเรื่อยๆ
    ได้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนา
    ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เพราะไม่อยู่ในอำนาจ จึงไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ฯลฯ
    จนกระทั่งจิตคลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงไปอย่างถาวร
    คือความยึดมั่นถือมั่นในระดับนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    เพราะเห็นชัดด้วยปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง
    จนหมดความเคลือบแคลง และความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งปวงแล้วนั้น
    จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล คือบุคคลอันประเสริฐ ซึ่งจำแนกอย่างละเอียดได้ 8 ประเภท
    ตามลำดับขั้นของการละกิเลส หรือตามลำดับขั้นของความยึดมั่นถือมั่น
    ก่อนจะกล่าวถึงอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น
    จะขออธิบายถึงความเจริญก้าวหน้าในการทำวิปัสสนากรรมฐาน ตั้งแต่เริ่มต้นก่อน
    เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องของอริยบุคคลได้ง่ายขึ้น ดังนี้
    บุคคลทั่วๆ ไปที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ อยู่อย่างปกติทั่วไปนั้นได้ชื่อว่าปุถุชน(ปุถุ แปลว่าหนา)
    คือชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสนั่นเอง ปุถุชนนั้นแบ่งได้ 2 ระดับคือ

    1.) อันธปุถุชน คือปุถุชนที่มืดบอดต่อธรรมมาก จิตใจหยาบกระด้าง เป็นผู้ยากแก่การรู้ธรรม

    2.) กัลยาณปุถุชน คือปุถุชนที่แม้จะยังมีกิเลสหนาแน่นอยู่ แต่จิตใจก็มีความประณีต
    เบาสบายกว่าอันธปุถุชน จึงเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า
    เมื่อบุคคลใดได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
    ก็จะเกิดปัญญามองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
    ที่เรียกว่าญาณขั้นต่างๆ
    (คำว่าญาณนี้เป็นชื่อของปัญญาในวิปัสสนา ต่างจากฌานซึ่งเป็นขั้นต่าง ๆ ของสมาธิ)
    จนกระทั่งปัญญาญาณนั้นแก่กล้าจนสามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ อย่างถาวร
    อันเป็นผลให้กิเลสที่เกิดจากความยึดมั่นในขั้นนั้นถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง
    จิตในขณะที่เห็นแจ้งในความที่ไม่สามารถยึดมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวงได้อย่างชัดเจน
    จนสามารถทำลายกิเลสได้นี้เรียกว่า มรรคจิต
    ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ขณะจิตเดียว คือเกิดอาการปิ๊งขึ้นมาแว้ปเดียว
    กิเลสและความยึดมั่นในขั้นนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    บุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนี้เรียกว่า มรรคบุคคล ซึ่งนับเป็นอริยบุคคลประเภทหนึ่ง
    บุคคลจะเป็นมรรคบุคคลแค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น
    หลังจากนั้นก็จะได้ชื่อว่า ผลบุคคล คือ บุคคลผู้เสวยผลจากมรรคนั้นอยู่
    ไปจนกว่ามรรคจิตในขั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
    เพื่อทำลายความยึดมั่นและกิเลสที่ประณีตขึ้นไปอีก
    มรรคจิตแต่ละขั้นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    แล้วจะไม่เกิดขึ้นในขั้นเดิมซ้ำอีกเลย จะเกิดก็แต่ขั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้น
    เพราะความยึดมั่นในขั้นที่ถูกทำลายไปแล้ว จะไม่มีโอกาสกลับมาให้ทำลายได้อีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 สิงหาคม 2012
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    น้องใหม่

    น้องใหม่ ท่านอาจารย์ภูกรุณาอธิบายด้วยค่ะ catt1
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อริยบุคคล​

    อริยบุคคล 8 ประเภท(4คู่) ได้แก่ มรรคบุคคล 4 ประเภท และผลบุคคล 4 ประเภท

    1.) โสดาปัตติมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
    ที่เรียกว่าโสดาปัตติมรรคจิต โสดาปัตติมรรคบุคคลนี้นับเป็นอริยบุคคลขั้นแรก
    และได้ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพานแล้ว
    มรรคจิตในขั้นนี้จะทำลายกิเลสได้ดังนี้คือ(ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ
    -สักกายทิฏฐิ-วิจิกิจฉา-สีลพตปรามาส
    รวมทั้งโลภะ(ความโลภ) โทสะ(ความโกรธ, ขัดเคืองใจ, กังวลใจ, เครียด, กลัว)
    โมหะ(ความหลง คือไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง)
    ในขั้นหยาบอื่น ๆ อันจะเป็นผลให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, นรก) ด้วย

    2.) โสดาปัตติผลบุคคล* หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโสดาบัน คือผู้ที่ผ่านโสดาปัตติมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของโสดาบันก็คือ
    -พ้นจากอบายภูมิตลอดไป คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย
    เพราะจิตใจมีความประณีตเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้นได้
    -อีกไม่เกิน 1/3/7 ชาติจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    -มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จะไม่คิดเปลี่ยนศาสนาอีกเลย
    มีศีล 5 บริบูรณ์ (ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์) คือความบริสุทธิ์ของศีลนั้นเกิดจากความบริสุทธ์/ความประณีต
    ของจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่ใจอยากทำผิดศีลแต่สามารถข่มใจไว้ได้ คือใจสะอาดจนเกินกว่าจะทำผิดศีลห้าได้

    *โสดาบัน 3
    (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า)​
    1. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต)
    2. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก 2-3 ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก 2-3 ภพ ก็จักบรรลุอรหัต)
    3. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือเวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง 7 ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต
    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
    อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต)

    3.) สกทาคามีมรรคบุคคล หรือสกิทาคามีมรรคบุคคล
    คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2
    ที่เรียกว่าสกทาคามีมรรคจิต มรรคจิตในขั้นนี้ ไม่สามารถทำลายกิเลสตัวใหม่ให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนมรรคจิตขั้นอื่น ๆ
    เป็นแต่เพียงทำให้ โลภะ โทสะเบาบางลงเท่านั้น
    โดยเฉพาะกามฉันทะ และปฏิฆะ ถึงแม้ว่าความยึดมั่นที่มีอยู่จะน้อยลงไปก็ตาม
    ทั้งนี้เพราะกามฉันทะและปฏิฆะนั้นมีกำลังแรงเกินกว่า จะถูกทำลายไปได้ง่าย ๆ

    4.) สกทาคามีผลบุคคล หรือสกิทาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านสกทาคามีมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติสำคัญของสกทาคามีผลบุคคลก็คือ ถ้ายังไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ในชาตินี้
    ก็จะกลับมาเกิดในกามภูมิอีกเพียงครั้งเดียว ก็จะบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้
    แล้วจะพ้นจากกามภูมิตลอดไป เพราะอริยบุคคลขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่จะเกิดในกามภูมิได้อีก
    คำว่ากามภูมินั้นได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษยภูมิ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก
    แต่สกทาคามีบุคคลนั้นพ้นจากอบายภูมิไปแล้ว
    คือตั้งแต่เป็นโสดาบัน จึงเกิดได้เพียงในสวรรค์ และมนุษย์เท่านั้น

    5.) อนาคามีมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง
    มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าอนาคามีมรรคจิต
    ทำลายกิเลสได้เด็ดขาดเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัวคือ
    -กามฉันทะ-ปฏิฆะ

    6.) อนาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านอนาคามีมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของอนาคามีผลบุคคลคือ ถึงจะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์
    ก็จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลย
    แต่จะไปเกิดในภูมิที่พ้นจากเรื่องของกามคือรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเท่านั้น
    (ดูหัวข้อรูปราคะ และอรูปราคะในเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
    ในรูปภูมิ 16 ชั้นนั้น จะมีอยู่ 5 ชั้นที่เป็นที่เกิดของอนาคามีผลบุคคลโดยเฉพาะ
    ซึ่งรวมเรียกว่าสุทธาวาสภูมิ
    ดังนั้น ในสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 ชั้นนี้ จึงมีเฉพาะอนาคามีผลบุคคล อรหัตตมรรคบุคคล
    และพระอรหันต์ (ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วยังมีชีวิตอยู่) เท่านั้น

    7.) อรหัตตมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง
    มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ที่เรียกว่าอรหัตตมรรคจิต
    ทำลายกิเลสที่เหลือทุกตัวได้อย่างหมดสิ้น จนไม่มีกิเลสใดๆเหลืออีกเลย
    สัญโยชน์ที่มรรคจิตขั้นนี้ทำลายไป ได้แก่ สัญโยชน์ในเบื้องสูง(หารายละเอียดเอาเอง)

    8.) อรหัตตผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระอรหันต์
    คือผู้ที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้ว
    เพราะกิเลสตัวสุดท้ายถูกทำลายไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคจิตที่ผ่านมาแล้ว
    เป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวง เพราะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย
    แต่ยังคงต้องทนกับทุกข์ทางกายต่อไป จนกว่าจะปรินิพพาน
    เพราะตราบใดที่ยังมีขันธ์(ร่างกาย)อยู่ ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ทางกายไปได้
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    " นิพพาน "​

    นิพพานนั้นมี 2 ชนิด ก็คือ
    1.) สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานเป็น
    หมายถึง นิพพานที่ยังมีส่วนเหลือ คือ กิเลสทั้งหลายดับไปหมดแล้ว
    พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงแล้ว
    แต่ยังมีร่างกายอยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปอีก
    อันได้แก่ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

    2.) อนุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานตาย
    หมายถึง นิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ คือ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    ทั้งทางกายและทางใจอย่างสิ้นเชิง
    ได้แก่ พระอรหันต์ที่ตายแล้วนั่นเอง
    ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าปรินิพพาน*
    *ปริ = โดยรอบ, ปรินิพพาน = นิพพานโดยรอบทุกส่วน
    คือทั้งร่างกายและจิตใจ
    คือนิพพานจากทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง


    พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบชีวิตในวัฏสงสารว่า...
    ปุถุชนทั้งหลายเหมือนผู้คนที่ผุดๆ โผล่ๆ อยู่กลางน้ำลึก
    จะต้องทนทุกข์ทรมาน สำลักน้ำอยู่อย่างไม่รู้อนาคต
    ต้องเสี่ยงภัยจากปลาร้ายทั้งหลาย

    โสดาบันเปรียบเหมือนผู้ที่พยุงตัวพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาได้
    จนสามารถมองเห็นฝั่ง(แห่งพระนิพพาน) แล้วเตรียมตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้น

    สกทาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่กำลังว่ายเข้าหาฝั่ง
    อนาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่เข้าใกล้ชายฝั่งมาก
    คือถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นดินได้
    แล้วเดินลุยน้ำเข้าหาฝั่ง จึงพ้นจากการสำลักน้ำแล้ว
    พระอรหันต์เปรียบเหมือนผู้ที่เดินขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้ว
    พ้นจากอันตรายทั้งปวงแล้ว รอวันปรินิพพานอยู่

    ท่านผู้อ่านอยากอยู่ในสภาพไหน ก็เชิญเลือกเอาเองเถิด
    โมทนา..สาธุๆ
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้องใหม่
    สวัสดีและยินดีต้อนรับ
    สำหรับคุณพอใจ(pporjai)
    และขอขอบพระคุณคุณสุภาทรด้วยนะครับ ที่แนะนำให้กับผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆ
    ที่นี่นึกว่าเป็นบ้าน(แสนจะอบอุ่น)ของคุณพอใจ กับคุณสุภาทรก็แล้วกัน
    ไม่ต้องเกรงใจ

    ขอตอบคำถามเลยนะครับ
    หมายถึง ที่นี่ กระทู้นี้ พวกเราคือมาร่วมกันยกจิตให้สูงขึ้น
    โดยเรียกว่า "การปฎิบัติจิตเกาะพระ" หรือ การเพ่งพระเป็นอารมณ์
    จิตเกาะพระเป็นกรรมฐานระหว่าง พุทธานุสสติ+กสิณ
    ซึ่งก็เป็นการเจริญสติภาวนาอย่างหนึ่ง ก็อยู่ในกรรมฐาน 40 กองนั้น

    เพราะฉะนั้น คำว่า ส่งการบ้านให้ครูเพ็ญ
    ก็หมายถึง การปฎิบัติจิตเกาะพระนี้
    ผู้มาใหม่ หรือผู้ปฎิบัติใหม่นั้น ในขณะฝึกทำจิตเกาะพระกันนี้
    พวกเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีครูสอนอย่างใกล้ชิด
    มิฉะนั้นแล้ว พวกเราจะงงมาก นอกจากจะงงกันแล้ว
    คำว่า จิตเกาะพระนี้ ก็ใหม่สำหรับทุกๆท่าน
    แต่ที่นี่สอนเดินตามอริยมรรคล้วนๆ มิได้ผิดแผก
    หรือแตกต่างไปจากของพระพุทธองค์เลยแม้นสักนิดเดียว

    แต่ถ้าผู้ฝึกทำจิตเกาะพระ หรือคนที่เกาะขอบกระทู้
    แอบทำจิตเกาะพระอยู่เพียงลำพังนั้น มักจะไม่ได้ผล
    เพราะไม่เข้าใจการปฎิบัติจิตเกาะพระที่ถูกต้อง
    จึงมีความจำเป็นจะต้องมีครูผู้ฝึกสอนไว้คอยติดตามผลของจิตทุกท่าน
    เพราะที่นี่จึงไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เพราะเป็นนามธรรม
    สติกับจิตเป็นนามธรรม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    ไม่เหมือนเรียนกันทางโลก เช่น ที่ม.รามคำแหง อ่านหนังสือแล้วก็สอบกันได้ แต่ที่นี่ไม่ได้

    สรุปแล้ว
    ผู้ที่มาใหม่ หรือผู้ปฎิบัติใหม่จิตเกาะพระ
    จึงจำเป็นจะต้องมีผู้สอนอย่างใกล้ โดยผู้ปฎิบัติจะต้องส่งการบ้านทางe'mail
    เพื่อสอบจิตของผู้ปฎิบัติ เพราะถ้าผู้ปฎิบัติไม่พยายามส่งการบ้าน
    ครูผู้สอนก็จะไม่รู้ว่า จิตของท่านในขณะนี้กำลังเดินอยู่ที่ตรงไหน
    เพราะฉะนั้นครูจึงต้องติดตามห้อยสอย หรือเกาะติดสถานการณ์จิตของผู้ปฎิบัติทุกคน
    เหินห่างไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เพราะผู้ปฎิบัติยังไม่มีความเข้าใจ
    และคอยจะแวะข้างทางอยู่เรื่อยๆ บางท่านเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย
    เพราะพวกเราทำอะไรแล้วต้องได้ ก็เลยเคยตัว
    อย่าลืมนะว่า การที่ทุกท่านมาปฎิบัติธรรมกันเพื่ออะไร ถามตนเองให้ดี
    เพื่อความหลุดพ้น หรือปล่อยวางกันใช่ไหม?
    มิใช่ปฎิบัติเพื่อมาเอาฤทธิ์เดช หรืออยากได้จิตอรหันต์
    พอแร๊ะๆ ผมเริ่มออกทะเลเหมือนครูเพ็ญเลย
    พอเข้าใจนะ

    แต่ขอเตือนการปฎิบัติจิตเกาะพระ ผู้ปฎิบัติทุกท่านจำเป็นจะต้องรักษาศีล5
    ให้ได้เสียก่อน เพราะศีลเปรียบเสมือนเสาเข็ม หรือรากฐาน
    คำว่า ศีล5 หรือศีลหยาบ เราจะเน้นแค่คำว่า เจตนา หรือตั้งใจเท่านั้นพอ
    (หยาบๆจริงๆ อิอิ)

    กระจ่างหรือยังครับ?
    แฮ๊กๆๆ

    เดี๋ยวผมจะลงบทความว่า "จิตเกาะพระ ทำไม?ต้องมีครูผู้สอนด้วย
    ทำเองไม่ได้หรือ"

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 สิงหาคม 2012
  18. chalesa

    chalesa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +135
    สติ แปลว่า นึกได้ สัมปชัญญะ รู้ตัว รู้ตัวว่าเรานึก เราคิด ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งใจสอนหรือเปล่า สิ่งที่พระองค์ตั้งใจสอนก็คือ

    ๑. ให้รู้ว่าโลกนี้เป็น อนิจจัง คำว่า อนิจจัง มันไม่เที่ยง
    ๒. ในเมื่อมันไม่เที่ยง เรายึดถือว่ามันเที่ยง ในเมื่อมันไม่เที่ยง ไม่ทรงตัวตามที่เราต้องการเราก็ เป็นทุกข์
    ๓. โลกเป็น อนัตตา คือ สลายตัวในที่สุด

    คำว่า โลก ไม่ได้หมายถึงแผ่นดินอย่างเดียว คนก็ดี สัตว์ก็ดี ก็ถือว่าโลกเหมือนกัน เพราะ อยู่ในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการคือ ให้ดูร่างกายของเราเองว่า ร่างกายของเรานี้เป็น อนิจจัง มันไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนเดินไปหาความแก่ในท่ามกลาง ในที่สุดสลายตัวก็คือตาย พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ทุกคนจงนึกถึงความตายไว้ จงอย่าคิดว่า ความตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้มีความรู้สึกว่า ความตายอาจจะมาถึงเราวันนี้ไว้เสมอ จะได้มีความไม่ประมาทในชีวิต นี่คือความมุ่งหมายในการเจริญกรรมฐาน

    โดย พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    วันนี้คันไม้คันมือ อยากมาแจมด้วย เลยเอาบทความดี ๆ มาฝากค่ะ
     
  19. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    นี่ค่ะคุณภู ลินดาเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมสำหรับ ดม อม และทา ในคราวเดียว ด้วยความเป็นห่วง อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p.jpg
      p.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • ppp.jpg
      ppp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      46
    • pp.jpg
      pp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      47
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ครูเพ็ญๆ หนูไม่ยอมๆ
    "มีทั้งดม อม และทาในหลอดเดียว"
    ดูคุณลินดาเขาแซวหนู
    ตกลงคุณลินดามาช่วย หรือช่วยซ้ำกันแน่ ฮ่าๆ
    แฮ๊กๆๆ และก็แอ๊ก
    ดูดิ่! ยาดมมาทั้งคันรถเลย

    กระทู้นี้ เป็นกระทู้ am/pm จริงๆ หรือกระทู้7/24
    คุณลินดาเราใกล้มืดแล้ว เมืองไทยก็เริ่มสว่างกันอีกแล้ว
    เดี๋ยวรอครูเพ็ญมาโม้ต่อดีก่า..
     

แชร์หน้านี้

Loading...