ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    เคยฟังเทศน์ว่าพระนางสิริมหามายา ขอเป็นพระมารดาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์หลังจากที่พระพุทธเจ้าโคดม เทศน์โปรดที่สวรรค์ พระนางบรรลุโสดาบัน
    พระเจ้าจักรพรรดิ ในการกำเนิดครั้งนี้จะมีพระมารดาเป็นใคร
     
  2. สิงห์สมุทร

    สิงห์สมุทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +182
    แผ่นดินไทยจะไม่ประสบอุบัติภัยร้ายแรงอีก..เพราะบารมีแม่หลวงของปวงชนชาวไทย..
    โดยในปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ความว่า"มือของแม่นั้น คือ มือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลาอยากให้เป็นงานดีที่งามเงาอยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ"<O:p</O:p

    คำขวัญวันแม่ประจำปีต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

    <V:p</V:pคำขวัญวันแม่ ประจำปี 2544

    "พระองค์แรกผู้แสนดีให้ชีวิต ครูคนแรกผู้ประสิทธิ์การศึกษา สองหัตถ์โอบนคราพาร่มเย็น รวมคุณค่านี้ได้แก่แม่เราเอง"

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1026 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2545

    "แม่คือพระประจำอยู่ในบ้าน บูชาท่านไว้เถิดเกิดมิ่งขวัญ พระคุณแม่เลิศล้ำเกินรำพัน แม่จึงเป็นคนสำคัญทุกวันไป"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1028 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2546

    "สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันแม่ มิใช่แค่วันใดให้นึกถึงสม่ำเสมอสมัครจิตคิดคำนึง เหมือนแม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1029 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2547

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า "แม่คือผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด นอกจากความรักความเข้าใจจากลูก"

    พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า "แม่ไม่อาจอยู่กับลูกได้ชั่วชีวิต ควรสอนให้เขารู้จักคิดและเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1030 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2548

    "ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้า เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ ทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1031 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2549

    "รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลือง รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์ ใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1032 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2550 "ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณ คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1033 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2551

    "เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่น หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน จักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1034 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2552

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2552 ความว่า

    "แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้าง เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ ขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1035 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2553

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

    "แผ่นดินนี้แม่ของลูกใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าวที่เดินซ้ำย่ำหว่านไถ บำรุงดินจนอุดมสมดังใจ หวังนาไทยเป็นของไทยไปนิรันดร์"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1036 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2554

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2554 ความว่า

    "เพลงชาติไทยเตือนไทยไว้เช้าค่ำ ให้จดจำจารึกใจไว้ทุกส่วน จะดำรงคงไทยได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี"

    <v:shape style="WIDTH: 22.5pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1027 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\DELL\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/47_68129_3e1fe36d0c4f645.gif"></v:imagedata></v:shape>คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2555
    <O:p</O:p
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ความว่า
    <O:p</O:p
    "มือของแม่นั้น คือ มือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลาอยากให้เป็นงานดีที่งามเงาอยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ"<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2012
  3. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    8 ส.ค. 55 ในกำมือ

    ดูท่าจะคิดเลอะเทอะกันไปใหญ่

    นอกจากใบไม้ในกำมือซึ่งหมายถึงความรู้แล้ว ในป่าใหญ่ที่มีใบไม้อีกจำนวนมากซึ่งหมายถึงความรู้ที่ท่านยังไม่รู้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก

    มหาประชาบดี
     
  4. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642

    ครับผม...เรื่องนี้ก็เช่นกันที่ผมห่วงมาก คนไม่ดีเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ในขณะที่เราเองก็นั่งมองเฉย ๆ รอให้เขามาทำร้าย หรือถูกกลบเกลื่อน แปลงสารด้วยอะไรบางอย่าง ? ในสังคมไทยทุกวันนี้มีบางอย่างที่ผมห่วงมาก ๆ ครับ
     
  5. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    สุนัขเป็นสัตว์เดรฉาน บางตัวเจ้าของเลี้ยงด้วยเศษข้าวเหลือกิน ยังมีความจงรักภักดีปกป้องเจ้าของจากโจรจนตัวตาย แต่คนหลายคนเนรคุณ แผ่นดิน ผู้มีคุณทรงคุณธรรม ไม่อายหมาบางหรือไง
     
  6. numphol aryupha

    numphol aryupha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,156
    ถูกต้องคร้าบ เมื่อก่อนสุนัขข้างบ้านเห่าตลอด พอเอาเศษอาหารไห้มัน2-3วันมันเดินตามต้อยๆ คอยรับคอยส่งเวลาจะออกนอกบ้าน เหมือนนัการเมืองประเทศสารขันธ์ ใช้เงินซื้อพวกสส.เข้ามาเป็นพวก แล้วคอยปกป้องเจ้านายอย่างหน้ามืดตาบอด ไม่รู้ผิดรู้ถูก ไม่รู้ขาวหรือดำ ไม่รู้บุญคุณประเทศชาติ ไม่รู้สำนึกบุญคุณพ่อหลวง ที่ท่านตรากตรำ ทรงพระกรณีกิจช่วยพสกนิกรมาตลอดชีวิต โครงการพระราชดำริมีเป็นร้อยเป็นพันโครงการ มากกว่ารัฐบาลทุกสมัยรวมกันเสียอีก โดยเฉพาะชาวเหนือ อีสาน ท่านทรงดำเนินไปในสมรภูมิที่กำลังมีการสู้รบกันกับคอมมิวนิสต์ เปรียบกับผู้นำยุคนี้กล้าไปไหมภาคใต้
     
  7. 9อมตะ9

    9อมตะ9 อมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +1,288
    ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม...ดูจิตของเราให้สะอาดก็พอครับ....อย่าเอากรรมของเขามาใส่จิตเรา:cool:
     
  8. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ต้องทำใจยอมรับสภาพของกลียุค ที่คนส่วนใหญ่จะใจบอดตาบอด จะเห็นดีเป็นร้าย เห็นดำเป็นขาว เห็นสว่างเป็นมืด เรียกว่าอวิชชากำลังครองโลกยุคนี้

    [​IMG]

    เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ยุคของความกาลีอะไรนี่ มันมีเวลาของมันจำกัด พอหมดยุค พวกสาวกจะพากันร่วงลงนรกสู่ไฟชำระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ในหลวง-พระราชินี” พระราชทานบ้าน-ทุนการศึกษาช่วยเด็กหญิงวัย 14 เมืองลับแล </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>9 สิงหาคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>




    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>

    <?xml:namespace prefix = fb ns = "http://ogp.me/ns/fb#" /><fb:like class=" fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" show_faces="false" width="450" send="true" href="=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000097723">Local - Manager Online - “ในหลวง-พระราชินี” พระราชทานบ้าน-ทุนการศึกษาช่วยเด็กหญิงวัย 14 เมืองลับแล</fb:like>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom background=/images/linedot_hori.gif align=center>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=middle background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=center>[​IMG]</TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=middle background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=center>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=center>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=center><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=center>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=middle width=165 align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>อุตรดิตถ์ - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานบ้านให้เด็กหญิงวัย 14 ปีเรียนดีแต่ยากจน พ่อพิการ-แม่ขายไก่ปิ้งเลี้ยงชีพ เจ้าตัว ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เทิดทูนล้นเกล้าฯ เหนือหัว ขอเป็นคนดีของสังคม ตั้งใจเรียน และเป็นพลเมืองดีของชาติต่อไป

    รายงานข่าวจากจังหวัดอุตรดิตถ์แจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานความช่วยเหลือแก่ครอบครัว ด.ญ.ปรารถนา แสงทอง อายุ 14 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3 โรงเรียนอนุบาลชุมชนหัวดง ต.แม่พูล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์

    ซึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือ ได้รับพระราชทานความช่วยเหลือเงินทุนสนับสนุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และทุนการศึกษาแก่ ด.ญ.ปรารถนา ซึ่งมีผลการเรียนอยู่ในระดับดีมากนั้น

    ล่าสุด พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีรับพระราชทานความช่วยเหลือแล้ว

    ด.ญ.ปรารถนากล่าวว่า เมื่อปี 2552 ได้ยื่นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    และ 2 เดือนต่อมาก็ได้รับหนังสือจากสำนักพระราชวังว่า ทั้งสองพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานความช่วยเหลือ บ้านพระราชทานและทุนการศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี

    ขณะที่เทศบาลตำบลหัวดง อ.ลับแล ก็เข้ามาดำเนินการสร้างบ้านพระราชทานแก่ครอบครัว

    “รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพระราชทานความช่วยเหลือแก่ครอบครัว ทั้งสองพระองค์เปรียบเสมือนพ่อแม่ของหนู

    ต่อไปหนู และครอบครัวทุกคนจะทำแต่ความดี จะเป็นคนดีของสังคม จะตั้งใจเรียนหนังสือ จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ

    เพื่อการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” ด.ญ.ปรารถนากล่าว

    สำหรับครอบครัวของ ด.ญ.ปรารถนา มีทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วยพ่อ คือ นายเปี่ยม แสงทอง อายุ 47 ปี พิการขาตั้งแต่กำเนิด ทำงานเป็นช่างซ่อมไดนาโม มีรายได้วันละ 250 บาท ได้รับเบี้ยคนพิการจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) น้ำไคร้ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ เดือนละ 500 บาท

    และแม่ชื่อนางนงคราญ แสงทอง อายุ 41 ปี อาชีพปิ้งไก่ขายอยู่ที่ตลาดเทศบาลตำบลหัวดง มีรายได้วันละ 150 บาท น.ส.เปรมฤดี แสงทอง อายุ 16 ปี ศึกษาระดับ ปวช.ปี 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ พี่สาว

    และน้องสาวชื่อ ด.ญ.มรกต แสงทอง อายุ 7 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.2 โรงเรียนอนุบาลชุมชนหัวดง

    เดิมครอบครัวนี้อยู่ที่ ต.น้ำไคร้ อ.น้ำปาด และได้อพยพมาเช่าบ้านเลขที่ 84/18 หมู่ที่ 2 ต.แม่พูล อ.ลับแล ค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท แต่ครอบครัวประสบภาวะยากจน มีรายได้น้อย และไม่แน่นอน

    นายเทพมนูญ แกล้วกสิกรรม ผอ.โรงเรียนอนุบาลชุมชนหัวดง จึงอนุญาตให้ครอบครัว ด.ญ.ปรารถนาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูหลังเก่า

    และหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานความช่วยเหลือ เทศบาลตำบลหัวดงก็จัดหาที่ราชพัสดุจำนวน 37 ตารางวา

    ก่อสร้างบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดกว้าง 5.50 เมตร ยาว 6 เมตร มีระบบน้ำประปา และไฟฟ้าให้พร้อม


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>เรื่องดีๆ บนแผ่นดินไทย ด้วยพระบารมีล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. ิิbetarird

    ิิbetarird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +161
    คนเราเกิดมามีไม่เท่ากัน บางคนก็เสวยบุญ บางคนก็เสวยกรรม เอาตัวเราให้รอด อย่าไปดูบุญดูกรรมคนอื่น เขาจะดีไม่ดีเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว แค่ตัวเรา บางวันยังดีมั่งไม่ดีมั่งเลย

    ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราแก่ลงทุกวัน เวลาเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบสร้างกำลังเพื่อจะเคลื่อนภพภูมิ จะออกจากทุกข์ จะสร้างบารมี จะช่วยเหลือพระศาสนา ก็แล้วแต่คำอธิษฐาน ปฏิบัติมาทั้งหมด ก็เพื่อจะเตรียมตัวไป สร้างกำลังของเราเอง ต้องรีบทำ

    ให้เตรียมตัวตาย ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ระลึกนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ได้ก็จบ ง่าย แต่ทำยาก อยู่ที่จะนึกออกไหม

    "หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร)
    วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่"
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>ทำไมคนที่ทำชั่วทำเลวในปัจจุบันนี้จึงได้ดิบได้ดีกันมากนัก ?</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    โอวาทจากดวงพระวิญญาณบริสุทธิ์สมเด็จโต
    พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่
    ประจำวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔

    ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี ?

    คุณขีด : กระผมอยากทราบเรื่องกฎแห่งกรรมเพราะเป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญและบาปก็เพราะไม่รู้จักกฎแห่งกรรม บางคนไม่เชื่อว่าบุญมีจริงบาปมีจริง แล้วบางทีทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่ทราบชัดในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดสักหน่อยครับว่ามีกฎอันแท้จริงอย่างไร

    สมเด็จโต : กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างในอดีตภพย่อมนำมาสู่ท่านในปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมไปเพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เพราะมนุษย์ผู้นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย

    ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลงดิน พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอของพืชพันธุ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ ยกตัวอย่าง ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติว่าเมื่อสองปีก่อนท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วท่านหนีไปอยู่ที่หนองคาย (เปรียบเหมือนท่านฆ่าคนตายในภพก่อนแล้วมาเกิดใหม่ในภพนี้) เรียกว่าท่านเกิดภพนี้ทั้งที่เป็นคนเดิมคือจิตวิญญาณเดิมจากภพก่อน แต่มาอยู่ภพนี้หรือเมืองนี้

    ในขณะที่ท่านหนีจากกรุงเทพฯ (ภพก่อน) ไปอยู่หนองคาย (ภพนี้) เกิดสำนึกผิดขึ้นมา จึงถือศีลทำบุญให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่หนองคาย ชาวบ้านที่หนองคายก็ยกย่องสรรเสริญว่าท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างไว้คือฆ่าคนตายที่กรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น ชาวบ้านที่หนองคายไม่รู้กับท่านด้วย และตำรวจ (กรรม) นั้นก็กำลังตามหาท่านอยู่ เปรียบเสมือนการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น

    แม้ว่าท่านกำลังถือศีลถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ หรือแม้ว่าบางคนมาบวชเป็นพระเพื่อหนีคุกหนีตารางก็ตามที เมื่อตำรวจสืบพบเจอตัวท่าน แม้จะอยู่ที่วัดถือศีลหรือบวชเป็นพระอยู่ ตำรวจก็จับท่านทันทีเพื่อไปลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง คนที่หนองคายแถวที่ท่านอยู่ย่อมไม่พอใจ หรือด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถือศีลในอุโบสถอยู่

    ก็เหมือนกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาทันท่านตอนที่ท่านกำลังทำดี ทำให้ท่านคิดว่าทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี กลับพบเจอและได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจลืมกรรมที่ท่านทำไว้ในภพชาติก่อนแล้ว เพราะมันผ่านมานานแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาจนจำไม่ได้ว่าทำกรรมไม่ดีอะไรไปบ้าง จึงทำให้คิดว่าภพนี้ชาตินี้ทำแต่ความดี แล้วทำไมไม่ได้ดี

    คล้ายกันกับคนทำชั่วหรือทำไม่ดีในปัจจุบัน แต่กลับได้ดิบได้ดี เพราะภพชาติก่อนเขาเคยทำดีไว้ แล้วกรรมดีนี้ตามมาทันและส่งผลให้เขาได้ดิบได้ดี แม้ในขณะปัจจุบันเขากำลังทำกรรมไม่ดีอยู่ก็ตามที เพราะเป็นกรรมคนละส่วนกับกรรมเก่าที่เขาทำดีในภพชาติก่อน

    ส่วนกรรมใหม่ที่เขาทำไม่ดีในขณะนี้ยังไม่ส่งผล ต้องรอให้ผลในกาลต่อไป เปรียบเหมือนเราเพิ่งปลูกข้าวดำนาเสร็จ จะให้กล้าในนาออกดอกออกรวงข้าวในวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยย่อมเป็นไม่ได้ จะต้องรอเดือนรอเวลาจนกว่าต้นกล้าจะครบกำหนดที่จะออกรวงให้ผลิตผลเป็นเมล็ดข้าว จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กฎแห่งกรรมก็เช่นเดียวกันกับกฎธรรมชาติ

    เช่น การปลูกพืชปลูกต้นไม้ชนิดต่างกัน ย่อมต้องจะรอการออกดอกออกผลเป็นเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ ที่จะใช้เวลาไม่เท่ากันนานเป็นเดือนหรือนานเป็นปีจึงจะให้ผล เช่น ปลูกพริกย่อมให้ผลิตผลเร็วกว่าปลูกมะม่วง ปลูกข้าวย่อมให้ผลเร็วกว่าปลูกมะพร้าว เป็นต้น เช่นเดียวกันกับผลของกรรมแต่ละชนิด กรรมหนักกรรมเบา มีเจตนาหรือไม่เจตนา เป็นต้น จึงให้ผลกรรมหนักเบาต่างกันต่างเวลาตามเหตุปัจจัย

    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีไว้ในปัจจุบันนี้ กรรมนั้นอาจจะให้ท่านเสวยผลในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงกรรมกงเกวียนที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบันชาตินี้ เกิดมาเป็นร้อยๆ พันๆ ภพชาติเป็นกงกรรมกงเวียนที่ทับถมทั้งดีและชั่ว โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก

    ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านคิดตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็แยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่าเวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ เวลาไหนมีโทสจริต เวลาไหนมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้ว่า ท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพชาติแน่นอน

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13719
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    คุณอัญญาสิทธิ์เตือนภัยพิบัติ จะเริ่มมาในเดือน พ.ย-ธ.ค.55 !!!
    <TABLE class=tborder id=post6517068 style="BORDER-RIGHT: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-TOP: rgb(239,239,239) 1px solid; WORD-SPACING: 0px; FONT: 16px arial, verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; BORDER-LEFT: rgb(239,239,239) 1px solid; COLOR: rgb(0,0,0); TEXT-INDENT: 0px; BORDER-BOTTOM: rgb(239,239,239) 1px solid; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BORDER-LEFT: rgb(255,255,255) 1px solid; COLOR: rgb(0,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247)" width=175>Aunyasit
    สมาชิก

    [​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_6517068 style="BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239)">สำหรับท่านที่รอการลงทะเบียนเข้าพักที่พุทธสถานฯ ที่จะจัดขึ้นที่ กทม. ผมจะแจ้งให้ทราบเร็วๆนี้ครับ ช่วงนี้ยังพอมีเวลาที่จะเตรียมการเพื่อรับภัยพิบัติได้อีกระยะนึง 3-4 เดือน

    ในพื้นที่ส่วนด้านหน้าของพุทธสถานฯนั้น เมื่อย้ายองค์พระอินทร์ไปที่พระใหญ่แล้ว ก็สามารถใช้พื้นที่ด้านหน้าเป็นที่พักอาศัยของผู้หลบภัยได้ ซึ่งมีพื้นที่อยู่พอสมควรและสามารถรองรับญาติธรรมได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ครับ ตรงด้านหน้ามีสาธารณูปโภคครบถ้วน เพราะใช้งานอยู่เป็นปกติ แต่อาจจะต้องสร้างห้องน้ำห้องส้วมเพิ่มเติมครับ

    9-08-2012
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เฉพาะส...ช้พุทธสถานฯเป็นที่หลบภัยพิบัติ.343175/page-13
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ฝันเห็นดาวสีดำ ดูดกลืนแสงได้ !!!

    [​IMG]

    TIME Diver สมาชิก

    ไม่ผิดหรอกครับ มันคือสิ่งที่น่าจะต้องเกิดตั้งเเต่เดือนที่ผ่านมาเเล้ว แต่มีใครบางคนพยายามซื้อเวลาออกไปอีก ไม่รู้จะทำอย่างนี้ได้กันตลอดไปหรือเปล่า ผมฝันเห็นตั้งเเต่ต้นปี เเต่ฝันเเต่ละครั้งบอกเวลาไม่ได้เพราะ บางอันที่ฝันทีหลังดันเกิดก่อนเหตุการณ์ที่ฝันมานานเเล้ว ไอ้เราก็ไม่ได้ดูเวลาในฝันซะด้วย - - เเต่จำได้ว่าช่วงบ่ายๆนี่ล่ะ ผมเป็นคนไม่ค่อยฝันหลับลึกบ่อยนัก เเต่ทุกครั้งที่ฝัน ผมจะจดลงในสมุดจดของตัวเอง เพราะว่าส่วนใหญ่เหตุการณ์ใกล้เคียงกับที่ฝัน (ช่วงนั้นพึ่งเปิดจักระทำให้เห็นหลายๆสิ่ง อันไม่พึงประสงค์) ทีผมเห็นมันเป็นดาวสีดำสนิทเลยนะครับ ตรงขอบๆมันมีสีม่วงปนอยู่ สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ทุกคน(ในฝันนะอย่าคิดมาก)

    สรุปคร่าวๆที่ฝันเห็น:-

    1.ดวงอาทิตย์สองดวง
    2.โลกมืดครื้มฝนแต่ฝนไม่ตก
    3.ดาวสีดำปรากฎทางทิศตะวันออกในตอนเช้า (ลักษณะก็คล้ายๆกับ black hole) เเหละ ดูดเเสงไปหมด
    4.ufo บินไปทั่วทั้งท้องฟ้า

    ผมฝันถึงเท่านี้หละ ที่เหลือเป็นเหตุการณ์เชื่อมโยง ที่ทำให้ผมเชื่อว่ามันน่าจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เหลือเป็นพวกเหตุการณ์ปกติ ก่อนเกิดเหตุการณ์หลักๆ พูดง่ายๆคือเป็นเหตุการณ์ในชีวิตปกติก่อนเห็นพระอาทิตย์สองดวง ซึ่งไม่น่าสำคัญพอจะเล่าเพราะมันคงน่าเบื่อ

    14-11-2011, 08:39 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87.292972/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • black-holes.jpg
      black-holes.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.3 KB
      เปิดดู:
      866
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  14. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    ผมมองท้องฟ้าทุกวันๆละหลายๆรอบจนคนที่เดินผ่านไปมาสงสัยว่าคนนี้มันเพี้ยนหรือไม่ ผมก็ตอบกลับไปว่าผมมองการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆเหมือนกับการจัดทัพรบในสมัยโบราณที่โหรเวลาจะคำนวณฤกษ์ผานาทีก็จะแหงนดูท้องฟ้าทีนึงแล้วก็ก้มหน้าก้มตาขีดๆเขียนๆบนกระดานชนวน มายุคปัจจุบันการมองท้องฟ้าบางครั้งก็เป็นการผ่อนคลายได้อย่างหนึ่ง^_^
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    โลกยังไม่แตก แต่จงระวังอย่าให้สติแตก !!!

    [​IMG]

    tossapornk สมาชิก

    ไม่มีใครปฏิเสธ ว่าภัยธรรมชาติมันเกิดแรงมากจากอดีตเมื่อ 10 - 20 ปีก่อน เราอาจจะต้องเจอที่มันแรงขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ แต่คงไม่โลกแตกแน่นอน เพียงแต่ว่าเราอาจจะต้องย้ายถิ่นฐานกัน หากมันรุนแรงจนพื้นที่นั้นไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ความรุนแรงที่ค่อยเพิ่มขึ้นช้าๆ คงพอที่จะกระตุ้นให้เราสามารถเตรียมการอพยพกันได้ทัน

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะใช้เวลา 3 - 5 ปี หรือยาวนานกว่านั้น เราจะมีความอดทนที่อยู่กันได้หรือเปล่า ไม่แน่นัก เชื่อว่าหลายคนคงสติแตกเป็นบ้ากันมากพอสมควร เพราะจากเคยมีกินมีใช้สุขสบาย แต่กับกลายมาเป็นคนไม่มีแม้แต่อาหารจะกิน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งต้องอพยพไปเรื่อยๆ มันคงโหดร้ายพิลึก

    ครูบาอาจารย์หลายท่านก็เคยบอก คนปกติดีๆตอนนี้ พอถึงตอนนั้นก็เสียสติกันเยอะมาก หากกำลังใจไม่แข็งแกร่งจริงๆ

    คงไม่ง่ายที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ หลังภัยธรรมชาติที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ประเทศมหาอำนาจจะทำการปล้นสดมภ์ประเทศที่มีแหล่งอาหาร ทั้งอเมริกา จีนแดง รัสเซีย ประเทศทางยุโรป จนเกิดการปะทะกันเองเป็นสงครามย่อมๆทั่วโลก ประเทศเราก็คงไม่พ้นการถูกปล้นอาหารจากประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นมันจึงโหดสุดๆ จนผู้คนเสียสติกันเยอะมาก

    ผมเชื่อว่าหลายคนอยากจะบรรลุธรรมไปนิพพานกันเร็วๆ เพื่อที่จะถอดจิตออกไปก่อนที่จะถึงเวลานั้น แต่มันไม่ใช่จะไปกันได้ง่ายๆ เพราะพวกเรามีกรรมติดตัวกันมาจากอดีตชาติกันทั้งนั้น แต่การเตรียมตัวตายไว้แต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้บ้าง เพราะเมื่อถึงเวลาต้องตายจริง จะได้มีสติระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนทีจิตจะดับ มรณานุสสติ พุทธานุสสติ เจริญภาวนากันให้มากๆ ดีกว่าไปนึกถึงภาพในอนาคตครับ

    10-08-2012, 08:31 AM

    ที่มhttp://palungjit.org/threads/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B9%8A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-4-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2.353318/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ต่อไปชุมชนเมืองจะอยู่อาศัยไม่ได้ ไม่ปลอดภัย !!!

    [​IMG]
    ภาพการเกิดจลาจลในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

    ฤษีแปลงสาร สมาชิก

    ชุมชนเมืองจะอยู่อาศัยไม่ได้ ไม่ปลอดภัย คนจนในเมืองกลายเป็นอาชญากรรม คนรวยมีเงินมากมายแต่ไร้ค่า ไม่มีใครยอมขายอาหารให้ ต้องหลบซ่อนตัวในที่พัก ปกป้องทรัพย์สินของตน ชุมชนชนบท ไม่มีข้าวกินเพราะขายข้าวไปหมดแล้ว ได้เงินมาก็ใช้หมดแล้ว ลงทุนเพาะปลูกไปแล้ว ยังไม่ได้ดอกผล อาหารจะรวมกันที่โรงสี และศูนย์อาหารในเมือง การกระจายอาหารที่ไม่ดี ทำให้คนจนก่ออาชญากรรม คนรวยถูกฆ่าง่ายๆ คนดีไม่มีข้าวกิน แม้นแต่น้ำก็ขาดแคลน

    กลยุทธ์การกัน, แก้ และก้าว ในคราวเดียว
    (ก่อนเกิดกันได้, หากเกิดเหตุแก้ได้, ไม่เกิดก็ก้าวหน้าได้)

    ประกาศโครงการ "ชุมชนพอเพียงเพื่ออนาคต" โดยรณรงค์ว่า จะให้ชนบทเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้เข้าชุมชนโดยตรง ตามโครงการพัฒนาชุมชน เป็นการปิดข่าวสงคราม คนไม่แตกตื่น และการทำแบบนี้คือการเตรียมตัวรับสถานการณ์อย่างแนบเนียน ชุมชนชนบทจะมีเต้นท์สำรอง, น้ำสำรอง, อาหารสำรอง, ที่พักเครื่องกันหนาวสำรอง โดยบอกว่าเตรียมไว้เพื่อรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งจะทำเงินให้ประเทศ แต่แท้จริงแล้ว เตรียมไว้ช่วยคนเมือง ที่จะหนีภัยสงคราม และซึนามิที่ท่วมเกือบครึ่งประเทศมา เมื่อคนจากเมืองไร้บ้านมาสามารถเปิดบ้านต้อนรับได้ทันที

    เตรียมสังคมเมตตาธรรม โดยการรณรงค์การต้อนรับประทับใจ โดยการให้ไปฝึกความเมตตา, พรหมวิหารสี่ โดยมีศูนย์กลางการฝึกที่วัด มีบุคลากรอาสาสมัครไปสอนงาน เช่น การเตรียมตัวป้องกันและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ได้รับภัย สร้างมาตรฐานความปลอดภัย เป็นต้น ฝึกซ้อมแบบนี้สามารถช่วยคนที่ตกยากมาได้ทันที แต่บอกว่าเป็นการฝึกการบริการที่ดี เพื่อเตรียมเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เราจะปิดไม่ให้เขารู้ตัวว่าเป็นการเตรียมตัวช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเมื่อยามสงครามและน้ำภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ฟื้นฟูวัฒนธรรมควาเมตตาอารีที่ถูกขายไปนาน ให้กลับมาสู่แดนดินไทย

    เตรียมศูนย์กลางชุมชน ได้แก่ ศูนย์กลางเสบียง ซึ่งมียุ้งฉางกลาง เก็บเมล็ดพันธุ์พืช ต่างๆ ทั้งที่กินได้ทันที เช่น พวกถั่ว พวกที่ต้องนำไปเพาะแต่โตเร็ว เช่น ผัก และเมล็ดพันธุ์ข้าว ให้สามารถช่วยเหลือคนทั้งหมู่บ้านได้ นอกจากนี้ยังมีศูนย์กลางปฐมพยาบาล และศูนย์เก็บสมุนไพรประจำตำบล ที่สามารถรองรับการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีและทั่วถึง ทั้งยังเตรียมบุคคลากรไว้ให้พร้อมด้วย ส่วนศูนย์กลางการสื่อสารนั้นก็จำเป็นเช่นกัน เพื่อประกาศข่าวต่างๆ ให้ความรู้ได้ทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้าย ประชาชนจะรู้ได้ว่าควรทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ศูนย์กลางข่าวสารนี้ ควรคำนึงถึงเวลาขาดไฟฟ้าด้วย

    เตรียมแหล่งน้ำจำนวนมาก ควรพิจารณาแหล่งน้ำสำรองจากใต้ดิน บ่อน้ำบาดาลควรมีจำนวนมาก เพราะจะปลอดภัยจากฝุ่นกำมันตรังสีและอาวุธเชื้อโรคที่อาจแพร่มาทางแม่น้ำโขง ดังนี้ จึงควรรณรงค์ให้แต่ละหย่อมมีบ่อน้ำบาดาลใช้ร่วมกัน กระจายอย่างทั่วถึง น้ำเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเขตอีสาน หากน้ำทะเลท่วมหนุน น้ำใต้ดินมีเกลือมาก จะขุดกินน้ำบาดาลไม่ได้ แม่น้ำโขงก็มีอาวุธเชื้อโรคแพร่ระบาด แต่เราต้องไม่บอกประชาชนตรงๆ บอกว่าฟื้นฟูวัฒนธรรม บอกว่ารสนิยมฝรั่งเขาชอบมาดูแบบนี้ เป็นเอกลักษณ์ที่ประเทศอื่นไม่มี เราจะทำให้เป็นจุดขาย และใช้กินได้ทันทีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้งหรือหน้าในก็ตาม โดยเราจะสอนการกรองน้ำ, ต้มน้ำ และช่วยกันทำเครื่องกรองแจกให้ทั่ว

    การลงทุนสร้างที่พักอาศัยใหม่จะใช้เวลานาน และไม่ทันการณ์ ต้องใช้ชุมชนเดิมเป็นรากฐาน โดยต้องอาศัยอาสาสมัครทำงานนี้ ให้ครอบคลุมทั่วไทย กระจายทั้งด้านยุทโธปกรณ์, บุคลากร ฯลฯ ซึ่งต้องลาออกจากงานมาทำงานรับใช้ชาติเต็มตัว งานนี้จึงจะสำเร็จได้ (เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณฤษี แปลงสาร เท่านั้นนะครับ) หาไม่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดลงมือช่วยเหลือ สังคมไทยถูกทอดทิ้ง คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตายไม่รู้ตัว คนที่รู้มากเห็นแก่ตัวก็ถูกอาชญากรปล้นฆ่าตาย บ้านเมืองไหน ไม่เตรียมสังคมพุทธไว้ บ้านเมืองนั้นเป็นอันต้องล่มสลายสิ้นชาติ

    กลยุทธนี้เดินหมากเกมเดียว ใช้ได้ทั้ง กัน, แก้ และก้าว รับศึกได้ทุกแบบ ทุกทิศ ทุกสถานการณ์ มีสมดุลในตัว เติบโตได้ ยืดหยุ่นได้ พลิกแพลงต่อได้ และเหมาะสมสอดคล้องกับรากฐานความเป็นไทย ทุกประการ ซึ่งหากไม่เกิดอะไรขึ้น ชุมชนไทยจะเข้มแข็งเป็นชุมชนพึ่งพาตนเองได้ทันที พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ในอนาคตอย่างพอเพียงอีกด้วย วัฒนธรรมก็ถูกฟื้นฟู ความสามัคคีของคนในชาติก็กลับคืนมา แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นมา จะเป็นแหล่งพึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกันได้ยามวิกฤติ

    ฤษีแปลงสาร
    02-01-2007, 02:10 PM

    ภัยใดไม่เท่าภัยจากมนุษย์ด้วยกัน ขาดน้ำและอาหารอยู่ได้หลายวัน ขาดอากาศหายใจอยู่ได้ไม่เกินสี่นาที แต่มนุษย์ด้วยกันนี้ฆ่ากันได้ในพริบตาเดียว ขอให้คนดีช่วยเหลือกัน เราเสียสละส่วนตน สองสามปี สร้างชาติใหม่ ไทยพุทธจะครองโลก สามัคคี, เมตตาธรรม, ขันติ, อุเบกขา และปัญญา จะทำให้รอดพ้นภัยพิบัติสู่ยุค "ศรีวิไล" แฮ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สื่อสารความเสี่ยง-ข้อเท็จจริงภัยพิบัติ
    บทเรียนจาก“แคทรินา”ถึงไทย

    [​IMG]

    วิกฤตอุทกภัยปี 2554 เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะอยู่ในความทรงจำของคนไทยไปอีกนานแสนนาน เพราะนอกเหนือจากความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิตประชาชน ทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง เทือกสวนไร่นา จนถึงนิคมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ในอยุธยาและปทุมธานี ล้วนต้านรับมวลน้ำก้อนมหึมาที่เชี่ยวกรากไม่ได้ ได้รับความเสียหายอย่างถ้วนทั่ว

    มองฝ่าความเสียหายยับเยินของประเทศเพื่อหาต้นรากของความผิดพลาด ใครจะเชื่อว่า ไทยในฐานะประตูสู่อาเซียน ซึ่งมีสาธารณูปโภคพื้นฐานและระบบการสื่อสารที่ดี มีระบบเตือนภัยและศูนย์พยากรณ์ดิน ฟ้า อากาศ ไม่น้อยหน้าใคร กลับตกม้าตายเพราะการจัดการน้ำผิดพลาด และพอปัญหาบานปลายก็ไม่สื่อสารข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ประชาชนรับรู้

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ต้องการปกปิดหรือหวังดีไม่อยากให้เกิดความแตกตื่นอลหม่าน แต่ที่สุดแล้ว อุทกภัย 2554 คือ บทเรียนราคาแพงอีกครั้งหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะบทเรียนด้านการสื่อสารความเสี่ยงในภาวะวิกฤต

    อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพว่า การสื่อสารซ้ำเติมวิกฤติครั้งนี้ให้รุนแรงกว่าที่ควรเป็นอย่างไร ไทยพับลิก้าขอหยิบยกบทเรียนมหันตภัยทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มาทบทวนความทรงจำและเปรียบเทียบภัยพิบัติที่ประเทศไทยเผชิญหน้าอยู่

    ถอดบทเรียน “แคทรีนา”

    วันที่ 23 สิงหาคม ปี 2548 พายุโซนร้อน “แคทรีนา” ก่อขึ้นกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแนสซอ เมืองหลวงของบาฮามาราว 280 กิโลเมตร แล้วค่อย ๆ สะสมพลังเป็นเฮอริเคนที่พัดเข้าสู่ฝั่งครั้งแรกที่มลรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมซึ่งในช่วงเวลานั้น แคทรีน่ามีความรุนแรงเพียงระดับ 1 เท่านั้น

    เหนือความคาดหมาย แคทรีนาได้เคลื่อนตัวลงสู่อ่าวเม็กซิโกสะสมพลังรอบใหม่จนทวีความรุนแรงเป็นเฮอริเคนระดับ 5 ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนจะขึ้นฝั่งที่มลรัฐลุยเซียนาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม โดยมีความรุนแรงระดับ 4 ขณะเคลื่อนตัวผ่านเมืองนิวออร์ลีนส์ไปทางตะวันออก ผ่านมิสซิสซิปปี เทนเนสซี และต่อเนื่องไปทางเหนือถึงแคนาดา

    แคทรีนาถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ กินบริเวณกว้าง 92,000 ตารางไมล์ ทำลายทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างและสาธารณูปโภคต่างๆ ของเมืองขนาดใหญ่อย่างนิว ออร์ลีนส์ไปเกือบทั้งหมด สูญเสียชีวิตประชาชนไปมากกว่า 1,800 คนและทำให้ชาวอเมริกันหลายหมื่นครัวเรือนไร้ที่อยู่อาศัยและปราศจากอาหารและสิ่งประทังชีวิตขั้นพื้นฐานเป็นเวลานาน

    วิเคราะห์ในเชิงวิกฤตการณ์ ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงนี้มีสาเหตุมาจาก 2 ส่วน โดยส่วนแรกมาจากพลังทำลายล้างของแคทรินา เฮอริเคนระดับ 4-5 ขณะพัดถล่มฝั่ง สาเหตุส่วนที่สองที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกคือ การพังทลายของเขื่อนกั้นน้ำ ทำให้พื้นที่ต่างๆ กว่า 80% ของนิว ออร์ลีนส์ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลจมอยู่ใต้น้ำนับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม โดยบางแห่งมีระดับน้ำสูงถึง 7 เมตร
    แม้คำสั่งอพยพของทางการได้ช่วยให้ประชาชนกว่า 1 ล้านคนรอดพ้นจากภัยพิบัติ แต่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังปักหลักอยู่ในบ้านเรือนของตัวเองต้องถูกตัดขาดเป็นเวลานานกว่าความช่วยเหลือจะเข้าไปถึง

    ความเสียหายทางกายภาพและชีวิตประชาชนนำไปสู่การสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งที่ดำเนินการโดยรัฐสภาอเมริกันและจากองค์กรต่างๆ อาทิ รายงานเรื่อง A Failure of Initiative : Final Report of the Select Bipartisan Committee to Investigate จัดทำโดยคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภาขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องการเตรียมความพร้อมและสนองตอบต่อภัยพิบัติดังกล่าวและรายงานเรื่อง The Federal Response to Hurricane Katrina: Lessons Learned จัดทำโดยฟราน ทาวน์เซนด์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลบู บุช จูเนียร์และรายงานพิเศษรื่อง Hurricane Katrina: A Nation Still Unprepared จัดทำโดยคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกิจการรัฐบาล วุฒิสภาสหรัฐ

    ในแวดวงสถาบันการศึกษา กรณีภัยพิบัติที่นิว ออร์ลีนส์กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญในเรื่องการสื่อสารความเสี่ยงที่มีการตีพิมพ์และเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ดังปรากฎในบทความวิชาการเรื่อง Risk Communication Failure: A Case Study of New Orleans and Hurricane Katrina วิเคราะห์และเรียบเรียงโดยเทอร์รี ดับเบิลยู โคล ภาควิชาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยอัพพาเลเชียน สเตทและเคลลี แอล เฟลโลว์ส ภาควิชาการสื่อสารศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ธ คาโรไลนา วิลมิงตัน และบทความวิชาการเรื่อง Hurricane Katrina: Risk Communication in Response to a Natural Disaster วิเคราะห์และเรียบเรียงโดย วิลเลียม ไวติง ผู้ช่วยผู้อำนวยฝ่ายธุรกิจและมูลนิธิสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยอาร์คันซอว์

    ผลการศึกษาของฝ่ายภาครัฐสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบในการเตรียมความพร้อมและการสนองตอบต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนการแสวงหาทางออกในการรับมือกับวิกฤตที่ดีที่สุดของส่วนกลาง
    โดยเฉพาะในรายงานพิเศษของกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิฯ ให้ข้อสรุปว่า มีปัจจัยครอบคลุมและเชื่อมโยงกันอยู่ 4 ประการที่นำไปสู่ความล้มเหลวในกรณีของแคทรีนา ประกอบด้วย 1.การไม่ใส่ใจกับคำเตือนภัยในระยะยาว ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยหน้าที่ของตัวเองในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่มีการเตือนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว 2.เจ้าหน้าที่รัฐไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอหรือมีการตัดสินใจที่ไม่ดีในช่วงเวลาก่อนและหลังเฮอริเคนเข้าถล่มพื้นที่แล้ว 3.ระบบซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐนำมาใช้ในการสนับสนุนความพยายามในการรับมือกับภัยพิบัติล้มเหลว และ 4.เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับชั้นล้มเหลวที่จะแสดงภาวะผู้นำ

    อีก 2 ประเด็นสำคัญจากข้อสรุปของรายงานฉบับนี้ คือ ในช่วงเกิดภัยพิบัติ ซึ่งมีความรุนแรงเกินกว่าที่ทรัพยากรของท้องถิ่นและมลรัฐจะรับมือได้ จนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการและการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน บทบาทของรัฐบาลกลางมีความสำคัญมาก แต่จากรายงานของหลายฉบับพบว่า สำนักงานจัดการภาวะฉุกเฉินกลางแห่งสหรัฐ (Federal Emergency Management Agency : FEMA) ใช้เวลานานหลายวันกว่าจะนำทีมเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัย อาทิ ใช้เวลา 5 วันกว่าจะเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยเมืองเกรทนา รัฐหลุยเซียนา

    ประเด็นถัดมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลในทุกระดับชั้นไม่สามารถเข้าใจหรือประเมินอานุภาพทำลายล้างของพายุร้ายก่อนที่มันจะเข้าถล่ม ทั้งๆ ที่ได้รับคำแนะนำที่ดีและน่าเชื่อถือมากมายมาแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]
    เขื่อนกั้นน้ำที่เคยช่วยปกป้องพื้นที่ี่ี่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในเมืองนิว ออร์ลีนส์ ได้พังทะลาย เปิดช่องให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนซ้ำเตือนภัยพิบัตที่เลวร้ายอยู่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ที่มา : http://upload.wikimedia.org/

    จุดบอดสื่อสารความเสี่ยง ต้นรากหายนะนิวออร์ลีนส์

    บทเรียนอีกมิติหนึ่งจากกรณีแคทรีนาคือ ความล้มเหลวในการสื่อสารความเสี่ยงไปยังประชาชนในพื้นที่เป้าหมายก่อนที่แคทรีนาจะเกิด ในบทความวิชาการ Hurricane Katrina: Risk Communication in Response to a Natural Disaster ไวติงค้นพบว่า ในช่วงก่อนเกิดแคทรินา 9 เดือนได้มีการแจกจ่าย National Response Plan ซึ่งเป็นเสมือนแนวทางในการรับมือภัยฉุเฉินทุกรูปแบบ หนา 426 หน้า ครอบคลุมบทเรียนการจัดการกับวิกฤตต่างๆ นำมารวบรวมให้อยู่ในเอกสารฉบับเดียวกันเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิใช้รับมือและจัดการกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

    ที่สำคัญ นอกเหนือจากการจัดทำคู่มือรับมือกับวิกฤตฉุกเฉินแล้ว ยังพบว่า ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญหลายรายได้ข้อสรุปคล้ายๆ กันว่า มีโอกาสที่จะเกิดเฮอริเคนที่มีพลังความรุนแรงสูงและเป้าหมายของภัยพิบัติอยู่ที่นิว ออร์ลีนส์ ประกอบกับในช่วงที่แคทรินาก่อตัว สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติและศูนย์วิจัยเฮอริเคนได้พยากรณ์เส้นทางของพายุและหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม จากรายงานการสอบสวนของหลายหน่วยงานพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินแคทรินาว่า เป็นเพียงมรสุมลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลเท่านั้น

    การประเมินสถานการณ์ที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงนำไปสู่ความล้มเหลวในการสื่อสารความเสี่ยงไปยังประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ถึงวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นและการประเมินภัยคุกคาม เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมในการรับมือและการอพยพ

    เทอร์รี ดับเบิลยู โคล และเคลลี แอล เฟลโลว์ส สรุปบทเรียนความล้มเหลวของการสื่อสารความเสี่ยงในกรณีเฮอริเคน แคทรินาไว้ 4 ประการ ได้แก่ การสื่อสารให้ประชาชนตระหนักหรือใส่ใจกับความเสี่ยงมีน้อยเกินไปและขาดความชัดเจน อาทิ ในช่วงที่แคทรินากำลังเคลื่อนตัวเข้าถล่มนิว ออร์ลีนส์ มีรายงานว่าได้พบรอยปริแตกของเขื่อนกันน้ำ แต่เจ้าหน้าที่จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกลับคลางแคลงใจกับรายข่าวเหล่านั้นว่าเป็นจริงหรือไม่ ทำให้ไม่มีการสั่งการให้หน่วยลาดตระเวณชายฝั่งเข้าไปกู้สถานการณ์ก่อนเขื่อนพังและทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา

    ประการที่สอง ขาดความเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลที่จะสื่อสาร ในกรณีของแคทรีนาพบว่า ไม่มีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินความเป็นไปได้ของเฮอริเคน ตั้งแต่ระดับความเสี่ยงน้อยสุดไปจนถึงกรณีเลวร้ายสุด อยู่ในแผนจัดการภัยพิบัติแต่อย่างใด

    บทเรียนประการที่สาม ข้อมูลที่สื่อสารขาดความน่าเชื่อถือ ในกรณีของแคทรีนาพบว่า การที่ข้อมูลข่าวสารขาดความน่าเชื่อถือส่วนหนึ่งมาจากโฆษกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนและขาดการประสานงานกับผู้นำชุมชน ทำให้ประชาชนในพื้นทีที่รัฐบาลต้องการอพยพซึ่งไม่ไว้วางใจอยู่ก่อนแล้ว ไม่ยอมอพยพออกมา

    บทเรียนประการสุดท้าย การสื่อสารความเสี่ยงต้องไม่เลือกปฏิบัติ ในกรณีของแคทรีนาพบปัญหาในเรื่องการเหยียดผิว จนนำไปสู่มุมมองที่ว่า การอพยพจะให้ความสำคัญกับคนรวยผิวขาวมากกว่าเพื่อนบ้านผิวสีที่ยากจน

    สู่บทเรียนประเทศไทย

    บทเรียนจากแคทรีนาเป็นกรณีศึกษาที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของการสื่อสารความเสี่ยงเช่นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเท็จจริงที่ประชาชนควรรับทราบ

    ผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญที่ชี้ชัดว่า ประชาชนจำนวนเริ่มไม่เชื่อถือข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) อันเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบในการช่วยเหลือประชาชนและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนับเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มดังขึ้นแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]
    ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือศปภ. ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ขณะแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า น้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพมหานครและจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกัน
    ที่มา : http://media.thaigov.go.th/Sitedirectory/471/1779/61333_18991230123523.jpg

    “ภาพรวมประชาชนพอใจการให้ข้อมูลข่าวน้ำท่วมของ ศปภ. เพียงแค่ร้อยละ 3.36 จาก 10 คะแนน และขณะที่มีเพียงร้อยละ 3.08 ที่พอใจระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ขึ้นไป ระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับไม่ชัดเจนว่าพื้นที่ของตนจะถูกน้ำท่วมหรือไม่ รวมถึงสับสนกับข้อมูลที่ได้รับจาก ศปภ. ขณะที่มีเพียงแค่ร้อยละ 12.8 ที่เห็นว่าข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมของภาครัฐมีความน่าเชื่อถือ”

    ความไม่เชื่อถือข้อมูลของศปภ. ยังนำไปสู่ปรากฏการณ์กระจายข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในโซเชียล มีเดีย อย่าง เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ บล็อกต่างๆ และเว็บพันทิพ ดังตัวอย่างของการเผยแพร่ภาพถ่ายผ่านดาวเทียมแสดงให้เห็นมวลน้ำก้อนใหญ่ 2 ก้อนที่ล้อมรอบกรุงเทพมหานครเอาไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) หรือ GISTDA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    ข่าวสารข้อมูลที่ไหลผ่านโลกไซเบอร์ยากต่อการควบคุมและคัดกรองย่อมให้ผลตามมาทั้งบวกและลบ ในด้านบวก ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ขาดหายหรือไม่มีการเปิดเผยทำให้สามารถประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการรับมือได้ดีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในด้านลบ เมื่อยากต่อการควบคุมและคัดกรองก็มีความเสี่ยงในแง่ที่ข้อมูลบางส่วนอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเป็นช่องทางแพร่กระจายข่าวลือที่ปราศจากมูลความจริง

    นอกจากนี้ ความสับสนจากการให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในศปภ. ด้วยกัน และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งในหลายๆ ครั้งก่อให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน อาจผลักให้ประเทศไทยเดินซ้ำรอยกรณีของแคทรีนาได้ คือ ประชาชนไม่เชื่อถือและไม่ปฏิบัติตามข้อมูลข่าวที่ออกมาจากหน่วยงาน จนทำให้ปัญหาน้ำท่วมบานปลายและรุนแรงเกินกว่าที่ประเมินไว้

    “ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.4 อยากฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่มากกว่าทีมงานโฆษกของศปภ. และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.1 ต้องการฟังข้อมูลจากคนทำงานที่ศูนย์พักพิงมากกว่าทีมงานโฆษกของศปภ.” ผลสำรวจของเอแบคโพลได้สะท้อนความในใจของประชาชนออกมาอย่างชัดเจน แม้ข้อสรุปที่ได้มาจากกลุ่มตัวอย่างก็ตาม

    ไม่เพียงแค่นี้ การเคลื่อนไหวขององค์การสหประชาชนที่แสดงความกังวลผ่านโนเอลีน เฮย์เซอร์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำเอเชียแปซิฟิกหรือ UNESCAP โดยเฉพาะประเด็นวิกฤตการณ์น้ำท่วมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจก่อให้วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมตามมา

    แต่นั่นยังไม่น่าห่วงเท่ากับคำวิจารณ์ของเจอร์รี เวลาสเควซ เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำหน้าทีประสานงานตรงกับศูนย์ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสหประชาชน ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีหน่วยงาน 8 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาน้ำในประเทศ แต่กลับไม่มีกรอบการดำเนินการที่ครอบคลุมครบถ้วนในการจัดการเรื่องน้ำ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญและไม่ใช่ปัญหาเฉพาะแค่ไทย แต่เป็นปัญหาที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้เผชิญอยู่เช่นเดียวกัน

    “ในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องจัดทำกรอบการดำเนินการที่ครอบคลุมและครบถ้วน เพื่อจัดการกับภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะอุทกภัย” นี่เป็นข้อเสนอแนะของเขาที่ฝากถึงรัฐบาลไทย พัฒนาการเหล่านี้กำลังตีแผ่มุมมองของคนไทยด้วยกันและองค์การระหว่างประเทศต่อการจัดการน้ำท่วมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งอาจพัฒนาเป็นความเสี่ยงที่มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขสถานการณ์และปรับแนวทางบริหารจัดการวิกฤติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    ที่มา http://thaipublica.org/2011/10/risk-communication-katrina-lessons/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ความรู้เรื่อง"โลกใต้พิภพ"

    [​IMG]

    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจากท่านเมตาตรอน (Metatron) ผู้รับการสื่อสาร: Tyberonn วันที่รับการสื่อสาร: 20 กรกฎาคม 2008 ที่มา:Inner Earth, Devic Kingdom & UFO Phenomena > Earth Keeper คุณ Chayutt แปลและเรียบเรียง

    เรื่อง: อาณาจักรใต้พิภพ, อาณาจักรเทวะ และ ปรากฏการณ์ UFO

    เราขอกล่าวคำทักทายด้วยความรัก เราคือเมตตาตรอน (Metatron) ราชาแห่งแสงสว่าง เราขอต้อนรับพวกคุณทุกคนสู่ข้อความที่มีชีวิตข้อความนี้ และเราขอโอบกอดพวกคุณด้วยความรัก ตอนนี้พวกคุณคงคิดว่า ดาวเคราะห์ของพวกคุณเป็นรูปทรงกลมทึบตันอยู่ใช่ไหมหละ แต่ชาวโลกที่รักทั้งหลาย แท้ที่จริงแล้ว ดาวเคราะห์ของพวกคุณมีลักษณะแบนตรงหัวและท้ายต่างหาก และมันก็มีโพรงอยู่ข้างในมากมายด้วย ซึ่งโพรงเหล่านี้ ก็คือบ้านของผู้ที่พวกคุณเรียกกันว่า“อารยธรรมที่สาบสูญ” (Lost civilization) ทั้งหลายนั่นเอง

    นักธรณีวิทยาได้ประมาณการอายุของดาวเคราะห์โลกของพวกคุณว่า มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว และพวกเราก็จะบอกคุณว่า นั่นก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่ เมื่อเทียบตามบันทัดฐานของศาสตร์ของพวกคุณ แต่พวกคุณรู้ไหมว่า เมื่อมองจากมุมมองด้านมิติแล้ว ดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ก็คือกลุ่มของดาวเคราะห์โลกจำนวนมากมาย (conglomerate of many earths) ที่ซ้อนทับกันอยู่ ด้วยความเป็นไปได้ทั้งมวล อย่างเป็นอนันต์

    คำถาม: หลายคนพูดถึงเมืองใต้พิภพ มันมีอยู่จริงหรือไม่ครับ และมันอยู่ที่ไหน

    Metatron: มันมีอยู่จริงๆ และก็มีอยู่นานแล้วด้วย ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ก็คือรูปธรรมชีวิตคล้ายมนุษย์นี่แหละ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอาณาจักรเลมูเรีย (Lemuria) และที่เคยอยู่ในช่วงสุดท้ายของอาณาจักรแอตแลนติส (Atlantis) มาก่อน พวกเขาได้ค้นพบทางเข้าไปสู่โพรงที่อยู่ภายในโลก ซึ่งภายในโลก มีโพรงขนาดใหญ่เหล่านั้นอยู่มากมาย ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยถูกเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่มากมาย

    รูปธรรมชีวิตที่เป็นผู้เข้าไปอยู่ในโพรงเหล่านั้นเป็นพวกแรก คือผู้ที่มีร่างกายเนื้อกึ่งกายทิพย์ นั่นคือยังมีกายเนื้ออยู่แต่ว่าจะไม่หยาบและทึบตันเหมือนกับของชาวโลกที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลก เหตุผลที่ชาวเลมูเรียต้องอพยพลงมาอยู่ในโพรงใต้พื้นโลกในตอนแรก ก็เพราะว่าต้องการหลบหนี จากการก่อกวนของสิ่งที่พวกคุณเรียกว่าไดโนเสาร์ ที่มีอยู่เต็มไปหมดบนพื้นทวีปของพวกเขาในสมัยนั้น

    เมื่อพวกเขาค้นพบสถานที่ๆสงบเงียบและสวยงามได้แล้ว พวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันมีดวงอาทิตย์อยู่ภายในโลกด้วย ซึ่งดวงอาทิตย์ที่ว่านี้จะแผ่แสงสว่างสีฟ้าออกมา และชาวเลมูเรียโบราณ ซึ่งอยู่ในรูปกายกึ่งกายทิพย์ทั้งหลายนี้ ก็ได้พัฒนาวิธีการที่จะมองเห็นได้ภายใต้แสงสว่างนี้ และพวกเขาก็ค้นพบความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ภายในโพรงเหล่านี้

    ชาวโลกหลายคนเข้าใจว่าชาวเลมูเรียได้ “เลื่อนระดับขึ้น” (Ascend) ไปข้างบนเรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงก็คือ พวกเขา “เลื่อนระดับลง” (descend) เข้ามาอยู่ในใจกลางโลกต่างหาก แต่ถ้าจะเรียกว่า “พวกเขาเสร็จกิจแล้ว” หรือ “เลื่อนระดับขึ้น” ไปแล้ว ก็น่าใกล้เคียง มันมีโพรงที่อยู่ภายในโลก ใต้บริเวณรัฐอาริโซน่า, เนวาด้า และแคลิฟอเนีย อยู่หลายสิบโพรงจริงๆ ซึ่งในจำนวนโพรงเหล่านี้ ก็เคยถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวโลกบนพื้นผิวโลกเมื่ออดีตที่ผ่านมา

    หลายๆโพรงอยู่บริเวณใต้แกรนแคนยอน (Grand Canyon), Flagstaff, แอเรีย 51 (Area 51), และเดดวัลเล่ย์ในแคลิฟอร์เนีย (Death Valley in California) ชนเผ่าพื้นเมืองที่ว่านั้น ก็ได้แก่ ชนเผ่าโฮบิ (Hopi), นาวาโจ (Navajo), และฮาวาซูไป (Havasupai) พวกเขายังคงเก็บรักษาตำนานและแน่นอนรวมถึงความรู้ที่ได้จากผู้คนที่อยู่ในถ้ำใต้ดินเหล่านี้เอาไว้อยู่ตราบกระทั่งทุกวันนี้

    มาถึงตรงนี้คุณควรจะรู้ไว้ว่า ภายในสิ่งที่เรียกว่า “โลกชั้นใน” (Inner Earth) เหล่านี้ เพราะความที่อยู่ภายใต้พื้นผิวโลก ซึ่งมีความดัน และแรงโน้มถ่วงจากสนามแม่เหล็กสูงกว่าบนพื้นผิวโลก จึงทำให้มันมีแม่แบบของเวกเตอร์ (vector template) ที่พิเศษและเฉพาะเจาะจง ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “มิติคู่ขนาน” (parallel dimensions) ได้มากกว่าและชัดเจนมากกว่าบนพื้นผิวโลก เพราะฉะนั้นแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว มันจึงมีการซ้อนทับกันอยู่แบบมีศูนย์กลางเดียวกัน ของมิติต่างๆ อยู่ภายในของดาวเคราะห์โลกอย่างมากมาย

    และในความเป็นจริงแล้ว ปรากฏการณ์แบบนี้ มันก็เกิดขึ้นกับทุกแห่งทุกหนในจักรวาลที่พวกคุณรู้จักนั่นแหละ รวมถึงบนพื้นผิวโลกด้วย แต่เพราะว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและความหนาแน่นของความดัน ที่พวกเราได้สร้างให้ไว้กับดาวเคราะห์โลก ทำให้ปรากฏการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้ชัดเจนน้อยกว่า พวกเราอยากจะบอกว่า ภายในลูกโลก โครงสร้างด้านพลังงานภายในชั้นแมนเทิล (mantles) จะมีความสำคัญมากกว่าบนพื้นผิวโลก และมันก็ทำให้มีจำนวนมิติมากกว่าเกิดขึ้น รวมถึงทำให้มีพลังงานชีวิตมากกว่า, มีพลังงานอีเทอเรี่ยม (etherium) เข้มข้นมากกว่าด้วย

    ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบอย่างคร่าวๆให้พอเข้าใจแล้ว มันก็น่าจะเหมือนกับการรับคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ ด้วยเสาอากาศ กับการรับคลื่นสัญญาณจากเคเบิล หรือ จากดาวเทียมนั่นเอง บนพื้นผิวโลกจะเปรียบได้กับการรับคลื่นสัญญาณด้วยเสาอากาศธรรมดา ส่วนภายในลูกโลก จะเปรียบเหมือนกับการรับคลื่นสัญญาณจากดาวเทียม เพราะฉะนั้น ภายในลูกโลก จำนวนช่องสัญญาณก็จะมีมากกว่า และความคมชัดของสัญญาณก็ยิ่งมีมากกว่าด้วย แต่ในกรณีของเรา พวกเรากำลังพูดถึงเรื่อง “มิติคู่ขนาน” อยู่แทนที่จะเป็นเรื่อง “ช่องสัญญาณโทรทัศน์” ก็เท่านั้นเอง

    ด้วยเหตุนี้ มันจึงมีมิติต่างๆที่อยู่ขนานกัน และซ้อนทับกันอยู่จำนวนมากมาย ซึ่งมิติคู่ขนานเหล่านี้ จะอยู่แยกออกจากกัน ทำให้มีรูปธรรมชีวิตที่อยู่ต่างมิติกัน อาศัยอยู่ในนั้นได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกัน มันก็เหมือนกับโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว แต่สามารถรับช่องสัญญาณได้หลายๆช่องนั่นแหละ ดังนั้น ระนาบต่างๆของมิติคู่ขนานจึงสามารถอยู่ด้วยกันได้ ในโลกใบเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้ว มีรูปธรรมชีวิตจากนอกโลกเป็นจำนวนมาก ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ภายในโลกใบนี้

    และที่พวกเขาก็สามารถอาศัยอยู่ในลูกโลกได้ ก็เพราะอาศัยโครงสร้างของความถี่ที่ขนานกันดังกล่าวไปแล้วนั่นเอง ซึ่งอาจจะเรียกมันว่า “โฮโลแกรมมิก” (Hologramic) ก็ได้ ทีนี้คุณเข้าใจหรือยัง? ดังนั้น มันจึงมีรูปธรรมชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่ในใจกลางของดาวเคราะห์โลกในนี้ ซึ่งหลายๆเผ่าพันธุ์ ก็ได้มาอยู่ที่นี่นานกว่ามนุษย์โลกเสียอีก และหลายๆเผ่าพันธุ์ก็คิดว่าพวกเขาเป็นผู้ครองโลกนี้อยู่ เหมือนอย่างที่พวกคุณเองคิดว่า เผ่าพันธุ์ของตัวเองกำลังครองโลกนี้อยู่อย่างนั้นเลยแหละ และในความเป็นจริงแล้ว เผ่าพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลกมากที่สุดก็คือ ชนเผ่าของอาณาจักรเลมูเรียโบราณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • metatron.jpg
      metatron.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      1,522
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...