ภาพข่าวสามเณรี คุณคิดเห็นอย่างไร??

วินัยข้อบวช ภิกษุณี โดยทั่วไปไม่ทราบ จึงมีคนแย้ง
หากมีกลุ่มที่ประพฤติกันอย่างถูกต้อง และต่อเนื่อง
สังคมจะยอมรับเอง การอิงแบบเถรวาทดีที่สุดแล้วเห็นด้วยครับ
ฉะนั้นจึงมีพุทธบริษัท 4 แม่ชียังนับเป็นฝ่ายฆราวาส ด้วยมีอุโบสถศีล
(กึ่งพุทธกาลจะรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง แต่จะมีภิกษณีขึ้นมาเติมเต็มหรือป่าวไม่ทราบ)
เมื่อมีความพร้อม ผมก็คิดว่า ภิกษุณีจะปรากฎขึ้นอีกครั้งครับ

 

เจริญพรค่ะ
เรื่องของภิกษุณีมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล ซึ่งไม่ได้มีแบ่งแยกว่า นิกายนั้นนิกายนี้เลย เหล่าสาวกเอามาแบ่งกันเอง สุดท้ายก็ตีกันเอง
ถ้าคนพุทธเราทำใจให้เป็นกลาง ทบทวนถึงผลดีผลเสีย และเปลี่ยนใหม่ให้มันดี ก็นับว่าเป็นบุญแก่กัน คุณโยมเห็นด้วยไหม เจริญพร

 

<CENTER><BIG>อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ธัมมัตถวรรคที่ ๑๙</BIG> <CENTER class=D></CENTER></CENTER>
หน้าต่างที่ ๗ / ๑๐.


<CENTER>๗. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง [๒๐๐]


ข้อความเบื้องต้น </CENTER>พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น เตน ภิกฺขุ โส โหติ" เป็นต้น. <CENTER>
พราหมณ์อยากให้พระศาสดาเรียกตนว่าภิกษุ </CENTER>ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นบวชในลัทธิภายนอกเที่ยวภิกษาอยู่ คิดว่า "พระสมณโคดมเรียกสาวกของตนผู้เที่ยวภิกษาว่า ‘ภิกษุ’ การที่พระสมณโคดมเรียกแม้เราว่า ‘ภิกษุ’ ก็ควร."


เขาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ข้าพเจ้าก็เที่ยวภิกษาเลี้ยงชีพอยู่, พระองค์จงเรียกแม้ข้าพเจ้าว่า ‘ภิกษุ’" <CENTER>
ลักษณะภิกษุและผู้มิใช่ภิกษุ </CENTER>ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า
"พราหมณ์ เราหาเรียกว่า ‘ภิกษุ’ เพราะอาการเพียงขอ (เขาไม่), เพราะผู้สมาทานธรรมอันเป็นพิษแล้วประพฤติอยู่ ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าภิกษุ หามิได้,
ส่วนผู้ใดเที่ยวไปด้วยพิจารณาสังขารทั้งปวง ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ."
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-


<TABLE class=D cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>๗. <TD>น เตน ภิกฺขุ โส โหติ <TD>ยาวตา ภิกฺขเต ปเร <TR vAlign=top><TD><TD>วิสฺสํ ธมฺมํ สมาทาย <TD>ภิกฺขุ โหติ น ตาวตา. <TR vAlign=top><TD><TD>โยธ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ <TD>พาเหตฺวา พฺรหฺมจริยวา <TR vAlign=top><TD><TD>สงฺขาย โลเก จรติ <TD>ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ. <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเหตุที่ขอกะคนพวก <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>อื่น หามิได้, บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ ไม่ชื่อว่า <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>เป็นภิกษุ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น; <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ผู้ใดในศาสนานี้ ลอยบุญและบาปแล้ว ประพฤติ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>พรหมจรรย์ (รู้ธรรม) ในโลก ด้วยการพิจารณาเที่ยวไป <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ผู้นั้นแลเราเรียกว่า ‘ภิกษุ’.</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>
</CENTER>

<CENTER>
เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง จบ.


------------------------------------ </CENTER>

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ธัมมัตถวรรคที่ ๑๙​

 

เส้นตรงเมื่อมีจุดแยก เป็น 2 เส้น หินยาน มหายาน
และการที่บางกลุ่มที่มีชื่อเรียก ภิกษุณี หายไปแต่พุทธบริษัทยังครบ มี ช และ มี ญ แ่ต่
แต่ไม่มีการเรียกกลุ่มนักบวชหญิงอีกเลยเพราะขาดตอน จากเหตุในอดีต
ครั้งแรกด้วยทรงอนุญาตแก่พระนางประชาบดี เพราะพระอานนท์ทูลขอ
และสามารถดำรงสถานะและภิกษุณีก็สำเร็จกันมาก และนิพพานไปแล้ว
แต่การจะต่อให้ขึ้นมาใหม่ (ศีลที่เพิ่มจาก227 ก็เพื่อป้องกันตัวให้ภิกษุณีพ้นจากคำครหาต่างๆได้)
อย่างข้อวัตรที่ทรงอนุญาตให้ปรับตามจำเป็น แต่ไม่ได้ให้เปลี่ยน/ ตัดทอน ก็อาจคิดไปคนละมุม (บางทีคิดตามตนเองก็บอกว่าถูก ๆๆๆ ^ ^)
วิสัยฆราวาส เรื่องฝ่ายนักบวชไม่ทราบจริงๆครับ ข้ามเขต กลัวกล่าวผิดไปครับ

 

ขอโอกาสเรียนถามผู้รู้ นะครับ ดังนี้

ข้อที่ 1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระสัพพัญญู รู้ทั่ว รู้แจ้ง โดยตลอดสากล แม้อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลายก็รู้โดยตลอด เหตุใดพระพุทธองค์จึงไม่ดำริด้วยพระองค์เองที่จะให้มีภิกษุณี ตั้งแต่ช่วงแรกๆ และเหตุใดพระพุทธองค์จึงไม่เคยตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ในครั้งแรกๆ เลยว่าผู้หญิงก็บวชเป็นภิกษุณีได้

ข้อที่ 2. เหตุใดพระพุทธองค์จึงปฏิเสธคำขอร้องของพระอานนท์ถึง 2ครั้ง ในการที่จะบวชพระนางปชาบดีโคตมี

ข้อที่ 3. เหตุใดพระพุทธองค์จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า หากมีภิกษุณีเกิดขึ้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะอายุสั้นลง

(ผมคงไม่สามารถยกรายละเอียดในพระไตรปิฏก ลงมาแปะลงในบอร์ดทั้งหมด แต่ก็มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฏก)
....คำถามทั้ง3ข้อนี้ มิได้ถามเพื่อลองภูมิแต่ประการใด แต่ถามเพราะเห็นว่า หากท่านใดเชี่ยวชาญและสนใจเกี่ยวกับเรื่องภิกษุณี ก็อาจจะตอบคำถามเหล่านี้ และให้ความกระจ่าง แก่ผู้ที่สงสัย...

อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

 

ไม่จำเป็นต้องเป็นภิกษุณีเถรวาทก็ได้คะ มหายานก็มี ภิกษุณี แต่ถ้าอยากถือศีลเต็มแบบ ภิกษุณีเถรวาท ก็อาจจะตั้งเป็น ยศใดยศหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษ โยคินี, หรือจะเอาตามแบบของ ต่างประเทศ อย่างของพม่า ของ แขก เช่น ศีลมาตา, ศีลาชิ่น, ถิลาชื่น ที่ห่ม สะบงจวรสีชมพู แต่จริงๆแล้วการจะสำเร็จอรหันต์ไปนิพพานในชาตินี้โดยที่ไม่ได้บวชนี้ ทำได้ยากนะคะ เพราะสิ่งล่อต่ล่อใจและไหนจะความรับผิดชอบทางโลกมันเยอะ การจะทำใจห้เป็นอรหันต์ ได้ในขณะที่อยู่ในดงกิเลส ดงมารนี้มันยากมากคะ ถ้าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงบวช คงจะช่วยให้สตรีไปนิพพานในชาตินี้ได้เยอะ

 

ศาสนาคริตส์ อิสลาม โบราณน้อยกว่าพุทธ แต่ ข้อบัญญัติมากมายยังเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้ชายเป็นหลัก เพราะสมัยโบราณ ถ้าอ่านประวัติศาสตร์จะรู้ว่า พุทธโบราณผู้หญิง ไม่ว่า ทาส ไพร่ สามัญ ยัน เชื้อเจ้า ต่างมีฐานะเท่าเทียมกันคือ เป็นแค่สมบัติของผู้ชาย ยิ่งศาสนาที่โบราณมากๆอย่างศาสนาพุทธ โดยเฉพาะในสังคมอินเดีย ที่ชอบให้ผู้หญิงอยู่กะบ้าน ตั้งท้อง มีลูกอย่างเดียว ไม่แปลกที่การสังคายณายุคต่อๆว่า มีการปรบเปลี่ยนให้สร้างเรื่งต่างๆเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้หญิงได้มีโอกาสบวช

 

3ปีผ่าน การบวชเพื่อฟื้นสถานะภิกษุณีก็ชัดขึ้นแล้ว เมื่อทำวินัยครบและสร้างระเบียบขอบเขตที่พักปลอดภัย สร้างแม่แบบแล้ว ญ สอน ญ เมื่อสืบรุ่นไปเรื่อยๆ บริษัท4 ครบสมบูรณ์ด้วยการมีข้อวัตรครบ สามารถวัดได้จากผล ความสุขที่ส่งให้ผู้บวชพบสันติภายใน การทำดีควรส่งเสริม ,ส่วนประเด็นเก่าเรื่องขาดตอนอันนั้นเชิงข้อเถียงทฤษฎี , ตอนนี้มาดูผลการปฏิบัติกัน ^^ อนุโมทนากับทุกท่านที่บวชครับ

 

บวชเป็นภิกษุณีแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างครับ
อยากทราบความรู้สึกลึกๆนะครับ

ผมเคยบวชพระหลายปี ความรู้สึกแรกบวชมันก็ดีนะครับ
แต่พออยู่นานเข้า ไม่รู้บวชไปทำไม มีแต่พิธีกรรม
เอาใจโยม จัดฉาก มีฉากหน้า ฉากหลัง
นั้งสมาธิพอเป็นพิธีให้ดูดีในสายตาโยม
เดินจงกรมก็ทำเป็นพิธี
เหมือนหลอกตัวเอง เลยสึกดีกว่า ไม่ต้องเสี่ยงไปนรก เพราะกินข้าวของโยม
แต่ไม่มีบุญให้โยมเขา เหมือนหลอกโยมเขา

ไม่ทราบว่าฝั่งภิกษุณี เป็นอย่างไรบ้างครับ
ทะเลาะกันหรือเปล่า นินทากันไหม?


มีปัญหาอะไรบ้างครับ