ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    25 ก.ค. 55

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดเทพทั้งหลายเขาบอกว่าให้หยุดยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะมันทำให้ความสั่นเสทือนในร่างกายของเราต่ำ ส่งผลให้่ไม่ผ่านการเลื่อนระดับ จากข้อมูลว่าข้างต้นทีว่าผู้ที่ฝักใฝ่ฝ่ายมืด จะไม่ผ่านการเลื่อนระดับและจะต้องถูกกำจัดออกไปในปลายปีนี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกด้วย แม้ว่าคุณไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายมืดแต่คุณก็อาจจะไม่รอดด้วย ปัจจัยอะไรบ้าง ดูได้จากที่ท่าน แมทธิว เวอร์ด กล่าวไว้

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward

    ผ่านทางนาง Suzy Ward
    เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2011
    ผู้แปล: คุณ kindred

    ที่มา:
    http://galacticchannelings.com/engli...w10-10-11.html

    24 ก.ค. 55 นาวาไทย

    ยืนซ้าย เรือย่อม พร่องขวา
    ยืนขวา เรือก็ พร่องซ้าย
    ยืนกลาง นั้นไม่ ทำร้าย
    ชาติไทย อยู่ยั้ง ยืนยง

    เรื่องนี้ รู้กันมานานแล้วถึงไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รอให้ฟ้าตัดสินเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
    เมื่อฟ้าเปิดทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง

    เคอิสรา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ข้อความจากต่างมิติ - ทำไมวันที่ 21-12-12 จึง...

    Chayutt สมาชิก

    เผื่อใครที่กำลังอยากจะรู้ว่า ทำไมถึงได้ยินคำกล่าวนี้อยู่เสมอๆ..ที่ว่าตาข่ายฟ้า จะสามารถแยกแยะคนดี กับ คนชั่วออกจากกันได้ หรืออะไรทำนองนั้นหนะนะครับ..ก็ลองอ่านข้อมูลตรงนี้ดูนะครับ เผื่อจะนำไปเทียบเคียงกับคำกล่าวที่ว่านั้นได้ และเพื่อจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้นด้วยครับ

    และเช่นเคยครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลเอาเองนะครับ ผมเป็นเพียงแต่ผู้ที่แปลเขามา แล้วนำมาแบ่งปันให้ท่านอ่านด้วยเท่านั้นเองนะครับ หาได้เป็นเจ้าของข้อมูลไม่..ถ้ามีอะไรข้องใจอยากถาม หรือสงสัยว่าผมแปลมาถูกหรือเปล่า ก็นี่เลยครับ เข้าไปอ่านต้นฉบับเต็มภาคภาษาอังกฤษได้ที่นี่นะครับ Mike Quinsey - SaLuSa, May 23, 2012 ด้วยความปราถนาดีครับ

    ข้อความจากต่างมิติ - ทำไมวันที่ 21-12-12 จึงจะแยกคนที่พร้อมกับคนที่ไม่พร้อมออกจากกันได้ ?

    กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) ได้เริ่มต้นขึ้นและดำเนินมาหลายปีแล้ว ดังนั้น มันจึงไม่ได้ถาโถมใส่พวกคุณในคราวเดียว เพราะว่ามันได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และจนถึงตอนนี้ พวกคุณก็น่าที่จะกำลังรู้สึกถึงความแตกต่าง ที่มันได้ทำให้เกิดขึ้นกับพวกคุณได้แล้ว

    มันคือกระบวนการอันละเอียดอ่อน แห่งการยกระดับความสั่นสะเทือนของพวกคุณขึ้น ด้วยวิธีการต่างๆมากมายหลายวิธี เพื่อที่จะให้พวกคุณสามารถค่อยๆดูดซับมันได้มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าถ้าพวกคุณได้รับพลังงานมากจนเกินไป และอย่างรวดเร็วจนเกินไปแล้วหละก็ มันก็จะทำให้กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของพวกคุณได้รับอันตรายได้ และจะไปทำให้ผู้ที่ตอบสนองต่อกระบวนการนี้ได้ช้า ได้รับผลกระทบในแง่ลบอย่างคาดไม่ถึงได้

    กระบวนการนี้ มันกำลังส่งผลกระทบต่อทุกๆจิตวิญญาณที่อยู่บนโลกใบนี้อยู่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม คนบางคนจึงกำลังมีอาการบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ผิดปกติของระบบร่างกายเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้


    มาถึงตรงนี้ บางทีพวกคุณอาจจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นวันที่จะมีกระแสพลังงานเข้มข้นอย่างมาก ไหลทะลักเข้ามายังโลก เพราะการเรียงตัวกันของดวงอาทิตย์ของพวกคุณ กับดวงอาทิตย์ใจกลางแกแล็กซี่ (the Great Central Sun) จึงจะเป็นวันที่จะสามารถ “แยก” คนที่พร้อมแล้วที่จะเลื่อนระดับขึ้น ออกจากคนที่ยังไม่พร้อมที่จะเลื่อนระดับขึ้นได้

    แต่ทางเลือกก็จะยังเป็นของพวกคุณอยู่เสมอ ดังนั้น จงอย่าได้เป็นกังวลไป ถ้าพวกคุณคนใดเลือกที่จะคงอยู่ในมิติปัจจุบันนี้ของพวกคุณต่อไป เพราะว่าบนเส้นทางวิวัฒนาการของพวกคุณในระยะยาวแล้ว มันก็จะไม่ต่างอะไรกันเลย เพราะว่าโอกาสที่จะได้เลื่อนระดับขึ้นแบบนี้นั้น มันจะมีมาอยู่เสมอๆเป็นระยะๆนั่นแหละ (ราวๆทุกๆ 25,900 ปี - อ้างอิงจากข้อความของท่านมหาเทพเมตาตรอน - ผู้แปล) และแน่นอนว่า ถ้าพวกคุณคนใด มีความตั้งใจที่จะเลื่อนระดับขึ้นจริงๆโดยการใช้พลังอำนาจแห่งความตั้งใจอย่างเต็มที่แล้วหละก็ พวกคุณก็สามารถที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปได้แบบเดี่ยวๆเช่นเดียวกัน

    (สรุปว่า ใครที่ไม่พร้อมก็อย่าเป็นกังวลไปนะครับ เพราะว่า ถึงแม้ว่ารอบของการสิ้นสุดวัฏจักรนี้ เราจะยังไม่เลือกที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปพร้อมกับดาวเคราะห์โลกก็ตาม มันก็ยังจะมีรอบวัฏจักรอื่นๆมาอยู่อีกเรื่อยๆ ทุกๆ 25,900 ปีนั่นแหละ ดังนั้นท่านจึงบอกว่า มันไม่ต่างกันหรอก เพราะว่ายังไงๆ ช้าหรือเร็ว เราก็ต้องไปอยู่ดี แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ไม่พร้อมนั้น ผมขอบอกตามตรงว่า ข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย ที่ผมอ่านและติดตามมาตลอดหลายปีแล้วนี้ ยังพูดไม่ชัด และ พูดไม่ตรงกันด้วยครับ


    เหมือนกับว่า ในส่วนนี้ หรือ ในประเด็นนี้ พวกเขาจะไม่ค่อยอยากจะบอกเท่าไหร่นัก อะไรแบบนั้นแหละครับ เพราะว่า ผมรู้สึกว่าพวกเขากลัวว่าพวกเราจะตื่นตกใจกลัวหนะครับ เช่น ท่านซาลูซ่ามักจะบอกว่า จะมีที่ๆจะให้คนที่ไม่เลือกที่จะเลื่อนระดับขึ้นในรอบนี้ ได้ไปมีประสบการณ์ต่อในมิติที่ 3 ในที่แห่งอื่น ส่วนแมทธิวบอกประมาณว่า ถ้าดาวเคราะห์โลกใบนี้เลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในมิติที่ 5 แล้ว ผู้ที่ยังมีระดับความสั่นสะเทือนต่ำๆอยู่ จะไม่สามารถทนทานอยู่ได้ในระดับความสั่นสะเทือนของพลังงานที่สูงขนาดนั้นได้ ดังนั้น ร่างกายเนื้อของพวกเขาก็จะตาย หรือ ค่อยๆมีอันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ - ผู้แปล)

    พระเจ้าได้วางแผนแม่บทนี้เอาไว้ให้นานมาแล้ว นั่นจึงทำให้สามารถรับประกันได้ว่า วัฏจักรนี้จะสิ้นสุดลงด้วยการเฉลิมฉลองชัยชนะของผู้ที่แสวงหาหนทางกลับคืนสู่แสงสว่างทั้งหลาย เพราะว่าพวกคุณ ได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในระดับชั้นที่มีความสั่นสะเทือนต่ำที่สุด ของจักรวาลนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว บัดนี้ พวกคุณได้สั่งสมประสบการณ์จากการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกใบนี้ เอาไว้มากมายแล้ว มากยิ่งกว่าตอนที่พวกคุณลงมาเกิดเป็นครั้งแรกซะอีก

    แต่เมื่อพวกคุณย้อนกลับไปมองดูพวกมันแล้ว พวกคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกชื่นชมยินดีกับพวกมันเสมอไป เพราะว่าประสบการณ์ชีวิตในบางภพชาติของพวกคุณ ก็เป็นวิวัฒนาการไปในด้านลบมากๆก็มี และด้วยความน่าจะเป็นทั้งหมดแล้ว พวกคุณจะไม่สามารถจดจำตัวเองได้ ว่าเป็นตัวตนเดียวกับที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรนักหรอก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกคุณมีความมุ่งมั่นที่จะจดจำให้ได้จริงๆแล้วหละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยออกมา จากข้อมูลที่ถูกบันทึกเอาไว้ใน Akashic record ทั้งหลาย

    (หมายเหตุ: Akashic record หรือ บันทึกแห่งฟ้า เป็นระบบการบันทึกข้อมูลความเป็นไปทุกๆอย่าง ของแต่ละจิตวิญญาณที่มาเกิดบนโลกมนุษย์ ซึ่งระบบบันทึกแห่งฟ้านี้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ DNA ของมนุษย์เอง, โครงข่ายพลังงานคริสตัลไลน์ของโลก, และคริสตัลในถ้ำแห่งการสรรสร้าง อ่านข้อมูลโดยละเอียดได้จากกระทู้ในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ – ผู้แปล) “ข้อความจากต่างมิติ-ระบบบันทึกแห่งฟ้า-the-akashic-system-โดยครายออน”
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8...99.284651/

    ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปทุกสิ่งในชีวิต ในทุกๆภพชาติของแต่ละจิตวิญญาณจะถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด และโดยธรรมชาติแล้ว ข้อมูลส่วนที่จะช่วยยกระดับพวกคุณให้สูงขึ้นได้นั้น จะเป็นข้อมูลส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุด แต่ก็จงอย่าลืมว่าท่ามกลางจำนวนภพชาติทั้งหลายเหล่านี้ ในแต่ละครั้งที่พวกคุณวิวัฒน์ขึ้นไปได้ พวกคุณก็จะคือผลรวมของประสบการณ์ทั้งหมดที่พวกคุณได้สั่งสมมาจนถึง ณ.จุดนั้นนั่นเอง ไม่เคยมีประสบการณ์ไหนเลยที่จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย สำหรับพวกคุณ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณถึงได้ลงมาเกิดในภพชาตินั้นๆ พวกคุณเลือก(ประสบการณ์ต่างๆที่จะเผชิญ – ผู้แปล) มาจากสิ่งที่มีความจำเป็นต่อวิวัฒนาการขั้นต่อๆไปของพวกคุณเอง

    และผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าพวกคุณ (บรรดาเทพผู้นำทางของเรา – ผู้แปล) ก็จะคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับพวกคุณอยู่เสมอ เทพผู้นำทางของพวกคุณ ปกติแล้วจะอยู่กับพวกคุณภพชาติแล้วภพชาติเล่า และนั่นแหละคือวิธีการรับใช้พวกคุณ และรับใช้พระเจ้าของพวกเขาหละ พวกเขาจะคอยปกป้องพวกคุณ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะคอยนำทางพวกคุณ ให้ผ่านพ้นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงปราถนาทั้งหลาย ที่พวกคุณได้เลือกเอาไว้แล้วนั้น ไปให้จงได้ และมันจะไม่เป็นผลดีเลยที่พวกคุณจะหลบเลี่ยงประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงปราถนาเหล่านี้ เพราะว่านั่นรั้งแต่จะทำให้พวกมันหวนกลับคืนมาใหม่อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น จงเรียนรู้มัน ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม และเพราะว่ามันคือสิ่งที่พวกคุณจำเป็นจะต้องเข้าใจมันด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ปกติแล้วก็จะทำให้พวกคุณไม่ต้องถูกขอให้กลับมาเผชิญกับมันอีกครั้งหนึ่ง อาจจะพูดได้ว่า มีพวกคุณหลายคน ที่ได้มาถึงปลายทางสายนี้แล้วในขณะนี้ ซึ่งพวกคุณก็จะสามารถรู้ได้โดยสัญชาตญาณของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น ช่วงระยะเวลาสุดท้ายบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ของพวกคุณ จึงจะถูกพวกคุณควบคุมไว้ได้อย่างดี และมันก็จะผ่านพ้นไปอย่างง่ายดายด้วย เพราะว่าพวกคุณมีความสงบสุขอยู่ภายใน

    มันมาจากการที่พวกคุณรู้ตัวอยู่ว่า พวกคุณได้มาถึงจุดหมายปลายทางของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และมาจากการที่รู้ตัวว่า พวกคุณได้ทำลายพันธะร้อยรัดทางโลกทั้งหลาย ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไปหมดเรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่า สำหรับผู้ที่ยังชำระสะสางตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้ได้ไม่หมดสิ้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งพบว่า พวกมันสามารถดึงดูดพวกคุณเอาไว้ได้น้อยลงเรื่อยๆเท่านั้นด้วย

    ในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดบางส่วน กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเราหวังจะพึ่งพาอาศัยบรรดา Light worker ทั้งหลาย ให้ออกมาช่วยเหลือผู้ที่จะตกอยู่ในความหวาดกลัว ต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหล่านี้ด้วยเพราะว่ามันจะเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทะลายลงมาแล้ว และบางส่วนก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ก็ได้ถูกคาดหมายและได้ถูกวางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เพื่อใช้เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ในการกำจัดสิ่งกีดขวาง ที่ขวางทางไปสู่การมีชีวิตที่สุขสงบในท้ายที่สุดของพวกคุณออกไป

    พวกเรารู้วิธีการแก้ปัญหาต่างๆของพวกคุณดี และด้วยความร่วมมือกันระหว่างพวกเรากับพันธะมิตรที่อยู่บนโลกของพวกเรา จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างรวดเร็ว และนี่คือข้อมูลข่าวสารในแบบที่ชาวโลกจะต้องการและพวกเราก็จะออกมาปราศัยต่อชาวโลกเองในเร็ววันนี้ ดังนั้น ชาวโลกทุกๆคนก็จะได้ยินเสียงของพวกเรา มันจะมีการเปิดเผยข้อมูลหลายอย่าง ซึ่งจะทำให้พวกคุณถึงกับช็อกไปตามๆกัน ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าพวกคุณจะรู้สึกว่าตัวเองได้เตรียมความพร้อมมาดีแล้วแค่ไหนก็ตามแต่ เพราะว่ามันค่อนข้างที่จะแน่นอนแล้วว่า พวกมันจะเป็นเรื่องอะไรที่ลึกลงไปกว่านั้นอีกมากมายนัก

    ซึ่งเรื่องที่จะเปิดเผยบางเรื่อง ก็จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อโดยสิ้นเชิง และ รายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดของมัน ก็ยังไม่เคยถูกเปิดเผยให้ประชาชนผู้อยากรู้อยากเห็นได้รู้มาก่อน เพียงแต่กล่าวแค่ว่า ได้มีการก่ออาชญากรรมชั่วร้ายหลายอย่างเกิดขึ้นกับพวกคุณเท่านั้นเอง การเปิดเผยในครั้งนี้จะอธิบายให้พวกคุณเข้าใจ ถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังเป็นปริศนาสำหรับพวกคุณอยู่ และอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกคุณจะได้เข้าใจด้วยว่า ทำไมอาชญากรรมมากมายที่เกิดขึ้นในช่วง 50 ปีมานี้ หรือราวๆนั้น ถึงถูกปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ โดยไม่มีใครถูกนำมาลงโทษเลย

    แน่นอนว่า พวกคุณยังสามารถกลับไปเช็คดูที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ด้วย แล้วพวกคุณจะสงสัยว่า ทำไมถึงมีจำนวนคนที่เป็นระดับผู้นำ ถูกนำมาขึ้นศาลเพื่อตอบคำถามต่ออาชญากรรม ที่พวกเขาได้ก่อไว้แก่มวลหมู่มนุษย์ชาติน้อยคนเหลือเกิน ที่รักทั้งหลาย เพราะว่ามันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน เพราะว่ามันมีผลประโยชน์ที่น่าสนใจมากกว่า อยู่ท่ามกลางผู้มีอิทธิพลทั้งหลายเหล่านี้ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ถูกยึดมาได้ โดยการยินยอมให้อาชญากรเหล่านี้เข้ามาเป็นพรรคพวก แทนที่จะนำไปฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล

    มันไม่สำคัญเลยว่าอาชญากรรมเหล่านั้น จะเกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้วก็ตาม หรือว่าหลักฐานต่างๆ จะถูกทำลายไปหมดแล้วหรือไม่ เพราะว่าพวกเราสามารถย้อนเวลากลับไปเอามันมาได้อยู่ดี ดังนั้น มันจึงไม่มีทางหนีพ้นไปจากความยุติธรรมและความเป็นจริงไปได้ และอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความจริงแล้วหละก็ มันก็จะถูกระบุออกมาว่ามันไม่ใช่ความจริง อย่างที่มันเป็นจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าตั้งใจจะให้พวกคุณกลัวหรอกนะ แต่เมื่อใดที่พวกคุณตายจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งเดียวกันนี้ ก็จะเกิดขึ้นกับพวกคุณด้วย เมื่อ“กระบวนการทบทวนชีวิต” ของพวกคุณเองเกิดขึ้นกับพวกคุณ

    เมื่อนั้น พวกคุณจะไม่สามารถโกหกแม้กระทั่งตัวเองได้เลย อย่างที่พวกคุณบางคนชอบทำ เพื่อทำให้ตัวเองเชื่อว่า ความเป็นจริงต่างๆมันเป็นอย่างอื่น ซึ่งแตกต่างไปจากที่พวกมันเป็นจริงๆ พวกคุณจะไม่สามารถทำให้มันเป็นอย่างอื่นไปได้เลย เพราะว่าพวกคุณจะเรียนรู้จากสิ่งใดได้ ถ้าไม่ใช่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง พวกคุณทั้งหมดเป็นคนสร้างพวกมันขึ้นมาเอง และพวกมันก็ไม่ได้มีไว้เพื่อการกล่าวโทษพวกคุณด้วย เพียงแต่ว่า พวกมันถูกบันทึกเอาไว้เป็นประสบการณ์เท่านั้นเอง

    พวกเราอยากจะกล่าวว่า จงเพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่งดงามของตัวเอง บนโลกใบนี้เถิด เพราะว่าพวกคุณ อาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้มีประสบการณ์แบบนี้อีกแล้ว แม้ว่าบางครั้งบางคราว มันจะเป็นประสบการณ์ที่สุดขั้ว จากด้านหนึ่ง ไปสู่อีกด้านหนึ่งก็ตาม แต่นั่นก็ช่วยทำให้ประสบการณ์ต่างๆของพวกคุณ ลุ่มลึกมากขึ้น ในอนาคตข้างหน้า ชีวิตของพวกคุณจะราบเรียบมากยิ่งขึ้น และจะดำรงอยู่ในความสงบและเยือกเย็นมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น มันจึงจะไม่ค่อยมีความสุดขั้วอยู่เลย เว้นเสียแต่ว่า พวกคุณจะเลือกที่จะให้มันเป็นเช่นนั้น เท่านั้นเอง

    การผจญภัยจะเป็นวิถีชีวิตของพวกคุณ และจะทำให้พวกคุณได้รับการเติมเต็มครั้งยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกคุณจะท่องเที่ยวไปไกลแค่ไหนก็ตามแต่ บุคคลอันเป็นที่รักของพวกคุณทั้งหลาย ก็จะอยู่ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงความคิดเท่านั้นเอง และด้วยการท่องเที่ยวแบบฉับพลันทันที เพื่อนฝูงของพวกคุณก็จะสามารถมาถึงพวกคุณได้ในบัดดล

    เราคือ ซาลูซ่า จากดาวซีรีอุส เราสามารถมองเห็นความน่าจะเป็นทั้งหลาย ที่กำลังรอคอยพวกคุณอยู่ได้ และมันก็เป็นสิ่งที่ดีมาก ที่สามารถบอกพวกคุณได้แล้วว่า พวกคุณได้ชนะวันนั้นมาเรียบร้อยแล้ว (ตรงนี้น่าจะกำลังพูดถึงความน่าจะเป็นของการเกิดวันสิ้นโลกอยู่นะครับ – ผู้แปล) ทุกสิ่งทุกอย่าง จะกลับกลายมาเป็น อย่างที่พวกคุณได้ถูกชี้นำให้เชื่อมาตั้งแต่ต้น แต่มันเกือบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า มันน่าจะเป็นอะไรที่ดีซะยิ่งกว่าที่พวกคุณ จะสามารถจินตนาการได้มากมายนัก

    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากท่านซาลูซ่า แห่ง The Galactic Federation

    วันที่: 23 พฤษภาคม 2012
    ผู้รับสาส์น: นาย Mike Quinsey

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...นที่พร้อมกับคนที่ไม่พร้อมออกจากกันได้.341093/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2012
  3. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    อย่างไรก็ดีก็ขอให้ปกป้องชาติไทย :love: พระพุทธศาสนา :love: และพระมหากษัตริย์ :love: กันไว้นะครับ !
     
  4. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ที่สุดด้วยชีวิตครับผม:cool:
     
  5. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    เช่นกันครับ LONG LIVE THE KING & THE QUEEN .
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    การเตรียมกายและใจเข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่

    [​IMG]

    ...จากนี้ไป ยังคงมีเวลาให้ท่านได้เริ่มต้นอยู่บ้าง สำหรับท่านที่ยังไม่แน่ใจและสับสน สำหรับท่านที่มีการเตรียมพร้อมทั้งทางกายและจิตวิญญาณดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านช่วยบอกสอนผู้อื่นต่อไป เท่าที่ท่านจะทำได้เขาจะรับฟังและปฏิบัติตามหรือไม่ ทั้งหมดเป็นบุญกรรมของเขา ขอให้ทำไปตามหน้าที่ด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีขอบเขต เท่านั้นพอ..ขอให้เจริญในธรรม..

    ...ช่วงเวลาของยุคพลังงานใหม่ ได้ก้าวล่วงเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว หลายท่านจะเริ่มสังเกตเห็นตัวเลข 11:11, 11:12,22:23,13:13,13:14,3:33,1:33,1:44,14:14,4:44 มากขึ้นหรือไม่ สำหรับบางท่านอาจได้รับสาส์นโดยตรงจากเบื้องบนสู่จิต หรืออาจได้รับโดยอ้อมโดยการผ่านความฝัน ไม่ว่าจะเป็นฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรือเป็นการฝันถึงเทพเทวดา พระมหาโพธิสัตว์หรือท่านผู้เปี่ยมบารมีอื่นๆ

    ..ท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้นได้ตระเตรียมแผนการมาเนิ่นนานแล้ว ทำนองเดียวกันกับต่างชาติ ต่างศาสนา ล้วนได้รับการติดต่อประสานข้อมูลอย่างทั่วถึงกันแล้วทั่วโลก ในเวลานี้ ได้มีคณะทำงานจับกลุ่มเฝ้ารอการดำเนินงานในภาวะวิกฤตตามจุดต่างๆ มากมายหลายแห่ง แต่ละกลุ่มต่างเรียกตนเองว่ากลุ่มแห่งแสงสว่าง กลุ่มธรรมะและอื่นๆ แต่ทั้งหมดนี้หาได้เป็นกลุ่มแห่งแสงสว่างที่แท้จริงทั้งหมดไม่ .. ทว่าล้วนมีฝ่ายมืด จิตมารแอบแฝงซ่อนตัวปะปนมาด้วยทุกกลุ่ม แล้วท่านควรจะทำเช่นไร?

    ๑. ตั้งจิตถึงองค์พระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระผู้ปกครองในยุคของท่านเป็นหลัก น้อมจิตนมัสการถึงท่าน พระธรรมคำสอนของท่านและพระอริยสงฆ์ให้ครบองค์พระรัตนตรัย ขอบารมีจากองค์คุณทั้งสามให้ช่วยโปรดเมตตาส่องกระแสแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นในใจของท่าน เพื่อให้ท่านได้สามารถมีสายตาและจิตใจที่เจิดจ้าชัดเจน ในการที่จะมองเห็นหนทางที่แท้ที่ท่านควรจะเดินไป

    .. ทั้งนี้ ท่านจะได้รับบารมีธรรมจากพระองค์ท่านก็ต่อเมื่อ ท่านได้เริ่มปฏิบัติตามที่ระบุไว้ใน "ข่าวสารแห่งธรรม ครั้งที่ ๑" มาแล้วในระดับหนึ่งเท่านั้น หากท่านยังประมาทในชีวิตในจิตวิญญาณของท่านเอง ท่านจะยังคงมืดบอดต่อข่าวสารและความสว่างดังกล่าวนี้..สำหรับต่าง ชาติต่างศาสนา ขอให้ตั้งจิตถึงพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดของท่าน เพราะบารมีของท่านเหล่านั้น สามารถแผ่ไพศาลครอบคลุมถึงดวงจิตดวงวิญญาณในทุกชั้นทุกภูมิเช่นเดียวกัน

    ๒. ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับโลกและระบบสุริยจักรวาลของท่าน ให้เข้าสู่พลังงานใหม่นั้นได้ถูกจัดวางระบบระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยมานานแล้ว สืบเนื่องจากข้อ ๑ การรักษาศีล การปล่อยวางทางจิต การชำระล้างจิตใจฝ่ายมืดของท่านให้เบาบางลงไปมากที่สุด จะมีผลต่อสภาวะวิกฤตของการปรับเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กล่าวคือ ได้มีการกำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วสำหรับผุ้มีกรรมหนัก ผู้มีกรรมเบา ผู้ที่ยังคงกำมือยึดติดกิเลสหนาๆและบางสิ่งบางอย่างเอาไว้อย่างเหนียวแน่น จะได้รับผลร้ายเช่นไร ..และสำหรับผุ้ที่สำนึกได้ ตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริงได้ พร้อมทั้งได้เริ่มต้นก้าวเข้าสู่กระแสธรรมของพระพุทธองค์ จะได้รับผลดีเช่นไร

    อนึ่ง ท่านที่สามารถชำระล้างจิตใจของตนเองให้สะอาดได้ในระดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลาท่านจะได้รับสาส์น ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของการมองเห็นบางอย่าง หรือเกิดการดลใจให้เดินทางหรือกระทำบางอย่าง ซึ่งเกื้อหนุนให้ท่านและครอบครัวแคล้วคลาดปลอดภัย แต่หากท่านไม่ได้เริ่มชำระล้างจิตใจของท่านเองตั้งแต่วันนี้ ท่านจะยังคงเป็นคนมืดบอด ..มืดบอดทั้งโลกนี้และโลกหน้าที่ท่านจะเดินทางไป..ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรประมาท ด้วยประการทั้งปวง..

    ๓. เมื่อท่านได้ทำการขอขมาและขออโหสิกรรม ต่อผู้มีคุณทั้งปวง พร้อมทั้งได้แผ่เมตตาให้กว้างออกไปโดยไร้ข้อจำกัดไปยังบรรดาสรรพสัตว์ ภูตผี สัมภเวสี เปรต อสุรกายและจิตญาณทุกชั้นทุกภูมิ โดยกระทำอยู่เป็นนิจ กระทำโดยปราศจากความคิดอคติข้อยกเว้นในอริหรือผู้ใดที่ท่านไม่ชื่นชอบ และปราศจากความคาดหวังใดๆ ให้ตัวท่านเอง ..จิตวิญญาณของท่านจะเกิดความสว่างไสวขึ้นโดยอัตโนมัติ

    .. เมื่อความคิด คำพูดและการกระทำทางด้านมืดใหม่ๆ ไม่เกิดขึ้น ของเก่าที่ตกตะกอนค้างนิ่งมานานก็จะค่อยๆ เสื่อมสลายไปด้วยกระแสธรรม บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่ท่านจะสร้างขึ้นใหม่ก็มีน้อยลง บรรดาเจ้ากรรมนายเวรเก่าๆ ที่เคยอาฆาตจะเอาชีวิตท่านก็จะบรรเทาลงเหลือเพียงความโกรธ ..บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่โกรธท่านอยู่ก็จะบรรเทาเบาบางลงไป จนหายเป็นปลิดทิ้งแล้วก็จากท่านไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหล่านั้น ยังจะอนุโมทนา เคารพท่านและขอบคุณท่านที่ได้มอบพลังบุญจากการปฏิบัติภาวนาในกระแสธรรมของท่านอีกด้วย

    ๔. ในการก้าวเข้าสู่กระแสธรรมจากการปฏิบัติตามข้อ ๓ ในระยะแรก ท่านจะพบความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยทางร่างกาย ท่านอาจท้องเสีย มีผดผื่น เป็นไข้ ปวดหัวหนักๆ ต่อเนื่องหรืออื่นๆ ..ส่วนทางจิตใจ ท่านจะได้พบกับฝันร้ายถึงปิศาจ ผี มาร เปรตหรืออะไรต่างๆ ติดกันหลาย ๆคืน..ขอให้อย่าได้ตกใจกลัวหรือตระหนกกับสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นการผลักดันกระแสมืด ออกจากร่างกายและจิตใต้สำนึกของท่านโดยกระแสธรรม

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท่านภาวนาได้มาถึงระดับหนึ่ง ท่านจะค้นพบความมืดในใจของท่านชัดเจนขึ้น ท่านจะพบการดิ้นรนทุรนทุรายและไม่ยอมพ่ายแพ้โดยง่าย ของมารหรือกิเลสที่มันฝังตัวอยู่ในนั้น มันมักจะกล่อมท่านด้วยภาพ ด้วยความฝันหรือรูปลักษณ์อื่นๆ ความคิดอื่นๆ ซึ่งจะคอยชักจูงท่านให้เดินออกจากกระแสธรรม แล้วหวนกลับไปสู่กิเลสและสิ่งต่างๆ ที่ท่านเคยมีเคยเป็นอยู่ในโลกใบเดิมของท่าน ซึ่งท่านเรียกมันว่าความอบอุ่นที่คุ้นเคย แต่หาใช่ความอบอุ่นที่แท้จริงไม่

    ในกาลนี้ ขอให้ท่านย้อนกลับไปปฏิบัติตามข้อ ๑ อีกครั้งด้วยความเพียรที่ท่านมี ด้วยความหนักแน่น และด้วยความมุ่งมั่นของท่าน อาศัยบารมีแห่งองค์พุทธะ ท่านจะสามารถชนะมารในใจท่านได้ด้วยความเมตตาและความรักของท่านได้ในที่สุด.. เนื่องจาก บารมีแห่งองค์พุทธะนั้นสว่างไสวไปทั่วสากลจักรวาลทุกชั้นทุกภูมิ และสามารถเอาชนะมารได้ทั้งหมดทุกตัว อย่างไม่มีข้อยกเว้น..

    ๕. ในกาลข้างหน้า ท่านจะได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกมากขึ้น ท่านจะเห็นภัยพิบัติถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น แต่ขอให้ท่านเข้าใจว่า กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อยกระดับพลังงานและจิตวิญญาณของโลกใบนี้ให้สูงขึ้นสู่ระดับจักรวาล ทั้งหมดเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตกาล และจะคงยังมีอีกนับไม่ถ้วนครั้ง

    ในอนาคตกาลท่านจะพบเห็นสงครามกลางเมือง สงครามระดับประเทศ ผู้คนที่มีจิตมืดจะออกมาประหัตประหารกันเอง ด้วยพวกเขาเข้าใจว่าการประหัตประหารนั้นนำมาซึ่งการยึดครองถือครองและครอบครองโลกใบนี้ ผู้คนจำนวนมากจะถูกหลอกใช้ด้วยเข้าใจว่า ตนเองกำลังมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นการกระทำโดยฝ่ายมาร ..ทว่าเป็นความเข้าใจและปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้นโดยฝ่ายธรรม ...ท่านที่ "ตื่นแล้ว" ขอให้หลีกเลี่ยงและอย่าได้เดินเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก

    ท่านจะได้พบกับสภาพอากาศที่วิปริตแปรปรวนมากขึ้นเรื่อยๆ ความเหน็บหนาว หิมะตก ลูกเห็บหล่น แผ่นดินไหวหนักหน่วงถี่ขึ้นๆ จวบจนกระทั่งเกิดขึ้นหนักที่สุดพร้อมกันทั่วโลก ลมพายุหมุนนับไม่ถ้วนลูก พายุฟ้าผ่า ภูเขาไฟระเบิด ฟ้ามืดมนต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์คล้ายกับดับหายไปในช่วงวิกฤต ...ท่านที่ปฏิบัติดีแล้ว ขอให้อยู่ในความสงบ ฟังเสียงในหัวใจของท่าน ฟังสัญชาติญาณที่ได้รับการดลใจจากพระพุทธองค์และพระศรีอาริยเมตไตรย ด้วยความปล่อยวางและการคลายจิตของท่านมาก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านจะต้องตื่นกลัวอีกต่อไป

    ท่านจะพบการจากไปของสัตว์และสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ ในขณะที่จะได้พบกับการมาเยือนของบางสายพันธุ์ที่ท่านไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กระดับเชื้อโรค ที่จะสามารถมาทำร้ายสุขภาพของหลายๆ ชีวิต ในขณะเดียวกัน สัตว์ร่วมโลกจำนวนหนึ่งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขาจะดุร้ายเกรี้ยวกราดมากขึ้น จะทำร้ายกันเองหรือทำร้ายผู้เลี้ยงอย่างขาดสติ ดังนั้น ท่านที่มีสัตว์เลี้ยงขอให้เฝ้าระวังดูแลและสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของท่านให้ใกล้ชิด ในภาวะวิกฤต ท่านอาจได้รับอันตรายจากสัตว์เลี้ยงของท่านเอง

    ระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้ชาวโลกดื่มด่ำกับการเป็นหนี้เป็นสิน ระบบการเงินต่างๆ เหล่านี้จะล่มสลายลงและได้รับการจัดสรรสิ่งใหม่ขึ้นมา สภาวะเสื่อมสลายของระบบที่คิดค้นโดยฝ่ายมืดจะค่อยๆ เกิดขึ้น มากขึ้นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้เมื่อท่านได้เห็นสัญญาณบางอย่างในระบบเศรษฐกิจโลก ท่านควรเปลี่ยนกระดาษในมือของท่านเป็นสิ่งของสำหรับค้ำจุนชีวิต ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษใช้ก่อไฟเท่านั้น

    ทั้งหมดนี้ บางท่านอาจจะตื่นกลัว หรือตระหนกตกใจกับข่าวเภทภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั่นหมายความว่า ท่านยังไม่ได้ผ่านการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่กระแสธรรมอย่างแท้จริง และท่านยังไม่เข้าใจจริงๆว่าทั้งหมดชีวิตและโลกนี้ ที่ท่านลืมตามาอาศัยและหายใจรดอยู่ทุกวันๆ นั้น คืออะไร..ท่านควรเร่งศึกษา สอบถามผู้รู้ ขอรับคำชี้แนะด้วยความนอบน้อมเมื่อท่านเข้าใจและเห็นภาพรวมต่างๆ ชัดเจนดีแล้ว ท่านจะอยู่ในอาการที่สว่าง สงบและยิ้มรับความเปลี่ยนแปลงอย่างเบิกบาน..

    ๖. ท่านที่ยังคงประมาท ไม่ได้เริ่มที่จะเรียนรู้ ไม่คิดที่จะศึกษาและไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนสั่งไว้ ในช่วงวิกฤตนั้นท่านอาจจะได้พบกับสภาวะยุ่งยากจากผู้มาเยือนจากภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์นรกหรือจิตญาณอื่นใดก็ตาม ที่ยังคงมีพันธะทางวิญญาณ ติดตามโกรธแค้นต่อท่านจากอดีตชาติ ในกาลเวลานั้น พวกเขาจะมาหาท่านถึงเคหะสถานของท่าน หากท่านไม่ทราบว่าจะรับมืออย่างไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร ท่านจะประสบปัญหาหนักกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น ขอให้เริ่มต้นศึกษาและถามไถ่ผู้รู้จากกรณีดังกล่าวนี้

    ๗. ในบรรดาเส้นทางแห่งกระแสธรรมทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะมาจากทิศใด อ้อมๆ เลี้ยวโค้ง มีหลุมมีบ่อ เป็นเลนตมหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะได้มาร่วมอยู่ในเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น ท่านใดถูกจริตในการจะเริ่มที่กลางทางก็ทำไปตามนั้น ท่านใดถูกจริตที่จะเริ่มต้นตั้งแต่การฝึกสมาธิให้เรียบและทรงพลังก็ขอให้ทำไปตามที่ท่านรู้สึก หรือหากท่านใดที่พบว่าท่านผ่านการเรียนรู้มาไกลแล้วตั้งแต่อดีตภพก่อนหน้านี้ ก็ขอให้ท่านเริ่มต้น ณ จุดที่ท่านสัมผัสได้

    .. ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออย่าได้ตำหนิติเตียน ดูถูกดูแคลน กล่าวหาว่าร้ายหรือโต้แย้งบาดหมางซึ่งกันและกัน ทว่าขอให้เมตตาต่อกัน ชี้แนะต่อกัน ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน .. ส่วนฝ่ายที่จะได้รับการชี้แนะสอนสั่งนั้น ก็ขอให้เคารพนบนอบต่อครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะยังคงมีบางสิ่งบางอย่างในตัวครูบาเหล่านั้นที่ท่านยังคงไม่ชอบใจอยู่ก็ตามที ทั้งนี้.. เมื่อถึงเวลาอันควร ท่านผู้มีคุณเหล่านั้น ต่างก็จะได้บรรลุหลุดล่วงสู่กระแสธรรมเดิมแท้ด้วยกันทั้งหมด

    ...จากนี้ไป ยังคงมีเวลาให้ท่านได้เริ่มต้นอยู่บ้าง สำหรับท่านที่ยังไม่แน่ใจและสับสน สำหรับท่านที่มีการเตรียมพร้อมทั้งทางกายและจิตวิญญาณดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านช่วยบอกสอนผู้อื่นต่อไป เท่าที่ท่านจะทำได้เขาจะรับฟังและปฏิบัติตามหรือไม่ ทั้งหมดเป็นบุญกรรมของเขา ขอให้ทำไปตามหน้าที่ด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีขอบเขต เท่านั้นพอ..

    ..ขอให้เจริญในธรรม..(-/\-)
    ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
    วิญญ์ ขวาทิต สื่อสาร..


    ที่มา http://goosehhardcore.forums2u.com/t1731-topic
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 173406.gif
      173406.gif
      ขนาดไฟล์:
      88.8 KB
      เปิดดู:
      948
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2012
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ข่าวสารแห่งธรรม(ครั้งที่ ๑)

    [​IMG]

    ระยะนี้ บางคนจะเริ่มเห็นตัวเลข 11:12, 22:23, 18:19 ตัวหลังจะบวกไปหนึ่ง (แต่ใครยังเห็น 11:11, 22:22 ก็ไม่เป็นไร) นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ..เริ่มนับวินาทีที่หนึ่งได้แล้ว...แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วต้องทำอะไร?

    ๑. รักษาศีลโดยเจตนา จะเป็นศีลกี่ข้อก็ขอให้พิจารณาตามศักยภาพและสถานะของตนเอง ศีลโดยเจตนา หมายถึง ให้รักษาโดยเคร่งครัดภายใต้เจตนา แต่หากมีการพลาดพลั้งผิดศีลขึ้นโดยไม่เจตนา ไม่ต้องโกรธไม่ต้องโทษตัวเอง ให้อธิษฐานขอขมา โดยอาศัยองค์พระพุทธเจ้าและพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นประธานในทันที

    ๒. เมื่อตื่นนอน ก่อนนอน และระหว่างวัน ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอบน้อมนมัสการและสักการะพระคุณอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ท่าน รวมไปถึงพระศรีอาริยเมตไตรย์ ผู้ทรงมีมหาเมตตา มหากรุณาต่อมวลมนุษยชาติในฤดูกาลนี้อย่างหาที่เปรียบมิได้

    ๓. การเปลี่ยนแปลงของโลกหลังจากวันนี้เป็นต้นไป จะหนักหน่วงมากขึ้น ทั้งทางกายภาพภูมิประเทศ เปลือกโลก ใต้โลก ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ค่านิยม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ..

    ๔. ผู้ที่เริ่มเห็นแสงสว่าง ให้เดินห่างออกจากกลุ่มชาวมืด คิดชั่ว ทำเลว จิตใจหยาบช้า แล้วให้รวมกลุ่มกับผู้ที่มีแสงสว่างในใจเช่นเดียวกัน ผลจากการกระทำนี้ จะส่งผลให้ท่านยกระดับจิต พัฒนาสภาวธรรมให้บังเกิดในใจได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น อันจะเป็นผลให้ท่านได้รับพลังพิเศษได้ง่ายในโอกาสต่อไป... ส่วนบรรดาสัตว์นรกในร่างคน ในเวลาไม่ช้าไม่นาน จะออกมาประหัตประหารกันเอง ทำสงคราม ทำลายล้างกันเองด้วยอาวุธรุนแรง ... ขอให้เลี่ยงออกมา ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม หากได้รับผลกระทบออกมาบ้าง ก็จะเพียงเล็กน้อยต่อพวกท่าน

    ๕. ข่าวสารการบ้านการเมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษทางจิต ขอให้หลีกเลี่ยง หากการเสพข่าว ส่งผลให้เราเครียด โกรธ อยากฆ่า อยากทำร้ายนักการเมือง ขอให้งดเสพข่าวเหล่านั้น นอกเสียจากว่าสามารถวางใจให้นิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ เหล่านั้น ..(ข่าวการสังหารผู้นำขบวนการ หรือผู้นำชาติใดก็ตามที่ทางอเมริกายินดี.. ขอให้อย่าร่วมยินดีไปกับพวกเขา ฝ่ายมืด) หากการติดตามข่าวของพวกเขาเหล่านั้น เป็นไปเพื่อปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ควรจะเป็นไปโดยที่ท่านไม่ได้มีอารมณ์เกรี้ยวกราดตามกระแสมืด ๆ ของข่าว หากท่านทำไม่ได้ตามนั้น ไม่ควรติดตามด้วยประการทั้งปวง

    ๖. ให้หลีกเลี่ยงการรับชมภาพยนตร์สยองขวัญ แอ็กชั่นทำลายล้าง เข่นฆ่าเลือดสาด สืบสวนสอบสวนระทึกตื่นเต้นเขย่าขวัญทั้งหมด.. นอกเสียจากว่า จะทำใจให้นิ่งในการรับชมภาพในกล่องนั้นได้

    ๗. ให้กระทำกิจวัตรประจำวันตามสัญชาตญาณของร่างกาย เช่น ง่วงหนักๆ ให้นอน หิวจัดๆ ให้รับประทาน ปวดหัวหนักๆ ก็ควรนอนให้เพียงพอ พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย (หากอยู่ภายใต้ผลอุทกภัย ให้ดื่มในปริมาณพอประมาณที่ร่างกายไม่รู้สึกขาดจนเกินไป) พยายามทำสมาธิ วิปัสสนา เจริญมรณานุสติ เพื่อปลงอัตตาและปล่อยวางอย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน

    ๘. หมั่นสำรวจจิตใจของตน ว่ายังคงยึดจับอะไรเอาไว้บ้าง ยังคงมีกิเลส ข้อเรียกร้อง ความคาดหวัง อีโก้ ความหยิ่งยโส ศักดิ์ศรี ความทะเยอทะยาน ความดูถูกเหยียดหยาม สมเพช อิจฉาริษยา รังเกียจ หรือความรู้สึกทางด้านลบอื่น ๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากอัตตาของตนเองอะไรอยู่บ้าง..การค้นพบจะเกิดขึ้น เมื่อท่านยอมรับและซื่อสัตย์ต่อตนเอง และเมื่อค้นพบแล้ว ไม่ต้องโกรธและตำหนิตนเอง แต่ให้รัก รักความคิดร้าย ๆ ทุกแง่มุมที่ท่านได้รับมันมาตั้งแต่ในอดีตกาล

    ให้ส่งพลังแสงสว่างทางจิตเข้าไปในร่างกายและจิตใจของท่าน ให้บอกมารในใจของท่านว่า ท่านรักเขา ท่านอภัยให้เขา และท่านอโหสิกรรมและขอขมากรรมต่อสิ่งใดก็ตามที่ท่านและเขาเคยกระทบกระทั่ง และก่อกรรมต่อกันไว้ ...จากนั้น ให้อธิษฐานจิต โดยตั้งองค์พระพุทธเจ้าและพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นพระประธาน ให้ท่านขอขมากรรม ต่อความคิด คำพูด และการกระทำในแง่ร้ายทั้งหมดที่ท่านเคยปรามาส เคยก่อเอาไว้ และกำลังก่อในขณะนั้น โดยไม่ต้องตำหนิตัวเอง

    ๙. ในทำนองเดียวกัน ให้ขอขมากรรม และอโหสิกรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวรของท่าน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะปรากฎกายมาในรูปของ คนหรือสัตว์ ผี เปรต อสุรกาย ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในความฝัน ขอให้ตั้งจิตอธิษฐาน ตามข้อ ๘

    ๑๐. ท่านจงแผ่เมตตา เป็นจำนวนครั้งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน ว่างเมื่อไรจากกิจการงาน ขอให้ท่านแผ่เมตตาออกไปกว้าง ๆ โดยไม่จำกัดพื้นที่ ไม่จำกัดว่าศัตรูในอดีตของท่าน หรือคนที่ท่านเคยคิดร้ายด้วยจะอยู่ภายในรัศมีนั้นก็ตาม ยังคงมีเวลาอีกระยะหนึ่ง สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมจิตอะไรเลย แต่ทว่า เวลาดังกล่าวนั้น ไม่ได้ยาวอย่างที่ใคร ๆ คิดเลย..

    เจริญในธรรม (-/\-)
    วิญญ์ ชวาทิต

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2012
  8. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    <TABLE id=post6454845 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_6454845 class=alt1>อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ k_97 [​IMG]
    25 ก.ค. 55

    ความฝัน เลอะเทอะ เปลอะเปื้อน
    ด้วยเรื่อง ศึกสอง เทวา
    ดาวดึงส์ เทวา อสุรา
    กังขา ในเรื่อง เดิมเดิม

    เนื้อเรื่อง เกาเหลา เก่าเก่า
    เมาเหล้า ถูกโยน ลงมา
    อสูร ไม่ยอม เสียท่า
    พาลมา หาเรื่อง เรื่อยไป

    กำลัง ถูกแบ่ง แฝงลง
    ช่วยคน บนโลก พ้นภัย
    อสูร ก็เลย ได้ใจ
    เองไป ข้าก็ ยึดครอง

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    26 ก.ค. 55 ลุกเสียม้า

    เช้าเมื่อวาน นิมิตไปว่า ตัวเองถือดาบยืนคุมชายฉกรรจ์มากมายที่รวมกันอยู่ในห้องซึ่งสร้างอยู่บนภูเขา

    ภาพต่อมา ตัวเองถูกไล่ลงมาจากเขาลูกนั้น

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>Last edited by k_97; วันนี้ at 11:31 AM.
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("6454845")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    มีข่าวจากรายการทอร์คโชว์ ของ จอห์น มัวร์ ในสหรัฐ ออกอากาศเมื่อวันที่ ๑๑ ก.ค. ที่ผ่านมา เพิ่งมีการประชุมครอบครัวของทหารอเมริกัน ในค่ายต่างๆ ในประเทศ โดยผู้เข้าประชุมต้องเซ็นในสัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ สรุปผลการประชุมว่า ให้พร้อมอพยพได้ทันทีจากชายฝั่ง เมื่อได้รับคำเตือนแบบกระทันหัน (คาดว่าในเวลาอีกไม่นานนักจากนี้) เพราะว่าจะมีดาวแคระ โคจรเข้ามา ทำให้เกิดคลื่นยักษ์

    รับทราบไว้พิจารณาเป็นข้อมูลก็แล้วกันครับ

    ใครอยากไปฟัง ดูได้ที่ยูทิวบ์ส นี้
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=P_toH3xGg78"]YouTube - Broadcast Yourself[/ame]
     
  10. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    พระก็คนเหมือนๆกันแหล่ะ นี่คือพระสติแตกงัยครับ!!!
     
  11. แสงสีขาว

    แสงสีขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2012
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +436
    John Moore Show with Ann Morrison on RBN July 21, 2012.
    Nibiru will make it's closest passage to Earth coming into our Solar System on August 17, 2012. http://www.republicbroadcasting.org
    Asteroid 2012-DA14 on a collision course with earth scheduled on Feb 15, 2013. Also Nibiru will be in closest proximity to the Earth between Aug 17th and Sept 26th 2012. Expect some Earth events during that time.
    July 18, 2012
    Ladies and Gentlemen,

    "No Need For Panic" is the title of my paper I wrote the Fall of 2005, published in January 2006.

    This note is a follow-up to my paper.

    Tuesday July 10th, one of my private trusted sources told me the following: He heard a woman telling her employer that she attended a classified briefing for spouses of D.O.D. personnel that are part of C.O.G. (Continuity Of Government) contingency planning. This may constitute 1 or 2 % of all D.O.D. personnel.

    Prior to the briefing beginning, she had to sign a non-disclose agreement. During the briefing, she was told about Nibiru ( Planet X, Wormwood) and the soon-to-happen flooding of the Atlantic coast. She was shown a map that very closely resembled the map on my DVD showing flooding of North America coastal areas.

    She was told to prepare for an evacuation order that would come soon, They were told they may have as much as two weeks warning, they may not. They were told they could bring one carry-on bag and one suitcase and that they would abandon all other possessions and property.

    Monday July 16, I had another private source in Homeland Security verify the information of the above mentioned briefing.

    Today I spoke with another source, Mr. Mike Harris. Mike is a fellow talk-show host at RBN with the time slot following mine. Mike has a private trusted source who is a high-ranking member of a foreign intelligence agency. This source tells Mike that Nibiru will make it's closest passage to Earth coming into our Solar System on August 17, 2012 and it's closest passage outward bound on September 26, 2012.

    Mike has verified this intelligence with another private source, a former high-ranking member of the Reagan administration.

    All intelligence received so far points to an Atlantic Ocean event (probably connected to the Canary Island risk of a land slide generating a tidal wave) There are some unknowns here, the exact nature of which areas are most at risk is one of them. The safe thing to assume/act on, is all coastal areas (800' altitude and lower) are at risk.

    One of the things I learned in U.S. Military Intelligence School (as well as being criminal investigator since 1973) was to look for reliable sources who don't know each other, giving the same information. Here we have four reliable sources all saying the same thing.

    I trust this intelligence enough to be taking personal action based on it.

    We human beings go through this every 3,600 years. The range of effects run from mild irritation to killing most inhabitants of Earth with: major earthquakes, volcanoes, flooding, 200 mph winds and meteor strikes.

    On Wednesday, July 25th, Mike Harris will join me on my radio show as my guest. We will be discussing these matters.

    That's at 0700 CDT 7/25 on Republic Broadcasting ( link at my web site The Liberty Man - Home )

    This is an on-going intelligence gathering project. I will report my findings as they develop.

    Regards,

    John Moore
     
  12. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ฝันเรื่องนี้เหมือนกันนะ แต่แอบคิดถึงเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วผิดปกติ ว่าจะเพิ่มมวลน้ำทะเลมั้ย

    <TABLE id=post6399244 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>14-07-2012, 09:58 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#3316 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Aqua-ma-rine<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6399244", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 790
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,017
    ได้รับอนุโมทนา 1,675 ครั้ง ใน 332 โพส
    พลังการให้คะแนน: 301 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_6399244 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->ที่กำลังจะเล่านี่เป็นความฝันนะ มันก็เวอร์ๆ เหมือนฝันทั่วไป คงจะไม่ต้องไปจริงจังหรอกนะ แค่เล่าสู่กันฟัง

    ก็คือฝันว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่คนรอบข้างไม่มีใครรู้ แล้วตัวเองก็ไม่รู้ด้วย นึกว่าเป็นชาวโลกเหมือนคนอื่นๆ

    [​IMG]

    จนวันนึง สังเกตเห็นสัญญาณน้ำทะเลจะไหลท่วมแผ่นดิน ก็รีบบอกคนที่รู้จักกัน ก็ไม่มีคนเชื่อ แล้วน้ำมันก็บ่ามาอย่างเร็ว ไหลเข้าไปถึงในเมือง ย่านชุมชน

    ตอนนั้นก็เลยรู้ว่าตัวเองผิดแปลกจากคนอื่น เพราะว่าบินได้ ก็พยายามจะช่วยอพยพเด็กๆ ไปที่สูง แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะแรงไม่เยอะนะ แต่ก็โชคดีเพราะน้ำมาไม่มาก มันก็แห้งไปภายในเวลาไม่นาน แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเสียหาย

    แต่หลังจากนั้นอีกระยะนึง ตัวเองก็เห็นภาพอนาคตอีก ว่าทีนี้น้ำทะเลจะท่วมผืนแผ่นดินอย่างเยอะเลยนะ แล้วเป็นอิทธิพลมาจากดาวใหญ่ดวงนึง ที่เข้ามาในวงโคจรของโลก

    ประมาณว่า ตรงที่เคยเป็นพื้นที่อยู่อาศัยธรรมดาๆ ยังเห็นปลาไหลทะเลมาว่ายน้ำเล่น แบบชิลๆ

    ก็เกิดรู้โดยสัญชาติญาณว่า ต้องขอความช่วยเหลือไปหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน จะได้มาช่วยกันเคลื่อนย้ายชาวโลกไปหาที่ปลอดภัยที่อาจจะพอเหลืออยู่ ก็เลยส่งสัญญาณ พอทำเสร็จ ตัวเองก็มาคิดได้ว่า ต้องบอกชาวโลกที่รู้จัก และเห็นว่านิสัยดีไว้ใจได้ ให้รู้เรื่องพวกนี้ด้วย

    ในฝัน ก็กำลังจะบอกเลยนะ กับชาวโลก 2 คน แต่ก็ตื่นก่อน ก็เห็นว่าฝันตลกดี แปลกก็แปลก อย่างกับหนังแน่ะ คิดว่าคนที่นี่คงจะพอรับได้นะ<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    .................................................................................
    นั่นดิ......:cool:........ไม่ว่าจะอยู่ในอาภรณ์แบบไหนถ้าสติระลึกได้ตามกำกับไม่ทันก็....ผลอย่างที่เห็น........:boo:
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "สงครามอสูรกับเทวา"คือที่มาของ"บทสวดอิติปิโส"

    [​IMG]

    ธชัคคสูตร
    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถาวรรค

    ธชัคคสูตร เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยอานุภาพแห่งการระลึกถึง พระรัตนตรัย ที่พระพุทธองค์ทรงนำเอาเรื่องการทำสงครามระหว่างเทพกับเทพอสูรมาเป็นข้อ เปรียบเทียบ เพื่อเตือนใจภิกษุผู้ไปทำความเพียร อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรอันเงียบสงัด ห่างไกลจากผู้คนสัญจรไปมา

    การอยู่ท่ามกลางป่ากว้างดงลึกของภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนเช่นนั้น ย่อมจะก่อให้เกิดความหวาดกลัวขนผองสยองเกล้า เมื่อเกิดความรู้สึก หวาดกลัว พระพุทธองค์แนะนำให้ภิกษุระลึกถึงธง คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ หรือพระสังฆคุณ แล้วจะสามารถข่มใจระงับความหวาดกลัวบำเพ็ญเพียร ต่อไปได้

    การสวดธชัคคสูตรก็เพื่อเป็นการทำลายความหวาดกลัวขนพองสยองเกล้า สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปอยู่ต่างถิ่น หรือในสถานที่ที่ไม่ คุ้นเคย โดยน้อมเอาคุณของพระรัตนตรัยมาสร้างเสริมกำลังใจให้เกิด ความอาจหาญแกล้วกล้าในการต่อสู่อันตรายและอุปสรรคนานาประการ

    นอกจากนั้น ธชัคคสูตรยังช่วยคุมครองป้องกันอันตรายจากที่สูง หรืออันตรายทางอากาศ เช่น อันตรายจากการขึ้นต้นไม้สูง อันตรายจากการเดินทางที่ต้องผ่านหุบเขาเหวผาสูงชัน อันตรายจากสิ่งที่ตกหล่นมาจากอากาศ และในปัจจุบันยังนิยมใช้สวดเพื่อป้องกันอันตรายอันจะเกิดจากการเดินทางโดย เครื่องบิน

    โดยทั่วไปการสวดบทธชัคคสูตรไม่นิยมสวดทั้งสูตร แต่จะสวดเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ซึ่งเป็นหัวใจของพระสูตรนี้ เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า "สวดอิติปิโส" เว้นไว้แต่มีเวลามากและต้องการสวดเป็นกรณีพิเศษจึงจะสวดทั้งสูตร

    ธชัคคสูตร

    เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ฯ ภะคะวา เอตะทะโวจะ

    ภูตะปุพพัง ภิกขะเว เทวาสุระสังคาโม สะมุปัพะยุฬโห อะโหสิฯ อะถะโข ภิกขะเว สักโก เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ สะเจ มาริสา เทวานัง สังคามะคะตานัง อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา มะเมวะ ตัสะมิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ

    อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ ปะชาปะติสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ

    อะถะ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ

    อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะตีติ ฯ

    ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยเยถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ ตัง กิสสะ เหตุ สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห ภิรุฉัมภี อุตะราสี ปะลายีติ ฯ

    อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ สะเจ ตุมหากัง ภิกขะเว อะรัญญะคะตานัง วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา มะเมวะ ตัสะมิง สะมะเย อะนุสสะเรยยาถะ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ - สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ

    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ธัมมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    สังฆัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ ตัง กิสสะ เหตุ ตะถาคะโต หิ ภิกขะเว อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วีตะราโค วีตะโทโส วีตะโมโห อะภิรุ อัจฉัมภี อะนุตราสี อะปะลายีติ ฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา อิทัง วัตะวานะ สุคะโต อะถาปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา

    อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเร วะ ภิกขะโว
    อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง ภะยัง ตุมหากะ โน สิยา
    โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง
    อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง
    โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง
    อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง
    เอวัมพุทธัง สะรันตานังธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว
    ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วาโลมะหังโส นะ เหสสะตีติ ฯ

    คำแปล

    ข้าพเจ้า ได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี ใน เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "พระพุทธเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์ต่อไปว่า

    ภิกษุทั้งหลาย เรื่องราวในอดีตกาลอันไกลโพ้นเคยมีมา แล้ว ได้เกิดสงครามระหว่างเหล่าเทวดากับเหล่าอสูรขึ้น ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราช ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพ ตรัสเรียกเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ถ้าพวกเทวดาเข้าสู่สงครามแล้วเกิดความกลัว หวาดสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้า ขอให้ท่านทั้งหลายแลดูยอดธงของเรา เพราะเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราแล้วความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ถ้าพวกท่านทั้งหลายแลดูยอดธงเราไม่ได้ ก็ขอให้แลดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดี เพราะเมื่อท่านทั้งหลายมองดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดีแล้ว ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ถ้าท่านทั้งหลายแลดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดีไม่ได้ ก็ให้แลดูยอดธงของเทวราชชื่อวรุณ เพราะเมื่อท่านแลดูยอดธงของเทวราช ชื่อวรุณแล้ว ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ถ้าท่านทั้งหลายแลดูยอดธงของเทวราชชื่อวรุณไม่ได้ ก็ให้ แลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสาน เพราะเมื่อท่านแลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสานแล้ว ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ภิกษุทั้งหลาย แท้จริงแล้ว เมื่อเหล่าเทวดาทั้งหลายแลดูยอดธงของท้าวสักกเทวราช แลดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดี แลดูยอดธงของเทวราชชื่อวรุณ หรือแลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสาน ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่ บางทีก็หายได้ บางทีก็ไม่หาย เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าท้าวสักกเทวราชยังไม่สิ้นราคะ ยังไม่สิ้นโทสะ ยังไม่สิ้นโมหะ ยังกลัว ยังหวาดสะดุ้ง ยังต้องหนี

    ภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราตถาคตกล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าพวกเธอ ทั้งหลายไปอยู่ตามป่า ตามโคนไม้ ตามบ้านร้าง หรือที่อื่นใดแล้วเกิด ความกลัว หวาดสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้า ขอให้เธอทั้งหลายระลึกถึงเราตถาคตว่า

    "เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงเป็นครูของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ทรงมีความสามารถในการจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ฯ"

    ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงตถาคตอยู่ ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ถ้าระลึกถึงตถาคตไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงพระธรรมว่า "พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล สามารถ แนะนำผู้อื่นให้มาพิสูจน์ได้ว่า"ท่านจงมาดูเถิด" ควรน้อมนำมาไว้ในตัว ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ฯ"

    ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อท่านทั้งหลายระลึกถึงพระธรรมอยู่ ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

    ถ้าระลึกถึงพระธรรมไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ว่า "พระสงฆ์เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้วปฏิบัติ เพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติเหมาะสม ได้แก่บุคคล เหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงลำดับได้ ๘ ท่าน นั่นแหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาน้อมนำมาบูชา ควรแก่สักการะที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ ควรรับทักษิณาทาน เป็น ผู้ที่บุคคลทั่วไปควรให้ความเคารพ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ"

    ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อเธอทั้งหลาย ระลึกถึงพระสงฆ์แล้ว ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะตถาคตเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ ไม่มีความกลัว ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่หนี พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสพุทธพจน์นี้แล้วจึงตรัสนิคมคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

    ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายไปอยู่ตามป่า ตามโคนไม้ หรือตามบ้านร้าง ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วพวกเธอก็จะไม่มี ความหวาดกลัว ถ้าพวกเธอทั้งหลายไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้เป็นใหญ่ในโลก ผู้แกล้วกล้ากว่านรชน ก็ให้ระลึกถึงพระธรรม อันสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ ที่เราแสดงไว้ดีแล้วเถิด ถ้าพวกเธอไม่สามารถระลึกถึงพระธรรมที่สามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์อันเราแสดง ไว้ดีแล้ว ต่อจากนั้น ก็ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มี นาบุญอื่นยิ่งกว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้าก็จักไม่มีแล ฯ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AA.349764/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2012
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    มารที่เป็นเทวดามีจริงหรือ?

    [​IMG]

    ถาม มารที่เป็นเทวดามีจริงหรือ?

    ศาสนาพุทธจะไม่ยอมรับการปรากฏขึ้นเองลอยๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นถ้าเชื่อว่ามีเทวดา ต้องบอกได้ว่าทำกรรมอันใดจึงสมควรได้เป็นเทวดา ถ้าเชื่อว่ามีมาร ต้องสืบได้ว่ามีเหตุคือการคิด การพูด การทำชนิดใดจึงเป็นมาร กล่าวโดยกว้างที่สุดตามความเข้าใจแบบชาวบ้าน มารหมายถึงตัวขัดขวางไม่ให้ใครประสบสุข ประสบความเจริญ หรือประสบความสำเร็จประโยชน์

    ตัวอย่างที่ใช้กันในชีวิตประจำวันมักหมายถึงมารขวางความรัก ประเภทหมูจะหามเอาคานมาสอด หรือกำลังจะแต่งงานดันมีมือที่สามยื่นเข้ามาแทรกให้ต้องแตกหักกันเสียก่อน อะไรทำนองนั้น นั่นก็ถูกความหมายตามพจนานุกรมชาวบ้าน ที่ว่ามารคือผู้เป็นอุปสรรคขัดขวาง เราอยากได้อะไรแล้วมีใครมาขวาง ใจก็นึกเห็นเขาเป็นมารได้หมด

    อย่างไรก็ตาม บางกรณีใจเราคิดว่าเขาเป็นมาร แต่โดยพฤติกรรมหรือเจตนาที่แท้จริงของเขาอาจไม่ใช่มารก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นคุณกำลังจะไปทำบุญ แต่เผอิญถึงเวลาเจ้าหนี้มาทวง พอเห็นเขาปรากฏตัวที่หน้าประตูรั้วถึงกับเผลออุทานว่าแย่จริง! จะทำบุญเสียหน่อยเจอมารมาขวาง มาทำให้เสียเส้นซะแล้ว อันนี้ไม่ได้ เพราะเขาเจตนามาทำหน้าที่ทวงหนี้ที่เราก่อไว้ ไม่ได้จงใจมาขัดขวางงานบุญของเราแต่อย่างใด แต่หากเขารู้ล่วงหน้าว่าคุณจะทำบุญแล้วเจตนามาขัดแข้งขัดขาไม่ให้ออกเดินทางก็ว่าไปอย่าง นั่นถึงจะเรียกมารขนานแท้

    อีกประการหนึ่ง สำหรับความเป็นมารนั้น อย่าเข้าใจว่าใครจะเอาป้ายมาร มาแขวนคอกันโก้ๆนะครับ ไม่มีใครอยากยอมรับหรอกว่าตนเป็นมาร ทุกคนย่อมเข้าข้างตัวเองว่าตนเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายดี หรือฝ่ายพระเอก ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะชี้ชัดความเป็นมารได้คือ"กรรม" การจงใจขัดขวางความดีหรือบั่นทอนกำลังใจผู้อื่นไม่ให้เข้าถึงปลายทางอันประเสริฐนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้บุคคลเป็นมารขึ้นมา

    มารที่เป็นเทวดาก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ปักป้ายไว้ว่านี่เขตหมู่บ้านมารเหมือนที่เห็นในหนังจีน อย่างไรก็ตาม สวรรค์มีการแบ่งเขตตามกรรมเก่า ใครทำอย่างไรก็มาเข้าพวกอย่างนั้น ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยมนุษย์ที่ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ได้ จะต้องมีหลักความเชื่อและแนวทางการใช้ชีวิตในแบบของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มารประจำศาสนาก็เป็นคนในศาสนานั่นเอง เสียแต่ว่าเขามีเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้หลงผิดไปขัดขวาง หรือเตะถ่วงไม่ให้คนบรรลุถึงจุดหมายสูงสุดของศาสนานั้นๆโดยง่าย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าสำหรับพุทธศาสนาของพระองค์นั้น สาระแก่นสารอยู่ที่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง คือดับกิเลสแบบไม่มีทางกลับกำเริบได้อีก พูดง่ายๆว่าของเราตั้งเป้าให้คนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีจิตบริสุทธิ์ เป็นอิสระไร้ตัณหาขนาบข้าง ฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ขวางทางไม่ให้บุคคลได้เป็นพระอรหันต์ สิ่งนั้นนับเป็นมารได้หมด

    มารประจำพุทธศาสนาแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ

    ๑) กิเลสมาร คือกิเลสของเราเอง คงเคยคิดกันมาบ้างว่าตัวคุณเหมือนมีคนสองคนรบกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นทุกข์ อีกฝ่ายขี้เกียจหรือยังดื้อดึงหวงแหนต้นตอทุกข์เอาไว้ เช่นเห็นๆอยู่ว่าเป็นชู้แล้วจะร้อนใจ เล่นพนันแล้วจะหมดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้สักที สรุปคือตัวเราในภาคที่ใฝ่ต่ำนั่นแหละ คือมารที่ติดตามตัวไปทุกฝีก้าว ว่าไปแล้วมารประเภทนี้น่ากลัวเหนือมารชนิดอื่นใด เพราะมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แถมคนเราก็มักไม่รู้ตัว เพราะเอาแต่ตั้งท่าระวังมารแบบอื่น ไม่ได้ตั้งท่าระวังมารซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของตัวเองเอาไว้

    กิเลสมารนี่ดักทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางเลยทีเดียว กะแค่งดเว้นความประพฤติมิชอบยังสละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงการสละความหลงผิดระดับละเอียดกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมืดมนอยู่ด้วยกาม ถูกปกคลุมอยู่ด้วยตาข่ายคือตัณหา ถูกปกปิดด้วยเครื่องมุงคือตัณหา ถูกกิเลสมารและเทวปุตตมารผูกพันไว้แล้ว ต่างจึงต้องมุ่งไปสู่ชราและมรณะ เหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังตามดื่มนมจากแม่โคไปเรื่อย (จากคำตรัสตรงนี้ ยืนยันให้เห็นว่ามารที่เป็นกิเลสในตัวเราก็ส่วนหนึ่ง มารที่เป็นเทวดานอกตัวเราก็อีกส่วนหนึ่ง แสดงแล้วว่าพระศาสดาท่านรับรองการมีอยู่ของมารที่เป็นเทวดา)

    แง่สังเกตสำคัญในข้อนี้ที่อยากชี้ให้เห็น คือพวกเราทุกคนถูกกิเลสปกปิดความจริงอันประเสริฐสูงสุดไว้ ถูกกล่อมประสาทให้อาลัยอาวรณ์ ยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรยึดติดไว้ ดังนั้นเมื่อถูกสะกิดให้รู้ตัวแล้ว ก็อาจสะดุ้งตื่น และเพียรพยายามหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสมารกันต่อไป แต่หากไม่รู้ตัว ก็ย่อมพึงใจที่จะอาลัยอาวรณ์เรื่อยเปื่อย นึกว่าอะไรๆก็ควรยึดมั่นถือมั่นไว้กับตัว หวังความทนอยู่เที่ยงแท้ถาวรของตัวตนหรือสมบัติพัสถานอันเป็นที่รักไปทั้งนั้น

    อีกแง่สังเกตหนึ่งเมื่อรู้จักกิเลสมาร คือเราจะไม่เห็นว่าเพศตรงข้าม เงินทอง บ้านเรือน รถยนต์ โรงหนัง เรือยอร์ช ฯลฯ เป็นมารขัดขวางทางไปสวรรค์นิพพาน แต่จะเห็นเพียงว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องล่อให้มารทำงาน ต่อไปจะโทษอะไรก็จะได้โทษตัวเองที่เป็นภาคมารก่อนโทษข้าวของไร้ชีวิตภายนอก

    ๒) ขันธมาร คือกายใจของเราเอง อย่างที่กล่าวไว้ว่าพุทธศาสนาเรามุ่งเอานิพพานเป็นที่สุด สิ่งใดขวางไม่ให้เห็นนิพพาน สิ่งใดหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ถึงนิพพาน สิ่งนั้นจัดเป็นมาร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่ากายใจนี้แหละคือมารชนิดหนึ่ง เพราะสัมผัสทางกายใจเป็นรากฐานของความอาลัย ไม่ชวนให้เกิดความยินดีในนิพพาน

    พระองค์ท่านตรัสสอนภิกษุสาวกให้พิจารณาว่ากายนี้ก็ดี สุขทุกข์ก็ดี ความหมายรู้หมายจำก็ดี เจตนาดีชั่วก็ดี ความรับรู้ต่างๆก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้มี จึงมีความตาย จึงมีโรค จึงมีภัยประการต่างๆ สรุปคือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวทุกข์โดยตรง หากเห็นเช่นนี้ได้ ก็จัดเป็นความเห็นชอบทางพุทธศาสนาขั้นสูง

    หากคุณกำลังสงสัยว่าจะเห็นชอบเช่นนี้ไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่าประโยชน์ของความเห็นชอบทำให้แหนงหน่ายความมีความเป็น และเมื่อแหนงหน่ายก็ย่อมคลายความกำหนัดยินดีในกายใจนี้ เมื่อคลายความกำหนัดยินดีย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมเข้าถึงนิพพาน นิพพานนั่นเองเป็นที่สุดของประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อื่นใดเหนือกว่านี้อีก เพราะบุคคลย่อมดับทุกข์ดับโศกอย่างถาวรเมื่อปราศจากกายใจ ตราบใดมีกายใจก็ยังมีเครื่องล่อไม่ให้รู้จัก ไม่ให้อยากฝันถึงนิพพานไปเรื่อยๆ

    อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ อย่านึกว่าเจริญล่ะ ถ้ากายใจเป็นมารก็คว้ามีดมาแทงตัวให้ตายไม่เหมาะหรือ? ในความเห็นชอบขั้นต้นเราต้องมองว่ากายใจมนุษย์นี้เป็นบันไดกุศล เปิดโอกาสให้เราบำเพ็ญบารมีจนดีพอจะเข้าถึงพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กายใจก็ไม่เป็นมารอีกต่อไป และท่านก็ยังคงใช้กายใจนี้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกต่อไป ไม่ทำลายทิ้งเสียก่อนกาลอันควรเลย

    ๓) อภิสังขารมาร คือบาป บุญ และฌาน ที่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมารได้ก็เพราะบาปเป็นตัวก่อภพที่น่าสะพรึงกลัว บุญเป็นตัวก่อภพดีๆที่น่าติดใจไม่เลิก ส่วนฌานเป็นตัวก่อภพที่ประณีตสูงส่งเหนือกามารมณ์ ถึงแม้ดีวิเศษอย่างไร ภพก็คือภพ เมื่อมีได้ก็ต้องเสียได้ เมื่อตั้งอยู่ย่อมแปรปรวนไป เมื่อแปรปรวนไปย่อมต้องจากพราก ย่อมต้องพ้นจากสภาพนั้นๆในวันหนึ่ง บันดาลความเศร้าโศกอาลัย ความคร่ำครวญเสียดาย วนไปเวียนมาไม่รู้จบรู้สิ้น

    พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้ทำดีมากๆ คือรู้ว่ายังไม่มีดีข้อไหนก็ทำให้มีเสีย รู้ว่ามีดีข้อไหนแล้วก็เพิ่มให้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความดีอันเป็นที่สุดคือไม่สำคัญว่าความดีเป็นเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดของพุทธคือข้ามพ้นจากภาวะน่ายินดีติดใจทั้งปวง

    มีความจริงระดับยอดอยู่ประการหนึ่งที่ชวนฉงน นั่นคือเมื่อพระอรหันต์ท่านสว่างแจ้งแทงตลอดแล้ว แม้ท่านจะแสนดี เมตตากรุณาต่อชาวโลกเพียงใด อาการทางใจของท่านก็จะสักแต่เป็นกิริยา ไม่เป็นบุญแบบก่อภพก่อชาติ อันนี้อย่าไปเลียนแบบท่านนะครับ บางคนอยากลัดขั้นเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ต้องทำบุญ ไม่อยากให้ใจเป็นบุญ ความจริงพวกเราต้องเกาะบุญไว้ เหมือนตราบใดไม่ถึงฝั่งก็ต้องพึ่งเรือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประชิดฝั่งจริงๆถึงค่อยเห็นเรือเป็นมารที่สมควรทอดทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนยังอาลัยก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งเท่านั้น

    ๔) มัจจุมาร คือความตาย ที่ความตายถูกจัดให้เป็นมารก็เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนเราส่วนใหญ่จะตายเสียก่อนรู้จักหนทางหลุดพ้น หรือรู้จักหนทางหลุดพ้นแล้วก็ตายเสียก่อนจะบำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นได้สำเร็จจริง ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุจำนวนมาก บำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง แต่ยังไม่ทันสำเร็จอรหัตตผลก็หมดอายุเสียก่อน และแม้ในยุคเราก็มีพระป่าจำนวนหนึ่ง เอาชีวิตของพวกท่านไปทิ้งในป่ากันเงียบๆ โดยยังไม่ทันบรรลุผลอันเป็นที่สุดกัน

    พระอรหันต์เป็นบุคคลประเภทเดียวที่ละมัจจุมารเสียได้ กล่าวคือเมื่อหมดกิเลส จิตก็ลอยบุญ ลอยบาป อยู่เหนือธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดภพใหม่ แม้เราจะเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกายพวกท่านทอดนอนเหมือนขอนไม้ยามสิ้นลม นั่นก็ไม่จัดเป็นมัจจุมาร เพราะความตายขัดขวางการเข้าถึงนิพพานของพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านถึงนิพพานเสียก่อนที่มัจจุราชจะมาตัดหน้าชิงตัวไปเกิดในภพใหม่แล้ว

    ๕) เทวปุตตมาร คือเทวดาพวกที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเห็นใครอยากไปนิพพานเป็นไม่ได้ ต้องทุรนทุราย อยากเข้าไปขัดขวาง หรือเมื่อเห็นใครเป็นพระอรหันต์และอาจนำหมู่ชนจำนวนมากให้สำเร็จมรรคผลนิพพานตามได้ ก็จะบังเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ อยากให้พวกท่านล้มหายตายจาก ตามหลักฐานในคัมภีร์ บางทีก็เล่นงานกันตรงๆแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเมื่อเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวไม่ได้ ก็จะใช้วิธีขอให้รีบลาไปนิพพานดื้อๆ อย่างเช่นที่มารไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว หมดกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงควรกำหนดปลงอายุเพื่อดับขันธปรินิพพานเสียเถิด

    ปัจจุบันมักมีนักวิชาการมองว่าเทวปุตตมารกับกิเลสมารคืออันเดียวกัน ความจริงคือเป็นคนละอย่างกัน เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ถูกกิเลสมารมารบกวนเป็นแน่ และอีกประการคือท่านตรัสชัดว่าหมู่ชนถูกพันธนาการไว้ด้วยกิเลสมารและเทวปุตตมาร ถ้าเป็นอันเดียวกันก็คงไม่มีคำว่า"และ"มาเป็นตัวแบ่งแยก

    เดี๋ยวฉบับหน้าผมจะแสดงให้เห็นถึงกรรมอันนำไปสู่ภาวะความเป็นมาร ศึกษาความรู้เกี่ยวกับกรรมวิบากด้านนี้ไว้ก็ดีครับ เนื่องจากคนเราไม่ค่อยรู้ตัวกันว่าเพาะเชื้อความเป็นมารกันไว้คนละมากน้อยเพียงใด เมื่อรู้ก็จะได้ระมัดระวังไม่ถลำเข้าไป หรือถลำแล้วก็จะได้ถอนตัวทัน เพราะที่มีปรากฏแสดงไว้ในคัมภีร์คือหมดภาวะมารเมื่อไหร่ก็เข้าถึงมหานรกเมื่อนั้น

    ถาม กรรมอะไรทำให้เทวดาเป็นมาร สงสัยว่าทำไมขวางทางคนอื่นเป็นอาชีพแล้วยังได้เป็นเทวดาอยู่อีก?

    ข้อที่อยากให้ทุกท่านได้สังเกตก่อนอื่นใด ก็คือบุญนั้นไม่ได้พามาแต่ความรู้สึกด้านดีประการเดียว แต่มักพ่วงพาเอาความถือตัว เห็นตนเองวิเศษสูงส่งเหนือใครๆมาด้วย แล้วที่สุดก็ลงเอยด้วยความประมาท ฉันเป็นพระเอกแล้ว มีบุญกองภูเขาแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือความผิดทั้งปวงแล้ว ดูเบาบาปผิดเล็กๆน้อยๆ สำคัญว่าไม่เป็นไร ทำไปไม่มีทางร่วงหล่นสู่นรกขุมไหนๆอีกแล้ว ลองถามตัวเองเถิด ถ้าหากทำบุญมากๆแบบครบวงจรแล้วความคิดข้างต้นแวบๆวาบๆขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเคยก็ขอให้สังวรระวังเถิด เพราะนี่แหละเชื้อที่ทำให้คุณมีสิทธิ์สอบติดเป็นมารตนหนึ่ง!

    ความประมาทนั้น เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ธรรมชาติจะดึงคนดีให้ตกต่ำ ยิ่งบุญมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่องล่อให้ประมาทก็จะยิ่งใหญ่เป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกถ้าใครรู้สึกว่าตนเองและพรรคพวกสูงส่งเหนือมนุษย์ ก็มีแนวโน้มจะดูถูกดูแคลนผู้คน อยากให้ใครๆตกอยู่ใต้อำนาจตน และไม่อยากให้ใครได้ดีเกินตน

    อันที่จริงอัตตามานะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ใครเป็นมารขึ้นมาหรอก สิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งหรือเทวดาตนหนึ่งกลายเป็นมารอย่างสมบูรณ์แบบคือการตั้งความเชื่อไว้ผิด ชนิดที่นำไปสู่การก่อกรรมขัดขวางความเจริญ หรือห้ามความสำเร็จอันเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่น

    นี่ไม่ใช่การตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกันในลักษณะฝ่ายค้านทางการเมือง เพราะฝ่ายค้านเป็นฝ่ายค้านก็เพราะเลือกตั้งแพ้ จึงต้องตั้งข้อแม้ต่างๆนานาให้ดูเป็นตรงข้ามกับรัฐบาลเข้าไว้ ใจจริงๆอาจมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือตัดคะแนนรัฐบาลแบบคู่แข่งชิงชัยกันเท่านั้น ไม่ได้มีใครถูกแท้หรือผิดถาวรแบบพระเอกกับผู้ร้ายเสมอไป วันดีคืนดีอาจส่งเสริมรัฐบาลได้ถ้าภาพลักษณ์ออกมาเป็นบวกแก่ตน

    สำหรับมารของจริงจะไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามในลักษณะผู้ก่อการร้ายอย่างโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว คือทำทุกวิถีทางไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าบั่นทอนกำลังใจ ข่มขู่คุกคามขวัญ ดลใจให้อยากประพฤติผิด บังใจให้ลืมสิ่งที่ควรทำ ตลอดจนกระทั่งทำลายล้างกันตรงๆด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงขัดขวางไม่ให้ใครบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนาได้เป็นพอ ถ้ายังไม่คลุกวงในหรือคร่ำหวอดกับการศาสนาจริงจัง คุณจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ถึงว่ามีรูปแบบการขัดขวางที่พิสดารได้ปานนั้น

    ถ้ายังแปลกใจว่าทำไมเทวดายังคิดพิเรนได้ ก็ขอให้พิจารณาจากความจริงบนโลกนี้ที่เห็นๆกัน เช่นแต่ละศาสนาจะมีคนดีๆที่ไม่เห็นด้วย อาจต่อต้าน หรือกระทั่งทำลายล้างกันอยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะติดนิสัยเช่นนั้นไปยังภพอื่นภูมิอื่น ในมนุษยโลกมีพฤติกรรมแบบใดได้ บนเทวโลกและพรหมโลกก็มีพฤติกรรมแบบนั้นได้เช่นกัน เพราะมนุษย์ย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภาวะที่สอดคล้องกับนิสัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก!

    ใครดื้อ ใครไร้เหตุผล ใครใช้อารมณ์จนขาดสามัญสำนึกไปตลอดชีวิต ก็ย่อมละโลกนี้เพื่อไปสู่ความเป็นเช่นนั้นอย่างยืดยาวหาที่จบยาก เนื่องจากภูมิมนุษย์นั้นธรรมชาติให้ไว้เป็นโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง จะกระทำตัวตนแบบหนึ่งๆให้เข้มข้นถึงที่สุดก็ได้ หรือปรับเปลี่ยนรื้อถอนตัวตนแบบหนึ่งๆด้วยการแลกชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ ส่วนภพภูมิอื่นๆ โดยเฉพาะที่โตเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ผ่านการขัดเกลา ไม่มีตัวเลือกให้ตัดสินใจเป็นอื่นนั้น ย่อมปักใจอยู่กับสิ่งที่วิบากกรรมหยิบยื่นมาวางไว้ตรงหน้าอย่างเดียว เช่นถ้าเคยชินกับความเป็นผู้ขัดขวาง เขาย่อมไปสู่ความเป็นสหายในภพของผู้ขัดขวางตั้งแต่อุบัติจนถึงอายุขัย

    มาดูกันครับ ว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกติดตัวกันดีๆทุกคนจึงหลงผิดไปเป็นฝ่ายมาร ทั้งนี้ตกลงกันก่อนว่าเรากำลังคุยกันเกี่ยวกับมารของศาสนาพุทธอย่างเดียว มารของศาสนาอื่นไม่พูดถึง แต่โดยหลักการก็คล้ายคลึงกัน คือใครต่อต้านความเชื่อแบบใดก็เป็นมารประจำความเชื่อแบบนั้นๆ

    ๑) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกูลสังคม หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตา ทว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็ก หรืออาจจะเพราะโตแล้วคิดเอง คาดคะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนาให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่ กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

    ที่บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกันเลย (ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)

    ๒) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง

    หมายถึงกลุ่มคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผล เชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง แต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน ลำพังความเห็นผิดเงียบๆอยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายามล้มล้างแนวความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว

    อย่างไรก็ตาม พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีขึ้นมาหน่อย คือเวลารบกวนจะไม่มาในลักษณะการของทำร้ายกันดื้อๆ แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมากๆหลงเห็นนิมิตบางอย่าง ได้ยินเสียงบางอย่าง แล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบานหรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใส หรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

    นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีอรหันต์ดิบเกิดขึ้นเยอะ กล่าวคือปฏิบัติธรรมแล้วเกิดมหาอุเบกขา รับผัสสะกระทบแล้วเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สาทางกาม ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว ทั้งๆที่เป็นอำนาจสมาธิหรืออำนาจของศีล ๘ ที่แข็งแรงเท่านั้น อีกพวกหนึ่งเกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางจิตครั้งเดียว เช่นเกิดความว่างหายเฉียบพลันซึ่งคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์มรรคผลของจริง ก็พลัดหลงไปเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่กิเลสยังอยู่ครบ ยังโลภอยากสะสมสมบัติ ยังเกิดราคะอยากร่วมเพศ ยังเกิดโทสะหงุดหงิดรำคาญใจ และยังสำคัญตนไปต่างๆนานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

    พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริงๆตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้มีเป็นร่าง ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนหมดกิเลสแล้ว บางครั้งก็มีวิธีบังคับ หรือวิธีสำแดงตนแปลกๆได้พิสดาร สุดที่มนุษย์ธรรมดาๆจะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้

    เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่างๆนานาสารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข หาความทุกข์มิได้ ซึ่งที่แท้ก็คือภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น และจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่าการไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุข คือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

    ๓) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ

    หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจ"ทฤษฎี"ทางพุทธศาสนาถูกต้อง ทั้งในหลักกรรมวิบาก และในหลักวิธีพ้นทุกข์พ้นอุปาทานอย่างเด็ดขาด แต่พวกเขาเพียงทรงจำไว้ ไม่ปฏิบัติตนตามหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนให้ตลอดสาย ผู้ใกล้ชิดจะรู้ดีและเห็นคาตาหลายครั้ง ว่ายังเป็นผู้ตระหนี่ มีอาการเล็งโลภ โกหกโดยปราศจากความละอาย ตลอดจนหลงตัวหลงตนเกินธรรมดา

    ยิ่งศึกษามาก ทรงจำมาก ก็ยิ่งเกิดความทะนงมาก กลายเป็นอยากเพิ่มอัตตาเยี่ยงผู้มีปัญญาคิดอ่านแตกฉานยิ่งๆขึ้นไป และอยากให้ใครๆมองว่าตนรอบรู้ทรงภูมิเป็นที่หนึ่ง ซึ่งพออัตตาใหญ่ ทางหลุดพ้นจากอุปาทานก็เล็กลง คิดถึงมรรคผลนิพพานแล้วท้อใจ คือไม่ใช่แค่เห็นว่ามรรคผลนิพพานเข้าถึงได้ยาก แต่เห็นว่าเป็นของเข้าถึงไม่ได้เลยในชีวิตของตน และเมื่อตนเข้าถึงไม่ได้ ก็แปลว่าคนอื่นทั้งโลกจะต้องไม่มีความสามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

    พวกที่เข้าข่ายจะต้องกลายเป็นมารเต็มขั้นนั้น ได้แก่ภิกษุซึ่งมีหน้าที่สอนธรรมะในชั้นเรียน เพราะภิกษุเป็นผู้ตกลงกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนบวชว่าจะเข้ามาทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ถ้ามาประกาศเสียเองว่ามรรคผลนิพพานทำไม่ได้แล้ว ก็เท่ากับทรยศต่อพระพุทธเจ้า เท่าที่ทราบมา บางคนเป็นถึงเปรียญชั้นสูงๆ แต่เอ่ยกับปากว่ายุคนี้อย่าหวังฌาน อย่าหวังมรรคผล ขอให้บำเพ็ญบารมีเพื่อไปเอาดีในยุคพระศรีอารย์กัน นี่เป็นคำพูดที่สืบๆกันมา ตอนแรกเป็นคำพูดคนอื่น แต่พอพูดบ่อยๆก็กลายเป็นคำพูดและความฝังใจเชื่อของตนเองไป

    วิธีหว่านล้อมแบบมารซึ่งแยบยลที่สุด คือแฝงมาในรูปของคนที่ถูกต้องที่สุด คนรู้ดีที่สุด สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาหลงทางมีอย่างเดียว คือภาพรวมของเขาไม่สนับสนุน ไม่ให้กำลังใจใครได้ไปถึงนิพพาน ตรงข้ามกลับคะยั้นคะยอให้ใครๆเห็นมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องยากเกินเอื้อม ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก บั่นทอนกำลังใจกันทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นตรงข้ามกันทุกอย่างกับลีลาของพระพุทธเจ้า

    พวกนี้บางทีเคารพพระพุทธเจ้า แต่บางยุคก็อยู่ในฐานะผู้รักษาสืบทอดพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร ทว่าพลาดไปร่วมขบวนการตัดต่อ เติมแต่ง กล่าวตู่พุทธพจน์ ทำให้คนหลงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัส ทั้งที่ท่านไม่ได้ตรัส อันนั้นแหละการประพฤติเข้าสู่ความเป็นพลพรรคมาร อาจจะระดับเสนาธิการหรือระดับบริวารย่อยๆ ขึ้นอยู่กับบารมีในทางดีที่สั่งสมไว้

    สำหรับกรรมที่จะทำให้เป็นราชาแห่งมาร หรือที่เรียก"พญามาร"นั้น โดยมากจะมีบารมียิ่งใหญ่เกินธรรมดา เช่นสามารถเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิความเชื่อดีๆ พาคนไปสวรรค์ได้ด้วยตนเอง แต่หลงผิด บิดเบือนพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า หรือกระทั่งพาคนหลงทาง เข้าใจว่านิพพานและหลักการเข้าถึงนิพพานในพระไตรปิฎกเป็นของปลอม วิธีที่ตนเพิ่งค้นพบด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะถูกต้อง พวกนี้อาจหลงผิดด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือหลงผิดเพราะอัตตามานะ อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (ซึ่งกรรมดีแต่หนหลังที่เคยช่วยมหาชนจำนวนมาก ก็ส่งแรงหนุนให้ได้สำเร็จใกล้เคียงกับที่ปรารถนาเสียด้วย)

    ไม่ว่าจะระดับราชา เสนาธิการ หรือบริวารแวดล้อม เมื่อตั้งความเห็นไว้เสียแล้วว่าตนถูกที่สุด คนที่เชื่อต่างจากตนจึงเป็นคนผิด ฉะนั้นแม้เมื่อพบผู้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง สามารถละกิเลสได้จริงๆ แทนที่จะชื่นชมยินดีมีมุทิตาจิตไปกับความผ่องใสของพวกท่าน ก็กลับจะขัดเคือง หมั่นไส้ไม่อยากเห็นฝ่ายตรงข้ามก้าวหน้าเกินตน ซึ่งก็จะนำไปสู่การจ้องจับผิด เห็นตนมีอภิสิทธิ์ในการไล่เบี้ยความรู้ผู้อื่น ผิดเล็กผิดน้อยเอามาด่าได้ราวกับเป็นอาชญากร หรือแม้เขาไม่มีความผิดเลย ก็พูดสันนิษฐานต่างๆนานา ชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชี้นำคนอื่นให้เห็นว่าเขาผิดจนได้ สืบไปสืบมา ต้นตอที่แท้จริงคือเขาไม่ต้องการให้ใครเป็นฝ่ายถูก หากไม่ได้ยอมรับนับถือเขา หรือได้หลักความรู้ความเชื่อมาจากเขา

    ถึงขั้นหนึ่งพวกนี้อาจกล่าวเท็จได้โดยปราศจากความละอาย พูดธรรมะด้วยความนุ่มนวล แต่น้ำเสียงมีแรงอัดของโทสะเจืออยู่ เวลาระเบิดความโกรธออกมามีความกดดันสูง มีความรั้นชนิดหัวชนฝา เปลี่ยนจากมีเหตุผลที่สุดไปเป็นขาดเหตุผลอย่างที่สุด แม้แต่หน้าตาก็สลับจากสว่างใสไปเป็นหมองคล้ำได้อย่างรวดเร็ว

    กล่าวมาทั้งหมดคงเห็นสรุปได้ประการหนึ่งคือ มารไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองเป็นมาร ตรงข้าม พวกเขาอาจนึกว่าตนเป็นฝ่ายพระเอกด้วยซ้ำ มีแต่"กรรม"ของเขาที่จะแสดงในตัวเองว่าเขาเป็นใคร

    อยากตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่าเทวดาฝ่ายมารมีจริง แต่ท่านก็ตรัสถึงน้อยมาก และทุกที่ที่ตรัสถึง ก็จะแสดงให้เห็นว่าถ้ามนุษย์ยังมีสติสัมปชัญญะ ก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้กันทุกคนครับ

    บทความโดยคุณ คนรักวัด

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012
  16. miss you

    miss you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +202


    มันก็ใช่นะพระก็คือคน.....แต่คนที่มีศีลครบ 227 ข้อคือคนที่เราเรียกว่าพระ.....ถ้าขาดแม้เพียงข้อเดียวก็เป็นอย่างที่เห็นจะถือว่าเป็นพระมิได้ :'(
     
  17. numphol aryupha

    numphol aryupha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,156
    เป็นพระปลอมที่โดนลัทธิคนนอกประเทศล้างสมองมานะ
     
  18. ตึงได

    ตึงได เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +730
    มารที่เป็นเทวดามีจริงหรือ?
    ขออนุโมทนาครับคุณเกษม
     
  19. okung3036

    okung3036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +183
    เรียกว่าเทวดามิจฉาทิฏฐิครับ
    ส่วนมากเขาจะเป็นฝ่ายทำลาย อยู่กับคนที่ไม่ดี หรือแม้แต่ทำให้คนดีหลงผิดได้
     
  20. Rasbora

    Rasbora เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    359
    ค่าพลัง:
    +779
    จะมีพวกตัดผมสั้น(สกินเฮด)แบบพระโกนผมได้สักระยะนึง เพื่อให้ไม่ต่างกับคิ้วที่แต่งกันเล็กน้อย พอมีงานก็ห่มผ้าแบบพระออกมา พวกนี้เป็น.....รับจ้างปะปนอยู่ตามจุดรอรับโปรดสังเกตุ พวกนี้สังกัดหัวหน้าตัดผมทรงเดียวกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...