โรคที่คนส่วนใหญ่เป็นแล้วไม่กล้าบอกใคร(ริดสีดวงทวาร)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย limjaroen, 27 มิถุนายน 2012.

  1. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    มีหลายคนที่คุยด้วยแล้วทำให้ทราบว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็นก็เลยสนใจสมุนไพรพื้นบ้านที่ช่วยบรรเทาอาการของน้องริดซี่ไว้เพื่อเพื่อนๆคนไหนเป็นเหมือนกันจะได้ลองดู จริงๆแล้วมีรุปด้วยถ้าอยากเห็นรูป ส่งEmail.มาทางPM นะจะส่งไฟล์ให้



    ต้นยาแปะตำปึง
    ต้นแปะตำปึงเดิมเป็นต้นยามาจากประเทศจีน ลักษณะของใบยาจะหนานุ่มคล้ายกำมะหยี รสชาติของใบยาคล้ายชมพูที่ยังไม่แก่
    สรรพคุณ ของใบยา ได้แก่ จะฟอกเลือด ปรับระบบเลือดให้ดีขึ้น น้ำเหลืองจะดีขึ้น รักษาแผลภายใน - ภายนอก ชะล้างสารพิษภายในร่ายกายออกทาง (อุจจาระ ปัสสาวะ และทางตา) ทำให้กินข้าวใด้นอนหลับอาการปวดต่าง ๆ ก็จะหาย ระบบหายใจจะดีขึ้นไม่เหนื่อยหอบ ขับลมแน่นภายในช่องท้อง โรคที่ใบยาแปะตำปึง ได้รักษาหายมาแล้ว ได้แก่โรคเบาหวาน ความดันสูง-ต่ำ โรคหืดหอบ-ภูมิแพ้ โรคมะเร็งทุกชนิด ริดสีดวงทวารหนัก งูสวัด โรคเก๊า ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผดฝีหนองทั่วไป โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง เนื้องอกต่าง ๆ ในไต ปวดเหงือก ปวดฟันแผลอักเสบ ปวดท้องประจำเดือน คอเรสเตอรอล ไขมันในเส้นเลือด ไทรอยท์ ปวดเส้น ปวดหลัง โรคกระเพาะ ดวงตาที่เ็ป็นต้อ ดวงตาอับเสบ ขุ่นมัว โรคผิวหนังทั่วไป (สิว ฝ้า เป็นด่าง) <โรคเอดส์ถ้าทานใบยาก็จะมีผลให้สุขภาพดีขึ้น>
    วิธีการรับประทาน ใบสด ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 2,3 หรือ 5 ใบ เวลาที่ควรรับประทานใบยาที่ดีที่สุดคือ ตี 5-7 โมงเช้า เพราะลำไส้เริ่มทำงาน ท้องยังว่างอยู่จะได้ผลเร็ว ถ้าบางท่านที่ปวดเหงือก - ปวดฟัน ปากเป็นแผลลำคออักเสบ ควรรับประทานใบยาในเวลากลางคืน (แปรงฟันให้เรียบร้อย) ค่อยรับประทานใบยาเคี้ยวและอมทิ้งไว้สักระยะเวลาหนี่งแล้วค่อยกลืน ผลที่จะได้ัรับคือ ตื่นเช้าอาการปวดจะหายไป จะขับถ่ายโล่งสบาย จะมีขี้ตาออกมาเยอะหน่อย เพราะใบยาจะขับสารพิษออกทางตา ถ้าใครปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะให้รับประทานใบยาเดี่ยวนั้น สักพักหนึ่งอาการปวดของโรคกระเพาะก็จะหายไป ยังช่วยขับลมแก๊สที่แน่นในท้องออกด้วย ยังสามารถนำใบยาแปะตำปึงใปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก นอกเหนือจากรับประทานใบสดแล้ว ได้แก่
    1.นำใบยามาทำเป็นอาหาร เช่น แกงจืด (15-20 ใบต่อ 1 ท่าน)
    2.นำมาพอกตาสำหรับคนที่ดวงตาเป็นต้อ ดวงตาอักเสบ ตามัว นำใบยาประมาณ 7-8 ใบ มาขยี้ หรือใช้ครกตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ที่ดวงตา แบ่งใบยาเป็น 2 ส่วน พอกไว้ 20-30 นาที ค่อยล้างออก ผลที่ได้รับคือ ดวงตาจะสว่างขึ้น แผลต่าง ๆ จะหายไป รวมทั้งต้อด้วย ถ้าท่านใดเป็นมาก ควรทำไว้สักระยะหนึ่ง
    3. ท่านที่เป็นริดสีดวงทวารหนัก ควรทานใบสด และควรนำใบยามาขยี้หรือตำให้ได้พอเหมาะยัดใส่ทวารหนัก จำทำให้แผลหายเร็ว ติ่งที่โผล่ยุบเลือดที่ออกก็จะหยุด

    การเก็บรักษาให้ได้นาน ถ้ามีใบยาที่แก่และเหลือง นำมาล้างแล้วผึ่งให้แห้ง นำมาปั่นหรือตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ถ้วย นำไปนึ่งให้สุกปล่อยให้เย็นแล้วใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นาน ถ้าเป็นงูสวัด และแผลต่าง ๆ ใช้น้ำยาทา หรือนำใบยาสดมาตำพอกก็ได้ ตากแห้งทำใบชาได้
    อาหารแสลงที่ควรระวัง เช่น เนื้อ กุ้ง ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก เครื่องดองของเมา น้ำชา กาแฟ (ถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงควรงด) <สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน>
    วิธีการปลูก ต้นยาแปะตำปึงเมื่อปลูกได้ระยะหนึ่งประมาณปีกว่าต้นแม่ก็จะตาย ควรหักปักชำใหม่ เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีช่อดอกสีเหลืองไม่มีฝักและเมล็ด ต้องปักชำเท่านั้น ต้นยาชอบน้ำ อากาศดี ชอบแสงแดดพอสมควร และดินร่วน สิ่งที่ควรระวัง คือ เพี้ยแป้งชอบเกาะลำต้นและใบ ถ้ามีเพี้ยแป้งก็จะมีมดแดง จะทำให้ต้นยาเหียวแห้ง และตาย ต้องระวังสัตว์บางชนิดชอบกิน
    หมายเหตุ ทุกท่านที่เจ็บป่วยเมื่อรับประทานใบยาแล้ว ก็ควรไปพบแพทย์ และตรวจรักษาตามปกติ และทานยาตามแพทย์สั่งส่วนใบยานั้นควรเป็นใบยาเสริมให้เจ็บป่วยหายเร็วขึ้นเท่านั้น (ท่านที่มีต้นยาปลูก และปลูกต้นยาพอรับประทานแล้วขอความกรุณาช่วยเหลือผู้อื่นด้วย จะได้เป็นบุญกุศล ที่ได้ช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์)
    สนใจติดต่อ ศูนย์ชุมนุมว่านยาสมุนไพรไทย อ.บุ่งคล้า โทร (042)499052
    หรือปรึกษาได้ที่อาจารย์ สุขพัฒย์โชค มหิศนันท์ โทร. 08-3415-8055
    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    พระคาถา (ป้องกันภัยโรค)
    เข มับปัด โต อุ ปะสัม ปะ เก ปิเส คิ
    ตั้งนะโม 3 จบ ภาวนาให้เจริญรุ่งเรือง ปลอดภัยจากอุบัติภัยทุกอย่างในโลก

    เกษตรวิจัย : ‘จักรนารายณ์หรือแปะตำปึง’ พืชสมุนไพรครอบจักรวาล


    ใน บรรดาพืชสมุนไพรมีทั้งของไทยและต่างประเทศ มีการใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของพืชแตกต่างกัน และมีคุณสมบัติมากน้อยแตกต่างกัน แต่ต้นยาที่ชื่อ “แปะตำปึง” จากประเทศจีน หรือบางท่านเรียกว่า “จินฉี่เหมาเยี่ย” เข้ามาประเทศไทยพร้อมกับหญ้าปักกิ่ง หรือหญ้าเทวดา ไม่นานมานี้แต่แปะตำปึงหรือจินฉี่เหมาเยี่ย ถูกตั้งชื่อไทยว่า “จักรนารายณ์” เป็นพืชพุ่มเตี้ย จัดอยู่ในตระกูล COMPOSITEA มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Gynura sarmentosa DC. มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดใบนุ่มเหมือนกำมะหยี่ ใบเป็นสีเขียวอ่อนเส้นใบด้านบนลึกเช่นเดียวกับกลางใบ แต่ด้านหลังใบกลับนูนขึ้น กิ่งก้านเปราะหักง่าย ส่วนอีกชนิดหนึ่งใบมีลักษณะค่อนข้างแหลม สีเขียว ประโยชน์ใช้ใบรับประทานสด ซึ่งมีกลิ่นคล้ายผลชมพู่สาแหรกขณะผลอ่อน แต่มีรสเย็น การขยายพันธุ์ใช้กิ่งปักชำ อนึ่งบางท่านบอกว่าชนิดใบยาวเรียก “จินฉี่เหมาเยี่ย” แต่สรรพคุณเหมือนกัน

    สมาชิกชมรมไม้ดอกไม้ประดับและไม้ผลตลิ่งชันและเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่สถานีทดลองพืชสวนบางกอกน้อยของกรมวิชาการเกษตร บอกว่า ใช้ใบสดของแปะตำปึง รับประทานสดวันละ 5-7 ใบ ประมาณ 7 วัน รับประทานง่าย ๆ ไม่มีรสฝาดหรือขมแต่อย่างใด หรือจะรับประทานเป็นของเคียงกับลาบ ส้มตำ แหนม หรือจะผสมไปในสลัดผักก็ได้ โรคที่พืชสมุนไพรชนิดนี้มีผู้รับรองว่ารักษาหายแล้ว ได้แก่ โรคเบาหวาน, ความดันสูง-ต่ำ, หืดหอบ, ภูมิแพ้, โรคมะเร็งทุกชนิด, ริดสีดวง-ทวารหนัก, งูสวัด, โรคเกาต์ และขับนิ่ว, แผลสะเก็ดเงิน, พุพองฝีหนองทั่วไป, โรคหัวใจ, โลหิตจาง, เนื้องอกต่าง ๆ ในไต, ปวดเหงือกปวดฟัน, แผลอักเสบ, ปวดประจำเดือน, ไขมันในเส้นเลือด, ไทรอยด์, ปวดเส้นปวดหลัง, โรคกระเพาะอาหาร, ตาอักเสบ, ตาเป็นต้อ ขุ่นมัว ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาล

    สำหรับ โรคตา ต่าง ๆ ใช้แปะตำปึงโขลกแล้วนำมาพอกที่ตาประมาณ 20-30 นาที หรือโรคเกี่ยวกับผิวหนังเช่น งูสวัด, ผิวเป็นหนองอักเสบ พุพอง ใช้แปะตำปึง มาโขลกผสมกับน้ำตาลทรายแดง โดยอาศัยคุณสมบัติของน้ำตาลทรายแดง ช่วยในการจับแปะตำปึงไม่ ให้หลุดร่วงง่ายเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ควรระวังเรื่องอาหารของแสลง เช่นเนื้อ, กุ้ง, หมึก (ไม่เรียกว่าปลาหมึกเพราะไม่ใช่ปลา แต่เป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง) ปู, ปลาทู, ปลาร้า, กะปิ, หน่อไม้, ข้าวเหนียว, แตงกวา, หัวผักกาด, เผือก, สาเก, เครื่องดองของเมา และถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงควรงดน้ำชากาแฟด้วย

    หลังจากที่ตัดกิ่งแปะตำปึง และเด็ดใบมารับประทานแล้ว จึงตัดกิ่งเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 10-15 ซม. มาปักชำนำไปไว้ในที่รำไร และหมั่นรดน้ำเสมอ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกรากเป็นต้นใหม่ แต่พันธุ์ไม้ชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก และอายุต้นจะนานเพียง 1 ปีเท่านั้น ปัจจุบันมีผู้นำมาเพาะชำขาย กระถางละ 20-25 บาท

    รักษาอาการเบื้องต้นโรคริดสีดวงทวารหนัก


    ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง

    จะเป็นเหตุให้โรคริดสีดวงทวารหนักเกิดตามมาได้ง่าย

    เพราะฉะนั้น...ผู้ที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจะไม่ยอมให้ท้องผูกเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้ แต่ทว่าเมื่อมีอาการริดสีดวงทวารหนักเกิดขึ้น มีวิธีดูแลรักษาด้วยตนเอง ดังนี้

    ๑. ถ้าใครมีอาการอักเสบที่ทวารหนัก เช่น ปากทวารหนักบวมเป่งบ่อยๆ ทั้งปวดทั้งเจ็บจนก้าวแทบไม่ออก วิธีแก้ไขขั้นต้นอย่างง่ายๆ ซึ่งจะช่วยทุเลาลงได้ไม่กี่นาที คือ





    เอามะกรูดแก่ๆผลหนึ่งมาอังไฟ อาจจะใช้โคมไฟดูหนังสือก็ได้ โคมไฟที่มีความร้อนขนาด ๘๐ วัตต์กำลังดี (ถ้าไม่มี ๘๐ วัตต์ จะใช้ ๑๐๐วัตต์ก็ได้ หรืออย่างน้อยต้อง ๖๐ วัตต์) อังพออุ่นๆแล้วลองใช้หลังมือเตะดู เมื่อรู้สึกว่าอุ่นพอทนได้ ก็ใช้มะกรูดอุ่นๆนั้นนาบที่บริเวณทวารหนัก พอลูกมะกรูดเย็นลงก็เอามาอังไฟใหม่แล้วก็ไปนาบอีก ทำสลับกันไปเช่นนี้ประมาณ ๑๐ นาที เราก็จะรู้สึกด้วยตัวเองว่า ส่วนที่บวมอักเสบจะยุบ อย่างน้อย ๒๐ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ และอาจมากถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์
    บริเวณผิวที่นาบมะกรูดนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนอาจจะรู้สึกแสบ ต้องใช้ครีมทาช่วยการลดระคายเคือง อาจจะเป็นครีมทาหน้า หรือ ครีมทาตัวก็ได้ แล้วก็นอนหลับสักตื่นตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าอาการบวมยุบ หายไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๖๐ ถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์

    สำหรับผู้ที่เป็นครั้งแรกๆ อาการบวมอักเสบอาจจะเหี่ยวหายไปเลย แต่สำหรับผู้ที่เป็นมาเรื้องรังจะไม่หายขาดเพียงแค่ทุเลาลงเท่านั้น แต่ในกรณีที่ยังมีเลือดไหลไม่หยุด ก็ต้องไปหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญในโรคนี้โดยตรง

    ๒. ต้องหัดบริหารทวารหนักให้เป็น วิธีทำง่ายๆ และได้ผลชงัดคือ แต่ละครั้งที่เข้าห้องน้ำ ไม่ว่าถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระถ่ายเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบออกจากห้องน้ำ ให้นั่งลงที่โถส้วม แล้วขมิบทวารหนัก คราวละ ๓๐๐ – ๔๐๐ ครั้ง เสร็จแล้วจึงค่อยไปทำธุระอย่างอื่น ปฎิบัติต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ ไม่เกิน ๑-๒ สัปดาห์อาการท้องผูกและริดสีดวงทวารหนักจะหายไปพร้อมๆ กันอย่างน่าอัศจรรย์



    วิธีแก้ไขอาการท้องผูกอย่างหนัก
    อาจทำได้ ๓ วิธีดังนี้......

    วิธีที่ ๑ เป็นวิธีง่ายๆ ตามแบบโบราณ กล่าวคือ เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า แล้วก็ชงน้ำชา ใส่ใบชาลงไปนิดหน่อยเพียงแค่มีกลิ่นนั่งดื่มน้ำชาอ่อนๆ อุ่นๆ ถึงแม้จะดื่มน้ำชาหมดไปกาสองกา ถ้าไม่ปวดอุจจาระก็ไม่เลิกดื่ม ดื่มน้ำชาไปก็ก็ออกกายบริหารเบาๆไป ไม่เร่งไม่ร้อน เดี๋ยวก็ปวดอุจจาระจนได้ เมื่อปวดแล้วก็ให้รีบไปขับถ่ายเสีย ถ้าหากวันแรกไม่ถ่ายก็อย่าเพิ่งท้อทำติดต่อกันไม่เกิน ๓ วัน ก็ถ่ายจนได้ และกลายเป็นนิสัยถ่ายแต่เช้าโดยอัตโนมัติ

    วิธีที่ ๒ การใช้ยาระบาย ยาระบายควรอยู่ในรูปอาหาร เช่น มะขามเปียก (มะขามเปรี้ยวกว่ามะขามหวาน) ยอดชุมเห็ดเทศ เป็นต้น ยาระบายที่อยู่ในรูปอาหารจะมีคุณค่ามากกว่ายาถ่ายจากร้านขายยา เพระการใช้ยาถ่ายจากร้านขายยานานๆ ไปจะทำให้ติดยาถ่าย ถ้าไม่กินยาก็ไม่ถ่าย




    วิธีที่ ๓ การสร้างกล้ามเนื้อที่หูรูดที่ทวารหนัก วิธีนี้ทำได้โดยการออกกำลังกายที่ปากทวารหนัก กล่าว คือ ถ้ามีอาการท้องผูกเมื่อถึงคราวปวดอุจจาระ แต่อุจจาระแข็งมากจนเบ่งถ่ายไม่ออกก็ให้เบ่งไม่แรงนักก็ขมิบ เบ่งนิดเดียวแล้วก็ขมิบ (ไม่ใช่เบ่งหน้าเขียวหน้าเหลือง) ถ้ายังไม่ออกก็ใช้หัวฉีดน้ำล้างก้น ฉีดน้ำไปที่ทางทวารหนัก เพื่อให้น้ำเข้าไปช่วยหล่อลื่น ทำสลับกับการเบ่งแล้วขมิบจนกว่าจะถ่ายออก ทำนองเดียวกับการถอนต้นเสา คือ ใส่น้ำลงไปบริเวณโคนเสาให้มากพอ แล้วโยกต้นเสาไปมา จึงถอนดึงขึ้น

    ถ้าโยกหน้าโยกหลังแล้วยังไม่ออก

    ก็เติมน้ำลงไปอีก....

    โยกซ้ายโยกขวาแล้วก็ดึงขึ้น ทำสลับไปมาอย่างนี้จนกว่าจะถอนเสาขึ้นได้การเบ่งพรวดเดียวไม่ได้ช่วยให้ลำไส้ได้มีโอกาสออกกำลัง แต่การเบ่งแล้วขมิบเป็นการใช้กำลังที่ทวารหนักมาช่วยลำไส้ได้มีโอกาสออกกำลัง แต่การเบ่งแล้วขมิบเป็นการใช้กำลังจากทวารหนักช่วยลำไส้ และในที่สุดเนื้อหูรูดที่ปากทวารหนักก็จะมีกำลังตามมาด้วย ถ้าทำอย่างนี้ไม่นานอาการท้องผูกจะคลายลง เพราะทั้งลำไส้ใหญ่และกล้ามเนื้อโดยรอบทวารหนัก มีกำลังพอที่จะขับอุจจาระด้วยตนเองได้




    ตรีชวา สมุนไพรดอกสวย

    ตรีชวาไม้ประดับดอกสวยมีสรรพคุณทางสมุนไพร


    ต้นอัคคีทวาร สมุนไพรรักษาริดสีดวงทวาร ที่ถูกเรียกอีกชื่อว่า ตรีชวาเหมือนกัน ขอบคุณรูปจากเวปไซต์ ok nation

    ตรีชวา
    เคยพูดถึงต้นสังกรณีเมื่อนานมาแล้ว คงขาดความสมบูรณ์แน่ถ้าไม่พูดถึงไม้อีกตัวที่คู่กัน คือต้นตรีชวา จริงๆเราไม่ค่อยสนใจต้นนี้เพราะเท่าที่เห็นเค้าเป็นไม้ประดับสวนดอกสวยธรรมดา เข้าใจว่าเข้าเป็นไม้นอกด้วยซ้ำไปแต่พอดูข้อมูลแล้วเป็นไปได้ว่า ไม้ต้นนี้อยู่ในไทยมานาน ขณะเดียวกันมีการเรียกต้นไม้ ๒ ชนิดว่าเป็นต้นตรีชวา ต้นหนึ่งคือ อัคคีทวาร อีกต้นคือ ต้นหางแมว มีอยู่ครั้งหนึ่งได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งที่มีปัญหาปอดเสื่อม ทั้งสองข้าง เขาบอกว่าไปบูชายาหม้อจากพระมากินรักษาตัว ซึ่งมีตัวยาอยู่ในนั้นหลายตัวมาก หนึ่งในนั้นเราเห็นดอกของเจ้าตรีชวาปนอยู่ด้วย เลยเกิดความสนใจขึ้นมา เพื่อนคนนี้เขากินยาหม้อนี้เป็นประจำ เพราะหมดหนทางรักษาทางอื่นแล้ว อาการเหนื่อยหอบมาก ทำงานหนักไม่ได้เลย พอกินยาหม้อนี้เขาแข็งแรงมาก ทำไร่ ทำสวน อดนอน แถมยังสูบบุหรี่ได้หน้าตาเฉย ( อันนี้ไม่ดี ) เขาเล่าว่าเคยเอาไปให้คนอื่นที่มีปัญหากระดูกเสื่อมกิน อาการดีขึ้น เลยรู้ว่ามีการนำตรีชวามาใช้รักษาโรคผู้ป่วยเกี่ยวกับ ปอดและกระดูก แต่อาจไม่ใช่ตัวยาหลัก คงต้องค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป สิ่งที่พึงระวังอีกอย่างหนึ่งคือ การอ้างอิงข้อมูลสรรพคุณสมุนไพรโดยไม่มีรูปของสมุนไพรด้วย ยึดแค่ชื่อเป็นหลัก อาจจะผิดต้นไปเลยก็ได้ อย่างในกรณีนี้ ต้นตรีชวาถูกระบุสรรพคุณว่าแก้ริดสีดวงทวาร ซึ่งสมุนไพรที่ใช้รักษาริดสีดวงทวารอีกต้นคือ อัคคีทวารซึ่งมีชื่ออื่นว่า ตรีชวาเหมือนกัน ทำให้เกิดความสงสัยว่าการรวบรวมข้อมูลสรรพคุณต่าง ๆ อาจเอาต่างต้นแต่ชื่อเหมือนกันมาปนเปกันได้
    ตรีชวา
    ชื่อสามัญ : White Shrimp Plant.
    ชื่อพื้นเมือง : ตรีชวา (ทั่วไป) ; หางกระรอก, หางแมว (กลาง),เขียวพระสุจริต
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clerodendrum serratum (L.) Moon var. wallichii C.B.Clarke
    ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE
    ลักษณะ
    ต้น : ไม้พุ่มสูง ประมาณ 0.5 - 1 เมตร
    ใบ : ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามรูปรี กว้าง 2 - 2.5 ซม. ยาว 6 - 8 ซม. ปลายและโคนแหลม
    ดอก : สีขาวหรือม่วงอ่อน ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง แต่ละดอกมีใบประดับรูปหัวใจ สีขาวลายเขียว 3 ใบ กลีบดอกเป็นหลอดเล็กปลายแยกเป็น 2 ส่วน
    ผล : กลมเล็กเมื่อแก่แตกได้
    เมล็ด : -
    การกระจายพันธุ์ พบได้ทั่วไปตามภูมิภาคของไทย
    การรขยายพันธุ์ ปักชำ ตอนกิ่ง
    ประโยชน์
    ปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือน
    ข้อมูลจากภูมิปัญญาไทย : นำไปบูชาพระ
    สรรพคุณ
    ดับพิษโลหิต สมานแผล แก้ริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ
    วิธีและปริมาณที่ใช้
    ดับพิษโลหิต ขับปัสสาวะโดยใช้ทั้งต้น 1 กำมือ หรือประมาณ 10-15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาดในน้ำเดือด 1 ลิตร นานประมาณ 15 นาที กรองเอาน้ำดื่มเช้า-เย็น
    ส่วนเหนือดินของตรีชวา มีสารประกอบพวก Triterpenoid glycosides ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า สารนี้มีคุณสมบัติในการลดรอยแผลเป็น มีฤทธิ์ช่วยสมานแผล เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ และลดการอักเสบที่ผิวหนัง


    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhinacanthus nasutus (Linn.) Kurz.
    ชื่อวงศ์ Acanthaceae
    ชื่อสามัญ White crane flower
    ชื่อท้องถิ่น ทองคันชั่ง, หญ้ามันไก่ (ภาคกลาง) ทองดุลย์

    ต้นทองพันชั่ง (Rhinacanthus nasutus Kurz.) เป็นพืชล้มลุกที่อยู่ในวงศ์ Acanthaceae พบได้ทั่วไปในประเทศไทย ทางการแพทย์แผนโบราณได้ใช้ทองพันชั่งในการรักษาโรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ โรคผิวหนัง ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้มีผู้ทำการวิจัย พบว่า ในทองพันชั่งประกอบด้วยสารประกอบไรนาแคนทิน (Rhinacanthin) ซึ่งเป็นสารอนุพันธ์แนพโทควิโนนเอสเทอร์ (Naphthoquinone ester) ที่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้ ตัวอย่างสารประกอบไรนาแคนทินที่พบ ได้แก่ ไรนาแคนทิน-ซี, ไรนาแคนทิน-เอ็ม, ไรนาแคนทิน-เอ็น, ไรนาแคนทิน-คิว เป็นต้น ซึ่งสารประกอบเหล่านี้มีความแตกต่างกันในส่วนของเอสเทอร์ โดยเป็นอะโรมาติกหรืออะลิฟาติกเอสเทอร์

    ลักษณะทางพฤษศาสตร์
    ทองพันชั่งเป็นพืชไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นพุ่มขนาดเล็ก ส่วนโคนของลำต้นเป็นเนื้อไม้แกนแข็ง ขนาดของลำต้นสูงประมาณ 12-90 เซนติเมตร ส่วนใหญ่ใช้เป็นไม้ประดับทั่วไป

    ใบ เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะเป็นรูปไข่ปลายใบและโคนใบแหลมขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อยออกตรงข้าม กันเป็นคู่ ๆ ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร

    ดอก มีสีขาวจะออกเป็นช่อ ๆ ตรงซอกมุมใบ กลีบรองดอกมี 5 กลีบและมีขน ส่วนกลีบดอกสีขาวติดกันตรง โคนเป็นหลอด ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ปลายแยก เป็น 2 กลีบ กลีบขนยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตร กว้าง 0.1 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 2 แฉกแหลมสั้น ๆ กลีบล่างแผ่กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร แยกเป็น 3 แฉก ก้านเกสรสั้นติดอยู่ที่ปากท่อดอก

    ผล เป็นฝักรูปยาวและมีขนภายในซึ่งมี 4 เมล็ด

    การขยายพันธุ์ โดยการปักชำ ปลูกง่ายในดินทั่วไปแต่จะชอบดินที่มีความชุ่มชื้นมากกว่า จึงควรปลูกในฤดูฝน โดยมากมักพบได้ทั่วไปในประเทศเขตร้อน

    ช่วงเวลาที่เก็บยา ส่วนของใบให้เก็บในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุด
    ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบสดหรือราก (สดหรือแห้ง)




    สรรพคุณทางยาและวิธีใช้
    สมุนไพรทองพันชั่งเป็นพืชที่สามารถใช้บรรเทาอาการและรักษาโรคได้หลายชนิดจากทั้งใบและราก อย่างเช่น ใช้ดับไข้ รักษาโรคผิวหนัง แก้ริดสีดวง แก้อาการไอเป็นเลือด ฆ่าเชื้อพยาธิ กลาก เกลื้อน แก้มะเร็ง หรือแก้ผมหงอกเนื่องจากเชื้อรา เป็นต้น โดยวิธีการดังนี้

    • ใช้ใบสดหรือรากทองพันชั่ง ตำแช่ในเหล้าหรือแอลกอฮอล์ แล้วใช้ทาบริเวณที่มีอาการของโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผดผื่นคัน เป็นต้น
    • ใช้ใบทองพันชั่งสด มาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมันก๊าซ ใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือโรคผิวหนัง วันละ 1 ครั้ง เพียงแค่ 3 วัน โรคกลากหรือโรคผิวหนังก็จะหายไป
    • หรือใช้รากทองพันชั่ง 6-7 รากและหัวไม้ขีดไฟ1/2 กล่อง นำมาตำเข้ากันให้ละเอียด ผสมน้ำมันใส่ผมหรือวาสลิน (กันไม่ให้ยาแห้ง) ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือโรคผิวหนังบ่อย ๆ
    • นำใบทองพันชั่งสดหรือมาคั่วให้แห้ง แล้วใช้ชงกับน้ำดื่ม ช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
    • ใบทองพันชั่งต้มกับน้ำฝนรับประทาน แก้ไข้ข้ออักเสบ
    • ใช้รากทองพันชั่งต้มน้ำดื่ม แก้น้ำเหลืองเสีย ดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง
    • ใช้ใบทองพันชั่งต้มน้ำดื่ม ช่วยลดความดัน บำรุงธาตุ บำรุงร่าง กาย แก้ปัสสาวะขัด ช่วยระบบกระเพาะอาหารทำงานดีขึ้น
    • ใช้ใบทองพันชั่ง ใบชุมเห็ดไทย เมล็ดพริกไทยร่อน ต้นเหงือกปลาหมอ ตากแห้ง นำมาบดเป็นผงละเอียด ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน ขนาดเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 5 เม็ด หลัง อาหารเช้าเย็น เป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ แก้โรคเบาหวาน
    • บางคนใช้รากทองพันชั่งต้มกินแก้มะเร็งภายใน
    • ใช้ใบทองพันชั่งดอกเหลือง ใบเลี่ยน ตากแดดให้แห้ง คั่วให้หอมดี ชงน้ำชารับประทานเป็นยาแก้โรคไตและโรคมะเร็ง
    • นำใบหรือรากประมาณ 1 กำมือ ต้มรับประทานทุกเช้าเย็นทุกวัน ช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด และฆ่าพยา

    อัคคีทวาร
    อัคคีทวาร พืชสมุนไพรที่หมอยาทุกภาคต้องรู้จักเป็นอย่างดีเพราะเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการเบื้องต้นของริดสีดวงทวารได้ อัคคีทวารนั้นยังมีชื่อให้เรียกได้หลายชื่อด้วยกันเช่น ตรีชวา ตั่งต่อ พรายสะเลียงและหลัวสามเกียน วันนี้ ThaiHealth.in.th ได้นำความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของอัคคีทวารว่าใช้รักษาโรคอะไรได้บ้างมาฝากให้ทุกท่านอ่านกันค่ะ

    ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ใบแห้ง ผล ราก
    สรรพคุณ : อัคคีทวาร
    ทั้งต้น – รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน
    ผล – แก้ไอ แก้โรคเยื่อจักษุอักเสบ
    ราก – ต้มผสมกับขิง แก้คลื่นเหียน
    ใบ, ราก, ต้น – ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
    วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร

    อัคคีทวาร
    1. นำรากหรือต้นยาว 1-2 องคุลี ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ ทาที่ริดสีดวงทวาร เป็นยาเกลื่อนหัวริดสีดวง
    2. นำใบ 10-20 ใบ มาตากแห้ง บดให้เป็นผง แล้วคลุกกับน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นเม็ดขนาดเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ทุกๆ วันติดต่อกัน 7-10 วัน
    3. ใช้ใบแห้งป่นเป็นผง โรยในถ่านไฟ เผาเอาควันรมหัวริดสีดวงงอกทวารหนัก ให้ยุบฝ่อ
    ใช้รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน
    ใช้ใบและต้นตำพอกรักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน และพอกแก้ปวดศีรษะเรื้อรัง และแก้ขัดตามข้อ และดูดหนอง
    ใช้แก้เสียดท้อง
    - ใช้ใบต้มรับประทานแก้เสียดท้อง
    - ใช้รากผสมขิง และลูกผักชีต้ม แก้คลื่นเหียน อาเจียน
    แก้ไอ แก้โรคเยื่อตาอักเสบ
    ผลทั้งสุกและดิบ เคี้ยวค่อยๆ กลืนน้ำ แก้ไอ แก้โรคเยื่อตาอักเสบ
    ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
    ลำต้น ต้มรับประทา

    หลากสรรพคุณ... 20 สมุนไพรไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก

    อาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บคอ ไอ น้ำร้อนลวก มดกัด ยุงกัด ท้องเสีย ท้องอืด ฯลฯ หลายคนมักจะเลือกใช้ยาแผนปัจจุบัน โดยคิดว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วทันใจดี แต่ลองชะเง้อมองซิว่า รอบๆ บ้านมีพืชสมุนไพรไทยอะไรปลูกอยู่หรือเปล่า เพราะพืชสมุนไพรเหล่านี้สามารถนำมาใช้รักษาอาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ได้ผลชะงัดนักแล แถมบางชนิดยังสามารถรักษาโรคยอดฮิต อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็งได้ด้วย

    วันนี้ก็เลยขอหยิบสมุนไพรไทย 20 ชนิด ที่คนรู้จักดี มาบอกเล่าเก้าสิบถึงสรรพคุณของมันให้ฟังกันอีกครั้ง

    ว่านหางจระเข้

    ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์

    โดย "วุ้นในใบสด" สามารถนำมาบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คือ นำมาพอกแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แก้ปวดแสบปวดร้อน แผลเรื้อรัง รักษาผิวที่ถูกแดดเผา แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยถอนพิษได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานแผล แต่มีข้อแนะนำว่า ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวุ้นทาบริเวณท้องแขนด้านใน ถ้าผิวไม่คันหรือแดงก็ใช้ได้ นอกจากส่วนวุ้นในใบสดแล้ว ส่วน "ยางในใบ" ก็สามารถนำมาทำเป็นยาระบายได้ และส่วน "เหง้า" ก็นำไปต้มน้ำรับประทาน แก้โรคหนองในได้ด้วย

    ขมิ้นชัน


    เรียกกันทั่วไปว่า "ขมิ้น" เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม คนนิยมนำ "เหง้า" ทั้งสดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย

    นอกจากนั้น "ขมิ้นชัน" ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ "คูเคอร์มิน" ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ "ขมิ้นชัน" ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย


    ทองพันชั่ง

    เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ "ทองพันชั่ง" หลายพื้นที่อาจเรียกว่า "ทองคันชั่ง" หรือ "หญ้ามันไก่" เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย

    นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า "ทองพันชั่ง" มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน

    กะเพรา


    แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย

    และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก

    กระชายดำ



    สมุนไพรแสนมหัศจรรย์ของท่านชาย เพราะสรรพคุณของกระชายดำที่ได้รับการกล่าวขานกันมากก็คือ สรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศ หรือแก้โรคกามตายด้าน เนื่องจากฤทธิ์ของกระชายดำจะไปบำรุงกำลัง เพิ่มฮอร์โมนให้หนุ่ม ๆ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น

    แต่ใช่ว่า กระชายดำ จะมีประโยชน์แค่เรื่องเพิ่มพลังทางเพศเท่านั้นนะ เพราะกระชายดำยังสรรพคุณมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหาร และบำรุงธาตุ แก้หัวใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียนแน่นหน้าอก แผลในปาก ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะ ฯลฯ และด้วยสรรพคุณอันแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ กระชายดำ เลยถูกขนานนามว่าเป็น "โสมไทย" ซึ่งนิยมปลูกมากจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเลยทีเดียว




    ว่านชักมดลูก


    มาที่พืชสมุนไพรสำหรับสาว ๆ กันบ้าง แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เหมาะกับคุณสุภาพสตรีเป็นที่สุด เพราะเหง้าของว่านชักมดลูกมีสรรพคุณช่วยขับประจำเดือนในสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ว่านชักมดลูกก็จะช่วยบีบมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ขับน้ำคาวปลา และรักษาโรคมดลูกพิการปวดบวมได้

    นอกจากนั้น ว่านชักมดลูก ยังแก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ขณะที่รากของว่านชักมดลูกสามารถใช้แก้ท้องอืดเฟ้อได้อีกต่างหาก

    กระเจี๊ยบแดง


    หลายคนนำใบและยอดของกระเจี๊ยบแดงไปใส่ในแกง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหารแล้ว ใบกระเจี๊ยบแดงยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนดอกใช้แก้โรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด

    แต่ส่วนที่มีสรรพคุณมากเป็นพิเศษก็คือ ส่วนกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล สามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต นำไปทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนียวข้นของเลือด ขับปัสสาวะ ป้องกันต่อมลูกหมากโตให้คุณผู้ชายได้ด้วย และมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากรับประทานกระเจี๊ยบแดงต่อเนื่อง 1 เดือน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย



    มะขามป้อม

    เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลางที่จัดเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณเพียบในแทบทุกส่วนของต้น แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ ผลของมะขามป้อมจะมีรสเปรี้ยวมาก ๆ แต่ก็ชุ่มคอ และให้วิตามินซีสูงมากเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคนนำผลมะขามป้อมสดมาใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

    นอกจากนั้นแล้ว ส่วน "ราก" ยังแก้พิษตะขาบกัด แก้ร้อนใน ลดความดันโลหิต แก้โรคเรื้อน ส่วนเปลือก แก้โรคบิด และฟกช้ำ ส่วนปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก แก้ปวดฟัน "ผลแห้ง" ใช้รักษาอาการท้องเสียง หนองใน เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด และส่วน "เมล็ด" ก็สามารถนำไปเผาไฟผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน แก้หืด หรือจะตำเมล็ดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบก็ได้

    ฟ้าทะลายโจร

    ฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ร้อนใน เพราะมีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หากรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย นอกจากเรื่องหวัดแล้ว ฟ้าทะลายโจรยังระงับอาการอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการท้องเสีย ลำไส้อักเสบ รักษาโรคตับ เบาหวาน โรคงูสวัด ริดสีดวงทวาร และรสขมของฟ้าทะลายโจรยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย

    ข้อควรระวัง ก็คือ คนที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A , ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูห์มาติค , มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย, เป็นความดันต่ำ และสตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร และหากใครทานแล้วเกิดปวดท้อง ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรงได้

    ย่านาง

    ย่านางเป็นสมุนไพรรสจืด เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ดับพิษร้อน คนจึงนำใบย่านางไปคั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ปรับอุณหภูมิในร่างกาย และยังนำใบย่านางไปช่วยดับพิษไข้ ดับพิษของอาหาร แก้อาการผิดสำแดง แก้พิษเมา แก้เลือดตก แก้กำเดา ลดความร้อนได้ด้วย นอกจากใบแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของย่านางก็มีประโยชน์เช่นกัน ทั้ง "ราก" ที่ใช้แก้ไข้พิษ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ ไข้ทับระดู "เถาย่านาง" ใช้แก้ไข ลดความร้อนในร่างกาย

    ขณะที่ข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุว่า ย่านาง ยังช่วยต้านมาลาเรีย ยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ ต้านฮีสตามีน ส่วนข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ย่านางมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย แถมยังอุดมไปด้วยเส้นในอาหาร แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส ย่านางจึงเป็นหนึ่งในจำนวนผักพื้นบ้านที่นักวิจัยแนะนำให้นำมาใช้ในรูปแบบอาหารเพื่อรักษาโรคมะเร็ง

    มะรุม

    พืชสมุนไพรสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารรับประทานแล้วได้รับสารอาหารอย่างวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม ใยอาหาร แล้ว มะรุม ยังเป็นยาวิเศษรักษาที่ทุกส่วนสามารถใช้รักษาได้สารพัดโรค

    เริ่มจาก "ราก" ที่จะช่วยบำรุงไฟธาตุ แก้อาการบวม "เปลือก" ใช้ประคบแก้โรคปวดหลัง ปวดข้อ รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ "กระพี้" ใช้แก้ไขสันนิบาด "ใบ" มีแคลเซียม วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ "ดอก" ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย "ฝัก" ใช้แก้ไข้หัวลม "เมล็ด" นำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้รักษาโรคปวดข้อ โรคเกาท์ รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา และ "เนื้อในเมล็ดมะรุม" ใช้แก้ไอได้ดี รวมทั้งยังเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ด้วย หากรับประทานเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทานมะรุม

    ชุมเห็ดเทศ

    ไม้พุ่มขนาดกลาง มีดอกสีเหลือง จัดเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาก โดยชุมเห็ดเทศทั้งต้น มีฤทธิ์ขับพยาธิในลำไส้ รักษาซาง โรคผิวหนัง ถ่ายเสมหะ รักษาอาการฟกช้ำบวม รักษาริดสีดวง ดีซ่าน และฝี ส่วนลำต้น จะใช้เป็นยารักษาคุดทะราด กลากเกลื้อน ช่วยขับพยาธิ ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องผูก

    นอกจากต้นแล้ว ใบชุมเห็ดเทศก็ได้รับความนิยมในคนที่มีอาการท้องผูกเช่นกัน เพราะสามารถนำใบซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ไปต้มน้ำกินได้ หรือจะใช้อมบ้วนปากก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากโดยเฉพาะโปตัสเซียม รวมทั้งอาจทำให้ดื้อยาได้ด้วย

    บอระเพ็ด

    เมื่อเอ่ยชื่อ "บอระเพ็ด" หลายคนคงรู้สึก "ขม" ขึ้นมาทันที แต่เพราะความที่เจ้าบอระเพ็ดมีรสขมนี่ล่ะ ถึงทำให้ตัวมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย ดังสำนวนที่ว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

    อย่างเช่น "ราก" สามารถนำไปดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น ช่วยให้เจริญอาหาร "ต้น" ก็ช่วยแก้ไข้ได้เช่นกัน และยังช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้สะอึก แก้เลือดพิการ ส่วน "ใบ" นอกจากจะช่วยแก้ไข้ได้เหมือนส่วนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยแก้โลหิตคั่งในสมอง ขับพยาธิ แก้ปวดฝี ช่วยลดความร้อน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย

    มาถึง "ดอก" ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู "ผล" ใช้แก้เสมหะเป็นพิษ แก้สะอึกได้ดี แต่ถ้านำทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล มารวมกัน "บอระเพ็ด" จะกลายเป็นยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว เพราะแก้อาการได้สารพัดโรค รวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร ฝีในมดลูก เบาหวาน ฯลฯ

    เสลดพังพอน

    "เสลดพังพอน" มี 2 ชนิด คือ "เสลดพังพอนตัวผู้" และ "เสลดพังพอนตัวเมีย" ซึ่งทั้งสองชนิดมีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้ถอนพิษ แต่ "เสลดพังพอนตัวผู้" จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า และส่วนใบจะมีรสขมกว่า

    ลองไปดูสรรพคุณของ "เสลดพังพอนตัวผู้" กันก่อน "ราก" ช่วยแก้ตาเหลือง ตัวเหลือง กินข้าวไม่ได้ ถอนพิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดฟัน ส่วน "ใบ" ก็ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย และยังแก้ปวดแผล แผลจากของมีคมบาด แก้โรคฝี โรคคางทูม ไฟลามทุ่ง งูสวัด เริม ฝีดาษ แก้ฟกช้ำ น้ำร้อนลวก ยุงกัด แก้ปวดฟัน เหงือกบวม

    ส่วน "เสลดพังพอนตัวเมีย" จะนำรากมาปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยที่เอว ส่วน "ใบ" ซึ่งมีรสจืดจะนำมาสกัดทำเป็นยาใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริม แผลร้อนในในปาก แผลน้ำร้อนลวกได้ นอกจากนั้น ส่วนทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล สามารถใช้ถอนพิษต่าง ๆ ได้ดี ทั้งพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก

    มะแว้ง

    มีทั้ง "มะแว้งต้น" และ "มะแว้งเครือ" ที่มีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ เราจึงมักเห็นมะแว้งถูกนำมาผสมเป็นยาอมช่วยแก้ไอ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไอแล้ว สามารถใช้ได้ทั้ง ราก ใบ ผล นอกจากนั้น ยังช่วยลดน้ำลายเหนียว บำรุงธาตุ รักษาวัณโรค แก้คอแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางไตและกระเพาะปัสสาวะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้โรคหอบหืดได้ด้วย

    นอกจากนั้น ลูกมะแว้งเครือสามารถนำไปปรุงอาหาร ทานเป็นผักได้ ส่วนลูกมะแว้งต้นก็ใช้ปรุงอาหารได้เช่นกัน แต่คนนิยมน้อยกว่าลูกมะแว้งเครือ

    รางจืด

    เมื่อพูดถึงสมุนไพรถอนพิษ หลายคนนึกถึง "รางจืด" หรือ "ว่านรางจืด" ทันที เพราะส่วนใบและรากของรางจืดสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษยาฆ่าแมลงได้ มีประโยชน์ในเวลาที่หากใครเกิดเผลอทานยาฆ่าแมลง ยาพิษ หรือยาเบื่อเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และอยู่ไกลโรงพยาบาล การทานรากรางจืดก็จะช่วยบรรเทาพิษในเบื้องต้นได้

    นอกจากนั้นแล้ว รางจืด ยังสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ พิษแอลกอฮอล์ พิษสำแดง บรรเทาอาการเมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำได้ แล้วรู้ไหมว่า ยังมีงานวิจัยจากกลุ่มหมอพื้นบ้านพบว่า การนำรางจืดไปต้มแล้วนำมาอาบจะช่วยทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง และหากนำรากรางจืดมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำไปทาหน้า จะทำให้หน้าขาว ไม่มีสิวฝ้าอีกด้วย อุ้ย...สาวๆ ยิ้มเลยทีนี้


    กระวาน

    เป็นสมุนไพรไทยที่มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ มักพบขึ้นอยู่ตามป่าที่มีความชื้นสูง เช่น ป่าแถบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งแถบจังหวัดตราด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสรรพคุณหลัก ๆ คือ ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผสมในยาถ่ายเป็นใช้ช่วยถ่ายท้องได้

    นอกจากนั้น "ราก" ยังช่วยฟอกโลหิต แก้ลม รักษาโรครำมะนาด "เมล็ด" ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ "เหง้าอ่อน" ใช้รับประทานเป็นผัก "หัวและหน่อ" ช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกทางผิวหนัง "แก่น" ใช้ขับพิษร้าน รักษาโรคโลหิตเป็นพิษ "กระพี้" รักษาโรคผิวหนัง บำรุงโลหิต ส่วน "ใบ" ใช้แก้ลมสันนิบาต ขับเสมหะ แก้ไข้เซื่องซึม แก้จุกเสียด บำรุงกำลัง "ผลแก่" มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร มีฤทธิ์ขับลม ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

    กานพลู

    ใครที่ปวดฟัน นี่คือสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี โดยตามตำรับยา ให้นำดอกที่ตูมไปแช่เหล้าขาว แล้วเอาสำลีไปชุบน้ำมาอุดรูฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยในกานพลูมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ หรือจะเคี้ยวทั้งดอกแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้ นอกจากนั้น ยังนำไปผสมน้ำเป็นน้ำยาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปาก แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดได้

    กานพลูยังมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดท้อง กานพลู ก็ช่วยลดอาการปวดท้อง ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดจากการย่อยอาหารได้ เพราะจะไปช่วยขับน้ำดีมาย่อยไขมันได้มากขึ้น แถมยังกระตุ้นการหลั่งเมือก และลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารได้ด้วย

    หญ้าหนวดแมว

    ไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีสรรพคุณไม่น้อย โดย "ราก" สามารถใช้ขับปัสสาวะได้ "ใบ" ใช้รักษาโรคไต ช่วยขับกรดยูริกออกจากไต รักษาโรคเบาหวาน อาการปวดหลัง ไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต "ต้น" ก็ใช้แก้โรคไต ขับปัสสาวะได้เช่นกัน และยังช่วยรักษาโรคนิ่ว โรคเยื่อจมูกอักเสบได้ โดยนำต้นสด หรือต้นแห้ง หรือใบอ่อน หรือใบตากแห้ง ไปชงกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ห้ามนำไปต้ม และไม่ควรใช้ใบแก่ หรือใบสด เพราะมีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้ใจสั่นและคลื่นไส้ได้

    ข้อควรระวังก็คือ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไต ห้ามรับประทาน เพราะในหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูงมาก และไม่ควรรับประทานหญ้าหนวดแมวร่วมกับแอสไพริน เพราะจะยิ่งทำให้ยาจำพวกแอสไพรินไปจับกล้มเนื้อหัวใจมากขึ้น

    บัวบก

    หลายคนอาจเคยดื่มน้ำใบบัวบก ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วช่วยแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ลดการกระหายน้ำได้ดีนักแล ซึ่งนอกจากใบบัวบกจะนำมาคั้นน้ำดื่มได้แล้ว ยังสามารถนำไปทาแผล ช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำของแผลได้ด้วย เพราะในใบมีกรดมาดีคาสสิค (madecassic acid) และกรดเอเซียติก (asiatic acid) ที่มีฤทธิ์สมานแผน ไม่ว่าจะเป็นแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลหลังผ่าตัด ใบบัวบกจะช่วยการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น

    นอกจากนั้น ใบบัวบกยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อเป็นหนองในได้ วิธีการใช้ก็ง่ายๆ นำใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด เอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อยๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น

    ส่วนต้นของใบบัวบก ก็มีสรรพคุณทางยามากมายไม่แพ้ใบ โดยสามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้พิษงูกัด แก้ปวดศีรษะข้างเดียว ช่วยขับปัสสาวะ แก้เจ็บคอ ใช้เป็นยาห้ามเลือด ส่าแผลสด แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน แก้ช้ำในได้เช่นกัน และถ้าใครชอบทำอาหาร อย่าลืมใส่ใบบัวบกลงผสมลงไปในเมนูของคุณด้วย เพราะในใบบัวบกมีสารอาหารเพียบ โดยเฉพาะวิตามินเอที่มีสูงมาก และยังให้คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามิน และไนอาซีน เรียกว่า คุณค่าครบเลยล่ะ


    ขอบคุณข้อมูลจาก Google. คะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2012
  2. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    ยาสมุนไพรต้องใช้เวลาในการรักษา
    และอย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2012
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ขอบคุณมากค่ะ กระทู้นี้มีประโยชน์จริงๆ สมุนไพรไทยมีค่ามหาศาลนะคะ
     
  4. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    ถ้าใครเป็นไม่ต้องอายที่จะรักษาเพราะถ้าปล่อยไว้จะทำให้รักษายาก
    และใช้เวลานานนะคะ
     
  5. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    กินยา บวก ปรับพฤติกรรม การกิน การขับถ่าย ช่วยได้เยอะคะ
     
  6. Soul Power

    Soul Power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +452
    มีญาตเคยเป็นค่ะ
    เวลาจะไปให้หมอตรวจ ดิฉันว่ามันก็น่าอายอยู่เหมือนกัน
     
  7. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    ต้องคอยระวังอย่าให้อาการกำเริบ
    รักษาสุขภาพ ขับถ่ายให้เป็นเวลา
     
  8. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    ถ้ารู้ว่าใครเป็นช่วยกันบอกต่อ สมุนไพรพอช่วยได้
     
  9. uuuu0010

    uuuu0010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +247
    เป็นประโยชน์มากคะ
    ทั้งการรักษา และ การป้องกัน
    rabbit_scary
     
  10. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    เวลาเป็นรู้นะว่าทรมารมากเลย
     
  11. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    แอบเข้ามาอ่าน อิอิ[​IMG]
     
  12. limjaroen

    limjaroen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +132
    ดีใจที่มีคนอ่าน ไม่คิดตัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...