จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กำลังอ่านกระทู้อยุ่อย่างเพลิดเพลิน เห็นชี่อตัวเองสะดุ้งเลย
    กำลังพยายามปรับตัวเองให้มีสติต่อเนี่องอยุููู่ค่ะ
    พอเจอคำถามนี้เลยทราบว่า ที่มีสติไม่ต่อเนี่องน่าจะมาจากส่งจิตออกนอกเวลามีกระทบ เลยลืมดูตัวเอง จะพยายามต่อไปค่ะ
    ขอบคูณมากค่ะสำหรับคำแนะนำและกำลังใจ
    :VO
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    อ๋อ ไม้เรียวน่ะ มีหลายคู่จ๊ะ เพราะคนนอนดึกมีหลายคน
    รวมทั้งคนเรียกหาไม้เรียวให้ครูเพ็ญกะลูกหว้าด้วยแร๊ะ 5555555
    ทาสีหลังคาเสร็จอีกสองวันจ๊ะ พี่ภู
    ขันธ์ตัวดีร้องไห้หา หนมจีนน้ำเงี้ยวกะแกงส้มกระบี่อ่ะ ฮือฮือฮือฮือ
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาค่ะ คุณสู่วันใหม่
    เอ๊า ใครๆอยู่ไหนเข้ามาได้เลยนะ อย่ามัวแต่เกาะขอบกันอยู่นะจ๊ะ
    ดชน. รอรัก เอ๊ย รออยู่ มาฝึกจิตกันจ๊า
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ไหนอ่ะนิทาน รออ่านอยู่เนี่ย
     
  5. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    แม่นแร๊ว แม่นอีก นะพี่ท่าน
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กรุณาอยู่ระยะแห่งความคิดถึง
    อ๊าว! นั่นน้องเปาวลีแล้ว เคยฟังกันเป่า

    คุณwatjojoj ผมขอฝากอะไรคุณสักอย่างนึงจะได้ไหม๊
    ฝากเลี้ยงสตินะ สติ
    สติคุณนะ ไม่ใช่สติผ๊ม
    คุณไม่ต้องทำอะไรมากหรอกวันๆนึงน่ะ
    เราจะเลี้ยงสติกัน ก็แค่ให้เราหมั่นนึกถึงพระพุทธเจ้าให้บ่อยที่สุด นั่นแหล่ะ
    จิตของเราจึงจะนิ่งอย่างง่ายดาย

    แต่ถ้าวันใดรู้สึกว่าจิตไม่สบาย ขอให้เราสมีติรู้ว่า จิตเรากำลังไม่สบาย
    แต่ถ้าวันใด จิตไม่อยากทำจิตเกาะพระ เราก็อย่าไปฝืนจิตนะ
    ปล่อยให้เขาลอยนวลไป
    แต่เราเองก็ต้องยังมีสติอยู่เนื่องๆนะ
    ไม่ใช่จิตเบื่อแล้ว เราทิ้งสติเลย อันนี้ไม่ใช่นะ
    แต่ถ้าจิตเบื่อ เราก็ทำอนาปานสติไปพลางๆก่อน แต่เมื่อจิตรู้สึกเบา หรือสบายแล้ว ใหม่ๆเรากำหนดระลึกถึงพระช่วยจิตไปก่อน

    แต่ถ้าเราทำบ่อยๆ อย่างนี้ทุกวันๆ จิตเราจะจำ/จับ/เกาะพระได้แนบแน่น หรืออัตโนมัติ โดยที่เราไม่ทันได้นึก อันนี้เริ่มเข้าท่าแล้วนะ


    ***แต่ถ้าวันใดลูกศิษย์ไม่มีการบ้านส่งครู หรือส่งที่กระทู้นี้
    นั่น! ก็แสดงว่าวันๆนั้น สติของคุณน้อยเกินไป
    ถ้าสติน้อยเกินไป จึงตามดู ตามรู้อาการ หรืออารมณ์ของจิตไม่ทัน
    คุณก็เลยไม่มีอะไรมาเขียนรายงานส่งให้ครู

    นี่คือเหตุผล ที่ไม่มีการบ้านส่งครู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กรกฎาคม 2012
  7. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793

    วันนี้โดนหลายดอกเลยครับ บางทียุ่งกับคนมากๆ สติก็กระเจิง รีบกลับไปปฏิบัติอย่างไวครับ
     
  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~4.JPG
      _1_~4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      383
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    555555555 โดนกันถ้วนหน้าทั้งครูทั้งศิษย์
    พี่เพ็ญงี้โดนไปหลายดอกเหมือนกัน
    น้องหนูก็โดน มึนไปเหมือนพี่สาว
    ครูวิทย์โดนก่อน หนักเอาการ
    ไม่ทราบว่ามีครูท่านใดโดนอีกไหม
    ช่างมันขันธ์ห้า ยังไงมันก็เลวอยู่วันยังค่ำ
    ไม่มีขันธ์ห้าที่ไหนดีหรอก
    มีแต่เสื่อมกับเสื่อม
    แถมกินจุอีกต่างหาก
    กินมาตั้งสี่สิบกว่าปีแล้วมันยังไม่ยอมหยุดกินเลยอ่ะ
    ลองคิดดูสิ คนที่อยู่นานกว่าเราจะกินจุขนาดไหน
    ชีวิตเกิดมาภพหนึ่งก็เห็นมีแต่ทุกข์กับเรื่องกินนี่แหละมากที่สุด
    เอ้า วิปัสสนากันเข้าไป เอาให้หนัก ๆ
    คำว่าหนัก ๆ คือคิดทบทวนอยู่ในเรื่องวิปัสสนาญาณ ๙ ซ้ำ ๆ
    ทวนขึ้นทวนลง วนอยู่ในวิปัสสนาญาณ ๙ ไม่มีเบื่อ
    ยิ่งวิปัสสนาก็ยิ่งสนุกสนานเพลิดเพลิน
    ไม่ต้องห่วงครู ครูไม่เป็นไร เพราะครูคือ...สีทนได้ 55555
     
  10. chalesa

    chalesa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีค่ะ พี่ภู พี่เพ็ญ และก็คุณครูทุกคนค่ะ

    ไม่ได้เป็นสมาชิกใหม่แต่ประการใดนะคะ

    แต่ไม่เคยออกมาแสดงตัวในห้องนี้ค่ะ

    ร่วมอนุโมทนาบุญกับจิตบุญทุกท่านนะคะ
     
  11. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [​IMG]

    อิทธิบาท ๔

    ได้พูดถึงวิธีการต่างๆ มามาก ต่อแต่นี้ไปจะพูดถึงกฎบังคับตายตัวในพระพุทธศาสนา
    อีกอย่างหนึ่ง ที่นักปฏิบัติไม่ว่าระดับใดต้องยึดถือเป็นกฎบังคับสำหรับการปฏิบัติ ถ้าทิ้งอิทธิบาท
    ๔ นี้เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จผลสมความปรารถนา แต่ถ้าท่านผู้ใดทรงการ
    ปฏิบัติตามในอิทธิบาท ๔ นี้แล้ว สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสรับรองผลว่า ต้องสำเร็จสมความ
    มุ่งหมายทุกประการ แม้ท่านหวังพระนิพพานในชาตินี้ ก็หวังได้แน่นอน ใจความในอิทธิบาท ๔
    มีดังนี้

    ๑. ฉันทะ มีความพอใจในปฏิปทาที่ปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ
    ๒. วิริยะ มีความพากเพียรพยายามไม่ท้อถอย
    ๓. จิตตะ สนใจในข้อวัตรปฏิบัตินั้นเนืองนิจ
    ๔. วิมังสา ใคร่ครวญพิจารณา ในข้อวัตรปฏิบัตินั้นโดยถูกต้อง

    กฎ ๔ อย่างนี้ท่านเรียกว่า อิทธิบาท แปลว่า เข้าถึงความสำเร็จหมายความว่าท่าน
    นักปฏิบัติท่านใดจะปฏิบัติในสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม ถ้าท่านมีแนวความคิดรักใคร่สนใจใน
    ข้อวัตรปฏิบัติ มีความพากเพียรไม่ท้อถอย สนใจใคร่อยู่เป็นปกติ พิจารณาสอบสวนทบทวน
    ปฏิปทาที่ปฏิบัติแล้วว่า เหมาะสมถูกต้องประการใด หรือไม่เพียงใด ต่อไปควรจะปฏิบัติอย่างไร
    จึงจะเหมาะสมถูกต้อง ปฏิบัติได้อย่างนี้ สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่าไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ไม่สำเร็จ
    อิทธิบาท ๔ ประการนี้ นักปฏิบัติต้องยึดไว้เป็นหลักปฏิบัติประจำใจ ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดที่จะ
    ละเลย ไม่ยึดถืออิทธิบาท ๔ นี้เป็นหลักปฏิบัติประจำใจ แม้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเองก็ทรง
    ยึดอิทธิบาทนี้เป็นกฏในการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ขอท่านนักปฏิบัติทุกท่านจงยึดถืออิทธิบาทนี้เป็น
    หลักชัยประจำใจไว้เสมอ

     
  12. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="98%"><tbody><tr><td>อิริยาบท

    นักปฏิบัติผู้หวังผล ส่วนมากมักจะหนักใจอิริยาบท คิดว่านั่งอย่างไร นอนได้ไหม? เดิน
    ยืนได้หรือเปล่า? ขอบอกไว้ให้ทราบว่า วิธีปฏิบัติในอิริยาบทนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ทรง
    จำกัดไว้ท่านว่าได้ทั้ง ๔ อิริยาบท คือ นั่ง นอน ยืน เดิน

    การนั่ง
    การนี้ท่านไม่จำกัดไว้ ท่านว่านั่งตามสบาย ชอบขัดสมาธิ หรือพับเพียบ หรือท่าใดท่าหนึ่ง
    ที่พอเห็นว่าเหมาะสม หรือพอสบาย ท่านว่าทำได้ แต่ตามแบบท่านพูดเป็นกลาง ๆ ไว้ว่า เข้าสู่
    ที่สงัด นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ท่านว่าอย่างนี้ การตั้งกายให้ตรง เอากันเพียง
    แค่เท่าที่จะตรงได้ สังเกตดูด้วยการทดลองสูดลมหายใจเข้าออก เอาพอหายใจสบายๆ ถ้าคน
    หลังงอหลังโกงบังคับให้ตรงเป๋งย่อมไม่ได้ ต้องให้เหยียดพอดีเท่าที่จะเหยียดได้

    นอน
    ท่านว่าควรนอนตะแคงขวา แบบสีหไสยาสน์ แต่ทว่าถ้านอนตะแคงขวาไม่ได้เพราะเหตุใด
    ก็ตาม ท่านจะนอนท่าใดก็ได้ ตามแต่ที่ท่านจะเห็นว่าสบาย

    การยืน
    แบบยืนนี้เห็นจะไม่ต้องอธิบาย ก็การยืนไม่มีหลายท่า เอากันแค่ยืนได้ ใครขืนเล่นพิเรนทร์
    ยืนนอกแบบฉบับก็เห็นจะลำบาก

    การเดิน

    การเดินนี้มีความสำคัญมาก ต้องขออธิบายสักหน่อย เดินท่านเรียกว่า "จงกรม" ทำกัน
    อย่างไร ท่านไม่ได้อธิบายไว้ แต่ตามที่ปฏิบัติกันมา ท่านสอนให้เดินหลายอย่าง คือ
    ๑. เดินนับก้าว ที่เท้าก้าวไป
    ๒. เดินกำหนดรู้การก้าวไปและถอยกลับ รู้พร้อมทั้งการแกว่งแขน และยกขาว่า ก้าวเท้า
    ซ้ายหรือเท้าขวา แกว่งแขนซ้ายหรือแขนขวา ก้าวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ดังนี้เป็นต้น
    ๓. เดินกำหนดอารมณ์สมาธิ คือกำหนดนิมิตสมาธิตามอารมณ์กรรมฐานที่เจริญอยู่ โดย
    เดินไปตามปกติธรรมดา
    ขอสรุปเอาว่า การเดินปฏิบัติ ท่านเรียกว่าเดินจงกรม คือเดินควบคุมสติให้รู้ว่า ก้าวไปหรือ
    ถอยกลับใหม่ ๆ ท่านให้ฝึกนับก้าวว่า เดินไปได้กี่ก้าวจึงถึงที่หมาย ต่อมาให้กำหนดรู้ว่า เราเดิน
    ด้วยเท้าซ้ายหรือเท้าขวาให้กำหนดรู้ไว้ เพื่อรักษาสมาธิ ต่อไปก็เดินกำหนดอารมณ์กรรมฐาน ถ้า
    เป็นกรรมฐานที่มีรูป ก็กำหนดรูปกรรมฐานไปพร้อมกัน กรรมฐานกองใดได้สมาธิในขณะเดิน
    กรรมฐานกองนั้นสมาธิไม่มีเสื่อม
    วิธีเดิน ตอนแรกๆ ควรเดินช้าๆ เพราะจิตยังไม่ชิน ต่อเมื่อจิตชินแล้ว ให้เดินตามปกติ
    แล้วกำหนดรู้ไปด้วย เมื่อใดถ้าเดินเป็นปกติ รู้การก้าวไปและถอยกลับได้จิตไม่เคลื่อนและรักษา
    อารมณ์สมาธิ หรือนิมิตกรรมฐานได้เป็นปกติ ทั้งเดินในที่ฝึกหรือเดินในธุรกิจแล้ว ก็ชื่อว่าท่าน
    เป็นนักปฏิบัติที่เข้าระดับแล้ว พอจะเอาตัวรอด

    บังคับหยุด
    การเดินควรฝึกทั้งหลับตาและลืมตา ตอนแรกๆ ฝึกลืมตา พอชำนาญเข้าให้ฝึกหลับตา
    แล้วกำหนดที่หยุดโดยกำหนดใจไว้ว่า ถึงตรงนั้นจงหยุด หรือ บังคับการแยกทางว่า ถึงตรงนั้น
    จงแยกทาง หรือขณะเดินอยู่นั้นอธิษฐานให้กายเดินย้อนไปย้อนมาตามแนวเส้นทางให้ถูกต้อง
    ส่วนจิตถอดท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ บังคับให้กายเดินให้ตรงทางที่มีส่วนตรงและโค้ง เลี้ยวไป
    เลี้ยวมาตามเส้นทาง
    หรือบังคับให้หยุดตรงที่กำหนด ให้หยุดกี่นาที แล้วเดินต่อไปตามกำหนดอย่างนี้ เป็นวิธี
    เดินจงกรมฝึกกรรมฐาน การเดินควรฝึกให้ถึงขั้นปกติ

    อานิสงส์เดินจงกรม

    การเดินจงกรมเป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ไม่ให้เส้นสายยึดจนกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยและยังทำให้ท้องไม่ผูกอีกด้วย

    </td></tr></tbody></table> .
     
  13. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    วิปัสสนาญาณ ๙

    ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
    ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
    ๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
    ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
    ๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
    ๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
    ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
    ๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
    ๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

    ญาณทั้ง ๙ นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วน
    ญาณ ที่ ๙ นั้น เป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้
    พิจารณาญาณทั้ง ๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม คือพิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑
    ถึงญาณที่ ๘ แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑ จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น
    เอกัคคตารมณ์ทุกๆ ญาณและจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎ
    ธรรมดา
    เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่ง
    กระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุ
    ของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็น
    อย่างนี้ อาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตาย
    ได้เป็นต้น คำว่าครอบงำหมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตาย
    ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง
    แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไปนอกจากระงับ
    ความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด
    สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะมีความนึกคิดถึงพระ-
    นิพพานเป็นปกติ คล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืน เดินทำกิจการ
    งานอยู่ก็ตามจิตก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้ บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก
    ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียกทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์
    ผูกพันฉันใด ท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกัน
    หลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
    คือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระ
    โสดาบัน
     
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ปริยัติ vs ปฎิบัติ

    เห็นบทความนี้เข้่าท่าดี จึงนำมาแบ่งปันกัน..

    ------------------------------------------

    อ่านมาก ฟังมาก สดับมาก.. เป็นผู้พูดธรรม มีปฏิภาณโวหารทางธรรม 
    แต่ยากที่จะบรรลุธรรม เพราะมีสัญญาอารมณ์มาก 
    จิตใจเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆมาก เหมือนมีเถาวัลย์เกาะเกี่ยวจิตใจ
    จึงประกอบการพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญในความรู้ความเข้าใจในธรรมของตน
    ทำให้เกิดการลังเลสงสัยมากเลยเกิดวิจิกิจฉา 
    เวลาปฏิบัติคอยแต่คิดคาดการณ์ไปล่วงหน้าจะเป็นขั้นนั้นขั้นนี้..
    ไม่ปล่อยวางสัญญาความรู้.. ที่ได้จากการศึกษา
    การพิจารณาของจิตที่หยาบมีอารมณ์ฟุ้งซ่านไม่สงบ..
    จิตจึงตกตะกอนความคิดเป็นสัญญาอารมณ์
    แต่เจ้าของเข้าใจผิดเป็นปัญญาทางธรรม

    แนวทางการปฏิบัติธรรมนั้น..
    ครูบาจารย์ท่านจะสอนให้แก่ผู้ศึกษาธรรมที่เป็นผู้อ่านมาก ฟังมาก สดับมาก
    ให้ปล่อยวางสัญญาความรู้.. ทั้งหมดของตน
    มิใช่ปฏิเสธปริยัติธรรมแต่ยังไม่ถึงเวลานำมาใช้ในเวลาอันควร
    เพราะเมื่อลงมือปฏิบัติควรมุ่งที่การปฏิบัติโดยถ่ายเดียว
    ไม่ควรนำปริยัติมาตีกันกับปฏิบัติจะทำให้เกิดความลังเลสงสัย
    น้อมเอาความรู้ความเข้าใจในการศึกษาธรรมวางไว้บนหิ้งบูชา
    เพื่อน้อมมาปฏิบัติให้มาก ปรารภความเพียรให้มาก..
    กำหนดเจริญสติในอริยาบถ เดินจงกรม ฝึกนั่งสมาธิ

    หลังจากเสร็จกิจจากการบำเพ็ญภาวนาทางจิตใจ
    เมื่อต้องการตรวจสอบการปฏิบัติภาวนาหรือติดขัดไม่เข้าใจในสิ่งใดในการปฏิบัติของตน
    จึงน้อมเอาความรู้จากตำราพระไตรปิฏกหรือเทศนาธรรมของครูบาจารย์
    มาตรวจสอบการปฏิบัติของตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามคำสอนขององค์พระศาสดา
    หรือหากอยู่ใกล้ครูจารย์ให้สอบถามการปฏิบัติจากองค์ท่าน

    การศึกษาการปฏิบัติเองโดยถ่ายเดียวไม่มีครูบาอาจารย์
    ยากที่จะมีความก้าวหน้า.. ลองผิดลองถูกไม่จบสิ้น
    มีแต่จะเพิ่มพูนความสงสัยและจะท้อใจในผลการปฏิบัติของตนเป็นลำดับ
    ที่สำคัญ.. ตัวเราไม่มีวิสัยพระสัพพัญญูจะรู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเอง
    จึงยากที่จะเป็นผู้รู้ธรรม ถึงธรรม ด้วยตนเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์


    ------------------------------------------

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    แก่น ...

    วันนี้เรามาว่ากันที่ "แก่น"

    คนสมัยนี้ทำอะไร คิดกันน้อยไปหน่อย
    ทำสักแต่ว่าทำ ... ทำแบบไม่จับหลักไว้เป็นธงในใจ

    ทำไมเราถึงพูดกันเช่นนั้น

    ถ้าเป็นการทำงาน ผมมักจะสอนลูกน้องเสมอ ถ้าคุณจะทำอะไร ขอให้มอง "ภาพสุดท้ายนะ ว่าเราอยากจะให้มันเป็นเช่นไร" ซึ่งก้อคือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนนั่นเอง

    เมื่อเรา ทราบเป้าหมายของเราแล้ว เราก้อจะต้องมาสำรวจ ว่า ....
    การที่เราจะเดินเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้นั้น ต้องทำอย่างไร มีลำดับขั้นตอนอย่างไร ใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง 5W/1H(What Why When Where Who/How)

    ในขั้นตอนต่อมา ... เมื่อเรารู้ว่าจะต้องใช้อะไร ทำอย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทุกคนมักมองข้ามคือ การสำรวจสภาพปัจจุบันของตนเอง ว่า เรามีพร้อม เราขาดสิ่งใด ...
    ในขั้นตอนนี้ คนส่วนมากไม่สนใจ หรือ มักจะหลอกตัวเอง แล้วก้อเริ่มไปทำเลย ประมาณว่า ป่ะ เราไปลุยกันเล้ยพวก สุดท้าย ไม่สำเร็จสักราย
    สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องยอมรับ คือ เราเป็นอย่างไร เราต้องพัฒนาอะไร เราต้องปรับปรุงอะไร ต้องยอมรับความจริง ... ยอมโง่วันนี้ ดีกว่า แต่ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง และไม่ต้องวิ่งกลับมาเริ่มใหม่อีก ท่านว่าดีกว่าไหม

    เมื่อเราทบทวนสภาพปัจจุบันของเราแล้ว และเตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้ว ก้อมาเริ่มงานกัน

    ในการทำนั้น ... ทุกท่านมักจะมองภาพแค่ด้านเดียว ไม่ค่อยเผื่อใจสำหรับความผิดพลาด มองแต่แง่ดีที่จะสำเร้จ ทุกสิ่งมันจะต้องเดินไป ตามแผน ด้วยความสวยงาม เราวางแผนดีแล้วนิ มันจะพลาดได้ไง ... แต่
    นี่คือโลกแห่งความจริงนะครับ มิใช่ความฝัน "ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน" ประโยคนี้ถูกต้องเสมอ ถ้าเราสามารถควบคุมทุกอย่าง ทุกปัจจัยให้นิ่งอยู่ละก้อ ป่านนี้สบายกันหมดแล้วครับ
    เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงนี่สิ ...
    คนเราพอลงสังเวียนจริง มิใช่การนั่งดู หรือ จินตนาการเอา พอเจออุปวรรค หรือ สิ่งที่อยู่นอกเหนือแผน นอกเหนือสิ่งที่เราเคยรู้ เคยได้ยินมา อยู่นอกตำราที่เคยอ่าน ... งง เป็นไก่ตาแตกทุกคน สุดท้ายไปจบที่สงสัย และไปไม่เป็น จนท้อ ล้มเลิกไปเอง

    ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกก้าวย่างที่เราเดิน มีสองด้านเสมอที่จะเกิดขึ้นได้ กำลังใจ และหลักนั่นแหละครับที่เราจะต้องจับให้มั่น เราต้องมีหลักประจำใจ มีหลักของเรา อย่าโลเล ไม่งั้น เราจะหลงได้ง่าย
    ขอยกตัวอย่าง สัก หนึ่งชิ้น ... ในต่างประเทศ เค้าให้คุณครูเข้าไปในห้องเรียนหนึ่ง และให้นักเรียนท่องตามครุว่า 2+2 = 5 .. แล้วครูก้อถามนักเรียนว่า 2+2 เท่ากับเท่าไหร่ นักเรียนทุกคนตอบตามครุว่า 5
    แต่มีนักเรียน 1 คน ไม่ยอม ยังก้อจะตอบว่า 4 ยืนกรานอย่างมั่นใจ
    แล้วสุดท้าย .... คณะกรรมการโรงเรียนก้อโผล่ออกมา แล้วมอบรางวัลนักเรียนดีเด่นให้นักเรียนคนนั้น

    เราเห้นอะไรไหม เด็กคนนี้ เชื่อมั่นในหลักของตนเอง อย่างมั่นคง และไม่โอนอ่อนไปตามกระแส และสิ่งที่ทุกคนเป็น

    ผู้ปฎิบัติทุกท่าน ต้องทบทวนให้ดีว่า ตนเองนั้น ยังแม่นในหลักไหม ยังมั่นคงแน่วแน่ ในสิ่งที่ตนเองทำไม รู้ไหมว่าสิ่งที่ทำยังถูกต้องอยู่ไหม อย่าแม้แต่จะสงสัยและลังเล

    นี่ไง ถึงบอกว่า ยังงัยคุณก้อต้องมีครู ... เมื่อเราทำอะไร แล้ว ต้องหมั่นทบทวนตนเองนะ ด้วยตนเองก้อได้ ปรึกษาครูก้อได้ เราจะได้ ไม่หลงทาง ไม่หลงแก่น ไปเกาะเปลือก เกาะกระพี้ ไม่เอาแก่น เพราะสิ่งพวกนี้มันได้ง่ายไงครับ เราเลยติดง่าย ของยากๆ เรามีความอดทนไม่พอ วางกำลังใจไม่ดีพอ เลยไปคว้าเอาเปลือกก้อยังดีฟ่ะ(ชอบปลอบใจตัวเองเนาะ ลืมภาพสุดท้าย ที่ตอนแรก เราตั้งใจไว้ทุกที)

    อีกอย่างที่ชอบเป็นกัน ก้อคือ ชอบอยาก
    ชอบได้ไวๆ อยากเป็นไวๆ อยากจนเกินพอดี จนกลายเป็นความโลภ แล้วไงละ ต้องเร่งตัวเอง เร่งจิต เข่น เค้น ทำ จนเกินพอดี จนเครียด จนกดดัน
    เคยเห็นคนที่ทำอะไรแบบนี้ แล้วทำได้ดีสักคนไหมครับ .. ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะ จริงๆ
    ผมเจอแต่คนที่ ทำๆๆๆไป ทบทวนไป เจอปัญหาก้อค่อยแก้ไป ถึงมันจะช้าหน่อย แต่มัน ถึงแน่ๆ
    วิ่งเร็ว วิ่งช้า สุดท้ายถึงเหมือนกันนะ อย่ารีบ อย่าร้อนรนนะครับ ... เอาแบบไปช้าๆ แต่แน่นๆ ยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
    มิใช่ไปไว แล้ว ล้ม กลับมาใหม่ ... คุณจะต้องล้มสักกี่ครั้งถึงจะจำ ล้มแล้วจะสร้างกำลังใจใหม่ได้เหมือนเดิมไหม ส่วนใหญ่ ท้อ แล้วก้อเลิกไป

    การวางกำลัง เป้นสิ่งสำคัญที่ตัวผุ้ฝึกจะต้องมี วางกำลังใจให้เป็น
    อย่าถามเลย ครูครับ/ค่ะ นู๋เป็นศิษย์ที่แย่ที่สุดไหม ครูครับ ผมไปไวที่สุดในกลุ่มแล้วใช่ไหมครับ

    ทำๆๆ แล้วก้อ ทำๆๆๆๆๆๆๆ ทุกที่ ทุกเวลา(สูตรครูลูกพลัง) อยุ่กับตัวเรา อยู่กับครูเรา ไม่ต้องไปสนใจผู้อื่น สนใจแล้วไม่ได้ทำให้เราไวขึ้นนะ

    เพราะการฝึกนี้ เราฝึกมิใช่ผู้อื่นมาช่วยฝึก ตนเป้นที่พึ่งแห่งตน จำไว้นะครับ

    แล้วบางคน ชอบโทษตนเอง ผม/หนู เลวมาก ทำบาปมามาก จะทำได้เหรอ ผมทำไม่ได้แน่ ... ผมไม่เห็นนะคนที่เลว คนที่บาปหนา ผมเห็นแต่ปัจจุบันที่คุณมาฝึก คุณตั้งใจจะหลุดพ้น ผมขอให้คุณอยู่กับปัจจุบันให้มาก ทุกขระจิต อย่าไปเอา อดีต หรือ อนาคต มาทำให้เราเสียกำลังใจ อีกเลย ... ปัจจุบันนะ ปัจจุบัน

    อีกพวกก้อ คนเก่ง คนรู้มาก รู้เยอะ .... สิ่งที่ผ่านมา ก้อคืออดีต ปัจจุบันครูให้ทำอะไร ก้อทำนะ อย่าสงสัย อย่าไปเปรียบ อย่าไปคิดล่วงหน้าว่าต่อไป จะเหมือนที่เราเคยเจอ เคยเรียนมาแน่
    ยอมโง่สักพักนะ วางทุกอย่าง รีเซ็ตตัวเอง ให้ว่าง ให้กลวงที่สุด พร้อมรับทุกอย่างเข้าไปใหม่ รับรอง ครูเค้าไม่ใส่หรือสอนสิ่งไม่ดีให้หรอกครับ มั่นใจได้

    ยอมโง่ เพื่อแจ้ง...ทำได้ไหม

    แต่ทำแล้ว อย่าลืมยึดนะ ทางสายกลาง อย่าตึงไป อย่าหย่อนไป เอาให้สม่ำเสมอ
    รับรองได้ กลางๆ ไวกว่า ตึงๆ เข้มๆ แน่นอน

    พูดมาเยอะ

    เรามาสรุปกันดีกว่านะครับ
    1.ทำอะไรอย่าทำแบบไม่มีเป้าหมาย "ภาพสุดท้ายต้องชัดเจน"
    2.ต้องรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ... "รู้ว่าต้องทำอย่างไร"
    3.ต้องสำรวจตัวเองให้ทั่วพร้อม ยอมรับสิ่งที่เราเป็น อย่า ... "หลอกตัวเอง"
    4.วางทุกอย่าง แล้วก้อ ทำ..ทำๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้ว ก้อ ทำๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ... "ทำ"
    5.หมั่นทบทวนตัวเอง รู้ว่าทำอะไร ... "แม่นในหลัก ไม่ทิ้งแก่น"
    6.ทำไป วางทุกสิ่งที่ผ่านมา อยู่กับปัจจุบัน กับเรา กับครู พอ
    7.ยอมโง่ เพื่อแจ้ง

    ถ้าทุกท่านทำ โดยไม่ทิ้งแก่น ไม่ทิ้งหลัก ผมมั่นใจได้ ทุกอย่างไม่มีที่จะไม่สำเร็จ

    ขอให้ตั้งใจฝึก ปฎิบัติ อยู่กับตัวเอง(จิต) อยู่กับพระ และ อยู่กับครู ...

    ครูทุกท่านในนี้ ท่านมีแต่ให้ ไม่มีรับ
    มารับไป เรือทุกลำในนี้ พร้อมพาท่านไป

    เราจะนำพาท่านกลับบ้านเอง

    สวัสดีครับ

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11 (13 กค 55)
     
  16. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอบคุณ ครูเพ็ญ ที่จัด แสงสี แลขนาดให้ค่ะ ช้อปชอบ ชัดดีๆ(kiss)
     
  17. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    สาธุคะ :cool::cool::cool:
    ชัดเจน แจ่มแจ้ง
     
  18. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    5555555 ดชน โดนอยู่บ่อยๆ ให้โดนซะมั่งไม่งั้น
    ไม่หาย งง ....5555555
    โดนนนนนนน วันนี้ วันไหน ก็ต้องได้โดน
    หากทนไม่ไหว ยิ่งต้องได้โดน
    หากชนไม่ได้ คุณก็ไม่ต้อง อย่าจ้อง อย่ามอง หานิพพานกัน......
    (มองงงงงงง คุณสาวคุณสวยฉันจึงได้มอง
    หากคุณไม่สวยฉันจะไม่มอง
    หากคุณไม่แจ่มฉันจะไม่จ้อง
    ฉันจะไม่มองให้หัว ใจเต้น....555 เอาทำนองเพลงนี้นะ อ้อ ขอได้มั้ยเพลงนี้ เอ๊ะ แล้วมีใครรู้จักบ้างอ่ะ คุณสุรพล สมบัติอ่ะ กิ้ว กิ้ว)
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ประกาศ!!!!!
    ใครอยู่ไหน รีบมาไวไว มาฝึกจิตเกาะพระกัน
    แอบมองอยู่นะ หุหุ
    ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเวป เข้าไปเจอกันในเมลล์ได้จร๊าาาาาาาาา ครูรออยู่นะ งานนี้ไม่หวังได้อะไรนะ อ้อ..
    หวังสิ หวังให้ศิษย์ได้เห็นในสิ่งที่พวกเราเห็นกัน ได้รู้ในสิ่งที่พวกเราได้รู้กัน ได้พบในสิ่งที่พวกเราได้พบกัน
    เข้ามาทักทายเลยจ๊ะ
     
  20. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    จ๊ะ โมทนากลับไปด้วยนะ
    เจริญในธรรมจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...