วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    อาจารย์ kananun หรือท่านอื่น ๆ ไม่ทราบว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้างในการเอาชนะใจตนเองละอบายมุขความเกียจคร้าน ฝืนใจมาทำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรทำได้บ้างคะ แบบเห็นผลอย่างรวดเร็วน่ะค่ะ (ไม่ทราบว่านอกกระทู้หรือเปล่า)
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    -การฝึกแยกธาตุสี่นั้น ในช่วงที่เป็นอารมณ์พิจารณา เป็นวิปัสนา ส่วนการแยกวัตถุออกเป็นธาตุ และหากเพ่งจนเห็นธาตุนั้นเป็นแก้วประกายพรึกเป็นฌานสี่ ก็จะเป็นสมถะครับ การปฏิบัติจริง จะมีการผสมกอง กัน สลับกองกันเป็นธรรมดาครับ

    -ส่วนการเจริญวิปัสนานั้น สิ่งที่มุ่งหวังเป็นหัวใจหรือหลักก็คือ อารมณ์ใจที่เราต้องการครับ

    ขั้นแรก เห็นทุกข์ ถูกแล้วครับ
    2. เห็นว่าทุกข์นั้นน่าเบื่อ พิจารณาจนเห็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    3. ต้องรู้จักพระนิพพาน สภาวะแห่งพระนิพพาน
    4. ต้องรู้หนทาง แนวทางปฏิบัติไปสู่ความไม่เกิด

    สรุปแล้วกระบวนการก็คือ อริยสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นเอง


    ส่วน อารมณ์ใจในการปฏิบัติที่เราต้องการก็คือ ความเบื่อหน่ายในร่างกาย ของเราของบุคคลอื่น (นิพพิทาญาณ) ว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์หากยังอยากมีร่างกายนี้อยู่ก็จะทำให้เราเกิดแล้วเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุด พิจารณาต่อไปว่าโลกล้วนแต่เต็มไปด้วยทุกข์กันทั้งสิ้น ไม่มีใครที่สุขจริง ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เมื่อจิตเราไปยึดไปติดจึงได้ทุกข์

    เมื่อเราได้รู้เท่าทันอำนาจของกิเลสว่า เพราะความยึดติด จึงเป็นทุกข์

    "จิตใจเราจึงปล่อยวาง " เมื่อปล่อยวางจากร่างกายได้ (สังขารุเบกขาญาณ) ได้จนเป็นปกติปล่อยวางในทุกสิ่ง จิตเราจึงเห็นความธรรมดาในทุกสิ่ง มีปัญญาเห็นธรรม เห็นโลกอย่างเหนือกระแส อยู่ในทะเลทุกข์โดยไม่ทุกข์ (หรือทุกข์น้อยลงกว่าบุคคลอื่น)

    ส่วนอารมณ์เบื่อแบบเซ็งๆ หมองๆนั้น ไม่ใช่อารมณ์การปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะจิตเศร้าหมอง

    อารมณ์ใจที่ถูกต้องก็คือ อารมณ์ใจที่โปร่ง โล่ง เบา ปล่อยวาง เห็นธรรมดา อันเป็นธรรมชาติของมัน ท่เป้นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน

    อย่างรถติด เรามาพิจารณา ว่า รถติดเรากังวลใจไป รถมันหายติดไหม รีบไปแล้วไปได้หรือ ทำไมต้องไปทุกข์กับมัน

    ก็เพราะเราหลงไปกับอารมณ์ ทำให้ใจเราหดหู่เศร้าหมอง แล้วตัวเราจะไปทุกข์เพิ่มอีกทำไม กับแค่รถติด

    จากนั้นก็ปล่อยวางจากใจที่กังวลเรื่องรถติด เมื่อจิตคลายตัวใจปล่อยวาง ใจก็สงบ เป็นสุข

    เรื่องการพิจารณาร่างกายก็เช่นกัน การเบื่อร่างกาย ก็ให้เบื่อเพื่อการปล่อยวาง ไม่ใช่เบื่อแบบใจเศร้าหมอง

    เมื่อจิตเราปล่อยวางร่างกายได้ อารมณ์ใจของเราจะเบาสงบ ทุกข์คลายตัวออกไปจากใจออกไปได้มาก เมื่อจิตปล่อยวางจากร่างกาย การเกาะกุมใจของกิเลสก็จะเบาบางลงตามไปด้วย

    ส่วนเวลาเจริญวิปัสนานั้น มีการพิจารณาถอยหน้าถอยหลังเป็นปกติครับ เรียกว่า การพิจารณา แบบอนุโลม ปฏิโลม พิจารณาถอยหน้าถอยหลังกันไปจนกว่าจิตใจเราจะเห็นจริง ในธรรม บางทีพิจารณาย้อนระลึกอดีตชาติกันไปหลายๆชาติเลย ส่วนเวลาพิจารณาไปข้างหน้ามักเป็นการพิจารณาผลของกรรมที่จะส่งผลไปในอนาคตครับ

    ส่วนการปฏิบัติที่เราต้องอยู่กับปัจจุบันนั้นคือการฝึกสติในมหาสติปัฐฐานบางข้อ การฝึกสติ และการฝึกสมถะครับ

    อย่าได้ไปกังวล จนเกินไป

    อย่างเห็นผู้หญิงสวยนี่ เขาพิจารณาดูกันตั้งแต่ยังสาว ค่อยๆแก่ไปทีละน้อย ดูว่ายังพอใจไหม แก่ขึ้นอีกไปจนหนังเหี่ยวยาน หลังโก่ง จนเน่า จนเป็นกระดูก ดูว่าใจเราค่อยๆคลายจากความกำหนัดยินดีในรูปนั้นๆ ตอนไหนครับ

    อารมณ์ใจที่เราต้องการคือ การคลายจากความยินดี และหลงในรูปนั้นๆ ส่วนอุบาย พลิกแพลงได้ จะพิจารณาให้จิตคลายอย่างช็อค หรือกระชากแรงๆเลย ก็มี หรือจะค่อยๆให้จิตคลายตัวจากความยึดมั่นทีละน้อยก็มีครับ แล้วแต่จริตของแต่ละคน

    ส่วนที่ครูบาอาจารย์หลายท่านมองเห็นคนผ่านไปผ่านมาเป็นซากศพเดินได้นั้น จิตจะตัดความกำหนัดยินดีในกามคุณแต่ต้น ไม่ไปปรุงแต่งต่อ รวมทั้งมองเห็นสภาวะธรรม ในอนิจจังลักษณะ ความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลาด้วย อสุภะสัญญาด้วย ควบหลายกองครับ

    สิ่งสำคัญอีกประการในการปฏิบัติก็คือ "สติ" จะรู้เท่าทัน สิ่งที่เข้ามากระทบหรือไม่เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ก็ปรุงไปเยอะแล้ว อย่างเห็นสาวๆสวยๆเดินมา ก็นึกไปว่า จะแต่งงานกับเขาแล้ว ประมาณนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2007
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วิธี แก้ความเกียจคร้านนั้น

    -ทำใจของเราให้เห็นถึงประโยชน์ของสิ่งที่เราจะทำเสียก่อนเพื่อกระตุ้นตนเอง

    -ฝึกตัวเราให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูง

    -สร้างแรงบันดาลใจมาช่วยกระตุ้นงานที่เราจะทำ (จะได้ไม่ขี้เกียจ)

    -ฝึกตัวเราให้เป็นคนแอคทีฟอยู่เสมอ ทำตัวกระชับกระเฉง คึกคักครับ

    ลองๆ ไปทำดูครับ
     
  4. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    อุบายที่ทำให้ละความเกียจคร้านได้นั่นก็คือ "ความสลด" คะ ลองนึกดูง่ายๆว่า การงานของเรานี้ ถ้าไม่ทำมันจะเสร็จไหม ถ้า้เราไม่ทำแล้วใครจะำทำ และถ้าทำไม่เสร็จจะเกิดผลเสียอย่างไร

     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    งั้นแก้ขี้เกียจ ให้การบ้านเลย

    ข้อเดียวพิจารณา 3 ชั้น 3 แบบ

    ให้พิจารณา ร่างกายของเราเอง แยกออกเป็น ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    โดย

    1. พิจารณาเอาง่ายๆ ตามที่เคยอ่านมาในหนังสือธรรมะ หรือที่จำเขามา

    2. ให้จับลมสบายให้ได้ก่อน จนเป็นลมละเอียด กำลังใจสูงสุดจนเป็นฌาน ที่เราทำได้ จากนั้นทรงอารมณ์และพิจารณาในฌาน และให้แยกแต่ละธาตุ ดินน้ำ ลม ไฟ ให้เป็นกองกสิณ ด้วย

    3.ทำอย่างข้อสองก่อน จากนั้น ใช้กำลังของมโนมยิทธิ เอากายเนื้อขึ้นไปตัดพิจารณาบนพระนิพพาน

    ลองทำแต่ละข้อ และดูจิต สังเกตุจิตของเราเองด้วยว่า แต่ละแบบมีผล อะไร อย่างไรบ้าง อย่างไหน รู้แจ้งแทงตลอดแก่ใจกว่ากัน

    ส่งการบ้านพรุ่งนี้ครับ
     
  6. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    โอ้โห คุณครูคณานันท์ให้การบ้านเด็กอนุบาล ถ้าไม่ทำจะโดนตีไหมคะคุณครู (||)

     
  7. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ขอตอบด้วยความรู้อันน้อยนิด

    -การฝึกแยกธาตุ 4นี้ จัดเป็นแค่ขั้นกรรมฐานหรือควบวิปัสสนาด้วยครับ ถ้าให้เด็กอนุบาลเดาคือถือเป็นทั้งคู่ใช่ไหมครับ
    ... กรรมฐานควบวิปัสสนา

    -เส้นแบ่งแยกระหว่างการทำกรรมฐานกับวิปัสสนาอยู่ตรงไหนหรือครับ เด็กอนุบาลอยากทราบเพื่อจะได้ทำใจให้ถึงวิปัสสนาทุกครั้งที่พิจารณาสภาวะธรรมใดๆครับ
    1.เห็นทุกข์(ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,ความสกปรกของกาย)
    2.เห็นว่าสภาพทุกข์นั้นน่าเบื่อ ไม่น่าที่เราจะต้องมาทนอยู่กับทุกข์นี้
    3.เห็นว่าทุกข์นั้นๆเป็นของธรรมดาโลก
    4.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้นๆ มีสภาพไม่เที่ยง เช่นเด็กทารกที่เกิดมาเดี๋ยวก็ต้องแก่ ความเจ็บป่วยที่เรารู้สึกอยู่เดี่ยวก็หายไป ที่เรารู้สึกหิวอยู่เดี่ยวก็ต้องหายหิว
    5.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้น มีแก่เรา จากสาเหตุที่เราดันมีร่างกาย และที่เรามีร่างกายก็เพราะเราดันเกิดมา และที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาก็เพราะเราดันติดใน รัก โลภ โกรธ หลง
    6. คิดต่อจาก 5. ว่าเรารู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว การไม่ต้องเกิดนั้นแลดีที่สุด เราจะตั้งใจดับไฟรักโลภด้วยการให้ทาน ดับไฟโกรธด้วยการเมตตา ดับไฟหลงด้วยการคิดว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรในโลกที่เป็นตัวเรา ของเรา
    - อารมณ์เบื่อแบบไหนที่ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณครับ
    ...ต้องทราบก่อนว่าความเบื่อเกิดจากอะไร...ความเบื่อเกิดขึ้นได้เพราะถีนมิทธะเข้าแทรก ซึ่งเป็น 1 ใน นิวรณ์ 5
    ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอยมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน
    ถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ

    ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป

    ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส (พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้ง)

    ให้พิจารณาดังนี้ครับ
    ถ้ายังอยู่ในวัฎฎะสงสารนี้ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เราก็ยังหนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ครับ
    เพราะว่ามันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง มันอยู่คู่กับ
    วัฎฎะสงสารนี้มานานแล้ว

    และ ผมเกรงว่าจะเบื่อผิดแบบครับ เพราะผมสังเกตุตัวเองว่าเวลาปฏิบัติธรรมคิดเบื่อสิ่งต่างๆในโลก ใจผมมันจะเศร้าหมองยังไงพิกล เลยคิดว่ามาผิดทาง คิดเบื่อยังไงไม่ให้ใจหมองครับ
    - เบื่อรถติด-->หมอง
    - เบื่อที่ตัวเราต้องมาป่วยอยู่อย่างนี้-->หมอง
    - เวลาเรามองคนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นซากศพเดินได้ เราควรพิจารณาธรรมแบบนี้ไหมครับ
    ...เบื่อการเกิดดีกว่าครับ
    ทุกข์ คือ การเกิด
    เกิด -> ทุกข์
    ไม่เกิด -> ไม่ทุกข์
    สมุทัย คือ อวิิชชา (ความไม่รู้ ความหลง) เป็นเหตุแห่งความเกิด
    นิโรธ คือ ความดับไม่เหลือเชื้อ (ความไม่เกิด)
    มรรค คือ เจริญมหาสติปัฎฐาน วิปัสสนา (ทางสายเอกทางตรงสู่นิพพาน)


    ผมสับสนว่าคิดอย่างนี้จะกลายเป็นเราไม่ได้รู้สภาวะธรรม ณ. สภาพปัจจุบัน ของสิ่งนั้นๆหรือเปล่าครับ เช่น
    1. เวลาเรามองกายผู้หญิงสวยที่ยังเต่งตึงอยู่เดินผ่านเรา ตอนเราเห็นเค้า เค้ายังไม่ได้เน่าเฟะ เป็นศพเลยนี่ครับ ถ้าเราไปคิดว่าเค้าเน่าออกมาให้เราเห็นแบบนั้นจะกลายเป็นเราไปคิดถึงอนาคต ไม่จดจ่ออยู่กับสภาวะปัจจุบันของกายนั้นๆ หรือเปล่า
    2. แต่เวลาเราไปดูร่างกายคนตายตามโรงพยาบาลที่เราเห็นตับไตไส้พุงเขา หรือศพที่เน่าให้เราเห็นคาตา อย่างนี้ผมไม่สับสนครับ เพราะเรากำลังพิจารณาสภาวะธรรมของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันขณะของเขาจริงๆ :) น่าจะพิจารณาวิปัสสนาต่อได้จริง
    3. แล้วที่เราคิดว่าวันพรุ่งนี้เราอาจต้องตาย แต่ภาวะปัจจุบันเรายังไม่ตาย ถ้าเราวิปัสสนาในใจว่า พรุ่งนี้หนอ เราอาจต้องตาย คิดอย่างนี้จะไปคิดถึงอนาคต คือถือว่าไม่พิจารณาสภาวะธรรมในปัจจุบันหรือเปล่าครับ ตกลงควรคิดไงดีครับ เด็กอนุบาลชักงง อะไรคือนิยามของสภาวะธรรม ณ ปัจจุบัน ที่เราควรใช้ต่อยอดทำวิปัสสนากันแน่หนอ เด็กอนุบาลยังปัญญาน้อย วอนท่านผู้รู้ช่วยให้ธรรมทานด้วย
    ...หลักการพิจารณาไม่ได้ตายตัวว่าต้องพิจารณาอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา ต้องพิจารณาทั้ง 3 กาลรวมกัน "อดีต" -> เป็นผลมายัง -> "ปัจจุบัน" -> เป็นผลมายัง -> "อนาคต"

    เจริญในธรรมครับ _/\_
     
  8. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ...หลักการแก้ไขความเกียจคร้านของผมคือ คิดว่าพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปแล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว ก็คือการฝึกมรณานุสติ นั้นเอง เป็นหนึ่งในกรรมฐาน 40 กอง

    ก็ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้อย่างมีคุณค่า ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมมากที่สุด...
     
  9. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    กรรมฐาน ๔๐

    แบ่งออกเป็น 7 หมวด ดังนี้

    หมวดกสิน ๑๐
    เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง
    ๑. ปฐวีกสิน เพ่งธาตุดิน
    ๒. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ
    ๓. เตโชกสิณ เพ่งไฟ
    ๔. วาโยกสิน เพ่งลม
    ๕. นีลกสิน เพ่งสีเขียว
    ๖. ปีตกสิน เพ่งสีเหลือง
    ๗. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง
    ๘. โอฑาตกสิณ เพ่งสีขาว
    ๙. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง
    ๑๐. อากาศกสิณ เพ่งอากาศ

    หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐

    เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก น่าเกลียด

    ๑๑. อุทธุมาตกอสุภ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น พองไปด้วยลม ขึ้นอืด
    ๑๒. วินีลกอสุภ วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว
    เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้
    ฉะนั้นตามร่างกายของผู้ตาย จึงมีสีเขียวมาก
    ๑๓. วิปุพพกอสุภ เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
    ๑๔. วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย
    ๑๕. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน
    ๑๖. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง
    ๑๗. หตวิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่
    ๑๘. โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ
    ๑๙. ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่
    ๒๐. อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก

    อนุสสติกรรมฐาน ๑๐
    อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกถึง เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริต จะได้ผลเป็นสมาธิมีอารมณ์ ตั้งมั่นได้รวดเร็ว
    ๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    ๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์
    ๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
    ๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์
    ๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
    ๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
    ๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
    ๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
    ๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์

    หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา
    ๓๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส

    หมวดจตุธาตุววัฏฐาน
    ๓๒. จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    หมวดพรหมวิหาร ๔

    พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม พรหมแปลว่าประเสริฐ
    พรหมวิหาร ๔ จึงแปลว่า คุณธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่
    ๓๓. เมตตา คุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์
    ๓๔. กรุณา ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์
    ๓๕. มุทิตา มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน
    ๓๖. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย

    หมวดอรูปฌาณ ๔
    เป็นการปล่อยอารมณ์ ไม่ยึดถืออะไร มีผลทำให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุขประณีต ในฌานที่ได้ ผู้จะเจริญอรูปฌาณ ๔ ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ ๔ เสียก่อน
    แล้วจึงเจริญอรูปฌาณจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
    ๓๗. อากาสานัญจายตนะ ถือ อากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรงจิตรักษาอากาศไว้ กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
    ๓๘. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด ต้องการจิตเท่านั้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
    ๓๙. อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
    ๔๐. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี ไม่รับอารมณ์ใด ๆ จะหนาว ร้อนก็รู้แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง
    เปลื้องความสนใจใด ๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2007
  10. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ขอบคุณท่านกัลยาณมิตรทุกท่านที่ให้ธรรมทานเด็กอนุบาล

    โห :) เห็นข้อสอบคุณครูแล้ว ปลื้มใจ ปนรู้สึกท้าทาย ปนรู้สึกลนครับ แต่ที่สุดขอโมทนาบุญในธรรมทานที่ทุกท่านให้ และขอบคุณในคำถาม คำตอบเรื่องทำไงให้หายขี้เกียจด้วย โรคนี้ เด็กอนุบาลก็กำลังกำเริบอยู่เช่นกัน
    ขอทำข้อสอบข้อ 2 และ 3 ตอนคืนนี้นะครับ ช่วงเช้าและระหว่างวันขอทำข้อ1ฝึกแยกธาตุและพิจารณาให้ชำนาญก่อน เกรงว่าถ้าไม่วอร์มอัพก่อนแล้วจะสอบตก :)
     
  11. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ข้อแนะนำเสริมครับ ไปโรงพยาบาล ดูสภาพของผู้ป่วยโรคต่างๆ หรืองานศพตามวัดหรือบ้านคนที่เรารู้จัก แล้วพิจารณาไปด้วย ผมใช้วิธีนี้ครับ พิจารณาว่า สภาพศพที่ว่าแข็งเหมือนท่อนไม้จริงไหม ลองจับดู จะรู้เลยจริงตามพระท่านบอก บางศพก่อนตายหล่อมาก ตายแล้วบวมเหมือนตุ๊กตายางที่สูบลมจนพองแล้วทาสีเขียว มันแตกต่างสิ้นเชิงจากตอนมีชีวิตอยู่
     
  12. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    พระบอกว่า "หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย"
    พระบอกว่า "ชีวิตนี้น้อยนัก"

    เราหายใจเข้าก็ตายเร็วขึ้นอีกลมหายใจ หายใจออกก็ตายเร็วขึ้นอีกลมหายใจ หายใจเพื่อที่จะตายอยู่ทุกวันความตายมันอยู่ใกล้นิดเดียว แล้วจะขี้เกียจทำไม
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    นาคามูระ ตื่นขึ้นแล้ว

    ขอโมทนาด้วยครับ อานิสงค์แห่งการทำธรรมทานจำนวนมหาศาล ส่งผลให้เห็นได้ในปัจจุบัน ก้าวหน้าเจริญในธรรมขึ้นอย่างมากเลยครับ
     
  14. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ขอบคุณอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยนะคะที่ให้อุบายแก้ความขี้เกียจ เดี๋ยวจะรีบนำไปใช้สะสางการบ้านทางโลกที่จำเป็นและเร่งด่วนต้องส่งภายในศุกร์นี้ก่อน เดี๋ยวการบ้านทางธรรมขอฝึกด้วยกับคุณเด็กอนุบาลและขออนุญาตรายงานวันพรุ่งนี้กลางคืนนะคะอาจารย์
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนการไปดูศพเพื่อการพิจารณานั้น

    ต้องมีสติคุมจิตอยู่พอสมควรครับ หากจิตเราเกิดหวาดกลัว ก็จะยิ่งเศร้าหมองครับ

    สมัยที่บวชก็ไปดูเขาผ่าศพ ทั้งที่ศิริราช ที่จุฬาและที่นิติเวช อารมณ์ใจขณะไปดูตอนบวชที่มีอารมณ์แนบในธรรมปฏิบัติ กับ ตอนเป็นโยม กำลังใจในการพิจารณาก็ต่างกันไม่เท่ากัน

    หากำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ ขอให้รอไปก่อนที่จะไปพิจารณาของจริง

    หากจะไปก็ควรมีพรหมวิหารสี่และขอบารมีพระท่านคุ้มใจไปด้วย ยามไปดูก็พยายามอยู่เหนือลม เข้าไว้ อย่าไปยืนด้านปลายเท้าของร่างนั้นระหว่างไปดูก็ทรงพรหมวิหารสี่เอาไว้ตลอดเวลา พิจารณาให้เห็นเป็นวิปัสนาญาณล้วนๆ อย่าได้ไปดูเพราะเอา แปลก เอาสนุก จะเกิดโทษ และไม่ควรไปกับคนที่คึกคะนองไม่สำรวม จะพาผู้อื่นที่ไปด้วยเดือดร้อน

    มีอะไรก็อย่าพูด อย่าทักให้สำรวมกาย ใจเข้าไว้ ทำกำลังใจขอให้เจ้าของร่างเป็น"ครู"ในทางธรรมของเรา อย่างไปดูที่นิติเวชนี่เขาอยากขอบุญมากเพราะ เสียชีวิตกันแบบตายกะทันหัน มาเป็นกลิ่นอย่างแรงให้ปรากฏ เรากำหนดรู้ก็อุทิศบุญไปให้ พวกนี้จะมีจิตที่อยู่กับอวิชชามาก มีจิตอาฆาตก่อนตายบ้าง เคียดแค้นที่ตายก่อนวาระบ้าง หากเราไปพูดไปทัก ประเภทว่า น่ากลัวบ้าง น่าเกลียดบ้าง เหม็นบ้าง จิตที่อาฆาตของเขา ก็ย้ายมาที่เราแทน ทำให้เกิดเป็นโทษ กับเราได้

    หรือที่จุฬา ร่างที่พิจารณานั้นส่วนใหญ่เป็นของท่านผู้ตั้งใจบริจาคร่างมาเพื่อเป็น"อาจารย์ใหญ่" ดวงจิตอาทิสมานกายส่วนใหญ่ของท่านเหล่านี้ที่มาปรากฏก็ล้วนเเต่เป็นเทวดา พรหม บางท่านเป็นพระอริยเจ้าด้วยซ้ำ เพราะกำลังใจท่านที่บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ได้นี่ไม่ธรรมดา ต้องมีธรรมมะ และวิปัสนาญาณสูง

    หากกำลังใจของเราได้ อยากจะไปชม"ดอกไม้พระอรหันต์" ก็พึงให้ได้ประโยชน์สูงสุดดังนี้
    -พิจารณาร่างกายขันธ์ห้า ทั้งธาตุสี่ และอาการ สามสิบสอง
    -น้อมเข้ามาพิจารณากับตัวเราร่างกายเราเองมีสภาวะเดียวกันไม่ต่างกัน
    -พิจารณาด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณว่า เจ้าของร่างมีที่มาที่ไปด้วยเหตุด้วยผลของกรรมอย่างไร เพียงไร
    -พิจารณาด้วยอนาคตังสญาณว่า ด้วยกรรมนี้เจ้าของร่างอยู่ที่ภพภูมิใด เพราะกรรมอย่างไร มีสภาวะจิตก่อนตายเป้นเช่นใด
    -ใช้กำลังในวิปัสนาญาณพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นและเกรงกลัว ในกรรมและผลของกรรม
    -ใช้กำลังของพรหมวิหารสี่แผ่เมตตาโปรดดวงจิตของเจ้าของร่างผู้เป็นครูของเรานั้น


    ส่วนใหญ่เวลาไปงานศพ ผมก็วางกำลังใจเช่นนี้ด้วยเช่นกัน สามารถนำไปใช้ได้ เพื่อความเจริญในธรรมและเป็นการอุทิศกุศลให้กับผู้ตายด้วยการเจริญกรรมฐานในระหว่างฟังสวด

    ลองนำไปปฏิบัตินำไปใช้กันได้ครับ
     
  16. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    อานุภาพพระพุทธคุณที่เด็กอนุบาลได้ประสบวันนี้

    อยากเล่าให้เพื่อนๆฟังถึงสิ่งดีๆที่เกิดจากพุทธานุภาพที่ประสบกับตัวเด็กอนุบาลในวันนี้ครับ วันนี้ตั้งแต่เช้าก่อนขับรถมาทำงาน รู้สึกกังวลเรื่องงานที่ต้องเจอในวันนี้มากเพราะเป็นงานสำคัญ ที่มีอุปสรรคเรียกได้ว่าแทบจะหาทางออกด้วยสติปัญญาของเด็กอนุบาลไม่ได้เลย ทุกอย่างต้องประสานงานกับลูกค้าและต้องขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าจะ ok กับข้อเสนอของเราหรือไม่
    ก่อนเดินเข้า site งานลูกค้า เด็กอนุบาลได้จับภาพพระท่าน 3 องค์ควบลมหายใจเข้าออก ภาวนา นะมะพะธะ ตามปกติ พอได้ลมละเอียดแล้วแล้วอธิษฐานขอให้องค์พระทั้งสามที่ในหัว ในอก และในท้อง มารวมกันที่อก พอสุกสว่างเป็นประกายแล้วผมก็อธิษฐานขอพรพระท่านให้ช่วยบันดาลให้การงานทั้งในทางโลกและทางธรรมผมมีความคล่องตัวสำเร็จทุกอย่างด้วยเถิด_/|\_

    ผลปรากฏว่างานติดต่อประสานงานช่วงเช้าวันนี้กลายเป็นสำเร็จคล่องตัวทุกอย่าง อยู่ดีๆปัญหาที่ดูไม่มีทางออก ก็มีคนมาแนะนำทางออกที่ดีมากให้ เวลาติดต่องานลูกค้าก็พูดคุยด้วยราบรื่นทุกอย่าง ยอมรับข้อเสนอทั้งหมดของเราและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ:)

    เด็กอนุบาลจึงมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ถ้าเราเคารพพระท่านอย่างแท้จริง คิดถึงท่านโดยการจับภาพนิมิตรท่านบ่อยๆ แล้วเข้าใจขั้นตอนที่จะอธิษฐานจิตกับท่านแล้ว พระท่านช่วยเราได้เสมอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดีงามตามที่คุณคณานันท์ได้แนะนำไว้อย่างแท้จริงครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ยินดีด้วยครับที่อานิสงค์แห่งการปฏิบัติช่วยส่งผลดีทั้งทางโลกและทางธรรมครับ
     
  18. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    โห...ห้องนี้คุยกันไปถึงไหนแล้ว

    มาแวะมาเยือน

    ขำมากตอนงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุนคราก่อน มีหนุ่มคนหนึ่งติดมาในกล้องของยายผีป่าด้วย ถ่ายตอนบวงสรวงเริ่มพิธีค่ะ

    ใส่แว่นดำบนหัว ทองที่คอน่ากระชาก ยายหันไปยิ้มให้นิดๆ ไม่กล้ายิ้มมาก เดี๋ยวหาว่า อ่อยเหยื่อ ที่หันไปเพราะรู้สึกว่ากำลังถูกจ้อง เมื่อไรจะทักเราหว่า

    ไม่ทักจ๊ะ เพราะกลัวหน้าแตก ครั้งหนึ่งเคยไปทักสมาชิกเวบที่เขาคุยกับเราทางเวบดี๊ดี พอเขามางาน มากับเมีย เราทักเขา ๆ ต่อว่า เมียผมไม่รู้นะว่าผมเข้าเวบ

    ก็เลยใครอยากทักต้องมาทักค่ะ เบื่อที่จะเป็นที่ทดสอบ เช่นรู้ไหมใครเอ๋ย
     
  19. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    (555) (555) (555)
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ยายผีป่า [​IMG]
    โห...ห้องนี้คุยกันไปถึงไหนแล้ว

    มาแวะมาเยือน

    ขำมากตอนงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุนคราก่อน มีหนุ่มคนหนึ่งติดมาในกล้องของยายผีป่าด้วย ถ่ายตอนบวงสรวงเริ่มพิธีค่ะ

    ใส่แว่นดำบนหัว ทองที่คอน่ากระชาก ยายหันไปยิ้มให้นิดๆ ไม่กล้ายิ้มมาก เดี๋ยวหาว่า อ่อยเหยื่อ ที่หันไปเพราะรู้สึกว่ากำลังถูกจ้อง เมื่อไรจะทักเราหว่า

    ไม่ทักจ๊ะ เพราะกลัวหน้าแตก ครั้งหนึ่งเคยไปทักสมาชิกเวบที่เขาคุยกับเราทางเวบดี๊ดี พอเขามางาน มากับเมีย เราทักเขา ๆ ต่อว่า เมียผมไม่รู้นะว่าผมเข้าเวบ

    ก็เลยใครอยากทักต้องมาทักค่ะ เบื่อที่จะเป็นที่ทดสอบ เช่นรู้ไหมใครเอ๋ย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    (555) (555) (555)

    นั่นสินะ ใครกันหว่า

    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...