วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ครับ นับว่าท่านทั้งหลายมีความปราถนาอันแรงกล้าเพื่อการปราถนาพุทธภูมิ
    ขอให้สิ่งที่ทุกท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ จงสำเร็จในชาตินี้เป็นอย่างน้อย
    เพื่อการหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งมวล และหยุดการเวียนว่ายตายเกิดเสียที
    ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ทั้งที่กำลังบำเพ็ญเพียรบารมีและผู้ที่กำลังเริ่มต้นอย่างผม
    ได้สมปราถนาดั่งที่ตั้งใจไว้ทุกประการและขอให้มีสติอยู่ทุกลมหายใจ เพื่อพิจารณาทุกสรรพสิ่งให้เกิดปัญญาด้วยเทอญ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้พระท่านมาคุมเต็มที่ครับ จะไปเล่นซนเรื่องอื่นบ้างนี่เป็นเรื่องเลย สองครั้งติดๆกันแล้ว เลยหยุดดื้อดีกว่า

    ในช่วงเข้าพรรษานี้ผมจะใช้เวลาในกระทู้นี้ให้มากขึ้นครับ ท่านที่มีข้อขัดข้องในการปฏิบัติธรรมอย่างไร ขออย่าได้เกรงใจนะครับ ยินดีเอื้อเฟื้อในธรรมให้แก่กันครับ

    และหากมีวาระอันสมควร ท่านที่อยากจะให้แนะนำการฝึกมโนมยิทธิ ก็ขอให้ขอมาได้ครับ เริ่มปูแต่พื้นฐานขึ้นไปให้เลย มีทั้งแบบเร่งรัด และแบบนำไปประยุกต์ใช้ ในด้านต่างๆครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

    แต่เดิมกำลังใจยังอาจไม่พร้อม กันนัก แต่ตอนนี้เท่าที่ได้พิจารณาดู กำลังใจเริ่มเต็มกันแล้ว ในหลายๆคนครับ

    ท่านที่สนใจก็ขอแจ้งให้ทราบด้วยครับ จะในกระทู้นี้หรือในพีเอ็มก็ได้ รับไม่กี่คนครับ ที่สนใจใฝ่รู้และอยากติวเข้มจริงๆ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้มาขอต่อกันในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิครับ


    การบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิเพื่อ การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น นับเป็นเนื้อนาบุญอันหาได้ยากยิ่ง

    สรรพสัตว์ทั่วอนันต์จักรวาลทั้งสามภพภูมิ มี จำนวน มากมายมหาศาลสักเพียงไร

    เหล่าสรรพชีวิตที่ประพฤติธรรมเพื่อความหลุดพ้น มีจำนวนสักเท่าไร เมื่อเทียบกับ จำนวนของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง

    สรรพสัตว์ผู้บรรลุโมกข์ธรรมบรรลุถึงความเป็น พระอริยะบุคคลนั้นเล่าก็ย่อมมีจำนวนน้อยลงไปอีก

    แล พระมหาสัตว์ผู้อาจหาญว่ายข้ามฝั่งสังสารวัฏฏ์เพื่อนำพาหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์นั้นเล่า นับเป็น เอกบุรุษผู้ทรงความเพียรมายาวนาน นับอสงไขย เพื่อความสุขของผู้อื่น ทุกข์ของตนมีเช่นไร ไม่สนใจขอเพียงได้ยังประโยชน์ต่อหมู่ชนทั้งปวงได้ ก็นับว่าเป็นความปิติในใจของท่านแล้ว

    และเมื่อแม้นยามที่พระมหาสัตว์ท่านทรงบำเพ็ญบารมีสามสิบทัศน์ได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ดีแล้วนั้น ก็ย่อมถึงวาระแห่งการตรัสรู้ธรรมและการปรากฏของ "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เมื่อนั้น พระองค์ท่านก็ยิ่งทรงเป็นเอกอุเนื้อนาบุญอันเลิศหาบุคคลผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ทรงนำสรรพสัตว์ทั้งหลายข้ามฝั่งมหานทีทุกข์สู่เกษมสุขแดนพระนิพพาน ได้มากมายนับประมาณมิได้

    ดังนั้น เมื่อหน่อเนื้อพุทธภูมิได้ลงมาจุติลงมาเพื่อการบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์นั้น ก็นับได้ว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ทรงความสำคัญประการหนึ่ง ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะพุทธภูมินั้นเป็นหัวหน้าคน หากหัวหน้า เดินทางถูกเป็นสัมมาทิษฐิ เหล่าบริวารผู้ติดตามทั้งหลาย ก็พลอยตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิไปด้วย

    แต่หากพุทธภูมิที่เริ่มต้นสร้างบารมี เกิดสำคัญผิดคิดว่า "เรายินดีลงนรกเพื่อสรรพสัตว์แล้ว" เหล่าบริวารก็จะพลอยลำบากไปด้วย ในเหตุอันไม่พึงควร

    "การหนีนรก" นอกเหนือจากหลักสูตรที่หลวงพ่อท่านได้เมตตาสอนเอาไว้แล้วนั้น ภาคปฏิบัติจริงของพุทธภูมินั้นก็คือ

    -การอธิฐานปิดอบายภูมิ โดยอธิฐานดังนี้ "ขอให้ข้าพเจ้าและเหล่าสาวกบริวารทั้งหลาย ได้บำเพ็ญบารมี สร้างความดี ตามแนวทางแห่งสัมมาทิษฐิ เป็นที่ตั้ง ขอนับแต่นี้ ข้าพเจ้าได้มาจุติบำเพ็ญบารมี อยู่ในเฉพาะสุขคติภูมิ เป็นอาทิ หากแม้นประมาทพลาดพลั้งลง ด้วยวาระกรรมก็ดี ด้วยอกุศลกรรมทำให้จิตเศร้าหมองก็ดี ขอให้ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม พระอิทราธิราช ท่านพญายมราชและแม่พระธรณี ได้โปรดเป็นพยานบุญในการบำเพ็ญบารมีของข้าพเจ้าด้วยเถิด และหากแม้นยังไม่อาจช่วยได้ ก็ขอให้เหล่าพุทธภูมิผู้เป็นประดุจพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ได้โปรด มาช่วยข้าพเจ้าขึ้นจากทุคติภูมิและมิจฉาทิษฐิให้จงได้ด้วยเถิด

    และ ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจาธิษฐานไว้ที่จะเกื้อกูล สงเคราะห์ ส่งเสริม การปฏิบัติธรรมและการบำเพ็ญบารมี ของเหล่าพุทธภูมิทั้งหลายเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมเฉกเช่นเดียวกัน ไม่แปรเปลี่ยน"

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ต่างฝ่ายต่างเกื้อกูล ต่างละทิ้งซึ่งทิษฐิมานะแห่งตนออกไปคงมีแต่จิตที่รวมกันเป็นหนึ่งมุ่งหวังประโยชน์สุขของส่วนรวมมีพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศาสนาจะเป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ก็ล้วนแต่ทรงความสำคัญยิ่งยวดด้วยกันทั้งสิ้น เราต้องอธิฐานช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุกยุคอย่างสุดชีวิตสุดจิตสุดใจ ยามเรามาจุติสร้างบารมีในพระศาสนาของพระองค์ท่าน เราก็พึงให้ความเคารพสูงสุดแด่ พระจอมไตรศาสดาไว้ที่สุดหาประมาณมิได้เอาไว้เสมอ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พลังงานมหาศาลที่หล่อเลี้ยงดวงจิตของพระโพธิสัตว์ อย่างไม่มีวันเหือดแห้งไม่มีวันสิ้นสุดไปนั้นก็คือ "เมตตา พรหมวิหารสี่"

    สิ่งที่ผู้บำเพ็ญบารมีจะต้องประสพเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเป็นปรมัตถ์บารมีก็คือ การทำดี การคุณประโยชน์แต่ถูกกลั่นแกล้งบ้าง ถูกดูถูกเหยียดหยามจากผู้ต่ำกว่าบ้าง การถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยหาความผิดไม่ได้บาง

    สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเครื่องวัดกำลังใจในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ว่ามีความมั่นคงในความดี เชื่อมั่นในการสร้างบารมีสักประการใด อาจมีบ้างที่กำลังใจวูบวาบๆ แต่ในไม่ช้า ก็จะกลับมาตั้งกำลังใจในการสร้างบารมี ทำความดีใหม่อย่างไม่ท้อถอย

    หลายๆครั้งที่มีอุปสรรคใหญ่หลวง แต่พระที่ท่านคอยคุ้มครองดูแลเราอยู่ ท่านก็จะมาช่วยสอนให้ฟัง ว่าลองดูเหตุการณ์สมัยพระเจ้าสิบชาติตอนนี้สิ ช่วงนี้สิ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงต้องประสพ ต้องลำบากก่อนที่จะทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเช่นกัน ดังนั้นเราต้องอดทน ต้องตั้งมั่นในความดี เอาไว้ให้ได้ ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่เสมอ แต่อย่ายอมแพ้ และอย่าได้ยอมให้ ใจเรากลับกลายเป็นมิจฉาทิษฐิเพราะการถูกกระทบ ถูกทดสอบอย่างเด็ดขาด ยอมตายเสียดีกว่า ที่จะเป็นคนชั่วเป็นมิจฉาทิษฐิ

    ให้ทำตัวเหมือนดาบ ยิ่งถูกตี ถูกเผา ถูกกระทบอย่างหนักหน่วงก็ยิ่งแข็งแกร่ง ดาบซามูไรที่ดี ถูกตีทบไปมาเป็นแสนครั้ง เราเองก็ถูกทดสอบเป็นนับล้านๆครั้งใน อสงไขยชาติเช่นกัน ดาบคมเพราะการลับคมอย่างพิถีพิถัน ฉันใด ตัวเราเองก็พึงขัดเกลาดวงจิตฝึกฝนกายใจให้แกร่งให้คมเยี่ยงดาบ ฉันนั้น

    พุทธภูมิต้องใช้กำลังใจสูงกว่า ชนสามัญธรรมดา และสาวกภูมิทั้งปวงเป็นธรรมดา ดังนั้นสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เราต้องทำได้ (สิ่งที่ดีถูกต้องตามทำนองครองธรรม) เพราะนอกจากเราจะต้องมีกำลังใจเพื่อการยืนหยัดในการสร้างบารมีของตนแล้ว เรายังต้องทรงกำลังใจการประคับประคองบุคคลผู้อื่นอีกจำนวนมากมายมหาศาลอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ก็จงรู้ว่า เราทำดีก็เพื่อเผื่อความดีให้ผู้อื่น เราแข็งแกร่งก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เรามีก็เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เรามีความปิติสุขเป็นทวีคูณเมื่อได้เห็นความสุขของผู้อื่น

    ขอให้น้ำใจปฏิปทาแห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ไหลหล่อเลี้ยง หล่อหลอมดวงจิตของพุทธภูมิทั้งหลายให้เข้าสู่ความรู้ตื่นแห่งพระโพธิสัตว์ด้วยเทอญ
     
  5. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับบบ
     
  6. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอโมทนาและขอรับการติวเข้มจากคุณคณานันท์

    :) ขออนุโมทนาจากใจในความตั้งใจให้ธรรมทานของคุณคณานันท์ในการติวเข้มเรื่องการทำมโนมยิทธิให้ผู้สนใจจริงทั้งหลาย ผมขอลงทะเบียนเรียนด้วยคนนะครับ การสอนจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตาม ยินดีรับการฝึกเพื่อบำเพ็ญความดีอย่างถึงที่สุดตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเพื่ออุทิศให้แด่พระรัตนตรัย สรรพสัตว์ทั้งหลายในทั้ง 3 โลก รวมถึงในหลวงและพระสยามเทวาธิราช และประเทศชาติไทยอันมีพระคุณอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กับพวกเราทุกคน เพื่อให้บุญนี้ช่วยให้ดวงจิตทุกดวงรอดพ้นภัยพิบัติในวัฏสงสาร
    ขอโมทนาบุญเรื่องที่ช่วยอธิบายให้ผมคลายสงสัยเรื่องการสวดมนต์และทำบุญให้เกิดมหากุศล ตอนนี้ผมเลือกใช้วิธีทำมโนมยิทธิขึ้นไปกราบสวดมนต์บนพระนิพพานถวายพระท่านเป็นประจำเพราะทำได้ทุกวันและแผ่ส่วนกุศลหลัวสวดมนต์เสร็จบนพระนิพพานนั้นให้สรรพสัตว์ทั้ง3โลก ผมทำอย่างนี้บุญที่ผมอุทิศไปให้จะถึงพวกที่เป็นสัตว์นรกขุมลึกๆ จนเขาพ้นทุกข์ไหมครับคุณคณานันท์

    ผมขอคำแนะนำจากคุณคณานันท์เรื่องการทำทานบารมีด้วยครับ คือตอนนี้ผมรักษาสัจจะที่จะบริจาคเงินร่วมสร้างพระพุทธรูปทุกวันไปเรื่อยๆจนกว่าขันธ์ห้าจะพัง วันละเล็กวันละน้อยเพื่อขจัดความโลภ,บูชาพระรัตนตรัย,และให้สาธุชนทั้งหลายได้น้อมใจทำความดีเมื่อได้มาเห็นองค์พระที่ผมได้ร่วมสร้าง โดยผมจะออกไปโอนเงินที่ตู้ ATM ทุกวัน จึงอยากทราบว่าผมสามารถนำใบ slip โอนเงินที่ได้บริจาคไปแล้ว กลับบ้านมาใส่พาน แล้วยกจิตขึ้นไปถวายเป็นสังฆทานถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานอย่างนี้ ถือว่าทำได้ไหมครับ หรือจะถือว่าทำไม่ได้แล้วเพราะได้ทำบุญนั้นสำเร็จไปตอนโอนเงินที่ตู้ ATM แล้ว :)

    ผมขอถามแทนเพื่อนๆทุกคนแล้วกันนะครับ เพราะรู้สึกว่าการโอนเงินทาง ATM ไปทำบุญนั้น มีความสะดวกมาก และสามารถทำได้เล็กๆน้อยๆไปทุกวัน เหมาะกับเพื่อนๆที่อยากทำทานบารมี และพอจะมีกำลังทรัพย์บ้าง แต่ไม่สะดวกที่จะไปทำบุญที่วัดทุกวัน ประเด็นที่ถามเพราะว่าอารมณ์ใจเราตอนกำลังโอนเงินอยู่นั้นคงจะคุมให้ใสได้ยากสำหรับคนที่ยังไม่เชี่ยวชาญเพราะสถานที่ไม่ค่อยอำนวยให้เราตั้งอารมณ์พระโสดาบัน ยกจิตขึ้นไปถวายพระบนพระนิพพานได้
     
  7. Bajang

    Bajang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +1,268
    อ่านแล้ว กำลังใจมาเพิ่มอีกอักโข ขอขอบพระคุณในแนวทาง คำสอน และแง่คิดดีๆ ช่วงนี้เป็นล้าๆ ขี้เกียจ จนคิดว่า ชาตินี้คง เหมือนอีกวันที่ผ่านไป ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาล

    ยินดีอย่างมากครับในการเอื้อเฟื้อธรรม เป็นธรรมทาน การให้ธรรมทานนั้นแปลกเป็นสิ่งที่เราเองยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งแตกฉานลึกซึ้งพิสดาร เห็นแง่มุมที่ละเอียดลึกยิ่งเข้าไป

    การโปรดสัตว์นรกในนรกขุมลึกๆนั้น ไม่อาจที่จะทำให้สัตว์นั้นหลุดพ้นจากขุมนรกได้ เพราะเป็นไปด้วยอำนาจของกฏแห่งกรรม ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเคารพในกฏนี้ ไม่อาจล่วงละเมิดฝืนกฏได้ แต่การที่เราแผ่บุญไปนั้น ก็จะถูกฝากเอาไว้ที่สำนักของท่านพระยายมราช เมื่อยามที่สัตว์ผู้ใดพ้นโทษขึ้นมาก็มีโอกาสสัมผัสกับบุญที่เราแผ่อุทิศเอาไว้ให้ มากน้อยตามเหตุตามปัจจัย และกรรมของสัตว์นั้นว่า บุญมีแต่กรรมบังใจเอาไว้หรือไม่

    ส่วนตัวผู้ให้ก็ยิ่งยกระดับจิตใจให้สูงยิ่งๆขึ้นไปเนื่องจาก
    -เป็นการอุทิศให้โดยไม่หวังผลตอบแทนประการหนึ่ง
    -เป็นการให้โดยปราศจากอคติทั้งปวงประการหนึ่ง
    -เป็นการแผ่เมตตา อย่างไร้ขอบเขตเครื่องกั้นเครื่องขัดขวางใดๆเป็นจิตอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริงประการหนึ่ง

    ส่วนการทำบุญโดยผ่านตู้เอทีเอ็มนั้น เทียบกับ การประเคน และถวาย จากมือสู่มือ จิตสู่จิตแล้ว อย่างไหนอานิสงค์มากกว่ากัน คุณลองถามตนเองดูง่ายๆว่า เคยเกิดปิติจนขนลุกซู่ หรือน้ำตาซึมในขณะโอนเงินทำบุญผ่านตู้เอทีเอ็มหรือไม่

    แต่อย่างไรก็ดี ต้องอนุโลมในความสะดวกบางประการ เนื่องจากบางกรณี เราก็ไม่อาจเดินทางนำ ปัจจัยไปถวายด้วยตนเองได้ ดังนั้นเราก็อาจหลีกเลี่ยงการทำบุญโดยผ่านการโอนเงินไม่ได้ เสียทีดียว

    วิธีการก็คือ หากเป็นไปได้เราก็ถวายด้วยตนเอง หากจำเป็นเราก็ โอนผ่านตู้เอทีเอ็ม

    และวิธีการถวายด้วยกำลังใจของความเป็นทิพย์นั้น เขาไม่ถวายเป็นสลิปแก้วกัน

    แต่ถวายเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำบุญ เช่น ร่วมสร้างพระเจดีย์ เราทำบุญ สิบบาทเพราะมีอยู่แค่นั้น แต่เรามาใช้กำลังใจของความเป็นทิพย์ให้เป็นประโยชน์ ยกเจดีย์แก้วขึ้นไปถวายข้างบนเลย อานิสงค์ก็จะได้สูงกว่า และผลที่ได้ก็จะปรากฏเจดีย์แก้วทั้งหลังขึ้นบนวิมานของเราข้างบนโดยทันทีเดี๋ยวนั้นไม่ว่าเจดีย์นั้นจะเสร็จหรือไม่ แต่ของทิพย์หรืออานิสงค์ก็ปรากฏขึ้นแล้วจากเจตนาอันบริสุทธิ์ของเรา การถวายนั้นเรามาตั้งกำลังใจในค่ำของวันนั้นในช่วงหลังการสวดมนต์นั่งสมาธิเสร็จก็ได้ครับได้ผลเช่นเดียวกัน แถมยังคุมกำลังใจได้ง่ายอีกด้วยครับ


    บุญสำเร็จด้วยอาการกระทำ
    บุญสำเร็จด้วยการอธิฐาน
    บุญสำเร็จโดยการโมทนา
    บุญสำเร็จด้วยกริยาวัตถุ สี่ประการ
     
  9. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอถามคุณคณานันท์ถึงวิธีการจับภาพพระให้จิตเป็นสมาธิสูงสุด

    ขอโทษที่ผมต้องรบกวนถามคุณคณานันท์บ่อยๆนะครับ ตอนนี้ผมกำลังจะใช้วิธีการจับภาพพระควบคู่กับคำภาวนาและรู้ลมหายใจไปตั้งแต่แรกที่ทำสมาธิ จึงมีข้อสงสัยอยากปรึกษาผู้รู้ โดยวิธีของผมมีดังนี้ครับ
    เมื่อผมภาวนา นะมะพะธะ ไปจนเริ่มรู้ลมละเอียด ผมก็ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดประทานภาพพระมาเป็นนิมิตรในการทำกรรมฐานให้ผมในปางต่างๆตามแต่ละวันที่ผมขอ โดยขอให้ภาพมาปรากฏที่ในหัวผมบริเวณที่เกิดการตึงของใบหน้า ที่คุณคณานันท์เคยบอกผมว่าเป็นอาการที่จิตเริ่มรวมตัวกัน แล้วผมก็เริ่มภาวนาต่อไปโดยแบ่งสัดส่วนการกระจายความรู้สึก100% ที่ผมมีไปดังนี้ครับ
    -50% นึกจับภาพพระ
    -25% ตามรู้ลมเข้าออก
    -25% ตามรู้คำภาวนา นะมะ ตอนหายใจเข้า พะธะ ตอนหายใจออก
    คำถามผมมีดังนี้ครับ
    1. เพื่อให้ผมเข้าสู่ฌาน4 ได้โดยเร็ว สัดส่วนการกระจายความรู้สึกนี้เหมาะสมหรือไม่อย่างไร
    2. ภาวะรู้ของจิตระหว่างดิ่งสู่ฌาน 4 เป็นอย่างไรครับ ใช่ที่ว่า คำภาวนาหายไปก่อน ตามด้วยไม่รู้สึกว่ามีลมเข้าออก แต่ภาพพระชัดและใสขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นประกายพรึก หรือเปล่าครับ
    3. จริงๆแล้วผมอยากใช้แนวทางตามที่หลวงพี่เล็กท่านสอนคือ นึกแยกองค์พระเป็นสององค์ อยู่ที่ในหัวองค์นึง อยู่ในอกองค์นึง แล้วทำความรู้สึกว่าลมเข้าทางบนหัวผ่านพระองค์แรกสว่าง ลงไปถึงอกพระองค์ที่สองสว่าง ลมลงไปสุดที่ท้อง แล้วขาลมออกก็สว่างกลับกัน แต่ผมติดปัญหาคือ ถ้าผมรู้สึกแบบนี้แล้วเวลาถึงจุดที่ลมหายใจหายไป ผมควรจะทำไงต่อดี แล้วที่ว่าถ้าจิตถึงฌาน4 ละเอียดแล้ว ผมไม่มั่นใจว่าผมจะสามารถเห็นภาพพระทั้งสององค์ชัดเป็นประกายพรึกได้ เพราะผมไม่ได้โฟกัสความรู้สึกไปที่องค์ใดองค์หนึ่งอย่างเต็มที่ พอผมคิดแบบนี้ผมเลยไม่กล้าคิดจับภาพพระสององค์ครับ อยากให้คุณคณานันท์ช่วยแนะแนวให้ผมด้วย ว่าจับองค์เดียวได้ไหม
    ส่วนสาเหตุที่ผมจับภาพพระตั้งแต่แรกๆควบกับลมเข้าออกโดยไม่รอให้จิตเข้าฌาน4 ก่อนแล้วค่อยนึกภาพพระ เพราะผมรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วจิตผมไปถึงจุดที่ไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจได้เร็วขึ้นมาก
    4. ภาพพระที่เรานึกเป็นนิมิตรในแต่ละครั้งที่ทำสมาธินั้น
    4.1 จะต้องเป็นภาพพระองค์เดิม สีเดิม ในรูปร่างลักษณะเดิมเหมือนกันทุกๆครั้งทุกๆวัน หรือเปล่าครับ
    4.2 หรือว่าเราแค่ควรนึกรักษาภาพพระให้เป็นองค์เดิม สีเดิม อิริยาบถเดิม เฉพาะครั้งนั้นๆที่เราทำสมาธิ
    5. ที่ผมอาราธนาภาพพระไว้ที่ในหัวบริเวณใบหน้าที่มีความรู้สึกตึงๆ จะช่วยให้เข้าสมาธิได้เร็วขึ้น จริงหรือเปล่าครับ เพราะผมเคยอ่านเจอว่าแต่ละคนควรจะวางจิตไว้ที่จุดรวมจิตที่แต่ละคนมีต่างๆกันไป ในกรณีของผมที่ผมเข้าใจว่าจุดรวมจิตผมอยู่บริเวณด้านในจมูกที่ตึงๆ ผมคิดถูกต้องหรือไม่ครับ

    ท้ายที่สุดผมขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บันดาลให้กุศลผลบุญที่ผมทำมาดีแล้วในทุกชาติ จงสำเร็จแด่ท่านผู้ปรารถนา พุทธภูมิ และ สาวกภูมิทุกท่าน รวมถึงท่านพระสยามเทวาธิราช และในหลวงของพวกเราทุกคนครับ :)
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาล ครับ

    ยินดีอย่างยิ่งครับ เพราะการถามตอบปุจฉา วิสัชณาแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อื่นด้วยครับ บางท่านก็ไม่กล้าถาม บางท่านก็ไม่ได้ล็อคอินตามอ่านอย่างเดียว

    1. สัดส่วนการแบ่งความสนใจนั้น ในการปฏิบัติจริงไม่มีใครกำหนดแบบนี้เป็นสูตรตายตัว

    การปฏิบัติจริงแบบมาตราฐานทำกันแบบนี้ เริ่มจับลมหายใจพร้อมๆ กับใช้คำภาวนากำกับ เพื่อให้สติระลึกรู้จังหวะการหายใจไม่ซัดส่ายไปไหน

    พอจิตเริ่มสงบ ลมหายใจก็จะเบาลงเองโดยอัตโนมัติ จิตก็จะคลายตัวลงจากการภาวนาเอง คือจิตจะหยุดภาวนาเอง หากบางคนไม่รู้ ก็กลัวว่าคำภาวนาหาย ก็เลยถอยหน้าถอยหลังอยู่จุดเดิม ไม่ไปไหน ในช่วงนี้อารมณ์ใจที่ต้องการก็คือ อารมณ์ใจที่สงบ เบา สบาย ลมหายใจละเอียด

    พอใจเราสบาย ก็เริ่มกำหนดพุทธนิมิตรในจิตของเรา ให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก ขณะถึงขั้นนี้ อารมณ์ที่ต้องการคือ"อารมณ์ปัก" อารมณ์มั่นคงในนิมิตร (พระท่านเพิ่งสอนอธิบายให้วันนี้อย่างละเอียดๆ )

    หลายท่านที่มีปัญหาในการทรงภาพพุทธนิมิตรแล้วหายไป ไม่ค่อยตั้งมั่น เป็นเพราะ มีอารมณ์"ปัก" ไม่เพียงพอ
    ให้กำหนดภาพพระพุทธเจ้าปักไว้ในจิตในตำแหน่งที่เราอาราธนาเอาไว้ ในขั้นแรกนี้ขอให้ ท่านอธิฐานเอาไว้ที่ศีรษะของตน จากนั้น ให้อธิฐาน"ปัก" พุทธนิมิตรเอาไว้ ว่า
    "ขอให้พุทธนิมิตรและพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดสถิตมั่นคงในดวงจิต เหนือศีรษะของข้าพเจ้าตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"


    ทำเช่นนี้แล้วภาพพุทธนิมิตรในดวงจิตจะฝังแน่น ในจิตของเราไม่เคลื่อนไปได้ง่ายๆ

    พอถึงขั้นที่กำหนดภาพนิมิตร เป็นแก้วประกายพรึก เราย้อนถอยอารมณ์มาดูลมหายใจก็จะพบว่า เราไม่หายใจในขณะนั้น เพราะเป็นฌานสี่อยู่ เราก็กำหนดรู้ว่า ลมหายใจหายไป (ไม่ต้องไปกลัวตายด้วย เพราะผมทำมาหลายปีก็ยังไม่เห็นตายเพราะทำสมาธิ) จิตก้กลับมาตั้งมั่นกับภาพพุทธนิมิตร

    และเมื่อเราอาราธนาบารมีพระใช้กำลังของมโนมยิทธิแล้ว จิตเราก็จะทิ้งกายมากขึ้น ตั้งมั่นอยู่ในนิมิตรที่ปรากฏตรงหน้า

    ดังนั้น สัดส่วนตายตัวนั้นไม่มี มีแต่การเป้นไปตามลำดบความละเอียดของฌานและสมาธิครับ

    อีกอย่างหนึ่ง ฌานต่างๆไม่มีขั้น เป็นอารมณ์ที่เนืยนลื่นไหล บางทีก็โดดจากฌานหนึ่งไปฌานสี่เลย หรือบางที ก็จากอารมณ์ปกติโดดไปฌานสี่เลย แต่พอเป็นอรูปฌานนี่ต้องตั้งท่านิดหนึ่งเพราะเป็นอารมณ์พิจารณา

    2.เมื่อจิตเข้าถึงฌานสี่ ลมหายใจจะหายไปครับ และภาพนิมิตรที่ทรงไว้เป็นแก้วประกายพรึก ก็คืออารมณ์ของฌานสี่ เวลาถอยอารมณ์ย้อนกลับมาดูลมหายใจทีใด ลมหายใจก็หายไปทุกที อย่างที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ เป็นจริงทุกอย่างครับ

    3. ในเบื้องต้นฝึกวางพุทธนิมิตรเอาไว้องค์เดียวก่อนครับ จากนั้นฝึก ย่อขยายนิมิตร เคลื่อนย้ายนิมิตร จากนั้นก็แยกขยายจำนวนออกไปให้ได้มากที่สุดครับ ทำให้ชำนาญจนเป็นวสี เคลื่อนย้ายได้ดังใจ รวดเร็วจนแค่นึกก็ทำได้ หลับตาก็ทำได้ ลืมตาก็ทำได้ พูดอยู่ก็ทำได้ นั่งอ่านอยู่ก็ทำได้ ทำได้ตลอดเวลาไม่ต้องตั้งท่า ทำได้โดยไม่ต้องให้ใครรู้ว่าเราทรงฌานเล่นกสิณอยู่

    พอถึงขั้นนี้ จิตจะเพลินอยู่กับนิมิตรของกสิณ ส่วนลมหายใจเราก็รู้อยู่ว่าลมหายไป และหากใช้อารมณ์ละเอียดของกำลังฌานมาจับลมอย่างละเอียดจริงๆ จะเห็นอณูธาตุของลมหายใจที่ไหลช้าอย่างที่สุด เข้าไปหล่อเลี้ยงธาตุขันธุ์ของเรา

    4.ภาพพระที่เรากำหนดนั้น
    4.1 ควรที่จะกำหนด องค์เดียวกันเหมือนกันไปทุกวันครับ หากจะเปลี่ยนก็แค่เปลี่ยนสีขององค์พระเพื่อให้ครบสีในวรรณะกสิณ
    4.2 องค์เดิมดีกว่าครับผม

    5. หากกำหนดที่จุดดังกล่าวแล้วเข้าสมาธิได้ง่าย ได้เร็ว ก็กำหนดไว้ ณ จุดนั้นครับ แต่ละท่านอาจไม่เหมือนกันทีเดียว และการฝึกสมาธิในแบบและสายที่ต่างกัน ก็มีการรวมจิตเอาไว้ต่างกันด้วย


    ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไปในความดีกันทุกๆท่านครับ
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    คติพจน์สมเด็จโต

    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif,]เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

    <DD>ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้

    <DD>อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น
    </DD>
    [/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    [FONT=ms Sans Serif,]หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    1. จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
    2. จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
    3. พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน

    <DD>ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเราเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

    <DD>ทางแห่งความหลุดพ้นเจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้งเพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดันก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

    <DD>แต่งใจขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็นจะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ ...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาด

    <DD>กรรมลิขิตเราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่ ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ
    </DD>
    [/FONT]
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    [FONT=ms Sans Serif,]<DD>นักบุญการทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเขาสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

    <DD>ละความตระหนี่มีสุขดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละ เพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

    <DD>อย่าเอาเปรียบเทวดาในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่งอันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย
    </DD>
    [/FONT]
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    [FONT=ms Sans Serif,]<DD>บุญบริสุทธิ์การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้นก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิ์เป็นขั้นที่นึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

    <DD>สั่งสมบารมีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทิศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

    <DD>เมตตาบารมีการทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

    <DD>แผ่เมตตาจิตทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า
    </DD>
    [/FONT]
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    <DD>อานิสงส์การแผ่เมตตาผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัยหรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

    <DD>ประโยชน์จากการฝึกจิตผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิต ตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

    คัดลอกจากหนังสือ เรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี
    </DD>
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต้องขอกราบขอบคุณพี่เม้าเป็นอย่างสูงครับที่ได้นำธรรมมะดีๆของสมเด็จโตท่านมาเผยแพร่ครับ

    ต้องช่วยกัน ร่วมมือกันทุกๆด้าน เพื่อสร้างกระแสบุญกระแสความบริสุทธิ์ของจิตมาช่วยโลกใบนี้กันครับ

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่มาร่วมใจกันครับ
     
  17. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    สนใจมากค่ะ เคยฟังเทปหลวงพ่อและฝึกครั้งเดียวที่บ้านของคุณแม่เกษรตอนรับแสงทิพย์ที่เชียงใหม่ค่ะ ตอนนี้ฝึกสมาธิก็จะใช้พุทโธบ้าง พุทโธกำกับด้วย ๕ ถอยหลังขึ้นลงไปมาถึง ๑ บ้าง (ตอนฟุ้งซ่านวิธีนี้ได้ผลสุดสำหรับตนเอง) ยุบหนอพองหนอบ้าง นะมะพะธะบ้าง นึกเป็นภาพองค์พระบนศรีษะและในลำตัวบ้าง พร้อมกับนำแนววิปัสสนากรรมฐาน ๔ พิจารณาควบด้วย สลับกันไปมา แล้วแต่ว่าวันนั้นอยากใช้วิธีไหน เลยไม่ทราบว่าหลักสูตรเร่งรัดที่อาจารย์ kananun ว่า และแบบนำไปประยุกต์ใช้เป็นอย่างไร ต้องใช้เวลาฝึกแค่ไหนต่อวันคะ เพราะช่วงนี้ก็เรียนหนักอยู่ แต่ก็อยากฝึกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียน การเขียนงานวิชาการต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาตนเองทุกด้านน่ะค่ะ เพื่อให้ตนเองมีกำลังสม่ำเสมอพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ต่อไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2007
  18. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลรายงานผลการปฏิบัติธรรมประจำวันนี้

    เรียนทุกท่าน
    หลังจากที่ได้รับคำตอบจากคุณคณานันท์แล้ว เด็กอนุบาลก็อธิษฐานขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โปรดประทานภาพพุทธนิมิตร 3 องค์ องค์หนึ่งอยู่เหนือหัวที่แดนนิพพาน องค์ที่สองอยู่ในหัว และองค์ที่สามอยู่ในอก ขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้อยู่ก็ทำความรู้สึกนึกเห็นองค์ท่านทั้งสามอยู่ พยายามจะให้รู้สึกได้ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ก็มีแวบไปบ้างครับ ทั้งนั้ก็ภาวนา นะมะพะธะ ควบไปด้วย รู้ลมเข้าออกไปด้วย แล้วก็รู้สึกว่าพระสว่างวาบตอนที่ลมหายใจไปถึงองค์พระ รู้สึกทำแบบนี้แล้วสบายใจเหมือนพระพุทธองค์ท่านอยู่กับเรา ช่วยสงเคราะห์ให้เราปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา ผมได้อธิษฐานปักหมุดในจิตให้พระองค์อยู่กับผมตราบเข้าสู่พระนิพพาน ตามที่คุณคณานันท์แนะนำด้วย ทั้งสามองค์ท่านเป็นปางห้ามญาติครับ ผมจะพยายามฝึกแบบนี้ระหว่างวันไปทั้งวันครับ
    ผมเองไม่ทราบว่าทำไมผมถึงอยากเห็นพระปางห้ามญาติทั้งที่ผมเองเกิดวันพุธ น่าจะอยากเห็นปางอุ้มบาตรแท้ๆ :) สงสัยจะมีความผูกพันแต่เก่าก่อนหรือเปล่าครับคุณคณานันท์
    เช้าวันนี้ระหว่างที่เปิดฟังเทปหลวงพี่สมปองที่บ้าน น้องชายผมเขาพูดพาดพึงถึงองค์จตุคามรามเทพ ผมก็อธิบายเขาไปตามที่ผมเข้าใจว่า ท่านจตุคามยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ และผมคิดว่าไม่ควรที่จะแขวนองค์จตุคามแล้วถอดองค์พระที่แขวนอยู่เดิมออก เพราะผมคิดว่าพระรัตนตรัยเป็นสรณะสูงสุด คำอธิบายต่อน้องชายและความเข้าใจแบบนี้ของผมถูกต้องหรือไม่อย่างไรครับ อยากให้คุณคณานันท์ช่วยอธิบายให้ผมและเพื่อนๆ ได้วางใจให้ถูกต้องว่า พวกเราควรจะวางใจคิดถึงองค์ท่านจตุคามและคนที่นับถือท่านแล้วแขวนท่านองค์โตๆอย่างไรดี
    เช้านี้ผมได้มีโชคคือคุณแม่นำพระและสายสร้อยมาให้ผมสวมก่อนจะออกจากบ้านมาทำงาน คุณแม่ผมท่านไม่ทราบว่าเป็นพระอะไร แต่คุณพ่อผมดูแล้วบอกว่าเป็นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ขอความกรุณาคุณคณานันท์ช่วยถามพระท่านให้หน่อยได้ไหมครับ ว่าเป็นหลวงพ่อเงินหรือหลวงพ่อองค์อื่นครับ เพื่อที่ผมจะได้ทำพิธีไหว้ครูเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านและฝากตัวเป็นศิษย์ได้ถูกองค์ และผมอยากทราบว่าผมต้องทำพิธีอัญเชิญองค์หลวงพ่อมาสถิตที่องค์พระที่ผมห้อยคออีกอีกไหมครับ ถ้าองค์หลวงพ่อมาอยู่ที่องค์พระอยู่แล้วผมจะได้ไม่ต้องอัญเชิญด้วยตัวผมเองเพราะผมขาดความรู้ในขั้นตอนและเกรงว่าจิตผมมีพลังไม่พอที่จะอัญเชิญพระท่านด้วยตนเองในตอนนี้ครับ

    ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากทราบว่าเดิมผมเคยเป็นผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาในทางปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่าครับ ผมเองรู้สึกตัวเหมือนกับว่าตัวเองปรารถนาลึกๆว่าอยากจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่อีกใจนึงก็คิดว่าการต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกช่างสาหัสเกินกำลังใจผมเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม หลังจากคุณคณานันท์ได้เคยแนะนำให้ผมแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผมเองก็ทำบ่อยๆ โดยที่รู้สึกดีมากและจะทำตลอดไปครับ แล้วอย่างนี้ผมควรวางใจอย่างไรดีครับ เรื่องพุทธภูมิกับสาวกภูมิ ถือว่า ผมถามเผื่อเพื่อนๆทั้งหลายที่ยังสับสนอยู่ด้วยละกันครับ (เอ หรือผมจะสับสนอยู่คนเดียว แต่คนอื่นๆในweb นี้เขาตั้งใจเป็นพุทธภูมิกันหมดแล้ว)
     
  19. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    (verygood) ขอสนับสนุนอย่างเต็มที่กับข้อความนี้ค่ะ เพราะประสบมาด้วยตนเอง เคยเป็นโรคไทรอยด์ไปหาหมอทานยาแต่ก็แพ้ยามีอาการสารพัด ระดับไทรอยด์ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ สุดท้ายเลิกรักษาแพทย์แผนปัจจุบันหันมาสวดมนต์ดัง ๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ดูแลสุขภาพตนเอง พร้อมกับรักษาโดยอาจารย์ที่มีญาณสามารถติดต่อกับสมเด็จโตได้นวดและทานยาสมุนไพร ไปเจาะผลเลือดเอง ผลก็ปกติ ปัจจุบันหากเริ่มมีอาการ เพราะโรคไทรอยด์จะไม่หายขาดหากไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ก็จะนั่งสมาธิ ช่วงก่อนเครียดสุด ๆ งานไม่เสร็จตามกำหนด รู้ว่าเริ่มมีอาการ ก็นั่งสมาธิโดยใช้นับ ๕ ถอยไป ๑ กลับไปมา รู้สึกว่าใจที่มันสั่นอยู่เหมือนลมควบแน่นกลายเป็นดิน แล้วก็รู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก อาการไม่สบายต่าง ๆ หายเป็นปลิดทิ้ง นอกจากนั้น กิเลสต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในจิตใจก็รู้ชัด ละได้มากขึ้น แต่มีบางตัวที่ยางยืดถ้าจะเหนียวมากขัดอย่างไรก็ยังไม่ออก พยายามขัดอยู่ หรือไม่ก็ตามดู เช่น ความขี้เกียจ เป็นต้น แถมเรื่องบางอย่างก็ผุดรู้มีปัญญาขึ้นมาเอง แต่ถ้าไปอยากแล้วจะคิดไม่ออกค่ะ
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2007
  20. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอให้กำลังใจคุณ หนูน้อย

    เท่าที่อ่านดู คุณหนูน้อย มีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก ผมเชื่อว่าไม่นานอาการโรคาทั้งหลายจะดีขึ้นตามกำลังใจที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมครับ :)
    ผมชอบคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นไม่เห็นธรรม" ทำให้รู้สึกว่าแม้ว่าโรคภัยจะทำให้ร่างกายเราแย่ แต่ก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้าได้ง่ายกว่าคนอื่นถ้าเรารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์นั้น

    ตอนนี้เด็กอนุบาล เริ่มยอมรับแล้วว่า "ตัวเองต้องตายแน่" แต่ยังไม่ซึ้งกับอารมณ์ที่ว่า "การป่วยไข้ไม่สบาย เป็นทุกข์หนอ" การปฏิบัติธรรมเลยไม่ซึ้งกับจุดที่ "เกิดความเบื่อหน่ายกับการเวียนว่ายตายเกิด" อย่างแท้จริง

    เรื่องของกามฉันทะ มองเผินๆ เด็กอนุบาลก็คิดว่า "ตัดได้" แต่พอตามองไปเจอ "คนร่างกายสวยๆ" ทีไร ใจมันก็รู้ไม่ทันเสียที ตอนนี้ก็พยายามมองผู้หญิงสวยที่เจอในชีวิตประจำวันว่า มี ตับไตไส้พุง เน่าๆ มีโครงกระดูก อยู่ภายในหนังกำพร้าที่ภายนอก "ดูน่ายวนใจนั้น" แต่กว่าจะคิได้แบบนี้ ก็โดนตัณหาเข้าครองใจไปเยอะแล้ว :)
    นี่ยังไม่นับ ความคิดกิเลสชั่วๆ ที่แวะเวียนมา "ชักชวนและหาข้ออ้าง" ให้จิตนี้มันกลับไปผิดศีลห้าอีกเหมือนเก่าก่อน Y_Y
    เลยอยากจะให้"หนูน้อย" และ"เพื่อนๆทั้งหลาย" ให้กำลังใจเด็กอนุบาลด้วยเถิดครับ วันนี้ กิเลสมันออกโจทย์ยากให้เด็กอนุบาลมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...