นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    มันสังเกตไม่ทันอะจ้ะ... พอรู้สึกตัวก็ โงก ไปแล้วววว:'(
     
  2. Kee_Key

    Kee_Key เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +530
    ไม่ต่างกันเลยอ่ะคุณฟ้ามุ่ย...หลังจากไม่ได้นั่งสมาธิมาหลายปีพอกลับมานั่งใหม่มันช่างยากเหลือเกิน
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะ ปยานาคทั้งหลาย...ทั้งที่ตื่นแล้วและยังหลับฝันหวานอยู่
    วันนี้ขอเปิดประูตูถ้ำ ด้วยบทกวีธรรมะ


    สังโยชน์หรือ คือกิเลส ผูกใจสัตว์
    เป็นธรรมมัด สัตว์กับทุกข์ ผูกติดหนอ
    หรือผูกกรรม ไว้กับผล ดลเคลียคลอ
    แบ่งแล้วหนอ เป็นสองส่วน ล้วนค่าตาม

    โอรัมภา คิยสังโยชน์ เป็นเบื้องต่ำ
    ยังถลำ วนเวียนอยู่ ดูน่าขาม
    สักกาย(ทิฏฐิ) เห็นตัวตน ดลจิตตาม
    เห็นรูปนาม มีตัวตน ไม่พ้นจริง

    วิจิกิจฉา ความลังเล ความสงสัย
    ไม่แน่ใจ ในบุญบาป ดุจ(คำ)สาปสิง
    ศีลพพต- ปรามาส ยึดมั่นจริง
    ทำตามสิ่ง ที่ทำกัน ทำตามมา

    กามราคะ กำหนัดจิต ติดกามคุณ
    ให้เคืองขุ่น หงุดหงิดนั้น ปฏิฆะหนา
    กระทบทั่ง ขุ่นเคืองใจ ในอุรา
    พยาบาทา ฝังในจิต ติดวิญญา

    อุทธัมภา คิยสังโยชน์ ภพสูงนั้น
    จิตผูกพัน รูปราคะ นั้นปรารถนา
    ในรูปฌาน อรูปฌาน ถือกายา(มานะ)
    อุทธัจจา ฟุ้งซ่านไป ไม่รู้จริง (อวิชชา)

    ลำดับการ ละสังโยชน์ โดยสี่มรรค
    โสดาปัตติ สก(ทาคาฯ)อนาคาฯ พากิเลสใส
    อรหันตมรรค ละได้หมด ทั้งสิบ ใน
    หลุดจากภัย ในวัฏฏา ที่น่ากลัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    idhumma, น้าป้อม, jernnrej

    สวัสดีทุกท่าน ขอรับ
     
  5. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอฝากเรื่องพระมาลัยเยี่ยมเมืองนรกนะครับ

    พระมาลัย

    ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้
    พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์

    ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง

    เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย

    ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ

    ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า

    "พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว

    ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"

    ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที

    ต่อมา หลังจากที่ท่านไปโปรดสัตว์นรก ณ เมืองนรกแล้ว พระมาลัยก็ไปสวรรค์บ้าง ครั้นได้เห็นเทพบุตร เทพธิดาเสวยสุขสำราญในสวรรค์ ก็กลับมาบอกชาวบ้านให้เร่งทำบุญสุนทาน เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์อย่างเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นบ้าง ทำให้ชาวบ้านเกิดเลื่อมใส ศรัทธา ทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงไปก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวยสุขสำราญตามควรแก่ ผลบุญของตน ด้วยประการเช่นนี้

    ต่อมาวันหนึ่ง พระมาลัยผู้มีฤทธิ์ได้ชำแรกแผ่นดินลงมาเยี่ยมเมืองนรกอีกคำรบหนึ่ง เพื่อจะได้ไปนำข่าวคราว การเสวยผลกรรมของบรรดาสัตว์นรก ที่ยังเหลือมาบอกแก่ชาวบ้านต่อไป

    พอดีคราวนี้ จะเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท่านได้พบบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังถูกผู้คุมเอาหอกทิ่มแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไม่เลือกที่ จนเลือดทะลักไหลนองท่วมพื้น และบรรดาสัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้น ต่างก็ร้องโอดโอยลั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางการนั่งมองอย่างชอบอกชอบใจของยมพบาล เจ้าแห่งนรก ท่านจึงแวะเข้าไปถามยมพบาลว่า

    "นี่แน่ะท่าน ท่านคือยมพบาลใช่ไหม?"

    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "ข้าพเจ้าคือพระยายมราช หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่ายมพบาลนั่นแหละขอรับ"

    "อาตมาอยากจะถามท่านสักหน่อยว่า ทำไมท่านโหดเหี้ยมเหลือร้ายนัก พวกผู้คุมลงโทษสัตว์นรกอย่างไม่ปรานีปราศรัย แต่ท่านกลับนั่งดูเฉย ไม่เห็นห้ามปรามอะไรเลยยังงี้เล่าท่าน"

    ยมพบาลหัวเราะ ราวกับว่าคำถามนั้น ทำให้เขาขบขันเสียเต็มประดา "พระคุณเจ้าถามอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้โหดร้ายอะไรเลยสักนิด มีแต่เมตตาปรานีอย่างมากที่สุด"

    "ท่านพูดเป็นเล่นไปได้" พระมาลัยหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเหมือนกัน "นี่นะหรือคนที่มีเมตตาปรานี เห็นคนถูกเฆี่ยนตีทิ่มแทงจนเลือดท่วมตัว ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนปลาถูกทุบหัวเช่นนี้ กลับนั่งเฉยเหมือนเป็นทองไม่รู้ร้อน อาตมาว่าท่านใจดำเป็นหมึกมากกว่านะท่านนะ"

    "ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เข้าใจผิดอย่างนั้นเลยขอรับ" ยมพบาลอธิบาย "ทุกอย่างมันเกิดจากกรรมที่สัตว์พวกนั้นก่อไว้เองทั้งนั้น พระคุณเจ้า และกรรมนั่นเองแหละที่ทำร้ายตัวเขาอยู่ขณะนี้ ใครจะห้ามปรามหรือคัดค้านทัดทาน ช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่ได้หรอก ใครทำไว้อย่างไร ต้องได้อย่างนั้นขอรับ"

    "ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ได้เรียกว่าท่านมีเมตตาปรานีอย่างที่สุดอยู่ดี" พระมาลัยติดใจสงสัยเรื่องความเมตตาปรานีของยมพบาลอยู่ "เพราะเมื่อท่านช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ แล้วทำไมต้องคุยว่ามีเมตตาปรานีด้วยเล่า?"

    "อ๋อ! ข้อนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายถวายพระคุณเจ้า" ยมพบาลรีบสาธยายต่อไป "ความจริงตามกฎของนรกระบุไว้ว่า เมื่อคนที่ตายมาแล้วถึงที่นี่ ข้าพเจ้าจะให้สุวานเปิดดูบัญชีความดี ความชั่วที่เขาทำไว้ ใครทำความดีไว้มากก้จะส่งไปบนสวรรค์

    แต่ถ้าใครทำความชั่วไว้มาก ก็จะส่งไปลงโทษตามสถานความผิดทันที โดยไม่มีการลดหย่อนหรือปรานีใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้ายังให้โอกาสซักถามเขาถึงความดี และเทวฑูตทั้งห้าประการอีกหลายครั้ง เพื่อจะให้เขาได้สติ ระลึกนึกถึงความดีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำไว้บ้าง จนกระทั่งเห็นว่าเขานึกไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ จึงจะส่งตัวไปลงโทษ และถ้าตอนนั้นเกิดมีใครนึกขึ้นมาได้ ก็จะส่งตัวไปสวรรค์ทันที"
    "ท่านถามเขายังไง คงยากไปกระมังถึงตอบไม่ได้"

    "ไม่ยากดอกขอรับ-เรื่องความดี ข้าพเจ้าถามว่าเมื่ออยู่เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญให้ทาน หรือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้างไหม ที่ไหน เท่านี้แหล่ะ"
     
  6. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    "ข้าพเจ้าก็ถามทุกข์ ที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะพึงได้รับ คือ ทุกข์ตอนเกิด ทุกข์ตอนแก่ ทุกข์ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ตอนตาย แล้วก็ทุกข์ในการ เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละขอรับ ข้าพเจ้าเคยถามว่า ตอนเจ้าเป็นมนุษย์เห็นเด็กเล็กๆ นอนอยู่ในผ้าอ้อมเลอะเทอะจมขี้จมเยี่ยวบ้างไหม

    ครั้นเขาตอบว่าเห็น ข้าพเจ้าก็ซักต่อไปว่าเจ้าเห็นแล้วคิดยังไงบ้าง เขาตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าพยายามซักถามอีกสองสามครั้ง เพื่อจะให้เขาเกิดความสังเวชในชาติทุกข์ มีสติระลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ เขากลับย้อนเอาว่า กะแค่เห็นเด็กเล็กเด็กแดง จะต้องคิดให้เป็นกังวลทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ มีความประมาทในชาติธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้

    แต่กระนั้นยังให้โอกาสเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนแก่หนังเหนียว เดินถือไม้เท้างกๆ เงิ่นๆ บ้างไหม? เขากลับย้อนถามเอาอีกว่า จะไปคิดให้เสียเวลาทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ ประมาทในชราธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้อีกตามเคย

    ข้าพเจ้าได้ให้โอกาสถามเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนป่วยบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาก็ตอบอย่างฉะฉานตามเคยว่า คนป่วยนะหรือ เคยเห็นมาเสียนับไม่ถ้วน แต่เห็นแล้วจะให้คิดถึงทำไม ขยะแขยงเต็มทน ตกลงเขาผู้นี้ก็ยังไม่มีสติ ประมาทในพยาธิธรรมอีกอย่างหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าเคยเห็นคนตามบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาตอบว่า เห็นนะเห็นหรอก แต่จะไปคิดทำไมให้เสียเวลา มีแต่กลัวจะมาหลอกเอาเท่านั้น ตกลงเขาก็ยังไม่มีสติ ประมาทในมรณธรรม อีกประการหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้าเคยเห็นคนถูกลงโทษเฆี่ยนตีประหารบ้างไหม? เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า โอ๊ย! เห็นมาแยะ แต่จะให้คิดถึงนะหรือ ป่วยการ นอกจากจะสมน้ำหน้ามันเท่านั้นเอง

    ก็เป็นอันว่า เขาไม่มีสติพิจารณาสังขารธรรมให้เกิดความสังเวชใจ มัวแต่ประมาทมองไม่เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิดประการใดเลย เขาถูกบาปหนา ปิดบังดวงปัญญาไว้ คนเช่นนี้จะปรานีไม่ได้ ควรที่จะโยนลงกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทงให้ดิ้นพล่านไปทันทีดีกว่า จริงไหม? พระคุณเจ้า?"

    พระมาลัยพยักหน้า "ก็จริงอยู่หรอก แต่ทว่า เท่าที่ท่านบอกทั้งหมด ยังไม่เห็นตอนไหนบ่งบอกว่าท่านมีเมตตาปรานี ดังที่คุยไว้เลย มีแต่แสดงความโหดร้าย หาแง่จะลงโทษเขาอยู่ท่าเดียวเท่านั้นเอง"

    "พระคุณเจ้าจะกรุณาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เมตตาปรานี มีลักษณะอย่างไร?" ยมพบาลย้อนถาม

    "ลักษณะความเมตตาปรานีก็คือ การสำรวมจิตมั่นอยู่ในความรักใคร่ สนิทสนมเอ็นดู สงสารในสัตว์ไม่เลือกหน้า อย่างมั่นคงนะสิท่าน" "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้ามีความรักใคร่สัตว์นรกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วนี่ พระคุณเจ้า"

    "แต่ท่านเอาแต่สั่งลงโทษสัตว์นรก อย่างนี้จะเรียกว่าความรักใคร่ได้อย่างไร? มันขัดกันอยู่นะท่านยมพบาล"

    ยมพบาลหัวเราะ พลางตอบอย่างฉะฉาน

    "พระคุณเจ้ายังเข้าใจข้าพเจ้าผิดอยู่นั่นเอง เอาละทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตามธรรมดาย่อมรักใครในบุตร และลูกศิษย์มาก พยายามเลี้ยงดูอย่างทะนะถนอม และสั่งสอนวิชาการให้อย่างดี แต่เมื่อบุตรนั้น ประพฤติผิดก็ดุด่าเฆี่ยนตี-อย่างนี้ พระคุณเจ้าจะตำหนิว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์พวกนั้น ขาดเมตตาปรานีหรือเปล่าของรับ?"

    "เปล่าหรอกท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์พวกนั้นทำไปด้วยความรักใครเมตตาปรานีต่างหาก"

    "ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์นรกพวกนี้กระทำผิดก็จำต้องลงโทษ เพื่อให้สำนึกตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาปรานีพวกเขาแท้ๆ ข้าพเจ้าจึงทำ"

    พระเถระได้ฟังเหตุผลของเจ้านรก ก็หมดสิ้นความสงสัย ไม่พูดว่ากระไรต่อไป จนยมพบาลถามขึ้น

    "พระคุณเจ้าลงมาเมืองนรกนี่ ได้เดินตรวจดูทั่วหรือยังขอรับ?"

    "ยังเลยท่าน เพียงแต่ผ่านๆสามสี่แห่งเท่านั้น หากท่านจะพาเดินชมให้ทั่วสักหน่อย ก็จะเป็นการดีมาก อาตมาจะได้บันดาลให้ชาวโลกข้างบนเห็นด้วย"

    "แหม! ถ้ายังงั้นก็วิเศษขอรับ พระคุณเจ้า เอาละ ข้าพเจ้าจะพาพระคุณเจ้า ไปตระเวณให้ทั่วเดี๋ยวนี้แหละ และยังไงก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเปิดให้ชาวโลกเห็น จนครบถ้วนให้ได้ พวกเขาจะได้กลัว ไม่กล้าทำบาปกันต่อไป มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ดื้อด้านกันเหลือเกิน พระคุณเจ้า"

    "อ้าว! แล้วท่านไม่กลัวว่างงานหรือ?" พระมาลัยแกล้งย้อน

    "อ๋อ! ว่างงานเพราะไม่มีคนตกนรกน่ะหรือพระคุณเจ้า?" ยมพบาลหัวเราะร่วน "ข้าพเจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อไม่มีคนมาตกนรก จนนรกต้องล้มเลิกไป ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์หมดกรรมเท่านั้นเอง"

    "หมายความว่าทุกวันนี้ท่านยังมีกรรมเวรยังงั้นหรือท่าน"

    "นั่นมันของตายขอรับ พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีทั้งกรรมเวรและมีทั้งบุญกุศล ครึ่งหนึ่งเป็นเทวดา อีกครึ่งเป็นสัตว์นรก พระคุณเจ้ารู้ไว้เสียด้วยเถอะ"

    "ท่านพูดยังงี้ ทำให้อาตมางงใหญ่ โปรดอธิบายต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

    "ก็หมายความว่า ข้าพเจ้ามีความสุขเยี่ยงเทวดาทั้งหลายเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องมาวุ่นวาย ทรมานสังขารสอบสวนคดีความ ตัดสินลงโทษสัตว์นรกอยู่ในดินแดนโลกันต์อย่างนี้แหละท่าน"

    "อ๋อ! ยังงั้นเองหรอกหรือ?" พระมาลัยเพิ่งจะถึงบางอ้อตอนนี้ "เอาละ ขอให้อาตมาได้รบกวนถามเพียงเท่านี้เถอะ ต่อไปนี้ช่วยพาอาตมาไปเที่ยวชมนรกดีกว่า อาตมามาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นทั่วสักที"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.3 KB
      เปิดดู:
      79
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.8 KB
      เปิดดู:
      57
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149 KB
      เปิดดู:
      47
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.8 KB
      เปิดดู:
      60
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.5 KB
      เปิดดู:
      44
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.6 KB
      เปิดดู:
      57
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.5 KB
      เปิดดู:
      47
  7. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    วันก่อนฝันแปลกๆครับ นิมิตไปว่า ไปริมแม่น้ำโขง น้ำไหลแรงมากเลยอยากเล่นน้ำ แต่ศรีนาทบุดฌามาลย์นั้นห้ามไว้ครับ

    และมีเด็กชาย หญิงนั้นไปด้วย ในนิมิตอยากเล่นน้ำเลยบอกเขาว่า ต้องมีสักทีที่เล่นน้ำได้ ถึงจะไหลแรงก็ตามครับ

    แต่เธอห้ามเลยไม่ได้เล่น ครับ ฝันเหมือนไม่ได้ฝันครับ เพราะเหมือนจริงมากเลย ไม่รู้ว่า นิมิตนี้แปลว่าอะไรครับ
     
  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ลองสังเกตให้มากขึ้นอีกนิดหนึ่ง

    งั้นผมจะเล่าเป้นนิทานนะครับไม่ได้สอนนะ เพราะผมคงสอนใครไม่ได้
    ยังละอ่อนอยู่

    ก่อนปฎิบัติก็ควรขอให้พระรัตนตรัยปกปักษ์รักษา

    และในการปฏิบัติ ร่างกายก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน ถ้าเหนื่อยล้าก็มีสิทธิที่โงก

    ได้ง่ายๆอ่ะ เท่าที่ข้าน้อยเคยประสบมา เมื่อเริ่มปฎิบัติไปสักพัก

    จะเริ่มรวมจิตได้ และในช่วงก่อนโงกเนี่ยจะเป็นจุดที่สำคัญเหมือนกัน

    เคยพบเจออยู่ 4 แบบ

    1.ปฎิบัติไปแล้วหลับ
    2.ร่างกายหลับแต่จิตรับรู้ตลอด เช่นได้ยินเสียงกรนของตัวเอง ได้ยินเสียงนอกห้อง
    3.ปฏิบัติแล้วมีอาการเหมือน หล่นจากที่สูง ประมาณว่าตกฌาน เดี๋ยวตกๆ
    4.ปฏิบัติแล้วเข้าฌานตามลำดับไปเรื่อยๆ
     
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ท่าน ประธาน คุรุวาโร ครับ

    คำถามเก่าๆยังไม่ได้เฉลยเลยครับผม
     
  10. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    สวัสดีค่ะ...ท่านประธาน และชาวเมืองคุรุวาโร ทุกท่าน
    ....ท่านประธานสบายดีหรือคะ ทิ้งเมือง..เอ๊ย หายไปซะนาน..
     
  11. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    สวัสดีทุกท่าน ทุกนามค่ะ ...

    เมื่อคืนฝันเล็กน้อย แบบแปลกๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ว่างมาเล่า

    การงานรัดตัวค่ะ เดี๋ยวบ่ายๆ ถ้าว่างจะมาเล่าให้ฟังนะคะ พร้อมสมาธิเมื่อคืน :cool:
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขออนุญาตทำนายนิมิตนี้นะคะ (ตามภูมิอันน้อยนิด)
    ห้วงน้ำเปรียบเสมือนทุกข์และอุปสรรคที่เกิดขึ้นขณะนี้ค่ะ
    การที่มีคนห้ามไม่ให้เล่นน้ำนั้น
    ถือว่ายังมีผู้อุปถัมภ์คอยให้ความช่วยเหลือนะคะ
    แต่หากยังดื้อรั้น คิดจะเอาชนะกับการที่จะหาที่เล่นให้ได้
    รับรองว่าจมทะเลทุกข์แน่นอนค่ะ
    เด็กชายหญิงนั้นเปรียบเหมือนบริวาร
    จะนำความเดือดร้อนมาให้ค่ะ ให้ระวังไว้ให้ดี
    (ทำนายสั้นๆ นะคะ ที่เหลือให้พิจารณาเองค่ะ)
     
  13. zaxc

    zaxc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +422
    สวัสดีค่ะ อยากบอกว่าเนื้อเรื่องพระมาลัย ฟังแล้วทั้งสนุกทั้งได้ข้อคิดเลยนะคะ
     
  14. zaxc

    zaxc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +422


    สวัสดีค่ะคุณฟ้ามุ่ย รอฟังอยู่ด้วยคนนะคะ :)
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วันนี้ขอยกบทความดีๆ ที่ให้คติเตือนใจมาฝาก เพื่อนพ้องเหล่าปยานาค นะคะ
    ที่มา :
    Bloggang.com :

    ความมืดในความสว่าง

    แสงสว่างในตอนเช้าปลุกให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากที่นอนเหมือนทุก ๆ วัน หลังจากลืมตาจากที่นอน ก็มักจะควานหานาฬิกาเพื่อตรวจดูเวลา เหมือนกับว่าหากยังเช้าอยู่ก็อยากจะนอนต่ออีกสัก สิบนาที ซึ่งเป็นเรื่องปกติประจำวัน จะมีวันไหนบ้างนะ ที่ลุกขึ้นโดยที่ไม่งัวเงียกับที่นอน (สงสัยจะโดนถีนมิทธะเข้าสิงอย่างแรง)

    ธรรมดาของโลกก็มีช่วงเช้า กลางวัน ตอนเย็นและกลางคืน วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ไม่ว่าเราจะเกิดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น นี่คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด ในขณะที่เราอยู่ในโลกที่สว่างในตอนกลางวัน จะมีสักกี่คนที่มองเห็นความมืดมิดในตอนกลางวัน เช่น คนที่ตาบอด หรือผู้พิการทางสายตา หรือ คนที่ไม่อาจจะขึ้นมาอยู่ในที่ที่สว่างได้ทั้งที่อยู่ในตอนกลางวัน คนตาบอดนั้นนับว่าน่าสงสารมาก ข้าพเจ้ามักจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นคนตาบอดเดินผ่าน ล่าสุดเห็นชายตาบอดคนหนึ่งยืนตากแดดรอรถเมล์อยู่ ข้าพเจ้าจึงพูดให้เขาขยับมายืนในร่ม แต่เขาก็บอกว่ากลัวขึ้นรถไม่ทัน ข้าพเจ้าจึงอาสาว่าจะคอยส่งขึ้นรถให้ จนกว่ารถเมล์คันที่รอนั้นจะมา เขาจึงค่อยคลายกังวล และเดินมาพักอยู่ในร่ม

    หลังจากที่ส่งชายคนนั้นขึ้นรถแล้ว ก็กลับมานั่งคิดว่า เหตุใดในโลกนี้ จึงมีคนแตกต่างกันมากนัก บางคนเกิดมาพิการ ตาบอด หูหนวก บางคนปัญญาอ่อน ฯ ในทางพุทธศาสนาท่านตรัสว่าเป็นเรื่องของกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน กรรมใด ๆ ที่ทำไว้แล้วสัตว์นั้นย่อมเสวยผลแห่งกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอกว่า ชายคนนั้นเขาทำกรรมอะไรมาในอดีต เพราะชีวิตของแต่ละคนในสังสารวัฏนั้น ต่างทำกรรมดี กรรมชั่วมาด้วยกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะส่งก่อนหน้าหลัง

    เช่นเดียวกันพุทธศาสนาที่เป็นดังแสงแห่งโลกได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว มีสัตว์หลายจำพวกที่สามารถลืมตา แล้วเห็นแสงแห่งธรรม ส่องเป็นทางช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์ สัตว์บางพวกแม้จะพยายามเท่าไหร่ก็เห็นเป็นเพียงแสงราง ๆ พอคลำทางไปได้ แต่มีสัตว์อีกมากมายหลายจำพวก ที่ไม่อาจจะลืมตาเห็นแสงแห่งธรรมนี้ได้เลย โชคร้ายกว่านั้นมีสัตว์จำพวกหนึ่งที่สามารถลืมตาเห็นแสงสว่างได้ แต่กลับไม่ยอมลืม เพราะคิดว่าตัวเองไม่สามารถลืมตาได้ อีกทั้งก็ไม่รู้จักลืมไปทำไม เพราะเคยชินอยู่กับความมืดไปเสียแล้ว

    ทุกวันนี้เราต่างใช้ชีวิตอยู่กับความประมาท สนุกสนานอยู่กับความสุขอันเป็นเครื่องหลอกล่อของวัฏฏะ จมอยู่กับความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่รู้ เราอาจจะเข้าวัดทำบุญบ้างก็จริง แต่เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า สิ่งที่ได้มากกว่าบุญนั้นมีอีกไหม หรือทำเพียงเพราะทำตามสืบ ๆ กันมา...ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนมืด ที่อาศัยอยู่ในที่แสงสว่างไปอีกนานแสนนาน
     
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    เอ้อ..!
    คำว่า รักษ์
    คำว่า รัก
    และคำว่า ลัก

    ออกเสียงคล้ายกัน แต่ต่างกัน ตรงที่ลิ้นกระดก

    แต่โดยรูปลักษณ์แล้ว ความหมายต่างกันเยอะเลย

    หากพิจารณา แยกออกไป อย่างฟองสบู่ ก็จะแตกโผ๊ะ เจอแสงสว่าง
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แต่ตอนนี้ที่รู้ๆ ก็ทั้งรัก รักษ์ และลักพี่หม้อ จังเยยยยยย :cool:
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แสงเทียน...แสงธรรม

    บุญบวกบุญ ได้สองบุญ ตามเลขคณิต
    บุญในจิต คิดคูณกัน นั้นมากหนา
    บุญเกิดแล้ว อยู่ในจิต คิดเมตตา
    ด้วยกรุณา แผ่ออกไป ให้หมู่ชน

    อีกสรรพสัตว์ ทั้งหลาย ในโลกกว้าง
    ทั้งที่ร้าง ที่เห็นอยู่ ทั่วแห่งหน
    ดุจน้ำใส ในธารกว้าง กลางหมู่ชน
    ให้ทุกคน ที่ปรารถนา มาดื่มกิน

    เทียนหนึ่งแท่ง แสงสว่าง ส่องเห็นหน้า
    ดุจปัญญา ส่องทางให้ มืดหายสิ้น
    จุดต่อให้ แท่งอื่นบ้าง ข้างกายิน
    ความมืดสิ้น แสงสว่างนั้น พลันเจิดตา

    แสงในมือ แห่งเทียนนั้น ยังคงอยู่
    กลับเฟื่องฟู ดูสว่างขึ้น อีกนั่นหนา
    เพราะแสงเทียน จากแสงธรรม นำปัญญา
    จะนำพา วิญญาเจ้า เข้านิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะ ท่านประธาน
    วันนี้ไม่มีนิทานมาฝากเหรอคะ
    ทุกคนเข้ามารออ่านหนอค่ะ:cool:
     
  20. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    จันทร์เทวี ก็เลือกไปเป็นตัวประกันเพื่อให้เมืองนั้นอยู่รอด เพราะฝนฟ้านั้นไม่ตกต้องตามฤดูกาล

    การไปเป็นตัวประกันนั้น เปรียบเหมือนไปเป็นเมืองขึ้น คือลดฐานะจากเจ้าเมืองไปเป็นพระสนมของเมืองอื่น

    ซึ่งในสมัยนั้น ถือว่า เมืองนั้นจะต้องส่งสิ่งของให้เมืองอื่นด้วย ทุกๆปี

    ในฐานะตัวประกันนั้น ความสุขนั้นคงไม่มีครับ แต่จันทร์เทวีก็มีดี ตรงที่รู้จักเอาอกเอาใจคนอื่นครับ ทำให้เป็นที่โปรดปรานครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...