ประสบการณ์จริง..เจ้ากรรมนายเวร ในอดีตชาติของผม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 13 มิถุนายน 2012.

  1. aoyleo

    aoyleo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +99
    ขออนุโมทนาค่ะ ได้อ่านเรื่องราวของคุณแล้วอดที่จะยิ้มไปด้วยไม่ได้เลยค่ะ คุณคงจะเป็นคนที่อารมณ์มากๆคนนึง ดิฉันเชื่อที่คุณพูด เพราะดิฉันก็เคยเจอ เรื่องราวชีวิตพลิกผันมาเหมือนกันแบบทุกข์สาหัส ดีที่ได้ธรรมะเป็นทีพึ่ง แต่ดิฉันก็ยังปฏิบัติไม่ได้เท่าคุณคงต้องพยายามต่อ
    โมทนาค่ะ
     
  2. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    http://www.palungjit.org/million.htm ดาวน์โหลด<<<<คาถาเงินล้าน


    เรื่องการท่องคาถาเงินล้านครับ หลายคนสงสัยและ PM ไปถามผมในกรณีที่ว่า หากเราท่องคาถาเงินล้านนั้น จะมีผลในการนำเอาบุญในชาติเก่าๆมาใช้ใช่หรือไม่ ผมเอาบทสนทนาของหลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุนมาเฉลยให้ได้อ่านกันครับ
    อ่านให้หมดแล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมผมจึงกล่าวว่า คาถานี้สุดยอด

    เรื่องคาถาเงินล้าน

    ถ้ากำลังใจของเรารักษากรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแม้กระทั่งคาถาให้มันได้ผล สิ่งอื่น ๆ มันจะได้ผลเหมือนกัน เปลี่ยนวิธีการนิดเดียว ถ้าได้อย่างเดียวอย่างอื่นเท่ากับได้ด้วย


    เหตุที่ต้องทำดังนี้ เพราะว่าดูตัวอย่างของอาตมาเอง สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง พอปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านให้คาถาเงินล้านมา
    พ.ศ. ๒๕๒๙ ก็มานั่งคิดว่าสมัยหลวงปู่ปาน ท่านมีตัวอย่าง นายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร ๑ นายแจ่ม เปาเล้ง ๑ นายเฉลิม คงทอง ๑ เขาเอาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปทำจนได้ผล นายห้างประยงค์นี่รวยจนนับเงินไม่ถูก เขาสำรองเงินสองหมื่นบาทไว้ให้หลวงปู่ปานตลอดเวลา หลวงปู่ต้องการเมื่อไรเรียกได้ทันที เพราะหลวงปู่ทำการก่อสร้าง ก็มานั่งคิดว่าในเมื่อสมัยนั้นมีบุคคลตัวอย่างในการใช้คาถาพระปัจเจก พุทธเจ้า สมัยหลวงพ่อทำไมเราไม่มีบุคคลตัวอย่างในการใช้คาถาเงินล้าน รอมาเป็นปีก็ไม่มีใครเอาจริง ก็เลยตัดสินใจเอาว่า " กูเอง " แล้วก็เริ่มเลย

    ภาวนาแบบช้า ๆ เอาคุณภาพ วันละประมาณ ๓๐๐ จบเป็นปกติ ใช้เวลาสามปีเต็ม ๆ อยากจะบอกว่าปัจจุบันที่ทำอะไรคล่องตัว ต้องการเงินเท่าไรมีเท่านั้น มันอานิสงส์ของคาถาเงินล้านจริง ๆ อาตมานับลูกประคำไปด้วยเพื่อจะได้จำว่ากี่จบแล้ว มันก็จะเป็น เช้า ๑๐๐ จบ กลางวัน ๑๐๐ จบ เย็น ๑๐๐ จบ นับจนนิ้วสองข้างนี่ด้านมาเป็นเม็ดเบ้อเร้อเลย ลูกประคำที่เป็นลูกหวาย
    พวกเราน่าจะรู้จัก อาตมานับจนลื่นเป็นลูกแก้ว ใครมาก็มีแต่บอกว่าประคำสวยจริง แต่เขาไม่รู้หรอกเราใช้ความพยายามเท่าไร?

    ช่วงที่อาตมาภานาคาถาเงินล้านมากที่สุด วันหนึ่งประมาณ ๑,๒๐๐ จบ ตื่นแต่ตีสามก็เริ่มเลย เดินจงกรมภาวนาไปเรื่อย ๆ มีเวลาหยุดตอนฉันอาหารประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ว่าต่อ เลิกตอนหนึ่งทุ่มทุกวัน ได้ ๑,๒๐๐ จบ เป็นการท่องแบบหวังผลก็คือไปช้า ๆ เอาคุณภาพ จะใช้ท่องโดยการเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยุดพัก อาจจะไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม เสร็จแล้วก็มาเริ่มต้นใหม่

    เดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง จากพื้นธรรมดาเดินจนกลายเป็นทาง พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่ว่าให้มันมีเวลาที่ใจเราเกาะความดีมากกว่าความชั่ว ทำได้หรือไม่ ? ถ้าทำได้เมื่อไร หลวงพ่อบอกว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ท่านรักมาก

    ท่านบอกว่าคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านไม่ต้องเสียเวลามาสมัคร ไม่ต้องเสียเวลามาบอกกล่าว
    ใครตั้งใจรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ท่านถือว่าเป็นลูกศิษย์ชั้นจิ๋วของท่านเลย
    ถ้ารักษาศีลห้าด้วยตั้งใจทำสมาธิด้วยถือเป็นลูกศิษย์ชั้นกลาง
    แต่ถ้ารักษาศีลด้วยเจริญสมาธิด้วย มีปัญญารู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย ตายแล้วไปนิพพาน ท่านบอกว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเลย
    ถ้าเราตั้งใจเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อต้องทำตามปฏิปทาของท่าน ไม่ต้องเสียเวลาคี่ยวเข็ญ ทุ่มเทด้วยตัวเอง

    อาตมาเองสามปีแรกที่ฝึกกรรมฐานมีตำราเล่มเดียว คือ คู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อ ลุยอย่างเดียวไม่สนใจฟ้าดินอะไรเลย มีกินไม่มีกินช่างหัวมัน จะนอนเมื่อไร ช่างหัวมัน เพราะว่ายิ่งทำกสิณอยู่ มันต้องต่อเนื่องติดพัน เราไม่อยากละไปเพื่อพักผ่อน เนื่องจากว่าถ้ายังไม่ใช่นิมิตติดตาติดใจจริง เผลอแล้วมันหาย เราต้องมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มอยู่สามปีเต็ม ๆ กว่าจะไปสอบถามกับหลวงพ่อ เนื่องจากว่าปัญหาบางอย่างหนังสือมันตอบไม่ได้ พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้น ทำไปแล้วติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม อาตมาเชื่อว่าที่พวกเราทำมาคงจะไม่มากไปกว่าที่อาตมาเคยทำ เพราะฉะนั้นติดขัดตรงไหนพอจะตอบได้


    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=124 <<<ประสบการณ์จากท่องคาถาเิงินล้านของหลายๆบุคคล

    การวางกำลังใจในการภาวนาคาถาเงินล้านให้ได้ประโยชน์สูงสุด
    <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1"> ถาม : เมื่อสองสามวันก่อนนี่แฟนเพื่อนไปอธิษฐานหน้ารูปหลวงพ่อที่อยู่ที่บ้านเขา ขอให้ถูกหวยสักงวดหนึ่ง ก็ซื้อเลย ๔๗๒ ปึ้งแทงสองตัวด้วย ๗๒ ก็ไปแทงพอตอนบ่ายกลิ่นน้ำอบน้ำหอม เต็มบ้านไปหมด แทบจะวิ่งหนีออกนอกบ้านเพราะกลัว พอหวยออกมาโดนตรง ๆ เลย
    ตอบ : คราวนี้ก็รีบไปแก้บนซะ ไม่ได้บนหรอกขอดื้อ ๆ แต่รีบไปทำบุญใหญ่ซะ แสดงว่าวาระบุญของเขามาถึง ถ้าหากว่าวาระบุญที่เกิดจากทานบารมีมาไม่ถึงนี่ซื้อให้ตายก็ไม่ถูก

    ถาม : อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คือผมเริ่มท่องมาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนแล้ว แล้วตอนนี้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยขาดจะมีแต่เพิ่มขึ้น แต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นที่ว่า...
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป ถ้าหากว่าเราทำโดยที่กำลังใจของเราคิดว่าเราทำเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ เรามีหน้าที่ทำเพื่อรักษามรดกล้ำค่าที่หลวงพ่อให้เราไว้ แล้วก็ท่องบ่นภาวนาของเราไปโดยที่ไม่ได้คิดอยากได้ใคร่ดีอะไรกับผลตอบแทนอัน นั้น เรามีหน้าที่ท่อง ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะมาเยอะมาเร็วด้วย แต่ถ้าหากว่าเราท่องแล้วใจมันคิดอยากได้ ตัวอยากมันจะตัดไปเยอะ อันนี้กล้ายืนยันเพราะอาตมาทำเอง แล้วก็ทำมาตลอด

    ถาม : หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานท่านให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ และท่านก็บอกด้วยว่าพระคาถานี้คนไปนิพพานกันเยอะแล้ว ก็เลยท่องมาเรื่อย
    ตอบ : คือคาถานี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องคิดว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อให้ เจ้าของคาถาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า และถ้าเป็นคาถาในส่วนที่เป็นคาถาเงินล้านหลายบทที่พระพุทธเจ้าท่านให้มา
    ถ้าใจของเราเกาะหลวงพ่อ ใจเกาะพระปัจเจกพุทธเจ้า ใจเกาะพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านเองทรงความดีถึงขนาดนั้นเป็นผู้ให้คาถาเรามา ถ้าเราตายเราขอไปอยู่กับท่านอย่างนั้นโอกาสไปนิพพานก็สูง มันอยู่ที่ทำได้หรือทำเป็น ถ้าหากว่าทำเป็นนี่ประโยชน์เยอะ

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๖๒ : คาถาเงินล้าน <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1">
    ๖๒. คาถาเงินล้าน

    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานีนั้น เมื่อสองปีก่อนหนังสือพิมพ์บ้านเมืองประเมินราคาสิ่งก่อสร้างว่า ต้องใช้เงินประมาณสี่พันล้านจึง จะสร้างได้ขนาดนี้ ถ้าถามว่าเอาเงินมาจากไหนมามากมายขนาดนี้ ก็เห็นทีต้องคุยกันยาวหน่อย... ตามที่หนังสือพิมพ์ก็ดี วิทยุ โทรทัศน์ก็ดี เรียกวัดนี้ว่าวัดพันล้านก็ไม่ได้เกินจริงเลย หากแต่เขาคำนวณราคาตามที่สายตาเห็น แต่เวลาสร้างจริง ๆ ราคาไม่ถึงนั้น ตัวอย่างเช่นศาลาสองไร่ สถาปนิกคำนวณ ๑๒๐ ล้านบาท หลวงพ่อเห็นว่าแพงไป ขอสร้างเองตามแบบฉบับของท่าน ปรากฏว่าใช้เงินแค่เจ็ดล้านกว่าก็สร้างสำเร็จ... เหตุเพราะปูนก็ดี เหล็กเส้นก็ดี หลวงพ่อสั่งตรงจากโรงงานทีละเป็นร้อย ๆ ตัน จึงได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด วัสดุก่อสร้างอื่นก็เช่นกัน และหลวงพ่อควบคุมการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด โอกาสจะทุจริตเลยไม่มี ประหยัดไปได้มหาศาล ดังนั้นเมื่อสองปีก่อนหลวงพ่อแจ้งยอดการก่อสร้างว่า ใช้เงินไปประมาณสามร้อยยี่สิบห้าล้านบาทเท่านั้น... เงินสามร้อยกว่าล้านถ้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ถ้ามาคิดว่านี่เป็นเงินที่วัดต่างจังหวัดวัดหนึ่ง ใช้เป็นงบประมาณก่อสร้างเท่านั้น ก็ต้องคิดหนักเสียแล้วว่าเงินมหาศาลขนาดนั้น ต้องเกิดจากศรัทธาญาติโยมจำนวนมหึมาขนาดไหน อะไรเป็นเหตุให้หลวงพ่อมั่นใจจนถึงกับกล้าเป็นหนี้เขาทีละห้า – หกล้าน ในการสั่งของล่วงหน้าแต่ละที...

    หลวงพ่อเมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มีเงินติดย่ามมาร้อยเดียว “เงินร้อยสมัยปี ๒๕๑๑ มันหายากนะ...” ท่านใช้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับทำงานก่อสร้างไปเรื่อย มี “พระ” ท่านมาบอกคาถามหาลาภซึ่งทางวัดพนัญเชิงเขาเคยใช้ เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงรูปแรกใช้ภาวนาอยู่สามปี วัดนั้นจึงมีลาภมากมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อก็ว่าของท่านเรื่อยไป...

    มาปีหนึ่งกำลังบวงสรวงอยู่ “พระ” ท่านบอกคาถาอีกบทว่าเป็นคาถาเงินแสน พอหลวงพ่อใช้ดู ปีนั้นกฐินได้เงินแสนกว่า สมัยนั้นจะหาสักหมื่นยังยากเลย ปีถัดมา “พระ” ก็บอกอีกบทว่าเป็นคาถาเงินล้าน ให้ว่าต่อเนื่องกับบทก่อนแล้วลงท้ายด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ปรากฏว่าได้เงินเป็นล้านจริง ๆ และรายรับดีขึ้นทุกทาง จึงกล้าเป็นหนี้เขาทีละมาก ๆ

    ต่อมาหลวงพ่อรวบรวมคาถาต่าง ๆ เป็นบทเดียว พิมพ์แจกเป็นของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๒๘ ท่านบอกว่าเป็นเพราะ “ท่านย่า” กับ “ท่านแม่” ไปช่วยขอความกรุณาจาก “พระ” ว่าในปี ๒๕๒๘ นั้นสถานการณ์ด้านต่าง ๆ จะเครียดมาก ถ้าลูกหลานไม่มีความคล่องตัว ก็ช่วยเหลือหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ การก่อสร้างของวัดจะชะงักลง “พระ” ท่านจึงอนุญาตให้บอกคาถาเหล่านี้แก่ญาติโยมได้...

    “พระ” ท่านว่า คาถานี้ทุกคนต้องทำด้วยความเคารพ ถ้าไม่เคารพจะไม่มีผล คาถาว่าดังนี้

    นาสังสิโม
    พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภวันตุ เม
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม
    มิเตพาหุหะติ
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี
    วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ
    พุทธัสสะ สวาโหม
    สัมปฏิจฉามิ

    พออาตมาได้คาถามาก็ท่องวันละ ๙ จบทุกวัน รู้สึกตัวเลยว่า รายรับ – รายจ่าย คล่องตัวมาก การส่งเสียให้น้องสาวสองคน หลานอีก ๑ คนเรียนนั้น รู้สึกไม่หนักใจ ปีนั้นน้องเรียนจบ ปีถัดมาอาตมาก็บวช คราวนี้เห็นผลของคาถาชัดมาก หลวงปู่มหาอำพันกล่าวว่า “คุณเป็นเนื้อนาบุญแล้วนี่ บุญใหญ่มาหนุน ลาภผลก็มากซิ...

    หลวงพ่อสอนพระเวลาออกบิณฑบาตว่า ก่อนจะไปบิณฑบาตให้ทรงกำลังใจให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อผลใหญ่จะได้เกิดแก่ญาติโยมที่ให้การสงเคราะห์เรา อาตมาเล่นด้วยคาถาเงินล้านนี่แหละ แต่เพิ่มเป็นสามสิบจบ ว่าให้ช่ำปอดก่อนแล้วจึงออกบิณฑบาต ระหว่างเดินก็ว่าไปเรื่อยจนกว่าจะครบสามสิบ...

    อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาตื่นตีสามตามปกติ ก็ว่าคาถาซะ ๑ จบก่อนจะไปสรงน้ำ ทำกรรมฐาน พอว่าจบลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างโร่เลย...! คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน เดินงงไปตลอดทาง เราไม่ได้หลับ สติไม่ขาดไม่เคลิ้ม อารมณ์ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว รู้ตัวตลอดเวลา ทำไมคาถาสั้น ๆ บทเดียวใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง...!

    รุ่งขึ้นลองดูอีกที คราวนี้ได้ตั้งสามจบแน่ะ...! ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง ๆ ที่บวชใหม่นั่นแหละ ลาภผลเงินทองไม่รู้ว่าไหลมาเทมาจากไหน รับกันไม่หวาดไม่ไหว ใครจะทำบุญสุนทานอะไร ร่วมกับเขาทุกรายการ รายการละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ช่วยเป็นเจ้าภาพบวชพระ – บวชเณรเป็นว่าเล่น ถวายสังฆทานแทบทุกเดือน ใครเดือดร้อนเรื่องเงินละมาได้เลย...

    เงินมาเป็นเทออก ยิ่งเทก็ยิ่งมา อาตมาเพิ่มจากวันละสามสิบจบ เป็นวันละหนึ่งร้อยยี่สิบจบ เชื่อหรือไม่ว่า ให้ความคล่องตัวขนาดอาตมาขึ้นรถฟรีแทบทุกคัน คือถ้าเราไม่ยัดเยียดให้เขาจริง ๆ เขาก็ไม่รับ ขนาดพระกับพระนั่งไปด้วยกัน เขาเก็บค่ารถรูปอื่น เว้นอาตมาไว้รูปเดียว ยัดให้เขาก็ไม่รับ จะไปไหนแทบจะไม่ต้องพกเงินเลย...

    จากร้อยยี่สิบจบเพิ่มเป็นสามร้อยจบ คราวนี้อาหารการกินก็พลอยฟรีไปด้วย บางทีทนไม่ไหวบอกเขาว่า “อาตมามีเงินนะโยม” เขาก็บอกว่า “ผมถวายครับ” “หนูถวายเจ้าค่ะ” เคยทำสถิติจากอุทัยธานีมากรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ - กลับอุทัยธานี ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ นั่งแท็กซี่อย่างเดียว ปรากฏว่าสิ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามบาท...! สามบาทจริง ๆ...!

    พยายามจะใช้เงินให้หมดก็ไม่มีวันหมด ลองถึงขนาดสามทุ่มซื้อน้ำหวานถวายพระจนหมดตัว สี่ทุ่มเขาเรียกไปสวดศพรับเงินมาจนได้ จะไปธุดงค์เทกระเป๋าทำบุญเกลี้ยง ก็มีคนตามถวาย หมดเมื่อไรได้ทันที เขาถวายจนระอาใจ ต้องพกเงินไปธุดงค์ด้วย ทุเรศตัวเองชะมัดเลย...

    มาถึงตอนนี้ อาตมาหมดความสงสัยโดยสิ้นเชิง ของอะไรทำจริงย่อมได้ผลจริง หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “เรื่องวัตถุทางโลก ผมไม่หนักใจเลย” ท่านพลางชี้ให้ดูอาหารที่มากมายจนล้นโต๊ะ กินไม่ไหวใช้ไม่หมด “ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในอานุภาพพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น...

    ครับ...หลวงปู่กล่าวชอบแล้วทุกประการ นอกจากจะได้แล้ว ยังได้มากเสียด้วย ใครจะคิดถึงว่าขนาดอยู่กลางป่ากลางดงยังกินไม่ไหว ใช้ไม่หมด สามารถเลี้ยงพระ - เณรจนอิ่มหนำ ซ้ำยังเหลือเผื่อหมาอีกเยอะแยะ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นอัปปมาโณ หาประมาณมิได้จริง ๆ...!

    ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ




    ตามความรู้สึกของผมนะครับ คาถาทุกคาถานั้น มีไว้เพื่อโยงให้จิตเป็นสมาธิ หากจิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะทำการสิ่งใดก็ตามแต่ ผลนั้นก็จักสมเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ทุกประการ เนื่องจาก คาถาทุกคาถานั้นครูบาอาจารย์ท่านได้ผูกเงื่อนไขไว้ให้เป็นกุศลโลบายในการทำความความดี มีเหตุและปัจจัยโยงใยถึงกันอยู่แล้ว

    อธิบายยกตัวอย่างง่ายๆเช่น หากคุณ อยากรวย คุณก็ต้องขยัน ต้องประหยัดมัธยัสถ์ ใช่ไหมครับ เพราะถ้าไม่ขยัน และประหยัด แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ต้องจ่ายออกไปมากเช่นเดียว
    และการใช้จ่ายเงินอย่างมีประโยชน์นั้น ก็ต้องเกิดจากการพิจารณาอย่างมีเหตุและผลว่าสิ่งนี้สมควรหรือไม่ ตัวเงื่อนไขของคาถาก็คือ

    คุณต้องรักษา ศีล ทำบุญทำทาน เจริญสมาธิภาวนา

    ทำไมต้องทำแบบนั้นหรือ จะอธิบายให้ฟังครับ

    สมมติแต่ก่อน นั้นคุณจะเป็นคนไม่มีศีล สิ่งเหล่านี้คุณทำเป็นปกติไหมครับ
    เช่น
    ๑ คุณจะทานเหล้า และสูบบุหรี่ไหมครับ ...? ศีลข้อนี้สำคัญนะครับ คิดง่ายๆ คุณทานเหล้า เบียร์ หรือบุหรี่ก็ตามแต่ เบียร์ขวดล่ะ 50 บาท คุณทานทุกวัน เดือนหนึ่งตกเท่าไร 1500 บาทใช่ไหม ปีหนึ่งล่ะ หมื่นกว่าบาทแ้ล้วครับ ข้อนี้หลังจากผมรักษาศีลแล้ว ผมสามารถประหยัดเงินได้มากโขครับ เพราะแต่ก่อนผมเข้าผับทุกเดือน เงินที่หายไปในแต่ล่ะครั้งในการเข้าผับ กินเหล้าของผม คืนๆหนึ่ง หมดไม่ต่ำกว่า พันบาท เดือนหนึ่ง ก็คิดเอาครับ เท่าไร

    ๒ การที่คุณ มีกิ๊กเยอะๆ มีชู้เยอะๆ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนแฟนไม่ซ้ำหน้า คุณต้องใช้เงินไหมครับ ในการพาไปทานข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว หรือแม้แต่ไปสถานที่อโคจรต่างๆ เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ครับ ผมเคยคบผู้หญิงพร้อมๆกันทีเดียว ๔ คน โทรศัพท์ต้องมีหลายๆเครื่องเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนในการโกหก และหากไปกับใครคนไหน ผมก็ต้องเลี้ยงเขา เนื่องจากเราเป็นผู้ชาย พูดง่ายๆคือ ๑ เปลืองค่าโทรศัพท์ ๒ เปลืองเวลา ๓ เปลืองทรัพย์

    ๓ การเจรจาในการค้าขายนั้น ก็สำคัญเช่นกัน แต่ก่อนผมใจร้อนมาก พูดกับลูกค้าแบบขอไปที บางทีก็ไม่มีสัจจะ ผลัดว้ันประกันพรุ่ง แต่พอผมรักษาศีล ผมต้องรักษาสัจจะ การพูดจาทุกอย่างต้องปรับปรุง จนลูกค้าหลายคนเริ่มใช้บริการผมมากขึ้น เนื่องจากผมส่งของตรงเวลา และไม่บิดพริ้ว คำไหนคำนั้น ออเดอร์เยอะขึ้น เงินทองก็เลยคล่องตัวมากขึ้นไปด้วย

    ผมยกตัวอย่างง่ายๆแค่นี้ ก็เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าเงินที่หายไปในแต่เดือนของผมมากเท่าไร และเงินที่ได้คืนมานั้น มากกว่าเดิมเท่าตัว ครับ ยิ่งคนรักษาศีลละเอียดเท่าไร สมาธิก็จะตั้งมั่นได้มากเท่านั้น วันไหนผมรักษาศีลแปด ผมไม่ทานข้าวเย็น ไม่ทาแป้ง ไม่ทาเครื่องสำอาง ประหยัดไปเท่าไร..? เห็นไหมครับ ของแบบนี้ล่ะ เล็กๆน้อยๆมันสะสมไปเรื่อย บางครั้งเรามองข้ามไป

    แต่ยังก่อนครับ แค่มีศีลยังไม่พอครับ เพราะศีลแค่ตัวยับยั้ง ไม่ให้ทำชั่วเท่านั้น มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีพลังในการยับยั้งการทำชั่วได้ดีที่สุดก็คือ การเจริญสมาธิครับ เพราะอะไรผมจึงกล่าวแบบนี้ ก็เพราะว่า หากคุณเจริญสมาธิถึงขึ้น ปฐมฌาน เป็นต้นไป จิตคุณจะสุข การทำงานต่างๆคุณจะละเอียดขึ้น สุขุมขึ้น เนื่องจากจิตของคุณร่มเย็น ไม่ซัดส่ายไปทางไหน และอำนาจฌาน จะกดทับความอยากเอาไว้ ยิ่งถ้าคุณควบวิปัสสนาไปด้วย ปัญญาก็จะเกิด แล้วก็จะรู้ว่า จิตคุณละเอียดละออขึ้น มีเหตุมีผลขึ้น ใจเย็นขึ้น สงบขึ้น และไม่อยากทำในสิ่งชั่วเลย ทำไมผมจึงบอกว่า ภาวนาเงินล้านเป็นฌาน แล้วเงินจะคล่อง ก็ตัวนี้ล่ะครับ อย่าลืมนะครับ คาถาคือตัวโยงจิต ที่สำคัญมีคนใช้แล้ว เห็นผลมากมาย ถ้าไม่ดีจริงๆ คงไม่มีใครกล้าการันตี ผมว่าอย่ามัวแต่สงสัยดีกว่าครับ ลองทำดู เอาแค่ ๑เดือนก็พอ แล้วคุณก็จะรู้เองครับ

    ผมมันพวกชอบพิสูจน์อย่างที่บอกตั้งแต่แรกน่ะครับ ผมลองแล้วเห็นผล และจะเกิดผลดีมาก หากทำบุญทำทานด้วย เวลาผมสวดมนต์เสร็จ ผมจะหยอดเงินใส่กระปุกที่ผมเตรียมไว้ตรงหน้าหิ้งพระ ๑๐ บาท ทุกวัน ทุกครั้งที่สวดเสร็จ สวดวันหนึ่งสองรอบ ก็วันล่ะ ๒๐ บาท เดือนหนึ่ง ผมได้เงิน ๖ ร้อยบาท ผมจะนำเงินส่วนนี้ไปถวายสังฆทาน ทำบุญ หรือสมทบทุนสร้างวิหารทาน หรือสร้างพระพุทธรูป ผมคิดไว้เสมอครับ การทำบุญที่ดี เราต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน บุญก็คือ ความดี ความสุขใจ ใช่ไหมครับ...?

    จากการปฏิบัติ แบบ เข้มของผมเพียงเดือนเดียว ผมมีเงินเก็บ เกือบแสนครับ ทั้งๆที่ผมไปถวายสังฆทาน ไปเที่ยวบ้างตามโอกาส หรือไปบวชเนกขัมมะที่ท่าขนุนผมก็ใช้เงินหมดไปเป็นหมื่น ผมตกใจเลย เพราะว่า แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?

    จากประสบการณ์ที่เอาเงินมานับก่อนเข้าเซฟแ้ล้วเงินงอกนี้ มันก็เป็นอีกเรื่องที่ผมแปลกใจครับ นับสองสามรอบแต่ก็ไม่น่าเชื่อจะเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่บ่อยนะครับ นานๆครั้ง แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือ จิตตั้งมั่นอยู่ในความดี ได้เจริญสมาธิ ภาวนา อันเป็นบุญใหญ่ นี่ละ่ครับ ผมว่า กุศโลบายของหลวงปู่หลวงพ่อท่านตั้งเงื่อนไขไว้ในคาถา

    ลองปฏิบัติดูครับ เรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ใครทำใครรู้ เวลาคุณปฏิบัติมากๆ บางทีเงินเหล่านี้อาจจะไร้ค่าไปเลยก็ได้ครับ เพราะมีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ มีสุข ก็มีทุกข์ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา อันนี้เป็นโลกธรรม๘ เป็นของคู่กันอยู่แล้วครับ

    เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เรายังจำเป็นต้องมีมันในการดำรงชีวิต แต่เราต้องใช้อย่างมีสติ รอบคอบ การปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่หลวงพ่อท่านกล่าวเอาไว้ ว่า โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมไม่ให้เสีย สองอย่างต้องควบคู่กัน
    ผมไม่ได้บอกว่า ท่องคาถานี้แล้วจะต้องมีเงินล้าน แต่ผมบอกว่า หากท่องคาถานี้ พร้อมทั้ง ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เงินทองจะคล่องตัวมาก และหากคุณทำเป็นประจำ เงินล้านที่ว่าก็ไม่ไกลเกินเือื้อมใช่ไหมครับ..?


    เรื่องที่มีคนถามว่า คาถาเงินล้านเอาบุญมาจากอดีตชาติมาใช้ในปัจจุบัน จริงหรือไม่ นั้น

    ผมฟันธงเลยครับ ว่าไม่จริงครับ ....


    เพราะอะไรเรามาดูกันครับ

    หากคุณปฏิบัติ อยู่ในกรอบของ ทาน ศีล สมาธิ ภาวนาแล้ว ตัวนี้ที่เป็นเงื่อนไขของคาถา การทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาเป็นบุญใหญ่อยู่แล้วครับ แล้วเรื่องอะไรต้องไปเอาบุญจากอดีตชาติมาใช้ จริงไหมครับ..

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเคยกล่าวว่า

    <table border="0" width="100%"><tbody><tr><td valign="middle">
    </td><td valign="middle">
    </td><td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%">
    [​IMG]

    หลวง ปู่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปฏิบัติบูชามาก เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับในขณะที่ปฏิบัติสมาธินั้น ได้บุญพร้อมถึง ๓ องค์คือ ทาน ศีล และภาวนา

    เกี่ยวกับทานมีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องของการให้ทานกับคนธรรมดาหนึ่งครั้ง ให้ทานคนธรรมดาร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานคนที่มีศีลหนึ่งครั้ง ให้ทานผู้มีศีลร้อยครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันหนึ่งครั้ง เรื่อยมาจนถึงให้ทานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และการถวายสังฆทานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ แต่ถึงแม้จะถวายวิหารทานไว้มากมายถึงร้อยครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่ากับการเจริญเมตตาจิต หรือการภาวนาได้แสงสว่างเพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เพียงครั้งเดียว ถ้าจะมีผู้แย้งว่า ขณะนั่งสมาธิไม่มีการให้ทาน ขอตอบว่า ทานในขณะปฏิบัติเป็นทานอันยิ่ง คือ อภัยทาน เพราะในเวลานี้ ถ้าเราโกรธ อาฆาต พยาบาทใครก็ตาม เราต้องให้อภัย มิเช่นนั้นแล้วสมาธิจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เราต้องมีเมตตาธรรมบังเกิดขึ้น จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการให้ทานนี้ ก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวนั่นเอง มิใช่เป็นการให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างเลอเลิศ เพราะจะกลายเป็นผู้โลภบุญ

    หลวงปู่ทวดเคยให้คำจำกัดความของบุญกับผู้เขียนว่า
    "บุญ คือความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไร สบายใจทุกที"

    เรื่อง ของศีลนั้น ในขณะที่ปฏิบัติ เราจะเป็นผู้ที่มีศีลอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากได้สมาทาน และมีเจตนาที่จะรักษาศีลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บางท่านจะภาวนาเลย ก็ย่อมมีศีลอยู่กับใจ (ศีลโดยแท้ คือ ภาวะปกติของใจ ที่ไม่กระเพื่อมไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่า ศีลใจก็ไม่ผิด) เพราะว่าเราไม่ได้ไปผิดศีลข้อใดในขณะนั้น ตั้งแต่การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เมื่อเรามีศีลบังเกิดขึ้น อานิสงส์ของศีลย่อมทำให้เรามีความสุข มีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีสุคติเป็นที่หวังอย่างแน่นอน สำหรับการภาวนามีจุดประสงค์เพื่อให้จิตเกิดความสงบมีสมาธิ การบริกรรมภาวนา ไม่ว่าสัมมาอรหัง พุทโธ หรือพุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ ต่างก็มุ่งหวังให้จิตเป็นสิ่งเหนี่ยวนำหรือได้ทำงานในสิ่งที่ดี เนื่องจากสภาพของจิต มักจะไม่อยู่นิ่ง เหมือนลิงมีอาการซุกซน คิดโน่นคิดนี่ ไม่มีสมาธิ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยคำภาวนา ผูกจิตเอาไว้ไม่ให้วอกแวกไปทางอื่น เมื่อมีสติรู้อยู่กับคำภาวนาจนจิตเกิดความสงบ หรือบังเกิดแสงสว่างขึ้น จึงมีอานิสงส์พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน เป็นการรวมตัวของบุญที่กระทำขึ้น จึงมีอานิสงส์มากกว่าการตักบาตร หรือการทำทานเพียงอย่างเดียว

    ดังนั้น การปฏิบัติสมาธิ หรือการภาวนา ดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ จึงเป็นการสร้างบารมีอย่างดียิ่ง อันให้ประโยชน์กับตนเองทั้งปัจจุบัน และภายภาคหน้าด้วยประการนี้.....


    คิดเอาสิครับ หากคุณปฏิบัติใน ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา แล้วในเมื่อบุญเยอะขนาดนี้ในชาิตินี้ ทำไมคุณต้องไปดึงเอาบุญจากอดีตชาติมาใช้ครับ ในเมื่อในชาติปัจจุบันนี้ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จริงไหมครับ ?


    อย่ามัวลังเลสงสัยเลยครับ ธรรมะนั้น ต้องปฏิบัติครับ มันต้องพิสูจน์ ต้องจริงจัง ขอให้ตั้งมั่น ตั้งใจไม่ย่อท้อครับ

    ขอโมทนาในกุศลกรรมและขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  3. Chanseenak

    Chanseenak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +506
    ขอโมทนาครับคุณโมกขทรัพย์ เปิดกระทู้แล้ว มีประสบการณ์อะไรใหม่ๆ ก็ช่วยนำมาลงเป็นธรรมทานนะครับ ยังมีคนสนใจอีกเยอะ
     
  4. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    เดี๋ยวว่างๆจะทะยอยเล่าทีล่ะเรื่องครับ จริงๆผมมีกระทู้เล่าเรื่องผีด้วยกระทู้หนึ่งครับ เป็นประสบการณ์แปลกๆสมัยเด็กๆจนถึงปัจจุบันน่ะครับ เด๋วเอามารวมกันได้ครับเผื่อใครไม่ได้อ่าน


    โมทนาด้วยครับ
     
  5. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    ผี....ที่ผมเจอ (เรื่องจริงประสบการณ์จริง)

    [​IMG]



    ตอนแรกกำลังชั่งใจว่าจะเล่าดีไหมนะ แต่คิดไปคิดมา เอาเป็นนิทานล่ะครับ ฟังสบายๆ สนุกๆไม่เครียดล่ะกันเนอะ


    แต่ก่อนอื่น ขอบอกไว้ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเชื่อผม จนกว่าท่านจะเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาของตัวเองครับ

    เริ่ม เลยดีกว่าครับ ผมเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างนะครับ มักจะเจออะไรที่ชาวบ้านเขาไม่เจอกัน เหมือนจะสื่อทางนี้ได้ตั้งแต่เด็กแล้ว ผีตัวแรกผมเจอนั้น เอ๊ย..! ไม่ใช่สินะ เพราะมาหลายตัวพร้อมกัน ย้อนกลับไปซักประมาณ ยี่สิบกว่าปีที่แล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นผมอายุประมาณ๑๐ขวบ ผมอาศัยอยู่กับบ้านของ ยาย เนื่องจาก พ่อผมไปทำงานที่อื่น แม่เลยพาผมและน้องสาว มาพักอยู่บ้านยาย เพราะระหว่างบ้านยายและบ้านผมนั้นมันเปลี่ยวมาก ผู้หญิงกับเด็กอยู่ด้วยกันแค่นั้นจะไม่ปลอดภัย สมัยเมื่อยี่สิบปีที่แล้วนั้น ความเจริญต่างๆยังไม่เข้าถึงแถวบ้าน เนื่องจาก ตำบลที่ผมอยู่ค่อนข้างหากไกลจากตัวเมือง ไฟฟ้ายังไม่มีใช้ ถนนหนทางต่างๆยังเป็นทางเกวียนอยู่ พูดง่ายๆก็คือ บ้านผมนั้น บ้านนอก ชนบท นั่นเองครับ เขาอยู่หลังบ้านห่างไปไม่ถึงสิบกิโล สัตว์ป่าชุกชมมาก สมัยเด็กๆ ผมเคยไปนั่งดูเขายิงไก่ป่า หมูป่ากันอยู่เลย


    อ่าว...ไหลไปไหนซะนั้น ฮาๆ รำลึกความหลังกันหน่อยครับ


    เข้า เรื่องดีกว่าครับ ครอบครัวสมัยเก่า มักจะกางมุ้งนอนเนื่องจากยุงชุกชุมมาก และส่วนมากนั้นจะไม่นิยมนอนในห้องนอนยิ่งหน้าร้อนด้วยแล้ว อากาศจะร้อนมาก พวกผมจึงยกขบวนมานอนนอกชานกัน ลักษณะบ้านของยายผมจะเป็นบ้านสองชั้น และ บริเวณห้องโถงกับชานบ้านเป็นบริเวณชั้นสองของบ้าน ซึ่งจะมีประตูสามารถเปิดกว้างได้ ลักษณะเหมือน ประตูสองอันประกบกัน เวลาต้องการเปิดก็เลื่อนไปคนล่ะข้างจนสุด ซึ่งตอนกลางคืนนั้น เรามักจะเปิดเพื่อให้ไอลมเย็นๆพัดเข้ามา


    วันที่เกิดเรื่องนั้น คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง อากาศค่อนข้างร้อนครับ เนื่องจากเป็นต้นเดือนเมษายน ครอบครัวผมจะพากันมากางมุ้งนอน ตรงชานบ้านนั่นแหละ เพราะมันเย็นสบายดี (สมัยนั้นไม่มีพัดลมครับ อาศัยแอร์ธรรมชาติ ฮ่าๆ) ตอนเย็น ผมดันซัดแตงโมไปเยอะครับ ตอนกลางคืนเลยปวดท้องฉี่ (ผมเคยฉี่รดที่นอนครับ แม่บอกว่า โตแล้วทำไมฉี่รดที่นอน ต่อไปหากไม่บอกแม่ แม่จะตีนะ แม่ผมโหดมาก เวลาผมฉี่รดที่นอน ผมต้องเจอไม้เรียวทุกทีครับ) ผมเลยจำเป็นต้องตื่น เพราะกลัวแม่จะตีหากผมฉี่รดที่นอน

    ในขณะที่ลืมตานั้น กำลังจะเอี้ยวตัวไปปลุกแม่ (เดี๋ยวขออธิบายก่อนนะครับ บ้านผมกางมุ้งนอน ผมนอนริมฝั่งขวา น้องสาวนอนกลาง แม่นอนริมฝั่งซ้าย
    ) ทัน ใดนั้น...! สายตาผม ก็ไปกระทบกับเงาตะคุ่มๆ สลัวๆ ผมเห็น เงาดำๆ เหมือนลักษณะคน เดินรอบมุ้งอยู่ แต่ก็มองไม่ค่อยชัดเนื่องจากอยู่ภายในมุ้ง แต่ก็พอจะเห็นลางๆ เนื่องจากแสงจันทร์ที่สาดส่องเป็นแสงนวลๆพอจะเห็นอะไรๆได้ไม่มืดจนเกินไปนัก จากที่นับได้มีจำนวนทั้งหมด ๔คนด้วยกัน ...

    ในตอนนั้น ผมไม่ได้นึกกลัวอะไรนะครับ เพียงแต่ผมแปลกใจ นึกว่าขโมยขึ้นบ้านเรารึไงนะ แต่ลองเงี่ยหูฟังว่าเขาจะพูดอะไรกัน ก็แปลกไม่มีเสียงคุย อะไรกันเลย มีแต่ความเงียบ แม้แต่เสียงเดินยังไม่มีเลย ทั้งๆที่บ้านสมัยก่อน เขาจะปูพื้นด้วยไม้ เวลาเดินนั้น จะได้ต้องยินเสียงเดินแน่นอน มันต้องได้ยินบ้างล่ะ แต่นี่เสียงเีงียบกริบ...


    ผมพยายามเพ่งสายตาฝ่า ความสลัวๆของแสงจันทร์ออกไป มองดูอยู่นาน บรรดาผู้มาเยือน ก็เดิน ไป เดินมา รอบมุ้ง พลัน...! หนึ่งในสี่คนนั้นก็เอาหน้ามาแนบกับมุ้ง คล้ายๆมองดูผม เอาหน้าถไลไปกันมุ้งขึ้นๆลงๆ คุณพระช่วย...!!! ให้ตายสิ..! ทำไมเขาไม่มีปาก ไม่มีจมูก ไม่มีตา เลย บริเวณใบหน้าของเขามันโล้นเลี่ยนไปหมด แสงจันทร์สาดส่อง เห็นชัดเจนเหลือเกินครับ เพราะมันห่างจาก ตัวผมไม่ถึงฟุต ใจของเด็กสิบขวบ หล่นวูบ......... ไปอยู่ตาตุ่ม

    ในใจคิด


    นี่เรา...โดน... ผี หลอก จังๆ ในระยะเผาขนหรือนี่ โอย..จะบ้าตาย คุณรู้ไหมครับ อารมณ์นั้นด้วยความที่เป็นเด็ก ผมกลัวเหลือประมาณ กลัวมากจนแข่งขาสั่นไปหมด กลัวจนลืมปวดฉี่ เมื่อในจิตมันคิดได้ว่านั่นคือ "ผี" ผมลองหลับดู แล้วลืมตาใหม่ ก็ยังปรากฏเห็นเขาเอาหน้าแนบมุ้งเป็นรูปหน้าอยู่อย่างนั้น ลองหยิกตัวเองซ้ำๆ ก็ปรากฏเจ็บอยู่ แสดงว่านี่คือเรื่องจริงล้านเปอร์เซนต์




    [​IMG]

    (ลักษณะ ไม่มีตา ไม่มีจมูกแบบนี้เป๊ะเลยครับ)



    ในตอนนั้นผมคิดได้อย่างเดียวครับ เราต้องหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทำไงดีวะ..? โอย..ตายแน่กู..นึกออกล่ะ เราต้องเปลี่ยนที่ ต้องเปลี่ยนตำแหน่งโดยด่วน นอนริมผีมันหลอกเรา เราต้องเปลี่ยนไปนอนกลาง (ปัญญาของเด็กคิดได้แค่นั้นล่ะครับ) จากนั้นผมก็ค่อยๆ ข้ามตัวน้อง ไปนอนแทรกกลางแล้วผ้าห่มคลุมโปงอยู่อย่างนั้น พอ ลองเปิดผ้าห่มดู บรรดาแขกผู้ไม่ได้รับเชิญทั้ังหลาย ก็ยังเดินวนเวียน แล้วยังสลับสับเปลี่ยน หมุนเวียน เอาหน้าที่ไร้จมูก ไม่มีปาก ไม่มีตา มาแนบมุ้งแอบดูผมอีกแน่ะ ผมขนลุกไปหมดเลยครับ (ขนาดตอนพิมพ์ยังขนลุกเลยนะครับ เพราะนั่นเป็นการพบผีแบบระยะเผาขน)


    หลังจากที่ได้นอนตรงกลางแล้ว ผมก็สบายใจล่ะ เพราะคิดว่ายังไงผีมันก็ต้องหลอก คนนอนริมอยู่แล้ว หากมันจะทำร้าย มันก็ต้องทำร้ายคนนอนตรงริมมุ้งเสียก่อน (เด็กคิดได้แค่นี้ล่ะครับ) และแล้ว .... ก็คลุมโปงนอนยันเช้าเลย



    ผมมาสะดุ้งตอนเช้าครับ เพราะเจ็บอย่างรุนแรงที่บริเวณหู พร้อมกับเสียงที่คุ้นหู ตะวาดอย่างดังลั่น... นี่..!!.ฉี่รดที่นอนอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย..? "โอ้ย..!! แม่ อย่าดึงผมเจ็บๆ" ผมโอดครวญ

    หลังจากนั้นแม่ผู้บังเกิดเกล้าผม ก็ให้รางวัลเป็นไม้เรียวสามที โทษฐานที่ปวดฉี่แล้วไม่บอกแก ผมก็พยายามพร่ำบอกแม่นะครับ ว่า "แม่...นู๋โดนผีหลอก นู๋ไม่กล้าบอกแม่ นู๋กลัวๆ" แม่หาว่าผมโกหกอีก จัดการผมอีก สองดอก โทษฐานที่เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่าน โกหก ผมเลยต้องเงียบไปโดยปริยาย เนื่องจาก พูดไปผู้ใหญ่ก็ไม่เชื่อ นึกแค้นผีในใจที่ผมต้องโดนไม้เรียว (โทษผีซะงั้น..)

    และนั่นก็เป็นความทรงจำที่ผมเก็บไว้มานาน กลายเป็นความทรงจำที่ฝังใจ เนื่องจาก

    ๑ หากเราเห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือ พูดอะไร คิดอะไร แตกต่างจากคนอื่น เขาจะหาว่าเราบ้าและเพี้ยนทันที
    ๒ จะโดนล้อ และจะกลายเป็นปมด้อย จะไม่มีใครคบ ไม่มีเพื่อนเล่น (เด็กๆจะกลัวมาก หากไม่มีใครเล่นด้วย)


    แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้วครับ ฮ่าๆ เนื่องจากมีคนที่เพี้ยน กว่าผมเยอะเลย (ที่แน่ๆก็เว็บนี้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย)

    เรื่องผีนั้นมีเยอะครับ เจอจนกลัว กลัว กลัวมาก จนมากที่สุด จนในที่สุดไอ้ความกลัวก็กลายเป็นความชิน ไม่รู้จะกลัวไปทำไม คิดไปคิดมา สุดท้ายถ้าเราตายเราก็คงกลายเป็นเหมือนเขานั่นแหละ

    พอโตมา ผมมาเล่าให้หลายคนที่ปฏิบัติธรรมฟัง เขาบอกว่า อาจจะเป็นเทพเทวดา หรือ ผีบรรพบุรุษ ที่ปกป้องเรา มาคุ้มครองเราก็ได้ แต่ผมก็คิดแย้งในใจว่า มาคุ้มครองหรือมาทำให้กลัวกันแน่วะ...?

    หรือท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายคิดเห็นว่าไงหรือครับ ?

    เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ สำหรับคุณผี ที่กรุณามาหลอกผมในตอนต่อไป...

    โมทนาในกุศลกรรมด้วยครับ
     
  6. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    [​IMG]

    หลายคนในที่นี้ คงเคยได้ยินเรื่องผีกระสือกันนะครับ สมัยเด็กๆผมก็คิดว่า ไอ้ผีกระสือนี่น่าจะเป็นผีที่มีแต่ไส้ กะหัว ลอยไปก็ลอยมา หากินของเน่าเหม็น พวกขี้ หรือ กบ เขียด หรือของโสโครก อะไรเทือกนี้ ใช่ไหมครับ..?

    ไอ้ผีที่ผมเจอในที่นี้ที่ผมเจอ ผมก็ไม่แน่ใจซักเท่าไรเนื่องจากเห็นเป็นดวงไฟบนใบหน้าคนเท่านั้น เลยไม่รู้จะจำแนกให้อยู่ประเภทไหนดี..

    ย้อนไปเมื่อสมัยซักสิบสี่ปีที่แล้ว (สมัยหนุ่มๆ) สมัยนั้นผมจะมีมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ เอาไว้ขี่ไปดูหนังกลางแปลงบ้าง ไปเล่นดนตรีบ้าง ไปเที่ยวสาวบ้าง หรือไปเที่ยวตามประสาหนุ่มโสดล่ะครับ มีอยู่คราวหนึ่ืงผมไปจีบสาวคนหนึ่ง เธอเป็ํนคนสวยมาก และเธอก็น่าจะมีใจให้ผมด้วย(ผมเดาเอา) แต่เธอชอบใช้ผมไปนู่นไปนี่ หรือให้พาเธอ หรือแม่เธอไปธุระประจำ ก็เนื่องจากบ้านเธอไม่มีรถ สมัยนั้นใครมีรถมอเตอร์ไซค์ แถบบ้านผมก็เรียกว่าหรูล่ะครับ ไอ้ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เนื่องจากชอบพอกับเธออยู่ ก็ถือซะว่าไม่ได้คิดอะไร เรารักลูกเขา เราก็ต้องเข้าหาพ่อแม่สิ จริงไหมครับ..?

    วันหนึ่ง แฟนผมคนนี้ล่ะ เขาวานให้ผมไปรับแม่เขาที่ บขส.หน่อย สี่ทุ่ม เนื่องจากแม่ไปธุระ ไม่เห็นเป็นไร ทำดีเอาหน้าซะหน่อย(นิสัีย เลว มาตั้งแต่สมัยนั้น สมัยนี้ก็ยังไม่หายครับ ไอ้ทำดีเอาหน้านี่) ผมก็ไปรับ แต่ขากลับฝนดันตกซะนี่ แ่ต่ดีหน่อยที่ใกล้ถึงบ้านแล้ว ฝนมันตกไม่หนักเท่าไร เนื่องจากก่อนหน้านี้นั้นมันตกมาบ้างแล้ว


    ผมขับรถมาเรื่อยๆโดยมี ว่าที่แม่ยายซ้อนท้ายมา จนใกล้จะถึงบ้าน มาถึงตรงนี้ ขอบรรรยายก่อนนะครับว่า บริเวณบ้านแฟนผมนั้น ค่อนข้างจะทุรกันดารพอสมควร ไฟฟ้าก็ไม่มี สองข้างทางเป็นทุ่งนา โดยรอบ เป็นบริเวณกว้าง ค่ำคืนนั้นหนาวเหน็บชะมัด เนื่องจากฝนตกปรอยๆ เสียง เขียด กบ อึ่งอ่าง ร้องกันระงม เซงแซ่ไปหมด ฟังไม่ได้ศัพท์

    พอใกล้จะถึงบ้านแฟน อีกประมาณ สามกิโลเมตรกว่าๆ พลัน...! สายตาผมก็เห็นดวงไฟ ลูกหนึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางน่าจะประมาณ ห้าสิบเซ็นติเมตรได้ อยู่ในระดับสายตา คาดคะเน ความสูงไม่น่าจะเกิน เมตรแปดสิบเซ็นต์จากพื้น ลอยๆ ติดๆ ดับๆ ระยะห่างจากผมประมาณซัก ไม่เกินร้อยเมตรเห็นจะได้ มันสว่างวาบทีหนึ่ง แล้วก็หายไปกับความมืด สว่างอีกที ก็หายไปกับความมืดอีก ..

    [​IMG]

    ไอ้ผมมันคนขี้สงสัย จึงถาม ว่าที่แม่ยายว่า แม่เห็นอะไรเหมือนผมไหม ว่าแม่ยายก็ตอบว่า เห็น นิ่งๆไว้ลูกอย่าไปสนใจเขา แล้ว แม่ยายก็ทำหน้าเลิ่กลั่กๆ ประมาณว่า เหมือนจะรู้ ว่ามันคืออะไร ไอ้คราวนี้ล่ะครับ จากที่จะไม่สนใจก็ต้องสนใจ เพราะไปสะดุดอยู่กับคำว่า ไม่ต้องสนใจนี่ล่ะ ทำไมต้องไม่สนใจวะ..? ผมคิดในใจ

    สายตาผมก็จับจ้องที่ดวงไฟนั้น พร้ัอมกับขับรถไปช้าๆเนื่องจาก ถนนหนทาง มันแย่มาก มัน ดับไปประมาณ สองสามวินาที แล้วมันก็ติดใหม่ แล้วหลังจากนั้น มันค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมใจคอไม่ค่อยดีล่ะ เพราะมันชักจะทะแม่งๆ แปลกๆ จึงเร่งเครื่องผ่านจุดนั้นไป จนทิ้งช่วง ไอ้ดวงไฟประหลาดนั้น ไปอยู่ด้านหลังประมาณซัก ๕๐เมตรได้

    ผมหันกลับไปมอง เห็นเงาตะคุ่มๆ รูปร่างคล้ายคน พยายามวิ่งตามผม และระดับดวงไฟนั้นก็ติดๆดับๆ อยู่บริเวณหน้าของคนๆนั้น แต่ผมมองไม่เห็นหน้าเขา อารมณ์ตอนนั้น ตกใจสุดขีดเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้ ผมเร่งเครื่องสุดชีวิต จนในที่สุดก็ไม่เห็นดวงไฟนั้นแล้ว


    คืนนั้นผมนอนค้าง บ้านแฟนเลยครับ ไม่กล้าขับรถกลับคนเดียว(ปอดแหก) ในตอนเช้า ถามผู้เฒ่าผู้แก่แถวนั้นก็ได้ความว่า หากวันไหนฝนตก พรำๆ หรือฝนหยุดตกแล้ว หากมีเสียงกบ เขียด ร้อง กันระงม แบบนี้ มักจะปรากฏเห็นดวงไฟดวงใหญ่นี้ ลอยไปลอยมาอยู่เป็นประจำ และเขาก็สงสัยว่า อาจจะเป็นลุงแก่ๆ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ เมื่อ สองเดือนที่แล้วก็ได้ แกปลูกกระต๊อบเล็กๆ อยู่เลยท้ายหมู่บ้านไป และแกไม่สุงสิงกับใคร เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว


    เคยมีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเมื่อเดือนก่อนจะเกิดเรืื่่องกับผมนั้น ทิดเส็งแกออกไปตีกบ แกไปกะเพื่อนสองคน แล้วแกไปเจอดวงไฟนี้ล่ะ แกก็อยากพิสูจน์ว่าเป็นอะไร แกเลยปิดไฟ แกย่องๆ ตามไปดูว่า จะเป็นอย่างไร แกบอกว่า แกเห็นผู้ชายแก่ๆ ผิวดำแดง สูงๆ เกร็ง ไม่สวมเสื้อ จมูกแดงวาบๆ กำลังนั่งหันหลัง ให้ และฉีกกบเป็นๆกิน พอแก เห็ันแค่นั้น ตาลุงแก่นั่นก็หันหน้ามาเจ๊อะกันพอดี ตาเหลืองปนแดง น่ากลัวมาก

    ทิดเส็งกับเพื่อน เผ่นกันป่าราบเลยครับ กบเกิบ ไม่เอาล่ะ เรียกว่าวิ่งหนีตายกันเลยทีเดียว


    เรื่องที่ผมเล่านี้ ให้ท่านทั้งหลายชมเป็นนิทานนะครับ อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะเจอด้วยตัวของคุณเองครับ



    มีอีกครับ เดี๋ยวว่างๆจะทะยอยมาเล่าสู่กันฟังครับ


    โมทนาสาธุในกุศลกรรมครับ
     
  7. merumas

    merumas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +222
    เจอมาแล้วกับตัวค่ะ
    เมื่อก่อนปฏิบัติแล้วได้ผลดี เงินงอกมาแบบไม่ทราบสาเหตุบ่อยๆ
    เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็จะรายงานคนที่บ้านตลอด
    เห็นคนอื่นแชร์ประสบการณ์ก็แชร์กับเขาบ้าง
    ปรากฎว่าถอยหลังพรวดๆๆ เล่นเอาจ๋อยเลย
    แล้วเกิดอาการขี้เกียจ (เลวหนักเลย)
    ตอนนี้กำลังพยายามเรียกกำลังใจกลับคืนอยู่ ^ ^"
     
  8. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,371
    ต้องขออนุโมทนาสาธุกับท่านเจ้าของกระทู้
    ที่นำเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟัง
    ซึ่งอาจทำให้หลายคนได้คิดไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใด
    ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้สวดมนต์และปฏิบัติธรรมด้วยในตัว
     
  9. Maysa&Tonkhao

    Maysa&Tonkhao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +144
    อนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ กับบทความดีๆที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,436
    ค่าพลัง:
    +35,020
    นี่หละครับที่ผมเห็นว่าเป็นข้อได้เปรียบ..ของ มโนมยิทธิ..โดยส่วนตัวผมเห็นว่า คุณ โมกขทรัพย์ ใช้ในทางที่ถูกที่ควรนะครับ..เพราะว่าถ้าไม่ใช้วิชาพิเศษ..
    เต็มที่เราจะเห็นได้แต่เจ้ากรรมนายเวรตอนที่เค้ามาหาเราถึงที่..ส่วนมากจะไม่ยอมพูดคุยด้วย..แต่ก็สามารถที่จะห่างๆเราไปก่อนได้แต่ก็เหมือนๆยังรอวันกลับมา..นอกจากจะโชคดีจริงๆ.ในกรณีที่จะยอมซึ่งน้อยมาก.แต่นั้นเค้าจะบอกเองว่าให้เราทำอะไรให้บ้าง..ไม่เหมือนมโนยิทธิ ถ้าทำได้จริงๆ ถ้าเคลียร์ได้แล้วจะจบแล้วจบเลย โดยเฉพาะกับเจ้ากรรมนายเวรเราบางท่านที่เลื่อนระดับภพภูมิขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่สูงๆ..
     
  11. 678wish

    678wish เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +382

    อนุโมทนาต่อด้วยคนค่ะกับทั้งสองท่าน
    ซึ้งใจแทน
     
  12. Chanseenak

    Chanseenak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +506
    ผีนี่ผมไม่เคยเจอ และ ไม่อยากเจอครับ...กลัวผีมาก
     
  13. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    แต่ก่อนก็กลัวนะครับ เจอบ่อยจนเฉยๆไปแล้ว ผีบางตัวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะครับกลับน่าสงสารด้วยซ้ำ
     
  14. บานไม่รู้โรย

    บานไม่รู้โรย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +248
    ขออนุโมทนากับคุณภูด้วยค่ะ เป็นประโยชน์อย่างมาก พี่จะนำไปปฏิบัติ ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ สาธุ
     
  15. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    โมทนาในความดีครับพี่ ขอให้ตั้งใจนะครับ ผมก็ยังงมๆงูๆปลาๆอยู่ๆ ได้ผลอย่างไรก็เล่าให้ฟังบ้างนะครับ


    สาธุๆๆๆ
     
  16. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    มีเรื่องมาเล่าเกี่ยวกับการรับยันต์เกราะเพชรค่ะ พอดีอ่านเจอในเวปว่าวันที่23ที่ผ่านมาวัดท่าขนุนจะทำพิธีเป่ายันต์ สามารถตั้งใจรับที่บ้านได้ เลยเปิดเสียงฟัง นั่งหน้าหิ้งพระมีเพียงธูปและเทียน ตั้งใจรับยันต์ ไม่รู้สึกคันยุบยิบ แต่มีช่วงหนึ่ง รู้สึกร้อนตัว ตัวเองไม่แน่ใจว่ายันต์จะจับตัวหรือเปล่า แต่พอตอนค่ำ รู้สึกเหมือนไข้จับ เลยลองหาอ่านดูว่าคนที่รับยันต์มาจะมีอาการจับไข้ด้วยในบางคน ช่างเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าตัวเองได้รับยันต์ด้วยทั้งๆที่จิตไม่นิ่งเลย และอยู่ที่บ้านที่จริงเรืองนี้ก็ไม่เกี่ยวกับกระทู้หรอกค่ะ แต่อยากแชร์ว่ามีเรื่องเหลือเชื่อในพุทธศาสนาจริงๆ
     
  17. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    ขอบคุณที่ช่วยแชร์ครับ โมทนาด้วยนะครับ

    วันเสาร์ที่ผ่านมาก็นั่งสมาธิ ภาวนา รับยันต์เหมือนกันครับ ตกเย็นมามีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนกัน ครับ ใครมีประสบการณ์แปลกๆก็เล่าได้ครับ
     
  18. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849

    สวัสดีท่านกัลยาณมิตรทุกท่านครับ วันนี้ผมมีเรื่องจะมาเล่าอีกแล้วครับ ขอทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมครับ ...อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าท่านจะพิสูจน์ได้ด้วยตาของตน เป็นอันขาดครับ...

    ใครเคยมีอาการ ป่วยแบบเรื้อรังไหมครับ..?
    เช่นปวดแขน ปวดขา ปวดหลัง ปวดหัวแบบเรื้อรัง รักษายังไงก็ไม่หาย ป่วยมาแบบเป็นปีๆ บ้างครั้งหาย บางครั้งทุเลาบางครั้งปวด อยากรู้ไหมครับว่า สาเหตุที่แท้จริงแล้ว เกิดมาจากอะไร...? ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ จนมาสิ้นความสงสัยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ก่อนหน้านั้น มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า โรคที่เกิดกับกายนั้น ล้วนแล้วแต่ กรรมอันเนื่องมาจากปานาติบาตทั้งสิ้น(ผิดศีลข้อ๑) จากที่ลองนั่งกรรมฐานตรวจกรรมของตน ในครั้งแรกที่ปวดหัวนั้น ผมก็ได้ความกระจ่างว่าแท้จริงอดีตชาตินั้นเราทำกรรมไว้เยอะเหลือเกิน และกรรมก็เป็นเรื่องที่ัซับซ้อนมาก

    ที่ท้าวความแบบนี้ก็เนื่องจากผม มีอาการปวดหลังมา ๕ปีแล้วครับ ปวดแบบเรื้อรัง บางทีก็หาย บางทีก็เป็น บางคราก็มีอาการแป๊บๆ ปวดลึกๆ เจ็บจี๊ดๆ เ่จ็บหนักๆ ก็มี ผมก็เลยสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ...ในเมื่อเราสามารถรู้ว่าอาการป่วยต่างๆ เหตุที่เกิดขึ้นกับกายนั้น ก็เนื่องมาจาก เศษปานาติบาต และเราก็ลองดูแล้วว่ามันใช่จริงๆ ทำไมครั้งนี้เราไ่ม่ลองดูอีกล่ะ เผื่อจะทำให้อาการปวดนี้ หายไปหรือทุเลาเบาบางยิ่งกว่านี้

    เมื่อคิดได้ดังนั้น ในตอนเย็น ผมสวดมนต์ ไหว้พระเสร็จ ผมก็นั่งภาวนา เจริญกรรมฐานไปเรื่อยๆ จนจิตสงบเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดดีแล้ว ผมจึงถอยมาอยู่ที่ อุปจารสมาธิ กำหนดภาพพระขึ้นมา น้อมกราบท่าน แล้ว เรียนถามท่านถึงเหตุที่ทำให้ผมปวดหลังไม่หาย ซึ่งก็เป็นผลอัศจรรย์ใจ ยิ่งครับ



    [​IMG]

    [​IMG]
    ผมเห็นภาพ ตนเองเป็นขุนศึกนักรบสมัยโบราณ รูปร่างสูงใหญ่ สวมเกราะสีดำ หน้าตาเหี้่ยมเกรียม ไว้หนวด ในมือถือหอกยาว ควบม้าตัวใหญ่ลำสัน วิ่งห้อเหยียด ทะลุทะลวง เอาหอกไล่แทงพวกข้าศึกที่กำลังแตกพ่าย กำลังวิ่งหนีตายกันอลหม่าน อย่างโหดเหี้ยม โดยเฉพาะพวกที่วิ่งหนีไม่ทันนั้น ผมได้พุ่งหอกเข้าไปแทงบริเวณกลางหลังเสียบทะลุอกบ้าง ทะลุท้องบ้าง จนตายคาที่ ซะหลายราย ส่วนพวกที่ไม่ตายนั้น ผมดึงหอกออกพร้อมทั้งเสียบซ้ำเข้าไปที่แผลเดิม ฉึกๆ สวบๆ เสียงหอกอันคมกริบกระทบแผ่นหลัง ..เลือดสดๆทะลักออกมาตามปลายหอก บางส่วนก็สาดไปทั่วเป็นบริเวณกว้าง ท้องทุ่งอันเป็นสมรภูมิรบ บางแห่ง ฉาบทาไปด้วยสีเลือด กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เป็นที่ีสยดสยองยิ่งนัก เสียงร้องขอชีวิต และเสียงร้องจากความเจ็บปวด เซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ผมในคราบขุนศึกหนุ่มผู้ใจหิน ก็หาได้ มีความเมตตาไม่ ผมไล่ปลิดชีพเหล่าศัตรู อย่างไม่ปราณี ยี่หระต่อพวกอริราชศัตรูเหล่านั้น...

    หลังจากนั้นผมก็หันมาจัดการพวกที่แตกทัพต่อ ส่วนพวกที่วิ่งหนีไป จนเกินระยะของคมหอก ผมในขณะนั้น ได้ใช้เกาทัณฑ์(ธนู) ยิงเข้าใส่แผ่นหลังพวกข้าศึกนั้นจนล้มพุบไปหลายราย บางพอโดนลูกธนูเข้าไปยังไม่ตายในทันที ผมก็จะทะยานม้าไปเด็ดหัวทันที ด้วยความเหี้ยมโหด...

    ภาพเหล่านั้น ฉายไปเหมือน ฉายภาพยนต์เป็นฉากๆ แต่ภาพยนต์ที่ผมชมนี้มันคืออดีตชาติของผม ที่ผมได้กระทำปานาติบาติ อันโหดเหี้่ยมไร้ซึ่งความปราณีใดๆ

    เมื่อรู้เช่นนี้ ด้วยความสลดใจในภาพที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ผมจึงกำหนดจิตกราบขอขมาลาโทษ ขออโหสิต่อดวงวิญญาณเ้จ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ขอให้จงอโหสิกรรม ผมขออุทิศผลบุญของผมให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นและ่่ขอจงโมทนาในบุญของผมทุกๆบุญที่ผมกระทำ โดยเฉพาะบุญจากกรรมฐานนี้ อันเป็นการสร้างบุญใหญ่ที่เกิดขึ้นกับตน

    ในอดีตชาตินั้น ผมเกิดร่วมสมัยกับหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีฯ) ผมเป็นหัวหน้าชนเผ่าหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถในด้านการรบ ที่ค่อนข้างเหี้ยมเกรียม ดุเดือด และแข็งแกร่่งเป็นที่เลื่องลือ เรื่องนี้ รู้เ้ข้าถึงหูหลวงพ่อฯ ซึ่งในสมัยนั้นท่านเกิดเป็นพระราชา กำลังทำสงครามกับข้าศึกและต้องการกองกำลังสำหรับ โจมตีศัตรูแบบกองโจร ซึ่งพวกผมมีความสามารถในด้านนี้ หลวงพ่อจึงว่าจ้างให้ผมไปรบแบบกองโจร เข้าโจมตีข้าศึกที่ลำเลียงเสบียง ตัดกองกำลังข้าศึกต่างๆ ในครั้งแรกนั้น พระราชา(หลวงพ่อฯ) ได้ให้ทองคำเป็นของแลกเปลี่ยนสำหรับข้อเสนอ ในกลพิชัยยุทธ์ แต่พอผมได้เข้ามารับใช้พระราชา(หลวงพ่อ) ผมจึงเห็นความเสียสละ เด็ดเดี่ยวของท่าน ผมจึงอาสาร่วมรบกับท่านโดยที่ไม่ต้องการของแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด

    ในนิมิตนั้น... ผมเกิดร่วมสมัยหลวงพ่อฯหลายครั้ง และเป็นทหารรับใช้หลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ส่วนมากจะอาสารับ เป็นพวกเสือหมอบแมวเซา เป็นพวกดักซุ่มโจมตีเสียมากกว่า และส่วนมากก็ปฏิบัติภาระกิจได้ละล่วงเสมอ

    เมื่อผมคลายตัวสมาธิ ผมก็มานั่งทบทวนว่า สิ่งเหล่านี้ผมฝันไปหรือเปล่า ...? หากไปเล่าให้ใครฟัง หลายคนคงจะมองว่าผมบ้า แต่มาคิดทบทวนดูแล้ว สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่อุปาทาน เพราะผมมีสติตลอด

    ผมเอาประสบการณ์ของผมมาเผยแพร่ ก็เนื่องจากอยากให้หลายท่านได้ทราบว่า แท้จริงแล้ว เรากำลังเสวยกรรมอยู่ทุกขณะจิต ในขณะใดก็ตามที่จิตเราเป็นกุศล เราก็จะไปสร้างภพอันเป็นกุศลนั้นไว้อยู่บนสุคติภูมินั้น แต่หากขณะจิตใดของเรานั้นเป็นอกุศล จิตนั้นก็จะไปสร้างภพที่ อบายที่๔เป็นทีี่ีตั้งเสมอ

    คุณเลือกเอาครับ จะให้จิตผ่องใสเป็นกุศล หรือจะให้จิตเศร้าหมองเป็นปาบ

    การทำทาน รักษาศีล เจริญสมถะวิปัสนากรรม เป็นไปเพื่อ ละซึ่ง โลภ โกรธ หลงของจิตนี้ หากเรารู้เท่าจิตตลอดว่า กำลังคิดดีหรือไม่ดี เราก็จะเท่าทันตนเองเสมอ และสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในความดี พร้อมทั้งยกจิตให้สูงขึ้นได้ตลอดเวลาครับ


    ขอโมทนากับกุศลกรรมของทุกท่านด้วยครับ
     
  19. PNPNC

    PNPNC Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +38
    เล่าต่อได้เลยนะครับ

    รออ่านอยู่ ^^
     
  20. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ดีใจที่ได้อ่าน อนุโมทนาในบุญกุศลด้วยครับ จิตกำลังเศร้าๆพออ่านแล้ว ก็อยากตั้งใจปฏิบัติต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...