ใครเสีย ใครได้ จากกระแสภัยพิบัติ

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่านะคะว่าดิฉันไม่มีเจตนาป่วนเว็ป หรือก่อกวนใครทั้งสิ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาเป็นผู้บริโภคที่ดีมาตลอด ติดตามการแจ้งเตือนภัยพิบัติ เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่ก็ติดตามมาตลอดเพื่อความไม่ประมาท
เพียงแต่ระยะหลังจะมีบางกลุ่มเข้าใช้คำพูดรุนแรงกับเจ้าของกระทู้หลาย ๆ กระทู้ ปรามาสความคิดเห็นของหลาย ๆคนแบบแรง ๆ จึงรู้สึกไม่สบายใจ
จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของเพื่อน ๆ สมาชิก

ใครมีความคิดเห็นว่ากระแสภัยพิบัติที่มีการแจ้งเตือนกันนี้ มีผลประโยชน์แอบแฝง หรือเป็นการเจตนาหลอกลวงสาธารณชนนำมาบอกเล่าให้เพื่อสมาชิกได้รับรู้ เพียงแต่ขอหลักฐาน หรือเหตุผลที่น่าเชื่อถือหน่อยนะคะ

สุดท้ายนี้ หากกระทู้นี้ไม่ถูกต้อง หรือผิดระเบียบผู้ควบคุมดูแลเว็บลบกระทู้ได้เลยนะคะ และหากการกระทำครั้งนี้ ผิดพลาดหรือไปกระทบสภาวะจิตใคร ดิฉันต้องกราบขออภัย ได้โปรดอโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยค่ะ

 

สนับสนุน จขกท ครับ

 

อ้างอิง:
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ wellrider
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=2>กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ


</TD></TR><TR><TD colSpan=2>



</TD></TR><TR><TD colSpan=2>ตัวอย่าง



</TD></TR><TR><TD colSpan=2>

1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 232
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 13
พระพุทธเจ้าสอนอะไร แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดย ร.ศ.ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2547 หน้า 15-17
คิดอย่างเป็นระบบ และ เทคนิคการแก้ปัญหา ผู้แต่ง ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ สำนักพิมพ์ อริยชน จำกัด หน้า 190-191

ที่มา :: Buddha 4 u ::
</TD></TR></TBODY></TABLE>



หลักธรรมเบื้องต้นที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน ตรองดูเทอดท่านทั้งหลาย


ราชบดินธร

ผู้นำสงสารแห่งปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ

 

ผมเข้าใจว่าจขท. ต้องการรู้ว่าการทำนายภัยพิบัติมีการหลอกลวงหรือไม่ ทราบได้อย่างไร

ขออนุญาตตอบไม่ตรงคำถามนะ
สำหรับตัวผมเท่าที่ติดตามเวบมาระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าใครจะมาหลอกลวง แต่ปัญหาคือผู้ทำนายมักจะรู้ไม่จริง (แต่เจ้าตัวคิดว่าตัวเองรู้)
ไม่มีหลักฐานครับ เป็นเพียงความเห็น

จากที่อ่านมาบางอย่างเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด อันนี้บอกยากว่าจะจริงหรือไม่ ได้แค่รอดู แต่บางอย่างก็ผ่านมาแล้วซึ่งก็พอจะบอกได้ว่าความน่าเชื่อถือของผู้ทำนายเป็นอย่างไร

อย่างเรื่องปลาบู่ ผมเชื่อว่าลุงแกไม่มีเจตนาจะเอาเรื่องนี้มาหลอกลวงใคร แกเชื่อของแกจริงๆ ถึงกับลงทุนซื้อที่ปลูกต้นไม้ สร้างวัด สร้างที่อพยพเอง แต่เรื่องที่แกเล่าจะจริงหรือไม่ก็ต้องรอดูกันไป จะเอาวิทยาศาสตร์มาจับก็คงยากที่จะมีแผ่นดินไหวมากกว่า 7.5 ริกเตอร์บริเวณนั้น แต่หากเป็นภัยพิบัติแบบผิดธรรมชาติก็คงบอกไม่ได้ว่าไม่มีโอกาสเลย อย่างเตาปฏิกรณ์ที่ญี่ปุ่นยังพังได้เหนือความคาดหมาย ที่แน่ๆคือแกบอกผิดไป 2 ที ว่าเป็นปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เกิด พอเลื่อนเป็นสงกรานต์ก็ไม่เกิด ทำให้ความน่าเชื่อถือของแกลดน้อยลง (แต่ผมจะรอดูปลายปีนี้ ถ้าไม่เกิดก็คงเลิกจะสนใจ)

ส่วนคำทำนายในกระทู้ต่างๆที่เกิดผ่านมาแล้ว บางคนเห็นว่าตรง บางคนก็เห็นว่าไม่ตรง ขึ้นกับวิจารณญาณแต่ละคน แต่เท่าที่ผมเห็นคือส่วนใหญ่เป็นการทำนายที่เกิดจากการคิดไปเอง บางคนอาจฝันจริง ทำสมาธิแล้วนิมิตเห็นจริง แต่ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดจริง (แต่เจ้าตัวเลือกจะเชื่อว่าตรงกับความฝันของตน โดยเลือกดูเฉพาะสิ่งที่ใกล้เคียง) ส่วนบางคนอาการที่เกิดขึ้นอธิบายได้จากความผิดปกติทางสมอง หรือความผิดปกติทางจิต (เห็นภาพจริงแต่เป็นภาพหลอน ซึ่งผู้ป่วยก็ไม่รู้ตัวหรือไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย บวกกับระบบความคิดที่มีปัญหาทำให้มองว่าตัวเองเป็นผู้มีอำนาจวิเศษ)

ถามว่าสิ่งเหล่านี้เกิดได้อย่างไร ผมเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆละกัน เช่น ฝรั่งมีความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 คนไทยมีความเชื่อว่าตัดผมวันพุธไม่ดี หรือจิ้งจกทักห้ามออกจากบ้าน พอเราคอยจ้องว่าจะเกิดเรื่องร้าย เวลามีเรื่องเกิดขึ้นจริง(ซึ่งปกติก็อาจเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว)เราก็จะมองว่าความเชื่อนั้นเป็นจริงแล้วก็ยึดถือต่อมา แม้จะเป็นชาวพุทธรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่สอนให้ยึดถือสิ่งเหล่านี้แต่บางคนก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะลบหลู่เลยเชื่อไว้ก่อน

คนที่ทึกทักไปเอง คำทำนายมักกว้างๆ ไม่ระบุแน่ชัด หรือเป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดได้ตามปรกติของมัน แต่พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง กลับอ้างว่ามีรายละเอียดอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนที่ตนเห็นในฝัน (แต่ตอนทำนายตอนแรกกลับไม่เล่ารายละเอียดแบบนั้นเลย) หรือบางทีบอกรายละเอียดชัดเจนแต่พอเหตุการณ์เกิดไม่ตรงก็จะบอกว่าอนาคตคลาดเคลื่อนได้ (แล้วจะมาระบุทำไมตอนแรก)
ถามว่าอนาคตเปลี่ยนได้หรือไม่ ถ้าดูอย่างพุทธกาล พระพุทธเจ้ารู้ว่าองคุลีมารจะไปฆ่ามารดา ก็ไปดักรอ แล้วล่อให้ทำร้ายพระองค์แทน สุดท้ายก็ไม่ฆ่ามารดา (รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร รู้กาลเวลาที่จะเกิด รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่อย่างไร แบบนี้คือรู้จริง) จริงอยู่คนธรรมดาจะไปเปรียบกับพระอริยะได้ยังไง ก็ในเมื่อรู้ว่าไม่ตรงไปซะทุกอย่าง แต่พอทายผิดขึ้นมากลับไม่ยอมรับ หาเหตุผลอ้างกันไป หรือไม่กล้าจะฟันธงแต่แรกเพราะกลัวจะผิดพลาดซะงั้น

ผู้ทำนายบางคนก็เป็นพวกชอบศึกษาหาความรู้ จึงมักจะทราบแนวโน้มว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างแล้วก็มาคาดคะเนต่ออีกที

เอาง่ายๆก็ลองไปดูหนังสือใบ้หวยก็ได้ว่าตรงจริงสักกี่ครั้ง แต่คนที่เชื่อก็จะบอกว่า ถึงไม่ตรงก็ใกล้เคียง บ้างก็ว่าไม่มีใครบอกให้ตรงๆต้องไปบวก ไปลบ ไปกลับกันเอาเอง (พอมันออกตรงตามที่บอกเป๊ะๆกลับบอกว่าทายแม่นยำ - -") ส่วนการใบ้บ่อยๆจะยิ่งเก่งยิ่งชำนาญหรือไม่ ไม่รู้เหมือนกัน
(แต่ถ้าคนที่มีบุญ บุญจะช่วยให้มีปัญญาเห็นอะไรก็ตีเป็นเลข หรือว่านึกเลขอะไรแล้วถูกก็มีนะ)

สุดท้ายก็คงไม่พ้นเรื่องนานาจิตตัง วิจารณญาณของแต่ละคน ขึ้นกับว่าอยากรู้จริงมั้ย อยากพิสูจน์จริงมั้ย แบบนั้นก็ต้องมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน อย่างน้อยได้เห็นวิธีการคิดของผู้อื่นก็อาจได้ไอเดียหรือเปิดมุมมองในการพิจารณาใหม่ๆของตน ส่วนคนที่ไม่ต้องการพิสูจน์ ยินดีพอใจกับข้อมูลที่มีอยู่ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็รับรู้ไว้ด้วยว่าคนที่เขาไม่เห็นด้วย หรือต้องการพิสูจน์ความจริงก็มีอยู่ แล้วเขาก็มีสิทธิแสดงความเห็นเช่นกัน (แต่เห็นด้วยว่าต้องไม่หยาบคายหรือใช้คำรุนแรง)

 

เห็นท่านราชบดินธร เพียรพยายามเผยแพร่กาลามสูตร ของพระพุทธเจ้่า
ขอโมทนา คิดเอาเองว่า คงมุ่งหมายเตือนสติผู้คนในเวบนี้

แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลสักเพียงใด เพราะเท่าที่สัมผัสในะรยะเวลาสั้นๆ
รู้สึกว่าหลายๆคน ใช้ศรัทธานำหน้าไปแล้ว

ใครไม่เชื่อ ก็กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียสิ้น

ถูกชี้หน้าว่ากล่าว ตกนรกแหง ๆ บาปมหันต์ไปโน้น

 

.

แทบทุกอย่าง มี 2 ด้าน
มีด้านหนึ่ง ก็ ต้องมีอีกด้านหนึ่ง
เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรแปลก
แต่ ถ้ามีด้านเดียวซิ แปลก !!

คุณวิมลสิริ ถามว่าใครได้ ใครเสีย
เราคิดว่า ใคร ที่ทำนิ่งเฉยกับทั้งสองฝ่าย คือคนที่ได้
และ ใคร ที่ไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือคนที่เสีย

ใครได้อะไร เสียอะไร ก็ดูจากความรู้สึกนึกคิดซิ

 

อย่าไปอยากรู้
เรื่องของคนอื่นเขาเลย
ว่าเขาจะได้ หรือใครเขาจะเสียอะไร
ให้รู้ใจตนเองดีกว่า
ว่าตนได้อะไรบ้าง
จากการเตือนภัยพิบัติ
ลองพิจารณาเอานะ
ว่าเขาออกมาเตือนกันทำไม
ทั้งพระ ทั้งเทพ ทั้งต่างดาว ทั้งนักวิทยาศาสตร์
โลกมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ
สุดท้ายก็สลายตัวหมด
ตายกันหมด
แล้วจิตเราล่ะ
ก้าวข้ามพ้นภัยพิบัติไปได้รึยัง
จิตเราพ้นจากความกลัวตายไปได้รึยังล่ะ
เมื่อความตาย ความพลัดพราก
ความสูญเสีย เข้ามาถึงเรา
ยอมรับได้รึยัง
ธรรมชาติ เกิด ดับ
มีเท่านี้เองห้ามไม่ได้ แก้ไขไม่ได้หรอก
แต่เราห้ามที่ใจเราได้
แก้ไขที่ใจเราได้
พิจารณาเอานะ
ขอให้โชคดีทุกคน
​

 

ความเชื่อส่วนตัวนะครับ

ยุคนี้เป็นยุคแห่งการสร้างบุญบารมี
การชักชวนหรือเป็นผู้นำในการสร้างบุญใหญ่
จะมากด้วยปัญญา ทรัพย์ บริวาร
กุศลจะแรงครับ
ภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่
ขอให้มีใจสร้างบุญกุศล ก็ประเสริฐที่สุดแล้วครับ
ขออนุโมทนากับทุกท่าน
ที่เร่งสร้างบุญบารมีครับ

 

ตัวเราเองนี่แหละครับ มีทั้งได้ มีทั้งเสีย

 

การสร้างนั่นสร้างนี่ คนสร้างกับคนเรี่ยไรตัวจริงอาจจะเป็นคนละคนกันก็ได้
ตัวอย่าง ผมบอกจะสร้างโรงบาล ผมก็ไปหาที่ที่เขากำลังก่อสร้าง(กทม เยอะแยะ)
ก็ไปถ่ายไม่ให้ติดแบกกราว แล้วลงรูปให้ดู เห็นมั้ยว่าง่ายมาก

สมุดบุ๊คแบงค์ก็ไม่ยากครับ หาในเน็ตเอามีเยอะ จะเอายอดแบบไหน ง่ายอีกมั้ยครับ


ปล. ผมเล่นบอร์ดหลายที่ทั้งอบายมุขทั้งธรรมมะ เลยเจอคนทุึกประเภท
ผมยังเลวอยู่ เลยมองแต่ความเลว

 

นี่คือจุดประสงค์ในตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ
โดยส่วนตัวดิฉันเองเชื่อเรื่องภัยพิบัติ (เกิน 50%)
เพื่อเอามาพิจารณาให้เกิดปัญญา เพื่อให้ดิฉันเป็นผู้ไม่ประมาท

ส่วนเรื่องการชักชวนให้ร่วมทำบุญ
ดิฉันก็เชื่อในกุศลจิตของแต่ละท่าน
และคิดว่าเป็นประโยชน์ ทั้งต่อพระพุทธศาสนา
ต่อผู้ชักชวน และต่อผู้ร่วมทำบุญนั้น ๆ
เพราะดิฉันเชื่อในบาปบุญ
ถ้าใครหลอกลวง คนนั้นก็รับกรรมไป

แต่ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้ผู้คิดแย้ง
คิดต่าง เข้ามาแสดงความคิดเห็นในกระทู้ของดิฉัน
โดยไม่ต้องไปเสียดแทง ผู้ชักชวนทำบุญในกระทู้ของท่านอื่น
เพราะหากการทำบุญด้วยจิตอันเป็นกุศลแล้ว
ผู้ไปพูดไม่ดีต่อผู้นั้น อาจมีกรรมเพราะปรามาสได้ค่ะ

 

อืม เข้าใจเจตนาของจขกท.ละ
คำว่า ปรามาส ตามที่ผมเข้าใจคือ ดูถูก ดูแคลน ดูหมิ่น อาจจะเพราะความไม่รู้หรือจงใจทำให้เสียหายก็ตาม
ถ้านาย A รู้ว่านาย B กำลังหลอกลวงนาย C นาย A จึงกล่าวตำหนินาย B แบบนี้ก็คงไม่ใช่ปรามาสใช่หรือไม่
แล้วถ้านาย C ไปตำหนินาย A หาว่านาย A ปรามาส แบบนี้ใครผิด
ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ใครพูดจริงใครพูดเท็จ ซึ่งไม่ค่อยมีใครคิดจะหาคำตอบในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็ยึดตามความเชื่อของตน ใครขัดหรือเห็นแย้งก็เลยถูกประณามกันไป

หรือจริงๆก็ควรปล่อยไปตามเวรตามกรรม ใครโกหกก็ได้รับกรรมไปเอง เหมือนที่บางท่านบอกว่าวางเฉยดีสุด

ในความเห็นผมมองว่า ในเมื่อเป็นเวบสาธารณะ ก็น่าจะเปิดให้แสดงความเห็นได้เสรีตามกฎของบอร์ด เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเห็นขัดแย้งกันได้ และคงไม่สบอารมณ์กันบ้าง ถ้ารู้จักอภัยให้กันได้ก็ไม่มีปัญหา แต่เท่าที่เห็นคือ ห้ามคนอื่นพูดในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของตน เช่นคนที่ไม่เชื่อก็บอกให้เลิกทำนาย คนที่เชื่อก็บอกว่าอย่ามายุ่ง อย่าทำตัวเป็นมารมาขัดขวาง บางคนก็เป็นกังวลแทนคนตั้งกระทู้ กลัวเขาจะเสียความรู้สึก เลยพยายามปกป้องอย่างเดียว ซึ่งก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ถือว่ามีความเมตตา (แค่ไม่เมตตาผู้เห็นต่างเท่านั้นเอง)

 

สาธุค่ะ

แก้ที่ใจตนเอง สาธุค่ะ

 

คุณตาดำดำ กล่าวได้น่าสนใจอย่างยิ่ง หากการคิดปรามาสคือการเห็นต่างนั้น นั้นย่อมไม่ใช่สังคมประชาธิปไตย การเห็นต่างที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ความสงสัยในสิ่งที่เห็นว่าไม่ควร ไม่ใช่หลักการที่แท้จริง


ความงดงามของสังคมอยู่ที่การยอมรับความเห็นที่แตกต่าง คล้ายกับยุคหนึ่งที่มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่าโลกกลมต่างกับความเชื่อของศาสนาหนึ่งที่บอกว่าโลกแบน ก็มีผู้ที่ออกมาตำหนิว่าไม่เคารพศาสดาเช่นกัน

ด้วยความเคารพ ข้าพเจ้าไม่เคยสงสัยเลยเรื่องเงินทองเลยเพราะผลของกรรมย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้อยู่แล้ว แต่สิ่งท่่ข้าพเจ้าใคร่ครวญและสงสัยคือว่าเหล่านั้นใช่หลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธแน่หรือพระองค์ตรัส และประสงค์ให้ชาวพุทธเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ


ลองพิจารณาดูเทอดท่านผู้เจริญทั้งหลาย

ราชบดินธร

ผู้นำส่งสารแห่งปรนิมมิตวสวัตตดี

 

ล่าสุดนี่ไงครับ กระทู้ฟ้ามืด ไม่ต้องมีหลักฐานมั้ง เห็นๆกันอยู่

ที่น่ากลัวคือมีการบิ้วให้ขายบ้านขายรถ ลาออกจากงาน แล้วหนีขึ้นเหนือ ขึ้นอิสาน
คนหลงเชื่อจนหัวปักหัวปำก็คงมีบ้าง คงจะมาพูดว่าไม่มีใครเสียหาย ทำนายผิดแล้วก็แล้วกันไปคงไม่ได้ นี่ยังไม่รวมมีการหลอกใ้ห้ทำบุญอีกนะครับ เห็นไหม? เสียเงินอีก เร่องชวนทำบุญทำได้ครับ ไม่มีใครว่า ก็บอกกันตรงๆ ว่าทำบุญสร้างนั่นนี่ แต่ไม่ใช่ว่าเอาเรื่องภัยพิบัติมาโยงกับการทำบุญ เล่นกับความหวาดกลัว อย่างที่บอกบางคนขายที่ขายทาง ซื้อของมาตุนเก้อ ขอยกโพสของ iseenew ที่พูดได้ตรงจุดมาอ้างอิง

ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องภัยพิบัติ แต่ไม่เชื่อที่คนออกมาทำนาย ว่า วันนู้นวันนี้ ผมว่าเพ้อเจ้อ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดครับ ทำชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า

 

*_* แม่นแท้ *_* catt13

 

เก๊าไม่รู้ เก๊า วาง ว่าง เมา เอิ๊ก เอิ๊ก

 

ทำจิตปัจจุบันเป็นกุศลดีที่สุดค่ะ อย่าได้ร้อนใจกับภัยพิบัติเลย ที่ผ่านมาก็เคยตามติดข่าวภัยพิบัติติดอย่างงอมแงมใครท้วงติงว่าไม่จริงก็โมโหเขา สุดท้ายคนที่ทุกร้อนคือตัวเรา งานการก็ทำได้ไม่เต็มที่ สิ่งไม่ดีก็เข้ามาเพราะจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งอัปมงคล ตอนนี้หันมาสวดมนต์เจริญภาวนากับลมหายใจ การงานก็ก้าวหน้าเงินทองก็เข้ามา แต่งบ้านเปิดรับสิ่งมงคล ชีวิตดีขึ้นมากค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ ^^

 

จิตหยาบแถวบ้านผมเรียกแบบเพระาๆว่าบ้องตื้นคร้าบบบบบ

 

ต๊ายตาย ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย