กสิณ..ความรู้เบื้องต้น..วิธีฝึก..ประโยชน์ที่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ณัฐสิทธิ์, 20 กรกฎาคม 2007.

  1. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    ความรู้เบื้องต้นกสิณ
    กรรมฐานยุคใหม่
    New Meditation
    ง่ายกว่าเดิม เพิ่มอภิภายตนะ ละนิวรณ์ได้สูงสุด หยุดวัฏฏะได้แน่นอน
    The Greatest Power Meditation


    ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับผลของสมาธิ
    The beginning knowledge of concentration
    การทำสมาธิถือว่าเป็นจุดหมายหลักของผู้ที่ต้องการบรรลุธรรมในทางพระพุทธศาสนาทางตรงทีเดียว เพราะเป็นวิธีการปฏิบัติฝึกตนเพื่อให้จิตใจหลุดพ้นออกไปจากสนิมของจิตใจที่เราเรียกว่า กิเลส อันจะทำให้จิตมีความผ่องใส มีความนุ่มนวล ควรแก่การใช้ปัญญาในการพิจารณาเพื่อรู้ความจริงของโลกทั้งหมดได้อย่างแจ้งชัด ที่ประจักษ์แจ้งได้ด้วยตัวเอง (สันทิฏฐิโก) โดยไม่ต้องเชื่อตามคนอื่น

    การทำสมาธินี้ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ได้แก่การฝึกจิตให้มีกำลังเข้มแข็งที่สามารถจะนิ่งสนิทอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้นิ่งอยู่กับสมาธิ เพื่อบังคับจิตให้สงบพุ่งตรงไปทางเดียว (one way) คือ ไปทางใจอย่างเดียว สามารถตัดขาดจากการรับรู้อารมณ์ทางร่างกายทั้งหมดได้ เท่าเวลาที่ผู้นั้นต้องการ ปกติแล้วจิตของมนุษย์จะซ่านไปรับรู้อารมณ์ตามประตูการรับรู้ (ทวาร) ของมนุษย์พร้อมๆ กันทั้ง 6 ทาง คือ สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และได้ยินเสียงด้วยหู หรือได้กลิ่นต่างๆ มีการรับรู้ความเย็นความร้อนทางร่างกายได้ มีการคิดเรื่องในใจถึงความพอใจไม่พอใจไปพร้อมๆ กันได้ด้วย และแม้กระทั่งการชิมอาหารที่มีรสต่างๆ ก็สามารถทำได้พร้อมๆ กันไป

    แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การรับรู้ของสัตว์ใดๆ ก็ตาม การทำงานของจิตจะเหมือนกันทั้งหมด เพราะสัตว์ทุกชนิดมีขันธ์ 5 (Five Aggregates) เท่ากันกับมนุษย์ เพียงแต่เกิดในภพที่ต่างกันเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะจิตของมนุษย์เท่านั้น การทำงานของจิตจะวิ่งรับอารมณ์ที่มากระทบยังประตูการรับทั้ง 6 ทางนั้นสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วมาก ท่านบอกว่า จิตขณะเดียวที่รับรู้อารมณ์ที่มากระทบตัวเรา มีความเร็วกว่าอารมณ์ที่เข้ามากระทบพร้อมๆ กันทั้ง 6 ทาง ถึง 17 เท่า
    ศักยภาพต่างๆ (Potential) ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันลดลงกว่าเดิมมาก เพราะสิ่งเร้ามีมากจริงๆ ทำให้มีความอดทนในการทำงานน้อยลง มีสมาธิในการเรียนรู้ที่สั้นลง มีความจำเสื่อมลง มีความหงุดหงิดมากขึ้น พร้อมทั้งความสามารถในหลายๆด้านเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเครื่องเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทแทน ทำให้มนุษย์สบายมากขึ้น และใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเสียจนเคยชิน จนทำให้ไม่มีการพัฒนาศักยภาพภายในตัวเองขึ้นมา
    เมื่อเสวยสุขอยู่กับวัตถุจนเคยชินทำให้ไม่แสวงหาทางออกที่ถูกต้อง บางคนพอใจอยู่กับเครื่องอำนวยความสะดวกจนไม่ได้คิดถึงเรื่องของความเป็นจริง เอาแต่เพลินกับวัตถุให้หมดไปวันๆ ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามกระแสวัตถุนิยมจนลืมตัวชนิดกู่ไม่กลับแล้วก็มีจำนวนมาก
    การทำสมาธิเป็นการสร้างปัจจัยภายในอย่างหนึ่งให้กับตนเอง จะเรียกว่าพลังจิตหรือพลังภายในก็ได้ตามแต่จะเรียกกัน เพราะปัจจัยภายในอันนี้จะเป็นกำลังสำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเผาทำลายนิวรณ์ (Obstacles) หรือสนิมของจิตได้ เพราะสนิมที่เป็นนิวรณ์เหล่านี้เอง ที่เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมของมนุษย์ ทำให้จิตถูกหยุดชะงักทุกครั้งที่นิวรณ์เกิดขึ้น ทำให้ศักยภาพของมนุษย์ลดลงการเรียนไม่มีประสิทธิภาพ การทำงานไม่บรรลุผล นั่งนิ่งๆ ก็มีความหงุดหงิด ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หาความสบายได้ยาก
    การทำสมาธิ (Meditation) ที่ถูกต้อง จะทำให้จิตมีกำลังต่อต้านกับนิวรณ์ (Obstacles) เหล่านั้นได้ และด้วยกำลังของสมาธิจะสามารถเผาทำลายนิวรณ์ได้ ทำให้จิตมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ผ่าด่านอุปสรรคตัวนี้ไปได้ เป็นจิตที่มีความแข็งแกร่ง เป็นประกายมีภูมิความกันตัวเองจากอารมณ์ภายนอกได้ทุกอย่าง เรียกว่า จิตได้อภิภายตนะ (Special Resistance) คือ จิตมีภูมิคุ้มกันความบกพร่องทางอารมณ์ หรือมีภูมิคุ้มกันพิเศษทางอายตนะ ทำให้ไม่วุ่นวายใจเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ยั่วยุทั้งหลาย
    นอกจากนี้ ยังมีอานิสงส์ที่ทำให้ได้ศักยภาพอีกอย่างหนึ่ง คือ ได้สุภวิโมกข์ (Beautifully Liberation) พลังสมาธิที่มีส่วนช่วยเร่งให้มีการบรรลุธรรมได้เร็วขึ้นหรือได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะได้อารมณ์ที่สวยงามจากสมาธิภายใน
    การทำสมาธิประเภทนี้ เมื่อจิตมีการพัฒนาได้ระดับแล้ว จิตจะบริสุทธิ์ นิ่งสงบอยู่เหนือการปรุงแต่งจากสิ่งเร้าทั้งหลาย ท่านเรียกว่า จิตเป็นอาเนญชาภิสังขาร (Formation of the Imperturbable) คือ จิตที่มีความมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามแรงกิเลส ผู้นั้นสามารถอยู่ในโลกได้อย่างสบายอย่างมีความสุข ในขณะที่คนอื่นๆ มีความสับสนวุ่นวาย
    หลังจากตายแล้ว พวกนี้จะไม่ตกนรก ปิดอบายภูมิได้ เพราะอำนาจของสมาธิที่ถูกต้อง จิตจะเลื่อนระดับจากจิตที่หมกมุ่นอยู่กับโลกวัตถุและโลกแห่งกิเลสทั้งหลายขึ้นไปอยู่ในระดับจิตที่มีอารมณ์ทางสมาธิเป็นที่ยึดของจิต (รูปาวจรจิตกับอรูปาวจรจิต) มีกิเลสเบาบางลง ถ้ายังไม่บรรลุธรรมสูงสุดถึงนิพพานได้ในชาตินี้ หลังจากตายแล้วจะไปเกิดยังพรหมโลก (รูปภพและอรูปภพ - Form Sphere and Formless Sphere) ในระดับต่างๆ ตามศักยภาพความบริสุทธิ์ของสมาธิจิตที่ได้ต่างกันมากน้อยเพียงใด เมื่อดำรงชีพอยู่ในพรหมโลกจนสิ้นอายุขัยแล้วจะนิพพาน(ดับสนิท)ได้ ณ พรหมโลกนั้นเลย โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในสังสารวัฏและภพภูมิใดๆ อีกต่อไป
    ว่าที่จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมาในโลกและจักรวาลนี้ พระพุทธศาสนาสอนว่า เป็นเพียงภาพการปรากฏขึ้นของจิต (วิญญาณธาตุ- Mind or Consciousness) อย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจในตัวเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดพร้อมมูลกัน ก็ทำให้สัตว์เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีผู้สร้างให้เกิด เหมือนกับการเกิดขึ้นของเมฆและฝน หรือ ลมพายุใต้ฝุ่น เป็นต้นไม่มีพระเป็นเจ้า (God) หรือพรหมใดๆ เป็นผู้สร้างหรือบันดาลให้เกิด
    ถ้ามีปัจจัยที่จะทำให้เกิดมีอยู่ สัตว์ต่างๆก็เกิดขึ้นได้ การเกิดและการดับก็มีได้ ทั้งการเกิดและการดับต่างก็มีปัจจัยในตัวเองเป็นตัวเพิ่มพลังทำให้มีการเกิดและการดับผลัดเปลี่ยนกันไปไม่รู้จบ เหมือนรถพลังงานแสงอาทิตย์ที่วิ่งไปและชาร์ทพลังไฟอื่นเพิ่มเข้าไปในตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้รถมีพลังงานวิ่งไปได้ไม่หยุด

    ปัจจัยพลังงานสำคัญที่ทำให้มนุษย์และสัตว์มีการเวียนเกิดและเวียนตาย อยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบนี้ คือ อวิชชา(Ignorance) ความเข้าใจผิด ตัณหา (Desire) ความต้องการอยากได้ชีวิตอมตะ และอุปาทาน (Clinging) จิตที่ยึดไว้อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ยังมีเสบียงหนุนจากปัจจัยอีกอย่างหนึ่ง คือ สังขาร (ตัวนำให้ไปเกิด) คือ บุญ บาป และ สมาธิ
    ปัจจัยที่สำคัญในการทำให้สัตว์ต่างๆ เวียนไปเกิดยังภพต่างๆ และทำให้สัตว์มีความไม่เสมอภาคนั้น ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยอำนาจของปัจจัย 3 อย่าง คือ
    1. พลังบุญ (ปุญญาภิสังขาร - Moral Acts)
    2. พลังบาป (อปุญญาภิสังขาร - Sinful)
    3. พลังสมาธิ (อาเนญชาภิสังขาร - Meditation)

    สิ่งทั้ง 3 ประการเหล่านี้ เป็นตัวผลักดันให้สิ่งมีชีวิต ทั้งหลายเกิดขึ้นมาในโลกได้ แล้วเป็นตัวจำแนกให้สัตว์มีความแตกต่างกันดังที่พวกเราเห็นว่าสัตว์แต่ละตัว มนุษย์แต่ละคน เทพแต่ละองค์ มีการเกิดในลักษณะที่แตกต่างกัน มีความเป็นอยู่ มีอาหาร มีรูปร่างลักษณะ หรือ มีการดำรงชีพที่แตกต่างกัน ก็เพราะบุญ บาป และสมาธิเหล่านี้เองเป็นปัจจัยหลักทำให้ต่าง ถ้าจะพูดไปแล้วก็แต่ละคนแต่ละท่านนั่นแหละสร้างตัวเอง ไม่มีใครยัดเยียดให้

    ผู้ที่มีบุญมากเป็นปัจจัยหนุนให้ก็จะทำให้มีชีวิตที่ดีมีแนวโน้มไปในทางที่ได้รับความสุขสบายมาก มีปัจจัยในการดำรงชีพอย่างพร้อมมูลสะดวกสบาย มีคนคอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระอยู่ตลอดเวลา มียศตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ดำรงตนอยู่ด้วยความสุขสบายท่ามกลางหมู่ญาติมิตรบริวารและบุตรหลาน มีคนจำนวนมากให้เกียรติยกย่องนับถือยำเกรง เป็นที่หวังพึ่งของคนทั่วไป และมีอาหารสมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง

    ผู้ที่มีบาปมากเป็นปัจจัยหนุนส่งให้มาเกิด ก็จะมีแนวโน้มไปในทางได้รับความทุกข์มาก หรือมีความทรมานมาแต่กำเนิด เช่น มีอวัยวะพิกลพิการต่าง ๆ หรือมีอาหารปัจจัยการดำรงชีพที่ฝืดเคืองแร้นแค้นอดอยาก หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นวัว ควาย สุนัข แมว เป็ด ไก่ ปู หรือปลา เป็นต้น ซึ่งเป็นสัตว์ที่ต้องดิ้นรนต่างๆ ทั้งในการแสวงหาอาหารเลี้ยงตัวเอง ในขณะเดียวกันก็คอยหลบหลีกซ่อนตัวหลีกหนีจากภัยต่างๆ ที่จะมีมาจากสัตว์ที่ใหญ่กว่าซึ่งคอยจ้องจะกินตัวเองเป็นอาหารอยู่ด้วยพวกที่มีบาปส่งให้มาเกิดนี้จะหาความเจริญใด ๆ แทบไม่ได้เลย

    ส่วนพวกที่มีพลังจิตจากฌานสมาธิเป็นปัจจัยส่งให้ไปเกิด พวกนี้จะไปเกิดในภพภูมิที่เบาบางจากกิเลสมากและเป็นสุขมากกว่าพวกที่ได้บุญและบาปเป็นปัจจัยส่งให้เกิดหลายเท่านัก ภพที่พวกได้พลังจิตจากฌานสมาธิเป็นปัจจัยส่งให้นี้ จะไปเกิดในพรหมโลกด้วยอำนาจของฌาน โดยมีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีในตัวเอง ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ พวกนี้เรียกว่า พรหม ซึ่งจะมีทั้งพรหมประเภทที่มีร่างกายตัวตน คือ รูปพรหม และ พรหมที่มีแต่สภาวะจิตอย่างเดียวไม่มีรูปร่างปรากฏให้เห็น คือ อรูปพรหม ซึ่งการจะเกิดเป็นพรหมชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับพลังของฌานสมาธิแบบไหนจะส่งให้ไปเกิด

    ประการสำคัญที่สุด คือ ถ้าผู้นั้นเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานสมาธิในพระพุทธศาสนา เมื่อสิ้นอายุขัยในพรหมโลกแล้วจะสามารถนิพพานได้ในพรหมโลกนั้นเลย ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ( Wheel of Rebirth) อีกต่อไป เป็นการสิ้นทุกข์อย่างถาวรในพรหมโลกนั้นเอง เพราะโซ่ตรวนแห่งกิเลสที่หนักๆ ถูกตัดทิ้งไปได้แล้ว
    การที่มนุษย์และสัตว์ต่างๆ เป็นไปตามผลของบุญ บาป และสมาธิของตัวเองเป็นปัจจัยส่งให้ไปเกิดตามที่กล่าวมานี้ มนุษย์จึงควรเลือกวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด ซึ่งจะมีผลส่งให้ตนเองดำรงชีพอยู่ด้วยความเป็นสุขอยู่ได้ทั้งในปัจจุบันและที่จะส่งผลต่อไปในอนาคตด้วย
    ชีวิตในสังสารวัฏนี้ยาวนานหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่พบ ความเป็นอยู่ในสังสารวัฏของแต่ละคนขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ตัวเองเป็นผู้สั่งสมไว้ทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกทำเฉพาะปัจจัยที่จะก่อให้เกิดสุขที่เป็นผลดีแก่ตนเองดีกว่าทำปัจจัยที่ไม่ดีอันจะนำทุกข์มาให้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

    การเจริญสมาธิ จนสามารถทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิจนถึงขั้นที่เรียกว่าฌาน (Absorption)ได้นี้ เป็นปัจจัยที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับบุญและบาป เพราะสมาธิสามารถทำให้เกิดพลังฌานสมาธิได้สูงสุด อันจะเป็นปัจจัยส่งให้ไปเกิดในภพที่เบาบางจากอกุศลกรรมและพัฒนาจิตต่อไปจนถึงการสิ้นทุกข์ คือ นิพพาน หรือ ปรินิพพาน (Extinction)ได้ในที่สุด (หรือ Nirvana ..ผู้โพสต์)
    การฝึกสมาธิจนจิตสงบจะทำให้นิวรณ์ (อุปสรรคของการบรรลุธรรม) ต่างๆ หมดไป จากนั้นจิตจะมีการพัฒนาสูงขึ้นไปจนถึงมรรคผลและนิพพานในที่สุด อันเป็นการสิ้นทุกข์อย่างถาวร เพราะหมดปัจจัยที่จะก่อให้เกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีกแล้วจึงดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ
    สรุปว่า พลังอำนาจที่นำเราให้ไปเกิดและท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้ มีความเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เปรตบ้าง ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง และ เป็นพรหมบ้าง ต่าง ๆนานาเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากอำนาจของบุญบ้าง บาปบ้าง และ ฌานสมาธิบ้าง เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งให้ไปเกิด ไม่มีอำนาจพิเศษนอกเหนือจากนี้
    พลังความดีความชั่วในตัวเราเองเป็นตัวก่อให้เกิดเราขึ้นมา ถ้าความชั่วมากก็จะส่งไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าความดีมากก็จะส่งไปเกิดในสุขคติภูมิ แต่ถ้าพลังฌานสมาธิมากก็จะส่งให้เปลี่ยนไปเป็นพระอริยะเจ้าและนิพพานได้ในชาตินี้ หรือเป็นพระอริยะบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งที่จะกลับมาเกิดได้อีกอย่างมากที่สุดไม่เกิน 7 ชาติแล้วจะนิพพานได้เช่นกัน หรือจะส่งให้ไปเกิดเป็นพรหมแล้วนิพพานในพรหมโลกนั้นเลยก็ได้ ทั้งหมดนี้เกิดมาจากสมาธิเป็นปัจจัยสำคัญ

    ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจความจริงอย่างนี้แล้ว จึงควรเลือกสรรปฏิบัติให้ถูกวิธีที่จะเป็นปัจจัยส่งผลให้เป็นไปตามที่ตนต้องการได้ คือ ทำเหตุให้สมบูรณ์แล้ว ผลจะงอกงามขึ้นมาเองตามเหตุที่สร้างสมไว้ ตัวเราเองสามารถที่จะเลือกเกิดก็ได้ เลือกดับก็ได้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการอบรมจิตเป็นสำคัญ

    (มีต่อ..ครับ)
    http://www.kasina.org
     
  2. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    (ต่อ..นะครับ)
    กสิณ คือ อะไร?


    กสิณ แปลว่าวัตถุสำหรับดึงจิตให้เป็นสมาธิ
    กสิณเป็นกรรมฐานสำหรับฝึกจิตด้วยวิธีเพ่งมองและหลับตานึกสลับกัน ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะจิตจะสนใจอยู่กับกสิณที่เพ่งมอง เมื่อหลับตาลงจะเห็นภาพนิมิตของกสิณนั้นติดตามาด้วย ถ้าฝึกบ่อยๆ นิมิตจะปรากฏเด่นชัดมากยิ่งกว่ากสิณจริงเป็น100ๆ เท่า ผู้เพ่งกสิณจิตจะไม่ฟุ้งซ่านและไม่ง่วงนอนในเวลาทำสมาธิเพราะจิตมีกสิณเป็นตัวยึด

    วิธีทำกสิณ
    วิธีทำกสิณต้องทำเป็นวงกลม ได้ขนาดพอดี มีความละเอียดและข้อกำหนดบางอย่างยุ่งยากพอสมควร ถ้าทำไม่ถูกก็อาจกลายเป็นกสิณมีโทษไป ก่อนทำควรศึกษาให้ดี วัตถุที่ทำเป็นกสิณได้มี 10 ชนิด คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ภูตกสิณ 4 ชนิด) สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว (วรรณกสิณ 4 ชนิด) แสงสว่าง และอากาศ

    วิธีการเพ่งกสิณ
    นั่งห่างจากแผ่นกสิณ 1 เมตรเพ่งมองไป ณ จุดกึ่งกลางแผ่นกสิณชั่วขณะหนึ่งแล้วหลับตาลงนึกภาพกสิณนั้น ถ้าจิตเป็นสมาธิจะเห็นภาพของกสิณผุดขึ้นมาในใจเป็นสีตรงข้ามกับแผ่นกสิณจริง เมื่อภาพนั้นหายไปให้ลืมตาขึ้นมาเพ่งมองใหม่แล้วหลับตาลงนึกภาพกสิณอีกสลับกันไปเช่นนี้ จนกว่าจะเห็นภาพกสิณนั้นเป็นสีเดียวกันกับสีที่เพ่ง จึงหยุดการเพ่งแล้วฝึกเข้าฌานเพื่อทำวิปัสสนาญาณให้เกิดต่อไป

    คำสมาทานกสิณ
    *****
    ตั้ง นะโม
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)


    อิมาหัง ภันเต ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายตัวแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

    กะสิณะปะริกัมมัง สะมาทิยามิ อุคคะหะนิมิตตัญจะ
    ปะฏิภาคะนิมิตตัญจะ มัยหัง สัญญายะ นิพพัตเตยยุง
    ณ โอกาสบัดนี้ ข้าพเจ้าขอสมาทานเอา ซึ่งการบริกรรมกสิณ ขอให้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต พึงบังเกิดขึ้นในขันธสัญญาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตั้งสติกำหนดไว้ที่ดวงกสิณ เพ่งมองรู้ หลับตานึกรู้ 3 หนหรือ 7 หน 100 หนหรือ 1000 หน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญ


    ประโยชน์ของกสิณ

    1.เบรกอารมณ์ตนเองได้โดยอัตโนมัติเมื่อถูกกระทบ(อภิภายตนะ)
    2.ทำให้จิตเร็วต่อการรับรู้และมีความทรงจำดี
    3.มีสมาธินิ่งอยู่กับสิ่งที่ทำได้นานเท่าที่ต้องการ
    4.ทำฌานได้สูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา
    5.พัฒนาความคิดทำให้เกิดปัญญาเฉพาะตัวขึ้นมาได้เอง



    อภิภายตนะ คืออะไร?
    เกิดจากอะไร?
    อภิภายตนะ หมายถึง ภูมิคุ้มกันความบกพร่องทางอารมณ์ ผู้มีอภิภายตนะสามารถเบรกอารมณ์ได้ก่อนที่จะถูกอารมณ์ยั่วยุให้ลุ่มหลงไปตาม เหมือนวัคซีนป้องกันความบกพร่องทางจิต
    อภิภายตนะ เกิดจากการฝึกสมาธิด้วยกสิณสี คือสีแดง สีเขียว สีเหลือง และสีขาว เท่านั้นและกสิณดินบ้างนิดหน่อย(ปริตตะ)ไม่เกิดจากกรรมฐานอื่นนอกจากกสิณ 4 สีเหล่านี้

    นัตถิ ฌานัง อะปัญญัสสะ นัตถิ ปัญญา อะฌายิโน
    ตัมหิ ฌานัญจะ ปัญญัญจะ นิพพานะสันติเก

    ฌานไม่เกิดกับคนไม่มีปัญญา ปัญญาก็ไม่เกิดกับคนไม่มีฌาน
    ผู้ใดมีฌานและปัญญา ผู้นั้นได้อยู่ใกล้นิพพาน


    พราหมโณ ฌายี ตะปะติ

    นักพรตผู้มีฌานจึงรุ่งเรือง มีตบะกล้าในหมู่สมณะ

    ถ้าท่านปฏิเสธฌาน ญาณจะเกิดได้อย่างไร
    เพราะฌานเป็นเหตุ ญาณเป็นผล
    นั่นคือสมถะเป็นเหตุ วิปัสสนาเป็นผล

    เย ธัมมา เหตุปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต.
    ผลทุกอย่างเกิดจากเหตุ เมื่อต้องการผลก็ต้องสร้างที่เหตุ
    ถ้าค้นหาสาเหตุเจอ สถานการณ์ต่างๆ ก็แก้ไขได้ นะจ๊ะ

    อยากเรียนเก่งต้องเพ่งกสิณ
    พระพุทธศาสนาจะยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อพลังกสิณกลับมา
    พระพุทธธรรมจะล้ำค่า เมื่อพวกเรามาเพ่งกสิณ
    พระอริยสาวกจะไม่สูญสิ้น เมื่อกสิณกลับมา
    เหล่าพุทธบริษัทจะไม่ไร้ค่า เมื่อกลับมาเพ่งกสิณ
    ที่มา : http://www.kasina.org/content/view/27/34/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2007
  3. virot05

    virot05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,679
    ดีมากครับ ทำให้รู้อะไรได้เยอะมากเลยครับ อนุโมทนาบุญด้วยขอรับ
     
  4. kaenlukson

    kaenlukson เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ

    ทาน ศีล สมาธิ(verygood)
     
  5. norasit114

    norasit114 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +117
    อนุโมธนาบุญด้วยครับได้อะไรมากขึ้นอีกหลายอย่างเลยครับ
     
  6. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    (verygood) (verygood) (verygood) บทความมีประโยชน์มากเลยครับ ขออนุโมทนาสาธุๆๆครับ(f) (f) (f)
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,702
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,016
    wowwwwww
    greeeeeeeeeed
    ได้เว็บร่วมอุดมกาณ์ทางอภิญญา อุบัติขึ้นมามาอีกหนึ่งแห่ง

    ลองไปดู vdo นี้
    http://www.kasina.org/content/view/35/34/
     
  8. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ขอเชิญร่วมฝึกกสินที่ วัดยานนาวา ทุกวันอาทิตย์ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ขอเชิญร่วมฝึกกสิณที่วัดยานนาวา </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"></TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"></TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="70%" colSpan=2>Written by Administrator </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>Monday, 28 August 2006

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>สถานที่ฝึกสมาธิกสิณ
    อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ อาคารไททีวีเพื่อพระพุทธศาสนา
    ชั้น 3 วัดยานนาวา สาทร กรุงเทพ

    เปิดฝึกอบรมเพ่งกสิณพร้อมมีอุปกรณ์กสิณไว้ให้ฝึก (ผู้มีแผ่นกสิณไม่ต้องนำติดตัวไป) ปกติทุกวันอาทิตย์ และโอกาสพิเศษครั้งละ 2 วัน (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)

    สอบถามรายละเอียด โทร.01-448-5277, 02-212-6480
    เวลาฝึกอบรม 13.00 น. - 17.00น. เฉพาะวันอาทิตย์

    ผู้ฝึกสอน
    พระครูอนุศาสน์สุธรรมนันท์ พระครูสมุห์อุดม ปุญญกาโม
    พระมหาสมบัติ ญาณวโร ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์

    เส้นทางไปวัด รถเมล์สาย 1, 15, 17, 35, 75, 163, ปอ. 4, 504, ปอ.พ. 20
    รถไฟฟ้า BTS สถานีตากสิน
    เรือโดยสาร ท่าเรือสาทร
    (วัดยานนาวาอยู่ติดสะพานตากสิน/สาทร ติดกับห้างโรบินสันบางรัก)



    งานปฏิบัติธรรมเพ่งกสิณเฉลิมพระเกียรติ 2-3 มิย 2550 ที่ผ่านมา


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www.kasina.org<!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. kobporn

    kobporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +782
    การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง

    อนโมทนาสาธุค่ะ
     
  10. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    อ้อ....ลืมบอกไป 2 อย่างครับ
    1.การที่จะเลือกฝึกกสิณกองใดนั้น ควรจะเลือกให้เหมาะกับจริตนิสัยของตนด้วย เพื่อเป็นการลดกิเลสอนุสสัยในตัว แลเป็นการเพิ่มกำลังใจแก่ตนและส่งเสริมให้มีความก้วหน้าในกรรมฐานกองนั้นๆ
    จริตมี ๖ ประเภท ครับ คือ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2007
  11. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จริตมี ๖ ประเภท ดังนี้ครับ <o:p></o:p>
    ๑. ราคะจริต สภาวะจิตที่ลุ่มหลงในกามคุณทั้ง๕ / ชอบของสวย หอม งาม เพราะ/ เพ้อฝัน / มีมาด
    ๒. โทสะจริต สภาวะจิตที่โกรธง่าย / ขี้ยั๊วะ/ ฉุนเฉียวง่าย / พูดผิดหูเดี๋ยวเจอดี / เจ้าระเบียบ / ตรงไปตรงมา / ประณีตสะอาด
    ๓. โมหะจริต สภาวะจิตที่มักง่วงเหงาหาวนอน / ซึมเศร้าเป็นอาจิณ / พูดนิ่มๆ อ่อนโยน / อารมณ์เฉยๆไม่ค่อยโกรธ /ไม่ชอบสุงสิงกับใคร / ขาดจุดมุ่งหมาย / ไม่มุ่งมั่น
    ๔. วิตกจริต สภาวะจิตที่ชอบกังวล สับสนวุ่นวาย ฟุ้งซ่านทุกลมหายใจ / พูดน้ำไหลไฟดับ / มองโลกในแง่ร้าย กลัวคนอื่นเอาเปรียบ / ไม่ค่อยยิ้ม / อัตตาสูง / อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง / ผัดวันประกันพรุ่ง
    ๕. ศรัทธาจริต สภาวะจิตที่ชอบอิงหลักการ / ปรัชญาความเชื่อ / ย้ำคิดย้ำทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ / คิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรี กว่าคนอื่น / พูดมีหลักการจริงจัง
    ๖. พุทธิจริต สภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาไตร่ตรอง / หาเหตุผลมาแก้ปัญหา / สนใจการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ พร้อมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจากตน / ไฝ่เรียนรู้ช่างสังเกตุ / เมตตา ไม่เอาเปรียบคน / หน้าตาผ่องใส / ตาเป็นประกายไม่ทุกข์ไม่ร้อน
     
  12. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ร่วม [​IMG] อนุโมทนาบุญด้วยครับ.^./|\.^. [​IMG]
     
  13. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    ขอถอดความจากเทปคำบรรยายของ พระกิตติวุฑโฒ เรื่อง การฝึกกสิณ ตามแนวทางคัมภีร์วิสุทธิมรรค ม้วนที่ ๑๐ (ที่หลวงพ่อกิตติวุฑโฒ ท่านได้เทศนาบรรยายไว้ ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) ณ มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย วัดมหาธาตูฯ ท่าพระจันทร์ และบางส่วนคัดมาจากหนังสือ จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ของ ดร.อนุสรณ์ จันทพันธ์ และดร. บุญชัย โกศลธนากุล สรุปความรวมกันได้ดังนี้ครับ


    พวกราคะจริต ส่วนมากเป็นพวกเทวดาจุติ ตายลงมาจากสวรรค์ เคยเสพแต่ของเลิส ของสวยงาม เต็มไปด้วยเบญจกามคุณ พอมาเกิดเป็นมนุษย์จึงเคยชินนิสัยเดิม ควรฝึกอสุภกรรมฐานเป็นอารมณ์ เผื่อถอดถอนพลังแห่งความลุ่มหลงที่ติดยึดกับสิ่งเย้ายวน ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในธาตุขันต์ทั้ง ๕ เห็นความสกปรกเหม็นเน่า น่าเกลียดน่ากลัวในสังขาร
    <O:p
    พวกโทสะจริต นั้นเคยอยู่ในนรกมาก่อน ถูกทรมานจากไฟนรก มีอารมณ์หม่นหมอง ดุร้าย หยาบคาย ต้องสร้างบรรยยากาศรอบตัว เช่นบ้านหรือ ที่ทำงานให้รื่นรมย์สบายตา สะอาด สงบ จิตจึงจะได้เยือกเย็นลง
    ควรเจริญเมตตาตามหลักพรหมวิหาร ๔ หรือ ฝึกวรรณกสิณ หรือกสิณที่มีสี เช่น สีเขียว สีแดง สีเหลือง และสีขาว

    พวกโมหะจริต นั้น อดีตชาติเป็นเดรัจฉานภูมิก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ ขาดปัญญาวินิจฉัยด้วยตนเอง มีแต่ความลุ่มหลง จึงควรฝึกกสิณที่มีลักษณะหนาโต ที่ปรากฏชัด เช่น กสิณดิน ที่มีดวงหนาๆโตๆ จิตจึงมีสมาธิได้ไว หรือไม่ก็ ฝึกสติในหมวดมหาสติปัฎฐาน ๔ ให้กลับกลายเป็นคนมีสติรู้เนื้รู้ตัว จิตใจสดชื่นเบิกบาน เลิกเศร้าหมองเป็นอาจิณ
    <O:p
    พวกวิตกจริต ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ ไม่สามารถควบคุมตนเองว่าจะคิดอะไรดี ในเวลาไหน และคิดไปทำไม ไม่สามารถแยกแยะโลกแห่งความเป็นจริงจากโลกที่ตัวเองคิดขึ้นมาได้ จึงควรฝึกอาณาปานสติ ดูลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายความฟุ้งซ่าน ลดอัตตา ตัวกู ของกู

    พวกศรัทธาจริต ชอบหูเบาเชื่อคนง่าย ควรพิจารณาหลักธรรมในกาลามสูตร เพื่อพัฒนาความมีเหตุมีผลเหนือความเชื่อ เลิกมองโลกแบบสุดโต่งที่เป็นสีขาว หรือสีดำล้วนๆ เพราะความจริงในโลกมีสองด้านคู่กันเสมอตามหลักโลกธรรม ๘
    <O:p
    พวกพุทธิจริต นั้นความเป็นผู้รู้มากอ่านมาก ชอบแสวงหาความรู้จึงก่อให้เกิดอัตตา ตัวกูของกู อยู่มาก อะไรๆก็ยึดหลักการและเหตุผล แต่ไม่รู้จักเลือกและนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน ครอบครัวและสังคม คนกลุ่มนี้จึงควรยึดหลักเมตตาธรรมและอาณาปานสติ

    หมายเหตุ คนทุกจริตสามารถฝึก อาณาปานสติได้เป็นเบื้องต้นเหมือนกัน เพราะลมหายใจนั้นมีอยู่กันทุกคน (อาณาปานสติ แปลว่า การมีสติตลอดทุกขณะลมหายใจเข้า-ออก) เป็นกรรมฐานกองที่ไม่มีโทษ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ และสถานที่
    <O:p
    2.การที่จะระบุว่า ใครจัดอยู่ในจริตประเภทใดนั้น ก็มีแต่

    1. ตัวของเราเองเท่านั้นที่จะรู้ตัวเองดีว่ามีความโน้มเอียงไปทางจริตประเภทใด (บางทีก็เป็นจริตผสมรวมกัน 2-3 ประเภท เพราะเคยเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดวนเวียนในภูมิต่างๆสลับไปมา ก็มีบ้างที่เคยอยู่ในภูมิเดรัจฉาน ภูมิเทวดา หรือภูมิสัตว์นรก มานานๆ แล้วเพิ่งจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ พวกนี้จะมีจริตเดิมที่ชัดแจ้งแยกแยะง่าย )

    2. ผู้เป็นพระอริยเจ้าที่มีเจโตปริยญาณ ซึ่งท่านสามารถบอกได้ว่าเรามีจริตแบบใด ควรฝึกกรรมฐานกองใดจึงจะเหมาะเฉพาะตน อาจารย์กรรมฐานทั่วไปไม่สามารถบอกเราได้ นอกจากว่า เราจะไปอยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์ท่านนั้นนานๆ ให้ท่านสังเกตุอากัปกิริยาอาการของเรา เช่น การเดิน การกิน การพูด และท่าทางนิสัยของเราเท่านั้น<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2007
  14. kaewta77

    kaewta77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +627
    ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตล์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ของทันตแพทย์สม สุชีรา เขาบอกว่า ทางที่จะไปพระนิพพานมีทางเดียวคือจากชั้นของโลกมนุษย์เท่านั้น ความจริงแล้วเป็นอย่างไร ผมอยากรู้ครับ(สับสน)
     
  15. ช่อม่วง

    ช่อม่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +313
    ขอบคุณมากมายค่ะ ได้ ความรู้ อีกเพียบ
     
  16. ณัฐสิทธิ์

    ณัฐสิทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,916
    ตอบคำถามคุณ kaewta77<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_627205", true); </SCRIPT> ครับ...

    เพราะมนุษย์เราเป็นภพภูมิเดียวที่มีครบทั้งขันธ์
    คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ซึ่งขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือในการประกอบความดี และความชั่ว บุญและบาป

    ส่วนภพภูมิเทวดา มีขันธ์เพียง ๔ ขันธ์เท่านั้น
    ไม่มีรูปกายหยาบในการสร้างกรรมทางกาย วาจา

    กายหยาบหรือรูปขันธ์ตัวนี้เปรียบเหมือน Medium คือ ตัวกลางที่จะส่งผ่านจากความคิดเป็นการกระทำ
    เทวดาอยากจะสร้างวิหารทานสร้างกุฎี ถวายเสนาสนะ สร้างส้วม
    อยากทำโรงทานแจกข้าวแจกน้ำชาวบ้าน
    อยากทำธรรมทานแจกหนังสือธรรมะ
    อยากทำสังฆทานกับหมู่สงฆ์
    อยากให้วิทยาทานความรู้กับชาวบ้าน
    และทานหมวดอื่นๆแบบมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงหรือ Junk Foods แบบเราๆท่านๆ

    ก็ทำแบบมนุษย์ไม่ได้ เพราะเหตุที่ไม่มีรูปขันธ์นี้แหละ


    (อ้อ.. จะมีก็แต่คอยอนุโมทนาบุญกับมนุษย์บางคนที่ฉลาดและใจบุญ ที่แผ่ส่วนบุญให้เหล่าเทวดานั้นๆ หรือก็อาจคอยดลจิตดลใจให้มนุษย์ที่เคยเป็นญาติกันหรือมีบุญสัมพันธ์กันมาในอดีตชาติให้ประกอบกรรมดี ชี้ช่องทางสร้างบญ อันนี้จะเข่าข่ายเทพสังหรณ์ ที่เทพดามาบอกเหตุล่วงหน้า แก่มนุษย์ ในยามหลับงัวเงียใกล้รุ่ง หรือเป็นภาพนิมิตขณะจิตเป็นภวังค์ คือจิตสงบลงในเวลาภาวนาเฉียดสมาธิ ถ้าไม่มีสติกำกับตอนนี้ก็หลับคร่อก คอพับน้ำลายยืดเปียกต้นคอล่ะครับ อิๆๆ )

    เทพดามีแต่กายละเอียดที่เป็นกายทิพย์ ซึ่งเหมือนเป็นรูปของพลังงานโปร่งแสง มนุษย์เราทั่วไปไม่สามารถสัมผัสด้วยมือ หรือตาเนื้อได้ ยกเว้นจะสัมผัสด้วยใจขณะจิตเป็นสมาธิในบางคน หรือสื่อสารกันทางจิตสัมผัสเช่นผู้ที่มีอภิญญาทั้งหลาย
    เทวดา คือมนุษย์ที่เคยสร้างคุณความดี สร้างบุญกุศล มีศีล๕ เป็นปกติอย่างต่ำ จิตขณะจะตายจากโลกมนุษย์ทรงสภาพเป็นกุศล คือนึกถึงบุญกุศล ความดีที่เคยทำมา รักษาใจให้แช่มชื่นเบิกบาน พอวิญญาณออกจากร่างก็จะไปสู่เรือนทิพย์วิมานของตนที่เป็นผลจากบุญกุศลที่ตนสั่งสมมาตลอดชีวิต ซึ่งจะมีความประณีตวิจิตร ใหญ่โต สวยงามแตกต่างกันไป พร้อมกับรัศมีเปล่งประกายรอบกายเทวดาแต่ละองค์ก็สว่างะต่างกันไปด้วย
    เทวดาจะดำรงสภาวะทิพย์ของตนด้วยบุญกุศลดั้งเดิม เทวดาที่สั่งสมคุณความดีในสมัยเป็นมนุษย์ไว้มาก และมีกุศลกรรมบท ๑๐ มีการสร้างทานในหลายหมวดครบถ้วน ก็จะมีอายุทิพย์ยาวนานและไม่มีคำว่าขาดแคลนในทุกอย่าง แต่เนื่องจากอย่างไรเสียก็ยังอยู่เพียงขั้นกามาวจรภูมิ คือ ยังเกี่ยวข้องด้วยกามวิสัย สภาพภูมิจิตภูมิธรรมยังไม่ถึงขั้นละสังโยชน์ ทั้ง ๑๐ และยังไม่สิ้นกิเลสอาสวะ พอหมดอายุขัยของเทวดา ก็ต้องจุติ( แปลว่าตาย)จากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และมีความเป็นไปของชีวิตตามเศษของกรรมที่ยังเหลืออยู่ เทวดาบางองค์พอหล่นจากสวรรค์ก็ลงไปสู่นรกก็มีเพราะเศษกรรมสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ยังไม่ได้ชดใช้แก่เจ้ากรรมนายเวรนั่นเอง (พวกที่สร้างบุญและสร้างบาปคละเคล้ากันไปจะเข้าข่ายนี้ล่ะครับ)
    ส่วนพวกรูปพรหม และอรูปพรหม ท่านมีแค่ขันธ์เดียว คือ วิญญาณขันธ์ (มีอุเบกขารมณ์ขณะจิตวิญญาณออกจากร่างกายขณะตายจากความเป็นมนุษย์) จะมีอายุยืนยาวนานมากๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นรูปพรหม สุดท้ายท่านก็ต้องจุติจากสวรรค์ชั้นพรหมโลกมายังแดนมนุษย์อยู่ดี แต่คงเป็นหมื่นๆปีหรือมากกว่านั้นตามกำลังฌาณที่ท่านทรง
    จะมีก็แต่อรูปพรหมเท่านั้นที่ไม่ต้องมาเกิดในวัฏฏสงสาร ท่านสามารถบำเพ็ญบารมีธรรมต่อไปจนบรรลุนิพพานได้ แต่ต้องเป็นท่านผู้อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมตั้งแต่ชั้นสุทธาวาสขึ้นไปนะครับ (อันนี้พระอริยเจ้าสมัยปัจจุบัน ท่านก็กล่าวรับรองเช่นกันครับ)
    นี้คือเหตุว่า....ทำไมมนุษย์จึงเป็นภูมิพิเศษที่สามารถบรรลุธรรมวิเศษถึงขั้นไปสู่นิพพานได้

    ให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากพระไตรปิฎก
    จากพระสูตรต่างๆที่กล่าวถึง นรกสวรรค์ หรือที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิพระร่วง และ พระมาลัยโปรดสัตว์นรก ก็จะมีปรากฎเช่นกันครับ

    มีของฝากแถมท้าย

    1. สภาพจิตของคนเราเวลาจะตายนี่..สำคัญมั่กๆ

    มันเหมือนจรวดที่ตั้งฐาน

    ถ้านึกถึงกุศลที่ทำก็ดี ตายแล้วขึ้นสวรรค์
    เหมือนตั้งฐานจรวดดี เอาหัวจรวดพุ่งขึ้นฟ้า...ยิงไปสู่ท้องฟ้า
    แต่ถ้านึกถึงอกุศลที่ทำ ตายแล้วก็ลงนรก
    เหมือนพิเรนท์ตั้งเอาฐานชี้ฟ้า เอาหัวจรวดปักลงดิน....ยิงมุดลงใต้ดิน.....

    เผอิญบนโลกยุคนี้ มีแต่คนพิเรนท์....ค่อนโลก ( กึ๋ยส์ส์ )

    2. ขึ้นชื่อว่า ความชั่ว แล้ว... อย่าทำเลยเสียดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2007
  17. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  18. kib_jang

    kib_jang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,452
    ฝึกง่ายนิดเดียว
    ไม่ยาก จะยากก็ตรงที่ไม่ยอมฝึก
    ไม่ตั้งใจฝึก ใจไม่นิ่ง
     
  19. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนาสาธุกับ ทุกๆท่านที่มีจิตเป็นกุศล ข้าพเจ้าต้องหาเวลาไปฝึกบ้างแล้ว
    เพียงแต่ตอนนี้ ติดภาระกิจ สอนศิลปะ เด็กพิเศษ ติดต่อกัน 9ครั้งในวันอาทิตย์
    หมดภาระกิจแล้ว อยากไปฝึกที่วัดยานนาวามาก ตั้งใจไว้ว่าไปแน่
    ขอบคุณสำหรับข้อมูล และการสนทนาธรรมนะค่ะ ที่จริง อยากลองฝึกที่บ้าน
    แต่แผ่นกสิน นี้ ยังหาไม่ได้ ให้ครูบาอาจารย์สอนดีกว่าจะได้ไปไวไว
    ไม่ต้องลองผิดลองถูก ในระหว่างนี้ก็คง ฝึกให้จิตสงบไปก่อนแล้วกันค่ะ
     
  20. พรหมฤทธิ์

    พรหมฤทธิ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +67
    ในความเป็นจริงของมนุษย์ใน 1 วัน มีอารมณ์แปรปรวนมาก ยากที่จะรู้ได้ว่าจริตแต่ละคนเป็นอย่างไร โทสะ โมหะ หรือราคะ วิธีเรียนลัดก็คือ จัีบอารมณ์ ณ เวลานั้น ว่าเป็นอย่างไรก่อน เช่นดับโทสะใช้สีแดง แต่ปัญหาก็คือจะเอาสีแดงจากไหน ลป.ลพ.บางองค์ท่านใช้วิธีพิจารณาสีจากเลือดในกายตนเองก็ใช้ได้ หรือการใช้กสิณลม ท่านให้เอาลมที่ปะทะต้องกายแผ่วๆ เช่นเปิดพัดลมมาที่ร่างกายเบาๆ แล้วจับเอาอาการลมปะทะเป็นอารมณ์ ก็ใช้ได้ ยามจิตเป็นสมาธิ อะไรๆ ข้างตัวใช้เป็นอารมณ์ได้หมด แม้กระทั่งความร้อนในร่างกาย ก้ยังเป็นกสิณไฟได้ ไม่ต้องไปหาบริขารอื่นให้ลำบาก....จิตรวมลงสมถะทุกอย่างจบเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...