จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กิเลสหมดไปจากใจ ความจริงเป็นเช่นไร​

    > Date: Wed, 30 May 2012 00:50:52 +0700
    >
    > พี่เพ็ญ พี่ดัชนี ครับ
    > สวัสดีค่ะ คุณนกชาย
    > นี่แหละหนอ ปัญญาของท่าน
    > มีความรู้อย่างนึงเกิดขึ้นมาในจิตของผม
    > คำพูดที่ว่า "กิเลสหมดไปจากใจ" หรือ "เอาชนะกิเลสในใจได้แล้ว"
    >
    > แท้ที่จริงความหมายไม่ใช่ตามที่ตัวอักษรมันว่าไว้
    > มันมีนัยเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ว่าอธิบายด้วยคำหรือประโยค (ภาษาสมมุติ)
    > เหล่านี้มันเข้าใจง่ายกว่า
    >
    > 1. กิเลสหมดไปจากใจ จริงๆ
    > แล้วมันคือการที่จิตของเราอยู่เหนืออำนาจของกิเลสทั้งปวงได้แล้ว แต่กิเลสก็ยัง
    > คงมีอยู่ เพราะกิเลสคือขันธ์ ๕ ตราบใดที่จิตของเรายังคงอาศัยอยู่ในขันธ์ ๕
    > ตัวนี้ เราก็ยังคงอยู่ร่วมกับกิเลสต่อไป
    > แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนเพราะมันต่างคนต่างอยู่
    > กิเลสไม่สามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้อีกต่อไป อย่างนึงที่ผมสังเกตเห็นก็คือ
    > กิเลสไม่ได้หายไปเลยเสียทีเดียว มันยังมีอยู่บ้างที่แวะๆ เวียนๆ มาทักทาย
    > แต่จิตก็มิได้ถูกกระทบแต่อย่างใด มีเพียงแค่สงสัยเล็กน้อยว่า "อ้าว!!!
    > นึกว่ากิเลสหมดไปแล้วนะเนี่ย" ในส่วนลึกของจิตมีความรู้สึกลังเลเล็ก ๆ
    > ว่าสำเร็จจริงหรือเปล่า
    > แต่พอมาสำรวจจิตก็พบว่าจิตมันก็ไม่ได้ทุรนทุรายตามสิ่งกระทบนี่นา
    > แล้วก็เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นต่อมาว่า ความคิดปรุงแต่งและอารมณ์ทั้งหลาย (กิเลส)
    > เป็นขันธ์ ๕ ก็สัญญา+สังขารทั้งนั้น ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
    > ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของเรา ฉะนั้นจึงบังคับไม่ให้ความคิดมันเกิดขึ้นไม่ได้
    > จิตต้องยอมรับความจริงตรงนี้ จิตกับกิเลสเป็นคนละคน แต่ไม่ทำอันตรายต่อกัน
    > แห๊ม ตบเข่าตัวเองดังป๊าบ ใช่ค่ะ จิตเราที่ยกขึ้นมาอยู่ในที่สูงแล้ว
    > ก้อจะมองลงไปเห็นกิเลสได้ง่าย อยู่สูงกว่ากิเลส อยู่เหนือกว่ากิเลส
    > กิเลสคือความอยาก ที่ต้องการแบบนั้นแบบนี้ แต่จิตเรา ท่านไม่เอาด้วย
    > แม่งอยากก้ออยากไปสิ อยากก้อกิน กินให้จบ ไม่ไปปรุงแต่งต่อว่า มันเลิศหรู หะรู
    > หะรา อะไรประมาณนี้ คุณนกนึกไปถึงพ่อหลวง(พระเจ้าอยู่หัว)ของเราสิ
    > คุณนกมองแค่พระราชดำรัสของพระองค์คุณนกจะรู้ว่า
    > จิตของพระองค์อยู่ขั้นไหน(ขอพระราชทานอภัยหากได้นำจิตของพระองค์ท่านมาเอ่ยกล่าวถึง)
    > แค่พระราชดำรัส ..อยู่อย่างพอเพียง...เราก้อรู้แล้วว่า
    > จิตของพระองค์ยกไปไหนถึงแล้ว การอยู่อย่างพอเพียง เป็นการอยู่ให้ขันธ์ห้าได้
    > ประทังกายไปแบบสบายๆไม่เดือดร้อน ไม่ระรี้ระลน กระวนกระวายกับไปการดำรงขันธ์
    > ไม่ต้องการสิ่งใดที่เหลือเฟือ
    > ไม่ต้องการสิ่งใดมาปรุงแต่งความเป็นอยู่ให้เลิศเลอ ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ฯลฯ
    > เป็นที่มาของการไม่เกิดกิเลสหรือเกิดน้อยลง
    > แต่ในขณะที่เราต้องอยู่ในสังคมที่แก้ไม่ได้แล้ว
    > ขันธ์เราต้องเดินไปตามกระแสของมัน
    > แต่จิตเราอยู่อย่างพอเพียง เฉยๆงัย ใช่ขันธ์ยังมีครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ญาติ
    > เพื่อน ฯ
    > แต่จิตไม่มีใคร ไม่ต้องการใคร ไม่ต้องอะไร ท่านอยู่ของท่านโดดๆดวงเดียวก้อได้
    > ท่านไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่จะต้องอยู่ดวงเดียว ใช่ ขันธ์ต้องพาครอบครัวไปเที่ยว
    > พาพ่อไปหาเพื่อนพาแม่ไปวัด พาลูกไปดูหนัง ทำนั่นซื้อนี่ แต่จิตท่านไม่ได้ไปด้วย
    > จิตท่านไม่แคร์ไม่ต้องการนั่นๆนี่ๆ
    > จิตอยู่เหนือกิเลสงัย พี่ดัชก้อเหมือนกันยังดำรงตนเช่นชนทั่วไป
    > แต่เห็นกิเลสมันรายล้อม
    > อารมณ์ต่างๆมันล้อมรอบ มันเข้าไปหาจิตไม่ได้หรือมันขึ้นไปหาจิตไม่ได้
    > เคยดูสารคดี ที่เขาลงไปถ่ายทำใต้น้ำ นักดำน้ำมีกล้องถ่ายหนัง
    > แต่ต้องอยู่ในกรงเหล็กแข็งแรง ฉลามวาฬ พยายามว่าย
    > วนหาทางเข้าไปเพื่อจะกินนักดำน้ำแต่ก้อเข้าไม่ได้ซ๊ากกะที ลางที เอาหัวกระแทก
    > 555 หัวแตกอีกต่างหาก เมื่อทำอะไรนักดำน้ำไม่ได้มันก้อไป มันหมดแรงของมันเอง
    > 555 ฉันใดก้อฉันนั้นแล
    > 2. เอาชนะกิเลสในใจได้แล้ว
    > มันก็ไม่ใช่ลักษณะของการชนะในเชิงการต่อสู้ของขุนศึกนักรบ
    > ที่ผู้ชนะได้มีชีวิตอยู่ต่อ ผู้แพ้ต้องตายไป จริงๆ
    > มันคือเรานั่นแหล่ะที่ชนะจิตใจของตนเอง ฝึกฝนจิตของตนเองจนกล้าแข็ง
    > ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป จนมาถึงจุดที่ว่า "ข้าไม่เอาเอ็งอีกแล้วโว้ยย"
    >
    > ตอนนี้ผมมีความรู้สึกต่างจากแต่ก่อน
    > เมื่อก่อนนั้นรู้สึกว่าต้องสู้กับกิเลสต้องข่มมันไว้ไม่ให้มันแผลงฤทธิ์
    > ต้องทำลายมันให้สิ้นซาก เมื่อทำได้ก็ภูมิใจว่าเราทำได้
    > แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ายั่งงั้นเราก็ยังคงมีอัตตาตัวตนหลงเหลืออยู่ในจิต
    > เพราะยังมีความคิดเรื่อง แพ้-ชนะ แต่เมื่อใดที่จิตยอมรับว่ากิเลสยังอยู่
    > แต่ท่านกับเราต่อแต่นี้ไปหย่าขาดจากกันไม่เหลือเยื่อใย
    > ท่านอยู่ของท่านเราอยู่ของเรา ต่างคนต่างอยู่
    > แต่เราห้ามท่านไม่ได้ถ้าหากวันใดวันนึงท่านอยากจะมาขอคืนดี
    > แต่อย่าหวังเสียให้ยากเลย ไม่มีวันอีกแล้ว
    >
    > ความหมายโดยนัยก็คือ เรา (จิต) และกิเลส ยังอาศัยอยู่ในกายสังขารอันเดียวกันนี้
    > โดยที่มิได้ทำอันตรายใดๆ แก่กันอีกเหมือนแต่ก่อนที่ผ่านมา
    > เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วจิตจึงพ้นจากความมีอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง
    >
    > เมื่อก่อนที่จิตยังไม่ยก เราต้องคอยต่อสู้กับตัวกิเลส ความอยาก อารมณ์
    > ต่างๆนานา
    > ต้องข่ม ต้องฆ่า เหยียบมันให้จม ไม่ให้มันได้ผุดได้เกิด
    > แต่จริงๆแล้วเราพยายามหนีมันงัย หนีห่างออกจากมัน
    > มันอยู่นอกกำแพงแต่เป็นกำแพงที่ไม่ได้แข็งแร็งเท่าไหร่
    > กำลังจิตเรายังต้องขุนเอานักรบออกมา ตั้งรอรับมัน จิตยังอยู่ในระดับเดียวกะมัน
    > แต่
    > เมื่อใดที่จิตยกแล้ว จิตอยู่เหนือกว่า
    > ไม่มีความจำเป็นต้องหาขุนศึกนักรบไปเข่นฆ่ามัน
    > ยังไง ๆ มันก้อเอื้อมไม่ถึงจิตเรา ...YOU CAN'T REACH ME
    > EVER................
    > จิตยิ่งใหญ่ จิตมีพลัง จิตบริสุทธิ์ ฉะนั้น ณ ตอนนี้เราจะไม่มีขุนศึก
    > ไม่มีนักรบ เราไม่ต้องการ ...แต่...เรามีอาวุธ ...อาวุธของเรา คือ ความเมตตา
    > ................................
    > มาถึงตรงนี้คุณนกเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่า
    > ทำไม...เรา...ชาวจิตบุญถึงพยายามกันนักหนา ที่จะพา หลายๆท่าน หลายๆดวงจิต มายก
    > ระดับกัน มารู้ มาเห็น เหมือนที่เรารู้ เราเห็น มีความอยาก
    > อยากนี้เป็นอยากแห่งกุศล อยากให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามได้รู้ เห็นถึงกิเลสแห่งตน
    > อยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือความอยาก แม้จะไปทางไหนก้อถูกพวกมิจฉาทิฐิ ตั้งแง่
    > แคะเคือง หาเรื่องว่า ปลอม ...เรา...ชาวจิตบุญไม่สนใจ... เรา...มีแต่ให้
    > ...เรา....มีแต่เมตตา และ...เรา...ก้อยังตั้งหน้ารอคอยว่า
    > พวกเขาจะพลิกจิตหันกลับมาเห็น แสงสว่าง เห็นทางแห่งการไปของจิต คือนิพพาน
    > ดังที่ท่านพ่อ(องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
    > ได้ชี้นำพวกเราตลอดมา....เรา...ชาวจิตบุญได้ตั้งจิตอธิษฐาน
    > ทำงานเพื่อท่านพ่อจนถึงแก่การละขันธ์ตลอดไป
    >
    > Jakpong Prab....(Mr.)
    > Bangkok, THAILAND


    เอาธรรมะดีๆ มาฝาก
    จากห้อง บินหมู่จิตเกาะพระ ไปดู ชมกันซะว่า พวกเรายกจิตกันไปถึงไหนแล้ว
    (ผมแอบปลื้มใจแทนพวกเรา ชาวจิตเกาะพระ)

    พี่ภูไวกว่า ครูเพ็ญ ครูดัชไม่ทันผมแล้ว ขโมยซีนตามเคย
    ก็อยากให้พวกเราได้ธรรมะกันน่ะ ก็อยากจะทำทุกอย่าง ถึตัวเราลำบากก็ช่างหัวมัน เป็นไร

    ว่าแต่ว่า โครงการช่างหัวมันมันนี้ มีใครรู้บ้างว่าอยู่ที่ไหน
    เป็นโครงการของในหลวงท่าน ใครรู้กรุณาบอกคนอื่นๆด้วย
    บอกใบ้ให้นิดนึง อยู่ที่ภาค ต.ต.ของประเทศไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤษภาคม 2012
  2. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู ครูเพ็ญ ครูดชน คุณหว้า คุณวิทย์ คุณอัญญะมณี คุณนก และทุกท่าน

    ครูเพ็ญถามเรื่องอารมณ์กับใจ เมื่อวานนี้ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเบื่อมากค่ะ เบื่อกายสังขารนี้มาก เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่มีความอยากอะไร นั่งคิดและลองถามตัวเองว่า ถ้าให้ตายไปตอนนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะตอบว่าถ้าตายไปตอนนี้ยังมีห่วงอยู่ คือห่วงแม่ที่เราต้องดูแล ตอนนี้มีพี่สาวที่เพิ่งเป็นอัมพาตอีกคน ก็คงต้องห่วงอีก ไหนจะลูกที่ยังเล็ก แต่ณวินาทีที่ถามนั้น ใจตอบว่าถ้าตายไปเสียตอนนี้คงจะดี ความห่วงคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทุกๆๆคนต้องมีกรรมและวาระของแต่ละคนเอง ฉะนั้นเมื่อเราตายไป คนที่อยู่ก็ต้องดำเนินไปตามวิบากกรรมของตนเอง เราปล่อยวางแล้ว จิตสงบดีค่ะ

    [​IMG]
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จริงๆแล้ว ถ้าเรา(จิต)เข้าใจธรรมะ
    เรา(จิต)จะไม่ไปยึดติดกับสิ่งที่เราเรียกันว่า รูป+นาม สมมุติกัน

    เพียงแต่ขอให้รู้ว่า เรา(จิต)มี-อยู่-เป็นกับสิ่งสมมุติตามที่กล่าวไปแล้วนั้น เราก็แค่ชาติกันเท่านั้นเอง เป็นเพราะว่า เราไปมีวิบากกรมกันเท่านั้น
    อย่าลืมนะว่า คนเราทุกคนที่เกิดกันมานี้ ต่างก็มีกรรมนำมาเกิดด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น คือมีทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี
    แต่เราเกิดมาชาติกัน จะสร้างกรรมอะไรกันขึ้นมากันอีก

    และสิ่งสมมุติที่กล่าวไปแล้ว ก็ไม่เห็นใครตามเราไปสักคนนึง หลังโลกแห่งความตายนั้น
    ถึงเรารัก+ห่วง หรือเขารัก+ห่วงเรา แต่เมื่อถึงเวลาตายกันจริงๆแล้ว ไม่มีใครไปกับเราหรอก ต่างคนต่างไป ตายไปแล้ว แต่ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์กันใหม่ เราก็ลืมชาติก่อนกันแล้ว พอมาเกิดชาตินี้กันใหม่ เราก็มีพ่อแม่ พี่น้อง แฟน ลูก กับคนใหม่อีก

    แล้วถามว่า เราจะเป็นห่วงกันทำไม???
    เพราะเรา(จิต)ไม่ได้ไปเรียนรู้+เข้าใจ จิตก็เลยละ ปล่อย วางไม่เป็น แต่ถ้าจิตวางไม่เป็น วางไม่ได้กัน
    ในที่สุดตัวเราเองนี่แหล่ะ! ที่จะตกแห่งวังวน วังแห่งความทุกข์กันตลอดไป

    ผู้ที่ปฎิบัติเท่านั้น จึงจะพอเข้าใจ
    ผู้ปฎิบัติ(จนสำเร็จ)เท่านั้น จึงจะหลุดพ้น


    ปล.ไปให้ครูเพ็ญนวดต่อไปนะ...หุหุ
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนา หรือวิปัสสนาเป็นยากิน​


    พวกเราเคยได้ยินกันหรือเปล่า?

    มีความหมายดังนี้ฯ
    คำว่า "สวด" เป็นกิริยาของการท่องที่เป็นทำนอง เป็นจังหวะ
    คำว่า "มนต์" สำหรับชาวพุทธก็คือคำเทศน์ หรือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คำว่า "สวดมนต์" จึงเป็นเรื่องของการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สวดมนต์ไปก็ได้ความรู้และความเข้าใจในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น แล้วแน่นอนว่าความสบายใจย่อมเกิดขึ้นมาด้วย
    เกิดขึ้นมาจากอานุภาพของธรรมะที่เราสวด และเกิดขึ้นเพราะเรารำลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ยิ่งกว่านั้นในขณะที่กำลังสวดมนต์ใจก็เป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิในระดับตื้น ไม่ได้เป็นสมาธิในระดับลึกเท่าไร แต่ว่าก็ให้คุณประโยชน์กับใจของเราได้ในระดับหนึ่ง คือให้ความชุ่มชื่นใจ ให้ความเบิกบานใจ แล้วก็ได้ความปลื้มปีติที่ว่าเราได้ทบทวนคำสอนธรรมะของสมเด็จพ่อของเรา
    ด้วยเหตุที่การสวดมนต์สามารถนำความปลื้มปีติใจ นำสมาธิมาให้ในระดับตื้น ท่านจึงได้อุปมาว่าการสวดมนต์เหมือนอย่างกับยาทา ซึ่งยาทาชนิดนี้ ไม่ใช่ยาทาแบบยาหม่องธรรมดา ๆ แต่ว่าทาแล้วทะลุถึงใจเลยทีเดียว
    ส่วนคำว่า "ภาวนา" หมายถึง การทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง ชนิดนั่งสมาธิกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือบางทีทำต่อเนื่องเป็นเดือน เป็นปีกันทีเดียว
    หรือเอาเป็นว่าสำหรับนักทำสมาธิโดยทั่ว ๆ ไปแบบชาวโลก ทำสมาธิกันแต่ละครั้งก็ประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือว่า ๔๕ นาที เป็นอย่างน้อย ใจก็ดื่มด่ำหยุดนิ่งลงไปที่ศูนย์กลางกายภายในตัว
    การที่ใจหยุดนิ่งลงไปอย่างนั้น เพราะว่าขณะที่ทำสมาธิเราหลับตา จึงไม่มีภาพอะไรมารบกวนนัยน์ตา แล้วใจก็รวมอยู่ที่ศูนย์กลางกาย เมื่อเป็นอย่างนี้ใจจึงหยุดนิ่งได้สนิทกว่าการสวดมนต์
    เมื่อใจหยุดใจนิ่งได้สนิทกว่าการสวดมนต์ ความชุ่มชื่นที่เกิดภายในก็ตาม ความสว่างที่เกิดภายในก็ตาม ย่อมมีมากกว่าการที่สวดมนต์
    ยิ่งกว่านั้น ถ้าทำได้ถูกส่วนจริง ๆ การเห็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ก็มีโอกาสเป็นไปได้ในขณะที่ทำภาวนานี่เอง ปู่ย่าตาทวดของเราจึงได้อุปมาการทำภาวนาอย่างจริงจัง อย่างต่อเนื่องนี้ว่าเหมือนอย่างกับยากิน คือสามารถแก้ไข้ แก้ปวดได้มากกว่ายาทา


    ที่มา:
    วารสารอยู่ในบุญ - สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
     
  5. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    มาแล้วค่ะ ได้เวลาส่งการบ้านแล้ว ฮ่าๆ

    สองสามวันที่ผ่านมาก็พยายามวิปัสนาตัวเองไปเรื่อยๆนะคะ ส่งใจไปคิดถึงท่านบ่อยๆ
    ก่อนอนทุกครั้งก็มองรูปท่านที่แปะไว้บนผนังข้างหมอนทุกครั้งเลยค่ะ
    (สองสามวันนี้นอนวันละหลายครั้งโรคขี้เกียจกำเริบ แหะๆ)

    จนล่าสุดเมื่อเช้าหลังจากทำภารกิจยามเช้าเสร็จก็แว๊บขึ้นมานอนต่อ วิปัสนาไปด้วยนอนไปด้วยเหมือนปกติ
    แต่วันนี้ได้อ่านหนังสือสวดมนต์แล้วอารธานศีล5กล่าวศีล5 แล้วก็แผ่เมตตาให้ครอบครัว ญาติ ครู เทวดา
    เจ้ากรรมนายเวร สัตว์ และตนเอง ค่ะ (ตามหนังสือสวดมนต์แปะๆ อิอิ)
    ปรากฏว่าได้ผลเร็วทันใจ มองท่าพระพุทธชินราชอยู่ดีๆ พอเริ่มหลับตา
    เราก็โฟกัสหน้าท่านได้แล้วก็เห็นท่านในปางใหม่จากปางสมาธิเป็นปางห้ามญาติ(ถูกผิดขออภัยด้วยนะคะ)
    พาเราให้เดินตามท่าน
    (จิต)เราก็ถามท่าน : ท่านพ่อจะพาไปไหนค่ะ
    ท่านพระพุทธชินราช : แล้วอยากไปไหนล่ะ นรก หรือ สวรรค์ พ่อพาไปได้หมด
    จิต : ไม่อยากไปทั้งสองที่ค่ะ แต่อยากไปนิพพาน จะพาลูกไปด้วยได้ไหมค่ะ พาไปเกาะขอบๆก็ยังดี

    แล้วท่านก็พาพุ่งขึ้นไปข้างบนอย่างกับจรวดหน่ะคะ ทะลุเมฆไปเลย พอไปถึงก็แว็บเป็นอีกภาพนึง
    คือภาพพระพุทธชินราชปางสมาธิเหมือนเดิมแต่ท่านประทับอยู่บนเมฆแทนที่จะเป็นบัวเหมือนในรูป
    มีสาวกมากมายกำลังเข้าแถวรอบๆท่าน กำลังกราบท่านอยู่ค่ะ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า น่าอยู่จริงๆค่ะ
    อยากมากราบท่านที่นี่บ้าง แต่แป๊บเดี๋ยวก็รีบเรียกหาสติค่ะ เพราะแม่เรียกให้ลงไปปิดประตูบ้านให้ท่านค่ะ ฮ่าๆ

    ตอนที่เห็นท่านเปลี่ยนบางนี่รู้สึกเหมือนจมไปกับนิมิตที่เห็นค่ะ รู้สึกว่าตอนนั้นจะไม่ได้หลับนะคะ
    เพราะก่อนหน้านั้นไม่ได้ง่วงเท่าไหร่ เสียงน้องหมาน้องแมวแถวบ้านเงียบลงพอดีด้วย สติเลยนิ่งมากขึ้นด้วยล่ะคะ

    พอลงไปปุ๊ปติดใจ ขึ้นมาทำใหม่อีกที คราวนี้เสียงหมาแมวมาอีกรอบ จิตเลยเอามาวิปัสนาถามกลับไปว่า
    น้องหมาน้องแมวจะเห่าหอนร้องกันไปทำไม มีทุกข์เหรอถึงได้เห่าหอนร้องกันแบบนี้ น่าสงสารจริงๆ
    แล้วก็คิดไปว่า เราโชคดีนะที่ได้เกิดเป็นคน ได้มีโอกาสทำตัวเองให้เป็นมนุษย์ มีโอกาสศึกษาธรรมะ
    ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงนิพพาน ตอนนั้นร่างกายก็เมื่อยขึ้นมาจากท่าทีนอนอยู่ เราก็พลิกท่า
    แล้วก็วิปัสนาอีกว่า กายเนื้อน่าเบื่อไหม น่าเบื่อสิ เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวป่วย เดี๋ยวแพ้นู่นแพ้นี่ ต้องดูแลมากมาย
    พอเริ่มรู้สึกตัวเบาตัวโตขึ้น คุณแม่ก็มาอีก ฮ่าๆ คราวนี้ท่านหานาฬิกาไม่เจอ เราไปหาให้ท่าน
    พอเจอแล้วท่านก็ไปทำงานจริงๆแล้ว

    กลับมาทำอีกรอบ(วันนี้ย๊าวยาว นี่ขนาดแค่เช้าเดียวนะเนี่ย ยาวซะ ฮ่าๆ) คราวนี้ก็วิปัสนาไปเรื่อยเหมือนเดิมล่ะคะ
    แต่คราวนี้เริ่มเอาสติตามไปให้ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ ตอนนี้จิตไปปิติไปจับกับภาพท่านบางห้ามญาติ
    กับท่านปางสมาธิในภาพที่เห็นล่าสุดค่ะ แต่แสงยังไม่ประกายวิบวับนะคะ

    จบการบ้านเท่านี้ค่ะ^^
    ปล.อ่านธรรมมะและคอมเม้นของแต่ละคนนี่ โดนจายทั้งน้าน ขอบคุณค่ะ ฮ่าๆ
    เรื่องกิเลสกะเรื่องฌานนี่โดนใจสุดๆค่ะ ฮ่าๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเริ่มมีฌาณอ่อนกะเค้าแล้ว เย้ๆ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  6. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    มาไวตามจิตของท่านพี่เลยนะ ขอฝากน้องใหม่จิตแรง คุณนก(ชาย)มาร่วมแจมธรรมะกันในบางเวลาด้วยค่ะ
    เอ๊า...เข้ามา เข้ามา คุณนก มาทั้งสองนกก้อไม่ว่าจ๊ะ
     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    จ๊า โมทนาสาธุนะจ๊ะ ขอให้เจริญในธรรมนะและเป็นกำลังใจให้ซำเหมอเลยค่ะ คุณแสงจันทร ขออวยพรชัยให้ได้ถึงนิพพานตามที่จิตปรารถนาด้วยจ๊า
     
  8. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เข้ามาให้กำลังใจคุณ thakornt
    ขอให้นำจิตไปเกาะพระอยู่เรื่อยๆ อยู่เนืองๆ นะจ๊ะ
    อย่าลืมว่าอานิสงค์ของการเกาะพระนั้นมีมากล้น
    บารมีของพระท่านหาที่เปรียบมิได้
    ยังไงก้อขอโมทนาสาธุด้วยนะคะ
    กับความตั้งใจในการปฎิบัติ
    ขอให้ดวงตาที่เห็นธรรมของท่าน
    จงนำพาให้จิตท่านเห็นแสงแห่ง นิพพาน ด้วยเทอญ
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อะจึ้ยๆๆๆ

    มาอีกแล้วครับ

    ผมเห็นคุณอีกแล้ว....อีกนิดนะครับ
    ผมขอมอบบุญของผมทั้งหมดทั้งมวลให้คุณนะครับ

    ขอให้ดวงจิตขึ้นนิพพานด้วยเทอญ..สาธุ
     
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับการปฎิบัติจ๊า
    ไหนจิตดื้อนักใช่มั้ย เอามาให้พวกพี่
    จับตีก้นหน่อย 555 หยอกเล่นหรอกนะ
    เอาเป็นว่า ค่อยๆทำ ค่อยๆปฎิบัติ
    พี่ดัชเคยมีออมสินอันใหญ่ ยามใด
    จะหยอดตังค์ ก่อนหยอด เอาเหรียญบาท
    มานั่งพิจารณา(5555 พิจารณาเหรียญบาท)
    ว่า..อิหยังมันช่างเล็กแต้น๊อ แล้วเมื่อไหร่
    ออมสินตูจะเต็มอ่ะ
    และแล้ววันหนึ่งพี่ดัชก้อเกิดความภูมิใจ
    ว่า..วันนี้แหละตูจะได้ซื้อของที่ต้องการ
    เฮ๊...ออมสินเต็มแล๊ววววววว
    เรื่องนี้สอนว่างัยน๊า น้อง porpao
    ตอบหน่อยดิ หุหุ
     
  11. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ม๊ะ มาเอากำลังใจจาก ดชน อีกคนยกให้หมดเลย
    กับคนที่มีความเพียร น้ำหยดลงหินทุกวันยังกร่อน
    จิตถูกฝึกตลอดเวลา ฤ จะไม่เชื่อง มาสู้กันซักตั้งซิ
    ดูว่าเค้า(จิต)จะไปถึงไหนก๊านนนน หุหุ
    โมทนาสาธุค่ะ
     
  12. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ใช่ค่ะ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ใครจะไปล่วงกรรมของใครนั้นมันผิดกฎของธรรมชาติ แต่หากจะทำจริงๆก้อเหมือน
    การไปรองรับเอากรรมของคนอื่นมาเป็นของเรา(อันนี้จะไม่ตอบว่าทำได้หรือไม่ได้ จริง) หุหุ
    ตอนนี้คุณจันทร พยายามฝึกจิตนำจิตไปเกาะพระ เหมือนกับการกางปีกกางแขนออกไป เมื่อใดจิตยกจิตเกิดความนิ่งมีแสงแห่งบารมีเกิด ก้อไม่แคล้วที่จะแผ่ไปให้เกิดความร่มเย็นกับคนในครอบครัว เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขานำความร่มเงาร่มเย็นมายังผู้อยู่ข้างใต้
    เรามิได้ไปล่วงกรรมใคร เขาก้อยังต้องชดใช้กรรมของเขาอยู่ แต่
    บารมีความร่มเย็นจะนำจิตของเขาให้เกิดความเย็นสบายเอนเอียงมาทางกุศลได้ และนั่นจะเป็นหนทางที่เขาจะทำให้กรรมของเขาเบาบางลง ขอถามนิดว่า มีใครบ้างที่อยากอยู่กับอะไรที่ร้อนๆ ฉะนั้นจงตั้งใจปฎิบัติจิต ฝึกสติไปในตัวค่ะ ขอเป็นกำลังใจนะคะ
     
  13. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุจ๊า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
    แห๊ม..คำพูดเก่าๆ แต่อะไรที่มันเก่าๆมันมักจะขลังนะ 555
    เอ๊า ขอเป็นกำลังใจแม่น้องนางอีกคนจ๊า
     
  14. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ผู้ดู? หรือ ผู้เล่น?

    ถ้าผมถามท่านตอนนี้ว่า ให้เลือกสิ อยากเป็นใครระหว่าง นักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ หรือ ดารา ที่โด่งดัง....กับ ผู้ชมธรรมดาคนนึง ที่ไม่มีใครรู้จัก

    คนส่วนมากคงอยากเป็นอย่างแรก อยากเป็น ณเดชน์ / ไทเกอร์ วู้ด ... มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก นี่คือภาพหน้าฉากที่เราเห็น เราก้อเลยอยากเป็น ถูกต้องไหมครับ

    แต่เรารู้ไหมว่า ในขณะที่เค้ากำลังแข่งขัน หรือแสดงนั้น เค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าเค้าทำอะไรอยู่ มันดีรึป่าว มันมีจุดอ่อนที่ต้องปรับไหม หรืออาจจะรุ้ แต่คงไม่ทั้งหมด

    การที่ไม่รู้นี้ พอมันสะสมไปเรื่อยๆ จนหนาๆๆๆๆ ขึ้นทุกวันๆๆๆๆ เราไม่รู้ตัว

    แต่ถ้าเราเป็นผู้ดู เราจะเห็นว่า สิ่งที่เค้าทำเป็นอย่างไร มันดี หรือ ไม่ดี เค้าเล่นตามกติไหม โกง หรือป่าว ..ผู้ดูสามารถ ใช้ปัญญาพิจารณาได้ โดยที่ไม่ต้องเกิดความกังวล เหมือนคนลงแข่ง เห็นภาพกว้างๆ โดยที่ไม่ต้องไปเล่นเอง

    อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง หรือ สิ่งใดๆทุกอย่างในโลกนี้ ที่เข้ามากระทบเรา ก็เช่นกัน

    ถ้าเรายังหลงว่าเรายังเป็นผู้เล่น ลงไป ปะ ฉะ ดะ กับมัน ไปเล่นกับมัน ไปยึด ไปจับมัน ..ท่านคิดว่า ท่านจะมีแรงไปลุยได้แค่ไหน อีก กี่ภพ กี่ชาติ ที่ดวงจิตนี้จะต้องไปอยู่กับสิ่งเหล่านี้

    ดวงจิตที่หลุดพ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่เจอสภาวะเหล่านี้ แม้แต่พระพุทธองค์ก้อหนีไม่พ้น...
    แต่ ดวงจิตที่หลุดพ้นแล้ว ทำตัวเป็นผู้ดู ที่ดี รู้และใช้ปัญญาพิจารณา
    ไม่ลงไปคลุก ไม่ลงกับจับ ไปยึด ก้อแค่นั้น มันเป็นเช่นนั้น แล้วมันก้อจะผ่านไป

    ดวงจิตอยู่เหนืออารมณื สิ่งเร้า สิ่งใดๆที่มากระทบ

    เพราะทุกสิ่งเป็นธรรมชาติ เราต้องอยู่กับธรรมชาติ .หมา อยู่ส่วนหมา ต้นไม้ก้ออยู่ของเค้าไป เราก้ออยู่ของเราไป

    มีอะไร ก้อเข้าใจ และอยู่กับสิ่งนั้น

    ไม่ห้าม ไม่หนี ....รู้ๆๆๆ

    พอเสียทีกับการยึด การแบก ...ปลดปล่อยดวงจิตของท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติ

    สิ่งที่ยากที่สุด คือ สิ่งที่เรียบง่ายที่สุด

    สิ่งที่ปรุงแต่งมากที่สุด คือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด

    ล้างจิต ล้างใจของท่านได้แล้ว

    เราคลุกวงในกับทุกข์มามากแล้ว

    เหนื่อยกันบ้างไหม ....

    ยังทุกข์กันไม่พอใช่ไหม ...

    ถ้าพอ ถ้าเหนื่อย ... ปล่อยสิ่งอันรุกรัง หนักนั้น ออกจากดวงจิตกันดีไหม

    อยู่กับพระพุทธองค์ อยู่กับธรรมะ

    ธรรมะอยู่ไม่ไกล อยู่ในกาย ในจิตเรานี่แหละ

    ไม่ต้องไปวิ่งหาสิ่งใด ศึกษากายและจิตเรานี่แหละพอแล้ว

    ให้พระท่านนำทางสว่าง ให้จิตกลับคืนสู่สภาวะธรรมชาตกันเถิด

    สาธุ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น่าเสียดาย จะคลิ๊กส่งไปแล้วเชียว ไฟดับซะงั้น จบกัน

    ต่ออีกนิดก็ได้

    กิเลสของคนเรา โดยเฉพาะ ความโกรธ เปรียบดั่งกับไฟ หรือน้ำร้อน แต่ถ้าผู้ใด ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน วนเวียนอยู่กับมัน
    เราก็จะมีแต่ ความทุก์กาย ทุกข์ใจกันเท่านั้นเอง
    แต่มันจะเกิดขึ้นกับผู้ไม่ยอมฝึกจิต ยกจิตกันเท่านั้น กิเลสตัวนี้ จึงจะมีผล

    แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตมาดี หรือสามารถยกจิตของตนได้สำเร็จ ไม่ว่ากิเลสตัวไหนๆ มันก็มิอาจจะจะมาทำร้ายจิตใจได้เลย
    คือจิตมันรู้ทันว่า กิเลสเป็นของร้อน แต่ถ้าเมื่อใด จิตหลงไปไหลตามกิเลส มันก็จะร้อน หรือเป็นทุกข์กันเท่านั้นเอง

    ไมม่ีอะไรมากสำหรับกิเลสตัวนี้
    ง่ายมากๆ สำหรับผู้ที่ฝึกจิตมาดี

    แต่จะเมตตา และสงสารคนที่ไม่ยอมนำจิตไปฝึกสติกันนี่แหล่ะ!
    สงสารเขามากๆ เพราะเราเคยเป็นมาก่อน ถึงได้รู้จักมันดี
    เมื่อก่อนผมเป็นมากกว่านี้นะ ตอนเป็นวัยรุ่น ใครมองหน้าก้ไม่ได้ (สงสัยกลัวเขาจะมาขโมยหน้าตนเองมั้ง) ไม่พอใจแล้ว
    ใครขับรถปาดหน้าก้ไม่ได้ บ่นคนเดียว หรือถ้าเราอารมณืไม่ดีขณะขับรถ เราก็จะขับไปปาดหน้ากับ
    ดีนะไม่เจอนักเลงจริงๆ มีหวังตายไปนานแล้ว
    ที่แท้เรา(จิต) ตกไปอยู่ฝ่ายกิเลส ฝ่ายอบายภูมิ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำ

    จิตพวกเรานิ่งกันได้เมื่อไหร่โน้นแหล่ะ! ถึงบางอ้อเมื่อนั้น
     
  16. ถิธานุ

    ถิธานุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +219
    เป็นคล้ายๆกับผมเลยครับพี่ภูอะไรที่ออกไปทางไม่ดีละ ชอบนัก มีอะไรอารมณ์ไปก่อนตลอด แต่ตอนนี้อารมณืแบบนั้นมันหายไปแล้วครับ ผ่านมายังไม่นานเลยครับ ส่วนใครที่คิดว่าตัวเองทำเลวมาเยอะคิดว่าคงจะฝึกสำเร็จยากเราคงไม่มีบุญเราจะฝึกสำเร็จหรอทำไมมันยากเหลือเกินอะไรแบบนี้เราคงทำไม่ได้ ผมคิดว่าควรจะเปลี่ยนความคิดได้แล้วครับ ลองดูดีๆครับว่าสิ่งไหนมันเที่ยงบ้างมันเป็นของเราบ้าง เราเอาสมบัติอะไรของเรามาได้บ้างตั้งแต่ชาติก่อนเราเคยได้อะไรมาบ้างใครได้มาบ้างบอกกันด้วยนะ อิอิ และเรามีอะไรที่มันเป็นของเราจริงๆบ้าง มีแต่เกิดแล้วคิดว่าตัวเองมี แล้วตายของทั้งหมดก็ไม่ได้ไป แล้วเกิด แล้วคิดว่ามีอีก แล้วตายผมคิดว่าเราทุกคนคงเป็นแบบนี้กันมาทุกคน แต่มาวันนี้เราได้รู้อะไรหลายๆอย่างว่าทุกสิ่งนี้มันไม่เที่ยง โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม มันไม่เที่ยง ข้างล่างไม่ต้องไปพูดถึง สยิวแต่เมื่อก่อนนี้ไม่นานรู้สึกว่าผมจะไปจองที่ไว้เยอะ อิอิ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับไม่เอาแล้ว ตั้งใจทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับขอมอบกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังฝึกหรือคิดจะฝึกอยู่คับแถมให้กำลังใจตัวเองด้วยคับ ตอนนี้เราปราถนาอะไรอยู่ลองถามตัวเองดูนะครับ จะพูดกับพี่ภูสัดนิดว่าเราเป็นเหมือนๆกันเลย แต่พอพิมไปพิมมาออกอะไรมาเยอะเลย
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ตั้งใจตรงพระนิพพาน


    ทีนี้ถ้าหากว่าก่อนที่เราภาวนา หรือก่อนที่จะอาราธนาพระก่อนที่จะบูชาพระ ให้จิตคิดว่าการเกิดมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก การเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมหรือนางฟ้าก็ดีมีความสุข เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็มีความทุกข์ใหม่เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการพระนิพพานอย่างเดียว ตั้งใจตรงอย่างนี้เฉพาะพระนิพพาน

    หลังจากนั้นก็บูชาพระหรืออาราธนาพระ หรือภาวนาว่าพุทโธก็ใช้ได้ อย่างนี้หากว่าท่านตายเมื่อไหร่เวลานั้นจิตจะตัดจากกิเลส กิเลสทั้งหมดจะไม่เข้ามาสิงใจ เพราะว่าการป่วยของท่านมันมีแต่ทุกข์เวทนา อืดที่โน่น เสียดที่นี่ ปวดที่นั้น มันหาความสุขไม่ได้ เวลานั้นความต้องการในร่างกายของเราไม่มี กิเลส 4 ประการ คือ
    ความรักในระหว่างเพศ ไม่มีในเวลาป่วยหนัก
    ความโลภ อยากได้ทรัพย์สมบัติ ไม่มีในเวลาป่วยหนัก
    ความโกรธ คิดจะฆ่าใคร ไม่มีในเวลาป่วยหนัก
    ความหลง ในร่างกาย ไม่มีในเวลาป่วยหนัก

    ก็ชื่อว่ากิเลสทั้ง 4 ประการไม่สามารถจะผูกใจเราได้ ถ้าจิตใจเรามีความพอใจในพระนิพพานอยู่ แล้วมั่งคงในพระไตรสรณคมน์ เวลานั้นอารมณ์ก็จะตัดจากกิเลส จิตก็ว่างจากกิเลส จิตไม่มีความพอใจในร่างกาย เราก็จะเป็นพระอรหันต์ ในเมื่อเป็นอรหันต์ก็จะนิพพานทันที ยากไหม ไม่ยากนะ ความจริงการเป็นพระอรหันต์นี่มันเป็นกันไม่ยากแต่ว่าที่ยากเพราะอะไร เพราะเราไม่อยากเป็น อย่างฉันเป็นต้น ใช่ไหม ฉันเป็นพระกังหัน หมุนไปหมุนมา เดี๋ยวหมุนไม่ไหว ลุกก็ไม่ขึ้นแล้ว

    การเป็นพระอรหันต์เราต้องดูที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สอนอะไรไว้บ้าง
    ในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง 4 บรรพ แล้วทุกข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ตอนท้ายวิปัสสนานาญาณ ตอนต้นเป็นสมถภาวนา ทุกข้อเหมือนกันหมด ให้ดูตอนข้อท้าย ตอนท้ายจะลงท้ายว่า

    ท่านทั้งหลาย จงอย่าสนใจกายภายในและกายภายนอกคือว่าร่างกายของคนอื่น
    และจงอย่าสนใจทุกๆ อย่างในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอย่าสนใจ
    นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์ ก็รวมความว่า การเป็นอรหันต์ตัดที่ร่างกายตัวเดียว ตัดร่างกาย ตัดร่างกายเรา ไม่ใช่ร่างกายคนอื่น

    เอาล่ะญาติโยมพุทธบริษัท เวลาก็หมดแล้ว ต่อนี้ไปทุกคนตั้งใจสมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน สวัสดี


    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่22 หน้า107-108คัดมาบ้างส่วน
     
  18. wangpao

    wangpao สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +8
    สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เมื่อเกิดย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา
     
  19. porpao

    porpao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +506
    สอนถึงความเพียรพยายาม(รึเปล่าคะ) เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ สะสมวันละเล็กวันละน้อย แต่วันข้างหน้ามันจะยิ่งใหญ่ (สำหรับเรา) หุหุ ขอบคุณพี่ดัชมากนะคะ พยายามต่อไป
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ถูกต้องนะคร้าบบบบ
    แต่......ไม่กลับมาเกิดเลย ดีกว่าไหมครับ

    มามะ..มาทำจิตเกาะพระกัน
    วิ้วววววววววววว
     

แชร์หน้านี้

Loading...