ขอถามผู้รู้หน่อยครับ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย blink1882, 25 พฤษภาคม 2012.

  1. blink1882

    blink1882 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +5
    คือว่าผมอยากจะบนท่านกรมหลวงชุมพรฯ แต่ผมไม่สะดวกเดินทางไปที่วัด
    ผมสามารถบนท่านที่บ้านได้ไหมครับ แล้วต้องหันหน้าไปทางทิศใด แล้วต้องจุดธูปกี่ดอกครับ
     
  2. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    ก็ไปบนที่ศาลกรมหลวงชุมพรใกล้บ้านก็ได้นี่ครับ


    หลวงพ่อเล่าเรื่อง...เรื่องกรมหลวงชุมพรตามสาว

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    [​IMG]

    เรื่องหลวงพ่อเล่าให้ฟัง

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มีโอกาสมาพบกับบรรดาท่านพระพุทธบริษัทในเรื่องของ กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว
    กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เมื่อท่านพ้นจากความเป็นคนไปแล้ว ปรากฏว่าไปเป็นเทวดาจาตุมหาราช แล้วต่อมาก็เป็นเทวดา ขั้น อินทกะ จาก อินทกะ แล้วก็มาเป็นท้าวมหาราช คือ.....ท้าววิรุฬหก ในปัจจุบัน
    เทวดาที่รักษาวัดท่าซุง
    ทีนี้ก็ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า เทวดาที่รักษา วัดท่าซุง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ปรากฏว่าท่านประจำอยู่ที่แถว พระเจ้าพรหมหาราช ในบริเวณ เห็นทีใกล้ๆ แท่น พระเจ้าพรหมหาราช ท่านเทวดาองค์นี้ กุมภัณฑ์ เป็นลุกศิษย์ของ ท้าววิรุฬหก
    ก็เป็นอันว่า ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ กับรูปหล่อของ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นเทวดา ขั้นอินทกะ
    อินทกะ ก็หมายความว่า เป็นผู้บังคับบัญชาการนะ อาจจะเป็นผู้บังคับบันชาการนะ อาจจะเป็นการบัญชาเหล่าทัพเหล่าใดเหล่านั้นเอง
    เหตุที่บนแล้วไม่มีผล
    ก็ขอคุยต่อไปนี้ถึงเรื่องของ กรมชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตอนที่ท่านตามสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบนกรมหลวงชุมพรฯ เท่าที่เห็นประจักษ์จริงๆ คือ ตามคนที่หายไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด เป็นอย่างไรก็ตาม
    เมื่อบนแล้ว 3 วัน พบทุกทีกลับบ้านทุกที แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบอกว่า
    ถ้าบางคนไม่สามารถจะมาได้ คือ
    (1) ตาย
    (2) ถูกกักขัง
    (3) ทุพพลภาพ
    อย่าง นี้คงมาไม่ได้ และท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นทุพพลภาพก็จะมีใครคนใดคนหนึ่งส่งข่าวให้ทราบว่า และมีโอกาสจะไปรับได้ แต่ทว่าการบนเทวดาบรรดาท่านให้ผู้ฟัง ต้องเข้า ต้องเข้าใจว่า
    ความสามารถของเทวดา ก็มีความจำกัดเหมือนกัน ก็มีสิ่งบางอย่างเกินขอบเขตของท่าน
    ฉะนั้น การบนต้องรู้เรื่องกัน จะต้องบนเฉพาะกิจ อย่าบนให้เปรอะไปทุกสิ่งทุกอย่าง เทวดาทำไม่ไหว ก็เลยไม่ทำให้ แล้วเวลาบนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ระเบียบของการบนกรมหลวงชุมพรฯ
    สำหรับ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เวลาบนต้องถวายเครื่องสังเวยก่อน เมื่อได้รับผลสมบูรณ์แบบแล้วการถวายอีกครั้งหนึ่ง
    นี่เป็นระเบียบของการบน ขอซ้ำอีกนิดหนึ่งว่า การบน คือ
    (1) ข้าวปากหม้อ 1 ถ้วย
    (2) หมูต้ม 1 ชิ้น
    (3) ไก่ต้ม 1 ตัว
    สำหรับหมูต้มกับไก่ ถ้าคนมีสตางค์หน่อย หมูต้มใช้ไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล แล้วไก่ ต้มต้องใช้ไม่น้อยกว่าหนึ่งตัว 1 ตัว
    ถ้า คนที่จนๆ มีสตางค์น้อย หมูต้มใช้ชิ้นเล็ก ก็ได้ แล้วก็ไก่ต้มไม่ถึงตัว ใช้ชิ้นเล็กๆ ก็ได้ และไก่ต้มไม่ต้องถึงตัว ใช้ชิ้นเล็กๆ ก็มี และมี ขนมจีนน้ำพริก ของหวานก็มี ทองหยิบ ฝอยทอง เท่านี้เอง
    เวลาบนหรือ เวลาแก้บน เวลา เช้า ให้ใช้เวลาก่อน 2 โมงเช้า 10 นาที
    ถ้าตอน บ่าย ให้ใช้เวลาก่อนบ่าย 3 โมงเย็น 10 นาที
    ก็เป็นอันว่าว่า ขอเล่าเรื่องของท่านต่อไปในเรื่องในการตามสาว อย่าลือว่า รายการนี้เป็นรายการธรรมะ จะ ขอนำธรรมะกลั้วเข้ามากับเรื่องนิทาน ขอบรรดาท่านผู้ฟังอย่าลืมว่านี้คือนิทาน นิทานตอนนี้เรื่องเป็นเรื่องจริง แต่จะการเห็นจะจริง หรือไม่จริงก็ไม่ทราบถือว่าเป็นนิทาน ก็เป็นอันว่า วันหนึ่ง ในเวลานั้นอาตมากำลังมาแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ก็ไปจากวัดเสียเดือนเศษ



    มีโยมที่ลูกสาวหายไปมาขอให้ช่วย
    พอกลับ มาถึงวัด ก็มีคนที่รู้จักกันจริงๆ เวลานั้นเธอยอมรับนับถือไปมาหาสุ่เสมอ เป็นผู้ชาย มากับบรรดาญาติหลานคน ผู้หลายคนนี้รูปร่างอ้วนๆ ผิวขาว มาถึงเธอก็รายงานให้ทราบ
    แต่อันดับแรกขอบอกก่อนนะ เธอมาถึงตั้งแต่ตอนบ่าย เวลานั้นไม่มีเวลาพบกัน
    เวลากลางคืน ลงสอนพระกรรมฐาน เธอก็ลงมือปฏิบัติเธอก็รายงานให้ทราบว่า
    ลูก สาวของผมหายจาก บ้านไปเกือบ 2 เดือน ผมใช้เวลาตามมาเดือนเศษ สิ้นเงินค่าตามไป 2 หมื่นบาทเศษ ยังไม่พบ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เวลานี้ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน ? เธอยังมีชีวิตหรือว่าตายไปแล้ว ? ถ้ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ? ถ้ามีชีวิตอยู่จะกลับบ้านเมื่อไร ? ถ้าเธอกลับเองไม่ได้ จะหาวิธีใดให้กับเธอกลับ ?
    ความ จริงเขาก็ถามตามเหตุผล บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาฟังแล้วก็คิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกินวิสัยของเรา เราไม่สามารถจะจัดการได้
    ถ้าจะถามว่ารู้ไม่ ก็ต้องตอบก็ไม่รู้
    ถามว่าใช้กำลังสมาธิดูให้ได้ไหม
    กำลังสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มัน ต้องใช้เวลาที่เราวางใจ เวลาเราเหนื่อยๆแบบนั้นมันก็ไม่แน่เหมือนกัน ถึงแม้เวลาสงัดก็จริงมันก็ไม่แน่ เพราะว่าสมาธิชั้นสวะของอาตมา มันก็ผิดบ้างถูกบ้างเป็นของธรรมดา
    สรุปขอคิดจากธรรมะ
    ถ้าเขาถามมานี้ไม่แน่นักถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นเองนี่แน่นอน เพราะเวลาเขาถามมาบางทีมันเหนื่อย เลยไม่รู้เรื่อง ก็เลยบอกเขาว่า
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าถามฉันเลยนะ เพราะฉันกับคุณความจริงมันก็ไม่ดีกว่ากัน มัน ก็เป็นคนเสมอ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือกัน มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ไม่ดีกว่ากันเลย แล้วก็ในที่สุดก็เรียกว่า ร่างกายเสมอกัน
    สำหรับ ด้านจิตใจ ในเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ต่างกัน ก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน แล้วสิทธิของเราก็ไม่ต่างกัน สิทธิก็คือว่า
    มี ความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือแก่ นอกจากแก่ก็มีป่วย นอกจากป่วยก็มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ในที่สุดเราก็ตาย.
    เวลานี้คุณต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือ ลูกสาวหายไปจากบ้าน
    ฉัน เองก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีพ่อแม่ตายไปนานแล้ว แล้วก็มีน้องสาวคนเล็กอีกคนหนึ่งตายไปนานแล้ว ทั้งหมดทั้ง 3 คน ก็เป็นคนที่รักที่เคารพของรัก เรามีสภาพเหมือนกัน
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อันนี้เป็นธรรมมะในท้องเรื่อง จำไปเลยนะ จะไม่ลงธรรมะในตอนท้าย เอาตอนนี้ก็แล้วกัน
    ก็รวมความ คนที่เราที่เกิดมา คนก็ดีสัตว์ก็ดี มีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด
    ต่อไปก็ขอแนะนำเธอว่า
    เอาอย่างนี้ซิคุณ ตอนรุ่งเช้าขึ้นเช้า คุณทำวัดที่นี่ก็ได้ เพื่อความมั่นใจ บน กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ แต่เป็นการบนต้องคิดว่าสิ่งทั้งหลายแหล่ทั้งหมด มันอาจจะสิ่งที่เกินวิสัยก็ได้แต่ทว่า กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นี้เท่าที่เขาบนตามคนกันไม่เคยพลาด แต่ว่าทั้งนี้ คุณต้องยอมรับนับถือท่านจริงๆ นะ
    พอบอกเท่านี้ เขาก็บอกว่า สมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ นี่ ผมเคารพมากครับ
    ก็เลยบอกว่า ถ้าคุณเคารพอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่
    เข้าถามว่า มีเครื่องอะไรบ้าง ?
    ก็ บอกว่า คุณจัดข้าวปากหม้อ 1 ถ้วยกับหมู 1 ชิ้น เวลานี้คุณไม่อยู่บ้านฉันก็กะเกณฑ์ได้ ถ้ากะเกณฑ์ คุณมีฐานะดี ก็ควรจะใช้ชิ้นละไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล แล้วก็ไก่ 1ชิ้น หมูชิ้นเล็กก็ได้ ถ้าหากว่าทุนน้อย ต่อไปก็ใช้ขนมจีนน้ำพริก 1 ก็ได้ คุณตั้งโต๊ะ เอาโต๊ะที่กุฏิฉันทีมาตั้งเข้าแล้วเอาผ้าขาวปู เอาแจกันดอกไม้วางเข้ากลางโต๊ะ เอาเครื่องจุดธูปจุดเทียนมาวางเข้า แล้วก็บนท่าน ถวายพร้อมกันว่าเลยนะว่า ขอถวายพร้อมกันเลยนะว่า ขอถวายเครื่องการสักการบูชา กรมหลวงชุมพรฯ กับคณะ รวมทั้งคณะด้วย เพราะท่านมีลูกศิษย์มาก ถ้าหากไม่เกิดวิสัย ลูกสาวผม (ชื่อนี้) เธอหายไปประมาณวันที่เท่านั้น เอาประมาณกัน อาจจะไม่แน่นอน ถ้าไม่เกิดวิสัย 3 วันไม่ทัน จะกี่วันก็ได้ ขอให้กลับมาเร็วๆ ต้องให้เวลาท่าน
    พอ วันรุ่งขึ้น เขารีบไปตลาดแต่ตอนเช้าปรากฏว่าเวลาก่อน 2 โมง 10 นาที เขาทัน ทุกอย่างเขาต้มมาจากตลาด มาถึงก็ตั้งโต๊ะก่อนเวลา 2 ชั่วโมง10 นาที ประมาณ 15 นาที เขาก็เริ่มจุดเทียน
    เขาบอกว่า เวลายังเหลือเกินกว่า 10 นาที นาทีจะทำได้ไหมครับ?
    ก็บอกว่า จะทำได้ไหมครับ ?
    ทำได้เขาก็บน ถวายเครื่องสังเวย แล้วก็บอกว่า ถ้าลูกสาวกลับ จะถวายใหม่
    เมื่อ เขาก็บนท่านเสร็จ เขาก็ลากลับบ้าน เมื่อกลับบ้านไปแล้วไม่นาน ประมาณสัก 5 วันเศษ หรือ 5 วัน ไม่กิน 5 วันนะ จำไม่ได้ถนัด มันหลายปีมาแล้ว ก็ปรากฏว่าบุคคลคณะนี้กลับมาอีก ขอประทานอภัย ลืมบอกไปว่า เจ้าภาพชุดนี้อยู่ อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัด พิจิตร คณะนี้ก็เดินทางกลับมาอีก มาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเธอก็ดี ผิวขาวท้วมๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
    และท่านพ่อก็รายงานบอกว่า
    ลูก สาวคนนี้แหละครับ ที่หายไปจากบ้าน หลังจากผมบน กรมหลวงชุมพรฯ แล้วกลับบ้าน จากวันบนมาถึง กรมหลวงชุมพรฯ แล้วกลับไปที่บ้าน จากวันบนมาถึงแล้วกลับไปที่บ้าน จากวันบนถึงวันเด็กกลับมาเป็นเวลา 3 วันพอดี เด็กกลับบ้านตอนเย็น
    อาตมาก็ลองถามว่า หนูไปอย่างไรมาอย่างไรลูก ถึงได้ไปบ้านแล้วไม่ยอมกลับ?
    เหตุที่ต้องออกจากบ้านไป
    เธอก็เล่าความเป็นมาอย่างนี้ บรรดาท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็อย่าตำหนิกันเพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม
    เธอบอกว่า ตามปกติเธออยู่บ้าน ตลาดที่ใกล้บ้านที่สุดคือ ตลาดโพธิ์ ตลาดทะเล
    อำเภทโพธิ์ทะเล นี้ ความจริงแม้แต่ตลาดเธอก็ไม่ค่อยได้ไปกับเขา เพราะเป็นเด็กที่ไม่อยากไปไหน อยู่กับบ้านถ้าจะกล่าวไปก็เป็นเด็กชอบรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริงหญิงสาวรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริงหญิงสาวรักษาประเพณีอย่างนี้ผู้ฟัง จะเป็นเวลาสมัยก่อนก็ตามสมัยปัจจุบันก็ตาม สมัยหน้าก็ตาม ถ้ารู้จักเก็บตัวอย่างนี้ เป็นหญิงที่มีราคามีค่าสูง เพราะ ใครๆ ก็ต้องการถือว่าเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นคนเรียบร้อย เพราะการจะแต่งงานก็ต้องดูเบื้องหน้าเบื้องหลัง วันนี้ดี วันหน้าจะดีไหม
    ถ้า หากว่าแสดงอาการคล่องตัวเกินไป คนก็ไม่ค่อยไว้วางใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นว่าเป็นคนไร้ค่า ราคาถูก ซื้อเมื่อไร วางเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น ไม่แปลก แต่ว่าสงบเสงี่ยมเก็บตัวแบบนี้ คนต้องการแล้วมีการหวงแหน
    นี่ พูดตามความรู้สึกของอาตมาที่เป็นชายและก็เป็นชายที่รู้จักสร้างตัวทุกคนก็มี ความรู้สึกเหมือนกัน บอกว่าถ้าฉูดฉาดเกินไปเราก็เห็นของไร้ค่า ฉูดฉาดมาก็ฉูดฉาดไป ได้มาแล้วก็ได้ใหม่ ได้ใหม่เราก็วางใหม่ วางแล้วก็ได้ใหม่ มันเป็นของไม่ยาก
    และท่านผู้นั้นก็ไม่ถือตัว ท่านถือว่าจับหรือวางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เลยกลายเป็นไร้ค่าไป
    ขอ เล่าเรื่องของเธอต่อไป เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปนา เธออยู่ที่บ้านคนเดียว จะว่าอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนแก่อยู่บ้านด้วย ก็มีเพื่อนสาวข้างๆๆบ้าน เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เธอมานัดแนะกับผู้ชายว่าจะไปกินร่วมกัน แทนการแต่งงานปกติ เขาเรียก วิวาห์คนธรรพ์ คือจะพากันไป แต่เขาก็ไม่บอกเธอ
    เป็นอันว่า คนนี้ก็อยู่บ้านเหมือนกัน พ่อแม่ไปไถนา เขาก็มาชวนเธอบอกว่า
    ไปเที่ยวตลาดกันไหมล่ะ? ไปซื้อของเล็กๆน้อยๆประเดี๋ยวก็กลับ
    เธอเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน ปกติก็ไม่มีอะไร เป็นคนที่น่ารักชอบพอกันกันมาก ก็ไปลาผู้ใหญ่ที่เฝ้าบ้านอยู่ด้วยกัน ก็ไปบอกว่า
    ฉันจะไปตลาดกับเพื่อนสักครู่หนึ่งประเดี๋ยวจะมา
    ท่านผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร ก็บอกว่าไปเถิด ป้าอยู่บ้านเอง
    ครั้ง เมื่อเธอไปถึงตลาดไปถึงตลาด ไปถึงก็มีผู้ชายอยู่ 2 คน นั่งอยู่ที่ตลาดแล้ว ไปเจอะเพื่อนหญิงเข้า เธอก็มาทักทายปราศรัย เขาก็คุยกันเบาๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวหนึ่ง เขาก็สั่งอาหารมาเลี้ยง เขาก็เลี้ยงเธอด้วยทั้ง 4 คนก็กินกัน กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเดินมา ประเดี่ยวหนึ่งก็มีรถแท็กซี่ คือรถยนต์เล็กๆ รถเก๋งมาจอด
    ชาย 2 คนก็บอกกับเพื่อนว่า
    เราจะไปเที่ยว จังหวัดพิจิตร กันไหมล่ะ? ไปเที่ยวตลาดโน้น...
    เพื่อนนี่ความจริงเขานัด เขารู้กันอยู่แล้วก็บอกไปว่า เขาก็ชวนเธอไปด้วย
    เธอก็บอกไปไกลนักไม่ได้หรอกประเดี๋ยวป้าจะบ่น พ่อกับแม่จะมา
    เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เราไปรถพิเศษเหมาไป ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ
    ก็เลยนั่งรถไปกับขา เป็นอันว่า ชาย 2 หญิง 2 เมื่อนั่งรถไปกับเขาถึงจังหวัดพิจิตร เมื่อเดินมาประเดี๋ยวเดียวเขาก็พาขึ้นรถโดนสารเป็นรถยนต์ สมัยนั้นยังไม่มีรถทัวร์ เป็นรถประจำทาง เขาพาขึ้นไป ถามเขาว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่าเราจะกลับ อำเภทโพธิ์ทะเล (นี่มันต้มกันง่ายๆ) เรียกว่าไม่ต้องต้มเลยนะสุกอยู่แล้ว เพราะเป็นคนไม่เคยไปไม่เคยมาเธอนั่งรถไปกับเขา แต่แทนที่รถจะวิ่งเข้า อำเภทโพธิ์ทะเล กลับวิ่งลง นครสวรรค์แล้ว ก็เรื่อยไปกรุงเทพฯ เธอก็จนใจ เพื่อนหญิงบอกไม่เป็นไร เราเที่ยวกรุงเทพฯ กันเดี่ยวเราก็กลับ พอถึงกรุงเทพฯ แล้วเค้าก็พาขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีสายใต้ จากสายใต้ก็ไปจังหวัดสุพรรณบุรี
    ก็ เป็นอันว่า เธอมีจำใจต้องกับเขา เสื้อผ้ามีชุดเดีมยวแต่เพื่อนหญิงเขาเตรียมพร้อม สำหรับเพื่อนหญิงนั้นเสื้อผ้าฝากไว้ร้านค้าที่รู้จักกันไว้ ก็เป็นอันว่าเธอก็ใช้เสื้อผ้าของเพื่อนและต่อมาชายหนุ่มได้ซื้อเสื้อให้เธอ ใช้ไปพักที่ จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ไม่ใช่ตัวเมืองเป็นเขตของ อำเภอเมืองบางปลาม้า เมื่อเธออยู่ที่นั้น มันเหงา เคยอยู่บ้านไม่เคยไปไหน และไปที่นั้นก็ไม่รู้จะไปไหน และที่นั้นก็ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ก็มีเพื่อนหญิงที่ไปด้วย เจ้าของบ้านก็ใจดี ก็ช่วยเจ้าบ้าทำโน้นบ้าง ทำนี่บ้าง ตามปกติ
    เมื่อ เวลาผ่านไป 1 เดือนเศษในช่วงนั้น เธอบอกว่าคิดถึงบ้านแต่ไม่รู้จะกลับอย่างไร เห็นรถวิ่งผ่านหลังบ้านก็ไม่ทราบว่า รถยนต์จะวิ่งไปไหน เขาเขียนว่า กรุงเทพ-สุพรรณบุรี ครั้น จะมากรุงเทพฯ คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนอีก เมื่อเข้าถึง กรุงเทพแล้วก็งงเต็มทีแล้ว บ้านเมืองมันกว้างรถก็มาก ทิศทางไปไหนก็ไม่ทราบ
    ต่อมาเธอบอกว่า วันหนึ่ง ขณะที่อยู่คนเดียว นั่งเพลินๆ อ่านหนังสือบ้าง ทำงานเล็กน้อยบ้าง เรียกว่า อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ตามคติโบราณ ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำตามปกติ เท่าที่สามารถจะทำได้ เห็นรถยนต์มาแต่ไกล มีความรู้ว่าอยากจะกลับบ้าน รถยนต์คันนี้จะไปกรุงเทพฯ ไปถึงกรุงเทพแล้ว เราไม่รู้ทิศทางจะไป แต่ว่าคิดว่ากลับได้ เราจะได้บอกกลับเขาว่า เราจะกลับ จังหวัดพิจิตร คงมีรถยนต์มาช่วยเราได้ ส่งให้ขึ้นรถยนต์มา จังหวัดพิจิตร ได้ เธอตัดสินใจเอง ซึ่งทุกวันไม่เคยมีอารมณ์อย่างนั้น และตอนนั้นหนูสตางค์ไหม? เธอก็บอกว่าระยะนั้นหนูมีสตางค์ติดตัวอยู่ 500 บาทเมื่อเธอตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็ไม่มีการเตรียมการอะไรทั้งหมด เมื่อรถยนต์เข้ามาใกล้ ก็วิ่งไปจากบ้านก็ไม่มีใครติดตามทวง มาถามมาปราบ ทุกคนยืนกันเฉยๆ แล้วก็ยิ้ม ทุกคนนั่งดู ต่างคนต่างยิ้ม เธอไม่ทราบเหมือนกันว่า เขายิ้มเพราะอะไร
    ใน ที่สุดเธอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็มาจอดที่สถานีรถยนต์สาตใต้ ขณะที่เธอนั่งในรถยนต์เธอมีความรู้ว่า ในเมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่มีความรู้สึกอะไร เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่ความรู้สึกอะไร วิตกว่ากรุงเทพฯ นี่เขาว่ากรุงเทพมันใหญ่โตกว้างขวางมาก จะไปอย่างไร แต่คิดว่าถ้าถึงกรุงเทพฯ เราพอมีสตางค์ จะเหมาแท็กซี่ให้เขาไปส่งรถโดยสารที่จะไป จังหวัดพิจิตร เธอได้ตัดสินใจตามนั้น ก็นั่งเฉยๆหรอกคิดเรื่อยมา
    แต่ ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อรถยนต์ถึงสถานี รถยนต์สายใต้ รถยนต์จอด เขาก็บอกว่า มาถึงสุดทางแล้วครับ ลงได้ครับ ทุกคนก็ต่างพากันลง เธอก็ลง ลงอย่างคนที่ไม่รู้จะไปไหน แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุด พอลงมาแล้ว เดินไปได้ 2-3 ก้าว ปรากฏว่าพบพี่ชายยืนอยู่ตรงนั้น พอเห็นพี่ชายก็ดีใจ โผเข้าไปกอดพี่ชายถามพี่ชายถามว่า
    พี่มาได้อย่างไร?
    พี่ ชายก็ตอบว่า พี่มาตามน้อง แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าน้องอยู่ที่ไหน ? เมื่อคือนี้อยู่ก็พักที่ พักที่วัด วัดใกล้ๆ แต่วันนี่อยากจะมาที่นี่ คิดว่าบางทีน้องอาจจะมาบ้าง หรือมาไม่มาก็นั่งดูคนแก้ กลุ้มดูคนขึ้นรถลงรถ แต่ก็บังเอิญพบคนน้องพอดี
    เป็นอันว่า พี่และน้องต่างคนต่างดีใจ เธอก็หมดทุกข์ พี่ชายก็มีสุขเพราะพบน้องเพราะพบน้อง พบเธอมีสุขเพราะพบพี่ ในที่สุดพี่ก็บอกว่า
    ไปกินข้าวเถิดน้อง
    ก็ พาน้องไปกินข้าว ความดีใจของพี่ก็บอกว่า อย่าเพิ่งไปบ้านกันเลยวันนี้ ถ้าเราจะไปก็ไปทันแต่มันจะค่ำ ค้างกรุงเทพฯ เสียก่อน ค้างกับพี่ พี่อาศัยกุฏิพระอยู่ แต่ว่าก่อนจะไปกุฏิพระ ไปดูหนังกันก่อน
    น้องสาวก็บอกว่า เครื่องแต่งตัวได้ไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่มีเปลี่ยน
    พี่ชายก็บอกว่า เครื่องแต่งตัวไม่ได้เปลี่ยน ปละก็ไม่มีเปลี่ยน
    พี่ชายก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไอ้โรงหนังเขาไม่ถือ
    พี่ชายบอกว่า ไม่เป็นไร ไอ้โรงหนังเขาไม่ห้าม เขาไม่ถือ
    พี่ชายก็เลยพาน้องสาวไปดูหนังที่ โรงหนังแกรนด์ เสร็จแล้วก็มาพักที่เดิม เช้าก็มาลาท่านมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ก็ดีใจ รุ่งขึ้นเช้าก็จ่ายของแก้บนอย่างหนัก หมูไม่ใช่ครึ่งกิโลแล้ว เป็นหลายๆ กิโลแล้ว ไก่ก็หลายๆ กิโล แล้ว ไก่ก็หลายตัว อะไรก็มาก ขนมจีนก็หาบ เป็นอันว่าเอไม่แก้ที่บ้าน เธอ
    แกบอกว่า บนที่ วัดท่าซุง ก็ต้องมาแก้ที่วัดท่าซุง ประเดี๋ยว กรมหลวงชุมพรฯ ท่านจะว่าเอา
    เป็นอันว่า เมื่อเขามาหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อนบ่าย 3 โมง 10 นาที
    เป็นอันว่า เมื่อเขามาถึงหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อน 3 โมง 10 นาที
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ก็เหลือนาทีเศษๆ ก็เล่าเรื่องนี้จบพอดี
    เป็นอันว่า สมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ท่านก็เป็นเทวดาประเภทที่เรียกว่าสงเคราะห์คนจริงๆ
    กฎแห่งธรรมดาของคนที่เกิดมา
    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง และท่านผู้ฟังอย่าลืมว่า
    กฎแห่งธรรมดาของคนที่เกิดมา คือ
    (1) เกิดมาแล้วก็มีแก่
    (2) ต้องมีการป่วยไข้ๆไม่สบาย
    (3) มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ อย่างนี้ และ
    (4) มีความตายไปในที่สุด
    แนวทางแห่งการปฏิบัติ
    ขอทุกท่านอย่าประมาทในชีวิต คิดสร้างความดี คือ
    (1) รู้จักให้ทาน เป็นการสงเคราะห์ ตัดโลภะ ความโลภทีละน้อย
    (2) รู้จักการรักษาศีล เพื่อเป็นการตัดความโกธรทีละน้อย
    (3) รู้จักการเจริญภาวนา คือ รู้จักลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่า หายใจเข้า
    รู้ว่าหายใจออกรู้ว่า หายใจออก
    ถ้ารู้ว่าจะภาวนาว่าอย่าง ให้ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออก นึกว่า โธ ทำวันละ 2-3 นาทีก็ได้ เวลาจะทำ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ นั่งท่าไหนก็ทำได้
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี่ ทุกคนจะไม่ตกนรก ก็เวลามันหมดเสียแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาก็เหลือเวลา 10 วินาทีเศษๆ ก็ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนามงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  3. เทพอัปสรณ์

    เทพอัปสรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +9
    บนกลางแจ้ง แล้วแก้บนกลางแจ้งที่บ้านก็ได้ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...