จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

รับทราบค่ะ คืนนี้นอนหลับพักผ่อนให้สบายกายนะคะ

 

ธรรมะในห้องน้ำ​

วันนี้หว้าได้ล้างห้องน้ำ คิดไป คิดมาหลายเรื่อง
แต่มีเรื่องนึึงที่อยากจะบอกทุกท่านว่า...



จิตเราเปรียบเสมือนห้องน้ำ
จิตแท้ของเราเหมือนห้องน้ำในบ้านที่สร้างใหม่ๆ
เมื่อจิตเกิดมาหลายพบชาติก็ถูกกิเลสเกาะ เปรียบเสมือนคราบสกปรกที่เกาะอยู่ในห้องน้ำ
เมื่อจิตทุกข์ก็วิ่งหาที่ปลดทุกข์ ก็เหมือนกับห้องน้ำที่รองรับทุกข์ทางกาย
เมื่อจิตมีสุขก็อิ่มเอมใจ เหมือนได้ชำระล้างร่างกายให้สดชื่นในห้องน้ำ


เมื่อห้องน้ำสกปรกก็คิดจะล้าง ทำความสะอาด
เมื่อคิดจะล้างความสกปรกในห้องน้ำ ก็ควรล้างกิเลสออกจากใจด้วย
คราบสกปรกที่ล้างง่ายก็ใช้แรงน้อย กิเลสที่เกาะใจบางเรื่องเป็นเรื่องละได้ด้วยตัวเองก็ควรละ
ส่วนคราบสกปรกที่ฝังลึกๆ ในห้องน้ำก็ต้องใช้แรงขัดมากตามความลึก
เปรียบเสมือนจิตที่ต้องมีจิตเกาะพระ คิดถึงพระให้เป็นแรงช่วยในการกำจัดกิเลสให้ออกไปจากจิตให้หมดสิ้น

คนขี้เกียจ คนมักง่ายจะขัดพื้น ขัดคราบแบบผ่านๆ เหมือนคนที่ไม่มีความเพียรในการคิดถึงพระ
คนขยันเมื่อได้ทำอะไรก็ต้องทำให้ดี คือมีความเพียรในการฝึกจิตเกาะพระเพื่อจะได้มีแรงใจ แรงกายในการขัดห้องน้ำ ขจัดกิเลส

การล้างห้องน้ำเป็นการทดสอบสติ
ถ้าไม่มีสติก็ล้างห้องน้ำได้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้จะล้างอันไหนก่อนหลัง
ถ้ามีสติดีก็จะล้างเสร็จได้โดยไว


ห้องน้ำก็เหมือนจิต
ยิ่งขัดห้องน้ำได้สะอาดเท่าไร จิตที่ถูกขจัดกิเลสให้หมดไปก็ยิ่งใสสะอาดเท่านั้น
เมื่อจิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ก็เปรียบเสมือนห้องน้ำใหม่ในบ้านที่สร้างใหม่เช่นเดิม


ธรรมะมีอยู่ทุกที่ เราคิดถึงพระได้ทุกเวลา
ยิ่งทำความดี ยิ่งคิดถึงพระ
ยิ่งทำความชั่ว ยิ่งต้องคิดถึงพระ

วันนี้ท่านล้างห้องน้ำหรือยัง?​

 

นั่นสินะ
วันนี้คุณล้างห้องน้ำ ภายในใจกันหรือยัง?
(พูดถูกเปล่าหว๋า)

เธอคิดได้ไงเนี๊ย! เข้าท่าๆ
ต้องอย่างนี้สิ! น้องรัก ถึงจะสมเป็นหญิงเล็ก แห่งบ้านทรายทอง...คิคิ
(ธรรมะเริ่มๆ ผุดออกมาจากจิตของเธอแล้ว)

ปัญญาจะประเทืองได้ เราก็ต้องใช้บ่อยๆ
เพราะปัญญาก็เปรียบเสมือนยานพาหนะ
หรือเหมือนรถยนต์ของเรา แต่ถ้าใครฝึกขับรถบ่อยๆก็จะขับเก่งไปเอง
ก็เหมือนคนเรารู้จักวิธีคิด หรือใช้ปัญญาของตนบ่อยๆ
เราก็จะกลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วย สติปัญญา
คือคิดอะไร ก็คิดออก

 

​

 

ประเด็นเรื่องห้องน้ำนี่คิดมาได้ห้าหกปีแล้วค่ะ
ตั้งแต่ได้ไปฝึกกรรมฐานที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม
พระอาจารย์ท่านสอนให้คิด และที่จำคำสอนได้ขึ้นใจก็มีประโยคนี้คือ
"เวลาล้างห้อง ให้ล้างใจตัวเองด้วย"

วันนี้มีโอกาสได้เล่าเลยได้มาโพสท์
ยังมีอีกหลายเรื่องแต่ยังไม่ได้พูดให้ใครฟัง
เพราะส่วนใหญ่แล้วจะติดนิสัยถามตัวเองว่า
"ลูกหว้า.. เธอเห็นอะไรในสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้"
คือจะชอบถามตัวเองบ่อยๆ ว่าได้ธรรมะอะไรจากกิจกรรมที่ทำอยู่นั่นเอง
ถ้าเรามีสติ เป็นคนช่างสังเกตุ เราก็จะรู้ว่ารอบข้างเรามีอะไรบ้าง
แต่ถ้าเรามีปัญญาด้วย เราจะเรียนรู้ว่าธรรมะก็อยู่รอบตัวเรานั้นแล...

 

พี่ก็แอบคิดว่าเธอน่าจะอายุประมานสามสิบ.. ดูจากชื่อล๊อกอินน่ะ
(ให้อภัยในความคิดข้าพเจ้าด้วย.. แหะๆ)

ยินดีต้อนรัับเข้าบ้านนะจ้ะ ท่านชายสู่วันใหม่
เดี๋ยวท่านพี่ท่านอื่นๆ จะมาแนะนำเพิ่มเติมนะจ้ะ



;hi2

 

ตี่สี่ประเทศไทย..
สงสัยจะหลับกันหมดแล้ว...ชาวกระทู้ทั้งหลาย
อรุณสวัสดิ์ท่านที่ตื่นเช้า
และราตรีสวัสดิ์ท่านที่กำลังจะเข้านอน (รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย)
ขอให้นอนหลับก็คิดถึงพระ มีจิตอยู่กับพระ
ตื่นนอนก็ขอให้คิดถึงพระ มีจิตอยู่กับพระ
หญิงเล็กขอออกเวรพากายหยาบไปพักนะคะ

รักและเมตตาทุกดวงจิต
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

​

 

น้องหญิงเล็ก นอนน่ารักจัง!
(นอนไขว่ห้างด้วย)
So cute!!!

 

สวัสดีตอนเช้าครับทุกท่าน วันทำงาน ตื่นอนมาทำงาน อย่าลืมจิตนะครับ
อยู่กับพระนะครับทุกท่าน

าวัสดีครับพี่ภู

อน่าลืมพักบ้างนะครับ

 

เรียนคุณภูและครูเพ็ญ ได้โปรดช่วยอธิบายข้อสงสัยของผมด้วยสัก 2 ข้อ ดังนี้
1. ช่วยอธิบายศีลละเอียดด้วยว่าเป็นเช่นไร?
2. ช่วยอธิบาย ขั้นตอนและขบวนการที่ มีสิ่งมากระทบ แล้วเราก็รับรู้ ปรุงแต่ง แล้วตอบสนองกลับไป (ช่วยอธิบาย คำจำกัดความของ สติ จิต ใจ ตัวรู้ ผู้รู้ ผู้ถูกรู้ ให้ด้วยครับ เพราะว่า งง.. ไม่ค่อยจะเข้าใจแจ่มชัด หรือว่าอาจจะเข้าใจผิดอยู่?) รวมถึงวิธีการที่จะทำให้ เกิดและดับอยู่ที่ตรงนั้นเลย เช่น เมื่อกระทบ รับรู้ ดับที่ตรงนั้นเลย
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ และขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมครับ

 

มันจะได้เกิดความต่อเนื่อง ครับ พี่วิทย์ เอิ๊กๆ ^_^

 

หญิงเล็กตื่นแล้วฮับ! หุหุ..
เชิญท่านพี่อยู่เวรก่อนนะคะ
น้องขอตัวไปหาความรู้ใส่สมองหน่อย

ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดวัน
และพยายามมองหาธรรมะรอบๆ ตัวมาพิจารณานะคะ

​

 

ขอบพระคุณสำหรับคำถาม
เป็นคำถามที่ดีมาก
แต่ผมขออนุญาตให้ครูเพ็ญมาตอบก่อน เดี๋ยวผมจะขอตอบทีหลัง
เพราะผมไม่อยากให้คุณฟังคำตอบเพียงคนเดียว เพราะคุณอาจจะถูกจริตกับท่านใด
แต่ผมอธิบายไปแล้ว เกรงว่าคุณไม่ค่อยเข้าใจ (ผมอธิบายไม่เก่ง)แต่ครูเพ็ญ ท่านเป็นครูละเอียด
และตรงนี้ผมก็อยากให้คุณ อัญญะมณีช่วยตอบอีกคนด้วย
หรือคุณวิทย์ คุณดชน. ลูกหว้า แสดงออกกันได้นะ...
เพราะคนอื่นจะได้เข้าใจกับธรรมะตามกันไปด้วย
พวกเราไม่ได้มาแข่งขันว่า ใครเก่งกว่า
เพราะพวกเราทำงานกันเป็นทีม(ทีมเวิร์ค)

ขออย่าพวกเรามาวัดผลกันตรงนั้น
เพราะธรรมะจะเป็นเฉพาะบุคคล หรือจิตของละบุคคลว่าจะละปล่อยวางมากที่สุดกันต่างหาก
เพราะเป็นเรื่องภายใน
และผมก็เชื่อว่า ทุกท่านก็สามารถเข้าถึงจิตพุทธะกันได้ทุกคน
แต่ขอให้เราเข้าถึงกระแสจิตของตนเองก่อน
(เข้าให้ถึงจิตตนก่อน เพราะธรรมก็อยู่ภายในจิตของแต่ละคนกันอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่พบ หรือจะหากันเจอหรือไม่ คือ จิตเดิมแท้)

ปล.ขอเคลียร์งานแป๊บนึง

 

ภิกษุทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ในเวลาเช้า
เวลาเช้าก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ในเวลาเที่ยง
เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ในเวลาเย็น
เวลาเย็นก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น



สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบเวลาใด
เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี....

พระพุทธพจน์
​

 

สวัสดีค่ะ คุณลูกพลัง
เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ
แต่อ่านคำถามแล้วก็ขำตัวเอง
นึกถึงเวลาเรียนแล้วเราต้องมานั่งทำข้อสอบวัดผล
ถ้าตอบไม่ตรงคำถามก็แสดงว่าสอบไม่ผ่าน
ในส่วนนี้เรื่องของ "ศีล" คุณลูกพลังต้องการทราบเรื่อง "ศีล" ให้ละเอียด
หรือต้องการทราบ "ศีลละเอียด" ว่ามีลักษณะอย่างไรคะ?... ฮ่าๆ

สำหรับข้อ ๒ นี่ถ้าให้อธิบายคงยาวแน่ๆ..
ทั้งสองข้อนี้รอครูเพ็ญ และท่านอื่นๆ มาตอบละกันนะคะ.. แหะๆ

จริงๆ ก็อยากอธิบา่ยอยู่นะคะ
แต่ขอไปเรียบเรียงคำตอบและให้ท่านอื่นตอบดีกว่า
อ่านโจทย์ไปมาถึงกับค้าง เพราะต้องคิดคำอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด


ว่าแล้วก็ครูละเอียดท่านไปไหนน๊ํ๋า??
ทานแอบขนมอยู่รึเปล่าคะพี่เพ็ญ?

ปล. ยินดีต้อนรับนะคะคุณลูกพลัง
ดื่มน้ำเย็นๆ รอคำตอบก่อนนะจ้ะ

​

 

มาส่งการบ้านค่ะ ^^

อันนี้ของเมื่อวานค่ะ ขอลงอีกรอบนะค่ะ ^^

ส่วนวันนี้ก็โดนโทสะโจมตีอีกแล้วค่ะ ฮ่าๆ แต่คราวนี้เราหลบหลีกได้ดีขึ้น ภาพพระขึ้นไวกว่าเดิม โทสะหายไปเร็วกว่าเดิมค่ะ
catt7

 

มาแจมแล้วจ้า...

1. ศีล แปลว่าปกติ
ถ้าเรารักษาศีล เราก็เป็นคนปกติทั้งกาย วาจา ใจ
ถ้าไม่รักษาศีลก็จะเป็นคนไม่ปกติ
มีทั้งศีล5 ศีล8 ศีล10 ศีล227 ข้อ
แล้วแต่ละสถานะของแต่ละบุคคลว่าจะรักษาศีลกี่ข้อ
แต่คนทั่วไปก็ต้องมีศีล 5 เป็นพื้นฐาน

การรักษาศีลก็ต้องประกอบด้วยเจตนา 3 ประการ
1. เราไม่ทำลายศีลของตนเอง
2. เราไม่ส่งเสริม ยุยง สนับสนุนให้บุคคลอื่นทำลายศีล
3. เราไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

การกระทำใด ๆ ที่ผิดศีลต้องประกอบด้วยเจตนา หรือความตั้งใจ
ถ้าไม่เจตนาก็ไม่ผิดศีล แต่ผลของการกระทำก็ยังมีอยู่
เช่น เรามองไม่เห็นมด เดินเหยียบมดตาย เราไม่ผิดศีล เพราะเราไม่เจตนา แต่ผลของกรรมนี้อาจจะทำให้เราโดนรถชน คนชนเราก็ไม่เจตนาเหมือนกัน เป็นต้น ถ้าเรายังต้องเกิดอยู่ กรรมมันก็วนเวียน วนเวียนกันอยู่แบบนี้หล่ะค่ะ เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันไม่จบไม่สิ้นเสียที

ศีล 5 ประกอบด้วย
1. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฆ่าด้วยตัวเอง ไม่สนับสนุนให้ฆ่า ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นฆ่าไปแล้ว
2. ไม่ลักทรัพย์ ไม่ขโมยด้วยตัวเอง ไม่สนับสนุนให้ขโมย ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นขโมยแล้ว
3. ไม่ประพฤติผิดในการ ไม่ประพฤติผิดเอง ไม่สนับสนุนให้ความช่วยเหลื่อคนอื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำผิดไปแล้ว การประพฤติผิดในกามนี้ไม่ได้หมายถึงสามีไปมีเมืยน้อย หรือเมียไปมีชู้เพียงอย่างเดียว รวมถึงการประพฤติผิดกับลูกของคนอื่นด้วย คือพ่อแม่เค้าไม่อนุญาตแอบอยู่ด้วยกันก็ผิดค่ะ
4. ไม่พูดปด ไม่โกหกคนอื่น ไม่สงเสริมให้คนอื่นโกหก ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นโกหก
5. ไม่ดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา ไม่ดื่มเอง ไม่ส่งเสริม ซื้อให้คนอื่นดี่ม ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นดื่ม

2. ขั้นตอน และกระบวนการที่มีสิ่งมากระทบ
สิ่งที่จะรับกระทบมี 5 ทางด้วยกัน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย(ผิวสัมผัส)
มีคนมาด่าเรา ท่าทางเค้ามากระทบที่ตา เสียงเค้ามากระทบที่หู สมองก็ประมวลผลว่าคำพูดแบบนี้ ท่าทางแบบนี้เรียกว่าด่า ใจมันรับผลมาให้เกิดอารมณ์โกรธ เพราะคิดว่าด่าตัวเรา อาจจะด่ากลับ

ถ้าเค้าด่าเราเป็นภาษาอังกฤษ ท่าทางเค้ามากระทบที่ตา เสียงเค้ามากระทบที่หู สมองก็ประมวลผลว่า เอ...ภาษาอังกฤษเราฟังไม่ออก มันด่าเราว่าอะไรหว่า ใจมันก็ไม่ได้รับการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ อาจจะเดินหนี ตรูไปดีกว่า พูดกับมันไม่รู้เรื่อง

ถ้าเค้าด่าเรา แล้วเราตาบอด หูหนวก เราก็ไม่รู้เรื่อง โกรธก็ไม่เกิด

แต่ตอนนี้เรามีครบทุกอย่าง
ตัวที่จะช่วยเราได้คือ ปัญญา
สติอยู่กับทุกการกระทำในปัจจุบัน พิจารณาด้วยปัญญา
แล้วตัวรู้(รู้สภาวะธรรม)มันจะเกิดในจิต จิตก็จะเป็นผู้รู้ แล้วมันจะไม่กระทบมาถึงใจ
เพราะผู้ถูกรู้(กิเลส/อื่นๆ)โดนจับได้ไล่ทันซะแล้ว
ปัญญาเกิดด้วยการเรียนรู้ และฝึกฝน จนมันแหลมคม
มารูปแบบไหน ก็รู้เท่าทัน รับมือได้หมด

ต้องจัดการที่ต้นตอคือ เรา
เริ่มด้วยการฝึกจิตให้คิดใหม่ ทำใหม่ ไอ้เดิมๆ ทำกันมาเป็นล้านชาติไม่เอาแล้ว

เมื่อมีคนมาด่าเรา
สติต้องตั้ง ใช้ปัญญาพิจารณา เค้าด่าเราเค้าก็ตาย เราก็ตาย
เค้าไม่ด่าเราเค้าก็ตาย เราก็ตาย ทุกชีวิตแล้วเดินเข้าสู่ความตาย แต่เราจะไม่ตายแบบสูญเปล่า เราขอไปนิพพานดีกว่า แล้วเราจะไปแบกมันไว้ทำไมให้หงุดหงิด โมโหในจิตเรา มันเป็นเครื่องกีดขวางความเจริญของเรา เราไม่เอา รู้จักปฎิเสธบ้าง

ปัญญาจะเกิด คือ เห็นสภาวะธรรม หรือธรรมชาติ
ด้วยการพิจารณาสิ่งที่มากระทบลงสู่กฎไตรลักษณ์
จะรู้แจ้งแทงตลอด แล้วเราจะร้อง
อ๋อ...มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ทุกขัง การที่เรายึดถือความโกรธ เราเป็นทุกข์
อนิจจัง ความโกรธมันไม่เที่ยง ไม่อยู่กับเรานานหรอก เดี๋ยวมันก็ไป ไม่เคยเห็นใครเคยโกรธตลอด 24 ชม.เลย ไม่ถึง 3 นาทีก็มีอารมณ์อื่นมาแทรกอีกแล้ว
อนัตตา สุดท้ายแล้ว ความโกรธก็ไม่มีตัวตน ถ้าเราตาย ร่างกายนี้ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไปเหมือนกัน

ถ้าเราฟุ้งเรื่องคนอื่น ดึงจิตเรากลับมาอยู่ที่ตัวเอง
ตัดลงไปเลยว่า เรื่องของเค้า ไม่ใช่เรื่องของเรา
บางคนอาจจะคิดว่าแบบนี้เราก็เห็นแก่ตัวนะสิ
เราจะฝึกจิตเรา เราก็ต้องอยู่กับจิตเราสิ ไปยุ่งกับคนอื่นทำไม
ถ้าไม่ชอบแบบซอฟท์ ก็เอาแบบแรงก็ได้ค่ะ
เรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกู

ท่านใดมีเพิ่มเติม แก้ไข ติชม แนะนำ เชิญได้เลยค่ะ

 

ธรรมะช่างเกิดได้ในทุกสภาวะจริง ๆ ค่ะน้องหว้า
เพราะว่าธรรมะ ก็คือธรรมชาติ

แต่พี่หนูยังไม่ได้ล้างห้องน้ำเลยค่ะ ล้างแต่ใจให้สะอาด อิอิอิ
เผลอไม่ได้ สกปรกทุกที

 

โมทนาสาธุค่ะ
แต่ว่าอย่าหลบหลีกบ่อย ๆ นะคะ มันก็จะหลบอยู่ที่เราเหมือนกัน
พอได้สบโอกาสมันจะโผล่มาทักทายค่ะ
ต้องชน ตัดลงสู่กฎไตรลักษณ์ รู้ว่าโกรธเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
ตัดบ่อยๆ แล้วปัญญาจะเกิด
พอมันมาอีก เราจะจัดการได้ทันท่วงทีค่ะ

 

ส่งการบ้านครับ

ตอนนี้เวลาเกิดอะไรขึ้นก็มักจะนึกถึงพระก่อนเสมอครับ และถ้าปล่อยจิตไปสักครู่ สติก็จะเตือนให้นึกถึงพระเอง ระงับอารมณ์โกรธได้ดีขึ้น ปกติเขาด่ามาจะแอบโกรธในใจ แต่วันนี้เหมือนเสียงด่ามันไม่เข้าถึงใจ ก็เลยรู้สึกเฉยๆ

จบการบ้านแค่นี้ครับ :d
จะพยายามส่งการบ้านนะครับ เพราะพี่เพ็ญสอนให้เอาจิตเกาะพระ ใจเกาะครู เสมอ